Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 752-753
ตอนที่ 752 เล่ห์เพทุบายใต้น้ำ
โดย
ProjectZyphon
“เจ้าวางแผนจะไปดินแดนรกร้างโบราณเมื่อไร”
บนยอดภูเขาชำระจิต ขณะที่หลินสวินเพิ่งวกกลับมา จ้าวไท่ไหลก็เดินตามหลังเข้ามาติดๆ
หลินสวินอึ้ง “เหตุใดจู่ๆ ถึงถามคำถามนี้”
จ้าวไท่ไหลกล่าว “ร่องรอยของพิบัติมหามรรคเริ่มปรากฏแล้ว ช่องทางจากจักรวรรดิสู่ดินแดนรกร้างโบราณเริ่มไม่เสถียร ถ้าหากเจ้าคิดจะดำเนินการก็รีบทำให้ทันการณ์ จากการคำนวณของโหรอาวุโสที่หอดูดาวหลวง อย่างมากครึ่งปี ‘โลกชั้นล่าง’ ที่ว่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นคิดจะจากไปก็สายไปแล้ว”
ในใจหลินสวินรู้สึกหนาวเยือก “กล่าวเช่นนี้ ต่อให้ข้าสามารถจากไปโดยสวัสดิภาพ แต่คิดกลับมาในภายภาคหน้าอาจเป็นไปไม่ได้แล้ว?”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะร่วน “เรื่องราวต่อจากนี้ใครจะบอกได้แม่นยำกัน ลำพังพิบัติมหามรรคนี้ แม้แต่อริยะยังไม่สามารถสรุปตัวแปรทั้งหมดออกมาได้อย่างสิ้นเชิง เรื่องราวต่อจากนี้… ใครก็ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น”
“ข้าจะระวังไว้”
หลินสวินกล่าวเสียงต่ำ เดิมทีเขาวางแผนเคี่ยวกรำพลังทั้งหมดของตนให้ไปถึงขอบเขตสมบูรณ์ยามอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด แต่เรื่องราวไม่เป็นดั่งใจ จวบจนบัดนี้เขายังมีช่องโหวบางส่วนที่ยากจะเติมเต็ม
ตัวอย่างเช่นมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ยังขาดมรดกวิชาลับอีกสามร่างที่ยังไม่อาจครอบครองได้
หรืออย่างระดับขอบเขตมหามรรค ก็ยังติดอยู่ที่ท่วงทำนองมรรคขั้นสมบูรณ์ คิดทะลวงไประดับเจตจำนงมรรค ยังต้องใช้เวลาอีกโข
ยิ่งไปกว่านั้นการหยั่งถึงมหามรรค สิ่งจำเป็นคือวาสนาและการหยั่งรู้ ใช่ว่าพากเพียรฝึกฝนแล้วจะสามารถเชี่ยวชาญได้
“รอเจ้าตัดสินใจว่าจะออกไปเมื่อไร ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ เขาจะต้องส่งเจ้าออกเดินทางด้วยตัวเองเป็นแน่”
ทันทีที่จ้าวไท่ไหลเอ่ยประโยคนี้ออกมาก็พาให้หลินสวินไหวหวั่น ตระหนักได้ว่าที่จ้าวไท่ไหลทำขนาดนี้ เบื้องหลังจะต้องได้รับการฝากฝังจากจักรพรรดิเป็นแน่!
“ได้!”
หลินสวินพยักหน้ารับคำ
ไม่นานนักจ้าวไท่ไหลก็จากไปอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกเฒ่าคนนี้มักจะดูรีบร้อนยิ่ง ไวเหมือนปรอทตลอดเวลา
หลินสวินเคยชินตั้งนานแล้ว เวลานี้เขายืนอยู่บนยอดภูเขาชำระจิต สองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองทะเลเมฆตลบ ลมภูเขาพัดหวีดหวิว พาให้อาภรณ์ของเขาพลิ้วไสว เรือนผมยาวปลิวสยาย
เพิ่งผ่านศึกใหญ่มา หลินสวินไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากนัก เขาเพียงแต่นึกถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างเท่านั้น
ในปีนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ก็สังหารคนตระกูลหลินสายตรงของเขาบนภูเขาชำระจิตนี้
และวันนี้ ศิษย์คนหนึ่งจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็มาท้าดวลกับตนภายใต้การยุยงของอวิ๋นชิ่งไป๋
อวิ๋นชิ่งไป๋รู้ถึงการคงอยู่ของตนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินไม่ได้กังวลใจอะไร จ้าวไท่ไหลเคยรับรองแต่แรกแล้วว่า แม้อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนจักรวรรดิอีก ก็จะไม่ยอมให้เหตุการณ์นองเลือดในปีนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินไม่เข้าใจคือ ในเมื่อชิงเจ๋อไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตนให้ตายในการดวล เช่นนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋… ต้องการทำอะไรกันแน่
“บางทีคงต้องรอให้ข้าเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไปทำความเข้าใจศัตรูที่ไม่เคยพบหน้าคนนี้ด้วยตัวเอง บางทีอาจจะล่วงรู้คำตอบได้กระมัง…”
หลินสวินพึมพำ
อาทิตย์ยามสายัณห์ย้อมทะเลเมฆเป็นสีแดง ลมภูเขาเจือไอน้ำเข้มข้นพัดมา นำมาซึ่งความหนาวเย็นกรีดลึกในกระดูกวูบหนึ่ง
หลินสวินยืนเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ท้ายที่สุดก็หมุนกายจากไป
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะเตรียมความพร้อมเพื่อมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ
……
จักวรรดิ วังแรกสมโภช
ที่นี่คือสถานที่พักผ่อนที่ราชวงศ์จัดสรรให้คนในสำนักกระบี่เทียมฟ้า
“ผู้อาวุโส ข้าสรุปได้ว่าบนตัวเด็กคนนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เย้ยฟ้าพลิกชะตาบางอย่างแน่ ไม่เช่นนั้นเขาซึ่งเป็นทารกก็น่าจะตายไปตั้งแต่ปีนั้นแล้ว ไม่มีทางครอบครองความสำเร็จเหมือนเช่นวันนี้เป็นอันขาด!”
ภายในห้อง ชิงเจ๋อมีท่าทางเย็นชา หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยแววอึมครึม คำพูดมาดมั่นหนักแน่น แต่กลับเจือความเคียดแค้นและไม่ยินยอมสายหนึ่ง
“นี่ก็คือสิ่งที่ชิ่งไป๋ให้เจ้าลองหยั่งเชิง?” ด้านข้าง กู้ตงถิงคล้ายกำลังขบคิด
ชิงเจ๋อร้องอืมคราหนึ่ง ท่าทียังคงเคร่งขรึม วันนี้ถูกหลินสวินสยบอย่างแข็งกร้าวภายใต้สายตาจับจ้องของธารกำนัล จนป่านนี้ยามนึกถึงก็ยังทำให้เขาแค้นจนแทบคลั่งขึ้นมา
“เย้ยฟ้าพลิกชะตา?”
กู้ตงถิงมุ่นคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี “ทารกที่สูญเสียชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดคนหนึ่ง ถูกลิขิตให้ตายก่อนวัยอันควร แม้ว่าบนโลกนี้จะมียาวิเศษโอสถวิญญาณที่พอช่วยชีวิตเขาได้ แต่ก็คงเป็นได้แค่คนพิการคนหนึ่ง ไม่อาจเหยียบย่างบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณได้เลยแม้แต่น้อย แต่เด็กคนนี้… ทำได้อย่างไรกัน”
ชิงเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้ากำลังโกหกหรือไร การต่อสู้ก่อนหน้านี้ท่านเองก็เห็นแล้ว เด็กคนนี้สามารถเอาชัยเหนือข้าด้วยปราณระดับหยั่งสัจจะ ในดินแดนรกร้างโบราณเกรงว่ายังแทบไม่มีใครทำได้ถึงขั้นนี้เลย!”
การยอมรับว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอ ยิ่งทำให้เห็นว่าตนไม่เอาไหนยิ่งกว่าโดยไม่ต้องสงสัย ชิงเจ๋อไม่ต้องการให้กู้ตงถิงเกิดความคิดอื่นใด
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
กู้ตงถิงส่ายหน้า นัยน์ตามีแสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน “หากเด็กคนนี้เป็นทารกในปีนั้นจริงๆ เช่นนั้นบางทีก็อาจเหมือนที่เจ้าคาดเดาเอาไว้ บนตัวเด็กคนนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เย้ยฟ้าพลิกชะตาบางประการ!”
กล่าวถึงจุดนี้เขาก็ลังเลเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าถึงขั้นสงสัยว่า เขาอาจสร้างชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!”
เพล้ง!
มือของชิงเจ๋อพลันสั่นจนถ้วยชาที่เพิ่งยกขึ้นตกลงพื้น แต่เขากลับเหมือนไม่รู้ตัว นัยน์ตามีแสงสีเขียวอันน่าสยดสยองพวยพุ่งออกมา กล่าวว่า “ต้องเป็นเช่นนี้แน่ หุบเหวกลืนกิน เดิมก็เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งที่ลึกลับที่สุดตั้งแต่บรรพกาล ศิษย์พี่อวิ๋นก็อาศัยพรสวรรค์นี้ในการเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาสัมบูรณ์เช่นกัน!”
เขาเว้นช่วงไปครู่ค่อยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “แต่เด็กนี่ก็เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาเช่นเดียวกัน นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญง่ายๆ ขนาดนั้นเป็นแน่!”
เห็นได้ชัดว่ากู้ตงถิงก็คาดเดาถึงจุดนี้เช่นกัน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สิ่งที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทำลงไปในจักรวรรดิจื่อเย่าเมื่อปีนั้นค่อนข้างไร้เกียรติ แม้แต่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังมีน้อยคนนักที่รู้ แต่นั่นไม่ได้รวมกู้ตงถิงและชิงเจ๋อ
ตรงกันข้ามพวกเขาสองคนต่างรู้ดีว่า ที่อวิ๋นชิ่งไป๋ประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ในดินแดนรกร้างโบราณ มีความเกี่ยวข้องกับชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่เขา ‘ได้รับมา’ ในปีนั้นอย่างแยกไม่ออก
ว่ากันตามจริง อวิ๋นชิ่งไป๋เดิมก็เป็นอัจฉริยะผู้ฝึกปราณที่มีพรสวรรค์โดดเด่นร่างกายเป็นเลิศอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าโดยกำเนิด
ทว่าถ้าไม่มี ‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด’ เส้นนั้น เขาเองก็คงไม่สามารถเหยียบย่างบนมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดสายนั้นซึ่งผู้อื่นเฝ้าฝันหาได้รวดเร็วขนาดนั้นเป็นอันขาด!
“ผู้อาวุโส ข้ามีคำขอที่ไม่คู่ควรประการหนึ่ง” ทันใดนั้นชิงเจ๋อเหยียดกายขึ้นเต็มความสูง จากนั้นถึงกับคุกเข่าลงต่อหน้ากู้ตงถิงเสียงดังปึง
นัยน์ตากู้ตงถิงหรี่ลง คล้ายคาดเดาบางอย่างได้ “เจ้า… หรือว่าก็คิดจะ…”
ดวงตาของชิงเจ๋อเปี่ยมด้วยความมาดมั่นและปรารถนา “ผู้อาวุโส อีกไม่นานเท่าไรมหาสงครามก็จะมาเยือนแล้ว ถึงตอนนั้นหมื่นผู้กล้าทั่วหล้ารวมตัว วีรชนร่วมวิถี หมื่นมรรคาประชันขันแข่ง ล้วนเพื่อแก่งแย่งมหาศุภโชคอันกลายเป็นอริยะ นั่นจะต้องเป็นมหายุครุ่งเรืองที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้า… ไม่อยากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง!”
กู้ตงถิงนิ่งเงียบไปสักพักค่อยกล่าวว่า “เรื่องนี้เกรงว่าข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้ ในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ แม้ข้าคิดช่วยก็ได้แต่มีใจทว่าไร้แรง”
ชิงเจ๋อรีบกล่าว “ตอนนี้แน่นอนว่าไม่เหมาะสม แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้ หลินสวินคนนี้ช้าเร็วก็ต้องมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ ถึงตอนนั้นข้ามีโอกาสล้นเหลือที่จะทำเรื่องนี้!”
กู้ตงถิงยังคงส่ายหน้า “เรื่องนี้เกรงว่าไม่เหมาะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากเท่าไรเพื่อหลอมรวมชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดนั้น ยิ่งกว่านั้นยามนี้หลินสวินผงาดกร้าว คิดจะแย่งชิงพรสวรรค์ของเขามาเป็นของตัว กลัวว่าคงยากยิ่งกว่ายาก”
ชิงเจ๋อยังคงมีท่าทีแน่วแน่ กล่าวว่า “ผู้อาวุโส สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านกังวล ขอเพียงท่านรับปากข้าหนึ่งเรื่องก็เพียงพอแล้ว”
“เรื่องใด”
ชิงเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือกแล้วกัดฟันกล่าวว่า “ปกปิดข่าวที่เกี่ยวกับหลินสวินคนนี้ โดยฉพาะกับศิษย์พี่อวิ๋นยิ่งไม่อาจเอ่ย”
กู้ตงถิงนิ่งขรึมไปทันที
บรรยากาศภายในห้องพลันเปลี่ยนเป็นควบแข็งขึ้นในบัดดล
“ผู้อาวุโส เผ่ากระเรียนเขียวของข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณใหญ่หลวงของผู้อาวุโสในครั้งนี้เป็นอันขาด อีกทั้งวันหน้าจะต้องตอบแทนเป็นเท่าตัวแน่!”
ชิงเจ๋อพลันเอ่ยต่อว่า “ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสใกล้จะเผชิญหน้ากับบททดสอบอมตะนพเคราะห์ ถ้าหากผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ก็สามารถไปข้ามด่านเคราะห์ที่เผ่ากระเรียนเขียวของข้าได้ เชื่อว่าหากบิดาของข้าทราบเรื่องนี้ จะต้องยินดีให้ผู้อาวุโสยืมใช้แดนศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าอย่างแน่นอน”
ดวงตาของกู้ตงถิงไหววูบอย่างไม่เป็นที่สังเกต ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้าขอร้องแน่วแน่ ครั้งนี้ข้าจะรับปากเจ้า ครั้งหน้าไม่มีอีกแล้ว”
ชิงเจ๋อกล่าวพลางโขกศีรษะทันใด “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!”
“เจ้า… วางแผนลงมือเมื่อใด” กู้ตงถิงอดถามไม่ได้
“ไม่รีบร้อน อย่างน้อยต้องรอให้เด็กคนนี้ไปถึงดินแดนรกร้างโบราณก่อน” ชิงเจ๋อยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยแววมั่นใจ
ในดินแดนรกร้างโบราณ ลำพังแค่พลังของเผ่ากระเรียนเขียวของเขา อย่าว่าแต่หลินสวินคนเดียวเลย แม้แต่การรับมือกับราชันแท้จริงผู้หนึ่งก็เป็นเรื่องเล็กจ้อย
กู้ตงถิงร้องอ้อคราหนึ่งแล้วกล่าวออกมากะทันหัน “ในมือเด็กคนนี้น่าจะมีศาสตราจิตเล่มหนึ่ง เฮ้อ ถ้าหากครอบครองสมบัติเช่นนี้แต่แรก เกรงว่าข้าคงเหยียบย่างบนเส้นทางข้ามอมตะเคราะห์ไปตั้งนานแล้ว”
ชิงเจ๋อเข้าใจโดยพลัน กล่าวว่า “ผู้อาวุโสไม่ต้องเสียดายไป รอยามที่จับกุมเด็กคนนี้ได้ ข้าย่อมต้องมอบศาสตราจิตนี้ให้ท่านอย่างรู้คุณด้วยตัวเอง”
กู้ตงถิงระเบิดหัวเราะขึ้นมาพลัน พยุงชิงเจ๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา “เจ้ามีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว”
ชิงเจ๋อก็ยิ้มเช่นกัน เพียงแต่ภายในใจกลับเจ็บปวดเล็กน้อย ลอบด่าว่ากู้ตงถิงคนนี้โลภมากเกินไปแล้ว ไม่เพียงต้องการยืมใช้แดนสมบัติของเผ่ากระเรียนเขียวของพวกเขาข้ามด่านเคราะห์ ยังคิดเขมือบศาสตราจิตเล่มนั้นอีกด้วย!
ทว่าไม่นานชิงเจ๋อก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ หากสามารถเหยียบย่างบนมรรคาเช่นเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ ค่าตอบแทนพวกนี้ยังนับเป็นอะไรอยู่อีกเล่า
‘หลินสวินหนอหลินสวิน เจ้าอย่าตายเป็นอันขาดเชียว ข้าจะรอให้เจ้ามาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ!’
ชิงเจ๋อพึมพำในใจ
เพียงแต่ชิงเจ๋อไม่รู้เลย วิธีการที่ปกปิดไม่ยอมแจ้งข้อมูลเช่นนี้ของเขา จับพลัดจับผลูกลายเป็นการช่วยหลินสวินสลายเคราะห์สังหารหนึ่งไปได้!
……
ชิงเจ๋อผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าถูกหลินสวินโจมตีอย่างแข็งกร้าวจนปราชัย!
นครต้องห้ามในวันนี้ตกสู่ความฮือฮาใหญ่ยิ่งจากข่าวนี้ เสียงเกรียวกราวดังขึ้นรอบทิศ พลุ่งพล่านถึงที่สุด
หลินสวินที่เงียบหายไปนานครึ่งปีทำให้ผู้คนตกใจอีกครั้ง ทำเอาขุมอำนาจทุกฝ่ายในนครต้องห้ามล้วนสั่นสะท้าน นั่งไม่อยู่สุขอย่างสิ้นเชิง
ขุมอำนาจบางส่วนที่เคยมีความแค้นกับตระกูลหลิน ต่างไม่มีใครไม่กังวลต่อเรื่องนี้ รับรู้ถึงความไม่มั่นคงยิ่งยวด หลินสวินเติบใหญ่รวดเร็วเกินไป และน่ากลัวเกินไป ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้อำนาจไร้กำลังเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ครอบครองพลังน่ายำเกรงและสะท้านสะเทือนอย่างที่สุด!
ส่วนขุมอำนาจที่ผูกมิตรกับตระกูลหลินต่างก็ลอบดีใจที่จับทางถูก ต่อจากนี้ขอเพียงหลินสวินเดินบนเส้นทางแห่งมหามรรคได้ไกลเท่าไร ก็จะยิ่งนำพาผลประโยชน์มากมายมาสู่พวกเขา
และในคืนนั้น วีรกรรมที่เกี่ยวกับการกรำศึกของหลินสวินในสมรภูมิกระหายเลือดภายใต้ชื่อ ‘หลินสือเอ้อร์’ ก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วท่ามกลางม่านรัตติกาล…
ตอนที่ 753 โชคชะตากลั่นแกล้งคน
โดย
ProjectZyphon
นครต้องห้ามใต้ม่านรัตติกาล แสงไฟสว่างไสว
ณ ตระกูลฉิน
คนใหญ่คนโตของสองตระกูลจั่วและฉินรวมตัวกันในโถงอย่างยากบังเกิด
เพียงแต่เมื่อเทียบกับบรรยากาศคึกคักเกรียวกราวของภายนอกแล้ว บรรยากาศภายในห้องโถงแห่งนี้กลับกดดันยิ่งนัก บรรดาบุคคลสำคัญเหล่านี้แต่ละคนต่างสีหน้าขรึมเคร่ง อัดอัดไปหมด
“น่าชังนัก! แม้กระทั่งผู้สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังกำราบเด็กนี่ไม่ได้ จักรวรรดิในภายภาคหน้า ใครยังทำอะไรเขาได้”
คนผู้หนึ่งกัดฟันกรอด โกรธแค้นสุดจะทน
“คาดการณ์ได้ว่ามีคนสำคัญของราชวงศ์หนุนหลัง ซ้ำยังมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างจักรพรรดิและราชันกระหายเลือดให้ท้ายอยู่ ต่อจากนี้หากภูเขาชำระจิตเกิดเภทภัยอะไร แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากสองตระกูลของพวกเรา ก็คงต้องหมายหัวมาที่พวกเราเป็นแน่!”
บางคนแสดงความเห็นแง่ร้ายต่อเรื่องนี้ ทอดอาลัยถอนหายใจยาว
เหล่าคนใหญ่คนโตสองตระกูลจั่วและฉินในที่แห่งนี้ต่างรู้ดี สิบกว่าปีก่อนพวกเขาสองตระกูลเคยทำเรื่องขัดขาตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตเอาไว้
เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยสักนิด ตระกูลหลินที่แต่เดิมล่มสลายไปแล้ว เหตุใดถึงได้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเพียงเพราะหลินสวินแค่คนเดียว
นี่เพิ่งจะกี่ปีเอง ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็พลิกโฉม ผงาดแข็งกร้าวขึ้นมาแล้ว ว่ากันในแง่อำนาจบารมี ทำเอาตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางบางส่วนยังถูกบดบังรัศมี ไม่สามารถเทียบเทียมกันได้
โดยเฉพาะวันนี้ ยามที่หลินสวินโจมตีจนชิงเจ๋อปราชัย ทำเอาพวกเขาสองตระกูลจั่วและฉินล้วนตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงข้อหนึ่ง…
จากนี้ไปหากหมายจะหยุดยั้งหรือกดดันตระกูลหลิน นั่นแทบจะไม่มีความหวังให้กล่าวถึงแล้ว!
“หลินสวิน!”
คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งเกลียดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่กี่ปีสั้นๆ ก็ยกประคองทั้งตระกูลหลินได้ด้วยตัวคนเดียว ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งอันตราย พาให้ผู้คนเกลียดชังมากเท่านั้น
“ท่านทั้งหลายอย่าได้ตื่นตระหนกไป พวกเราสองตระกูลยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ใช่ว่าเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะบดขยี้ได้”
บนที่นั่งประธาน ผู้นำตระกูลฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก เอ่ยเสียงทุ้ม “ถึงพวกเราไม่อาจทำอะไรเด็กนี่ได้ชั่วคราว แต่ในขณะเดียวกัน เด็กคนนี้ก็ไม่อาจทำอะไรพวกเราได้”
เขาหยุดไปครู่ค่อยเอ่ยต่อ “คิดว่าทุกท่านต่างรู้ดี ตั้งแต่เด็กคนนี้ถือกำเนิดก็เป็นศัตรูกับสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้ว คาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้เขาต้องเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เพื่อแก้แค้นให้พ่อแม่และเครือญาติแน่นอน ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องให้พวกเรากังวลใจแล้ว ลำพังแค่สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เพียงพอจะทำให้เด็กนี่ลำบากตรากตรำ กระทั่งดับสิ้นด้วยเหตุนี้ได้แล้ว!”
การวิเคราะห์นี้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญไม่น้อยในที่แห่งนี้ จึงพาให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ความจริงแล้วต่อให้หลินสวินจะเย้ยฟ้ามากเพียงใด แต่อาศัยเพียงพลังในปัจจุบันก็ไม่สามารถสั่นคลอนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสองตระกูลของพวกเขาได้แม้แต่น้อย
ยิ่งกอปรกับเขามีศัตรูมากมาย ขอเพียงย่างเข้าดินแดนรกร้างโบราณ ย่อมประสบกับการกดดันจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน!
สำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นถึงสำนักเก่าแก่ที่หยัดยืนมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ความเนิ่นนานแห่งกาลเวลา ความแน่นหนาในรากฐาน ถึงขั้นที่ไม่สามารถจินตนาการได้
หากหมายจะทำลายเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คงไม่มีอะไรง่ายกว่านี้แล้ว!
“จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ตอนที่เด็กนี่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ยังเคยสังหารผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ และด้วยเหตุนี้จึงได้ผูกพยาบาทกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!”
มีคนโพล่งขึ้นมาฉับพลัน “อิทธิพลและรากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้าเลยแม้แต่น้อย”
“ข้าเองก็นึกขึ้นได้เหมือนกัน ว่าเมื่อครึ่งปีก่อนเคยมีบุคคลชั้นสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาเยือนสำนักศึกษามฤคมรกต แต่เจ้าเด็กหลินสวินนี่กลับอาละวาดในตอนนั้น ทำร้ายผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปหลายคน”
ชั่วขณะระหว่างนั้น เหล่าคนใหญ่คนโตบางส่วนต่างพากันเอ่ยปาก วิเคราะห์ขุมกำลังที่หลินสวินเคยผูกพยาบาทในอดีต
พวกเขาพูดกันคนละคำคนละประโยค ยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิมและผ่อนคลาย ความเคียดแค้นที่แต่เดิมสะสมอยู่ในใจก็พลอยหายไปด้วย
ท้ายที่สุดพวกเขาได้ข้อสรุปว่า เจ้าเด็กหลินสวินคนนี้ผูกแค้นมากเกินไป ภายภาคหน้าต้องมีคนมาเก็บเขาแน่ ไม่ต้องให้พวกเขากังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย
และในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ ด้วยอำนาจในปัจจุบันที่หลินสวินและตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตมี ยังไม่สามารถสั่นคลอนตระกูลจั่วและฉินของพวกเขาได้สักนิด
นี่มีความหมายว่าภัยคุกคามทั้งหมดจากหลินสวิน อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ ข้าแทบอยากให้เด็กนี่ออกจากจักรวรรดิไปดินแดนรกร้างโบราณไวๆ เสียแล้ว ที่แห่งนั้นมีสำนักเก่าแก่เรียงราย หมื่นเผ่าร่วมอยู่ ผู้แข็งแกร่งแหวกว่ายดุจฝูงปลา กว้างใหญ่ไพศาล ลำพังแค่ความสามารถของเจ้าเด็กนั่น ขืนยังล่วงเกินสำนักโบราณมากมายขนาดนั้นอีก กลัวแต่ว่าจะตายโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายอย่างไรแล้ว”
“ข้าเองก็ตั้งตารอเหมือนกัน ตั้งแต่ก่อนหน้าจนถึงบัดนี้ เจ้าเด็กนี่ก็อาละวาดทำตัวคับฟ้า กล้าได้กล้าเสีย สร้างปัญหาวุ่นวายตั้งไม่รู้เท่าไร เป็นพวกอยู่ไมสุขชัดๆ หากเขาไปดินแดนรกร้างโบราณ ไม่รู้ว่าจะล่วงเกินใครไปอีกมากน้อย”
บรรยากาศภายในห้องโถงยิ่งผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ ต่างรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นยิ่งนัก
“รายงาน!”
ทันใดนั้นนอกห้องโถงมีข้ารับใช้ตระกูลจั่วคนหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน เหงื่อเม็ดเป้งท่วมศีรษะ กล่าวรายงานอย่างละล่ำละลัก “ผู้นำตระกูล เพิ่งมาข่าวแพร่ออกมาว่าครึ่งปีนี้ที่หลินสวินคนนั้นเงียบหายไป ก็เพราะไปอาละวาดที่สมรภูมิกระหายเลือดขอรับ!”
คนใหญ่คนโตของสองตระกูลที่ ณ ที่นั้นต่างอึ้งงัน สับสบงงงวย นี่มีอะไรควรค่าแก่การเอะอะมะเทิ่งกัน
“ลองพูดรายละเอียดมา”
ผู้นำตระกูลฉินเอ่ยปากเสียงทุ้ม
ข้ารับใช้ปาดเหงื่อไปพลางกล่าวด้วยความรวดเร็วไปพลาง “เมื่อครู่นี้ทั้งนครต้องห้ามต่างมีข่าวแพร่กระจายไปทั่ว ว่าหลินสวินคนนั้นฆ่าราชันกึ่งระดับหลายคนในสมรภูมิกระหายเลือดด้วยตัวคนเดียว…”
ข้ารับใช้เริ่มสาธยายผลงานอันโดดเด่นของหลินสวินในสมรภูมิกระหายเลือด
และในระหว่างนี้ สีหน้าของเหล่าคนใหญ่คนโตในสองตระกูลจั่วและฉินต่างแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมา ความผ่อนคลายและสะใจที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบากก่อนหน้านี้พลันติดปีกลอยหายไปด้วยเช่นกัน
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเนื้อข่าว เหตุที่ทหารในสมรภูมิกระหายเลือดสามารถหยัดยืนอยู่ได้จนถึงเวลาเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิ ก็เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงของหลินสวิน!”
ตอนที่ข้ารับใช้กล่าวถึงตรงนี้ บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัดหาใดเปรียบ อึดอัดจนแทบทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
พวกเขาไหนเลยจะคาดคิดว่าครึ่งปีนี้ที่หลินสวินเงียบหาย ที่แท้ดันไปอาละวาดใหญ่โตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ ‘เหี้ยมโหดนองเลือด’
ง้างธนูสังหารราชันกึ่งระดับ!
ใช้กำลังตัวคนเดียวห้อตะบึงในสนามรบ สะท้านขวัญเหล่าศัตรู!
เหรียญกล้าหาญที่ได้รับมามีมากมาย จนติดอันดับสามในกระดานเหรียญกล้าหาญของค่ายทัพ!
ยิ่งถูกศัตรูใส่ชื่อไว้ในหมายจับกระดานโลหิตเป็นลำดับที่สาม!
…ที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดคือ ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ถึงกับยืมธนูและศรคู่หนึ่งในมือหลินสวิน บีบให้ค่ายทัพเผ่าพ่อมดเถื่อนไม่อาจไม่ยุติการต่อสู้!
วีรกรรมและความสำเร็จโดดเด่นเป็นพรวนนี้ประหนึ่งสายฟ้าสะเทือนสวรรค์สายแล้วสายเล่าชัดๆ ทำเอาบุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินต่างรู้สึกเหมือนไม่สมจริง อึ้งงันอยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง
ส่วนข้ารับใช้ที่มารายงานข่าวสีหน้าลนลานไปตั้งแต่ต้นแล้ว เหงื่อไหลท่วมกาย ตัวสั่นงันงก บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัดและอึดอัดเกินไป ให้ความรู้สึกที่ทำเอาเขาแทบหายใจไม่ออก
สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักอย่างว่องไวว่าข่าวที่ตนรายงานได้สร้างความสั่นสะเทือนอย่างมากต่อคนใฟญ่คนโตในที่นี้ สภาพจิตใจในตอนนี้…
จะต้องย่ำแย่หาใดเปรียบแน่!
“เด็กนี่… เป็นมารปีศาจจริงๆ!”
เนิ่นนานผู้นำตระกูลฉินก็ทอดถอนใจออกมา บอกไม่ถูกว่ายกย่องหรือชิงชังกันแน่ สภาพอารมณ์ซับซ้อนยิ่งนัก
จากนั้น เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “ทุกท่านไม่ต้องกังวลใจ ท้ายที่สุดเขาก็จะออกจากจักรวรรดิไปดินแดนรกร้างโบราณอยู่แล้ว ยิ่งเขาเย้ยฟ้ามากเท่าใด ความลำบากและพ่ายแพ้ที่ต้องประสบก็ยิ่งโหดเหี้ยมมากเท่านั้น อาจตายก่อนวัยอันควรได้ทุกเมื่อ”
เหล่าคนใหญ่คนโตที่อยู่ตรงนั้นพยักหน้าอย่างเงียบๆ ชั่วขณะนี้พวกเขาก็ได้แต่ปลอบใจเช่นนี้เท่านั้น
ตูม!
แต่ยามนี้จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้นอีกครั้ง พลันได้ยินเสียงกึกก้องปานสะเทือนฟ้าดังขึ้นด้านนอกโถง
“ถึงขั้นมีคนบังอาจบุกเข้ามาในประตูภูเขาแห่งตระกูลฉินของข้าเชียวรึ!”
ผู้นำตระกูลฉินหยัดตัวขึ้นดังพรึ่บ ผมและหนวดเคราชูชัน วันนี้เพราะหลินสวินคนเดียวก็ทำให้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่หาใดเปรียบอยู่แล้ว
และตอนนี้หน้าประตูภูเขาตระกูลฉินกลับเกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน คล้ายมีคนคิดบุกเข้ามาด้านใน สิ่งนี้จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร
“ข้าอยากเห็นนักว่าใครกันแน่ที่มันบังอาจสามหาว!”
“กี่ปีแล้ว พวกเราสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไม่เคยเกิดเหตุการณ์พรรค์นี้มาก่อน แต่วันนี้กลับเกิดเหตุผันผวนไม่หยุดหย่อน เห็นว่าพวกเราสองตระกูลรังแกได้ง่ายจริงๆ หรือ”
บุคคลสำคัญคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็หัวเสียด้วยเช่นกัน
พวกเขาเป็นเหมือนกับผู้นำตระกูลฉิน ในใจมีไฟสุมถึงที่สุดเพราะหลินสวิน และมันระเบิดออกมาอย่างสิ้นเชิงในเวลานี้
พวกเขาจำเป็นต้องระบายออกมา ไม่เช่นนั้นคงอัดอั้นไม่ไหวแน่ๆ!
“ผู้นำตระกูล ท่านผู้นำ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ด้านนอกห้องโถง ข้ารับใช้บางส่วนวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น ใบหน้าเหมือนจะร่ำไห้ ประหนึ่งฟ้าถล่มก็ไม่ปาน
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ แตกตื่นเช่นนี้มันใช่เรื่องหรือ”
ผู้นำตระกูลฉินโกรธจนนึกอยากเตะเจ้าสารเลวพวกนี้ให้ตาย ไม่รู้จักสงบอารมณ์เสียเลย น่าขายหน้าถึงที่สุด หากแพร่ออกไปคงไม่พ้นทำให้ทั้งจักรวรรดิหัวเราะเยาะ
เพียงแต่ครู่ต่อมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน มีท่าทีเหมือนถูกอสนีบาต กล่าวเสียงขาดห้วง “ปะ… เป็นท่านได้อย่างไร”
ท่าทีของเขาในเวลานี้ เมื่อเทียบกับข้ารับใช้ที่ตื่นตูมเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร เห็นได้ว่าสภาพอารมณ์ของเขาในตอนนี้สูญเสียการควบคุมมากเพียงใด
ไม่เพียงเขา เวลานี้บุคคลสำคัญในห้องโถงต่างมีท่าทางไม่อยากเชื่อ จ้องไปที่นอกโถงด้วยความกังขา
นอกห้องโถง มีเงาร่างเพรียวยาวสายหนึ่งยืนอยู่ สวมเสื้อคลุมกระเรียนสีดำทั้งตัว เรือนผมยาวดำสนิทมัดเป็นมวย นัยน์ตากระจ่าง ริมฝีปากแดงเอิบอิ่ม เรียวฟันเปล่งปลั่ง รูปโฉมงดงามล่มเมือง
ยืนอยู่ตรงนั้น ทรงสง่าไม่มีใครเทียบได้
จ้าวซิงเย่!
จอมทัพหญิงเพียงคนเดียวของจักรวรรดิ ทั้งยังมีฉายาว่า ‘ราชินีกระหายเลือด’ เป็นบุคคลน่ากลัวคนหนึ่งในหมู่ราชันอย่างสิ้นเชิง
นางกรำศึกอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดมาหลายปี แม้ไม่ใคร่ปรากฏตัวในจักรวรรดิ แต่ข่าวที่เกี่ยวกับนางก็ไม่เคยเงียบหายไป!
โดยเฉพาะเหล่าคนใหญ่คนโตที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้ดีว่าจ้าวซิงเย่ยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือน้องสาวแท้ๆ ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน!
สาวงามนางหนึ่งที่มีพลังปราณน่าสะพรึง แข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา อีกทั้งฐานะยังสูงศักดิ์เช่นนี้ กลับบุกเข้ามาในประตูภูเขาของตระกูลฉินในราตรีนี้ อีกทั้งนางมาด้วยเหตุใดเล่า
“หลินสวิน!?”
ไม่นานก็มีคนส่งเสียงโพล่งขึ้น ลูกตาเกือบหลุดออกมา มองเห็นว่าเบื้องหลังจ้าวซิงเย่ไม่ไกลนักยังมีเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นหลินสวินนั่นเอง
จากนั้นบุคคลสำคัญทั่วห้องโถงต่างมีท่าทีเลิ่กลั่กเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ ไหนเลยจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่พวกเขาเคียดแค้นมากที่สุดถึงกับปรากฏกายอยู่ต่อหน้าทั้งอย่างนี้!
แล้วเขา… มาด้วยเหตุใด
คงไม่ใช่คิดยืมอำนาจของจ้าวซิงเย่มาแก้แค้นหรอกกระมัง
ในสมองของคนตระกูลจั่วและฉินต่างผุดความคิดอย่างเดียวกันขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่สงบขึ้นมาตามๆ กัน
ก่อนหน้านี้พวกเขายังหาข้ออ้างปลอบใจตัวเองได้ คิดว่าขอเพียงหลินสวินเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ก็คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรต่อพวกเขาอีกแล้ว
แต่ใครเลยจะคาดคิด ชั่วพริบตาเดียวเด็กหนุ่มที่ทำให้พวกเขาทั้งปวดหัวและกริ่งเกรงคนนี้ กลับมาอยู่ต่อหน้าทั้งอย่างนี้
นี่มันโชคชะตากลั่นแกล้งคนชัดๆ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น