Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 738-751
ตอนที่ 738 การโจมตีที่ตะลึงโลก
โดย
ProjectZyphon
คำพูดของหลินสวินเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูก แต่เขากลับพูดอย่างสบายๆ สีหน้าเรียบเฉย ท่าทางแบบนั้นดูน่ารังเกียจมากในสายตาของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน
“ไอ้ลูกหมาเผ่ามนุษย์ เจ้าอยากตายจนรอไม่ไหวแล้วสินะ! ยังไม่รีบไสหัวมารับความตายอีก” ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนอัคคีที่อารมณ์ร้อนคนหนึ่งตะเบ็งเสียง
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ ก็ต่างสีหน้าอึมครึม นัยน์ตาเผยไอสังหาร
หลินสือเอ้อร์!
ช่วงที่ผ่านมาเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ผงาดขึ้นมาคนนี้ นำพาเงามืดและผลกระทบสู่ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนมากเกินไปแล้ว
เดิมทีเท่านี้ก็เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงแล้ว ใครจะคิดว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะแก้แค้นล้างความอับอาย เจ้าเด็กนี่กลับมาด้วยตัวเองแล้ว
และท่าทีใหญ่โตหยิ่งผยองอย่างที่สุด ไม่เห็นพวกเขาในสายตาเลยสักนิด นี่มันน่าชิงชังเกินไปแล้ว
“ตะโกนอะไร แน่จริงก็เข้ามารับความตาย ไม่แน่จริงก็อย่าส่งเสียง”
หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาที่ตั้งตระหง่าน มองลงมายังผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่มารวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางยังคงดูถูกและเหยียดหยาม
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
ผู้แข็งแกร่งมหาเวทจากสายคนเถื่อนอัคคีโกรธจัด ถูกคนมาท้าทายถึงที่ หากไม่ตอบสนองสักหน่อย นั่นเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ายิ่ง
ตูม!
ฝ่าเท้าของเขากระทุ้งพื้น เงาร่างพลันลอยขึ้นกลางอากาศ ยกแขนขว้างกงล้อบินกระดูกขาวที่ล้อมด้วยแสงไฟไปทางภูเขาที่หลินสวินยืนอยู่
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ หรี่ตา จ้องอย่างไม่วางตา
แม้จะถูกท้าทาย พวกเขาก็ยังคงรักษาความเยือกเย็น รู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องวันนี้ดูแปลกประหลาด เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง แม้ที่ผ่านมาเคยสร้างชื่อเสียงดุดันเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็หัวเดียวกระเทียมลีบ กลับกล้ามาท้าทายถึงอาณาเขตของพวกเขา แบบนี้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
เจ้าหมอนี่โง่หรือ
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
ถ้าอย่างนั้นการกระทำเช่นนี้ของเขาก็ดูผิดปกติอยู่บ้าง!
“ช่างไม่รู้ที่ตาย”
บนยอดเขาหลินสวินยิ้มเยาะ ไม่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวแต่อย่างไร คมดาบที่เจิดจ้าแทบจะโปร่งแสงโฉบออกมาราวกับดาบเซียนวิญญาณเหินเล่มหนึ่ง
ฉึบ!
กงล้อบินกระดูกขาวนั่นถูกผ่าเป็นสองซีกในทันที ระเบิดกลายเป็นละอองแสงซ่านเซ็น
ฉัวะ!
และในเวลาเดียวกันนั้น คมดาบเจิดจ้าพริบไหวกลางอากาศเบาๆ เสียงพรูดดังออกมาคราหนึ่ง ชั่วพริบตาเท่านั้นก็บั่นคอของผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทจากสายคนเถื่อนอัคคีที่ลอยตัวขึ้นกลางอากาศจนขาด
เร็วเกินไปแล้ว!
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ตัดคอผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งราวกับหั่นผัก!
เหล่าผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่จ้องอย่างไม่วางตาในตอนแรก ในใจต่างกระตุกวูบขึ้นมาคราหนึ่ง ดวงตาเบิกโพลง
ซ่า…
เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากลำคอของผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนอัคคีที่ตายไปแล้ว ราวกับน้ำตกในฤดูใบไม้ผลิที่ไหลเชี่ยวกราก งดงามแต่แฝงความเจ็บปวดและน่าสยดสยอง
ก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นยังโกรธแค้น คิดว่าการถูกหลินสวินมาท้าทายถึงที่โดยลำพังเป็นความอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้หัวใจพวกเขากลับหนาวเยือก ตกใจกับภาพนี้
พวกเขารู้ตั้งนานแล้วว่า สาเหตุที่ก่อนหน้านี้หลินสวินสามารถสังหารราชันกึ่งระดับได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะใช้คันธนูและศรที่มีที่มาลึกลับคู่นั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าหากไม่มีคันธนูและศรคู่นี้ พวกเขาก็ไม่กลัวหลินสวิน
แต่ทว่าภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า กลับล้มล้างความคิดของพวกเขา ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึง!
ไม่มีความช่วยเหลือจากคันธนูและศรคู่นั้น เจ้าหลินสือเอ้อร์คนนี้ก็ยังสามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของฝั่งพวกเขาได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว นี่…
น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
ณ ที่นั้นเงียบลงชั่วขณะ โชคดีที่พลังปราณของเหล่าผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่อยู่ ณ ตรงนั้นแทบจะมากกว่าระดับมหาเวททั้งหมด และไม่ขาดราชันกึ่งระดับ
ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่น กลัวว่าคงตกใจกับการโจมตีนี้จนใจต่อสู้สลาย หนีเตลิดไปแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สีหน้าของพวกผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่อยู่ตรงนั้นก็ยังคงดูอึมครึมและย่ำแย่
พวกเขาทุกคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นระดับหัวหน้าของค่ายทัพพ่อมดเถื่อน เป็นเสาหลักกลางกระแสชล แม้ไม่สามารถเทียบสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้ แต่ก็เพียงพอที่จะเรียกว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ แล้ว
แต่ตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกเขาอยู่ด้วยกันมากขนาดนี้ ไม่เพียงไม่ได้ทำให้คู่ต่อสู้ตื่นตระหนก กลับถูกคู่ต่อสู้สังหารพวกพ้องคนหนึ่งของพวกเขาอย่างง่ายดายคาตา จะไม่ให้พวกเขาโกรธได้อย่างไร
“ดูสิ ข้าบอกแล้วว่าพวกเจ้าสู้ไม่ได้ ก็ยังจะกระโดดออกมารนหาที่ตาย จะโทษใครได้”
บนยอดเขาหลินสวินถอนหายใจเบาๆ สองมือไพล่หลัง เงาร่างสง่างาม เสื้อผ้าโบกพัดเกิดเสียงดังท่ามกลางสายลม มีกลิ่นอายสันโดษไม่แปดเปื้อน
แต่ท่าทางเช่นนี้ของเขา กลับทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นยิ่งรู้สึกว่าน่าชิงชังและหยิ่งผยอง
“ไอ้หนู นี่คืออาณาเขตของค่ายทัพพ่อมดเถื่อน ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหนกันแน่ ถึงกล้าเข้ามาล่วงเกินเพียงลำพัง”
ราชันกึ่งระดับคนหนึ่งก้าวออกมา สีหน้าเคร่งขรึม เขามาจากสายคนเถื่อนพฤกษา นามว่าชิงเฮ่อ
นี่คือจุดที่พ่อมดเถื่อนทุกคนรู้สึกว่าผิดปกติ มิฉะนั้นมีหรือพวกเขาจะหยุดนิ่งรอดูสถานการณ์ดังเช่นตอนนี้ คงพุ่งออกไปล้อมโจมตีหลินสวินตั้งนานแล้ว
หลินสวินปรายตามองชิงเฮ่อแล้วเอ่ย “ไอ้แก่ เจ้าถอยไปเถอะ ด้วยความสามารถของเจ้าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามข้าด้วยซ้ำ”
กําเริบเสิบสาน!
พอคำพูดนี้ออกมา ราชันกึ่งระดับอย่างชิงเฮ่อยังโกรธจนหนังตากระตุกรัว เผยไอสังหาร อยากจะสะบัดมือไปตบไอ้ระยำที่ยืนพูดจาเหิมเกริมอยู่บนยอดเขาให้ตายในฝ่ามือเดียวจนแทบทนไม่ไหว
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ ก็โกรธจนเกือบเสียการควบคุม แม้แต่ราชันกึ่งระดับยังไม่มีสิทธิ์งั้นหรือ ไอ้เด็กนี่ปากดีจริงๆ!
ยามนี้ชิงเฮ่อเดือดดาลจนกลายเป็นหัวเราะออกมา “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีความคิดอะไร วันนี้ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ต่อเถอะ!”
ตูม!
เขาก้าวออกมา สายตาราวกับคมดาบ ร่างผอมแห้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าหวั่นหวาด ไอสังหารไร้รูปเหมือนกระแสน้ำปกคลุมฟ้าดิน
และในเวลาเดียวกันนั้นราชันกึ่งระดับอีกสามคนก็ออกมา สีหน้าไม่เป็นมิตร บีบเข้าใกล้หลินสวินจากทิศทางที่ต่างกัน
พวกเขาดูระมัดระวัง คิดว่าหลินสวินมาคราวนี้ไม่ได้มารนหาที่ตายอย่างแน่นอน จะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างแน่
ดังนั้นแม้ตอนนี้จะรับมือกับเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสวิน แต่พวกเขาไม่เพียงระมัดระวังมาก ยามเคลื่อนไหวยังเป็นราชันกึ่งระดับถึงสี่คนลงมือในคราเดียว!
นี่ถ้าแพร่ออกไป จะต้องตกใจกันทั่วหน้าอย่างแน่นอน ใช้กำลังขนาดนี้ในการเล่นงานเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนใครจะเคยเห็นเรื่องแบบนี้
บนยอดเขาหลินสวินมองดูเงียบๆ สายตาแฝงแววประหลาด ในใจกลับไม่ค่อยพอใจ เหตุใดจนขนาดนี้แล้ว ยังไม่เห็นราชันพ่อมดเถื่อนปรากฏตัว
หลินสวินเพิ่งคิดถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงตู้มดังขึ้น ฟ้าดินเกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง!
ราวกับพายุปั่นป่วน ยิ่งเหมือนเทพมารกำลังคำรามอย่างเดือดดาล พลานุภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนทั้งหมดสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพร้อมเพรียง
มีแผนร้ายจริงๆ ด้วย!
ชิงเฮ่อและราชันกึ่งระดับอีกสามคนที่โจมตีด้วยกันชะงักฝีเท้าแทบจะพร้อมกัน ยิ้มเยาะในใจ พวกเขาเดาถูกแล้ว เจ้าเด็กนี่กล้ามาคนเดียว เพราะมีแผนการอื่นตามคาด!
เพียงแต่ไม่นานสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ตกใจจนขวัญแทบบินหนี
ในครรลองสายตา แสงสีดำราวกับคมดาบแหลมคมไร้เทียมทานหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
ห้วงอากาศถูกฉีกทึ้งจนแหลกละเอียด กลายเป็นความปั่นป่วน ส่งเสียงครวญแหลมเสียดแก้วหู
ฟ้าดินผืนนี้ตกอยู่ท่ามกลางความสั่นสะเทือนปานทำลายล้าง เป็นเหมือนกล่องใบหนึ่งที่ถูกแสงสีดำนั่นทะลวงผ่าน บดขยี้อย่างรุนแรงจนแทบจะพังทลายและระเบิด
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ท่ามกลางความปั่นป่วน ถึงขั้นสามารถมองเห็นว่า ในพื้นที่อันไกลโพ้นปรากฏเงาร่างใหญ่โตไร้เทียมทาน เท้าย่ำตะวันจันทราดารา ง้างธนูเคลื่อนจักรวาล
แสงสีดำนั่นคือศรเทพที่ถูกยิงออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่อานุภาพดุดันของมันน่าพรั่นพรึงเกินไป ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างมากมาย!
แย่แล้ว!
ชิงเฮ่อและกลุ่มราชันกึ่งระดับรวมทั้งผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนต่างอกสั่นขวัญหนีไปชั่วขณะ ตะลึงอย่างสิ้นเชิง ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
ภายใต้อานุภาพที่ดุดันคับฟ้านี้ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเกิดความคิดต่อต้านและหลบหนี และต้านทานไม่ไหวจริงๆ!
นี่มันลูกศรอะไรกัน
ราวกับสามารถสะเทือนกาลเวลา ทะลวงผ่านสรรพสิ่ง ทำให้สวรรค์และธารดารามืดสลัวและจมดิ่งลง!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาทุกคนงงงวยคือ ศรเทพสีดำนั่นกลับไม่ได้เล็งมาที่พวกเขา แต่กะพริบวาบกลางอากาศแล้วเคลื่อนไปยังด้านหลังพวกเขา
ความเร็วและพลังที่น่าสะพรึงกลัวไร้เทียมทานนั่น เพียงแค่เสียงที่เกิดจากการทะลวงอากาศ ก็สะเทือนจนผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนตาพร่า จิตวิญญาณเหมือนจะแตกออกจากกัน เลือดลมปั่นป่วน
แต่พวกเขาไม่อาจไปสนใจสิ่งเหล่านี้!
แทบจะหันกลับไปโดยพร้อมเพรียงอย่างไม่ได้นัดหมาย
ศรที่น่าตะลึงนี้เล็งไปหาใครกันแน่
ตูม!
พูดแล้วดูเหมือนช้า แค่ความจริงนั้นรวดเร็วยิ่ง ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นในใจของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ก็พลันเห็นว่าด้านหลังในบริเวณอันไกลโพ้นเกิดเสียงระเบิดน่ากลัว
ที่นั่นราวกับภูเขาไฟนับแสนระเบิด กระแสอากาศพวยพุ่งขึ้นทะลวงฟ้า ทำให้ชั้นเมฆระเหยหาย ห้วงอากาศถูกเผากลายเป็นหลุมดำ
และท่ามกลางระเบิดที่ตะลึงโลกนี้ กลับมีร่างหนึ่งคำรามอยู่ในนั้นด้วยเสียงที่กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
นั่นเป็นเสียงโหยหวนก่อนตาย เต็มไปด้วยความเดือดดาล ตะลึงและไม่จำยอม ยิ่งมีความงงงวยสุดจะพรรณนา
ราวกับคิดไม่ถึงว่าตนจะถูกยิงสังหารเช่นนี้!
ฟ้าดินกำลังสั่นสะเทือน กระแสลมแล่นปั่นป่วน หินทรายปลิวว่อน แม้จะห่างกันแสนไกล แต่ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนยังคงอึ้งงันอยู่กับที่ อกสั่นขวัญหนี ตัวสั่นระริก แทบจะทรุดอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ราชันนภาเพลิง!
ไม่ต้องคาดเดา ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ก็จำได้ว่าร่างที่ตายไปคือราชันนภาเพลิง สัตว์ประหลาดเฒ่าแห่งสายคนเถื่อนอัคคี
เมื่อตอนอยู่ป่าต้นหม่อน ราชันนภาเพลิงเคยบาดเจ็บสาหัส แต่ถึงอย่างไรก็รอดชีวิตกลับมาได้ และหลังจากรักษาตัวอยู่สักระยะ อาการของเขาก็ดีขึ้นมาก
เพียงแต่ไม่เคยคิดว่า เขารอดพ้นจากการเข่นฆ่าในป่าต้นหม่อนมาแล้ว กลับไม่รอดพ้นศรน่ากลัวไร้เทียมทานนั่น ถูกสังหารคาที่!
ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นราชันคนหนึ่ง จะตายแบบนี้ได้อย่างไร
ทุกคน ณ ที่นั้นเงียบสงัด อึ้งงันอยู่กับที่
แม้แต่หลินสวินเองในใจก็อดสั่นสะเทือนไม่ได้ เขาฝึกปราณถึงตอนนี้ก็เคยเห็นภาพที่ราชันร่วงหล่นมามากมาย แต่ทุกครั้งที่เห็น ยังคงทำให้เขาไม่สามารถสงบใจได้
ถึงอย่างไรบุคคลที่น่ากลัวอย่างระดับราชัน ไม่ว่าจะในจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน ล้วนแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ปานเสาเข็มใต้ทะเล มีจำนวนน้อยมาก ฆ่าได้คนหนึ่งก็ลดไปคนหนึ่ง
แต่หลินสวินนับดูแล้ว หากไม่นับราชันอำพันทองที่ตายในป่าต้นหม่อน ช่วงที่ผ่านมานี้แค่ในฝั่งพ่อมดเถื่อนก็มีราชันตายไปสามคนแล้ว!
ราชันวิญญาณเขียวถูกจ่างซุนเลี่ยฆ่า
ส่วนจินเจาสุ่ยและราชันนภาเพลิงที่อยู่ตรงหน้าถูกจ้าวซิงเย่ฆ่า
ราชันสามคนตายในรวดเดียว สำหรับค่ายทัพพ่อมดเถื่อนแล้ว ย่อมส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน!
‘บางทีคงมีเพียงวิธีนี้ จึงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์อันตรายที่ค่ายจักรวรรดิเผชิญอยู่ตอนนี้ได้กระมัง…’
ตอนนี้หลินสวินเข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว และตระหนักได้ว่าเหตุใดจ้าวซิงเย่ต้องยืมใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม
ตอนที่ 739 การก้มหัวจากพ่อมดเถื่อน
โดย
ProjectZyphon
ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัด ร่างอันสง่างามของจ้าวซิงเย่ปรากฏขึ้น
ดวงตาคู่งามของนางลึกล้ำปานมหาสมุทร กวาดมองไปทั่ว ความกดดันที่ยากพรรณนาก็แผ่กระจายตามออกมา
ราชินีกระหายเลือด!
ตอนที่จำฐานะของจ้าวซิงเย่ได้ ชิงเฮ่อและกลุ่มผู้แข็งแกร่งหัวใจตกไปอยู่ตรงตาตุ่มอย่างสิ้นเชิง สีหน้าซีดเซียว
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลินสือเอ้อร์ถึงเหิมเกริมเช่นนี้ และเข้าใจแล้วว่าเหตุใดศรธนูนั่นจึงมีอานุภาพที่ตะลึงโลกไร้เทียมทานเช่นนี้
ทุกอย่างล้วนเพราะผู้หญิงคนนี้คนเดียว!
ผู้หญิงอันตรายที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนมานานนับพันปี!
พวกเขามั่นใจว่าแม้จะเผชิญหน้ากัน ราชันนภาเพลิงคงจะไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้ได้
“กลับไปบอกราชันกู่เจินว่า หลังจากนี้ถ้ามีบุคคลระดับราชันกล้าเข้าไปกำเริบเสิบสานในค่ายจักรวรรดิอีก ก็อย่าโทษว่าข้าตาต่อตาฟันต่อฟัน!”
เหนือความคาดหมายของทุกคน จ้าวซิงเย่ไม่ได้โจมตีต่อ แต่หลังจากพูดทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่งก็พาหลินสวินหมุนตัวจากไป
สังหารราชันภายในธนูเดียว จากนั้นพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งก็จากไปอย่างคนบรรลุเป้าหมาย!
พวกชิงเฮ่อมองจ้าวซิงเย่และหลินสวินจากไป ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปขวาง ถึงขั้นที่ไม่กล้าพูดจา บรรยากาศดูเงียบงันผิดปกติ
……
ในวันนั้นที่ค่ายพ่อมดเถื่อน
ภายในกระโจมหลังหนึ่ง ชายชราในชุดหนังสัตว์ รูปร่างค่อมโก่ง ผมบางประปราย ดูชราอย่างมาก เมื่อได้ยินคำเตือนจากจ้าวซิงเย่ เขาก็ดูเงียบมากเช่นกัน
เนิ่นนานเขาจึงถอนหายใจเบาๆ เอ่ยเสียงแหบพร่าและทุ้มต่ำ “ศรธนูพลิกฟ้า! จ้าวซิงเย่!”
ภายในกระโจมยังมีบุคคลชั้นยอดของเผ่าพ่อมดเถื่อนนั่งอยู่ โดยระดับที่ต่ำที่สุดคือราชันกึ่งระดับ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่น้อย
เพียงแต่ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาดูอึมครึมมาก
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงถอดถอนใจของชายชรา สีหน้าของพวกเขายิ่งมืดทะมึนจนแทบจะมีน้ำหยดลงมาได้แล้ว
ภายในวันเดียว จินเจาสุ่ยราชันสายคนเถื่อนทองคำถูกฆ่า ราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคีก็ถูกฆ่า และต่างตายด้วยน้ำมือผู้หญิงคนเดียวกัน การโจมตีอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
“เดิมข้าคิดว่าก่อนที่พิบัติมหามรรคจะมาเยือน พวกเราสามารถฉวยโอกาสนี้กวาดล้างค่ายทัพจักรวรรดิให้สิ้นซากในคราเดียว ทำสิ่งที่หลายพันปีมาไม่เคยสำเร็จได้เสียที ใครจะคิดว่ากลับมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้น…”
ชายชราสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ดวงตาทั้งคู่แฝงความโชกโชน พูดเสียงเบา “เสียดายจริงๆ…”
ราชันคนหนึ่งขมวดคิ้ว ส่งเสียงอย่างโกรธเคือง “หากไม่ใช่เพราะหลินสือเอ้อร์และธนูในมือที่จู่ๆ โผล่มา จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร”
กลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่งอยู่ได้ยินชื่อ ‘หลินสือเอ้อร์’ ต่างขมวดคิ้ว ไอสังหารพลุ่งพล่านขึ้นในใจ
เด็กหนุ่มคนเดียวเท่านั้น แต่หลังจากปรากฏตัวในสมรภูมิกระหายเลือดก็ป่วนจนคลื่นลมเต็มฟ้า ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพอึดอัด ถูกโจมตีและพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง นี่ดูเหลือเชื่อและพาให้เดือดดาลอย่างมาก
“โทษคนอื่นตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”
ชายชราที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานดูนิ่งสงบผิดปกติ “ตั้งแต่มหาวาสนามาเยือนในป่าต้นหม่อนเป็นต้นมา เผ่าของเราสูญเสียราชันไปสี่คนแล้ว จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
“หรือท่าน… ท่านจะยอมจ้าวซิงเย่นั่นจริงๆ?” คนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ต่างตกใจ
“เดิมทีผู้หญิงคนนี้ก็กระหายเลือดเป็นนิสัย ยิ่งตอนนี้ในมือมีสมบัติเย้ยฟ้า ถ้าสู้กับนางอีก แม้พวกเราสู้สุดกำลัง ผลลัพธ์ในตอนท้ายก็มีแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย”
ชายชรายืนขึ้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ เดินออกนอกกระโจมไปพร้อมร่างที่ค่อมโก่ง “สั่งการลงไปว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้หยุดลั่นกลองรบ สงบศึกกับศัตรู”
ในระหว่างที่พูด ตัวเขาก็จากไปแล้ว
เพียงแต่แม้ตัวเขาจะจากไปแล้ว แต่คำพูดอันเบาแผ่วที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้กลับประหนึ่งหนักเป็นพันชั่ง กดทับหัวใจของผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนในค่าย ทำให้ในใจพวกเขาแม้จะอัดอั้นและเดือดดาลอย่างที่สุด แต่กลับไม่อาจไม่ยอมรับ
เพราะชายชราท่านนี้ก็คือ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับผู้นำของค่ายทัพพ่อมดเถื่อนนั่นเอง!
คำพูดของเขาราวกับราชโองการ ไม่มีใครกล้าละเมิด!
……
วันนี้ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่โจมตีอย่างแข็งกร้าว สังหารราชันพ่อมดเถื่อนสองคน บีบจนราชันกู่เจินจำต้องรับปากสงบศึก!
เมื่อข่าวนี้แพร่กลับค่ายทั้งแปดของจักรวรรดิก็เกิดเสียงฮือฮามากมายในทันที ทำให้ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิทุกคนต่างกระปรี้กระเปร่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งตื่นเต้นและดีใจ
ช่วงที่ผ่านมานี้กองทัพพ่อมดเถื่อนคุกคามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ายทัพจักรวรรดิรับศึกหนัก สถานการณ์ตึงเครียดและกดดัน เรียกได้ว่าหวาดผวากันทั่วหน้า
ไม่ว่าใครก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าถ้าเปิดศึกกันอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยทรัพยากรที่เหลืออยู่จะสามารถทำให้ค่ายจักรวรรดิสู้จนถึงตอนท้ายได้หรือไม่
แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว!
นี่จะไม่ให้ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร กวาดหมอกควันและเงามืดที่มีมาอย่างต่อเนื่องของค่ายจักรวรรดิจนหมดสิ้น บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่ทัพจ้าวเก่งกาจเกินไปแล้ว สังหารราชันพ่อมดเถื่อนด้วยถึงสองคนโดยลำพัง และยังบีบให้ราชันกู่เจินจำต้องก้มหัว อานุภาพระดับนี้เพียงพอสามารถเทียบเคียงความเจิดจรัสของสุริยันจันทราได้แล้ว!”
ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมากมายต่างร้องโห่ให้กับจ้าวซิงเย่ ความเคารพนับถือที่มีต่อนางถึงขั้นที่คลั่งไคล้อย่างไม่มีที่เปรียบแล้ว
“เท่าที่ข้ารู้ ที่ครั้งนี้แม่ทัพจ้าวประสบความสำเร็จได้ชัยมา ก็เพราะความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของคุณชายหลินสือเอ้อร์”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า ตอนที่แม่ทัพจ้าวสังหารราชันพ่อมดเถื่อนทั้งสอง ก็อาศัยคันธนูและศรในมือคุณชายหลินนั่นแหละ!”
“ไม่ผิด ตามข่าวที่สายสืบแนวหน้าส่งกลับมา ราชันกู่เจินนั่นก็เหมือนจะหวาดเกรงคันธนูและศรคู่นั้นอย่างมาก จึงจำต้องตัดสินใจหยุดสงคราม”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณชายหลินก็มีส่วนในคุณงามความดีในครั้งนี้ด้วย!”
พร้อมๆ กันนั้น เรื่องที่หลินสวินให้ความช่วยเหลือสุดกำลัง ให้ยืมธนูอย่างใจกว้างก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเรื่องน่ายินดีในชั่วขณะ
ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิต่างสรรเสริญหลินสวินว่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างสุดหัวใจ มีคุณธรรมส่องสว่างโลก เป็นตัวอย่างของทุกคน และเป็นต้นแบบของเหล่าทหารหาญแห่งจักรวรรดิ
แต่ตอนที่ฉินฉู่ได้ยินข่าวนี้กลับโกรธจนแทบกระอักเลือด
ตอนแรกเขาก็เคยยืมธนูของหลินสวิน แต่ตอนนั้นหลินสวินปฏิเสธอย่างไม่ลังเล เช่นนี้น่ะหรือที่เรียกว่าคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างสุดหัวใจ
ไหนจะบอกว่ามีคุณธรรมส่องสว่างโลก เป็นต้นแบบของเหล่าทหารหาญแห่งจักรวรรดิอีก?
ถุ้ย!
เขามีสิทธิ์รับหรือ
ฉินฉู่ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่ใจ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนที่ตน ‘ยืมสมบัติ’ ไม่สำเร็จ แล้วยังถูกจ้าวซิงเย่เล่นงานอย่างหนัก ในใจเขาก็ยิ่งอัดอั้น
ทว่าไม่ว่าเขาจะคั่งแค้นอย่างไร ตอนนี้ในค่ายจักรวรรดิชื่อของ ‘หลินสือเอ้อร์’ เรียกได้ว่าดุจดั่งอาทิตย์กลางท้องฟ้า ถูกผู้ฝึกปราณมากมายเคารพยกย่อง
กลับเป็นตัวฉินฉู่เอง ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องที่เขาเคย ‘ยืม’ สมบัติของหลินสวินอย่างแข็งกร้าว ทำให้เขาโดนด่าลับหลังอย่างรุนแรง เสื่อมเสียชื่อเสียง
นี่ทำให้ฉินฉู่โกรธจนจมูกเบี้ยว อยากจะฆ่าพวกที่วิจารณ์และเยาะเย้ยเขาลับหลังแทบทนไม่ไหว
……
คืนที่หวนกลับค่ายหมายเลขเจ็ด
ภายในเรือนหลังหนึ่ง จ้าวซิงเย่เรียกหลินสวินเข้ามาหาโดยเฉพาะ จากนั้นก็หยิบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามออกมา สีหน้าดูเคร่งขรึมและจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนพร้อมเอ่ย “สมบัติคู่นี้มีปัญหาใหญ่ ต่อไปหากไม่ใช่สถานการณ์คับขันถึงชีวิต อย่าใช้จะดีที่สุด มิฉะนั้นจะต้องโดนพลังสะท้อนกลับจากมันแน่!”
ตอนที่ 740 ข่าวลือของแดนเร้นอริยะ
โดย
ProjectZyphon
“หลังจากการรับรู้และสำรวจของข้าในหลายวันที่ผ่านมา ธนูวิญญาณไร้แก่นสารนี้มีที่มาที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก แม้ไม่สามารถรู้ได้ว่ามาจากมือใคร แต่มั่นใจได้ว่าธนูนี้เคยฆ่าอริยะที่แท้จริงมาแล้ว!”
ไม่นานจ้าวซิงเย่ก็ให้คำตอบหนึ่ง
ทว่าคำตอบนี้กลับทำให้หลินสวินตกใจ เคยฆ่าอริยะที่แท้จริง! น่าทึ่งเกินไปแล้ว
ในภาพจำของหลินสวิน อริยะแทบจะไม่มีใครเทียบ สามารถเด็ดดวงดาวช่วงชิงจันทรา สามารถท่องทั่วสารทิศ อยู่ยงพร้อมกาลเวลา จรัสแสงเทียบสุริยันจันทรา
แต่ตอนนี้กลับบอกว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารเคยฆ่าอริยะ แรงสั่นสะเทือนระดับนี้สามารถจินตนาการได้ว่าแข็งแกร่งเพียงใด
แม้แต่จ้าวซิงเย่ที่มั่นใจเรื่องนี้มานานแล้ว สีหน้าในตอนนี้ยังดูแปลกประหลาดเล็กน้อย ผลลัพธ์นี้น่าทึ่งมากจริงๆ แม้แต่นางจนตอนนี้ยังไม่สามารถจินตนาการได้ว่า เหตุใดธนูนี้จึงมีอดีตที่คาวเลือดและสะดุดตาเช่นนี้
ฆ่าอริยะ!
แค่จุดนี้ก็เพียงพอทำให้ตะลึงไปทั่วหล้าแล้ว
สิ่งที่ทำให้จ้าวซิงเย่รู้สึกเหลือเชื่อที่สุดคือ ธนูนี้เคยฆ่าอริยะไม่ใช่แค่คนเดียว…
“ธนูนี้เคยเปื้อนเลือดอริยะ เคยสังหารจิตวิญญาณของอริยะ ถ้าเป็นในบรรพกาล เรียกได้ว่าเป็นอาวุธดุร้ายไร้เทียมทาน เพียงแต่ตอนนี้มันเสียหายอย่างหนัก ความดุร้ายและคาวเลือดภายในมีมากเกินไป สักวันจะต้องระเบิดออกมาอย่างแน่นอน”
จ้าวซิงเย่มองหลินสวินสีหน้าจริงจัง “หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้จะต้องโดนพลังสะท้อนกลับของมันอย่างแน่นอน ผลลัพธ์เช่นนั้นเจ้าไม่สามารถรับได้แน่!”
หลินสวินหรี่ตา เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดเลยว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารจะมี ‘ภัยเงียบ’ เช่นนี้ซ่อนอยู่
“พลังสะท้อนกลับ…” เขาอดถามไม่ได้ “น่ากลัวเพียงใด”
ดวงตาคู่งามของจ้าวซิงเย่กวาดมองหลินสวินปราดหนึ่งพร้อมพูดง่ายๆ ว่า “ตอนที่ฆ่าจินเจาสุ่ยราชันสายคนเถื่อนทองคำ ความดุร้ายที่จำศีลอยู่ในธนูนี้พรั่งพรูออกมาโดยไม่ตั้งใจ เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น กลับทำให้จิตวิญญาณของข้าได้รับผลกระทบ เกือบจะถูกช่วงชิงจิตใจไป”
“และตอนที่ฆ่าราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคี กลับมีความเคียดแค้นที่อริยะหลงเหลือเอาไว้ก่อนตายพุ่งออกจากธนู ทำให้การขับเคลื่อนของพลังของข้าเกือบจะพังทลาย”
จ้าวซิงเย่พูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ปรากฏความหวาดกลัวและตระหนก “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะในมือข้าถือสมบัติลับที่ปกป้องจิตวิญญาณ ยามฆ่าราชันนภาเพลิง ข้าเองก็คงถูกธนูนี้โจมตีจิตวิญญาณ ตายคาที่ไปแล้ว”
คำพูดแม้จะเรียบเฉย แต่หลินสวินกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว สูดหายใจอย่างตกใจ
จ้าวซิงเย่เป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาราชันอย่างแน่นอน ทว่าแม้แต่นางยังถูกพลังสะท้อนกลับของธนูวิญญาณไร้แก่นสารถึงสองครั้ง ทั้งยังอันตรายขึ้นทุกครั้ง ถึงขั้นที่เกือบสิ้นชีพ!
จากเรื่องนี้แค่คิดก็รู้ว่า พลังดุร้ายที่สะสมอยู่ภายในธนูวิญญาณไร้แก่นสารน่าพรั่นพรึงเพียงใด
“แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป พลังปราณยิ่งมาก พลังสะท้อนกลับตอนใช้ธนูนี้ก็ยิ่งรุนแรง ในเมื่อจนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่เคยเจอปัญหาพลังสะท้อนกลับ ก็เป็นการยืนยันว่า ณ ตอนนี้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารยังไม่มีทางทำร้ายเจ้าได้”
จ้าวซิงเย่เหมือนจะเดาออกว่าหลินสวินกังวลใจ จึงพูดว่า “แต่ในอนาคตพลังปราณของเจ้ายิ่งสูงก็ยิ่งต้องระวังปัญหานี้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอานุภาพที่ซ่อนอยู่ภายใน นอกเสียจากว่า…”
หลินสวินหัวใจสะท้าน “นอกจากอะไร”
“นอกจากว่าเจ้าจะสามารถตามหาวิญญาณอาวุธที่หายไปกลับมา”
“วิญญาณอาวุธหรือ”
“ไม่ผิด สมบัติระดับไร้เทียมทานเช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่ถือกำเนิดขึ้นก็หล่อเลี้ยงวิญญาณของตนออกมา เปรียบเสมือนร่างกายมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ”
ดวงตาคู่งามของจ้าวซิงเย่พร่างพรายด้วยแววฉลาดเฉลียว “สมบัติระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอริยะกายสิทธิ์ เพราะมีเพียงอริยะที่ควบคุมกฎระเบียบมหาวิถีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะสามารถสร้างสมบัติเช่นนี้ได้”
“วิญญาณอาวุธ…สมบัติอริยะกายสิทธิ์…”
หลินสวินพึมพำ คล้ายขบคิดอะไรอยู่
“ข้าแนะนำเจ้าว่าถ้าในอนาคตเดินทางไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ หากมีโอกาส สามารถไป ‘หุบเขาตะวันคล้อย’ แห่งแดนเร้นอริยะอันลึกลับนั่นสักรอบ”
จู่ๆ จ้าวซิงเย่ก็แนะนำเช่นนี้
หลินสวินไม่รู้จักแดนเร้นอริยะและไม่มีความรู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ยินคำว่าหุบเขาตะวันคล้อย เขาก็ชะงักไปทันควัน
เขานึกขึ้นได้ว่า ตอนที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ยามเขาบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นกลาง เคยทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินอย่างบุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า ปรากฏการณ์ที่งดงามไพศาล เรียกได้ว่าเป็นความงามที่ยิ่งใหญ่ของโลก
แต่เจ้าคางคกกลับดูถูกสิ่งนี้ เคยพูดว่าในสมัยบรรพกาลมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งชื่อว่าหุบเขาตะวันคล้อย มีปักษาเทพกาทองจำแลงเป็นดวงอาทิตย์ ครอบครองภายในนั้นอยู่นานปี ปลดปล่อยแสงเทพสาดส่องไปยังเหล่าเทวะ ทิวทัศน์นั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นภาพอัศจรรย์แห่งฟ้าดิน ความวิเศษแห่งธรรมชาติ
ตอนนั้นหลินสวินยังนึกสงสัย คิดว่าเจ้าคางคกคุยโวอีกแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินชื่อหุบเขาตะวันคล้อยอีกครั้งจากปากจ้าวซิงเย่ หลินสวินจึงตระหนักได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เจ้าคางคกพูดมีอยู่จริง!
“ยังจำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนใช้ธนูนี้ได้หรือไม่ ดวงอาทิตย์ตกร่วงหล่นจากท้องฟ้าคราม กาทองร่ำไห้เป็นสายเลือดไหลลงมหาสมุทร ธนูนี้เคยฆ่าอริยะของเผ่าอีกาทอง!”
จ้าวซิงเย่วิเคราะห์และพูดว่า “อยากรู้ว่าวิญญาณอาวุธของธนูนี้ถูกทิ้งไว้ที่ไหน หุบเขาตะวันคล้อยเป็นที่ที่ควรไปที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ที่นั่นเคยเป็นรังของเผ่าอีกาทองบรรพกาล แม้แต่ตอนนี้ในนั้นก็ยังมีความลับที่ยังไม่สามารถเข้าใจได้อีกมากมายซ่อนอยู่”
หลินสวินพยักหน้าอย่างตั้งใจ จำขึ้นใจแล้ว
“ถ้าหาวิญญาณอาวุธเจอ ไม่เพียงสามารถสยบความดุร้ายที่สะสมอยู่ภายในธนูนี้ได้ ยังเพียงพอทำให้ธนูนี้คืนอานุภาพเดิมได้ส่วนหนึ่ง”
นิ้วมือขาวผ่องเรียวยาวจ้าวซิงเย่ลูบบนธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ตัวธนูทำจากกระดูกสีขาวกระจ่าง ดูดุร้ายผิดปกติ แต่ไม่เพียงไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดหวั่น กลับยังให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง
จ้าวซิงเย่อดถอนหายใจไม่ได้ “ดูโครงกระดูกพวกนี้สิ ข้าสงสัยว่า ธนูนี้ทำจากกะโหลกศีรษะมากมายของอริยะ!”
การคาดเดานี้ทำให้หลินสวินสะดุ้งโหยง กะโหลกศีรษะของอริยะ! ธนูนี้มีโครงกระดูกสีขาวเป็นประกายถึงสิบแปดชิ้น หากการคาดเดาของจ้าวซิงเย่เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าเพียงแค่ตัวธนูนี้ ก็ใช้กะโหลกศีรษะของอริยะไปสิบแปดคนแล้วงั้นหรือ
น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
จากนั้นจ้าวซิงเย่คืนธนูวิญญาณไร้แก่นสารให้หลินสวินอย่างระมัดระวัง แล้วเอาศรแห่งนภาครามออกพร้อมพูดว่า “ส่วนศรดอกนี้ ข้ากลับคิดว่าเป็นหนึ่งในศรเทพทั้งเก้าที่ของเผ่าต้าอี้บรรพกาล”
“ศรเทพทั้งเก้ามีนามว่า นภาคราม ยมโลก อมฤตาลัย นิรันดร์ เขี้ยวลำนำ แสงโชค เสี้ยวปีก อธิจิต และไร้พ่าย!”
“ศรทุกดอกล้วนมีความมหัศจรรย์ มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงเกินจะจินตนาการ”
“เป็นที่รู้กันดีว่า คนของเผ่าต้าอี้บรรพกาล แต่ละคนล้วนเป็นมือธนูชั้นยอด มีอดีตที่รุ่งโรจน์อย่างมาก ชื่อเสียงสะเทือนบรรพกาล และศรเทพทั้งเก้าก็สามารถเป็นสมบัติที่พิทักษ์เผ่า ที่มาแน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา”
“ที่น่าเสียดายคือ ศรแห่งนภาครามและศรแห่งยมโลกเป็นธนูคู่ที่เสริมซึ่งกันและกัน ใช้พวกมันร่วมกับ ‘ธนูจูงวิญญาณ’ จึงจะสามารถแสดงอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้”
ได้ยินถึงตรงนี้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อระหว่างธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามมีการตอบสนองและเชื่อมต่อบางอย่าง ถ้าอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน
แต่ไม่เคยคิดว่า ความจริงกลับเป็นเช่นนี้!
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
หลินสวินเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ที่ผ่านมาตนคิดมากไป โลกนี้มีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้ซะที่ไหน ตนเอาธนูวิญญาณไร้แก่นสารเข้ามาในสมรภูมิกระหายเลือด แล้วจู่ๆ ก็พบศรเทพที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“ทว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารคงจะแข็งแกร่งกว่าธนูจูงวิญญาณ มิฉะนั้นต่อให้ตอนนี้ศรแห่งนภาครามจะเสียหายอย่างหนัก ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกกำราบแพ้ง่ายๆ เช่นนี้”
จ้าวซิงเย่สมกับที่เป็นบุคคลระดับราชันชั้นยอด คำพูดเพียงไม่กี่คำของนาง ก็คาดเดาสิ่งที่หลินสวินไม่รู้ออกมามากมายอย่างละเอียด ทำให้หลินสวินไม่นับถือไม่ได้
“จำไว้ว่าต่อไปหากเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ถึงช่วงเวลาจำเป็น ห้ามใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารโดยพลการ ที่นั่นมีผู้เก่งกาจมากเกินไป หากพบความวิเศษของธนูนี้ จะต้องนำพาความเดือดร้อนมาให้เจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่”
กลางดึกตอนที่หลินสวินขอตัวกลับ จ้าวซิงเย่ได้เตือนอีกครั้ง ทำให้หลินสวินอดเคร่งครัดขึ้นไม่ได้
คนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองสิ่งมีค่า แน่นอนว่าหลินสวินเข้าใจหลักการนี้
……
พอค่ายทัพพ่อมดเถื่อนหยุดลั่นกลองรบ สงบศึกไป ช่วงเวลาหลังจากนั้นก็ทำให้ค่ายทัพจักรวรรดิผ่อนคลายลงไม่น้อยเลยจริงๆ
ในค่ายหมายเลขเจ็ด หากไม่มีเรื่องจำเป็น ไม่ว่าใครก็ไม่ออกมาโดยพลการอีก ล้วนพักรบแล้ว ประกอบกับเสบียงวัตถุดิบมีเหลืออยู่ไม่มาก ในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเรื่องใส่ตัว
บรรยากาศอันเงียบสงบและสันติที่หายากเช่นนี้ กลับทำให้หลินสวินไม่คุ้นชินนัก
ทว่าเขากลับไม่หยุดพัก ในแต่ละวันนอกจากขยันฝึกยุทธ์ ก็จะไปที่กองยุทโธปกรณ์ ช่วยเหล่าผู้ฝึกปราณหลอมหรือซ่อมอาวุธ
เมื่อมีเวลาว่างก็จะไปหาสหายอย่างหลูเหวินถิง อาปี้และเหยียนเฟิง ดื่มสังสรรค์กัน เพียงแต่ทุกครั้งที่สังสรรค์กัน หลินสวินก็อดนึกถึงเหล่าหวงและหูทงที่จากไปแล้วไม่ได้ ในใจก็ไม่วายจะรู้สึกหดหู่
ชีวิตราบเรียบมาก บางทีหลินสวินรู้สึกเบื่อหน่าย ก็จะออกจากค่ายไปเดินเล่นในสมรภูมิกระหายเลือดเพียงลำพัง
โลกนี้มีทิวทัศน์มืดสลัว อึมครึม อันตรายและรกร้างว่างเปล่าอยู่เสมอ แม้ในสนามรบไม่มีศัตรูแล้ว แต่ยังคงมีภัยธรรมชาติและอันตรายมากมายซ่อนอยู่
ทว่าหลินสวินคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่ตั้งนานแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นและอกสั่นขวัญแขวนเหมือนตอนแรกที่มา
และมีหลายครั้งตอนที่ผ่านป่าต้นหม่อน หลินสวินอดยืนมองไกลๆ ไม่ได้ มักคิดถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งที่สูงตระหง่านโดดเด่น นึกถึงจักจั่นทองที่มีความปรารถนาอยากให้สรรพชีวิตบนโลกกลายเป็นอริยะ
และจะนึกถึงผีเสื้อราตรีสีเลือดที่เสียงใสกระจ่างอบอุ่น อานุภาพกลับทะลวงฟ้าตัวนั้น รวมทั้งจักจั่นขาวที่ส่งเสียงร้องทีเดียวสะเทือนไปทั้งเก้าชั้นฟ้า
จริงสิ มังกรเจียวสีเขียวยักษ์ตัวนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่ก้าวสู้อริยมรรคเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีตำหนักมรรคลึกลับที่ปรากฏขึ้นในโลก ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน เพียงแค่บันไดก็มีถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ราวกับบันไดสู่สวรรค์! มันเคยเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างท้องฟ้า ย้อมฟ้าดินผืนนี้ด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์งดงาม ปรากฏการณ์ประหลาดไร้ขีดจำกัด
ภายในตำหนักมรรคอันลึกลับไม่อาจรู้ ซ่อนอะไรอยู่กันแน่
เหตุใดจึงดึงดูดสิ่งมีชีวิตอริยมรรคมากขนาดนั้นให้เข้าไปแย่งชิง โดยไม่เกรงกลัวว่าจะเกิดการปะทะรุนแรงนองเลือด
หลินสวินไม่รู้ว่าป่าต้นหม่อนแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถูกหมอกควันสีเลือดหนาปกคลุมไปหมด ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินย่อมไม่กล้าก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
แต่หลินสวินมั่นใจว่า บางทีเมื่อพิบัติมหามรรคมาเยือน บรรดาสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวที่จำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อน จะต้องไม่นิ่งเฉยและปรากฏตัวสู่โลกเป็นแน่!
เวลารวดเร็วดั่งลูกธนู ผ่านไปอย่างว่องไว
ช่วงเวลาที่หนทางสู่จักรวรรดิเปิดออกได้มาเยือนอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว…
ตอนที่ 741 แม้คนจะจากไป ชื่อเสียงยังคงอยู่
โดย
ProjectZyphon
วู้ม!
ใจกลางค่ายหมายเลขเจ็ด ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่นิ่งสงบมานานถูกเปิดใช้ ปลดปล่อยคลื่นอันคลุมเครือ
หลินสวินแบกห่อสัมภาระ ยืนรออยู่ด้านหน้าเงียบๆ พร้อมกลุ่มผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิ
จะจากไปแล้ว
นึกถึงทุกอย่างที่เจอตั้งแต่เข้ามาในสมรภูมิกระหายเลือดจนถึงตอนนี้ ในใจหลินสวินก็ไม่วายจะรู้สึกหดหู่
ในอนาคตจะต้องกลับมาอีกแน่!
……
“คุณชายหลิน รักษาตัวด้วย!”
ห่างออกไป ทหารหาญจักรวรรดิมากมายมาส่ง แต่ละคนต่างอาลัยอาวรณ์
“ปฐมาจารย์หลิน ในอนาคตถ้ามีโอกาสต้องกลับมาเยี่ยมพวกเรานะ”
กลุ่มนักสลักวิญญาณของกองยุทโธปกรณ์ นำโดยปรมาจารย์อิงก็มาส่งหลินสวิน
“ฮ่าๆๆ อย่ากังวลว่าหนทางเบื้องหน้าไร้มิตรรู้ใจ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดมิรู้จักท่าน! น้องชายข้า รอเมื่อไหร่ที่ข้าเบื่อหน่ายชีวิตในสนามรบ จะกลับไปดื่มกับเจ้า!”
หลูเหวินถิงหัวเราะเสียงดัง ดื่มเหล้าในกาคราหนึ่งแล้วยื่นให้หลินสวิน
“บนเส้นทางการต่อสู้มหามรรคในภายภาคหน้า จะต้องมีที่ยืนสำหรับเจ้าอย่างแน่นอน หวังเพียงว่าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก”
เหยียนเฟิงที่ปกติเงียบขรึมพูดน้อยก็ส่งเสียงในเวลานี้ มองหลินสวินอย่างตั้งใจ
หลินสวินกวาดสายตาผ่านใบหน้าของทุกคน ในใจรู้สึกอบอุ่น คนเหล่านี้ล้วนเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เคยเคียงบ่าเคียงไหล่สู้ศึกกันมา!
ทว่าสุดท้ายตอนที่สายตาของหลินสวินมองไปยังจ่างซุนเลี่ยที่อยู่ในระยะไกล อีกฝ่ายกลับสีหน้าหงุดหงิด โบกมือปัดเหมือนไล่แมลงวันพร้อมพูดว่า “รีบไสหัวไปเถอะ อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้ข้าอีก ตั้งแต่เจ้าปรากฏตัว หัวข้าใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัวแล้ว”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครงทันที
หลินสวินเองก็ไม่วายกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เปิดออกแล้ว ไม่สามารถยื้อเวลาได้อีกต่อไป ทรัพยากรเสริมจากจักรวรรดิและทหารที่ส่งมาใหม่ ล้วนต้องส่งผ่านช่องทางนี้
“ลาก่อนทุกท่าน!”
หลินสวินประสานหมัด คารวะไปรอบๆ จากนั้นก้าวเข้าไปภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยกันกับกลุ่มผู้ฝึกปราณที่จะกลับจักรวรรดิเช่นเดียวกับเขา
“ลาก่อน!”
ห่างออกไป ทุกคนประสานหมัดโดยพร้อมเพรียง
จะจากกันแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก หรือบางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว
ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนอัดอั้นตันใจอย่างมาก
เพราะเห็นความเป็นความตายและการจากลาในสมรภูมิกระหายเลือดมากเกินไป จึงยิ่งเข้าใจความหมายของการจากลา!
แม้แต่จ่างซุนเลี่ยยังขยับริมฝีปากเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป สุดท้ายเขาเพียงโบกมืออย่างเงียบๆ
อาปี้ล่ะ?
ชั่วขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายขับเคลื่อน สุดท้ายหลินสวินก็ไม่ได้เห็นอาปี้ จึงอดชะงักไม่ได้
‘ก็จริง ด้วยนิสัยของนางย่อมไม่ยอมมาส่งแน่’
ในเวลาเดียวกัน ภายในบ้านหินหลังหนึ่งในค่าย อาปี้นั่งอยู่คนเดียว นิ้วทั้งสิบประสานกัน หน้าอกขยับเคลื่อนอย่างไม่สงบ ดูเหมือนนั่งนอนไม่เป็นสุขอยู่บ้าง
นอกหน้าต่างเสียงอำลาดังขึ้นเป็นระลอกๆ ดังก้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ในใจอาปี้ยิ่งลนลานและดิ้นรน
จะไปพบเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
ฟันขาวของอาปี้กัดริมฝีปาก สุดท้ายก็สับเท้าแรงๆ ลุกขึ้นพุ่งออกจากห้องราวกับสายลม
เพียงแต่ตอนที่นางพุ่งออกจากประตูห้อง ตรงบริเวณค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างนั้นแล้ว
ไปแล้วหรือ
อาปี้สั่นเทาไปทั้งตัว ในใจรู้สึกหดหู่อย่างรุนแรง
“เจ้าหน้ามน ต่อไป… จำไว้ว่าอย่าไปทำดีแบบนี้กับผู้หญิงอีกล่ะ พวกนางหวั่นไหวง่าย จะจำความดีของเจ้า อยากลืมเจ้าคงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว…”
ครู่ใหญ่อาปี้จึงพึมพำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน
……
วันนี้สมรภูมิกระหายเลือดได้เปิดเส้นทางสู่จักรวรรดิ ภายในค่ายทั้งแปดของจักรวรรดิ ล้วนกำลังดำเนินฉากบอกลากัน
ในทำนองเดียวกันมีผู้คนหน้าใหม่ ทหารจักรวรรดิกลุ่มใหม่ถูกส่งไปยังสมรภูมิกระหายเลือดอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มคนใหม่เข้ามาเปลี่ยนคนเก่า ประจำการในแนวหน้าของจักรวรรดิตลอดปี ศัตรูไม่ตาย สงครามก็ไม่หยุด!
“พวกมือใหม่เห็นหรือยัง นี่คือกระดานอันดับเหรียญกล้าหาญ! สามารถมีชื่อด้านบนได้ ก็จะเป็นผู้มีชื่อเสียงในค่ายของเรา”
“กระดานอันดับนี้หมายถึงเกียรติยศอันไร้เทียมทาน แต่พวกเขายิ่งควรจะเข้าใจว่า เบื้องหลังของทุกเกียรติยศ ล้วนมาพร้อมกับเลือดและน้ำตาที่ไม่รู้จบ!”
ทหารอาวุโสคนหนึ่งนำผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิกลุ่มใหม่ชื่นชมกระดานอันดับเหรียญกล้าหาญในค่ายอยู่
“หลินสือเอ้อร์เป็นใคร ถึงกับสามารถอยู่ในอันดับสามของอันดับเหรียญกล้าหาญได้ด้วยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ? นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น กลุ่มคนใหม่ถูกดึงดูด จากนั้นต่างฮือฮา ยากจะเชื่อ
ผู้ฝึกปราณหนึ่งร้อยอันดับแรกในกระดานเหรียญกล้าหาญ แทบจะเป็นบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติทั้งหมด
และผู้ฝึกปราณสิบอันดับแรก เก้าคนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสราชันกึ่งระดับ มีเพียงชื่อ ‘หลินสือเอ้อร์’ ที่ดูผิดปกติและสะดุดตาเกินไป
เพราะเขาเป็นผู้ฝึกปราณเพียงคนเดียวที่เบียดตัวเข้ามาอยู่ในสิบอันดับแรกด้วยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ ทั้งยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่สาม!
มองสีหน้าตกใจของกลุ่มมือใหม่ ทหารอาวุโสก็หลุดขำออกมา ทหารใหม่เหล่านี้ช่างไม่เคยเปิดโลกจริงๆ เลย
จากนั้นเขาพลันแค่นเสียงกระแอมคราหนึ่ง แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า “จำไว้ว่า อย่าเอาสายตาของพวกเจ้าไปประเมินใต้เท้าหลินสือเอ้อร์ เขาแตกต่างจากผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะที่พวกเจ้ารู้จักอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะพูดถึงตำนานของเขา พูดทั้งวันทั้งคืนก็พูดไม่จบ ข้าเพียงอยากบอกพวกเจ้าว่า…”
เสียงของทหารอาวุโสทุ้มต่ำ แฝงความเคารพยำเกรงและคลั่งไคล้จากใจจริง ยิ่งมีความรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจร่วมด้วย
ทีแรกกลุ่มทหารใหม่กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่ฟังถึงตอนท้ายก็ถูกดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ตื่นเต้นอย่างมาก ในหัวต่างมีภาพอันสะดุดตาของผู้กล้ารุ่นเยาว์คนหนึ่งปรากฏขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย
ครู่ใหญ่ทหารอาวุโสจึงเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะ เล่าถึงตรงนี้ก่อน ต่อไปพวกเจ้ามีเวลาอีกมากในการทำความเข้าใจประวัติของใต้เท้าหลินสือเอ้อร์ ไปเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปกองยุทโธปกรณ์ อ้อจริงสิ ลืมบอกพวกเจ้าไป ใต้เท้าหลินสือเอ้อร์ยังเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งด้วย รู้สึกเหลือเชื่อมากใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆๆ พวกเจ้าอึ้งกันหมดเลย ช่างไม่เคยเปิดโลกเลยจริงๆ…”
พลางพากลุ่มทหารใหม่เดินหน้า ทหารอาวุโสหัวเราะเสียงดังไปพลาง แน่นอนว่าไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี เพราะครั้งแรกที่เขารู้เรื่องเหล่านี้ สีหน้าดูแย่กว่าทหารใหม่เหล่านี้ด้วยซ้ำ
‘ทุกยุคสมัยในแผ่นดินล้วนมีอัจฉริยบุคคล ผลงานของพวกเขาถูกเล่าขานนับร้อยปี หลินสือเอ้อร์ ข้าจะต้องทุบสถิติที่เจ้าสร้าง และแทนที่เจ้าในกระดานอันดับเหรียญกล้าหาญให้ได้!’
ในบรรดาทหารใหม่ มีเพียงเด็กหนุ่มที่รูปร่างผอมบางคนหนึ่งหันกลับมา สายตามองกระดานอันดับเหรียญกล้าหาญที่ห่างออกไปเรื่อยๆ สีหน้าแฝงความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เด็กหนุ่มนามว่าเย่ฝาน เป็นชื่อที่… ไม่เลวเลย
ในตำนานที่นักเล่าเรื่องมากมายในจักรวรรดิเล่ากัน ตัวเอกของเรื่องหลายคนก็ชื่อว่าเย่ฝาน…
……
ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนในวันนี้ก็มีทหารใหม่มากมายมาเสริมทัพเช่นเดียวกับค่ายจักรวรรดิ
“ใต้เท้า หลินสือเอ้อร์คนนี้เป็นใคร ถึงกับอยู่ในอันดับสามของหมายจับกระดานโลหิต เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น ประเมินเขาสูงเกินไปหรือเปล่า”
“เหลวไหล! หลินสือเอ้อร์นั่นนับเป็นตัวอะไร ควรค่าแก่การถูกเผ่าพ่อมดเถื่อนของเราให้ความสำคัญและระวังขนาดนี้เชียวหรือ”
ตอนที่เห็นชื่อบนหมายจับกระดานโลหิต กลุ่มทหารใหม่ตกอยู่ในความวุ่นวายทันที ต่างแสดงความขุ่นเคืองและดูถูก
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่นำกลุ่มทหารใหม่สีหน้าดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที อึมครึมไม่นิ่ง ครู่หนึ่งจึงขบเคี้ยวเขี้ยวฟันคำราม “หุบปากให้หมด!”
กลุ่มทหารใหม่เงียบกริบ
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนนั้นชี้ชื่อของหลินสือเอ้อร์บนหมายจับกระดานโลหิต แล้วพูดออกมาทีละคำ “พวกเจ้าต้องจำชื่อนี้เอาไว้! เขานำพาความอับอายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมาให้เผ่าพ่อมดเถื่อนของเรา เป็นศัตรูคนหนึ่งที่เราต้องกำจัด!”
กลุ่มทหารใหม่พลันตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ชื่อหลินสือเอ้อร์คนนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
สุดท้ายผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนนั้นก็ไม่ได้อธิบายเรื่องที่หลินสวินเคยทำ เพราะมันน่าอับอายและเหลือเชื่อเกินไป จะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของทหารใหม่เหล่านี้อย่างรุนแรง
“ต่อไปพวกเจ้าก็จะเข้าใจความหมายของชื่อนี้เอง” สุดท้ายผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนนั้นถอนหายใจ หมุนตัวออกไป
หลินสือเอ้อร์ เด็กหนุ่มที่เป็นเหมือนเทพมาร ว่ากันว่าจะจากไปวันนี้แล้ว แต่ผลกระทบอย่างร้ายแรงที่เขานำพามาสู่ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนย่อมไม่สามารถลบล้างได้ภายในเวลาอันสั้น…
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ แม้หลินสวินจะสู้รบในสมรภูมิกระหายเลือดเพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ในครึ่งปีนี้เขากลับผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าวราวกับดาวหางดวงหนึ่ง กลายเป็นดาวเด่นที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งสมรภูมิกระหายเลือด ส่องสว่างไปไกลหมื่นจั้ง!
เรื่องที่เกิดขึ้นบนตัวเขาเหมือนปาฏิหาริย์ เต็มไปด้วยตำนานมหัศจรรย์ อยากจะลบล้างพลังอิทธิพลที่เขาหลงเหลือเอาไว้ ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
ทว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับหลินสวินในตอนนี้แล้ว
……
เมืองมหัตหลวง จักรวรรดิ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเมืองที่โอบล้อมพิทักษ์นครต้องห้าม เมืองมหัตหลวงมีกองทัพที่โดดเด่นที่สุดของจักรวรรดิประจำการอยู่ตลอดทั้งปี โดยมีกรมทหารแห่งจักรวรรดิกำกับและควบคุมโดยตรง
พื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมหัตหลวง มีค่ายทหารที่ครอบคลุมพื้นที่ถึงพันหมู่ตั้งอยู่
วันนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายสู่สมรภูมิกระหายเลือดทั้งหมดถูกเปิดออกพร้อมเสียงคำรามสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
บริเวณค่ายกลเคลื่อนย้าย เหล่าแม่ทัพยืนอย่างเคร่งขรึม พวกเขาแต่ละคนน่าเกรงขามราวกับมหาสมุทร ทำให้บรรยากาศที่เงียบอยู่แล้ว ยิ่งมีความจริงจังที่พาให้หวาดหวั่นเพิ่มเข้ามา
วู้ม!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดออกอย่างเต็มที่ พร้อมกับเสียงคำรามอันคลุมเครือ เงาร่างผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิมากมายเดินตามกันออกจากค่ายกล
ทุกคนในที่นั้นฮือฮาขึ้นมาทันที
เหล่าแม่ทัพจักรวรรดิต่างลอบถอนหายใจ ช่องทางเปิดออกอย่างเต็มที่ มีทหารของจักรวรรดิกลับจากสนามรบอย่างปลอดภัย นี่หมายความว่าสถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดถือว่าไม่เลวอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเองก็อยู่ในนั้น เมื่อเดินออกจากค่ายกลเคลื่อนย้าย มองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าเหนือศีรษะ ก้อนเมฆสีขาวสะอาด สูดพลังวิญญาณบางๆ ที่แทรกตัวอยู่ในอากาศ ในใจหลินสวินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
ในสมรภูมิกระหายเลือด พลังวิญญาณแห้งเหือด รกร้างและไร้ซึ่งพลังชีวิต เต็มไปด้วยกลิ่นอายมืดมน การเข่นฆ่าและอันตรายทุกแห่งหน
ตอนนี้ได้หวนกลับสู่จักรวรรดิ กลับสู่ฟ้าดินที่คุ้นเคยผืนนี้ ไม่ว่าใครก็อดทอดถอนใจไม่ได้
กลับมาแล้ว!
หลินสวินถอนหายใจยาว ในใจเกิดแรงกระตุ้นอย่างแรงกล้า เขาอยากกลับบ้าน กลับภูเขาชำระจิต
แม้จะจากไปแค่ครึ่งปี แต่ราวกับผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน และในครึ่งปีนี้ ญาติมิตรบนภูเขาชำระจิตสบายดีหรือไม่
ห่างออกไป ร่างที่คุ้นเคยก้าวเท้ายาวมา ตัวคนยังมาไม่ถึงก็หัวเราะลั่นออกมาแล้ว “ขอต้อนรับกลับมา!”
ตอนที่ 742 คนจากสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาเยือน
โดย
ProjectZyphon
ผู้มาเยือนก็คือจ้าวไท่ไหลนั่นเอง
เขายิ้มตาหยีเข้าไปโผกอดหลินสวินอย่างกระตือรือร้น ก่อนยิ้มพูด “ข้าได้ยินแล้ว เจ้าทำผลงานที่สมรภูมิกระหายเลือดได้สวยงามมาก ตาเฒ่าโดดเดี่ยวที่เรือนโอบดารานิทราบุหลันบอกว่า ค่าอาหารที่ติดค้างเกือบจะจ่ายครบแล้ว”
หลินสวินกลอกตา “ข้าคิดว่าท่านมาต้อนรับข้าเสียอีก ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เป็นห่วงคือเงินค่าอาหารที่ติดค้างเอาไว้”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะฮ่าๆ “ไป ออกจากที่บ้าๆ นี่ก่อนเถอะ มิฉะนั้นเดี๋ยวเจ้าไปไหนไม่ได้แน่”
หลินสวินพูดอย่างแปลกใจ “เพราะเหตุใด”
จ้าวไท่ไหลพูดสบายๆ “ใครใช้ให้เจ้าสร้างความครึกครื้นที่สมรภูมิกระหายเลือดขนาดนั้น ทำให้พวกตาเฒ่าในกรมทหารจับจ้องเจ้า จะให้เจ้าอยู่ทำงานในกรมทหาร”
หลินสวินเร่งฝีเท้าทันที พูดเป็นเล่น เขาเพิ่งกลับจากสนามรบยังไม่ทันได้กลับบ้านด้วยซ้ำ จะมีกะจิตกะใจอะไรอยู่รั้งกรมทหารของจักรวรรดิต่อได้อย่างไร
“ให้ตายเถอะ ทำไมไม่เห็นหลินสือเอ้อร์แล้ว หลินสือเอ้อร์ล่ะ”
หลินสวินและจ้าวไท่ไหลจากไปไม่นาน เสียงคำรามโฮกฮากก็กึกก้องไปทั่ว
“เหล่าติง เจ้าโวยวายอะไรของเจ้า แม้หาหลินสือเอ้อร์เจอ เจ้าหมอนั่นก็ไม่ไปกับเจ้าหรอก ต้นกล้าชั้นดีอย่างเขา ต้องอยู่ในกองทัพมังกรดำของข้าเท่านั้นจึงจะสามารถเด่นกว่าคนอื่นได้”
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า! กองทัพมังกรดำของเจ้าเนี่ยนะ กองทัพหมาป่าโลหิตของข้าต่างหากที่โดดเด่นท่ามกลางผู้โดดเด่น ถ้าหลินสือเอ้อร์นั่นจะไป ก็ต้องไปกองทัพหมาป่าโลหิตของข้า!”
“พอเถอะๆ พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันได้แล้ว กองทัพกุหลาบของข้ายังไม่เอ่ยปากเลย พวกเจ้าจะทะเลาะอะไรกัน มีความหมายอะไร”
ภายในค่ายมีเสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือด พลันเห็นเหล่าแม่ทัพจักรวรรดิที่สีหน้าเคร่งขรึม น่าเกรงขามราวกับมหาสมุทรในตอนแรก ตอนนี้กลับเถียงกันไม่หยุด หน้าดำหน้าแดงกันหมดแล้ว
ทหารจักรวรรดิทุกคนต่างตะลึง ความจริงวันนี้เป็นวันต้อนรับทหารคว้าชัยกลับมาจากสมรภูมิกระหายเลือด เดี๋ยวจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ ทว่าเหตุใดตอนนี้ เหล่าแม่ทัพอาวุโสในค่ายกลับทะเลาะกันเพราะหลินสือเอ้อร์
เจ้าหมอนี่มีอะไรแตกต่างงั้นหรือ
ไม่นานก็มีคนเล่าผลงานอันเกริกก้องที่หลินสวินสร้างในสมรภูมิกระหายเลือด ทำให้ทั้งลานเข้าใจทันควัน ฮือฮากันขึ้นมา
นึกในใจว่าไม่แปลกที่เหล่าแม่ทัพอาวุโสจะแย่งชิงตัวหลินสือเอ้อร์คนนั้นอย่างไม่รักษาท่าทีเช่นนี้ ที่แท้นี่เป็นบุคคลร้ายกาจพลิกฟ้า!
หากหลินสวินเห็นภาพนี้ จะต้องแอบรู้สึกโชคดีที่ตามจ้าวไท่ไหลจากไปก่อน มิฉะนั้นด้วยท่าทางเช่นนี้ หากวันนี้เขาไม่ตกลงอยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพอาวุโสสักคน คงไม่สามารถออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียวแน่!
“อ้อ จริงสิ เจ้าหนูหลินสือเอ้อร์คนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดก่อนเขาไปสมรภูมิกระหายเลือดจึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
ทันใดนั้นแม่ทัพอาวุโสผมขาวคนหนึ่งถาม
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ครู่หนึ่งจึงมีแม่ทัพวัยกลางคนที่พลังแข็งแกร่งมากคนหนึ่งพูดขึ้น “เมื่อครึ่งปีก่อน จ้าวไท่ไหลเป็นคนส่งเด็กคนนี้ไปที่สมรภูมิกระหายเลือด หากการคาดเดาของข้าไม่ผิด เขา… ก็คือหลินสวิน!”
“หลินสวิน? หรือว่า…”
“ใช่ หลินสวินผู้นำตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต”
“ที่แท้ก็เป็นเขา!”
ทุกคนเข้าใจทันที ในใจแต่ละคนพลันสั่นไหวขึ้นมา เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ชื่อของหลินสวินก็ดังก้องอยู่เหนือฟากฟ้านครต้องห้ามตั้งนานแล้ว เป็นที่รู้จักของคนใต้หล้า
ยามนี้เขากลับสร้างผลงานการรบที่โดดเด่นสะดุดตาขนาดนี้ในสมรภูมิกระหายเลือด นี่ดูน่าตกใจมากเกินไปแล้ว
“คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง เฮ้อ เมื่อก่อนข้ายังไม่เห็นด้วยกับคำยกย่องนี้ แต่ตอนนี้กลับอดอุทานไม่ได้ว่าคนรุ่นหลังช่างน่ายำเกรง!”
แม่ทัพอาวุโสผมขาวคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นด้วย
ใช่แล้ว เมื่อก่อนหลินสวินมีชื่อเสียงเพียงในนครต้องห้ามเท่านั้น เป็นชื่อเสียงที่โด่งดังในจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้เขาได้แผ่บารมี สร้างชื่อเสียงไปถึงสมรภูมิกระหายเลือด ทำให้เผ่าพ่อมดเถื่อนยังสั่นสะเทือน!
……
“ทีแรกข้าว่าจะดื่มกับเจ้าให้หน่ำใจสักจอก แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้า”
คนทั้งสองออกจากเมืองมหัตหลวง ระหว่างทางกลับไปยังนครต้องห้าม จ้าวไท่ไหลถอนหายใจเบาๆ หว่างคิ้วแฝงความทุกข์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เรื่องใดหรือ” หลินสวินถาม
ตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่บนยานสำเภา ห้อเหยียดอยู่ภายใต้ท้องฟ้า
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งดินแดนรกร้างโบราณ นำผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งมาเยือนจักรวรรดิ!”
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินหรี่ตาลงทันที
สำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เขาคุ้นเคยกับชื่อนี้มาก เพราะอวิ๋นชิ่งไป๋ศัตรูที่ฆ่าคนตระกูลหลินสายตรงในตอนนั้นก็มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า
พูดได้ว่า ที่หลินสวินยืนยันจะไปดินแดนรกร้างโบราณ การแก้แค้นให้บิดามารดาและญาติพี่น้องเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุด!
และศัตรูก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋!
“พวกเขามาทำอะไร” หลินสวินเงียบไปครู่ค่อยถาม
“ในที่แจ้ง จุดประสงค์ของพวกเขาเรียบง่ายมาก คือมาเพื่อองค์ชายเก้าที่ถูกถอดฐานันดรศักดิ์ จะพาองค์ชายเก้าไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ”
จ้าวไท่ไหลอธิบายอย่างใจเย็น “เจ้าเองก็รู้ว่า ท่านตาขององค์ชายเก้าเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในสำนักกระบี่เทียมฟ้า หลังจากพวกเขาได้ยินสิ่งที่องค์ชายเก้าประสบ แน่นอนว่าย่อมไม่นั่งดูดาย”
หลินสวินพยักหน้า
เขารู้เหตุผลดี
เมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นเพราะเหมิงหรง มารดาขององค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินส่งข่าว ทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ารู้ว่า ในร่างของหลินสวินที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานมีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินแต่กำเนิด
หลังจากนั้นเพื่อแสวงหาสิ่งที่เรียกว่ามหามรรคสมบูรณ์ อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนจักรวรรดิเพียงลำพัง เข้ามาสังหารตระกูลหลิน ฆ่าคนตระกูลหลินสายตรงในชั่วข้ามคืน และชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดในกายหลินสวินซึ่งเพิ่งอยู่ในผ้าห่อทารกไป
ภายหลังเรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิเดือดดาล ปลดตำแหน่งกุ้ยเฟยของเหมิงหรง ทว่าเพราะอานุภาพของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จักรพรรดิจึงทำได้เท่านี้
สุดท้ายเหมิงหรงนั่นถูกบิดาของนาง ซึ่งก็คือผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งพาออกจากจักรวรรดิไป
ส่วนองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจิน ก็เพราะเรื่องนี้จึงถูกจักรพรรดิละเลย จนกระทั่งช่วงก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน ทำให้องค์ชายถูกถอดยศ ถูกคุมตัวไปยังส่วนลึกของพระราชวังเพื่อเฝ้าสุสานบรรพบุรุษ ถูกกักบริเวณตลอดชีวิตไม่สามารถออกนอกบริเวณได้
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะส่งคนมา หมายจะพาองค์ชายเก้าที่ถูกควบคุมและกักบริเวณไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าท่านตาขององค์ชายเก้าจะต้องออกแรงอยู่เบื้องหลังแน่!
หลินสวินใคร่ครวญอยู่ครู่ก็ถามว่า “ในเมื่อนี่เป็นจุดประสงค์ในที่แจ้งของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นจุดประสงค์ในที่ลับของพวกเขาคืออะไร”
จ้าวไท่ไหลมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูด “น่าจะเกี่ยวกับเจ้า”
“อวิ๋นชิ่งไป๋รู้แล้วหรือว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” หลินสวินเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
จ้าวไท่ไหลพยักหน้า “แต่ที่นี่คือในจักรวรรดิ แม้อวิ๋นชิ่งไป๋มาก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายอีก ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้มาด้วย เจ้าไม่มีอะไรต้องห่วง”
หลินสวินเงียบ
อวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณตั้งนานแล้ว เรียกได้ว่าต่ำกว่าระดับราชันไม่มีใครสู้ได้
ในข่าวลือ เขาคนนี้มีจิตใจมั่นคง ความสามารถโดดเด่น เข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่เขาฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
เหนือหัวเขามีรัศมีสะดุดตามากมาย ราวกับผู้กล้าจากสวรรค์ ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในดินแดนรกร้างโบราณเกรงกลัวและชื่นชม
เผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ แม้หลินสวินอยากเข้าไปสังหารถึงที่แทบทนไม่ไหว แต่ความจริงกลับโหดร้าย เขาเชื่อมั่นอย่างมากว่า ตนในตอนนี้หากเผชิญหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ แม้ยืมอานุภาพจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะสังหารอีกฝ่ายได้
อย่างไรถึงเรียกว่าต่ำกว่าระดับราชันไม่มีใครสู้ได้
นั่นก็คือแม้แต่ราชันกึ่งระดับยังไม่อยู่ในสายตาของอวิ๋นชิ่งไป๋!
จากจุดนี้ก็รู้ได้ว่าคนอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งเพียงใด
อีกอย่างหลินสวินมีความกังวลอย่างหนึ่ง ข่าวสารที่เขารู้ล้าสมัยไปแล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาตั้งนานแล้ว!
“อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้มาหรือ ก็จริง เขาช่วงชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดของข้าไปตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้อาจจะก้าวสู่มหามรรคสมบูรณ์ที่เขาแสวงหาตั้งนานแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจเด็กที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงทารกในสายตาเขาอย่างข้า ว่าจะสามารถทำให้เกิดคลื่นลมที่ยิ่งใหญ่เพียงใด”
สีหน้าของหลินสวินไม่ยินดียินร้าย น้ำเสียงเรียบเฉย “หรือบางที ต่อให้เขารู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของข้า เกรงว่าก็คงไม่เคยใส่ใจ”
แต่จ้าวไท่ไหลกลับรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของหลินสวินในตอนนี้ผิดปกติมาก เขาอดพูดไม่ได้ “การต่อสู้มหามรรคไม่แบ่งแยกก่อนหลัง ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงกำลังอธิบายความจริงประการหนึ่ง เช่นนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ข้าอยากให้เขามองข้ามข้าไปเสีย ถ้าเป็นเช่นนี้รอวันหนึ่งตอนที่ข้าไปแก้แค้นเขา จึงจะทำให้เขาตายอย่างอนาถมากกว่า!”
“อีกเดี๋ยวเมื่อกลับถึงนครต้องห้าม เจ้าอยู่ที่ภูเขาชำระจิตสักระยะก่อน รอข้าสืบว่าเหล่าผู้มาเยือนจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าต้องการทำอะไรกันแน่ ค่อยเตรียมตัวก็ยังไม่สาย”
จ้าวไท่ไหลย้ำเตือนอย่างเคร่งขรึม
“ได้”
หลินสวินรับปาก
พลบค่ำวันนั้นหลินสวินกลับมาถึงหน้าภูเขาชำระจิต มองประตูภูเขาอันคุ้นเคย ในใจเขาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เพื่อตระกูลหลินในวันนี้ ขอเพียงแค่เขาหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีทางยอมให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตซ้ำรอยอีก!
บนภูเขาชำระจิต ในตำหนักชำระจิต
พญาแร้งเรียกรวมบุคคลสำคัญของตระกูลหลินมาเหมือนปกติ กำลังปรึกษาหารือและจัดการธุระต่างๆ ในตระกูล
พวกหลินจง เสี่ยวเคอ หลินไหวหย่วน จูเหล่าซานต่างอยู่กันพร้อมหน้า
นอกตำหนัก ราชันอินทรีแดงแหงนหน้าเชิดอก ยืนอยู่บนชายคาห้องโถงอย่างภาคภูมิ ขนสีแดงทั่วลำตัวราวกับไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกโหม อานุภาพทรงพลัง
“จิ๊บๆ~”
ทันใดนั้นก้อนกลมๆ อ้วนๆ สมบูรณ์ก้อนหนึ่งโผล่ออกจากอกของเสี่ยวเคอ มันมีตากลมๆ จมูกกลมๆ หูกลมๆ ร่างกายก็กลมมนนุ่มมาก น่ารักอย่างที่สุด
เป็นเจ้าจิ๊บจิ๊บนั่นเอง
“เป็นอะไรเจ้าจิ๊บจิ๊บ หิวแล้วหรือ” เสี่ยวเคออึ้งงัน คิดว่าเจ้าตัวเล็กหิวแล้ว
“จิ๊บๆ~”
เจ้าตัวเล็กราวกับรับรู้ได้ถึงบางอย่าง ร่างกลมๆ พลันดิ้นออกจากอ้อมอกของเสี่ยวเคอ
มันเหมือนตื่นเต้นมาก ปากเล็กส่งเสียงจิ๊บๆ ใสกระจ่างและถี่ยิบ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นไฟสายหนึ่งพุ่งออกนอกตำหนักไป
ทุกคนที่กำลังปรึกษาหารือกันต่างตะลึง ที่ผ่านมาเจ้าจิ๊บจิ๊บว่านอนสอนง่ายมาก ไม่เคยตื่นเต้นและผิดปกติเช่นนี้มาก่อน
สายตาของทุกคนอดมองไปยังนอกตำหนักไม่ได้
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความดีใจของราชันอินทรีแดงก็ดังขึ้นจากนอกตำหนัก “นายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว!”
ตอนที่ 743 ข่าวคราวของสหายเก่า
โดย
ProjectZyphon
ผู้นำตระกูลกลับมาแล้ว!
บนภูเขาชำระจิตคึกคักกันทั่วหน้า กลุ่มบุคคลสำคัญของตระกูลหลินถูกเรียกมารวมตัวกันอยู่ในโถงใหญ่ตำหนักชำระจิตโดยพร้อมเพรียง
แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างพวกหลินซีซี หลินอวิ๋นเหิงและหลินเป่ยกวงต่างมากันพร้อมหน้า
นอกตำหนัก กลุ่มลูกหลานสายรองทั้งหมดต่างยืนรออยู่เงียบๆ อย่างเคร่งขรึม
ยิ่งบริเวณที่ไกลออกไป บ่าวรับใช้และคนคุ้มกันมากมายกำลังปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง
พูดได้ว่าชั่วขณะที่รู้ว่าหลินสวินกลับมา ทุกคนในภูเขาชำระจิตต่างหยุดการกระทำในมือลงและมาต้อนรับ!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เพียงพอจะยืนยันว่าได้ว่า ตอนนี้ฐานะของหลินสวินในตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
หรือพูดอีกอย่างว่า นี่คืออานุภาพของผู้นำตระกูล!
ภายในโถงใหญ่ตำหนักชำระจิตตอนนี้ บรรยากาศยังคงเคร่งขรึม กลุ่มแกนนำอย่างพวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง หลินไหวหย่วน จูเหล่าซานยังคงเข้าร่วมประชุมตามลำดับ
ในเวลาเดียวกันเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลสายรองต่างนั่งอย่างเรียบร้อย ไม่กล้าเฉยเมยดูแคลนสักนิด
หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง มองแต่ละใบหน้าที่คุ้นเคยในห้องโถง มองดูกลุ่มลูกหลานตระกูลหลินนอกโถง รวมทั้งผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ในใจเขาพลันสงบและเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความทุ่มเทและการต่อสู้ของตนตั้งแต่เข้าสู่นครต้องห้าม ก็เพื่อทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามิใช่หรือ
ตอนนี้ในที่สุดตระกูลหลินก็ผงาดขึ้นมาในนครต้องห้ามอีกครั้ง หยัดยืนด้วยท่าทีอันแข็งแกร่ง แนวโน้วที่จะพัฒนาขึ้นไม่สามารถขวางกั้นได้แล้ว!
ตอนที่อารมณ์ของหลินสวินกำลังไหวกระเพื่อมอยู่นั้น ทุกคนในโถงต่างกำลังสังเกตหลินสวินที่หายไปนานครึ่งปี
‘ร่างกายอาบกลิ่นอายเข่นฆ่า บุคลิกยิ่งดูหนักแน่น เมื่อเทียบกับตอนแรก กลายเป็นคนละคนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย…’
พญาแร้งถอนหายใจในใจ เขาแทบจะคอยมองดูอยู่ตลอด ว่าหลินสวินประสบความสำเร็จในนครต้องห้ามทีละก้าวได้อย่างไร
‘เจ้าหนูนี่ยิ่งลึกลับเกินคาดเดาแล้ว’
แววแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งแวบผ่านดวงตาคู่ใสของเสี่ยวเคอ ตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด หลินสวินยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น
ยามนี้เขาได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า บุคลิกราวกับภูผามหาสมุทร อกใจซ่อนตะวันจันทรา แม้เป็นคนใหญ่คนโตบางคนที่กุมอำนาจในนครต้องห้าม หากพูดถึงความน่าเกรงขาม น่ากลัวว่ายังแพ้หลินสวินสามส่วน!
‘ดูตื้นลึกหนาบางไม่ออกเลยสักนิด…’
ภายใต้สีหน้าที่เงียบขรึมพูดน้อยของจูเหล่าซาน ความจริงกลับสั่นไหวไม่น้อย หลินสวินในตอนแรกยังต้องให้เขาคุ้มครองดูแลอยู่เลย
แต่ตอนนี้แม้แต่เขายังไม่สามารถมองความสามารถที่แท้จริงของหลินสวินออก นี่แสดงให้เห็นว่าพลังที่หลินสวินมีในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเหนือกว่าเขาไปแล้ว!
ในใจหลินไหวหย่วนตึงเครียดมาโดยตลอด เกร็งแข็งไปทั้งตัว
เมื่อครึ่งปีที่แล้วตอนเผชิญหน้ากับหลินสวิน เขายังไม่มีความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ แต่ตอนนี้หลินสวินเพียงนั่งอย่างสบายๆ กลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนผู้น้อยกำลังเผชิญหน้ากับผู้สูงส่งที่ครอบครองจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น!
ไม่เพียงแค่หลินไหวหย่วน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสระดับกระบวนแปรจุติอย่างพวกหลินซีซี หลินอวิ๋นเหิงและหลินเป่ยกวง ตอนนี้ต่างดูระมัดระวังอย่างมาก
พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายฆ่าฟันที่น่าพรั่นพรึงอย่างที่สุดจากตัวหลินสวิน ทำให้พวกเขาต่างหวาดผวา
นี่ทำให้ในใจของพวกเขาสั่นไหวและมึนงงไม่น้อย
ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปี ความสามารถของเจ้าหนูนี่น่าสะพรึงขึ้นอีกแล้ว!
เพียงแค่พลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับทำให้คนแก่อย่างพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและอึดอัด นี่ดูน่าทึ่งเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินไม่ได้จงใจสำแดงพลังของตน นี่เป็นบุคลิกอย่างหนึ่งที่หล่อหลอมออกมาจากประสบการณ์เข่นฆ่าในสมรภูมิกระหายเลือด
เขาในตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ผมยาวดำขลับทิ้งดิ่งลง ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับหุบเหว ใบหน้าหล่อเหลาดูสุภาพและเรียบเฉย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ มีกลิ่นอายโดดเด่นไม่แปดเปื้อนมลทิน
ทว่าขอเพียงรับรู้อย่างละเอียด ก็จะพบได้ไม่ยากว่า พลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาสมบูรณ์ไหลเวียน กลิ่นอายฆ่าสังหารอันไร้รูปพลุ่งพล่าน ทำให้เขามีความน่าเกรงขามและสะท้านวิญญาณเพิ่มเข้ามา
“ข้ากลับมาคราวนี้ อีกไม่นานก็จะมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ประการแรกเพื่อแก้แค้นให้กับเครือญาติตระกูลหลินสายตรงที่ถูกทำร้าย อีกประการคือเพื่อแสวงหามรรคาของข้า”
ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนิ่งสงบ หลินสวินเปิดปากด้วยเสียงที่เรียบเฉยและชัดเจน ก้องอยู่ในห้องโถงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หัวใจทุกคนต่างสะท้าน นี่คือการตัดสินใจที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน!
“ก่อนไป ข้าหวังว่าจะสามารถเลือกคนในตระกูลที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถ ครอบครองอำนาจตระกูลหลินแทนข้า เรื่องนี้ให้ท่านพญาแร้งและลุงจงรับผิดชอบ หากทุกท่านที่นั่งอยู่มีความเห็นอะไรต่อการตัดสินใจนี้ก็พูดออกมาได้”
หลินสวินพูดถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดมองทุกคนในห้องโถงนิ่งๆ
สิ้นเสียงไปตั้งนาน ภายในห้องโถงยังคงเงียบเชียบ ไม่มีใครแสดงท่าทีต่อต้านใดๆ สักนิด
เห็นเช่นนี้หลินสวินจึงตัดสิน “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
……
“หากพูดถึงอิทธิพล ตอนนี้ตระกูลหลินของพวกเราไม่แพ้ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางแล้วงั้นหรือ”
หลังการประชุมของตระกูล เมื่อถามถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ หลินสวินก็อดแปลกใจไม่ได้
เพราะจากที่หลินจงพูด ในครึ่งปีมานี้แนวโน้มความรุ่งเรืองของตระกูลหลินเรียกได้ว่าราบรื่นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง!
ไม่เพียงแค่กิจการที่มีอยู่ในครอบครองขยายใหญ่ขึ้นกว่าเท่าตัว ยังมีการร่วมมือกับอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลกง ตระกูลเย่อย่างใกล้ชิดมากขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากนี้ภาคีนักสลักวิญญาณ สาขาสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ สามมหาอำนาจด้านการสลักวิญญาณก็ไปมาหาสู่กับตระกูลหลินอยู่บ่อยๆ เปิดการร่วมมือกันมากมาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนครต้องห้ามในตอนนี้ เกือบทุกคนล้วนรู้ว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ ถึงขั้นที่จักรพรรดิยังเคยเขียนอักษร ‘เสียงจากหงส์ดรุณชัดเจนกว่าหงส์เฒ่า’ ฉบับหนึ่งกับมือมอบให้หลินสวิน
นี่เป็นเกียรติที่หายากมาก!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลหลินไม่อยากผงาดขึ้นมายังยากมาก
“ฮ่าๆ ตามรากฐานแล้ว บางทีพวกเราอาจด้อยกว่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางไปบ้าง แต่ถ้าพูดถึงด้านอิทธิพล กวาดสายตามองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางทั่วทั้งนครต้องห้าม ก็ไม่มีใครเทียบกับตระกูลหลินของเราได้!”
ใบหน้าของหลินจงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เห็นเช่นนี้หลินสวินก็รู้สึกโล่งใจทันที ในใจแอบพูดว่า จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวไท่ไหลก็ถือว่าจัดการงานได้อย่างน่าไว้วางใจ อย่างน้อยสิ่งที่รับปากตนในตอนแรกก็ทำได้ทั้งหมดแล้ว ไม่เสียแรงที่ตนไปสมรภูมิกระหายเลือดมารอบหนึ่ง
ในขณะที่คุยกันจู่ๆ หลินจงก็พูดถึงเรื่องหนึ่ง “จริงสิ เมื่อสองสามวันก่อนมีคนหนุ่มคนหนึ่งชื่อกู่เหลียงมาเยือน บอกว่าเป็นสหายเก่าของนายน้อยขอรับ”
กู่เหลียงหรือ
หลินสวินนึกออกทันที ตอนที่ตนยังอยู่ในเมืองตงหลิน เพื่อนคนเดียวที่มีก็คือกู่เหลียง
บิดาของกู่เหลียงนามว่ากู่เยี่ยนผิง เป็นเจ้าของโถงทองคำ ฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญา ตอนนั้นให้การดูแลหลินสวินมากมาย
ส่วนกู่เหลียงเองก็ไม่เลว สืบทอดกิจการจากบิดา นิสัยนิ่งขรึมแต่มีไหวพริบ กับหลินสวินนั้นเรียกได้ว่าเป็นสหายรู้ใจ
หลินจงยังคงพูดต่อ “นายน้อย ข้าไปสืบมาแล้ว กู่เหลียงคนนี้เป็นหลงจู๊น้อยของโถงทองคำ จะว่าไปโถงทองคำนี้เป็นเพียงกิจการหนึ่งในมณฑลซีหนาน และเพิ่งจะขยายอำนาจมาถึงนครต้องห้ามเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา…”
หลินสวินเอ่ยถาม “ลุงจง ตอนนี้กู่เหลียงอยู่ที่ไหน”
“ช่วงที่ผ่านมาโถงทองคำได้มาเปิดกิจการแห่งหนึ่งทางตะวันออกของนครต้องห้าม คุณชายกู่เหลียงท่านนี้อยู่ที่นั่นเหมือนอย่างที่คาดการเอาไว้ขอรับ”
หลินจงตัดสินได้ในทันทีว่า ที่กู่เหลียงอ้างว่าเป็นสหายเก่าของนายน้อยนั้นคงไม่ได้โกหก
“จากที่ข้ารู้จักเขา ถ้าเขามาพบข้า ย่อมต้องมั่นใจก่อนว่าข้ายังอยู่บนภูเขาชำระจิตหรือไม่ แต่หลายวันก่อนเขากลับมาโดยตรง เรื่องนี้ถือว่าผิดปกติไม่น้อย เขาน่าจะเจอปัญหาที่ยากรับมือบางอย่างแน่ๆ…”
หลินสวินลุกขึ้นยืน “ลุงจง เตรียมการหน่อย ข้าจะไปพบกู่เหลียง”
……
เขตตะวันออกของนครต้องห้าม
สถานที่แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ร้านค้ามากมายตั้งอยู่ในนั้น ดึงดูดผู้ฝึกปราณจากทั่วสารทิศของจักรวรรดิเข้ามาทุกวัน
สิบกว่าวันก่อนในย่านที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ มีการเปิดร้านใหม่ที่ชื่อว่าโถงทองคำ
ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ ตั้งแต่วันแรกที่โถงทองคำเปิดทำการก็มีปัญหาไม่หยุดหย่อน จะถูกกลุ่มผู้ฝึกปราณอออยู่หน้าประตูทุกวัน ไม่อนุญาตให้ลูกค้าคนอื่นเข้า
คนที่มีตาต่างมองออกว่านี่เป็นการ ‘ก่อกวน’!
วันนี้ก็เช่นกัน
ช่วงเช้าเป็นเป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของวัน ผู้คนขวักไขว่ไปมาอยู่ในย่านนี้ พลุกพล่านวุ่นวาย สะบัดเหงื่อราวกับสายฝน
ทว่ามีเพียงหน้าประตูใหญ่ของโถงทองคำที่มี ‘กำแพงคน’ ขวางอยู่ นั่นเป็นกลุ่มผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจมาก ปิดกั้นที่แห่งนั้นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป
และในห้องโถงโถงทองคำ มีเสียงที่แหลมแตกพร่าราวกับเสียงฆ้องแตกกำลังตะโกน “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ผ่านไปหลายวันขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังไม่เห็นคนของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตออกหน้าช่วยเจ้าเล่า เจ้ายกตระกูลหลินมาขู่กันชัดๆ!”
ผู้ที่ตะโกนคือชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหม ไว้หนวดสองเส้นเป็นเลขแปด (八) เขาน้ำลายกระเซ็น นิ้วแทบจะทิ่มหน้ากู่เหลียงอยู่แล้ว ท่าทางหยิ่งหยองอย่างที่สุด
“ถุ้ย! เจ้ามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเจ้า ไม่เรียนไม่มีวิชา สักแต่พูดโกหก แล้วยังอยากเปิดโถงทองคำบ้าๆ นี่ในนครต้องห้ามงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
ใบหน้าของชายกลางคนที่ไว้หนวดสองเส้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก “อย่ามาบอกว่าเจ้ารู้จักผู้นำตระกูลหลินเลย แม้จะรู้จักก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเจ้าได้! เจ้าและพ่อของเจ้าเป็นความอับอายของตระกูลกู่ เป็นพวกที่ถูกขับไล่ออกจากนครต้องห้าม ตราบใดที่ตระกูลกู่ของเรายังอยู่ในนครต้องห้าม พวกเจ้าก็อย่ากลับมาอีก จำเอาไว้!”
กู่เหลียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าดูแย่มาก นิ้วมือจิกบนฝ่ามือแน่น หน้าอกข่มกลั้นความเดือดดาลและชิงชังที่แทบจะระเบิดออก
ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านามว่ากู่ยง นับตามศักดิ์แล้วยังเป็นอาสามของกู่เหลียง แต่กู่เหลียงรู้ว่า ‘อาสาม’ คนนี้ไม่ได้นับตนเป็นญาติ ถึงขั้นที่พอรู้ว่าตนกลับนครต้องห้าม ยังคิดจะ ‘ฆ่าให้หมด’!
“ท่านต้องการอะไรกันแน่” กู่เหลียงพยายามข่มกลั้นความเดือดดาลในใจแล้วพูด
“ต้องการอะไรงั้นหรือ คำถามนี้ปัญญาอ่อนดีจริงๆ”
กู่ยงหลุดขำออกมา “แต่ในเมื่อเจ้าอยากรู้ งั้นข้าจะบอกเจ้าตอนนี้เลย”
พูดถึงตรงนี้เขาก็สะบัดฝ่ามือใหญ่ พูดอย่างหยิ่งผยองเต็มประดา “เด็กๆ เข้ามาทุบโถงทองคำเห็บหมานี่ซะ! ใครกล้าขัดขวางก็ฆ่าได้เลย!”
ทันใดนั้น กลุ่มคนตระกูลกู่ที่เตรียมพร้อมรับคำสั่งอยู่แล้วก็ออกมาตามคำสั่ง
ตอนที่ 744 รับผิดโดยดี
โดย
ProjectZyphon
ปัง! ปัง! ปัง!
ในโถงทองคำ เสียงแตกพังดังขึ้นเป็นระยะ คนในตระกูลกู่เหล่านั้นเริ่มลงมืออย่างหยาบคาย ทุบทำลายของมีค่าอันเลื่องชื่อที่สุดภายในโถงจนป่นปี้
“พวกเจ้าช่างกล้า!”
กู่เหลียงโกรธโดยสิ้นเชิง พุ่งถลาไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาปูดโปน
“ถ้าเจ้ากล้าลงมือ ที่นี่จะต้องนองเลือด!”
นัยน์ตากู่ยงเฉียบคม กวาดมองบริเวณที่ห่างออกไปอย่างไม่แยแส ที่ตรงนั้นมีผู้ติดตามและคนรับใช้ของโถงทองคำตกใจจนตัวสั่นงันงกยืนอยู่เป็นกลุ่มก้อน
“พวกเจ้า… พวกเจ้าข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว!”
กู่เหลียงโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาแดงก่ำ ข้ารับใช้และผู้ติดตามเหล่านั้นต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ หากพวกเขาต้องพลอยรับเคราะห์เพราะตน เขาคงยากทำใจให้สงบได้!
ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้กู่ยงก็ยิ่งครึ้มใจ กล่าวพลางหัวเราะว่า “จัดการกับเศษสวะกระจ้อยร้อยอย่างเจ้า ยังมีเรื่องที่พวกข้าไม่กล้าทำด้วยหรือ”
คนตระกูลกู่ที่กำลังทุบทำลายโถงทองคำเหล่านั้นก็หัวเราะครืนไม่สิ้น
กู่เกลียงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า กล่าวด้วยสีหน้าคล้ำเขียว “ข้าเคยบอกแล้วว่าโถงทองคำแห่งนี้ไม่ใช่แค่ของข้ากับท่านพ่อข้าเท่านั้น พวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าผู้นำตระกูลหลินจะลงโทษพวกเจ้าหรือ ถึงตอนนั้นกลัวแต่พวกเจ้าตระกูลกู่รวมตัวกันก็ยังแบกรับไม่ไหวด้วยซ้ำ!”
กู่ยงปั้นหน้าขรึมทันที กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ระยำจนป่านนี้แล้ว เจ้ายังเอาตระกูลหลินมาขู่พวกข้าอีก หากผู้นำตระกูลหลินมีความเกี่ยวข้องกับโถงทองคำ เหตุใดหลายวันมานี้ถึงไม่หือไม่อือเลยเล่า”
กู่เหลียงพลันจนคำพูด เพียงแต่สีหน้ายิ่งเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ มองดูร้านที่ตนเพิ่งเปิดหมาดๆ ด้วยความยากลำบากถูกทุบทำลายทิ้งทั้งอย่างนี้ หัวใจของเขาเจ็บแปลบไม่สิ้นสุด จวนเจียนกระอักเลือด
“เจ้าถอดใจเสียเถอะ!”
กู่ยงกล่าวอย่างดูหมิ่นถิ่นแคลน “หากวันนี้ผู้นำตระกูลหลินมาด้วยตัวเอง ให้ข้าคุกเข่าโขกหัวก็ได้ทั้งนั้น แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่านี่เป็นไปไม่ได้ นครต้องห้ามในปัจจุบัน ใครบ้างไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลหลินเป็นถึงผู้กล้าไร้เทียมทาน ชื่อเสียงน่าเกรงขาม แม้แต่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงยังไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ บุคคลโดดเด่นที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้าเช่นนี้ ไหนเลยจะมาข้องเกี่ยวกับโถงทองคำเฮงซวยห่วยแตกของเจ้า”
ไม่กี่วันก่อนเขาก็เคยนำคนในตระกูลมุ่งหน้ามาทำลายสถานที่นี้ แต่กลับถูกกู่เหลียงเอ่ยอ้างความสัมพันธ์กับหลินสวินผู้นำตระกูลหลินจนตกใจ สุดท้ายก็จากไปด้วยความตื่นกลัว
เพียงแต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่า หลินสวินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นโถงทองคำประสบปัญหา
ดังนั้นกู่ยงจึงพลันอับอายจนพาลโกรธ คิดว่าตนติดกับเสียแล้ว ฉะนั้นจึงนำคนในตระกูลยกทัพกลับมาอีกครั้ง
ในตอนแรกเขาเองก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย ดังนั้นตอนที่พุ่งเป้าใส่โถงทองคำจึงยั้งไม้ยังมืออยู่บ้าง ไม่กล้าทำเกินเหตุนัก
ทว่าหลังจากเขาหยั่งเชิงอยู่หลายวัน ก็พบว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้กู่ยงมั่นใจในที่สุดว่าตนนั้นติดกับของกู่เหลียงเข้าให้แล้ว
ไอ้เศษเดนนี่กำลังเขียนเสือให้วัวกลัวอยู่!
ภายใต้ความอับอายจนพาลโกรธ วันนี้กู่ยงมาด้วยไอสังหารท่วมท้น ตัดสินใจมั่นว่าจะไม่ยั้งมืออีกต่อไป จะทำลายโถงทองคำสิ้นซาก ทำให้เจ้าเศษสวะกู่เหลียงหนีอุตลุดออกจากนครต้องห้ามแบบจับเจ่าเศร้าซึม
และก็เพราะมีความคิดเช่นนี้เป็นพื้นฐาน กู่ยงถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจเต็มพิกัดเช่นนี้ออกมา
เวลานี้เขาถึงขั้นครึ้มใจที่ตนเองมองเห็นธาตุแท้ใน ‘คำโกหก’ ของกู่เหลียง เปิดโปง ‘เจตนาชั่วร้าย’ ของเจ้าเด็กคนนี้
“เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง” ท่าทางของกู่เหลียงซึมกะทือ ในครรลองสายตาเขา โถงทองคำที่แสนวิจิตรงดงามแต่เดิม เวลานี้ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ยับเยินป่นปี้ ระเนระนาดเกลื่อนพื้น สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขากระตุกเกร็ง
“เสียใจภายหลัง?”
กู่ยงระเบิดหัวเราะลั่น “ข้ากู่ยงทำการใดยังไม่เคยเสียใจภายหลัง!”
ตุบๆ!
ในเวลานี้เอง ผู้ฝึกปราณตระกูลกู่ที่อออยู่หน้าประตูใหญ่โถงทองคำเป็น ‘กำแพงมนุษย์’ เหล่านั้น กลับเหมือนพบเจอการพุ่งชนของวัวป่าเถื่อนโบราณ แต่ละคนลอยกระเด็นเข้ามาในโถงดุจว่าวที่เชือกขาด กลิ้งหลุนๆ เต็มพื้น
เสียงโหยหวนและคร่ำครวญดังขึ้น
“บังอาจ! ใครแม่งกล้าขัดขวางตระกูลกู่ของข้า”
รอยยิ้มของกู่ยงพลันแข็งทื่อในบัดดล ตะคอกอย่างเดือดดาลขึ้นมา รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจอยู่บ้าง
“เจ้าบอกว่าขอแค่ข้ามา เจ้าจะคุกเข่าโขกหัว ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่ไม่คุกเข่า กลับยังกล้าพูดจาหยาบคายกับข้า ช่างใจกล้าเสียจริง”
ที่ตามหลังน้ำเสียงราบเรียบมาคือเด็กหนุ่มหล่อเหล่ารูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง เดินสาวเท้าเข้ามาในโถงทองคำโดยมีชายชราคนหนึ่งเดินเคียงมา
“เจ้าเป็นใคร”
นัยน์ตากู่ยงหดรัดลงเล็กน้อย สีหน้าท่าทีแคลงใจไม่มั่นคงอยู่บ้าง
ผู้ฝึกปราณตระกูลกู่ที่กำลังทุบทำลายโถงทองคำอยู่ ก็ถูกการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ทำเอาตกใจเช่นกัน เวลานี้ต่างพากันหยุดการเคลื่อนไหว ทอดสายตามองมา
“เจ้าคุกเข่าลงไปก่อนแล้วค่อยพูดกับข้า”
เด็กหนุ่มคนนั้นย่อมเป็นหลินสวิน เขาชำเลืองมองกู่ยงปราดหนึ่งแล้วคร้านจะใส่ใจอีก มองไปทางกู่เหลียง
“ข้ามาช้าไป” หลินสวินค่อนข้างรู้สึกผิด
กู่เหลียงส่ายหน้า เผยรอยยิ้มจากใจพลางกล่าว “ไม่ถือว่าช้า อย่างน้อยในนครต้องห้าม ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีกครั้งแล้ว”
“จะ… เจ้า… เจ้าคือ…”
ยามนี้นัยน์ตากู่ยงเบิกตากว้างสุดแรงเหมือนคาดเดาบางอย่างออก มีท่าทีคล้ายเห็นผีตัวเป็นๆ ตาค้างโดยสิ้นเชิง
ตุบ!
เวลานี้หลินจงเดินมาข้างหน้า ฝ่ามือตบบนตัวกู่ยงเบาๆ ฝ่ายหลังก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบ กระดูกเข่าทั้งสองข้างพลันแตกละเอียด ปวดจนแก้มเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา สูดลมหายใจเย็นเยียบไม่หยุด
เขาไม่กล้าร้องออกเสียง เนื่องจากตกใจกลัวจนเบลอแล้วจริงๆ เหงื่อเย็นเปียกชุ่มหน้าผาก มีท่าทีตกใจอย่างท่วมท้น
ถ้าเขาเดาถูก เช่นนั้นฐานะของเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนั้นก็ชัดเจนแล้ว
เพียงแต่ต่อให้ตีหัวกู่ยงก็ยังคิดไม่ถึง บุคคลไร้เทียมทานผู้มีชื่อเสียงทั่วจักรวรรดิ ถูกเรียกว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ไฉนจึงมาข้องเกี่ยวกับโถงทองคำซึ่งไม่เป็นที่รู้จักได้!
ความรู้สึกนั้นก็เหมือนดั่งมังกรเทพบนสวรรค์มีความสัมพันธ์กับมดตัวหนึ่งบนพื้นดิน เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“ไม่ได้ยินที่นายน้อยของข้าพูดรึ คุกเข่าลงค่อยพูด!” หลินจงตักเตือนหนึ่งครา กุมสองมือไว้ด้านหน้า ยืนอยู่ข้างกายหลินสวิน
ด้านข้าง ผู้ฝึกปราณของตระกูลกู่พวกนั้นล้วนตกใจจนอึ้งค้าง
หนึ่งชายชราหนึ่งเด็กหนุ่มโผล่มากะทันหัน ซัดทะลวง ‘กำแพงมนุษย์’ ที่ขวางอยู่หน้าประตูอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เดินเข้าไปในโถงด้วยท่าทางเยือกเย็นราวกับทอดน่องมิปาน พลังอำนาจอันไร้รูปประเภทนั้นทำให้พวกเขาล้วนตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะอย่างกู่ยงถึงกับถูกตบให้คุกเข่าลงกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียวแบบง่ายๆ หัวใจของผู้ฝึกปราณตระกูลกู่ล้วนสั่นระริกขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ครั้งนี้… ดูเหมือนจะเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าให้จริงๆ แล้ว!
ส่วนด้านนอกโถงทองคำ ผู้ฝึกปราณมากมายที่มารายล้อมอยู่ก่อนเพื่อรอชมเรื่องสนุก ในนั้นไม่ขาดบุคคลเก่งกาจส่วนหนึ่งเลย
เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกปราณตระกูลกู่พวกนี้ที่เมื่อครู่ยังอวดดีนักหนา แต่ละคนทุบทำลายร้านค้าของผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้กลับทรุดสลายและตกตะลึง ผู้ฝึกปราณที่ชมอยู่รอบนอกเหล่านี้ต่างก็อดตกอกตกใจไม่ได้
ใครกันช่างใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นกล้าขัดขวางตระกูลกู่
ถึงแม้ตระกูลกู่มิได้โดดเด่นเท่ากับเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางของจักรวรรดิ
ที่ผ่านมาไม่เคยถูกคนปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน!
จากนั้นมีผู้ฝึกปราณตาแหลมจำบางอย่างได้ อดกล่าวเสียงขาดห้วงไม่ได้ “สวรรค์ นั่นหลินสวิน ผ่านไปนานครึ่งปี เขาปรากฏกายอีกครั้งแล้ว!”
หินก้อนหนึ่งก่อเกิดคลื่นนับพัน นอกโถงทองคำฮือฮากันเป็นแถบในบัดดล ตระหนักได้ในที่สุด มิน่าเด็กหนุ่มคนนั้นถึงกล้าทำกับคนตระกูลกู่เช่นนี้ ที่แท้เป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ดุร้ายหาใดเปรียบ ชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้ามาเยือนนั่นเอง
คราวนี้ตระกูลกู่เตะโดนเหล็กเข้าให้จริงๆ แล้ว!
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากอดมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นมิได้
ส่วนผู้ฝึกปราณบางคนที่เลื่อมใส่หลินสวินถึงที่สุด ถึงขั้นอดใจไม่อยู่พากันขันอาสาร่วมลงมือ
“คุณชายหลินสวิน ต้องการให้พวกข้าช่วยเหลือหรือไม่”
“คนตระกูลกู่พวกนี้ข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว ต่อหน้าคนมากมาย ถึงกับทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ นี่มันน่าโมโหยิ่งนัก คุณชายหลิน พวกข้ายินดีช่วยเหลือท่าน ร่วมกันกำจัดพวกสามานย์ไร้คุณธรรมพวกนี้!”
ได้ยินเสียงอื้ออึงนอกโถง กู่ยงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแทบลมจับล้มพับไป
เขาไหนเลยจะเคยคาดคิด ระแวดระวังขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าผลสุดท้ายยังหกคะเมนอยู่ใน ‘คำโกหก’ นั้น
ไม่สิ!
นี่แม่งไม่ใช่คำโกหกเลยแม้แต่น้อย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้กู่ยงแทบอยากตบตัวเองสักฉาด ถึงกับล่วงเกินจนผู้นำตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตคนนี้ปรากฏตัว
เมื่อนึกถึงวีรกรรมป่าเถื่อนที่ ‘คนโหดเหี้ยม’ ผู้นี้เคยทำมาทั้งหมดในนครต้องห้าม กู่ยงถึงขั้นคิดจะตายแล้วด้วยซ้ำ สภาพจิตใจในตอนนี้แทบหาคำมาสาธยายไม่ได้
หวาดกลัว?
ตกใจ?
นึกเสียใจ?
บางทีอาจมีรวมกันทั้งหมด
สรุปแล้วสีหน้าของกู่ยงในตอนนี้ซีดเซียวยิ่งนัก เหมือนบุพการีสิ้นชีพก็ไม่ปาน
“ข้าจำได้ว่าคราวก่อนตอนเราสองคนพบกันที่เมืองหมอกอำพราง ก็แทบจะเป็นภาพคล้ายๆ กันนี้ เหตุใดมาถึงนครต้องห้ามแล้วยังเกิดเรื่องแบบนี้อยู่อีก”
หลินสวินไม่ได้สนใจอย่างอื่น สายตาเพียงมองไปที่กู่เหลียง
“พูดไปแล้วเรื่องมันยาว”
กู่เหลียงถอนหายใจ “เรื่องพวกนี้ อันที่จริงเกี่ยวโยงถึงบุญคุณความแค้นบางอย่างของบิดาข้ากับตระกูลกู่ ล้วนเป็นเรื่องเก่าในอดีตทั้งสิ้น เดิมทีข้านึกว่าข้ากับบิดาอดกลั้นและหลีกถอยเพียงพอแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจนป่านนี้ตระกูลกู่ก็ยังไม่คิดหยุดเพียงเท่านี้”
ทั้งสองพูดคุยจิปาถะกันอยู่ข้างๆ มองบุคคลอื่นในที่นั้นราวกับไม่มีตัวตน
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้กู่ยงและคนตระกูลกู่พวกนั้นยิ่งกลัวลนลานและกระสับกระส่ายขึ้นเรื่อยๆ รสชาติของการรอถูกกำจัด ชีวิตอยู่ในประตูมรณะเช่นนี้ ทำให้พวกเขาแทบล้มทั้งยืน
ส่วนด้านนอกโถงทองคำ กลุ่มคนที่มุงล้อมกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่ได้ยินว่าหลินสวินปรากฏกายอยู่ที่นี่แล้วเร่งรุดมาชมเรื่องสนุกกันทั้งนั้น
ช่วยไม่ได้ หลินสวินนิ่งเงียบไม่เคยปรากฏตัวมาครึ่งปีแล้ว การเคลื่อนไหวของผู้กล้าไร้เทียมทานคนหนึ่งเช่นนี้ เดิมก็ได้รับความสนใจมากอยู่แล้ว และตอนนี้เขาถึงกับปรากฏตัวอยู่ภายในร้านค้าที่ไม่มีใครรู้จักแห่งหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าจะดูดดึงเสียงเกรียวกราวได้มากเพียงใด
“ข้ากู่เทียนจาง นำสมาชิกตระกูลมาขอขมายอมรับผิดแต่โดยดี!”
ไม่นานนักนอกโถงทองคำพลันมีเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
กลุ่มคนที่ล้อมชมเรื่องสนุกอยู่นอกโถงทองคำถูกแหวกออก พลันเห็นชายชราคนหนึ่งนำขบวนชายหญิงมาด้วยความเร่งรีบ ท้ายที่สุดก็หยุดเท้าอยู่นอกโถงทองคำ แล้วพากันโน้มกายคารวะ
ภาพนี้ทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายตกตะลึงในบัดดล เพราะพวกเขาจำได้ว่ากู่เทียนจางผู้นั้นเป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลกู่!
นี่เป็นถึงเจ้าตระกูลแห่งตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางผู้หนึ่ง ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตมากอำนาจโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันเหล่าชายหญิงที่อยู่ข้างกายกู่เทียนจาง ต่างก็เป็นกลุ่มคนชั้นนำของตระกูลกู่ มีทั้งผู้อาวุโสและมีผู้ดูแล ไม่ขาดตกบุคคลชั้นแนวหน้าเลย
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับรุดหน้ามาพร้อมกันภายใต้การนำของกู่เทียนจาง ยอมรับผิดอยู่นอกโถงทองคำ ภาพเหตุการณ์ระดับนั้น แค่คิดก็รู้ว่าน่าตกใจมากเพียงใด!
ตอนที่ 745 เทียบท้าดวลจากผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า
โดย
ProjectZyphon
ด้านนอกโถงทองคำปราศจากสุ้มเสียง
แม้ผู้ฝึกปราณที่มุงดูเรื่องสนุกจะมีมาก ทว่าตอนที่มองเห็นคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจล้นฟ้าระดับกู่เทียนจางนำขบวนคนชั้นแนวหน้าตระกูลกู่รุดหน้ามา แสดงท่าทางพินอบพิเทายอมรับผิดโดยดุษณี ใครจะไม่ตกใจบ้าง
เมื่อก่อนข่าวลือที่เกี่ยวกับหลินสวินในนครต้องห้ามมีมากเหลือคณา วีรกรรมในตำนานของเขายังเป็นที่รู้จักแม้แต่ในหมู่สตรีและเด็ก
ทว่าอย่างไรเสียเรื่องพวกนี้ก็เป็นข่าวลือ แต่เมื่อมองเห็นภาพนี้เข้า ในที่สุดคราวนี้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างก็ตระหนักว่าอำนาจของหลินสวินแข็งแกร่งเพียงใด!
ผู้เป็นใหญ่แห่งตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางคนหนึ่งมาขอโทษด้วยตัวเองถึงที่ ยิ่งสะท้อนให้เห็นเลาๆ ว่าอำนาจอิทธิพลในนครต้องห้ามยามนี้ของหลินสวินน่าตกใจเพียงใด
ภายในโถงทองคำ กู่ยงที่คุกเข่าลงบนพื้นทรุดตัวลงโดยสิ้นเชิง แม้แต่ผู้นำตระกูลยังมาทันทีที่ได้ยินข่าว เอ่ยขอโทษด้วยตัวเอง สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่าครั้งนี้ประสบหายนะใหญ่หลวงเข้าให้จริงๆ แล้ว!
แม้วันนี้จะสามารถพ้นเคราะห์ไปได้ แต่ต่อจากนี้ในตระกูลกู่ย่อมไม่มีที่ให้ตนยืนอีกต่อไปแล้ว!
เมื่อนึกถึงจุดนี้กู่ยงแทบร้องไห้ออกมา เขาไหนเลยจะคาดคิด เพียงแค่พุ่งเป้าใส่เด็กที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่งในตระกูลเท่านั้น ไฉนถึงได้ดึงเอาบุคคลโหดเหี้ยมที่อำนาจทั่วนครหลวงอย่างผู้นำภูเขาชำระจิตมาด้วยเสียได้
ส่วนคนตระกูลกู่ที่มาพร้อมกับกู่ยง เวลานี้ต่างก็มีท่าทีร้อนรนกันทั้งสิ้น
เมื่อครู่พวกเขายังทำทีอวดเบ่งสำแดงอำนาจ ทุบทำลายโถงทองคำอย่างสามหาว หยิ่งผยองไร้ยางอายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับห่อเหี่ยวมะเขือถูกน้ำค้างแข็งปกคลุมก็มิปาน
“ผู้นำตัวจริงมาแล้ว เจ้าวางแผนจะจัดการอย่างไร”
หลินสวินเหลือบมองกู่เทียนจางและคนอื่นๆ ที่อยู่นอกโถงทองคำแบบส่งๆ แล้วเคลื่อนสายตามองกู่เหลียง
เวลานี้กู่เหลียงก็อึ้งงันเล็กน้อย เขาเองก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้พูดมากความอะไรเลยสักนิด และไม่ได้ทำอะไรด้วย แต่ตอนนี้กู่เทียนจางกลับนำขบวนคนชั้นแนวหน้าของตระกูลกู่มาขอโทษด้วยตัวเองถึงที่!
สิ่งนี้ทำให้กู่เหลียงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง สักพักกว่าจะตระหนักได้ในที่สุด ว่าหลินสวินในตอนนี้แตกต่างจากหลินสวินที่ตนรู้จักอย่างสิ้นเชิงมานานแล้ว
“ข้า…”
กู่เหลียงอ้าปากหมายจะเอ่ยคำ กลับเห็นกู่เทียนจางและคนใหญ่คนโตเบื้องบนที่อยู่นอกโถงล้วนส่งสายตามองมาที่เขากันหมด ในสายตาถึงกับเจือแววขอร้องอยู่รำไร
สิ่งนี้ทำให้กู่เหลียงค่อนข้างสับสนไปพักหนึ่ง
หากพูดกันถึงที่สุดแล้ว เขาก็นับว่าเป็นคนตระกูลกู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ปีนั้นถูกขับไล่ออกจากตระกูลก็เท่านั้น
ที่ผ่านมากู่เทียนจางและคนในตระกูลพวกนี้แม้จะทำให้กู่เหลียงชิงชังหาที่เปรียบมิได้ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากเกินไป
ทว่าตอนนี้เมื่อมองเห็น ‘พวกคนใหญ่คนโต’ เหล่านี้แต่ละคนกลับใช้ท่าทีวิงวอนมองมาที่ตน การเปลี่ยนแปลงชวนขันระดับนี้ ทำให้กู่เหลียงไม่อยากเชื่อไปชั่วขณะเลยทีเดียว
หลินสวินมองออกถึงความลังเลของกู่เหลียง กล่าวว่า “หากมีความแค้นที่คลี่คลายไม่ออก ก็ให้ข้าช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้เอง…”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ หัวใจของพวกกู่เทียนจางที่อยู่นอกโถงพลันรัดแน่นรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าหากเด็กหนุ่มเทพมารที่โหดเหี้ยมไร้ที่เปรียบอย่างหลินสวินเป็นคนลงมือ เช่นนั้นต่อให้พวกเขาตระกูลกู่เดิมพันทุกสิ่งที่มี กลัวแต่ว่ายังทำอะไรไม่ได้สักกระผีกด้วยซ้ำ!
สิ่งที่ทำให้พวกเขาลอบรู้สึกโชคดีคือ ไม่รอให้หลินสวินพูดจบก็ถูกกู่เหลียงตัดบท “ให้ข้าจัดการเองดีกว่า”
ประโยคเดียวทำให้พวกกู่เทียนจางรู้สึกผ่อนคลายทันที รู้สึกเหมือนปลดพันธนาการก็ไม่ปาน ราวกับจัดการภาระหนักอึ้งได้แล้ว
และในเวลานี้สายตาหลินสวินมองมาทางพวกเขา ถึงแม้สีหน้าจะราบเรียบ แต่กลับทำให้พวกกู่เทียนจางใจสะท้าน ก้มหน้างุดลงตามๆ กัน ถึงกับไม่กล้าสบตาหลินสวิน!
“โถงทองคำแห่งนี้เดิมก็มีส่วนของข้าอยู่ ตอนนี้กลับถูกคนของพวกเจ้าทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมีคำอธิบายที่ทำให้ข้าพอใจได้” หลินสวินกล่าวเอื่อยๆ
กู่เทียนจางเหงื่อกาฬท่วมศีรษะ รีบร้อนกล่าวว่า “คุณชายหลินโปรดวางใจ เรื่องนี้ตระกูลกู่ของข้าจะต้องชดเชยให้สิบเท่าร้อยเท่าแน่ และจะลงโทษผู้กระทำความผิดอุกฉกาจโดยไม่ผ่อนปรน!”
กล่าวจบ ภายในใจของเขาก็อดกราดเกรี้ยวขึ้นมาไม่ได้ แทบอดรนทนไม่ไหวอยากตบพวกกู่ยงให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ แหย่ใครไม่แหย่ ดันไปแหย่เด็กหนุ่มปีศาจอย่างหลินสวิน!
หรือไม่รู้ว่าสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉินล้วนถูกเด็กหนุ่มปีศาจคนนี้โจมตีจนบอบช้ำเต็มที ท้ายที่สุดก็ต้องจำยอมอย่างเสียไม่ได้
ไม่พูดเรื่องพวกนี้ ลำพังแค่ความโปรดปรานที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีต่อเด็กหนุ่มปีศาจคนนี้ ทั่วทั้งนครต้องห้ามแห่งนี้ ใครแม่งยังจะเบื่อชีวิตจนไปแหย่เจ้าเด็กนี่กัน
แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น…
เจ้าสารเลวพวกนี้ดันไม่มีตา!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่เทียนจางก็เกิดอยากฆ่าคนขึ้นมาเสียแล้ว
หลินสวินเห็นดังนี้ ก็รู้ว่ากู่เหลียงคงไม่มีความคิดจะมาสังสรรค์พูดคุยกันแน่ จึงกล่าวอำลาทันทีว่า “รอเจ้าจัดการเรื่องพวกนี้แล้วค่อยมาหาข้าที่ภูเขาชำระจิต พวกเรามาดื่มกันสักยกเถอะ”
“ดี!”
กู่เหลียงตกปากรับคำอย่างมีความสุข
หลินสวินไม่รอช้าอีกต่อไป กล่าวอำลาแล้วจากไปพร้อมกับหลินจงทันที ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองไปทางพวกกู่เทียนจางเลย
ส่วนด้านนอกโถงทองคำ ผู้ฝึกปราณที่ชมเรื่องครึกครื้นทั้งหมดเห็นว่าหลินสวินเดินออกมาแล้ว ต่างกระวีกระวาดปรี่เข้ามาทักทายปราศรัยอย่างกระตือรือร้น
“คุณชายหลินสวิน พวกข้าเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ไม่ทราบว่าร่วมดื่มเหล้ากับท่านสักจอกได้หรือไม่”
“ปฐมาจารย์หลิน ข้าคือนักสลักวิญญาณจากมณฑลซีหนาน ขอเรียนถามท่านว่ารับศิษย์หรือไม่”
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้มีสายตาร้อนแรง กระตือรือร้นยิ่งนัก ท่าทางที่แสดงออกเปี่ยมด้วยความเลื่อมใส ห้อมล้อมเบียดเสียดกันอยู่บนถนนที่หลินสวินกำลังมุ่งไป ดูตระการตาอย่างเห็นได้ชัด
“คุณชายหลิน ได้ยินว่า… ได้ยินว่าจนถึงตอนนี้ท่านยังไม่ได้แต่งงาน”
กระทั่งสาวน้อยอรชรบางคนก็ยังรวบรวมความกล้าก้าวมาข้างหน้า ล้วงหยกประดับที่พกติดตัวออกมาด้วยความรักหยาดเยิ้ม หมายจะมอบให้หลินสวินด้วยดวงหน้าแดงซ่าน
หลินสวินรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างโดยพลัน ยังดีที่มีหลินจงคอยช่วยคุ้มกันอยู่ตลอดทาง ถึงได้แทรกตัวออกมาจากฝูงชนที่แสนกระตือรือร้นได้
ส่วนพวกกู่เทียนจางเมื่อมองเห็นภาพนี้ ภายในใจล้วนอดปลงตกไม่ได้ คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง ดูจากภาพนี้ก็รู้ได้ว่าสมญานามนี้… หาใช่คุยโวออกมาไม่!
เมื่อสายตาของกู่เทียนจางกวาดมองผ่านกู่เหลียงที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่ตั้งใจ ในใจพลันกระตุก ‘ถ้าหากสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องในวันนี้ เผลอๆ อาจจะเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี กระชับความสัมพันธ์กับตระกูลหลินได้…’
เมื่อนึกถึงตรงนี้กู่เทียนจางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คลี่รอยยิ้มโอบอ้อมแล้วเดินเข้าไปในโถงทองคำ ถอนหายใจกล่าวว่า “กู่เหลียง หลายปีมานี้พวกเราตระกูลกู่ผิดต่อเจ้ากับพ่อของเจ้าเหลือเกิน เฮ้อ ผู้อาวุโสอย่างข้าในใจรู้สึกผิดบาปมากจริงๆ…”
……
บุญคุณความแค้นภายในระหว่างกู่เหลียงกับตระกูลกู่ หลินสวินไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก เขาเชื่อว่าในเมื่อตระกูลกู่รู้ความสัมพันธ์ของตนกับกู่เหลียงแล้ว จะต้องไม่กล้ามีความคิดไม่ดีใดๆ ต่อกู่เหลียงอีกเป็นแน่
เพียงแต่ขณะที่หลินสวินนั่งอยู่บนเกี้ยวสมบัติ เพิ่งเตรียมกลับภูเขาชำระจิตนั้น กลับเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งขวางอยู่หน้าเกี้ยวสมบัติของตน
“เจ้าก็คือหลินสวิน?”
เด็กหนุ่มคนนี้สวมชุดนักพรตสีพื้น ผมยาวมัดเป็นมวย ดูแล้วอายุยังน้อย ราวๆ สิบกว่าปี ทั่วสรรพางค์กายมีกลิ่นอายโดดเด่นพิสุทธิ์
เพียงแต่นัยน์ตาของเขากลับเจือแววทระนงรางๆ เสี้ยวหนึ่ง แม้กระทั่งคำพูดจายังเรียกชื่อของหลินสวินโต้งๆ
“นี่เป็นเจ้าเด็กบ้านไหนกัน พูดจาอันใดอยู่ รีบๆ หลบไปให้พ้น อย่ามาขวางทางคุณชายหลิน!” ผู้ฝึกปราณบางคนที่อยู่ข้างๆ ไม่พอใจยิ่งนัก ต่างพากันส่งเสียงประณาม คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างไร้มารยาทเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มหล่อเหลายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน มุมปากเป็นเส้นโค้งเสี้ยวหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ไหวติง มองข้ามคำด่าทอพวกนี้
“ไม่ผิด”
หลินสวินพยักหน้า เขาสัมผัสได้อย่างฉับไวว่ากลิ่นอายบนตัวเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนนี้ไม่ปกติยิ่ง มีท่วงทำนองเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง
“ข้าชื่อเฉินเฟิง มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า เจ้านายของข้าคือศิษย์สืบทอดสายในชิงเจ๋อ”
เด็กหนุ่มหล่อเหลาแนะนำตัวเอง เห็นชัดยิ่งว่าเขาเป็นแค่ผู้ติดตามคนหนึ่ง แต่ท่าทางของเขากลับเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด มีความทะนงตัวที่ซ่อมคมอยู่ มั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างชัดเจน
สำนักกระบี่เทียมฟ้า!
หัวใจของหลินสวินไหววูบ ปากกลับกล่าวว่า “อ้อ เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด”
พร้อมกันนั้นผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงต่างนึกคลางแคลงใจ ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ผู้ฝึกปราณอาวุโสบางคนยิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพราะพวกเขาต่างรู้ดี สำนักกระบี่เทียมฟ้าเป็นสำนักเก่าแก่แห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ รากฐานแข็งแกร่ง เพียงพอจะดูแคลนโลกแห่งการฝึกปราณทั่วทั้งจักรวรรดิได้!
“ข้ามาเยือนตามประสงค์เจ้านาย ส่งเทียบท้าดวลฉบับหนึ่งให้เจ้าโดยเฉพาะ”
เฉินเฟิงล้วงซองจดหมายสีทองที่ปิดผนึกฉบับหนึ่งออกมา แล้วส่งมันเข้ามาด้วยการดีดนิ้วผ่านอากาศ การกระทำเช่นนี้ไม่อาจเรียกได้ว่ามีมารยาทแล้ว
ขอเพียงไม่โง่ก็ล้วนรับรู้ได้ว่า เฉินเฟิงคนนี้มีความเย่อหยิ่งซุกซ่อนอยู่ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่ง กลับไม่เคยเห็นหลินสวินอยู่ในสายตา!
สิ่งนี้ทำให้ในใจของผู้ฝึกปราณจำนวนมากในที่นั้นอึดอัด ขมวดคิ้วไม่หยุด หลินสวินในตอนนี้เป็นถึงผู้กล้าไร้เทียมทานที่มีชื่อเสียงทั่วหล้า มีความสำเร็จเรืองรองมากมาย แต่ตอนนี้กลับถูกผู้ติดตามคนหนึ่งหยาบหยาม ท่าทีเช่นนี้มีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด
กลับเห็นว่าหลินสวินหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “กลับไปบอกเจ้านายของเจ้า ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลามาเล่นเรื่องน่าเบื่อพรรค์นี้กับเขาหรอก”
ยามพูด ก็เห็นเทียบท้าดวลที่ปิดผนึกฉบับนั้นไหววูบโดยพลันแล้วลอยคว่ำกลับไป โปรยตกลงแทบเท้าเฉินเฟิงคนนั้น
ส่วนหลินสวินกลับนั่งบนเกี้ยวสมบัติไปตั้งนานแล้ว
“หลินสวิน เจ้าไม่ได้มีสมญานามว่าอำนาจทั่วนครหลวงหรอกหรือ เหตุใดแม้แต่การท้าดวลของเจ้านายข้ายังไม่กล้ารับไว้”
เฉินเฟิงหาได้เดือดดาลไม่ เพียงแต่มองไปยังเกี้ยวสมบัติ น้ำเสียงเจือแววเหยียดหยามรำไร
“ไป”
หลินสวินคร้านจะสนใจคนผู้นี้ สั่งหลินจงบังคับเกี้ยวสมบัติจากไป
“เจ้าหนู ถ้าเจ้ากล้าขวางทาง ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเจ้า!”
สายตาของหลินจงเย็นเยียบ กวาดมองเฉินเฟิง
กล่าวพลางบังคับเกี้ยวสมบัติ มุ่งหน้าจากไป
เดิมเฉินเฟิงหมายจะขัดขวาง แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบแน่วแน่ของหลินจง นัยน์ตาเขาพลันหดเกร็งลง ท้ายที่สุดก็หยุดเท้าอยู่ตรงนั้น
“หลินสวิน ลืมบอกเจ้าไป การท้าดวลครั้งนี้เจ้าไม่อยากรับก็ต้องรับ คอยดูเถอะ เรื่องที่เจ้านายของข้าตัดสินใจแล้ว ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ทั้งนั้น”
เฉินเฟิงเอ่ยเสียงดังกังวาน ความดังของเสียงทำให้ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง พวกเขาต่างตระหนักได้ว่าเรื่องราวเปลี่ยนเป็นไม่ชอบมาพากลยิ่งนัก
แค่การท้าดวลเท่านั้น เดิมสามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ฟังจากความหมายในคำพูดของของเฉินเฟิงคนนั้น เจ้านายของเขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะสู้กับหลินสวินให้ได้!
ศิษย์สืบทอดสายในคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าจากดินแดนรกร้างโบราณ กลับยืนกรานจะทำเช่นนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าผู้มามีเจตนาร้าย!
และในวันนั้นเอง นครต้องห้ามฮือฮากันยกใหญ่ ต่างก็แพร่ข่าวที่หลินสวินปรากฏตัวในโถงทองคำหลังจากนิ่งเงียบมาครึ่งปี
ขณะเดียวกัน ข่าวที่เกี่ยวกับชิงเจ๋อศิษย์สืบทอดสายในแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าส่งเทียบท้าดวลหลินสวินก็แพร่กระจายดั่งไฟป่า ก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่
ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายต่างตื่นตกใจ เริ่มให้ความสนใจขึ้นมา ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากเงียบหายไปครึ่งปี หลินสวินเพิ่งโผล่หัวมาก็เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้แล้ว
ผู้สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าหมายท้าดวลหลินสวิน นี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน!
ขุมอำนาจมากมายต่างพากันเคลื่อนไหว เริ่มสืบข่าวของ ‘ชิงเจ๋อ’ ผู้นี้ ยามไม่สืบก็ไม่รู้ แต่ครั้นสืบดูก็ตกใจสะดุ้งโหยง
ประวัติความเป็นมาและความแข็งแกร่งของชิงเจ๋อผู้นี้ เกินความคาดหมายของทุกผู้คนโดยสิ้นเชิง!
ตอนที่ 746 สามกระบี่ของชิงเจ๋อ
โดย
ProjectZyphon
ชิงเจ๋อ
ศิษย์สืบทอดสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า มีปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น และยังเป็นทายาทสายตรงของเผ่ากระเรียนเขียวแห่งดินแดนรกร้างโบราณอีกด้วย
ครอบครองพรสวรรค์ชั้นดี ‘ปราณรบยอดเขียว’ เป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า คุณสมบัติพิเศษเหนือปวงชน พลังต่อสู้น่าทึ่ง
หลายวันก่อนชิงเจ๋อติดตามกู้ตงถิงผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้ามุ่งหน้ามาจักรวรรดิจื่อเย่า และได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากราชวงศ์
และในงานเลี้ยงคราวนั้นได้เกิดเรื่องใหญ่เป็นที่ฮือฮาขึ้น
ยามนั้นบุคคลสำคัญแห่งราชวงศ์ผู้หนึ่งนามว่าจ้าวกวงซิ่วเป็นคารวะสุราให้ชิงเจ๋อ แต่กลับถูกชิงเจ๋อปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง กล่าวว่า ‘คารวะสุราให้ข้าย่อมได้ แต่เจ้ามีคุณสมบัติไม่พอ’
ประโยคเดียวทำเอาบรรยากาศ ณ ที่นั้นเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะจ้าวกวงซิ่วยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอาย สีหน้าไร้แวว มีโทสะเป็นอย่างยิ่ง
เขาเป็นท่านโหวแห่งราชวงศ์ผู้หนึ่ง เป็นฝ่ายคารวะสุราเอง กลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ ซ้ำยังคิดว่าเขามีคุณสมบัติไม่พอจะคารวะสุราอย่างไม่ไว้หน้าอีก ทำเขาขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล นี่มันดูหมิ่นกันอย่างเห็นได้ชัด
‘เช่นนั้นข้าคารวะสุราเจ้าสักจอกเป็นอย่างไร’
ณ ที่นั้นมีคนทนดูไม่ไหว หยัดกายลุกขึ้นเอ่ยเสียงเย็นชา เขาคือท่านอ๋องผู้น่าเคารพยำเกรงและมีชื่อเสียงคนหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกผู้คนล้วนคาดไม่ถึงคือ ชิงเจ๋อไม่แม้แต่จะเหลือบตาเลยสักนิดก็ปฏิเสธอีกครั้ง ‘เจ้าก็ไม่ได้’
บัดนั้นบรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นเงียบกริบและกดดัน ในงานเลี้ยงนี้ล้วนเป็นบุคคลชนชั้นสูงที่เลื่องชื่อลือชาในจักรวรรดิ มีผู้ทรงอิทธิพลระดับแนวหน้าอยู่ไม่น้อย
ยามนี้กลับถูกท่าทียิ่งผยองไร้มารยาท ดูหมิ่นถิ่นแคลนของชิงเจ๋อทำเอาเดือดดาลกันหมด
‘เช่นนั้นเจ้าคิดว่า ณ ที่แห่งนี้มีใครคุณสมบัติครบถ้วนพอจะคารวะสุราเจ้ากัน’
คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งเอ่ยถามเสียงเย็นชา
ต้นแต่ต้นจนจบชิงเจ๋อดูเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด รินสุราให้ตนไปพลางกล่าวอย่างราบเรียบ ‘ถ้าผู้ใดรับสามกระบี่ของข้าได้ ย่อมมีคุณสมบัติร่ำสุรากับข้า’
คราวนี้คนใหญ่คนโต ณ ที่นั้นถึงตระหนึกได้ว่า เหตุที่ชิงเจ๋อผู้นี้หยิ่งผยองและไร้มารยาทเช่นนี้ ที่แท้ก็เพราะเห็นว่าตนเหนือกว่า มองว่าท่านอ๋องท่านโหวที่หันไปคารวะสุราเขาเมื่อครู่นั้น ในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง ไม่สามารถรับพลังแห่งสามกระบี่ของเขาได้!
นี่มันบ้าเกินไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
บรรดาคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ไม่เพียงแต่สูงศักดิ์ ฐานะสูงส่ง แต่พวกเขายังเป็นคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจสะท้านแผ่นดิน พลังปราณแทบไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับกระบวนแปรจุติ
ทว่าชิงเจ๋อผู้นี้กลับกล้าโพล่งวาจาบ้าคลั่งเช่นนี้ในงานเลี้ยง ย่อมทำให้ผู้คนอึดอัดยิ่งยวดเป็นธรรมดา
หากไม่ได้เห็นแก่ว่าอีกฝ่ายมาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า ป่านนี้พวกเขาคงโยนไอ้บ้าที่ไม่เห็นใครในสายคนนี้ไปให้พ้นตั้งนานแล้ว
ท้ายที่สุดแม่ทัพตรีอวี่เหวินจงแห่งทัพเพลิงทักษิณของจักรวรรดิก็ทนไม่ไหว ยืนขึ้นมาหมายจะอาศัยความแข็งแกร่งไป ‘คารวะสุรา’ ให้บทเรียนแก่ชิงเจ๋ออย่างโหดเหี้ยมสักครา
อวี่เหวินจงเป็นถึงมหายุทธ์แนวหน้าแห่งระดับกระบวนแปรจุติ กรำศึกฆ่าฟันมาหลายปี ประสบการณ์การต่อสู้คับคั่งหาที่เปรียบไม่ได้
ทว่าภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตระหนกของฝูงชน เขากลับถูกชิงเจ๋อพิชิตชัยในกระบี่เดียว!
หรือควรพูดว่า อวี่เหวินจงตั้งรับไม่ได้แม้แต่กระบี่เดียวเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกซัดสะเทือนจนร่างซวนเซถอยร่นออกไปหลายก้าว ท้ายที่สุดก็อดไม่ไหวกระอักเลือดออกมา!
และต้นตั้งต้นจนจบชิงเจ๋อนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะ ในมือยังคงถือจอกเหล้า หนึ่งกระบี่พุ่งออกไป เหล้าในจอกของเขาไม่ได้กระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียว
อากัปกิริยาสงบเยือกเย็นเช่นนั้น ทำเอาบุคคลสำคัญ ณ ที่นั้นต่างตกตะลึงกันอีกระลอก
‘กระบี่แรกนี้ของข้านามว่า ‘รุ่งสาง’ ดุจดังตะวันเพิ่งโผล่พ้น ลำแสงครอบคลุมทั่วพื้นดิน ความมืดมิดสลายตัวไม่มีเหลือ น่าเสียดาย เจ้าสกัดกั้นไม่ได้แม้แต่กระบี่แรก จะมีคุณสมบัติร่ำสุรากับข้าได้อย่างไร’
ชิงเจ๋อถอนหายใจเบาๆ ดูคล้ายหมดความสนใจ
ประโยคนี้เหมือนสั่งสอนผู้อ่อนอาวุโสคนหนึ่งชัดๆ ท่าทางเช่นนั้นพาให้สีหน้าบุคคลสำคัญแห่งจักรวรรดิทั้งกลุ่มยิ่งไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนอวี่เหวินถิงยิ่งอับอายและโกรธเกรี้ยวจนอยากตาย ถูกทิ่มแทงจนสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
‘หึๆ บ้าดีเดือดดีนี่!’
ไม่นานก็มีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งยืนขึ้นอีกครั้ง เขาคือท่านโหวแห่งราชวงศ์คนหนึ่ง เป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ยามอายุยังน้อยเคยสังหารเจียวหลงที่แท้จริงมาแล้ว เป็นคนร้ายกาจที่พลังต่อสู้ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
ทว่าท้ายที่สุดเขาพยายามเต็มที่เพื่อหยุดกระบี่ของชิงเจ๋อ แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยเหตุนี้ ยามชิงเจ๋อออกกระบี่ที่สอง สุดท้ายเขาก็ยังถอยครูดเสียหลัก ไม่กล้าขวางคมกระบี่อีกฝ่าย
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงอย่างที่สุด
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์รุ่นอาวุโสผู้หนึ่ง กลับสกัดได้แค่กระบี่เดียวของชิงเจ๋อเท่านั้น
นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้วชัดๆ!
เนื่องจากทุกผู้คนต่างมองออกว่าชิงเจ๋อคนนั้นเพิ่งเป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น อายุอย่างมากก็ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น!
หรือว่า นี่ก็คือศักยภาพของศิษย์สืบทอดสายในแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า?
กลับเห็นชิงเจ๋อยังคงกล่าวเสียงเรียบ ‘กระบี่ที่สองของข้ามีนามว่า ‘เกล็ดน้ำค้าง’ เมื่อสำแดงสรรพสิ่งล้วนควบแข็ง พลังชีวิตมอดดับ สามารถทำให้ข้าสำแดงกระบี่นี้ออกมาได้ เจ้าก็ภาคภูมิใจได้แล้ว’
ท่านโหวผู้สูงส่งแห่งจักรวรรดิคนหนึ่งพ่ายแพ้แล้ว ซ้ำยังถูกวิจารณ์เช่นนี้อีก นี่มันต่างอะไรกับการสบประมาทและเยาะเย้ยกัน
ท้ายที่สุดท่านโหวผู้นี้ก็โกรธจนหน้าเขียว จากไปอย่างเฉียวฉุน
จากนั้นมีคนใหญ่คนโตลุกออกมาคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนต่างเรียกได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในรุ่นอาวุโส แต่ท้ายที่สุดล้วนถูกชิงเจ๋อพิชิตชัยประหนึ่งลำไผ่หักก็ไม่ปาน!
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมีใครรับกระบี่ที่สองของชิงเจ๋อได้เลย!
จวบจนบัดนี้ บรรยากาศภายในงานเลี้ยงควบแข็งถึงขีดสุด คนใหญ่คนโตแห่งจักรวรรดิแต่ละคนสีหน้าเขียวคล้ำ นิ่งเงียบจนคำพูด
เรื่องทั้งหมดนี้ซัดจู่โจมใส่พวกเขารุนแรงเกินไป!
คนหนุ่มที่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าผู้หนึ่ง กลับมีชัยเหนือบุคคลชั้นแนวหน้าคนแล้วคนเล่าในหมู่พวกเขาได้อย่างต่อเนื่อง การโจมตีและความสั่นสะเทือนเช่นนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทำให้ผู้คนเศร้าสลดและหดหู่มากเพียงใด
ในทำนองเดียวกัน ความแข็งแกร่งของชิงเจ๋อก็น่าตะลึงยิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยลุกยืนขึ้นมาเลย วางท่าตามสบายใจเย็น ร่ำสุราไปพลางออกกระบี่ไปพลาง เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายสบายใจยิ่ง
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ผู้คนมองไม่ทะลุความตื้นลึกหนาบางของเขา ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถคาดเดาได้แม้แต่น้อยว่าตอนที่ชิงเจ๋อผู้นี้โจมตีเต็มแรง พลังที่เกิดขึ้นจะน่าหวาดกลัวมากเพียงใด!
ท้ายที่สุดงานเลี้ยงฉากนี้ก็เลิกราอย่างไม่น่าอภิรมย์
แต่การแสดงออกในงานเลี้ยงของชิงเจ๋อกลับลือกระฉ่อนออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ขุมอำนาจทุกแห่งในนครต้องห้ามล้วนตกสู่ความไหวหวั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ศิษย์สืบทอดคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า กลับสยบบุคคลสำคัญของจักรวรรดิคนแล้วคนเล่าในระหว่างร่ำสุรา นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ในนครต้องห้ามวันนี้ เมื่อจู่ๆ ได้ยินว่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้านามว่าชิงเจ๋อคนนี้ ถึงกับเป็นฝ่ายส่งเทียบท้าดวลให้หลินสวินผู้นำภูเขาชำระจิต ถึงได้เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่เช่นนี้
นี่มันน่าเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นในงานเลี้ยงราชวงศ์ ยามได้รับการคารวะสุราจากบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่ง ชิงเจ๋อล้วนปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายอยากไปท้าดวลกับหลินสวินเอง นี่มีนัยไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง
ทุกวันนี้ใครไม่รู้บ้างว่าหลินสวินถูกเรียกว่าเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิ มีฉายาเจิดจ้าว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’
แต่พูดกันตามตรง เมื่อวิเคราะห์ถึงฐานราก อย่างไรเสียหลินสวินก็เป็นเพียงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น
ทว่าชิงเจ๋อซึ่งอยู่ขั้นต้นระดับกระบวนแปรจุติคนนี้ ไม่ไปท้าดวลมหายุทธ์ที่พลังปราณสูงกว่าเขา แต่ดันไปท้าดวลกับหลินสวินที่ระดับปราณต่ำกว่าเขาหนึ่งระดับใหญ่ นี่ไม่ชอบมาพากลอย่างเห็นได้ชัด!
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างหวั่นวิตก ในจิตใต้สำนึกพวกเขาต่างเห็นหลินสวินเป็นคนของตัวเอง อย่างไรเสียทุกคนก็เป็นผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิ แต่ชิงเจ๋อผู้นี้กลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ ถือเป็น ‘คนนอก’
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาย่อมเลือกยืนอยู่ข้างหลินสวินอยู่แล้ว
แต่เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของชิงเจ๋อ แม้แต่ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิยังสงสัยยิ่ง ว่าหากหลินสวินสู้ศึกขึ้นมาจริงๆ ยังจะพอมีความหวังสักเสี้ยวว่าจะกำชัยได้หรือไม่
“ชิงเจ๋อคนนี้รังแกกันเกินไปนัก หลินสวินเป็นถึงบุคคลชั้นยอดในหมู่คนรุ่นใหม่ของจักรวรรดิเรา หากหลินสวินแพ้ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกปราณรุ่นใหม่ทั้งจักรวรรดิต่างก็ถูกชิงเจ๋อเหยียบอยู่ใต้เท้าหรอกหรือ”
มีผู้ฝึกปราณบางคนเคียดแค้นถึงขีดสุด
“เรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้แน่นอน อย่าลืมสิ เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็เกิดจากผู้สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่ง! และตอนนี้ชิงเจ๋อที่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ยังหันหัวหอกไปทางหลินสวินอีก คงจะไม่ใช่… การฆ่าล้างให้สิ้นอย่างสมบูรณ์กระมัง”
และมีผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสคนหนึ่งตกใจเหลือล้น คิดว่าชิงเจ๋อทำถึงขนาดนี้เพราะมีจุดประสงค์อื่น จะเป็น… ต้องการกำจัดหลินสวินให้สิ้นซากหรือไม่!
“เฮ้อ ใครจะไปคิดว่าหลินสวินเด็กคนนี้เงียบหายไปนานครึ่งปี นี่เพิ่งปรากฏตัวก็ถูกชิงเจ๋อคนนี้จ้องเล่นงาน ก่อให้เกิดคลื่นลมโกลาหล ดีร้ายยากคาดเดานัก!”
“ยังดี ได้ยินว่าหลินสวินปฏิเสธการท้าดวลครั้งนี้ไปแล้ว ทั้งถ้อยคำยังตามสบาย บอกไปว่าไม่มีเวลาทะเลาะกับชิงเจ๋อ”
“ไม่ การท้าดวลครั้งนี้ดึงดูดความสนใจไปทั่วนครต้องห้ามแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากหลินสวินหดหัวเลี่ยงศึก คงไม่ได้เสียหน้าเขาแค่คนเดียว!”
เสียงการวิพากษ์วิจารณ์ทุกรูปแบบราวกับพายุพัดกระหน่ำทุกซอกมุมในนครต้องห้าม เพียงชั่วข้ามคืนเรื่องการท้าดวลระหว่างหลินสวินกับชิงเจ๋อก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาอันร้องแรงที่สุด เป็นเป้าสายตาของปวงชน
หลินสวินจะสู้ศึกหรือไม่กันแน่
ทุกผู้คนต่างกำลังใจจดใจจ่อ
……
บนยอดภูเขาชำระจิต
ทะเลหมอกลอยเอื่อย ไอหมอกแห่ห้อมภูผา ทิวทัศน์งดงาม
หลินสวินนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ เบื้องหน้ามีหินหยกสีดำขนาดมหึมาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง หินหยกเปล่งประกายระยับ คละคลุ้งด้วยเกลียวคลื่นคลุมเครือแสนลึกลับ
และภายในหินหยก เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเอนกายนอนอยู่เงียบๆ
เด็กน้อยสวมชุดคลุมสีดำ มีดวงหน้างดงามที่ทำให้ผู้คนแทบกลั้นหายใจ ความงามเช่นนั้นราวกับผลงานชิ้นเอกแห่งสวรรค์ เพียงพอจะทำให้ฟ้าดินมืดสลัวลงได้
นางนอนนิ่งอยู่ในหินหยก สองมือสอดประสานอยู่ตรงท้องน้อย ทำท่ามุทราประหลาดอย่างหนึ่ง ดวงตาปิดสนิท สีหน้าสงบนิ่ง ระหว่างที่หายใจเข้าออกแฝงจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ ประดุจจมสู่ห้วงนิทรานิรันดร์กาล
สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าแสงเรืองรองสีดำที่ดุจดั่งรัตติกาลนิรันดร์สายแล้วสายเล่าราวกับแสงพิรุณ ร่ายระบำอยู่รอบกายนาง
เด็กหญิงคนนี้ย่อมเป็นซย่าจื้อที่กำลัง ‘จุติ’ เป็นครั้งที่สอง
‘ก็ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคนนี้จะตื่นขึ้นมาเมื่อไร…’
เนิ่นนานกว่าหลินสวินจะละสายตากลับไป ถอนหายใจอยู่ในทรวง
วิชาลึกลับเย้ยฟ้าที่ซย่าจื้อฝึกฝนนั้นเรียกว่า ‘คัมภีร์จุตินพชาติ’ การตื่นขึ้นของพลังในทุกครั้งจะมาพร้อมการดับสูญหนึ่งครั้ง บังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่จากจุดนั้นราวกับเป็นการกำเนิดใหม่
นี่เป็นการ ‘จุติ’ ครั้งที่สองของซย่าจื้อ เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนที่หลินสวินจะไปทะเลกลืนวิญญาณแล้ว
ที่น่าเสียดายคือ จวบจนตอนนี้การ ‘จุติ’ ครั้งนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่ายืดยาวเกินไปแล้ว…
ท้ายที่สุดหลินสวินก็นำซย่าจื้อที่หลับใหลอยู่ในหินหยกสีดำมาวางไว้ในชั้นแรกของเจดีย์ไร้อักษรอย่างระมัดระวัง เขาตัดสินใจแล้ว ตอนที่มุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ เขาจะพาซย่าจื้อไปด้วยกัน
เนื่องจากตอนที่แม่นางน้อยคนนี้ตื่นจากการจุติ ความทรงจำก่อนหน้านี้จะถูกตัดขาดและกำจัดทิ้งไปจนสิ้นซาก สิ่งเดียวที่ยังจำได้ ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
“นายน้อย เรื่องราวชักไม่เข้าทีแล้ว ชิงเจ๋อผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนนั้นมาด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้กำลังรออยู่นอกประตูภูเขาชำระจิตของพวกเราขอรับ!”
ไกลออกไป หลินจงวิ่งพรวดพราดมาอย่างกะทันหัน
ตอนที่ 747
โดย
ProjectZyphon
“นี่มาขวางประตูแล้วหรือ”
หลินสวินอึ้งงัน เมื่อวานเขาเพิ่งจะปฏิเสธเทียบท้าดวลที่มาจากชิงเจ๋อ แต่นี่เพิ่งผ่านไปวันเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายก็รุดหน้ามาเอง ทำให้หลินสวินรู้สึกเหนือความคาดหมายในบัดดล
“ไม่ผิด คนผู้นี้ใจเย็นยิ่ง จัดเตรียมโต๊ะและเบาะรองนั่งมาเอง จิบชาร่ำสุรานั่งอยู่หน้าประตูภูเขาชำระจิตของเรา ดูจากสภาพการณ์แล้ว นายน้อยหากท่านไม่ปรากฏตัว เขาจะต้องรอแบบนี้ต่อไปเป็นแน่”
หลินจงขมวดคิ้ว ท่าทางค่อนข้างเคร่งขรึม
เมื่อครู่เขาได้เห็นชิงเจ๋อคนนั้นกับตาตัวเอง คนหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ท่วงท่าโดดเด่นเป็นสง่า ดวงหน้าสดใสเปล่งปลั่ง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ อิริยาบถโดดเด่น ทั้งสุขุมและเยือกเย็น เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวถึงที่สุดคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
และเมื่อนึกถึงในงานเลี้ยงราชวงศ์เมื่อหลายวันก่อน ชิงเจ๋อคนนี้เคยพิชิตบุคคลสำคัญแห่งจักรวรรดิคนแล้วคนเล่าอย่างง่ายดาย ในใจหลินจงก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น กลับสามารถขับเคี่ยวมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติรุ่นอาวุโสของจักรวรรดิได้ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมีใครรับสามกระบี่ของเขาได้เลย นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
คนหนุ่มซึ่งประวัติความเป็นมา รากฐาน พลังปราณ พลังต่อสู้ต่างเรียกได้ว่าน่ากลัวเช่นนี้ ยืนกรานจะท้าดวลหลินสวินให้ได้ สำหรับหลินจงแล้ว สิ่งนี้ไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน
“ได้ยินว่าหลังจากมาถึงนครต้องห้าม ยังไม่เคยมีใครสกัดรับสามกระบี่ของคนผู้นี้ได้เลยสักคนหรือ”
หลินสวินคล้ายขบคิด
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
หลินจงพยักหน้า กล่าวอย่างเป็นกังวล “นายน้อย ผู้มามีเจตนาร้าย ในเมื่อคนผู้นี้ยืนกรานทำเช่นนี้ กลัวแต่ว่าเจตนาคงจะไม่เรียบง่ายนัก”
“นี่มันแน่อยู่แล้ว เขาเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ กลับเป็นฝ่ายวิ่งโร่มาท้าดาลกับข้า คนตาบอดยังมองออกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล”
หลินสวินกล่าวสบายๆ ว่า “ข้าถึงขั้นสงสัยว่าชิงเจ๋อผู้นี้ถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ยุยงด้วยซ้ำ”
อวิ๋นชิ่งไป๋!
ครั้นเอ่ยถึงชื่อนี้ นัยน์ตาของหลินจงก็ฉายแววเกลียดชังเข้ากระดูกออกมา คนตระกูลหลินสายตรงเมื่อสิบกว่าปีก่อนล้วนถูกสังหารด้วยน้ำมือคนผู้นี้!
“นายน้อย ท่านวางแผนจะรับมืออย่างไร”
“ตราบใดที่เขายังไม่ก่อเรื่อง ก็ปล่อยเขานั่งจิบชาร่ำสุราอยู่ตรงนั้นตามสบาย ข้าไม่มีแก่ใจไปต่อสู้ตัดสินแลกเปลี่ยนอะไรกับคนเจตนาไม่ดีหรอก”
หลินสวินตอบอย่างราบเรียบยิ่งนัก
เขากล่าวพลางล้วงเจดีย์ไร้อักษรออกมา ตั้งแต่กลับมาจากทะเลกลืนวิญญาณเจ้าคางคกก็เริ่มปิดด่าน ทำการทะลวงขั้น แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววจะออกด่านเลยแม้แต่น้อย
หลินสวินสัมผัสดูอย่างถี่ถ้วน พบว่ากลิ่นอายของเจ้าคางคกสมบูรณ์ไหลลื่น สำรวมสงบนิ่ง ถึงได้วางใจลงล นี่พิสูจน์ได้ว่าเจ้าคางคกไม่ได้เผชิญภัยร้ายแรงอะไรยามปิดด่านอยู่นั่นเอง
‘ตามคำกล่าวของเจ้าคางคก อย่างน้อยหนึ่งปี อย่างมากสามปี เขาถึงจะสามารถทะลวงด่านครั้งนี้ได้โดยบริบูรณ์ เมื่อคำนวณเช่นนี้แล้ว ตอนนั้นน่ากลัวว่าข้าคงมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณแล้ว…’
หลินสวินใคร่ครวญ
ในที่สุดหลินจงที่อยู่ข้างๆ ก็มั่นใจว่าที่นายน้อยพูดเมื่อครู่นั้นหาได้ล้อเล่นไม่ ไม่คิดจะดวลศึกตัดสินกับชิงเจ๋อซึ่งมาเยือนถึงที่คนนั้นจริงๆ
‘อย่างนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่านายน้อยจะมีอันตรายใด…’
หลินจงรับคำสั่งและจากไป
……
ด้านนอกประตูภูเขาชำระจิต
บนทางเดินที่แต่เดิมราบเรียบกว้างขวาง มีเงาร่างสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ถึงแม้เขาจะนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง เรือนกายกลับยังคงเหยียดตรงมากอย่างเห็นได้ชัด
เขามีผมยาวสีเงินเหมือนแสงเงินแวววาว นัยน์ตาสีเขียวกระจ่าง มีประกายวาววับน่ากลัวไหลวนออกมา
บนโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้าเขามีเหล้าหนึ่งกา ชาหนึ่งหม้อ เวลานี้เขากำลังดื่มด่ำตามลำพังอย่างอภิรมย์ ดุจดั่งอยู่ในลานบ้านของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าแสนอภิรมย์และทำตัวตามสบาย
คนผู้นี้ก็คือชิงเจ๋อ ศิษย์สืบทอดสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เขายังหนุ่มมาก อยู่ในวัยยี่สิบกว่าปี หน้าผากเอิบอิ่ม ผิวพรรณดั่งหินหยกแวววาว อบอวลด้วยแสงเจิดจ้าเป็นประกาย ท่วงท่าประณีตโดดเด่นยิ่งนัก
ด้านข้างชิงเจ๋อ ข้ารับใช้เฉินเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าเขามีฐานะเป็นข้ารับใช้ ทว่าหน้าตาหล่อเหลา กิริยาท่าทางก็โดดเด่นมากเช่นเดียวกัน ท่วงท่าสง่างามเกินกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไป
หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเฝ้ารออยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าไร้กังวล มั่นใจเต็มเปี่ยม
การมาของชิงเจ๋อ ทำให้ด้านนอกประตูภูเขาชะชำระจิตแห่งนี้กลายเป็นที่จับตาของขุมอำนาจทุกฝ่ายในนครต้องห้ามอย่างที่สุด
เวลานี้ในบริเวณใกล้เคียง ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นเงาร่างของผู้ฝึกปราณเบียดเสียดกัน ต่างกำลังเฝ้าชม ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด
“ชิงเจ๋อคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ตรงดิ่งมาเยือนถึงที่ ขวางอยู่หน้าประตูภูเขาตระกูลหลินอย่างผ่าเผยขนาดนี้ นี่กำลังบังคับกันชัดๆ!”
ผู้ฝึกปราณบางคนลอบตกใจ
“แค่คิดก็รู้แล้ว ถ้าหลินสวินไม่รับคำท้า ชิงเจ๋อผู้นี้ต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่!”
“ไม่ ถ้าหลินสวินไม่รับคำท้าละก็ ผลกระทบไม่เพียงแค่เท่านี้แน่ นี่อาจทำให้ทุกคนต่างคิดว่าหลินสวินกลัว หัวหดไม่ยอมออกมา นี่ย่อมเป็นการทำลายชื่อเสียงของหลินสวินอย่างร้ายแรงแน่นอน!”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากทำการวิเคราะห์ ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าหากปล่อยให้ชิงเจ๋อขวางอยู่หน้าประตูใหญ่ภูเขาชำระจิตเช่นนี้ เวลายิ่งนานไปก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเกียรติภูมิของหลินสวิน
ทุกวันนี้หลินสวินมีฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ เป็นประหนึ่งผู้นำ ผู้กล้าไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นใหม่ของจักรวรรดิ
หากแม้แต่เขายังไม่กล้ารับคำท้าของชิงเจ๋อ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกปราณรุ่นใหม่แห่งจักรวรรดิล้วนถูกชิงเจ๋อเหยียบย่ำไว้ใต้เท้ากันหมดหรอกหรือ
ผลกระทบนี้ดูจะร้ายแรงไปหน่อยแล้ว!
“รังแกกันเกินไปแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น แต่หมายต่อสู้ดวลกับหลินสวินที่เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ!”
และมีผู้ฝึกปราณบางคนฉุนจัด
“เฮ้อ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในงานเลี้ยงราชวงศ์หลายวันก่อน บุคคลสำคัญที่เป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าชิงเจ๋อ ก็ไม่ใช่ว่าลงมือกันแล้วหรือ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์… พวกเจ้าก็รู้กันหมดแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าหลินสวินตอบรับการท้าดวลครั้งนี้ แต่โอกาสที่จะชนะก็ช่างน้อยนิดริบหรี่นัก!”
มีบางคนถอนหายใจ
การดวลครั้งนี้ ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ก่อให้เกิดคลื่นลมลูกใหญ่ในนครต้องห้าม ดึงดูดความสนใจทั่วทั้งนครแล้ว
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างอดรนทนไม่ไหวอยากให้หลินสวินลงมือ สั่งสอนชิงเจ๋อที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณคนนี้อย่างเต็มที่เสียหน่อย โค่นความผยองของเขา แล้วเสริมสร้างความรุ่งเรื่องแก่จักรวรรดิ
ทว่าขณะเดียวกันก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากที่มองในแง่ร้ายยิ่งนัก คิดว่าหลินสวินแทบไม่มีความหวังในการกำชัย อย่างไรเสียพลังต่อสู้ของชิงเจ๋อคนนั้นก็เย้ยฟ้าจริงๆ แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ยังรับสามกระบี่ของเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับหลินสวินที่เพิ่งจะมีปราณระดับหยั่งสัจจะ
‘ที่ควรมาในที่สุดก็มาจนได้…’
ไกลออกไป จ้าวไท่ไหลก็มาที่นี่ด้วยตัวเอง เพียงแต่เมื่อเทียบกับการมองโลกในแง่ร้ายของผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ท่าทีของเขาในตอนนี้กลับดูค่อนข้างต่างออกไป
‘หากชิงเจ๋อคนนี้รู้ถึงดุดันยามอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดของเจ้าเด็กหลินสวินนี่ ไม่รู้ว่าเขายังกล้า ‘ขวางประตู’ อย่างผ่าเผยแบบนี้อยู่อีกหรือไม่…’
สภาพจิตใจของจ้าวไท่ไหลในเวลานี้แปลกพิกลจริงๆ เจืออาการมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเสี้ยวหนึ่ง
บุคคลสำคัญบางส่วนที่มาจากกองทัพจักรวรรดิต่างก็มีท่าทีแปลกๆ เช่นกัน นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ตั้งท่าข่มกลั้นอารมณ์รอชมเรื่องสนุก
คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเขาต่างรู้ดี ว่าในช่วงครึ่งปีนี้ที่หลินสวินอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด ได้ก่อวีรกรรมยิ่งใหญ่ออกมามากแค่ไหน
ลำพังราชันกึ่งระดับที่ตายด้วยน้ำมือเขา ก็ปาไปสี่ห้าคนแล้ว!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ชิงเจ๋อคนนั้นกลับเป็นฝ่ายหมายท้าดวลหลินสวินเอง เขาคิดจริงๆ หรือว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสวินเป็นพวกที่รังแกกันได้ง่ายๆ
แน่นอน พวกเขาจะไม่ส่งเสียงเตือนชิงเจ๋อ ต่างข่มกลั้นอารมณ์รอชมเรื่องสนุกของชิงเจ๋ออยู่ทั้งสิ้น
เพียงแต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคนคือ ไม่นานนัก ฝั่งตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็มีข้ารับใช้คนหนึ่งเดินออกมากล่าวว่า “ตอนนี้ผู้นำตระกูลของเรามีธุระสำคัญ ไม่ว่างใส่ใจเรื่องพวกนี้ หากคุณชายชิงเจ๋อพอใจ ก็สามารถร่ำสุราดื่มชาอยู่ที่นี่ได้เลย”
กล่าวเสร็จก็จากไปอย่างผ่าเผย
ทุกคนต่างตะลึงงัน
เห็นได้ชัดว่าหลินสวินปฏิเสธการท้าดวลตรงๆ ทั้งยังทิ้งชิงเจ๋ออยู่ที่ตรงนี้ ไม่คิดจะสนใจเขาเลยสักนิด
“ทำอย่างนี้ได้อย่างไร… นี่ไม่ใช่ว่า… ไม่ใช่ว่าหดหัวเลี่ยงศึกหรอกหรือ เมื่อก่อนหลินสวินไม่เคยกริ่งเกรงเรื่องพวกนี้นี่นา”
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง คิดว่าการกระทำเช่นนี้ของหลินสวินเป็นการช่วยเสริมความหยิ่งยโสของชิงเจ๋อผู้นั้น และทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองโดยไม่ต้องสงสัย
“เฮอะ เขาชิงเจ๋อนับเป็นอะไรได้ เขาอยากท้าดวลก็ต้องรับคำท้าเขาหรือ น่าขัน! ข้ากลับคิดว่าคุณชายหลินสวินทำเช่นนี้ฉลาดยิ่งนัก น่าพึงพอใจยิ่ง!”
และมีผู้ฝึกปราณจำนวนมากสนับสนุนการกระทำของหลินสวิน
“คนผู้นี้ถึงขั้นกล้าไร้มารยาทเช่นนี้! ไม่กล้ารับคำท้าก็แค่บอกกันสักคำ แต่ดันอ้างเหตุผลตั้งมากมายขนาดนี้ น่าขยะแขยง”
ไกลออกไปเฉินเฟิงขมวดคิ้ว เหยียดหยามการตัดสินใจของหลินสวินยิ่งนัก คิดว่าเขาขี้ขลาดหวาดหวั่น ไม่กล้ารับคำท้า
ชิงเจ๋อกลับใจเย็นสงบนิ่งถึงที่สุด ยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่เป็นไร พวกเราก็รอต่อไป ที่ข้ามีคือความอดทน ช้าเร็วก็ต้องทำให้เขาไม่อาจไม่ออกมาสู้อยู่ดี”
“นายท่าน ด้วยฐานะและพลังปราณในปัจจุบันของท่าน ไยต้องทำเช่นนี้”
เฉินเฟิงรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าแค่คนอย่างหลินสวินเช่นนี้ ไม่มีคุณสมบัติพอจะสู้กับชิงเจ๋อเลยสักนิด แต่ชิงเจ๋อกลับยืนกรานจะทำเช่นนี้ให้ได้
“ตามข่าวที่ข้าได้มา คนผู้นี้น่าจะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแข็งแกร่งที่สุดในตำนานแล้ว ข้าใคร่รู้ยิ่งนัก ในโลกชั้นล่างที่มหามรรคบกพร่อง แต่คนผู้นี้กลับสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าสนใจมากหรอกหรือ”
ชิงเจ๋อเอื้อนเอ่ยอย่างแช่มช้า เล่นถ้วยชาหยกมันแพะสีเขียวสดในมือไปพลาง
เพียงแต่เขายังมีถ้อยคำบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือตามความเข้าใจของเขา เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินสวินคนนั้น เดิมทีก็น่าจะตายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่กลับมีชีวิตรอดได้ราวปาฏิหาริย์ ในเรื่องนี้มีจุดที่ควรค่าให้ความสนใจอย่างมากแน่นอน!
“มกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุด…”
นัยน์ตาของเฉินเฟิงหดเกร็งเล็กน้อย หัวใจสั่นไหว เขาค่อนข้างตกใจจริงๆ ควรรู้ว่าในดินแดนรกร้างโบราณ อัจฉริยะที่สามารถเหยียบย่างบนมรรคาระดับนี้ได้ก็มีให้เห็นไม่มากนัก!
แต่ในโลกชั้นล่างอันแร้นแค้นเช่นนี้ ดันมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว!
……
ชิงเจ๋อซึ่งถูกหลินสวินทิ้งอยู่ตรงนั้นเลือกที่จะรอ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยสักเสี้ยว ตั้งท่าเหมือนจะรอจนกว่าหลินสวินจะรับคำท้า
สิ่งนี้ทำให้บรรดาผู้ฝึกปราณที่จับจ้องห่างๆ อยู่ต่างลอบตกใจ ยิ่งตระหนักได้เรื่อยๆ ว่าการท้าดวลหลินสวินในครั้งนี้ของชิงเจ๋อ จุดประสงค์และเจตนาจะต้องไม่เรียบง่ายเป็นแน่
ในขณะเดียวกันหลินสวินเองก็ได้รู้ถึงท่าทีของชิงเจ๋อแล้ว และอดเลิกคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ไม่ยอมเลิกราถึงที่สุดเลยสินะ…”
“เจ้าหนู เจ้าคิดอย่างไรกันแน่ ถูกคนขวางอยู่หน้าประตูบ้าน เจ้าไม่รู้สึกอัปยศหรอกหรือ เรื่องในวันนี้ได้รับความสนใจไปทั่วนครต้องห้ามเชียวนะ ถ้าหากเจ้าปล่อยให้ชิงเจ๋อขวางอยู่ตรงนั้นแบบนี้ ต่อไปตระกูลหลินของเจ้ายังมีหน้าให้ยืนอยู่ในนครต้องห้ามอีกหรือ”
ไม่นานนักจ้าวไท่ไหลก็เป็นฝ่ายมาหาเอง ทันทีที่พบหน้าก็ซักถามหลินสวินโดยตรงว่าคิดจัดการเรื่องนี้อย่างไร
หลินสวินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ผู้อาวุโส ฟังจากน้ำเสียงของท่าน แทบอดรนทนไม่ไหวอยากให้ข้าไปสู้กับชิงเจ๋อสักคราไม่ใช่หรือ”
กลับเห็นจ้าวไท่ไหลกล่าวกลั้วหัวเราะน้อยๆ “หากเจ้ามั่นใจก็ไปสู้ ถ้าหากไม่มั่นใจ เช่นนั้นซ่อนตัวอยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เชียวหรือว่าชิงเจ๋อผู้นี้มาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่”
หลินสวินหลุดขำ “พูดไปพูดมา ก็ยังอยากให้ข้าออกไปวิวาทกับเจ้าหมอนั่นสักตั้งอยู่ดี”
จ้าวไท่ไหลกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่ข้ากำลังกังวลแทนเจ้าอยู่นะ ผู้ฝึกปราณทั่วนครต้องห้ามล้วนตั้งตารอให้เจ้าปรากฏตัว กำราบความหยิ่งยโสของเจ้าหนุ่มคนนี้ให้หนัก เลี่ยงมิให้เขายกตนข่มท่าน เห็นว่าจักรวรรดิของเรารกร้างไร้ผู้คน!”
“มีประโยชน์อะไรเล่า” หลินสวินถามพลางยิ้ม
จ้าวไท่ไหลถลึงตาใส่ “ข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้เจ้าหนูอย่างเจ้า เจ้ากลับถือโอกาสนี้มาดัดหลังข้า? บอกเจ้าให้นะ หากเจ้าไม่ยินดีรับคำท้า เช่นนั้นข้าก็ไม่บังคับเจ้า แต่หากจิ่งเซวียนหลานสาวคนนั้นของข้ารู้เข้าว่ายามที่ต้องทำประโยชน์ให้จักรวรรดิอย่างแท้จริง ชายหนุ่มที่นางต้องตากลับหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหัวหดตัวหนึ่งละก็ เจ้าทายสิ… นางจะผิดหวังและเสียใจแค่ไหน”
หลินสวินพลันปสดหัวขึ้นมา จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน เพื่อให้ตนรับคำท้า ถึงกับยกจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมาแอบอ้าง!
ตอนที่ 748 รับคำท้า
โดย
ProjectZyphon
ท้ายที่สุดหลินสวินก็ตกปากรับคำ
ช่วยไม่ได้ จ้าวไท่ไหลยกจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมาขนาดนี้แล้ว หากเขายังไม่ตอบรับอีก นั่นก็เห็นได้ชัดว่าปอดแหกและขี้ขลาดเกินไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้นที่จ้าวไท่ไหลพูดมาก็ถูกต้อง ถูกผู้สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งท้าดวลและขวางอยู่หน้าประตูบ้านตน ถ้าหากไม่แยแส กลับจะทำให้ผู้คนในใต้หล้าดูถูกเอา
……
หน้าประตูภูเขาชำระจิต
ชิงเจ๋อจิบชาร่ำสุราตามลำพัง สีหน้าเยือกเย็นราบเรียบ ท่าทางสุขุมไม่ไหวติงเช่นนั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ธรรมดา
ห่างออกไป กู้ตงถิงเห็นภาพนี้ก็ลูบเคราคลี่ยิ้ม นัยน์ตาเจือแววปลื้มปิติเสี้ยวหนึ่ง
กู้ตงถิงก็คือผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่มุ่งหน้ามาจักรวรรดิจื่อเย่าในครั้งนี้ เป็นราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริงคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งยากหยั่งรู้ได้ ตำแหน่งก็โดดเด่นหาใดเปรียบเช่นเดียวกัน
เขามีรูปลักษณ์สะอาดหมดจด หนวดเคราราวกับหิมะน้ำค้างแข็ง ผิวพรรณกลับขาวพิสุทธิ์เนียนนุ่มเหมือนเด็กทารก ในมือถือแส้หางม้า ยืนอยู่ตรงนั้นง่ายๆ แต่กลับก็ให้ความรู้สึกทรงพลังเกรียงไกรดุจเขาสูงใหญ่แก่ผู้คนได้แล้ว
“สหายน้อยชิงเจ๋อคนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า กิริยามีมาด ท่วงท่าเป็นสง่า วางตัวได้เหนือปวงชน”
ด้านข้างมีคนใหญ่คนโตทอดถอนใจไม่หยุด
“ไม่ผิด คนหนุ่มมากสามารถอย่างชิงเจ๋อก็เหมือนพญาเผิงบนแดนสรวง มีแต่สำนักโบราณเฉกเช่นสำนักกระบี่เทียมฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถบ่มเพาะผู้โดดเด่นชั้นยอดเช่นนี้ออกมาได้”
เสียงชมเชยดังขึ้นเกรียวกราว ข้างกายกู้ตงถิงมีเหล่าคนใหญ่คนโตกลุ่มหนึ่ง ล้วนเป็นบุคคลทรงอำนาจที่มาจากตระกูลจั่วและตระกูลฉินทั้งสิ้น
“ในป่าไร้เสือ ลิงย่อมตั้งตนเป็นใหญ่ หลินสวินคนนี้คิดว่าตัวเองสามารถครองอำนาจในหมู่คนรุ่นใหม่ของจักรวรรดิ หารู้ไม่ว่าในดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็เปรียบได้แค่กบในกะลา!”
และมีคนใหญ่คนโตบางคนแค่นเสียงเย็นชา แสดงความเหยียดหยามต่อหลินสวิน
ว่าไปแล้วการที่ครั้งนี้ชิงเจ๋อขวางประตูท้าดวลหลินสวิน ผู้ที่ชอบใจมากที่สุกคือตระกูลฉินกับจั่วสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่ผ่านมาเพราะหลินสวินคนเดียว ก่อเรื่องจนสองตระกูลฉินและจั่วของพวกเขาอับอายขายขี้หน้า ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างเสียไม่ได้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ชิงเจ๋อเป็นถึงศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า พลังปราณเรียกได้ว่าหาที่เปรียบ ในงานเลี้ยงราชวงศ์เมื่อหลายวันก่อน ถึงขั้นสยบบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งจนโงหัวไม่ขึ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนใหญ่คนโตของสองตระกูลจั่วและฉินแทบอดรนทนไม่ไหว อยากให้ชิงเจ๋อกำราบความหยิ่งยโสของหลินสวินอย่างหนัก ถ้าหากกำจัดเขาจนสิ้นซากได้ เช่นนั้นคงดีอย่างที่สุดแล้ว!
กู้ตงถิงทำเพียงฟังและคลี่ยิ้ม แต่ไม่เอ่ยวาจา สงวนท่าทีอย่างเห็นได้ชัด
“ดูนั่นเร็ว หลินสวินออกมาแล้ว!”
ไกลออกไปจู่ๆ ก็มีเสียงร้องอุทานดังขึ้น ดึงดูดความสนใจทุกคน เมื่อมองไปก็เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังก้าวออกมาจากในประตูภูเขาชำระจิต
เป็นหลินสวินนั่นเอง
ทั้งที่นั้นต่างฮือฮา เดิมทีคนจำนวนมากคิดว่าหลินสวินคงไม่ปรากฏกายรับคำท้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน
อย่างไรเสียการท้าดวลครั้งนี้ก็อันตรายเกินไปจริงๆ หากพ่ายแพ้ก็จะสร้างความเสียหายต่อบารมีของหลินสวิน
ดังนั้นตอนที่หลินสวินปรากฏตัว ถึงได้ทำให้ทุกคนเกิดความฮือฮา
“เขาจะรับคำท้าจริงๆ หรือ”
ผู้ฝึกปราณบางส่วนเป็นกังวลอย่างยิ่ง ความน่ากลัวของชิงเจ๋อผู้นั้นลือกระฉ่อนไปทั่วนครต้องห้ามแล้ว แม้แต่คนใหญ่คนโตที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับกระบวนแปรจุติยังล้วนไม่สามารถรับสามกระบี่ของเขาได้ หลินสวินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรกัน
“แบบนี้ก็ดี แทนที่จะถูกคนขวางอยู่หน้าประตู อดกลั้นอย่างอดสู ไม่สู้ฟาดฟันกันซึ่งๆ หน้าเลยดีกว่า ทำให้ชิงเจ๋อคนนั้นลิ้มรสความร้ายกาจของผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิของพวกเรา!”
บางคนก็รู้สึกฮึกเหิม มีความมั่นใจต่อหลินสวินอย่างที่สุด ความสำเร็จอันเรืองรองที่เกิดขึ้นบนตัวหลินสวินในอดีตนั้นมีมากมายเหลือเกิน ในเมื่อหลินสวินกล้าปรากฏตัว จะต้องมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเป็นแน่
ส่วนคนตระกูลฉินและจั่ว เวลานี้ต่างเบิกตากว้าง ดูเหมือนไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก แต่หลังจากนั้นก็เหิมฮึกขึ้นมา
พวกเขาอยากเห็นจุดจบของหลินสวินที่พ่ายแพ้ชื่อเสียงยับเยินจนแทบอดใจไม่ไหวแล้ว!
หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ชั่วขณะนั้นโลกภายนอกต่างอลหม่านปั่นป่วน ไม่อาจสงบลงได้
ตั้งแต่ตอนที่ชิงเจ๋อออกเทียบท้าดวล ศึกตัดสินนี้ก็สร้างความฮือฮาไปทั่วนครต้องห้าม ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจตั้งไม่รู้เท่าไร
ศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าผู้หนึ่ง เคยสยบคนใหญ่คนโตระดับกระบวนแปรจุติของจักรวรรดิทั้งกลุ่มได้ภายในสามกระบี่ พลังต่อสู้โดเด่น เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
อีกคนคือเด็กหนุ่มในจักรวรรดิที่มีฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ รอบกายของเขาก็มีรัศมีอันพราวตาไร้ที่เปรียบเช่นเดียวกัน
แค่คิดก็รู้ว่าหากการดวลระหว่างสองคนนี้บังเกิดขึ้น จะบันลือโลกมากขนาดไหน!
……
เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัว ชิงเจ๋อที่กำลังร่ำสุราตามลำพังอึ้งงันไปก่อนเป็นสิ่งแรก ดูเหมือนค่อนข้างแปลกใจที่หลินสวินปรากฏตัวรวดเร็วเพียงนี้
จากนั้นท่าทางของเขาก็กลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง วางจอกเหล้าในมือลงบนโต๊ะเตี้ย ก่อนหยัดกายขึ้นเต็มความสูง
เพียงแค่การเคลื่อนไหวเพื่อหยัดตัวขึ้นเท่านั้น กลับทำให้ทั่วทั้งลานเงียบกริบในบัดดล สายตาทุกคู่ล้วนเพ่งความสนใจมองมา
ชิงเจ๋อมีเอวหลังเหยียดตรง รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีเงินเปล่งประกายเจือความแวววาว เขาเรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามยิ่งยวด ผิวพรรณเนียนขาว นัยน์ตาราวกับหินหยกสีเขียว ยามที่เขาหยัดกายขึ้นยืน ทั้งตัวประหนึ่งหอกเล่มหนึ่ง ผ่าเผยน่ายำเกรง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณที่ไม่ชอบใจชิงเจ๋อก็ล้วนไม่อาจไม่ยอมรับ รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าหมอนี่ดูดีเหลือเกิน เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้กล้าที่เปล่งประกายยิ่ง
ส่วนผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางคนกลับท่าทีเคร่งขรึม ชิงเจ๋อในเวลานี้แตกต่างจากตอนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านี้ มีประกายคมที่ซ่อนแฝงประการหนึ่ง ทำให้ผู้คนหัวใจสั่นไหว
“ระวังหน่อย ความเชี่ยวชาญในวิถีกระบี่ของเจ้าหมอนี่เข้าขั้นน่ากลัวสุดขีด อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นทายาทสายตรงของเผ่ากระเรียนเขียวบรรพกาล มีวิชาลับพรสวรรค์”
จ้าวไท่ไหลเอ่ยเตือนอยู่ด้านหลัง
หลินสวินส่งเสียงตอบรับหนึ่งคราแล้วย่างก้าวออกจากหน้าประตูภูเขา เขามีผมดำสนิทยาวจรดเอว ผิวพรรณทั่วกายเกลี้ยงเกลาราวกับหินหยก แสงเรืองทอประกายว่ายเวียน
ฝีเท้าของเขาไม่ช้าไม่เร็ว รูปร่างสง่างาม มีกลิ่นอายเหนือมลทินอันโดดเด่น
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา”
ไกลออกไปกู้ตงถิงค่อนข้างประหลาดใจ
“ไม่ธรรมดาก็ส่วนไม่ธรรมดา แต่ว่าบ้าเกินไป ไม่เห็นใครในสายตา ประพฤติตัวแสนบรรลัย”
คนใหญ่คนโตตระกูลจั่วและฉินต่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย พวกเขาไม่มีความรู้สึกดีต่อหลินสวินเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้าม แทบอดรนทนไม่ไหวอยากให้หลินสวินรีบๆ ตายไปเสีย
กู้ตงถิงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้ให้ชิงเจ๋อบดขยี้ความเย่อหยิ่งและบ้าระห่ำของเขาไปเสียเลย”
“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
บุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินต่างเบิกบานใจยิ่งยวด
ไกลออกไป นัยน์ตาของชิงเจ๋อเป็นประกาย จ้องหลินสวินที่ยืนห่างออกไปสิบจั้งแล้วกล่าวว่า “เจ้าโผล่มาตอนนี้ คงไม่ใช่เพราะเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วกระมัง”
วาจาของเขาราบเรียบ ท่าทางเยือกเย็นยิ่งนัก นัยน์ตาเย็นยะเยือกน่าสะพรึง แฝงรสชาติเหยียดหยันประการหนึ่ง
“ที่ตรงนี้ไม่ได้มีแต่เจ้าคนเดียว ข้าคงไม่อาจปล่อยให้ทุกคนรอนานได้ เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเสียเวลา ส่วนเจ้า ยังไม่ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อสภาพอารมณ์ของข้าได้”
หลินสวินก็มองสำรวจชิงเจ๋อเช่นเดียวกัน แม้แต่เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ลำพังพิจารณาจากกลิ่นอายและรูปลักษณ์ภายนอก เจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเอามากๆ อย่างเห็นได้ชัดจริงๆ
ต่อให้เป็นเซียวหรัน ซูซิงเฟิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หรือบุตรเทพชั้นยอดของแต่ละเผ่าในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณล้วนด้อยกว่าคนผู้นี้อยู่เล็กน้อย
แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าหมอนี่เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ อยู่เหนือขอบเขตระดับหยั่งสัจจะตั้งแต่ต้น ซ้ำยังเป็นศิษย์สืบทอดที่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าอีกด้วย การมีท่วงท่าสง่าผ่าเผยเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล
“ได้ยินว่าเจ้าเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแข็งแกร่งที่สุดแล้ว วันนี้ข้าเลยมาลองดูสักหน่อย เพื่อความยุติธรรม ข้าจะกดพลังไว้ส่วนหนึ่ง เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าข้ารังแกเจ้า”
ยามชิงเจ๋อเอ่ยวาจา นัยน์ตาเจือกระแสอสนีว่ายเวียน มุมปากปรากฏเส้นโค้งคล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่ง ภายใต้รูปลักษณ์อันเยือกเย็นคือการดูถูกและถือดีอย่างสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้ทั่วทั้งลานตะลึงพรึงเพริด ผู้ฝึกปราณมากมายต่างมีสีหน้าอึมครึมไม่สงบ กดพลังของตัวเองแล้วสู้แบบยุติธรรมกับหลินสวิน?
การกระทำเช่นนี้ของชิงเจ๋อเห็นได้ชัดว่าทรงพลังมากอย่างไม่ต้องสงสัย และเห็นชัดยิ่งว่าความมั่นใจของเขามีมากเพียงใด
“อย่างนั้นหรือ ก่อนประลอง ข้ากลับอยากรู้นักว่าเจ้าไม่กังวลใจว่าวันนี้จะเลือดกระเซ็นคาที่เลยหรือ” หลินสวินถาม
“บ้าระห่ำ!”
“ไม่รู้ดีชั่ว!”
ไกลออกไป บุคคลสำคัญสองตระกูลจั่วและฉินโกรธจัด เวลาใดแล้ว เจ้าหมอนี่ยังบ้าคลั่งเหมือนเมื่อก่อนอยู่ได้ เขาคิดจริงๆ หรือว่าชิงเจ๋อเป็นพวกที่รับมือง่ายดายขนาดนั้น
“พวกเจ้าพูดถูกต้อง เด็กคนนี้บ้ามากจริงๆ”
แม้แต่กู้ตงถิงยังขมวดคิ้วน้อยๆ ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบเล็กน้อย
“ดูเหมือนเจ้าจะถือดีมาก แต่ว่าความถือดีเกินขอบเขตก็คือความโง่เขลา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ลำพังแค่เจ้า ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอจะพูดคำพวกนี้กับข้าเลย”
เห็นได้ชัดว่าชิงเจ๋อเยือกเย็นยิ่งนัก เขามองหลินสวินด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกำลังแผ่ซ่าน
เรือนผมของเขาแวววาว ประกายสีเงินเอ่อล้นด้วยแสงเรือง เลือดลมในกายแผดคำราม น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ก่อเกิดความสั่นสะเทือนทั้งผืน
คำพูดนี้ของเขาเหยียดหยามมากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ฝั่งผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างเผยท่าทีกรุ่นโกรธ ขณะเดียวกันภายในใจก็เริ่มจะครั่นคร้าม ชิงเจ๋อผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป จะไม่ให้ใครๆ กังวลแทนหลินสวินได้อย่างไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราพนันกันสักตา หากเจ้าแพ้ก็ตอบคำถามข้ามาสองข้อตามความจริง ว่าอย่างไร” หลินสวินยิ้มอย่างเยือกเย็นยิ่งนัก
ชิงเจ๋อมุ่นคิ้ว ท่าทางยังคงสงบยิ่งนัก เพียงแต่นัยน์ตายิ่งเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ เขามองหลินสวินด้วยท่าทีที่เกือบจะทับถมประการหนึ่ง กล่าวว่า “หากเจ้าแพ้จะว่าอย่างไรเล่า”
“จัดการได้ตามสะดวก” หลินสวินกล่าวโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิทั่วทั้งลานต่างสั่นคลอน นี่มันต่างอะไรจากการลงนามในสัญญาความเป็นความตายกัน หลินสวินไม่กังวลสักนิดเลยหรือ
ชิงเจ๋อยิ้มอย่างพบเห็นได้ยาก เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับเย็นชายิ่ง “เดิมทีข้าไม่มีความคิดจะฆ่าเจ้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ในเมื่อเจ้ายืนกรานรนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา!”
คำพูดเหล่านี้ก็พูดได้อย่างเผด็จการยิ่งนัก เป็นการถือดีและหยิ่งผยองอย่างสิ้นเชิงประการหนึ่ง ไม่ว่าใครเป็นศัตรูกับเขา เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เกรงว่ามีแต่จะอึดอัดอย่างยิ่งกันหมด
แต่ในสายตาของกู้ตงถิง กลับคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ชิงเจ๋อมีความสามารถและคุณสมบัติให้พูดเช่นนี้!
หลินสวินยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็สู้กันเถิด”
ชิงเจ๋อร้องรับคำหนึ่ง รอบการเขาเปล่งประกาย รับรู้ได้อย่างว่องไวว่ากลิ่นอายของเขาอ่อนลงหนึ่งวูบเมื่อเทียบกับเมื่อครู่
เห็นได้ชัดว่าเขาทำอย่างที่พูด เขารังเกียจที่จะรังแกหลินสวินด้วยพลังปราณที่เหนือกว่า เพราะฉะนั้นจึงกดพลังของตัวเองเอาไว้!
ตู้ม!
จากนั้นศึกใหญ่พลันปะทุขึ้น
ชิงเจ๋อสาวเท้าก้าวออกไป ชายอาภรณ์พลิ้วไสว ผมสีเงินปลิวสยาย เงาร่างหายลับไปจากที่เดิมในทันใด ราวกับสายรุ้งพุ่งปราดออกไป
ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็มาอยู่ต่อหน้าหลินสวินแล้ว ฝ่ามือทำท่ามุทรา แสงเขียวคมกริบเจิดจ้ารายล้อม จากนั้นก็ฟันฝ่ามือออกไป
ห้วงอากาศระเบิดลั่น ถูกมุทรานี้บดขยี้อย่างแข็งกร้าวเป็นร่องอากาศสายหนึ่ง แทบจะทำลายภูเขาใหญ่ลูกนี้เป็นเสี่ยงๆ แล้ว
ถ้าหากผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะคนอื่นอยู่ที่นี่จะต้องรับการโจมตีนี้ไม่ได้แน่ และถูกการโจมตีนี้ระเบิดจนไม่เหลือซาก!
ตอนที่ 749 บาดเจ็บ
โดย
ProjectZyphon
ทันทีที่ชิงเจ๋อลงมือ วิธีที่น่ากลัว ดุกร้าว และเฉียบขาดดุจฟ้าคำรามนั้นก็สะเทือนเลื่อนลั่นทั่วลาน ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิมากมายต่างรู้สึกตกใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะกำราบหลินสวินอย่างแข็งกร้าว เหยียบหลินสวินไว้แทบเท้าด้วยท่าทีดูหมิ่นทรงพลัง!
หลินสวินไม่ได้หลบเลี่ยง โบกฝ่ามือขวาออกมา สำแดงประทับปี้อั้นซัดโจมตีไปเบื้องหน้า ดุจดังสัตว์เทพปี้อั้นตัวหนึ่งผงาดขึ้นสู่ฟากฟ้า ท่วงท่าบารมีก็น่าทึ่งเช่นเดียวกัน ทำให้ห้วงอากาศระเบิดคำราม
ตูม!
ที่แห่งนี้เหมือนภูเขาถถล่มผืนดินทลาย เสียงปะทะกันราวกับเก้าชั้นฟ้าคำราม ดังกึกก้องกำทวน สะเทือนจนบาดแก้วหู เลือดลมพลิกตลบ
ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างตกประหม่าหาใดเปรียบ รู้สึกกังวลแทนหลินสวิน กลัวว่าเขาจะรับการโจมตีรุนแรงของชิงเจ๋อไม่ไหว อย่างไรเสียเจ้าหมอนี่ก็น่ากลัวเกินไปจริงๆ
ส่วนคนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉินกลับแย้มยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายและฮึกเหิมอย่างยิ่ง ต่างไม่คิดว่าหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ของชิงเจ๋อ เพราะพลังของทั้งสองต่างชั้นกันเกินไป
มีเพียงกู้ตงถิงที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ในใจของเขารู้ดีว่า หากเด็กหนุ่มคนนั้นเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแล้วจริงๆ จะต้องไม่ถูกกำราบอย่างง่ายดายเป็นแน่
ในลาน แสงเรืองรองพังทลายสั่นสะเทือนรุนแรง เสมือนภูเขาไฟสองลูกปะทะกัน ปลดปล่อยความแสงผันผวนน่าหวาดกลัวออกมา แผ่กระจายไพศาล กวาดม้วนทั่วสารทิศราวกับคลื่นมหึมา
แนวหินภูเขา ถนนหนทาง ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ละแวกใกล้เคียงต่างถูกทำลายในบัดดล ฝุ่นควันคละคลุ้ง
ทั้งสองดวลกันด้วยหมัดเปล่า คนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่ง ดุกร้าวผ่าเผย ดุจดังกระบี่สมบัติไร้เทียมทานออกจากฝัก อีกคนเงาร่างโดดเด่นเหนือโลกีย์ รอบกายรายล้อมด้วยแสงพิสุทธิ์เรืองรอง ต่างฝ่ายต่างฟาดฟัน คลื่นปั่นป่วนอันน่าหวาดกลัวนั้นลุกโชน บาดตาจนผู้คนไม่อาจลืมตาขึ้นได้
เพียงชั่วขณะเท่านั้นก็ประมือกันกว่าสิบครั้ง ว่องไวอย่างยิ่ง ความน่าหวาดกลัวแห่งพลังทำให้พื้นที่ตรงนั้นตกสู่ความโกลาหลใหญ่ เมฆลมเปลี่ยนสี สรรพสิ่งแตกทลาย
นี่…
คนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉินต่างอึ้งค้าง ชิงเจ๋อซึ่งครองพลังแกร่งกล้าไร้เทียมทาน มีพลังโจมตีดุกร้าวน่ากลัวเพียงใด แต่ถึงกับถูกสกัดไว้ได้!
ทั้งยังกำลังปะทะกันซึ่งๆ หน้า!
พวกเขาหัวใจสะท้าน เบิกตากว้างด้วยรู้สึกยากจะเชื่อ ความผ่อนคลายก่อนหน้านี้หายลับไป รอยยิ้มก็แข็งทื่ออยู่บนใบหน้า
“ชิงเจ๋อกดพลังของตัวเองเอาไว้ ถึงได้ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่มีโอกาสโจมตีโต้กลับ วางใจเถิด ความพ่ายแพ้ของเขาถูกกำหนดไว้แล้ว อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น”
บุคคลชั้นแนวหน้าของตระกูลจั่วคนหนึ่งปลอบใจเช่นนี้
โครมๆ!
พื้นดินแตกระแหงทั่วบริเวณ เศษหินดินโคลนกวาดม้วนลอยล่องราวกับคลื่นสมุทร ห้วงอากาศส่งเสียงหวีดคำรามบาดแก้วหู แสงเรืองรองแหลกลาญในความว่างเปล่า
นี่คือภาพน่ากลัวที่เกิดจากการปะทะดุเดือดระหว่างทั้งสองคน
รุนแรงเกินไปแล้วจริงๆ
เวลานี้มีผู้ฝึกปราณของขุมอำนาจต่างๆ ตั้งไม่รู้เท่าไรรวมตัวอยู่หน้าประตูภูเขาชำระจิต สายตาทั่วทั้งนครต้องห้ามต่างกำลังจับจ้องมาที่การต่อสู้ในครั้งนี้
แรกเริ่มเดิมทีผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมากมายยังกังวล ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แทนหลินสวิน แต่ไม่นานสภาพจิตใจของพวกเขาล้วนสั่นสะท้าน และถูกดึงดูดเข้ามาในการต่อสู้สะท้านโลกครั้งนี้
นี่เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้สะท้านโลกอันยอดเยี่ยม หาพบได้ยากและเป็นประวัติการณ์โดยไม่ต้องสงสัย
ฉึบ!
ไม่นานนัก สองคนที่กำลังสู้กันดุเดือดล้วนล่าถอย ต่างฝ่ายต่างแยกจากกัน
เพียงแต่ไม่นานทั้งสองก็เริ่มการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิมขึ้นอีกครั้ง
ฝนแสงเรืองรองเจิดจรัสราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ปกคลุมเงาร่างของทั้งสอง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เงาร่างไหววูบ ทำเอาผู้คนมองจนลานตา เกือบลืมหายใจไปสิ้น
แม้จะเป็นคนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสล้วนอดไหวหวั่นไม่ได้ ไม่อาจจิตนาการได้ว่าคนรุ่นหลังสองคนที่อายุน้อยเช่นนี้ ไฉนถึงครอบครองพลังน่าสะพึงเช่นนี้ได้ นี่มันวิปริตชัดๆ
ส่วนผู้ฝึกปราณทั่วไปบางคนกลับตกตะลึงโดยสิ้นเชิง ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น สำหรับพวกเขาแล้วพลังเช่นนี้เหนือจินตนาการเกินไป ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เพียงพอจะทำลายภูผามหาสมุทร ปั่นป่วนจักรวาลได้แล้ว ดูเหมือนกับสุริยันจันทรากำลังประชันแสงกันไม่มีผิด
“เฮอะ!”
ในลาน ชิงเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา การโจมตีแข็งกร้าวของเขาถึงขั้นถูกหยุดยั้ง ไม่สามารถพิชิตชัยคู่ต่อสู้คนนี้ได้ในทันที สิ่งนี้ทำให้เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์
ตูม!
อานุภาพของชิงเจ๋อยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ รอบกายมีแสงเรืองลุกโชน พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าราวกับเตาไฟขนาดใหญ่ ผมยาวสีเงินปลิวสยาย องอาจดั่งเทพไท้ สุกสกาวชัชวาล
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติบางคนต่างหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ถึงความน่ากลัวในพลังของชิงเจ๋อ
“ปะทะฟู่ซี่!” เงาร่างของหลินสวินพลันสำแดง แผ่นหลังแผ่แสงเรืองออกมาดูประหนึ่งมังกรตัวใหญ่ ปรากฏภาพมายาแห่งสัตว์เทพฟู่ซี่ตัวหนึ่ง
นี่คือมรดกวิชาลับร่างหนึ่งในมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ถูกหลินสวินในตอนนี้สำแดงออกมา พลังอำนาจนั้นแตกต่างจากที่ผ่านมา พลันเห็นฟู่ซี่โฉบขึ้นกลางอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าหวาดกลัวออกมา ดูราวกับจะจมฟ้าดินผืนนี้ไปสิ้น
ปัง!
พริบตานั้นทุกคนต่างมองเห็นเต็มตา เงาร่างของชิงเจ๋อถึงกับถูกชนจนเซ เกือบกระเด็นลอยออกไป
ทั่วลานต่างฮือฮา!
แม้แต่กู้ตงถิงที่สุขุมเยือกเย็น เวลานี้ยังอดหรี่ตาลงน้อยๆ ไม่ได้
และเมื่อผ่านการโจมตี นัยน์ตาของชิงเจ๋อเปลี่ยนเป็นเย็นชา ผมเงินเต้นพล่าน รอบกายโอบล้อมด้วยแสงเรืองสีเขียวดุจเปลวไฟเผาผลาญ
ครืน ครืน~
พลานุภาพของเขากำลังปะทุสูงขึ้น ห้วงอากาศรอบกายล้วนพังครืนอลหม่าน ลมเมฆละแวกใกล้เคียงต่างผันแปร ถูกแสงเรืองที่แน่นขนัดนั้นย้อมให้กลายเป็นสีเขียว
ในตอนท้าย ฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือนตามการหายใจเข้าออกของเขา ดูน่าตระหนกยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นคนตระกูลจั่วและฉินเหล่านั้น หรือผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิคนอื่นๆ เวลานี้หัวใจต่างเต้นระรัว รับรู้ถึงความน่ากลัวของชิงเจ๋อ นี่คือคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นน่ากลัวยิ่งยวดคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ชิงเจ๋อในเวลานี้เรียกได้ว่าอันตรายสุดขีด นัยน์ตาสีเขียวเปล่งประกายคู่นั้นทอแสงจ้าน่าสะพรึงออกมา
สวบ!
เงาร่างของเขาไหววูบแล้วอันตรธานหายไปจากที่เดิม ครู่ต่อมาก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหลินสวิน
ตูม!
สองมือของเขาคล้องเกี่ยวเป็นมุทราใหญ่เก่าแก่ รายล้อมด้วยรัศมีอสนีสีเขียว ดุจดั่งสายฟ้าคำรามรวมตัวอยู่ในนั้น กลิ่นอายน่าหวาดกลัวนั้น แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติยังรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
หลินสวินไร้ซึ่งความกลัว กลิ่นอายของเขายิ่งไร้โลกีย์และโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ เจือรสชาติแห่งความสมบูรณ์อย่างหนึ่ง รอบกายมีแสงพิสุทธิ์ดุจภาพมายา โปร่งแสงหมดจด
แม้แต่เรือนผมของเขายังเปล่งประกาย นัยน์ตาดำพลุ่งพล่านด้วยเปลวไฟอันน่าสะพรึง
หากชิงเจ๋อไม่กดพลังไว้ บางทียังพอทำให้หลินสวินระวังตัวอยู่สามส่วน แต่เขาดันทำแบบนี้ นี่มีหรือจะทำให้หลินสวินกริ่งเกรงได้
“สยบ!”
ชิงเจ๋อเอ่ยถ้อยคำลับ ทั้งตัวเจือกลิ่นอายดุกร้าวแข็งแกร่งอันไร้เทียมทานดุจดวงอาทิตย์มหึมาสีเขียว ก่อนพุ่งสังหารเข้ามา
หลินสวินสำแดงมรดกวิชาลับมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ดูประหนึ่งมังกรเทพในตำนาน สำแดงความอัศจรรย์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างคล่องมือ ทั้งก้าวย่างชือน้ำแข็ง ปะทะฟู่ซี่ ผนึกป้าเซี่ย ประทับปี้อั้น
ทั้งสองตะลุมบอนฟาดฟันกันอีกครั้ง ราวกับดาบกระบี่กำลังห้ำหั่นกัน ทั้งยังเหมือนคีรีเทพโบราณกำลังชนปะทะ คลื่นลมจากการชนปะทะอันน่าหวาดกลัวนั้น ทำให้ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิจำนวนมากต่างหน้าเปลี่ยนสี หลบเลี่ยงไปให้ไกลตามๆ กัน
ตู้ม!
ฟ้าดินแถบนั้นสับสนวุ่นวาย ปรากฏหลุมใหญ่ราวกับเหวลึก พื้นดินที่แตกระแหงแผ่ขยายออกดุจใยแมงมุม
ภาพนั้นน่าสยดสยองเกินไปจริงๆ
ในบริเวณใกล้เคียง ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่รุดหน้ามาเมื่อได้ยินข่าวมีมากขึ้นทุกที ต่างให้ความสนใจกับศึกครั้งนี้
หน้าประตูภูเขาชำระจิต กลุ่มคนชั้นผู้นำของตระกูลหลินอย่างพวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง จูเหล่าซาน หลินไหวหย่วนต่างก็เฝ้ามองอยู่เช่นกัน
แต่ในมุมมือ ยิ่งมีสายตาของคนใหญ่คนโตตั้งไม่รู้เท่าไรจับจ้องมาที่นี่ ให้ความสนใจในทุกรายละเอียดของการประลองครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
ต่อสู้จนถึงตอนนี้ ทุกคนล้วนมองออก ภายใต้สถานการณ์ที่กดระดับปราณของตนเอาไว้ ชิงเจ๋อยากจะเอาชนะหลินสวินได้ในเวลาอันสั้น
และฝีมืออันโดดเด่นของหลินสวิน ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิจำนวนมากมองเขาใหม่ รู้สึกผิดคาดและประหลาดใจกับสิ่งนี้
แน่นอน คนส่วนใหญ่ล้วนคิดไม่ถึงว่าหลังจากเงียบหายไปครึ่งปี ความสามารถที่แท้จริงของหลินสวินถึงกับเปลี่ยนไปเป็นสุดหยั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่ก็คือพลังของมกุฎมรรคาสินะ…” กู้ตงถิงพึมพำกับตัวเอง
เมื่อมองบุคคลสำคัญสองตระกูลจั่วและฉินอีกครั้ง แต่ละคนล้วนตะลึงระคนสงสัย ไร้ซึ่งความผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้
พรวด!
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ในลานพลันมีเลือดสดสายหนึ่งพุ่งออกมา สะดุดตายิ่งนัก และในเวลาเดียวกันนั้นเงาร่างสายหนึ่งที่อยู่กลางอากาศก็ซวนเซถอยออกมาสิบกว่าจั้ง มุมปากหลั่งเลือด
“นี่…”
ทุกคนตะลึงพรึงเพริด เนื่องจากผู้นี่ถูกโจมตีคนนั้นไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นชิงเจ๋อ!
ผลลัพธ์นี้ทำเอาคนมากมายปากอ้าตาค้าง ล้วนแทบไม่อยากเชื่อ นี่ผิดคาดเกินไป กลายเป็นพลังโจมตีอันยิ่งใหญ่เหลือล้น
ส่วนบุคคลสำคัญของตระกูลจั่วและฉินยิ่งตาแทบถลนออกมา นี่เป็นไปได้อย่างไร
พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
ก่อนหน้านี้คนมากมายต่างเป็นกังวลแทนหลินสวิน แทบจะไม่คิดว่าเขามีโอกาสกำชัย อย่างไรเสียชิงเจ๋อคนนั้นก็แข็งแกร่งเกินไป ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ยังรับสามกระบี่ของเขาไม่ได้เลยสักคน
ทว่าตอนนี้เขากลับได้รับบาดเจ็บก่อนในการประลอง ถูกหลินสวินที่เพิ่งมีปราณระดับหยั่งสัจจะทำให้ปราชัย การพลิกผันครั้งนี้ค่อนข้างกะทันหันมากเกินไปจริงๆ
‘ถ้ากดพลังต่อไป เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว…’ กู้ตงถิงมุ่นคิ้ว
พลันเห็นกลางลาน ผมดำสนิทของหลินสวินพลิ้วไสว ทั่วกายรายล้อมด้วยแสงพิสุทธิ์เปล่งประกายดุจภาพมายา ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นประดุจเทพเซียนสันโดษ ทั่วร่างไร้ซึ่งการบาดเจ็บใดๆ
เขาเหลือบมองชิงเจ๋อแล้วกล่าวว่า “สำแดงพลังทั้งหมดของเจ้าดีกว่า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงต้องพ่ายแพ้อย่างไม่น่าพิสมัยเท่านั้นแล้ว”
ทั่วลานไร้สุ้มเสียง เงียบสงัดหาที่เปรียบ
ไกลออกไป ชิงเจ๋อปาดคราบเลือดตรงมุมปากออกเบาๆ สีหน้าเริ่มขาวซีดเล็กน้อย บริเวณไหล่ซ้ายของเขาประทับรอยฝ่ามือที่กดลึกรอยหนึ่ง มีเลือดสดไหลนองออกมา น่าสยดสยองยิ่ง
ภาพเช่นนี้ทำให้ทุกคนล้วนสะท้านไหว
ก่อนหน้านี้ชิงเจ๋อแสดงออกอย่างถือดีและเหยียดหยามมากเพียงใด ทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายต่างคิดไปว่าการดวลครั้งนี้หลินสวินคงเสียเปรียบ ตกที่นั่งลำบาก และเป็นไปได้ว่าอาจพ่ายแพ้
ทว่าเมื่อการต่อสู้เปิดม่านขึ้น ทั้งสองห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ความน่าทึ่งของหลินสวินดลให้ทั่งลานตะลึงพรึงเพริดไม่ขาดสาย จวบจนบัดนี้ภาพการบาดเจ็บของชิงเจ๋อปรากฏขึ้น ทำเอาทั่วทั้งลานมีความรู้สึกคล้ายไม่สมจริง ประหนึ่งกำลังฝันอยู่ก็ไม่ปาน
“นี่เป็นถึงศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ผู้กล้าทรงอำนาจอย่างแท้จริงคนหนึ่ง เหตุใดถึงถูกโจมตีจนบาดเจ็บไปก่อนเสียได้”
บุคคลสำคัญของตระกูลจั่วและฉินต่างคับข้องยิ่งนัก ในใจไม่อยากเชื่อความจริงข้อนี้
“เขากดพลัง ไม่ได้สำแดงพลังทั้งหมด อีกอย่างท่านทั้งหลายอย่าลืมเชียว ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของชิงเจ๋อคือวิถีกระบี่ แต่จนป่านนี้เขายังไม่เคยงัดพลังระดับนั้นออกมาใช้เลย! อดใจรอดูต่อไป คนที่พ่ายแพ้ในตอนสุดท้ายย่อมไม่ใช่ชิงเจ๋อแน่”
ประโยคนี้ของกู้ตงถิงทำให้บุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินต่างคืนสติ กลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ในความเป็นจริง ถ้อยคำของกู้ตงถิงหาได้โป้ปดไม่ เขารู้จักชิงเจ๋อดี ผู้สืบทอดคนนี้ครอบครองความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมความถือดีของเจ้าตัว ในสำนักกระบี่เทียมฟ้าถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นผู้ปรีชาโดดเด่น อานุภาพไม่ธรรมดาถึงที่สุด
การบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขานับว่าแค่เลินเล่อเท่านั้น
กู้ตงถิงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ตอนที่ชิงเจ๋อเริ่มเอาจริง ทุกอย่างนี้ย่อมแปรเปลี่ยนกลับตาลปัตรแน่นอน!
ตอนที่ 750 ศึกแห่งจิตขับเคลื่อน
โดย
ProjectZyphon
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้แต่ศิษย์สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังถูกโจมตี คุณชายหลินช่างอหังการหาใดเปรียบชัดๆ!”
“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้ใครอวดอ้างว่าพลังต่อสู้ของชิงเจ๋อผู้นี้เย้ยฟ้ากัน เมื่อเทียบกับคุณชายหลิน เขาก็แค่เท่านี้!”
ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่อยู่ในระยะไกลต่างฮึกเหิม รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
หลายวันมานี้ข่าวลือเกี่ยวกับชิงเจ๋อทำให้ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิต่างรู้สึกหดหู่เป็นเท่าตัว ศิษย์สายในที่ยังหนุ่มคนหนึ่ง กลับสยบบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งของจักรวรรดิในงานเลี้ยงราชวงศ์ ใครจะรู้สึกมีความสุขกับเรื่องนี้ได้เล่า
แต่ตอนนี้ได้เห็นหลินสวินสำแดงพลังอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้สถานการณ์ที่ปะทะกันซึ่งหน้า ก็ชิงตัดหน้าโจมตีชิงเจ๋อจนบาดเจ็บได้ก่อน ในฐานะผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิย่อมฮึกเหิมเป็นธรรมดา
เพียงแต่เสียงโห่ร้องและความฮึกเหิมไม่ได้ดำรงอยู่นานก็ต้องหยุดชะงักทันที บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดและตึงเครียดอีกครั้ง
เหตุผลอยู่ที่กลิ่นอายของชิงเจ๋อในลานเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มีกลิ่นอายน่ากลัวอันไร้รูปแผ่ซ่านออกจากรอบกายขา ดุจดังสัตว์ปีศาจบรรพกาลฟื้นตื่นจากการหลับใหล ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิทั่วลานต่างสั่นงั่กทั่วสรรพางค์กาย รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันลึกลับ
ชิงเจ๋อในเวลานี้รอบกายรายล้อมด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีเขียวพลุ่งพล่าน เรือนผมสีเงินปลิวสยาย เปล่งประกายราวกับน้ำตกเงิย นัยน์ตาทั้งคู่ทอแสงศักดิ์สิทธิ์น่ากลัวออกมา
หากกล่าวว่าชิงเจ๋อก่อนหน้านี้เป็นเหมือนคมดาบไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็เป็นดั่งภูเขาไฟที่เดือดพล่าน บรรจุกลิ่นอายน่ากลัวเหมือนจะล้างจักรวาลผลาญพิภพก็ไม่ปาน!
เห็นได้ชัดเจนว่าบริเวณไหล่ซ้ายที่บาดเจ็บจนยุบตัวของเขาฟื้นสู่สภาพเดิมได้ในชั่วขณะ เสาะหาไม่พบร่องรอยอาการบาดเจ็บแม้เพียงเสี้ยวอีก
ไม่เพียงเท่านี้ ชิงเจ๋อในเวลานี้ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ ก็ทำให้ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่นได้แล้ว แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ตั้งไม่รู้เท่าไร!
แย่แล้ว!
คนใหญ่คนโตแห่งจักรวรรดิทั้งหมดล้วนหน้าเปลี่ยนสี เห็นชัดเจนยิ่งว่าชิงเจ๋อบันดาลโทสะแล้ว ไม่ได้กดพลังของตนอีกต่อไป
“พลังของมกุฎมรรคาข้าได้เรียนรู้แล้ว สามารถทำให้ข้าบาดเจ็บเล็กน้อยได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เสียงของชิงเจ๋อราบเรียบ ทว่าพลังอำนาจกลับน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาลุกโชน แสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง “เพียงแต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าแค่นี้ก็จะทำให้ข้าปราชัยได้แล้ว”
ยามเอ่ยวาจาเขาก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ห้วงอากาศยุบทลายแผดคำราม พลานุภาพปานล้างผลาญเช่นนั้นทำให้บุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติยังใจสั่น
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
บางทีนี่จึงจะเป็นพลังแท้จริงที่ชิงเจ๋อมีในครอบครอง ก่อนหน้านี้เขากดพลังเอาไว้ ถึงได้รับบาดเจ็บด้วยความเลินเล่อ
ทว่าตอนนี้ย่อมไม่เหมือนกัน!
“ดี!”
บุคคลสำคัญตระกูลจั่วคนหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นในใจ ถึงกับส่งเสียงร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วพลันเจอเข้ากับความไม่พอใจของผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิทั้งหมดในบัดดล
คนตระกูลจั่วผู้นั้นรู้ว่าเสียกิริยาก็หุบปากทันที แต่ภายในใจกลับหัวเราะเย็นชาขึ้นมา เขารอคอยการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงอย่างยิ่ง!
เผชิญหน้ากับชิงเจ๋อที่เปลี่ยนเป็นแกร่งกล้า หลินสวินก็กำลังสาวเท้าเช่นเดียวกัน ไม่ได้หลบเลี่ยง รูปร่างของเขาสูงโปร่ง โดดเด่นไม่แปดเปื้อนมลทิน รอบกายมีกลิ่นอายอันสมบูรณ์ประการหนึ่ง
“ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าก่อนหน้านี้ยังคุยโวว่าจะกดพลังต่อสู้กับข้าอย่างยุติธรรม แต่ตอนนี้เห็นท่าไม่ค่อยดีกลับนึกเสียใจขึ้นมา การกระทำปลิ้นปล้อนสับปลับแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเป็นสิ่งที่สืบทอดกันในสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเจ้าด้วย”
คำพูดหลินสวินฟังดูสบายๆ ยิ่งนัก แต่กลับเจือการถากถางทางอ้อม ทำเอาผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างนึกอยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก ได้แต่กลั้นเอาไว้จนอึดอัดยิ่งนัก
แต่ความจริงก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ชิงเจ๋อแสดงออกอย่างถือดียิ่งนัก กล่าวว่าจะกดพลังเพื่อต่อสู้กับหลินสวินอย่างเท่าเทียม
ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจกะทันหัน พฤติกรรมนี้ขายขี้หน้าจริงๆ
“บังอาจ!”
ไกลออกไปแววตาของกู้ตงถิงเย็นเยียบ คิดไม่ถึงว่าหลินสวินถึงกับอาศัยโอกาสนี้ดูหมิ่นสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเขา
กลับเห็นว่าชิงเจ๋อที่อยู่ในลานสีหน้านิ่งขรึม ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวถึงขีดสุด จ้องไปที่หลินสวินแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เป็นข้าเกรงใจเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้คุณค่า ยังมาถากถางข้า ดูท่าเจ้าตั้งใจรนหาที่ตายจริงๆ สินะ”
ไอสังหารวนเวียนอยู่ภายในใจของเขา ก่อนหน้านี้ถูกโจมตีจนบาดเจ็บก็ทำให้เขาเสียหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกหลินสวินถากถางต่อหน้าธารกำนัลอีก มันทำให้เขาเดือดดาลอย่างสิ้นเชิง
ตูม!
ในดวงตาของชิงเจ๋อถึงกับมีรอยสลักปริศนาลักษณะเหมือนกระบี่คู่หนึ่งพุ่งยิงออกมา ตัดสลับกันกลางอากาศ คำรามเสียงดังเคร้งคร้าง ปลดปล่อยกลิ่นอายวิถีกระบี่คมกริบไร้เทียมทานออกมา
ฝั่งผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างสูดลมหายใจหนาวเยือก รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวสุดซึ้ง ตระหนักได้ว่าชิงเจ๋องัดวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาใช้แล้ว
ตอนนั้นในงานเลี้ยงราชวงศ์ ชิงเจ๋อก็อาศัยปราณวิถีกระบี่นี้สยบคนใหญ่คนโตกลุ่มหนึ่ง ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งสามกระบี่ของเขาได้!
แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ก็ยังทำไม่ได้!
‘เจ้าหมอนี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในปีนั้นสักเท่าไรเลย…’ นัยน์ตาของจ้าวไท่ไหลที่อยู่ไกลออกไปหรี่ลงฉับพลัน
ส่วนกู้ตงถิงรวมถึงบุคคลสำคัญของสองตระกูลจั่วและฉินในเวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นลงมาก ชิงเจ๋อกำลังจะใช้พลังทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่กังวลอะไรอีกต่อไป
เช่นเดียวกับพวกเขา เห็นได้ชัดว่าหลินสวินก็ดูเยือกเย็นมาก กลิ่นอายในเวลานี้ของชิงเจ๋อแม้จะทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างอยู่บ้าง แต่มันไม่เพียงพอจะทำให้เขาเกรงกลัวได้
“พูดไปพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าดูมีเหตุผลไปเสียหมด เหอะๆ ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เรียนรู้ศักยภาพของผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้ว” หลินสวินหัวเราะเยาะ
ถ้อยคำเหล่านี้กระแทกใจชิงเจ๋อ พาให้สีหน้าเขายิ่งดูเย็นเยียบมากขึ้น กลิ่นอายก็ยิ่งน่าสะพรึงขึ้นทุกที ศิษย์สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าอันสูงส่ง ไหนเลยจะเคยถูกคนเสียดสีเช่นนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้ในดินแดนแร้นแค้นอย่างโลกชั้นล่าง กลับถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งหัวเราะเยาะไม่หยุดปาก สิ่งนี้ทำให้ในใจชิงเจ๋อโมโหถึงที่สุด
“พิฆาต!”
ริมฝีปากของเขาพ่นคำหนึ่งออกมา ไอสังหารพุ่งทะยาน ถัดจากนั้นก็เห็นสัญลักษณ์รูปกระบี่เปล่งประกายสีเขียวเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากนัยน์ตาของเขาอย่างเฉียบพลัน
สวบ!
สัญลักษณ์รูปกระบี่เปล่งแสง สำแดงคมไร้เทียมทานราวกับสายฟ้าสีเขียว ทำให้ดวงตาของผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิปวดแปลบเหมือนถูกตัดเฉือนด้วยคมกระบี่
“รุ่งสาง!”
คนใหญ่คนโตในจักรวรรดิบางคนร้องอุทานเสียงหลง ด้วยจำการโจมตีนี้ได้
ตอนนั้นในงานเลี้ยงราชวงศ์ชิงเจ๋อก็เคยสำแดงมรดกวิถีกระบี่เช่นนี้ ภายใต้กระบี่นี้ เผยลำแสงไร้เทียมทานราวกับพระอาทิตย์แรกโผล่พ้นฟ้า ทำลายล้างความมืดมิด!
เพียงแต่กระบี่รุ่งสางในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก ทั้งยังเป็นจิตกระบี่ไร้รูปที่ควบแน่น ขับเคลื่อนด้วยพลังจิต แน่นอนว่าลึกลับสุดหยั่ง พิฆาตกราดเกรี้ยวหาใดเปรียบ!
พลังจิต!
เป็นพลังจิตวิญญาณที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขึ้นไปเท่านั้นจึงจะควบรวบออกมาได้
และไม่ต้องสงสัยเลย มรดกวิถีกระบี่ที่ชิงเจ๋อครอบครองอยู่นี้ ก้าวหน้าไปถึงขั้นเผยความอัศจรรย์ของพลังจิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วิถีกระบี่เช่นนี้ทอดสายตาแลไปทั่วจักรวรรดิต่างเรียกได้ว่าหายากและไร้เทียมทาน พบได้น้อยมากอย่างที่สุด!
การโจมตีนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังของชิงเจ๋อน่ากลัวมากเพียงใด
เพียงแต่ทุกผู้คนล้วนไม่ได้สังเกตเห็น ยามเห็นการโจมตีนี้ ในดวงตาของหลินสวินกลับผุดแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง
สวบ!
ครู่ต่อมาก็เห็นคมดาบปานดาราเรืองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางหว่างคิ้วของหลินสวินเช่นเดียวกัน ขาวกระจ่างดุจหิมะ จวนเจียนโปร่งแสง ดั่งแสงระยับเย็นยะเยือกเสี้ยวหนึ่ง เสมือนความฝันฟุ้งเฟ้อ
‘มรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลสลักลายมรรค’!
นี่คือมรดกวิชาส่วนแรกของดาบหัก เป็นวิชาลับจิตขับเคลื่อนอย่างแท้จริง แต่ที่แตกจากชิงเจ๋อคือ สิ่งที่หลินสวินบังคับอยู่นั้นคือ ‘ศาสตราจิต’ ที่แท้จริงเล่มหนึ่ง!
ศาสตราจิตคืออะไร
คือสมบัติที่ใช้ ‘จิต’ ในการขับเคลื่อน สามารถเฉือนเทพผี สะบั้นจักรวาล ปั่นป่วนสุริยันจันทราได้!
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้แทบไม่มีให้เห็นบนโลกทุกวันนี้ มันหายากเกินไป แม้แต่ในมือของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสังสารวัฏยังไม่มีในครอบครอง
ตูม!
ภายใต้ความสนใจของทุกสายตาทั่วลาน ยามที่ดาบหักพุ่งโฉบออกมา ก็เห็นกระบี่ลับไร้เทียมทานสายนั้นที่ชิงเจ๋อปล่อยออกมาถูกตัดสะบั้นอย่างง่ายดายราวกับกระดาษว่าว ระเบิดกลายเป็นละอองแสงปลิวหาย
กระบี่นี้อานุภาพน่าทึ่งไร้เทียมทานเพียงใด แต่ยังไม่รอให้สำแดงฤทธิ์เดชก็ถูกทำลายทิ้งแบบนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานต่างอึ้งค้างทันที นิ่งงันอยู่ตรงนั้น ยากจะเชื่ออย่างยิ่ง
พรวด!
ชิงเจ๋อที่อยู่ไกลออกไปเดิมทีไอสังหารพวยพุ่ง หมายจะใช้พลังแท้จริงกำราบหลินสวินเพื่อระบายความแค้นในใจ ทว่าเขาในตอนนี้กลับกระเด็นลอยออกไปเหมือว่าวเชือกขาด ปากกระอักเลือด แม้แต่สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นซีดเซียวในบัดดล
เสียงดังปึงหนึ่งครา ร่างของชิงเจ๋อร่วงตุบลงบนพื้น กระแทกจนที่ตรงนั้นแตกเป็นเสี่ยง ฝุ่นควันตลบฟ้า
“นี่…”
ทั่วทั้งลานปากอ้าตาค้าง
หลังจากชิงเจ๋อไม่กดพลังอีกต่อไป อานุภาพน่าหวาดกลัวนั้นได้สั่นสะท้านหัวใจของทุกผู้คนตั้งแต่เอาไว้แล้ว ต่างลอบเป็นกังวลแทนหลินสวินกันถ้วนหน้า
อย่างไรเสียในตอนนั้นแม้แต่บุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติยังหยุดสามกระบี่ของชิงเจ๋อเอาไว้ไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินที่เพิ่งครอบครองพลังปราณระดับหยั่งสัจจะจะไหวหรือ
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้ผู้คนอึ้งงัน ทันทีที่ชิงเจ๋อปล่อยกระบี่พิฆาตออกไป กลับพ่ายแพ้อย่างสุดจะทนยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก!
ภาพนี้เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไป
“สวรรค์ ก่อนหน้านี้พวกเราทึ่มที่เป็นกังวลแทนคุณชายหลินกันชัดๆ!”
ผู้ฝึกปราณที่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินเวลานี้ต่างตะลึงเล็กน้อย แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ทำลายศัตรูอย่างง่ายดายเหมือนพังไม้ผุ ฝีมือเช่นนี้เกรี้ยวกราดเผด็จการเกินไปแล้ว!
“เป็นไปไม่ได้!”
บุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินตกใจจนแทบโดดผลุงขึ้นมา เดิมทีมั่นใจเต็มอก กำลังเตรียมชมเรื่องสนุก แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าพริบตาเดียวกลับเป็นชิงเจ๋อที่พ่ายแพ้ไปเสียได้!
ยังดีที่พวกเขามีบทเรียนจากคราวก่อน ไม่กล้าส่งเสียงออกไป มิเช่นนั้นหากผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิคนอื่นๆ ล่วงรู้ความคิดของพวกเขา คงต้องถูกกลอกตาใส่และรังเกียจเป็นแน่
‘ศาสตราจิต นั่นเป็นถึงศาสตราจิต…’
นัยน์ตากู้ตงถิงวับวาว ค่อนข้างไหวหวั่นสะเทือนอารมณ์ จับจ้องไปยังคมดาบขาวแวววาวที่วนอยู่รอบกายหลินสวิน สีหน้าปรวนแปร
มีเพียงเขาที่รู้ดีว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ของชิงเจ๋อนั้นสมควรแล้ว เพราะนั่นเป็นศาสตราจิตขนานแท้! ต่อให้เป็นในสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ยังเป็นสมบัติล้ำที่เรียกได้ว่ามีค่าเหลือล้น พบเห็นได้น้อยมาก
เพียงแต่… ท้ายที่สุดผลลัพธ์นี้ช่างทำให้ผู้คนหดหู่เหลือเกิน!
“ฮ่าๆ วะฮะฮ่าๆ…” จ้าวไท่ไหลที่อยู่ไกลออกไปหัวเราะจนเหมือนจิ้งจอกเฒ่าที่ขโมยลูกไก่ได้อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนหน้าประตูภูเขาชำระจิต สมาชิกและบุคคลระดับสูงของตระกูลหลินทั้งหมดต่างกู่ร้องขึ้นอย่างเป็นเกียรติ
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ในที่นั้นชิงเจ๋อตะกายขึ้นมาจากพื้น ส่งเสียงตะโกนเดือดดาลเย็นเยียบ เขาไม่ยินยอม ในใจโกรธเกรี้ยวเฉียวฉุน ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้
ยังไม่ทันงัดพลังทั้งหมดออกมาใช้ก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแล้ว นี่เป็นความอัปยศยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย!
“พิฆาต!”
ชิงเจ๋อในขณะนี้ไม่ได้มีท่วงท่าเป็นเอกเทศวางตัวตามสบายเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว เรือนผมสีเงินของเขาเต้นพล่าน ใบหน้าเขียวคล้ำ เงาร่างประหนึ่งภูเขาไฟลุกไหม้ เผาทำลายห้วงอากาศ เรียกกระบี่วิญญาณสีเขียวเล่มหนึ่งพุ่งสังหารออกมา
เวลานี้เขาเหมือนดวงอาทิตย์ลุกโชนสีเขียวดวงหนึ่งกำลังปะทุเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แทบอยากเอาชีวิตหลินสวินด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
เพียงแต่หลินสวินกลับไร้ซึ่งความเกรงกลัวตั้งแต่ต้น!
ถ้าหากก่อนหน้านี้ชิงเจ๋อไม่ใช้วิชาลับวิถีกระบี่นั้นออกมา บางทียามหลินสวินต่อสู้กับเขาอาจจะยังชักช้าเสียเวลาอีกหน่อย ทว่าตอนนี้…
ผลลัพธ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว!
ตอนที่ 751 รื่นรมย์
โดย
ProjectZyphon
“เจ้าแพ้แล้ว ขัดขืนไปก็เปลืองแรงเปล่า”
หลินสวินเอ่ย ดาบหักแปรเป็นสายรุ้งขาวกระจ่างราวโปร่งแสง ส่งเสียงคำรามก้องกังวาน พุ่งโฉบออกมาแสนมหัศจรรย์
เป็นวิชาแห่งจิตขับเคลื่อนเช่นเดียวกัน ทว่าสิ่งที่หลินสวินใช้พลังจิตควบคุมคือศาสตราจิต ส่วนที่ชิงเจ๋อใช้กลับเป็นกระบี่ลับที่ควบรวมมาจากพลังจิต
นี่จึงจะเป็นความแตกต่างของทั้งสอง ซึ่งส่งผลให้พลานุภาพบังเกิดความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
เห็นได้ชัดว่าชิงเจ๋อเองก็ตระหนักถึงจุดนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการลงมือครั้งนี้จึงเรียกกระบี่วิญญาณสีเขียวเล่มหนึ่งออกมา
ชิ้ง!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง ดาบหักดุจสายรุ้ง ลอยล่องราวภาพฝัน อัสจรรย์และโปร่งแสง สลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
โฮก!
ขณะที่ต่อสู้ หลินสวินได้สำแดง ‘เสียงคำรามผูเหลา’ คลื่นเสียงสนั่นฟ้าสะเทือนดินแปรเปลี่ยนเป็นมีรูปร่างกลายเป็นคลื่นแผ่ซ่านออกไป ซัดทำลายห้วงอากาศ ปกคลุมทั่วสารทิศ
พลันเห็นชิงเจ๋อที่ต่อสู้ดุเดือดส่งเสียงร้องอึดอัด ทั่วร่างสั่นเทิ้มไม่รู้จบ
“ต่ำช้า!”
นัยน์ตาของเขาน่ากลัว ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ ก่อนหน้านี้เขาถูกดาบหักทำร้ายพลังจิต และตอนนี้ยังถูกคลื่นเสียงอันน่ากลัวนั้นพุ่งจู่โจมจิตวิญญาณอีกด้วย พลันรู้สึกรับไม่ไหวขึ้นมาในบัดดล
“ต่ำช้า? นี่คือการต่อสู้ เจ้าเป็นถึงศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอยู่หรือ”
หลินสวินพูดไปพลางสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งไปด้วย โจมตีออกไปอย่างแกร่งกล้า
เขาคิดสยบคู่ต่อสู้ ครั้งนี้จึงไม่ได้ยั้งมือใดๆ หมายจะพิชิตชัยในอึดใจเดียว ยุติการดวลนี้ไปเสีย
ตูม!
เงามายาชือน้ำแข็งโผทะยานกลางอากาศ ขาวผ่องเป็นยองใย แผดคำรามเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ส่วนความเร็วของหลินสวินนั้นได้บรรลุถึงระดับที่น่าตกใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมยาวของเขาปลิวสยายไปด้านหลัง นัยน์ตาดำราวหุบเหว ยามนี้ได้แสดงให้เห็นถึงอานุภาพของตนโดยสมบูรณ์แล้ว ท่วงท่าอันแสนเหยียดหยันไร้เทียมทานนั่น สั่นสะเทือนไปทั่วลาน!
ชิงเจ๋อบันดาลโทสะ แข็งขืนสู้ไม่ยอมหลบหลีก
โครม!
ห้วงอากาศแถบนี้ราวกับถูกระเบิด ดาบหักร่ายรำ คมกระบี่ว่ายเวียน แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านแผ่ซ่าน กวาดม้วนทั่วสารทิศราวกับน้ำไหลหลากก็ไม่ปาน
ผู้ฝึกปราณที่จับตามองศึกครั้งนี้ต่างนิ่งงันไปแล้ว ก่อนหน้านี้ความสามารถของชิงเจ๋อแข็งแกร่งตั้งเท่าไร แต่อยู่ต่อหน้าหลินสวินในยามนี้ ถึงกับถูกสยบจนเกือบโงหัวไม่ขึ้น!
ส่วนสีหน้าของบุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินล้วนเปลี่ยนเป็นเหยเกถึงขีดสุด ผลลัพธ์นี้ทำให้พวกเขายากยอมรับเป็นอย่างยิ่ง ความสามารถของหลินสวินเจิดจ้าขึ้นทุกที ยิ่งทำให้พวกเขาหงุดหงิดและอัดอั้นขึ้นเรื่อยๆ นี่มันยากรับไหวเหมือนกินแมลงวันตายชัดๆ!
ปังๆๆ!
ชิงเจ๋อรู้สึกเพียงว่าเลือดลมพลิกตลบ ถูกซัดสะเทือนจนมือไม้ชาวาบ จิตวิญญาณกวัดแกว่ง มีความรู้สึกโกรธแค้นและอัดอั้นที่บรรยายไม่ถูก
นี่เป็นไปได้อย่างไร
เขาไม่อยากเชื่อ
เขาก้าวสู้อันดับผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในระดับกระบวรแปรจุติแล้ว พลังต่อสู้โดดเด่น น่าทึ่งเหนือธรรมดา แม้แต่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่แห่งดินแดนรกร้างโบราณ ยังเรียกได้ว่าเป็นระดับผู้กล้า แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ยังไม่อยู่ในสายตาเขา
ทว่าตอนนี้เขากลับถูกกำราบ ซ้ำยังถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกำราบอีกด้วย!
สภาพจิตใจของชิงเจ๋อแน่วแน่เสมอมา เพียงแต่ในยามนี้เขากลับรู้สึกเสียหน้าหาที่เปรียบ อึดอัดสุดจะทน ถ้าหากถูกโจมตีจนปราชัยในโลกชั้นล่างอันแร้นแค้นแห่งนี้ เมื่อข่าวแพร่สะพัดกลับสำนัก คงทำให้เขาไม่พ้นเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน!
เคร้ง!
ไม่นานหลินสวินก็ขับเคลื่อนดาบหัก ปะทะสะบั้นกระบี่วิญญาณของชิงเจ๋อจนเกิดเสียงเล็กแหลม
ขณะเดียวกันหลินสวินสาวเท้าออกมา กดฝ่ามือลงกลางอากาศ ประทับปี้อั้นที่ควบแน่นสายหนึ่งปลดปล่อยแสงจ้าล้นหลามกดทับบนตัวชิงเจ๋อ
ตู้ม!
ชิงเจ๋อถูกซัดจนลอยขว้าง ทรวงอกเว้ายุบ เลือดข้นพุ่งสาด
ณ ที่นั้นเกิดเสียงฮือฮาโกลาหลในบัดดล ชิงเจ๋อถูกกำราบอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่
ทว่าในเวลาเดียวกัน พลังต่อสู้อันกล้าแกร่งที่หลินสวินสำแดงออกมา ก็ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิเลือดร้อนพลุ่งพล่าน รู้สึกถึงความฮึกเหิมและประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แน่นอน ใครเลยจะเคยจินตนาการ ว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งถึงกับสามารถสยบศิษย์สืบทอดที่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าจนโงหัวไม่ขึ้นได้
ศิษย์สืบทอดคนนี้ เคยกวาดล้างคนใหญ่คนโตระดับกระบวนแปรจุติกลุ่มหนึ่งภายในสามกระบี่เชียว!
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความเย้ยฟ้าของหลินสวินได้ชัดเจนขึ้น
“ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าอะไรกัน ยังกล้าอวดอ้างในจักรวรรดิของเรา ดูสิ ไม่ใช่ว่าถูกคุณชายหลินสวินกำราบไปแล้วหรือ”
“นี่ก็คือจุดจบของคนที่ดูถูกคนอื่นไปทั่ว!”
“รื่นรมย์ ช่างรื่นรมย์จริงๆ! ไม่เสียทีที่คุณชายหลินเป็นบุคคลชั้นนำของคนรุ่นใหม่ในจักรวรรดิ อำนาจทั่วนครหลวงจะเป็นฉายาจอมปลอมได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินชิงเจ๋อถูกสบประมาทอย่างรุนแรง กู้ตงถิงที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมา แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวครอบฟ้าคลุมดิน ถึงขั้นมีความคิดอยากลงมือเองหลายต่อหลายครั้ง
ชิงเจ๋อตกสู่สถานการณ์เสียเปรียบ ทำให้เขาเองก็หน้าเจื่อนไปเหมือนกัน
ทว่ากู้ตงถิงตื่นตัวขึ้นอย่างว่องไว ด้วยสัมผัสได้ว่ามีพลังน่าสะพรึงสุดขีดคละคลุ้งไปทั่วฟ้าดินแห่งนี้ ขอเพียงเขากล้าเคลื่อนไหวผิดปกติแม้แต่น้อย การปะทะอันไร้เทียมทานของราชันจะต้องปะทุขึ้นอย่างแน่นอน!
‘เป็นเขา…’ กู้ตงถิงชี้ตัวคู่ต่อสู้ได้ในทันที เป็นจ้าวไท่ไหลนั่นเอง สิ่งนี้ทำให้นัยน์ตาของเขาพลุ่งพล่านระลอกหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยังข่มกลั้นเอาไว้
อย่างไรเสียจักรวรรดินี้ก็ไม่ใช่ถิ่นของสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเขา แม้กู้ตงถิงจะถือดี ก็รู้แก่ใจว่าถ้าบุ่มบ่ามไปจะต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย
ในลานเวลานี้ชิงเจ๋อตกสู่สภาพการณ์ถูกกำราบไว้อย่างสิ้นเชิง บาดเจ็บหนักหลายครั้ง เลือดอาบทั่วร่าง ผมเผ้ากระเซิง กระดูกแตกหักไปหลายจุด เหมือนกับหุ่นฟางที่จมอยู่ในพายุฝนฟ้าคะนองก็ไม่ปาน
“นายท่าน…!”
สีหน้าเฉินเฟิงข้ารับใช้ของชิงเจ๋อซีดเซียว ร้องตะโกนอย่างลนลาน
ข้ารับใช้คนนี้ก่อนหน้านี้ก็ถือดีมากเช่นเดียวกัน มองว่าผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิไร้ตัวตน ทว่าตอนนี้กลับมีท่าทีเลิ่กลั่กลนลาน กระสับกระส่ายยากสงบใจ พาให้ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิบางคนหัวเราะเยาะไม่สิ้น
ปึง!
ไม่นานชิงเจ๋อก็ถูกสยบ ร่างกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเป็นหลุมใหญ่ หน้าคลุกฝุ่นผมเผ้ารุงรัง น่าสังเวชยิ่งยัก
ดวงตาของเขาแทบถลนออกมา ยังคงไม่อาจยอมรับผลลัพธ์ข้อนี้ได้ คำรามเดือดดาลพลางหยัดตัวขึ้น เพียงแต่ชั่วขณะนั้นร่างของเขาพลันแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหงื่อเย็นผุดท่วมหน้าผาก
เนื่องจากดาบหักที่โปร่งแสงราวน้ำค้างแข็งเจิดจ้าได้พาดบนลำคอเขาเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงเขากล้าขยับแม้แต่นิด ก็จะถูกตัดคอขาดสะบั้น!
แพ้แล้ว!
ชิงเจ๋อรู้สึกราวกับฟ้าถล่มลงมาจนสิ้น สีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง บิดเบี้ยวและสะบักสะบอม แค้นจนแทบกระอักเลือด
“เจ้าไม่ได้พูดว่าคุณชายหลินก็ไม่เท่าไรหรอกหรือ เหตุใดกลับเป็นเจ้าที่แพ้เสียแล้ว” ทางฝั่งผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิส่งเสียงหัวเราะถากถางเป็นระลอก
สิ่งนี้ทำให้ชิงเจ๋ออับอายจนกลายเป็นโกรธอย่างถึงที่สุด ดวงหน้าทรวงอกร้อนวูบ เขาผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าอันยิ่งใหญ่ ผู้กล้าไร้เทียบเทียมในรุ่น มากด้วยความมั่นใจและถือดีเต็มพิกัด หลังจากมาเยือนโลกชั้นล่างก็ไม่เคยเห็นคนรุ่นเดียวกันคนใดอยู่ในสายตา
ทว่าตอนนี้กลับถูกสยบอย่างน่าอนาถภายใต้สายตาจับจ้องของธารกำนัล แรงโจมตีนี้หนักหน่วงเกินไป ทำเอาชิงเจ๋อไม่สามารถรับได้ไปชั่วขณะ
“ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ ตอบคำถามข้ามาตามความจริงแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที” หลินสวินลอยลงพื้นแผ่วเบา นัยน์ตาดำลุ่มลึกจับจ้องชิงเจ๋อไม่วางตา
ว่ากันตามจริง ถ้าไม่ใช่เพราะชิงเจ๋อต่อสู้ด้วยวิธีใช้พลังจิตโจมตี หลินสวินก็คงไม่กำราบเขารวดเร็วขนาดนี้
อย่างไรเสียชิงเจ๋อคนนี้ก็ทรงพลังมากจริงๆ เป็นระดับผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่หลินสวินเคยพบมา
แต่ว่า พูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ก็ไม่ได้มีความหมายเท่าใดนัก
ในสายตาของทุกคน ขั้นตอนไม่สำคัญ ที่สำคัญมีเพียงแค่ผลลัพธ์เท่านั้น นี่ก็คือความเป็นจริง
ชิงเจ๋อไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นผู้แพ้เลยสักนิด ดังนั้นตอนที่ได้ยินถ้อยคำของหลินสวิน ภายในใจเขายิ่งย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ เคียดแค้นไม่ยินยอมถึงที่สุด
หลินสวินไม่แยแสสภาพจิตใจของเขาสักนิด ถามออกไปตรงๆ ว่า “บอกข้ามา อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนชี้นำให้เจ้ามาท้าดวลข้าใช่หรือไม่”
นัยน์ตาของชิงเจ๋อหดรัดลง สีหน้าปรวนแปรไม่สงบ
ขณะที่เขาจะเอ่ยอะไรบางอย่าง หลินสวินก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ไม่จำเป็นต้องตอบแล้ว ข้ารู้คำตอบแล้ว คำถามข้อที่สอง อวิ๋นชิ่งไป๋ยุยงเจ้าให้สังหารข้าในการดวลครั้งนี้ใช่หรือไม่”
ครั้งนี้ชิงเจ๋อกลับตอบคำถามอย่างรื่นรมย์ กล่าวแค่นเสียงเย็นชา “เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน คู่ควรให้ศิษย์พี่อวิ๋นจดจำขนาดนี้ด้วยหรือ”
“ไม่ใช่งั้นหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว
“ศิษย์พี่อวิ๋นเป็นคนเที่ยงธรรม กระทำการผ่าเผยตรงไปตรงมา ถ้าหากอยากฆ่าเจ้า ไม่ต้องยืมมือข้าเลยแม้แต่น้อย” ชิงเจ๋อกล่าวอย่างเย็นชา
หลินสวินจ้องชิงเจ๋ออยู่สักพัก ท้ายที่สุดก็มั่นใจว่าเจ้าหมอนี่น่าจะไม่ได้โป้ปด
เพียงแต่ภายในใจของเขากลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง ในเมื่ออวิ๋นชิ่งไป๋ชี้นำให้ชิงเจ๋อผู้นี้มาท้าดวลตน แล้วเหตุใดถึงไม่เคยสั่งให้ฆ่าเลย
หรืออวิ๋นชิ่งไป๋ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก
“เจ้าไปเถอะ”
หลินสวินหมุนกายจากไป ไม่ได้สนใจชิงเจ๋ออีก ก็แค่หนอนแมลงน่าสงสารที่ทำงานให้อวิ๋นชิ่งไป๋เท่านั้นเอง
อากัปกิริยาไม่แยแสเช่นนี้ของหลินสวินเหมือนใบมีดคมกริบกรีดลึกลงกลางใจชิงเจ๋อ ทำให้เขารู้สึกอัปยศ เดือดดาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้
“หลินสวิน!”
ชิงเจ๋อคำรามประหนึ่งสัตว์ร้ายก็ไม่ปาน “ช้าเร็วก็ต้องมีสักวัน ข้าจะมาคิดบัญชีนี้กับเจ้า!”
หลินสวินยังคงไม่ได้สนใจเขาตามเดิม ก็แค่คำพูดแก้แค้นของผู้แพ้เท่านั้น ตะโกนออกมาในเวลานี้เห็นชัดว่าน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ได้มีความน่าสะทกสะท้านแต่อย่างใด
ชิงเจ๋อโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง เขาเป็นถึงศิษย์สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า อาศัยอานุภาพแห่งสามกระบี่สยบคนใหญ่คนโตระดับกระบวนแปรจุติได้ทั้งกลุ่มเชียวนะ
ทว่าตอนนี้กลับถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งโจมตีจนพ่ายแพ้ ทั้งยังไม่เห็นหัวเขา ความอัปยศเช่นนี้ทำให้ชิงเจ๋อเกือบคลั่งแล้ว
“ไปเถิด”
กู้ตงถิงที่อยู่ห่างออกไปทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ทะยานตัวมาในลานและพาชิงเจ๋อออกไป ศึกครั้งนี้มีหมื่นสายตาจับจ้อง ชิงเจ๋อถูกหัวเราะเยาะเต็มทนแล้ว ถ้าหากยังอาละวาดต่อไปคงเสียหน้ายกใหญ่เป็นแน่
แม้แต่กู้ตงถิงเวลานี้ยังรู้สึกหน้าจืดเจื่อน ไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่ต่ออีก
“เยี่ยมยอด!”
“ฮ่าๆ…”
ในลาน เสียงไชโยโห่ร้องยกใหญ่ราวกับสะท้านฟ้าพลันปะทุขึ้น ทุกคนล้วนรู้สึกว่ารื่นรมย์สมใจ ผู้แกร่งกล้าอย่างชิงเจ๋อยังถูกหลินสวินกำราบเอาไว้ได้ สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณทั่วจักรวรรดิต่างฮึกเหิม ครึ้มใจและภาคภูมิใจถึงที่สุด
นี่ก็คือหลินสวิน เด็กหนุ่มผู้กล้าที่อำนาจทั่วนครหลวง!
ส่วนบุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินล้วนตะลึงงันอย่างสิ้นเชิง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหลากสีสัน ไหนเลยจะเคยคาดคิดว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะเป็นเช่นนี้
เวลานี้หลินสวินได้กลับขึ้นไปบนยอดภูเขาชำระจิตแล้ว จากไปโดยมีบุคคลระดับสูงในตระกูลหลินกลุ่มหนึ่งโอบล้อม
ส่วนด้านนอกภูเขาชำระจิตยังคงฮือฮาเอ็ดตะโรกันเป็นแถบ ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิแต่ละคนยากจะควบคุมความเหิมฮึกภายในใจ วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรสออกชาติ
“เฮอะ ชิงเจ๋อคนนั้นช่างไร้เดียงสาเสียจริง หากเขารู้ว่าหลินสวินสังหารราชันกึ่งระดับไปหลายคนตลอดครึ่งปีที่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจกับการท้าดวลครั้งนี้หรือไม่”
บุคคลสำคัญที่มาจากกองทัพจักรวรรดิกลุ่มหนึ่งต่างหัวเราะอย่างสะใจ ผลลัพธ์นี้เดิมก็อยู่ในความคาดหมายของพวกเขาอยู่แล้ว!
“ศึกครั้งนี้ต้องทำให้เกิดความฮือฮาในนครต้องห้าม ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนเป็นแน่! และเมื่อผ่านศึกนี้ ผู้ที่สามารถประชันกับหลินสวินได้ บางทีอาจมีแค่บุคคลชั้นแนวหน้าอย่างแท้จริงในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้นแล้ว!”
คนใหญ่คนโตมากมายคาดการณ์เอาไว้เช่นนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น