Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 732-737

 ตอนที่ 732 ความแยบยลแห่งการยืมพลังสะท้อนพลัง

โดย

ProjectZyphon

เปลี่ยนเป็นคนอื่นกล้ายัดเยียดให้ตนเช่นนี้ ฉินฉู่คงซัดฝ่ามือใส่ฝ่ายตรงข้ามให้ตายนานแล้ว นี่ช่างเป็นการกระตุกหนวดเสือ อยากตายจนทนไม่ไหว


ถึงอย่างไรเขาฉินฉู่ก็คือราชันคนหนึ่ง! กวาดมองทั่วใต้หล้าล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดผู้ยิ่งใหญ่ร้ายกาจ


แต่ตอนนี้เผชิญหน้าการ ‘ยัดเยียด’ ของจ้าวซิงเย่ เขากลับไม่กล้าบันดาลโทสะแม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเกินไป ไม่เพียงฐานะสูงส่งเกินเอื้อม แม้แต่พลังแท้จริงล้วนเรียกได้ว่าเป็นปราดเปรื่องเอกอุดม!


ฉินฉู่ไม่คลางแคลงแม้แต่น้อย หากตนกล้าเผยความไม่พอใจใดๆ ฉากจบคงร้ายแรงมากกว่าตาย!


ในใจฉินฉู่อัดอั้น ข่มกลั้นเจียนกระอักเลือด สีหน้าเริ่มเขียวพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน ท่าทางกระอักกระอ่วนคับแค้นนั่นกระตุ้นให้หลินสวิน จ่างซุนเลี่ยสาแก่ใจอีกครา


“แม่ทัพจ้าว ท่านคงไม่ได้กำลังล้อเล่นกระมัง” อัดอั้นอยู่นานฉินฉู่ก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน ใบหน้าชราเก้กังยิ่ง


กลับเห็นจ้าวซิงเย่เลิกคิ้วเรียวยาวดำสนิทราวสีหมึกขึ้น ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ กล่าวอย่างไม่พอใจ “แม่ทัพฉินฉู่ เมื่อครู่ข้าเป็นตัวแทนจักรวรรดิคารวะเจ้าครั้งใหญ่ เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นหรือ”


น้ำเสียงยับคงเนินนาบดังเดิม แต่กลับประหนึ่งกระบี่คมกริบเล่มหนึ่งจ่อคอหอย ทำฉินฉู่แข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน


ท้ายที่สุดฉินฉู่กัดฟันกรอด สูดหายใจลึกก่อนกล่าวเสียงขรึม “แม่ทัพจ้าวกังวลมากไปแล้ว ในเมื่อข้าผู้แซ่ฉินเคยลั่นวาจานี้ แน่นอนว่าต้องปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถ ทว่าเรื่องนี้พัวพันใหญ่หลวง อาศัยข้าคนเดียวไม่อาจเป็นแกนนำตระกูลฉิน รอหวนคืนจักรวรรดิ ข้าจะหารือกับตระกูลจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมโดยเร็ว”


สีหน้าเขาถมึงทึง ใครต่างก็รู้ว่าเขาอัดอั้นโกรธแค้นจนแทบระเบิด


เห็นดังนี้จ้าวซิงเย่พยักหน้ายินดีในบัดดล “เช่นนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว งั้นข้าขออวยพรล่วงหน้าให้แม่ทัพฉินฉู่ประสบความสำเร็จโดยเร็ว!”


ฉินฉู่จากไปแล้ว พร้อมความกลัดกลุ้มและอึดอัดเต็มอก เขากังวลว่าหากไม่จากไปอีก ต้องโกรธจนกระอักเลือดตายแน่


พอนึกถึงว่าครานี้แค่เพื่อ ‘ยืมใช้’ ศรธนูคู่หนึ่งเท่านั้น กลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ทำเอาเขาโกรธจนแทบอยากจะตบปากตัวเอง


แม่งเอ๊ย!



“ขอบคุณแม่ทัพจ้าวที่ยื่นมือช่วยพวกเราคลี่คลายปัญหา”


ในเรือน จ่างซุนเลี่ยเก็บรอยยิ้มพร้อมคำนับอย่างจริงจัง ราตรีนี้หากไม่ใช่จ้าวซิงเย่มาเยือน ผลที่ตามมาคงคาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง


“ไม่ต้องเกรงใจ แม่ทัพฉินฉู่มีใจเพื่อมวลชนทำให้ข้าชื่นชมยิ่งนัก หากพูดว่าเป็นการคลี่คลายปัญหา มิสู้พูดว่าเป็นการผลักดันเรื่องดีงามเสียยังดีกว่า”


จ้าวซิงเย่กล่าวง่ายๆ นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ รูปโฉมงดงามปานล่มเมือง นัยน์ตาดำขลับใสกระจ่าง ผิวพรรณขาวยิ่งกว่าหิมะ ยากจินตนาโดยแท้ว่าหญิงสาวงดงามยิ่งยวดเช่นนี้ ไยจึงถูกตั้งฉายาว่า ‘ราชินีกระหายเลือด’


หากไม่เห็นกับตาตนเองหลินสวินคงคาดไม่ถึง ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งอย่างฉินฉู่ ยามเผชิญหน้ากับจ้าวซิงเย่ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่กล้าพูดเหลวไหลแม้คำเดียว


บางทีนี่ต่างหากที่เรียกว่าพลังอำนาจยิ่งใหญ่แท้จริง!


“แม่ทัพจ้าวคิดจริงหรือว่าตระกูลฉินจะทำตามสัญญานี้”


จ่างซุนเลี่ยสงสัย


กลับเห็นจ้าวซิงเย่ยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มดุจสีเพลิงยกโค้งเป็นรัศมีหยิ่งผยองสายหนึ่ง “หากพวกเขากล้าทำเช่นนั้น ก็อย่าโทษที่ข้าจะไปทวงถามถึงถิ่นด้วยตัวเอง!”


คราวนี้ในที่สุดหลินสวินและจ่างซุนเลี่ยก็มั่นใจ ที่แท้จ้าวซิงเย่ไม่ได้กำลังล้อเล่น!


สวรรค์ นี่มันหมายลงดาบทำลายตระกูลฉินชัดๆ!


หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ ในใจรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก่อนเขามักถูกคนมองว่าใจกล้าและแข็งกร้าว แต่เมื่อเทียบกับจ้าวซิงเย่สตรีผู้งดงามและน่ากลัวนางนี้ เรียกได้ว่าเป็นเด็กน้อยกับจอมขมังเวทชัดๆ ไม่อาจสู้ได้เลย!


จ่างซุนเลี่ยอดเหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่งไม่ได้ คล้ายกำลังแอบนำหลินสวินและจ้าวซิงเย่มาเปรียบเทียบกันว่าความกล้าของใครมากกว่ากัน…


“ผิดคาดรึ”


จ้าวซิงเย่ยิ้มเยาะ นางเคาะปลายนิ้ว กล่าวด้วยท่าทีสมเหตุสมผล “อย่าลืมสิ ข้าเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และสิ่งที่ผู้หญิงถนัดที่สุดก็คือก่อกวนปั่นป่วนและเจ้าคิดเจ้าแค้น”


จ่างซุนเลี่ยหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ในใจมีความสุขบนทุกข์ของคนอื่น และรู้สึกสงสารและเวทนาฉินฉู่อยู่บ้าง หากเจ้าหมอนี่รู้เรื่องพวกนี้จะร้องไห้ออกมาไหมนะ


หลินสวินกลับกำลังทอดถอนใจ ผู้หญิง? ใครจะกล้ามองแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิผู้มีฉายาว่า ‘ราชินีกระหายเลือด’ เป็นผู้หญิงทั่วไปกัน


“เจ้าหนุ่มน้อย สามารถให้ข้ายืมศรธนูของเจ้ามาใช้หรือไม่” ทันใดนั้นนัยน์ตาคู่งามของจ้าวซิงเย่มองมาทางหลินสวิน กล่าวข้อเรียกร้องหนึ่งออกมา


นี่ทำให้นัยน์ตาจ่างซุนเลี่ยหดรัดลง มึนงงและประหลาดใจอยู่บ้าง


จ้าวซิงเย่กลับท่าทางราบเรียบนิ่งสงบ นางมองหลินสวินเงียบๆ ไม่ได้เผยแรงกดดันอะไร


“ได้” หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนสบสายตากล่าวกับจ้าวซิงเย่อย่างเยือกเย็น “แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่ง”


จ่างซุนเลี่ยตกใจจนแทบปิดปากหลินสวิน เวลานี้ยังกล้ามีเงื่อนไขกับจ้าวซิงเย่? ไอ้เด็กนี่มันช่างกล้าหาญนัก!


กลับเห็นนัยน์ตางามดำสนิทและเป็นประกายของจ้าวซิงเย่หรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกน้อยๆ กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “อ้อ ลองว่ามาสิ”


“หากวันหนึ่งท่านแม่ทัพมุ่งหน้าไปตระกูลฉินเพื่อทวงคำสัญญาด้วยตนเอง ขอท่านพาผู้น้อยไปด้วย ข้าแค่อยากไปดูหน่อยก็เท่านั้น”


หลินสวินกล่าวเงื่อนไขเหนือคาดหมายออกมา ทำให้จ่างซุนเลี่ยชะงักไปเล็กน้อย ในใจประหลาดใจ เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร แม้แต่เรื่องเช่นนี้ยังหมายผสมโรงด้วยหรือ


จ้าวซิงเย่หลุดขำออกมา นัยน์ตาคู่งามเปี่ยมด้วยความรู้สึกพิกล ยิ้มร่าจ้องมองหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายหมายทำความรู้จักใหม่อีกรอบ


ครู่ใหญ่นางจึงพยักหน้า “ได้สิ”


หลินสวินยิ้ม ส่งมอบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


“มากสุดสิบวัน จะส่งคืนเจ้าของ”


นี่คือคำมั่นสัญญาของจ้าวซิงเย่


ดึกแล้ว ไม่นานหลินสวินก็ขอลากลับ


“จริงดังคาด เจ้าเด็กนี่เป็นพวกหน้าเลือดคนหนึ่ง อาศัยความคิดอันลุ่มลึกและเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ ต่อไปใครหาเรื่องเขาคงปวดกบาล”


มือหยกขาวกระจ่างเรียวนาวของจ้าวซิงเย่ลูบธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือ นัยน์ตางามกลับมองไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป มุมปากปรากฏเป็นรัศมีโค้งที่คล้ายมีคล้ายไม่มี


“หน้าเลือด? ข้ากลับเห็นว่าเจ้าเด็กนี่ใจกล้าคับฟ้า” จ่างซุนเลี่ยนึกถึงบางเรื่องที่หลินสวินก่อขึ้นในหลายวันนี้ ก็เอ่ยทอดถอนใจออกมาอย่างอดไม่อยู่


แต่ทันใดนั้นเขาพลันกล่าวพลางมุ่นคิ้ว “แต่จากนิสัยของเขา นึกไม่ถึงว่าครานี้จะให้ยืมสมบัติคู่นี้อย่างยินดี ทำให้ข้าคาดไม่ถึงยิ่งนัก”


จ้าวซิงเย่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าเอารัดเอาเปรียบเขาหรือ”


ไม่รอคำตอบ จ้าวซิงเย่ก็ยิ้มกล่าวอย่างนึกสนุก “หากไม่ใช่คราวนี้ข้าต้องการอาวุธสังหารคู่นี้ไปกระทำการเรื่องหนึ่ง ข้าคงไม่ยอมตกปากรับคำเงื่อนไขที่เขาเสนอนั่น”


จ่างซุนเลี่ยอึ้งไป เขาใคร่ครวญโดยละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ก็เข้าใจในบัดดล ตบต้นขาดังฉาด “ที่แท้เป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กนี่รอบจัดซะจริง!”


อันที่จริงเรื่องราวเรียบง่ายมาก แม้พูดว่าก่อนหน้านี้จ้าวซิงเย่บีบให้ฉินฉู่ศิโรราบ ไม่อาจไม่รับปากทำตามคำพูดที่เคยกล่าว


แต่ไม่ว่าใครต่างรู้ว่า คิดจะให้ตระกูลฉินซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของจักรวรรดิทุ่มเททรัพย์สินและกำลังทั้งมวลอุทิศแก่จักรวรรดิจนสิ้น นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้แต่แรก


เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับการทำลายตระกูลฉินอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เกรงว่าก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้โดยง่าย


ถึงอย่างไรท้ายที่สุดตระกูลฉินก็เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เส้นสนกลในมากมาย อำนาจล้นฟ้า อิทธิพลในจักรวรรดิก็มีมากเกินไป หากพวกเขากลายเป็นสุนัขจนตรอก ต้องก่อให้เกิดความโกลาหลและวุ่นวายที่ไม่อาจคาดเดาได้เป็นแน่


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เงื่อนไขที่หลินสวินเสนอจึงมีนัยลึกซึ้งยิ่ง


เขาขอติดตามจ้าวซิงเย่มุ่งหน้าไปตระกูลฉินด้วย เพื่อดูว่าจ้าวซิงเย่จะใช้ ‘วิธี’ ใดทวงสัญญา นี่ส่งผลกระทบอย่างไร้ร่องรอยต่อการกระทำของจ้าวซิงเย่ ด้วยว่าหากว่าจ้าวซิงเย่คิดเปลี่ยนใจ ก็ต้องใคร่ครวญอย่างหนัก


“ถึงตอนนั้น หากข้าไม่ลงดาบกับตระกูลฉิน ก็จะถูกเจ้าเด็กนี่ดูแคลน และเป็นการผิดต่อความช่วยเหลือที่เขาให้ข้า ‘ยืมสมบัติ’”


“แต่หากข้าไปก็เท่ากับตกหลุมพรางเจ้าเด็กนี่ เป็นไปตามความคิดเขาอย่างราบรื่น นี่ไม่ต่างอะไรกับการยืมดาบฆ่าคน เพียงแต่ความคิดของเจ้าเด็กนี่ซ่อนเร้นไว้ลึกยิ่ง ไม่ทิ้งร่องรอย นี่ทำให้ข้าหมายจับจุดอ่อนเขายังยากนัก”


บนใบหน้างามและมีเสน่ห์ของจ้าวซิงเย่เจือความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง “วิธีนี้ร้ายกาจยิ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังปราณและรากฐานของเขาในปัจจุบัน แค่จุดที่ว่าเขาอายุน้อยเท่านี้ก็ชำนาญการยืมพลังสะท้อนพลัง ยืมดาบฆ่าคนเช่นนี้ ในบรรดารุ่นเดียวกันน้อยคนนักที่ทัดเทียมได้ เจ้าว่าสัตว์ประหลาดตัวจ้อยที่ทั้งหน้าเลือด ทั้งมีพรสวรรค์น่าตะลึงยิ่งยวดเช่นนี้ ต่อไปหากเติบใหญ่ขึ้น ใครยังจะกล้าแส่หาเรื่องเขา”


จ่างซุนเลี่ยตะลึงงัน เขาไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่าที่จ้าวซิงเย่กล่าวมาทั้งหมดหาได้เกินจริงแม้เพียงเสี้ยว ถึงขั้นชี้ให้เห็นถึง ‘อัตลักษณ์’ บางส่วนของเด็กนั่นอย่างตรงจุดตรงประเด็น


“ยังดี ถึงแม้เขาจะผงาดโดยสมบูรณ์ก็ไม่มีทางเป็นศัตรูของจักรวรรดิ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เจ้าเด็กนี่คงกลายเป็นจอมอหังการพิฆาตใต้หล้าคนหนึ่งแน่”


จ้าวซิงเย่กล่าวถึงตรงนี้จึงหยัดร่างขึ้น ชุดคลุมนกกระเรียนสีดำขับเน้นความนุ่มนวลงดงามบนเรือนร่างสูงโปร่งของนางให้ชวนตะลึง


“การกระทำของฉินฉู่แม้เหลือทนอยู่บ้าง แต่คำพูดเขากลับไม่ผิด เสบียงวัตถุดิบที่เหลืออยู่ของพวกเราค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิมีจำกัด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ช่วงเวลาก่อนถึงการเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิครั้งต่อไปคือสิ่งยากข้ามผ่านโดยไม่ต้องสงสัย”


บนใบหน้าขาวกระจ่างของนางเจือแววไตร่ตรองวูบหนึ่ง “ก็เหมือนคลื่นลมที่เกิดขึ้นวันนี้ พวกราชันวิญญาณเร้นยกทัพใหญ่มา จุดประสงค์ดูเหมือนเพื่อจัดการเด็กนั่น แต่อันที่จริงพวกมันแค่หมายฉวยโอกาสนี้เปิดศึกใหญ่เท่านั้น”


“ไม่ผิด หากพวกมันระดมกำลังทั้งหมดทำศึกในช่วงนี้ ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงยิ่ง”


จ่างซุนเลี่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำแห่งค่ายหมายเลขเจ็ด ย่อมเข้าใจความรุนแรงของสถานการณ์ตรงหน้ายิ่งกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา


“ดังนั้นเพื่อคลี่คลายวิกฤตินี้ หนทางเพียงหนึ่งเดียวก็คือการเล่นใหญ่กับพวกมันสักตั้ง!”


จ้าวซิงเย่ยกธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือขึ้น นัยน์ตาคู่งามจับจ้องสายธนูแดงก่ำดั่งโลหิตนั่น ชั่วพริบตาพลานุภาพชวนประหวั่นยากอธิบายอบอวลแผ่ขยายออกจากร่างนาง


ในใจจ่างซุนเลี่ยสั่นสะท้าน ราวเห็นภูเขาศพทะเลเลือดไร้สิ้นสุดปรากฏ ในจุดที่จ้าวซิงเย่ยืนอยู่ ใต้ฝ่าเท้าคือกระดูกขาวหนาแน่นไม่มีที่สิ้นสุด


จ้าวซิงเย่ในตอนนี้มีลักษณะของ ‘ราชินีกระหายเลือด’ อย่างหนึ่ง พลานุภาพเช่นนั้น หลายปีที่ฆ่าฟันกรำศึกมา เคยทำทั้งสมรภูมิกระหายเลือดสั่นสะเทือนไม่ใช่เพียงคราเดียว!


ตอนที่ 733 หมายมั่นพลีชีพ

โดย

ProjectZyphon

กลางดึก


ห้องของหลินสวิน อาปี้นั่งยองอยู่กับพื้น สุราขวดแล้วขวดเล่าถูกนางดื่มจนหมด น้ำตาร่วงหล่นจากใบหน้าอย่างหยุดไม่อยู่


นับจากหลินสวินบอกข่าวการตายของหูทงแก่นาง นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด คล้ายสูญเสียจิตวิญญาณ เห็นได้ว่าหมดหนทางยิ่งนัก


หลินสวินนั่งมองอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ จิตใจออกจะสับสนอยู่บ้าง


หูทงตายแล้ว


ร่างไร้วิญญาณถูกค้นพบกลางสนามรบ กระจัดกระจายน่าอนาถ ดวงตา จมูก หัวใจ… ทุกส่วนแทบถูกศัตรูชิงเอาไปเป็นทรัพย์หลังศึก ตายอย่างอเนจอนาถหลือเกิน


เมื่อวานยามหลินสวินเจอศพของหูทง ล้วนแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง


ยอดบุคคลระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสที่ควบทะยานบนสมรภูมิกระหายเลือดนานเจ็ดปีคนหนึ่ง กลับตายลงเช่นนี้…


หลินสวินนึกถึงช่วงเวลาที่สังสรรค์ร่ำสุรากับหูทงเมื่อหลายวันก่อน ริมหูราวยินเสียงหัวเราะเบิกบานผ่าเผยของหูทงดังขึ้นอีกครา


ท้ายที่สุดอาปี้ก็เมามายนอนลงบนพื้น ริมฝีปากพร่ำวาจาคลุมเครือไม่ชัดเจนบางอย่าง ถึงแม้นัยน์ตานางจะปิดสนิท แต่ยังคงมีหยาดน้ำตาร่วงริน


หลินสวินอุ้มนางขึ้นวางบนเตียง ตัวเขากลับนั่งเหม่อลอยอยู่อีกฝั่ง


ล้มหายตายจาก คือเรื่องราวอันเจ็บปวดที่สุดบนโลกโดยไม่ต้องสงสัย


และหลายปีนี้ที่อาปี้อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เคยประสบการพรากจากเช่นวันนี้มากี่ครา


เมื่อข่าวการตายของสหาย เพื่อนร่วมรบ พวกพ้องปรากฏครั้งแล้วครั้งเล่า การโจมตีและความโศกเศร้าเช่นนี้ ใครเล่าจะสามารถแบกรับไหว


หลินสวินนึกถึงครั้งแรกที่เจออาปี้ ในราตรีนั้นนางกำลังคุกเข่าร่ำไห้เสียงเบาอยู่บนพื้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย


‘สมรภูมิกระหายเลือด… สิ่งที่โหดร้ายที่สุดบางทีอาจไม่ใช่การสู้รบ แต่เป็นการจู่โจมและความเศร้าโศกที่ความตายนำพามา…’


‘รสชาติของมัน บางทีคงมีเพียงบนสมรภูมิกระหายเลือดจึงสามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้ง’


ความคิดหลินสวินฟุ้งซ่าน นานพอควรจึงสูดหายใจลึก นัยน์ตาดำขลับฉายแววเด็ดเดี่ยววูบหนึ่ง ‘สักวันหนึ่ง ทั้งหมดนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไป…’


‘สุดท้ายศัตรูต้องถูกกำจัดจนสูญสิ้น ดอกจื่อเย่าจะไม่พ่ายชั่วกาลนาน!’


หลินสวินพลันตระหนักได้ บางทีที่จ้าวไท่ไหลส่งตนมายังสมรภูมิกระหายเลือด ก็เพื่อให้ตนประสบทุกอย่างนี้ด้วยตัวเอง



วันเวลาต่อมา บรรยากาศในสมรภูมิกระหายเลือดเปลี่ยนเป็นตึงเครียด กองทัพใหญ่ของเผ่าพ่อมดเถื่อนออกเคลื่อนพลไม่หยุดหย่อน แผดคำรามกึกก้องสมรภูมิ กลายเป็นกระฉับกระเฉงและกระหายสงครามยิ่งกว่าก่อน


ทางด้านจักรวรรดิกลับกระชับแนวป้องกัน เปลี่ยนรุกเป็นรับ


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ก็ยังไม่อาจมองในแง่ดี


ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างรู้ชัด เสบียงวัตถุดิบที่เหลืออยู่ของพวกเขามีไม่มาก ฝืนยืนหยัดได้แค่ถึงการเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิครั้งต่อไป


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถเปิดศึกใหญ่กับศัตรูได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทันทีที่ขาดแคลนเสบียงวัตถุ ไม่ต้องรอศัตรูบุกสังหาร ค่ายทัพจักรวรรดิคงตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายภายใน และล่มสลายลงเอง


และเผ่าพ่อมดเถื่อนเล็งเห็นโอกาสนี้อย่างแม่นยำ เริ่มบุกจู่โจมไม่หยุด เคลื่อนทัพใหญ่อย่างกำเริบเสิบสาน หมายโจมตีค่ายจักรวรรดิอย่างหนักหน่วงหาใดเปรียบ


สถานการณ์รุนแรงยิ่ง!


แม้แต่หลินสวินยังตระหนักถึงจุดนี้อย่างสุดซึ้ง


เมื่อใดที่ค่ายหมายเลขเจ็ดส่งผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิออกไปกรำศึก จำนวนการบาดเจ็บล้มตายเห็นชัดว่าเพิ่มสูงลิ่ว เงาแห่งความตายราวหมอกควัน ปกคลุมจิตใจผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทุกคน


บรรยากาศภายในค่ายนับวันจะเปลี่ยนเป็นอึมครึมและกดดันขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความครึกครื้นดังเก่าก่อน ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความหนาบเหน็บและตึงเครียด



วันนี้


ณ สมรภูมิกระหายเลือด เทือกเขาหิมะเงิน


“ฆ่า!”


กองทัพพ่อมดเถื่อนขนาดมากกว่าพันคนขบวนหนึ่งเพิ่งข้ามผ่านเทือกเขาหิมะเงิน เงาร่างปราดเปรียวหนึ่งพลันทะยานออกมา กระชับกระบี่คมเล่มหนึ่งมุ่งสังหารโดยตรง


กองทัพพ่อมดเถื่อนตื่นตระหนกในหะแรก แต่ไม่ทันไรก็หัวเราะยกใหญ่


พวกเขาแต่ละคนเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมปรามาส ผู้ฝึกปราณหญิงคนหนึ่งของจักรวรรดิถึงกับทะเล่อทะล่ากระโดดออกมา นี่มันซุ่มโจมตีที่ไหนกัน เห็นชัดว่ารนหาที่ตาย!


สถานการณ์นี้เห็นได้ว่าไร้สาระสิ้นดี คนผู้หนึ่งเผชิญหน้ากองทัพพ่อมดเถื่อนมือฉมังนับพัน ช่างไร้ค่าและสุดจะทานทนเหลือเกิน


แต่นางคล้ายไม่หวาดหวั่น มุ่งหน้าประจัญบาน เงาร่างปราดเปรียวราวสายลมดุดัน พุ่งไปเบื้องหน้าอย่างอาจหาญ!


ผมสีข้าวฟ่างทั้งศีรษะนางกำลังพลิ้วไหวกลางสายลม กระบี่คมในมือแฝงไอสังหารคมกริบ ดั่งผู้กล้าโดดเดี่ยวยินยอมพลีชีพ แม้มีคนนับหมื่นเข้าขัดขวาง


คนผู้นี้ที่แท้เป็นอาปี้!


ฉัวะ! ฉัวะ!


ทันทีที่ประจัญบานก็มีผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนสองคนถูกฟันสังหารในบัดดล โลหิตแดงสดสาดกระเซ็น กระทั่งก่อนตายพวกเขายังมึนงงคล้ายไม่กล้าเชื่อ ว่าหญิงสาวนางหนึ่งเช่นนี้ดันกล้าสู้ตายไม่คิดชีวิตกับทัพของพวกเขาจริงๆ


ศัตรูลนลานอยู่บ้าง จากนั้นต่างบันดาลโทสะแผดเสียงตะโกนลั่น ล้อมอาปี้ดั่งกระแสน้ำ หมายกำจัดให้สิ้นซาก


อาปี้สีหน้าไม่หวาดกลัว ใบหน้างดงามนิ่งสงบแทบจะไร้ความรู้สึก มีเพียงในนัยน์ตากระจ่างที่ไฟแค้นโหมกระหน่ำดั่งเพลิงอัคคี


ฆ่า!


นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบุกโจมตีอย่างไร้เกรงกลัว คล้ายลืมสิ้นความเป็นตาย โยนทุกอย่างทิ้งไว้เบื้องหลัง คิดแค่สังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


เมื่อคนคนหนึ่งไม่สนใจความเป็นตายอีก หากไม่ถูกบีบบังคับถึงขีดสุดก็ต้องเป็นถอยจนไม่อาจถอยแล้ว


แต่อาปี้กลับต่างออกไป นางคิดแค่ฆ่าศัตรู!


เพื่อนร่วมรบ สหาย พวกพ้องในวันวานต่างทยอยตายจากไป นี่ทำให้นางแทบพังทลาย ในใจถูกความโศกเศร้าและคับแค้นไร้สิ้นสุดเข้าครอบงำ


หากมีชีวิตอยู่ต่อเช่นนี้ มิสู้สังหารศัตรูจนตัวตาย!


ฆ่า!


โลหิตแดงสดสาดกระจาย เสียงคำรามดุดันของศัตรูดังต่อเนื่องเป็นระลอก เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีแดงก่ำ


ในใจอาปี้ปราศจากความกังวล ต่อให้บนร่างปรากฏรอยแผลชวนตระหนกมากมาย เลือดสดๆ หยาดย้อมจนกลายเป็นมนุษย์โลหิต แต่นางกลับรู้สึกสะใจยิ่ง!


ราวกับว่าแค่สังหารศัตรูเพิ่มคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้ความโศกเศร้าและความอาฆาตในใจนางได้รับการระบายคราหนึ่ง ทำให้บรรดาสหายร่วมรบที่ตายจากเหล่านั้นตายตาหลับกว่าเดิมสักหน่อย!


ทว่าอย่างไรนางก็ตัวคนเดียว แม้กรำศึกไม่หวั่นเกรงความเป็นตาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทัพพ่อมดเถื่อนนับพันคน ท้ายที่สุดก็เห็นชัดว่าด้อยค่าเต็มประดา


เพียงแค่ชั่วขณะเดียว นางได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกปิดล้อมอยู่ตรงนั้น ดั่งสัตว์ร้ายติดกับ พร้อมถูกพรากชีวิตได้ทุกเมื่อ


อาปี้กลับไม่รู้สึกไหวหวั่นแม้แต่น้อย ยังคงโรมรันดุเดือด สู้สุดกำลังราวคนบ้า


ท่าทางเด็ดเดี่ยวและคลั่งระห่ำนั่น ถึงขั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นประหลาดใจและหวั่นไหว จากนั้นก็บันดาลโทสะ


ผู้หญิงคนเดียว ถึงกับกล้าดูแคลนพวกเขาเช่นนี้!


ฆ่า!


พวกเขาถูกยั่วโทสะอย่างที่สุด ใช้กำลังทั้งหมดโจมตี


“ฮ่าๆๆ ไอ้พวกสวะ วันนี้ถึงข้าต้องตาย ก็จะดึงพวกเจ้าไปปรโลกด้วย!”


อาปี้หัวเราะลั่น น้ำตาล้วนเอ่อออกมา เลือดสดๆ บนกายไหลริน แม้แต่เส้นผมสีข้าวฟ่างงดงามยังย้อมเป็นสีโลหิต


นางไม่ได้บ้า รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลแล้ว


แต่แล้วอย่างไรเล่า


ใช่สิ ตายก็ตาย ไยต้องหวาดกลัว


ฉัวะ!


ทวนกระดูกเจิดจ้าโฉบเข้าหา พลานุภาพดุดันผ่าแหวกห้วงอากาศ อาศัยอานุภาพชวนประหวั่นไม่อาจต้านทานพุ่งสังหารมาทางอาปี้


อาปี้รู้ว่าสกัดกั้นไม่ไหว แต่นางกลับไม่ถอยแม้เพียงก้าว ถลันพุ่งทะยานออกไป ไม่สนว่าอาจถูกจู่โจมทะลวงอก กระบี่พุ่งแหวกไปยังเจ้าของทวนกระดูก


ใช้ชีวิตแลกชีวิต!


อาปี้คล้ายรอเวลานี้มานานแล้ว เด็ดขาดถึงขั้นไม่ลังเลแม้กระผีก!


ทว่าทวนกระดูกเจิดจ้านั่นยังไม่ทันพุ่งเข้ามาถึงก็แตกหักกลางทาง ส่วนศีรษะเจ้าของทวนกลับปลิวลอยกลางอากาศ


เร็วเกินไปแล้ว!


เร็วจนอาปี้ยังไม่ทันตอบสนอง ศัตรูก็ถูกสำเร็จโทษ


นี่…


อาปี้ตะลึงงัน


ฟุ่บๆๆ… เสียงทึบหนึ่งดังต่อเนื่องเป็นระลอกในบริเวณใกล้เคียง ก็เห็นศัตรูที่ตีโอบอยู่รอบๆ ถูกสังหารคาที่แทบจะในเวลาเดียวกัน!


เลือดสดๆ ซ่านเซ็น ย้อมห้วงนภาเป็นสีชาด ชั่วพริบตารอบๆ อาปี้ในระยะสิบจั้งกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บนผืนดินมีซากศพนองเกลื่อน


วู้ม!


และเวลานี้อาปี้ถึงได้มองเห็น ดาบหักขาวกระจ่างดุจหิมะที่แทบจะโปร่งแสง ดูประหนึ่งเป็นลำแสงสายหนึ่ง ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า ประกายเงินใสเย็นศักดิ์สิทธิ์อบอวล


“ไป!”


เสียงหนึ่งดังขึ้นริมหู อาปี้ไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง แขนก็ถูกคนฉุดลากหลบหนีไปไกลสุดหล้า


“ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว!”


ในที่สุดอาปี้จึงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างชัดเจน แต่นางกลับไม่รู้สึกซาบซึ้งใดๆ กลับเป็นว่าหัวเสียอยู่บ้าง ตะโกนว่า “ทำไมต้องช่วยข้า ข้าอยากตายเจ้าก็ต้องเข้ามายุ่งด้วยหรือ”


“อยากตายก็ไม่อาจตายในเงื้อมมือศัตรู!”


ผู้มาคือหลินสวิน สีหน้าเขาสงบนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบยิ่ง แต่กลับเจือแววไม่ยอมให้สงสัย


อาปี้ดิ้นรน แต่มีหรือจะสลัดแขนของหลินสวินออกไปได้


“ตาม!”


ด้านหลัง ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนตะคอกลั่น ถูกยั่วโทสะถึงขีดสุด เป็นแค่ชายหญิงสุนัขคู่หนึ่ง ถึงกับกล้ามองพวกเขาประหนึ่งไร้ตัวตน หากให้พวกมันหนีไป นั่นคงอัปยศอดสูอย่างยิ่ง


“ฆ่า!”


พวกเขาท่าทีเหิมหาญน่ากลัว พุ่งโจมตีอย่างบ้าคลั่งดุจกระแสน้ำ


แต่สำหรับหลินสวิน กองทัพพ่อมดเถื่อนผู้แข็งแกร่งขบวนนี้แม้จำนวนคนมากมาย แต่แทบทั้งหมดเป็นระดับจอมพลัง แม้แต่หัวหน้าพวกมันก็เป็นแค่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งเท่านั้น


ขุมพลังเช่นนี้ ในสายตาหลินสวินตอนนี้ ไม่คู่ควรให้เหลือแลสักนิด


ฟุ่บๆๆ!


ก็เห็นดาบหักโฉบผ่านอากาศ ทะยานไปมา โบกพรมประกายละอองดุจภาพฝัน คำรามหวือแหวกห้วงอากาศ ในขณะเดียวกันกลับเห็นผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนแล้วคนเล่าถูกสังหารลงตรงนั้น


คมเกินไปแล้ว!


ดาบหักถูกหลินสวินใช้จิตรับรู้ควบคุม เผยอานุภาพแห่ง ‘ศาสตราจิต’ ออกมาอย่างถึงแก่น


เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ก็มีผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนหลายสิบคนถูกฟันสังหารราวทำจากกระดาษ เสมือนพายุหอบเศษเมฆา หักสะบั้นหญ้าแห้งไม้ผุ!


ณ ที่นั้นมีเสียงร้องทุรนทุราย รวมถึงเสียงตะโกนอย่างตระหนกโกรธเกรี้ยวดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนต่างถูกสยบ ตะลึงงันไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง


พวกเขาไม่อาจจินตนาการโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำไมน่ากลัวเช่นนี้ เสมือนเทพมารหนุ่มนาม ‘หลินสือเอ้อร์’ ที่เล่าลือกันคนนั้น


แต่ที่ต่างกันเพียงหนึ่งเดียวคือ สิ่งที่หลินสือเอ้อร์ถนัดคือวิชาธนู แต่ที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าใช้กลับเป็นดาบหักปริศนาที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเล่มหนึ่ง


“ไม่ถูก! เจ้าหมอนั่น… เจ้าหมอนั่นเหมือนจะเป็นหลินสือเอ้อร์ที่เล่าลือกันคนนั้น!”


ทันใดนั้นหัวหน้ากองทัพพ่อมดเถื่อนขบวนนี้คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ตะโกนร้องเสียงหลง


ทันทีที่วาจานี้ดังขึ้น ทัพพ่อมดเถื่อนขบวนนั้นยิ่งลนลานกว่าเดิม ทั้งประหลาดใจและอลหม่าน หลินสือเอ้อร์! ทำไมถึงเป็นเขา


ส่วนเวลานี้ หลินสวินพาตัวอาปี้ทะยานห่างออกไปไกลนานแล้ว


ตอนที่ 734 แดนดูดเลือด

โดย

ProjectZyphon

ในภูเขาลูกหนึ่ง


หลินสวินกำลังทำแผลให้อาปี้ อาปี้จ้องมองเขาอย่างงุนงง จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ทำไมยังจะช่วยข้าอีก ข้าเพียงอยากอธิบายว่า การมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดเกินไป ข้าไม่อยากได้ยินข่าวร้ายของเพื่อนๆ อยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป…”


หลินสวินพูดสบายๆ “ไม่ว่าจะแก้แค้นหรือเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดทุกอย่างที่เจ้าแบกรับ การมีชีวิตอยู่จึงจะมีความหวัง”


“ความหวังหรือ”


อาปี้ยิ้มอย่างขมขื่น “หลายพันปีมานี้ จักรวรรดิกับพวกสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนเข่นฆ่ากันในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้มาโดยตลอด ใครเล่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ได้”


“สักวันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง” หลินสวินพูดอย่างนิ่งสงบ


“เจ้าเชื่อหรือ” อาปี้ถาม


หลินสวินมองตาอาปี้อย่างจริงจังแล้วกล่าว “เจ้าก็รู้ว่าหลายพันปีมานี้ มีผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมากมายเคยต่อสู้ที่นี่ หากพวกเขายอมแพ้ตั้งแต่ตอนแรก เจ้าคิดว่าจะมีจักรวรรดิในวันนี้หรือ”


“เหอะๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีจิตใจที่รักบ้านเมือง คิดถึงประชาชนของจักรวรรดิ เมื่อก่อนดูถูกปณิธานของเจ้าเกินไปจริงๆ” อาปี้หัวเราะเยาะ


“ข้าไม่ได้มีจิตสำนึกที่สูงส่งขนาดนั้นหรอกนะ”


หลินสวินยักไหล่ ก่อนจะไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่เหมือนเจ้า ที่ไม่อยากเห็นเรื่องเจ็บปวดที่เจ้าประสบเกิดขึ้นอีก…”


พูดถึงตอนท้าย เขาถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “เจ้าเจ็บปวดมาก เหล่าทหารหาญของจักรวรรดิคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ แต่ใครจะกล้ายอมแพ้ง่ายๆ เจ้ายังจำประโยคนั้นได้หรือไม่ ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!”


อาปี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วปัดก้นลุกขึ้นยืน ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความดุดันแฝงยิ้มขื่น “เจ้าไม่ใช่นักเจรจาที่ดีเอาเสียเลย พูดเรื่องบ้านเมืองกับผู้หญิงอย่างข้า เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจหรือ”


“อย่างน้อยขอเพียงแค่เจ้าไม่รนหาที่ตายอีก ข้าก็ไม่เสียแรงเปล่า”


หลินสวินเองก็ลุกขึ้นพูดอย่างสบายๆ “ข้ามีเพื่อนในค่ายหมายเลขเจ็ดไม่มากนัก หากเจ้าตาย ความเจ็บปวดที่เจ้าประสบตอนนี้ก็จะมาตกอยู่ที่ข้า เพราะฉะนั้นในฐานะเพื่อน ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารนหาที่ตายโดยไม่ทำอะไรเลย”


อาปี้อึ้งงันไป จู่ๆ ก็ยื่นสองแขนออกไปกอดหลินสวินไว้แน่น พักใหญ่จึงพึมพำเสียงเบา “ขอบคุณเจ้า เจ้าหน้ามน”


……


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาปี้ก็กลับเป็นปกติ ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป


หลินสวินกลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด


สถานการณ์ของสมรภูมิกระหายเลือดปั่นป่วนและตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลมแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน ในค่ายมักจะได้ยินข่าวร้ายต่างๆ จากสนามรบอยู่ตลอดเวลา


“เหล่าหวงออกไปปฏิบัติภารกิจและประสบเคราะห์ไปแล้ว…”


วันนี้หลินสวินกำลังจะชวนหล่าหวงหัวหน้าทหารยามคุ้มกันค่ายมาดื่มด้วยกัน แต่กลับได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้จากปากหลูเหวินถิง


หลินสวินอึ้งไปพักใหญ่ค่อยหมุนตัวออกไปเงียบๆ


เพื่อนจากไปอีกคนแล้ว


คืนนั้นหลินสวินนั่งดื่มอย่างหนักเพียงลำพัง นึกถึงช่วงเวลาครั้งแรกที่ดื่มกับเหล่าหวงที่โรงเตี๊ยม


‘ใต้เท้าท่านรู้หรือไม่ ข้าแช่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเห็บหมานี่มาห้าปีแล้ว ห้าปีเชียวนะ พรรคพวกข้างกายข้าเปลี่ยนไปชุดแล้วชุดเล่า ทั้งคนที่คุ้นเคยและแปลกหน้า จนบัดนี้ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าข้าควรจำใครบ้าง’


‘คนอื่นล้วนบอกว่าข้าดวงแข็ง ห้าปีแล้วยังไม่ตาย เหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่ตัวข้าเองรู้ดี ข้าแม่งก็แค่กลัวตายเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สู้รบ ข้าล้วนทำทุกวิธีให้ตัวเองไม่ตายแบบสุดแรงเกิด ถึงได้บังเอิญอยู่รอดมาจนป่านนี้…’


‘แต่ว่า การรอดชีวิตแบบนี้มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน! ทุกๆ วันยามตื่นขึ้นมา ความคิดแรกก็คือควรรอดชีวิตให้พ้นวันนี้ไปได้อย่างไร! เรื่องต่อจากนี้และอนาคตอะไรนั่น ใครแม่งมันจะไปใส่ใจกัน’


‘เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ที่นี่เป็นสมรภูมิกระหายเลือดเล่า ความตายล้วนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เผลอๆ วันใดวันหนึ่ง ข้า… ข้า… ก็…’


เสียงหลังจากเมาของเหล่าหวงราวกับยังดังอยู่ข้างหู แต่ตัวคนกลับจากไปแล้ว


ภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาล ในห้องหลินสวินมีเพียงเสียงทอดถอนใจดังขึ้นเบาๆ “เหล่าหวง เจ้ามันปากเสีย…”


เช้าวันถัดมา หลินสวินก็ออกจากค่ายไป


……


สมรภูมิกระหายเลือด แดนดูดเลือด


ทัพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนจำนวนนับร้อยคนกำลังเร่งเดินทาง


แม้กำลังคนไม่มาก ทว่าแต่ละคนต่างเป็นพ่อมดเถื่อนมือฉมัง มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทถึงห้าคนออกบัญชาการด้วยตัวเอง!


เป้าหมายของพวกเขาคือจู่โจมขบวนผู้ฝึกปราณอิสระของค่ายหมายเลขหกแห่งจักรวรรดิ


“หยุด!”


ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งที่เป็นผู้นำขบวนทัพหรี่ตา มองเห็นเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่บนทางเดินแต่ไกล


นั่นเป็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวพระจันทร์คนหนึ่ง ผมดำยาวทิ้งตัวลงมาถึงเอว มือทั้งคู่ของเขาไพล่หลัง สายตามองฟากฟ้าที่อยู่ห่างออกไป คล้ายกำลังเหม่อลอย


แดนดูดเลือดเป็นเขตแดนที่มีเลือดไหลอย่างไม่ขาดสายมาแต่ไหนแต่ไร ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนและผู้ฝึกปราณจักรวรรดิเคยเปิดศึกนองเลือดที่นี่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน


แต่วันนี้กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวด้วยท่าทางผ่อนคลาย นี่ดูผิดปกติเกินไป


ผู้นำทัพเผ่าพ่อมดเถื่อนคือผู้แข็งแกร่งของสายคนเถื่อนอัคคี เขาชื่อเหยียนจิ่วเกอ มีความรู้ที่กว้างขวาง ประสบการณ์หลากหลาย มองเพียงแวบเดียวก็ดูความผิดปกติออก


“ทุกคนระวัง!”


ความไม่สบายใจอันรุนแรงพรวดพราดขึ้นในใจเหยียนจิ่วเกอ พลันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด สั่งหยุดขบวน


“ใต้เท้า เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวเท่านั้น กำจัดได้ง่ายๆ อยู่แล้ว จะกังวลอะไร”


ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งบ่นพึมพำ


“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”


เหยียนจิ่วเกอตะคอก สีหน้ายิ่งดูจริงจัง เขามักรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างไปคนนั้นดูคุ้นๆ แต่กลับนึกไม่ออก


“หึ ถ้าเป็นหลินสือเอ้อร์ก็คุ้มกับที่เราเตรียมความพร้อมมา แต่เจ้าหมอนั่นไม่มีแม้แต่ธนู…”


ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนนั้นไม่เห็นด้วยนัก


แต่ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้กลับประหนึ่งสายฟ้าผ่าลงมา ทำให้สีหน้าของเหยียนจิ่วเกอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าเหตุใดเด็กหนุ่มที่อยู่ในระยะไกลคนนั้นจึงดูคุ้นๆ


รูปลักษณ์ของเจ้าหมอนี่กับหลินสือเอ้อร์ที่เล่าลือเหมือนกันอย่างกับแกะ!


ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ไม่มีธนูกระดูกขาวและศรเทพสีดำสนิทน่าสะพรึงกลัวที่โด่งดังไปทั่วทั้งสมรภูมิกระหายเลือด!


“แย่แล้ว รีบถอย!”


เหยียนจิ่วเกอตะโกน


เขาแน่ใจว่าเด็กหนุ่มคนนั้นต้องเป็นหลินสือเอ้อร์อย่างแน่นอน แม้ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้พกธนูมาด้วย แต่ด้วยชื่อเสียงอันดุดันท่วมฟ้าของเขา ทำให้เหยียนจิ่วเกอรู้สึกหวาดหวั่น!


ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างหลินสือเอ้อร์กล้าปรากฏตัวที่นี่โดยลำพัง จะเป็นการมารนหาที่ตายได้อย่างไร


ยิ่งคิดเหยียนจิ่วเกอก็ยิ่งกังวล


“ใต้เท้า ท่านเป็นอะไรไป”


“ถอยหรือ ทำไมต้องถอย”


เห็นปฏิกิริยาของเหยียนจิ่วเกอรุนแรงเพียงนี้ ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ ของทัพขบวนนี้ต่างอึ้งไม่น้อย คิดไม่ตกว่าเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นภัยคุกคามได้ขนาดไหนเชียว


แต่เหยียนจิ่วเกอหนีไปแล้ว เขาราวกับสายลม หนีพลางตะโกนอย่างเดือดดาล “ไอ้พวกโง่เง่า เจ้าหมอนั่นก็คือหลินสือเอ้อร์! พวกเจ้าจะนั่งรอความตายหรือ”


เสียงราวกับสายฟ้าสั่นไหว ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนในขบวนทัพนี้ต่างตกตะลึง จ้าหมอนั่นถึงกับเป็น…หลินสือเอ้อร์จริงๆ?


“หนีสิ!”


เมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นยังไม่ทันเปิดศึกด้วยซ้ำก็หนีออกมาทันที


ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ในค่ายทัพเผ่าพ่อมดเถื่อน ชื่อของหลินสือเอ้อร์คือตัวแทนของคำว่า ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ ทำให้ผู้คนพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี เรียกได้ว่าเป็นปีศาจผู้เลื่องชื่อ


ข่าวลือของเขา ถึงขั้นสามารถทำให้ระดับราชันยังกระสับกระส่าย!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครยังจะกล้าอยู่ต่อ


ทว่าแม้การตอบสนองของพวกเขาจะไวมากแล้ว แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง


พลันได้ยินเสียงคำรามราวกับเสียงฟ้าร้องตะลึงโลกดังกึกก้องขึ้นท่ามกลางฟ้าดินอย่างกะทันหัน


ตอนที่ 735 เสียงคำรามผูเหลา

โดย

ProjectZyphon

โฮก!


เสียงนั่นมีพลังตะลึงโลก กึกก้องทะลุเมฆเหนือเก้าชั้นฟ้า สะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับเสียงฟ้าคำรน ดุจดั่งมังกรครวญ แผ่กระจายเป็นวงกว้างและน่าเกรงขาม


ชั่วขณะนั้น ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นเพียงรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณถูกค้อนยักษ์กระแทกจนเกือบแตกสลาย ภาพตรงหน้าพร่ามัว


หลายคนที่พลังอ่อนด้อย ถูกสะเทือนจนกระอักเลือด ร่างกายซวนเซล้มลงพื้น


แม้แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนระดับมหาเวทที่ความสามารถยอดเยี่ยมก็ไม่วายจิตวิญญาณรวดร้าวรุนแรง อดส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้


เหลือเชื่อเกินไปแล้ว เพียงเสียงเดียวเท่านั้น ทว่ากลับประหนึ่งมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ น่าสะพรึงกลัวไร้เทียมทาน


ฉึบ!


แทบจะในเวลาเดียวกัน คมดาบสีขาวเจิดจ้าโฉบผ่าน เหมือนลำแสงที่กะพริบอยู่กลางอากาศ ทะยานผ่านข้างตัวเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน


ฉัวะๆๆๆ!


ทันใดนั้นลำคอของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนแต่ละคนถูกตัดขาด เลือดสดๆ พุ่งออกมาประหนึ่งน้ำพุ ถูกฆ่าตายคาที่ ไวจนพวกเขาไม่ทันตอบสนองด้วยซ้ำ


ที่น่ากลัวที่สุดคือ จิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัส คมดาบสีขาวเป็นประกายราวกับหิมะนี่ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เข้ามากวาดล้างชีวิตในสนามรบ


นี่ใช่ศึกสงครามซะที่ไหน เป็นการสังหารหมู่ชัดๆ!


“หนีเร็ว!”


เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดผวาดังก้องไปทั่ว ทัพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนนับร้อยคนหนีกระจัดกระจายออกไปในทันที


ตอนนี้ไม่ต้องให้เหยียนจิ่วเกอเตือน แต่ละคนก็หนีเร็วกว่ากระต่าย อยากให้พ่อแม่คลอดขาออกมาเพิ่มอีกสักสองข้างเสียเหลือเกิน


เพียงแต่แม้พวกเขาไว คมดาบสีขาวสว่างจ้านั่นกลับไวกว่าพวกเขา อีกทั้งเสียงคำรามปานฟ้าร้องในที่นั้นก็ยังคงสั่นสะเทือน จู่โจมและโจมตีจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้น ทำให้การหนีของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง


ชั่วขณะเดียวบริเวณนั้นพลันวุ่นวายอลม่าน ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนหวาดกลัว มีเพียงคมดาบที่ประหนึ่งลำแสงนั่นพริบไหวคำราม ตัดศีรษะเปื้อนเลือดมากมายร่วงลงพื้นไป


“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”


ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งสีหน้าเศร้าโศก อดหันกลับไปมองไม่ได้


พลันเห็นว่าในระยะอันไกลโพ้น เด็กหนุ่มคนนั้นยืนอยู่เพียงลำพัง สองมือยังคงไพล่หลัง มีเพียงด้านหลังที่ปรากฏภาพมายาสัตว์เทพ เป็นสิ่งที่คล้ายกับมังกรฟ้าบรรพกาล กำลังแหงนหน้าร้องคำราม


“นี่มัน…”


ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนนั้นขนลุกซู่ไปทั้งตัว ภาพมายาสัตว์เทพนั่นน่าสะพรึงกลัวเกินไป หัวเป็นมังกร ร่างกายเป็นเจียว หนวดยาวราวรุ้งทองทิ้งดิ่ง ดวงตาราวกับพระอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์แรงกล้า ทั่วทั้งตัวเปล่งประกายแสงสีทองเจิดจรัสอย่างไร้ขีดจำกัด บดบังท้องฟ้าทั้งผืนเอาไว้!


มันแหงนหน้าขึ้นคำรามราวกับฟ้าร้อง ดุจมังกรครวญ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคลื่นเสียงแผ่กระจาย อากาศบริเวณนั้นถูกโจมตีจนแตกสลาย กลายเป็นความปั่นป่วนม้วนตัวออกมา


“สัตว์เทพผูเหลางั้นหรือ?!”


ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนนั้นตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งกาย จากนั้นเขารู้สึกเพียงว่าเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังกรอกหู จิตวิญญาณเกิดเสียงดังตูม ราวกับถูกฟ้าผ่า เจ็บจนเขากุมศีรษะโอดครวญ


ฉัวะ!


จากนั้นคมดาบสีขาวสว่างเจิดจ้าก็โฉบเข้ามาตัดหัวเขา


ไกลออกไปแสนไกล เหยียนจิ่วเกอที่ชิงหนีไปก่อนมองเห็นภาพนี้พอดีก็อดสูดหายใจด้วยความตกใจไม่ได้ พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งกาย


ในการรับรู้ของเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาและสหายเหล่านั้นถูกตัดหัวลงมากองเต็มพื้นราวกับฟางข้าว เลือดสดๆ มีให้เห็นทั่วทุกที่ น่าสยดสยองยิ่ง


“เจ้าเด็กนี่เป็น… เป็นเทพมารคนหนึ่งจริงๆ ด้วย!”


เหยียนจิ่วเกออดกรีดร้องออกมาไม่ได้ พยายามหนีอย่างเต็มกำลัง เขาตกใจแล้วจริงๆ อีกฝ่ายไม่ได้ใช้คันธนูและลูกศรที่อานุภาพสะเทือนไปทั้งสมรภูมิกระหายเลือดคู่นั้น ก็ยังสามารถกวาดล้างทัพของเขาได้อย่างง่ายดาย ฝีมือน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว


‘หนีไวเชียว’


หลินสวินมองไปยังทิศทางที่เหยียนจิ่วเกอหนีไป สุดท้ายก็ไม่ได้ตาม


ชิ้ง!


ดาบหักสีขาวสว่างเจิดจ้าที่เกือบจะโปร่งแสงถูกเก็บกลับไปในห้วงนิมิต ในเวลาเดียวกันภาพมายาสัตว์เทพที่อยู่ด้านหลังหลินสวินก็หายไปอย่างเงียบๆ


และในที่นั้นมีซากศพเต็มไปหมด นอกจากเหยียนจิ่วเกอ ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนอื่นล้วนถูกฆ่าอย่างอนาถ!


ผลการรบนี้เรียกได้ว่าน่าทึ่ง ถึงอย่างไรแม้เหยียนจิ่วเกอจะหนีไปได้ แต่ในสนามรบก็มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทถึงสี่คนถูกฆ่า


ทั้งยังถูกกำจัดอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงแรงมากมาย!


หลินสวินเริ่มเก็บทรัพย์หลังศึก


สำหรับเขาแล้วศึกนี้ถือว่าชนะมาอย่างผ่อนคลายมากจริงๆ ส่วนอานุภาพของ ‘เสียงคำรามผูเหลา’ ก็ทำให้หลินสวินพอใจอย่างมาก


กระบวนท่านี้คือมรดกลับ ‘ร่างที่หก’ ของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร เป็นวิชาลับอันน่าสะพรึงที่เจาะจงโจมตีจิตวิญญาณโดยเฉพาะ หลินสวินเพิ่งหยั่งถึงควบคุมได้ไม่นาน


ทว่าด้วยระดับ ‘พลังจิต’ ของพลังจิตวิญญาณของเขา การฝึกเสียงคำรามผูเหลากลับไต่ระดับอย่างรวดเร็ว ง่ายกว่าฝึกไอซวนหนีอย่างมาก


เมื่อสำแดงกระบวนท่าวิชาลับนี้ออกมา ราวกับสัตว์เทพบรรพกาลผูเหลาคำราม เสียงสามารถเขย่าจักรวาล สะเทือนสุริยันจันทราภูผานทีจนแหลกละเอียด!


แม้จะเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ควบรวมพลังจิตได้แล้ว หากถูกโจมตีเช่นนี้โดยไม่ทันระวัง ก็สามารถทำให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน


ก่อนหน้านี้หลินสวินใช้เสียงคำรามผูเหลาโจมตีกองทัพศัตรูจนบาดเจ็บสาหัส แล้วฉวยโอกาสนั้นเรียกดาบหักออกมา เมื่อครู่นี้จึงคว้าชัยในศึกครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย


พูดง่ายๆ ก็คือ เสียงคำรามผูเหลาเป็นการโจมตีจิตวิญญาณ และหลังจากดาบหักเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็กลายเป็นสมบัติระดับ ‘ศาสตราจิต’ ที่น่าสะพรึงกลัวชิ้นหนึ่ง เมื่อสองสิ่งนี้จับคู่กัน พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าตะลึงโลกอย่างแน่นอน


ปึง!


หลังจากจัดการสนามรบเสร็จแล้ว หลินสวินโยนห่อสัมภาระที่บรรจุทรัพย์หลังศึกแน่นขนัดลงพื้น จากนั้นก็จากไปเพียงลำพังพร้อมเสียงหวีดแหลม


ไม่นาน ขบวนผู้ฝึกปราณจักรวรรดิขบวนหนึ่งปรากฏตัวในสนามรบแห่งนี้


เมื่อเห็นกองเลือดและซากศพเกลื่อนพื้น ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิเหล่านั้นก็อดอุทานอย่างตกใจไม่ได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง


“กลุ่มที่เท่าไหร่ของวันแล้ว”


มีคนอดถามไม่ได้


“กลุ่มที่ห้า”


เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นในสนามรบอีกครั้ง


“คุณชายหลินสือเอ้อร์เด็ดจริงๆ! ออกโรงคนเดียวก็เทียบเท่าทัพใหญ่ชั้นเอกทัพหนึ่งแล้ว!”


“ครั้งนี้คุณชายหลินไม่ได้ใช้คันธนูและศรน่าสะพรึงกลัวคู่นั้นด้วยซ้ำ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเขา เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทกลับถูกฆ่าตายราวกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”


“คุณชายหลินเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานแห่งจักรวรรดิ เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ราชากึ่งระดับที่ตายในมือเขาก็ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว บุคคลระดับมังกรศักดิ์สิทธิ์บนฟากฟ้าอย่างเขา ใช่ว่าคนอย่างเราจะคาดเดาได้ซะที่ไหน”


“อย่ามัวพูดจาไร้สาระ รีบเก็บของ!”


ไม่นานผู้ฝึกปราณจักรวรรดิเหล่านี้ก็เก็บห่อสัมภาระที่หลินสวินทิ้งเอาไว้ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วออกจากพื้นที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว


……


เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบนสมรภูมิกระหายเลือดในวันนี้อย่างต่อเนื่อง


ผาต้นไหว นี่เป็นพื้นที่อันตรายแห่งหนึ่งในสมรภูมิกระหายเลือด มีกองกำลังมือฉมังของค่ายทัพพ่อมดเถื่อนประจำการที่นี่ตลอดทั้งปี


เพียงแต่วันนี้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเยือนโดยลำพังและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่


เวลาหนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น


ผาต้นไหวเปื้อนเลือด เหลือไว้เพียงซากศพกองเต็มพื้น เขม่าควันและเพลิงสงครามฟุ้งกระจาย


จากการคำนวณของผู้ฝึกปราณจักรวรรดิที่เข้ามาเก็บกวาดสนามรบ ศึกนี้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนและพ่อมดเถื่อนมือฉมังอีกสามร้อยคนที่ประจำการอยู่ที่ผาต้นไหว ต่างถูกฆ่าตายทั้งหมดไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว


……


เหยี่ยวไร้ข้าม


เป็นพื้นที่อันตรายอย่างมากอีกแห่งหนึ่งในสมรภูมิกระหายเลือด ภูเขามีรูปร่างแปลกประหลาด ทับซ้อนกันเป็นคลื่น เข้าไปข้างในเหมือนตกอยู่ในเขาวงกตธรรมชาติ


ทัพพ่อมดเถื่อนมือฉมังกองหนึ่งของสายคนเถื่อนมืดกำลังแทรกซึมเข้าไปในนั้น ‘เหยี่ยวไร้ข้าม’ แม้จะอันตรายอย่างที่สุด แต่กลับเป็นทางลัดไปยังค่ายหมายเลขสี่ของจักรวรรดิ


ครั้งนี้ขบวนทัพสายคนเถื่อนมืดจะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลอบสังหารที่ค่ายหมายเลขสี่ของจักรวรรดิ


เพียงแต่ระหว่างทางพวกเขากลับเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่ง


หรือพูดอีกอย่างว่าเด็กหนุ่มคนนั้นราวกับรอพวกเขาอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด


“หลินสือเอ้อร์!”


แทบจะในแวบแรกที่เห็น ผู้แข็งแกร่งมือฉมังสายคนเถื่อนมืดขบวนนี้ก็จำหลินสวินได้โดยพร้อมเพรียงกัน


ถึงอย่างไรอิ๋งเชวี่ยนายน้อยราชนิกุลและราชันกึ่งระดับหมานจิ่วแห่งสายคนเถื่อนมืดของพวกเขาก็ล้วนถูกหลินสวินฆ่า พวกเขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร


ดั่งคำที่ว่า เมื่อศัตรูได้พบหน้ากัน ย่อมมีอารมณ์โกรธแค้นรุนแรงเป็นพิเศษ การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นในทันที


ทว่าหลังจากนั้นเพียงหนึ่งเค่อ ศึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ก็จบลง บนพื้นดินเหลือไว้เพียงกองซากศพ ส่วนหลินสวินจากไปตั้งนานแล้ว


……


เทือกเขาทองสัมผัส


แดนดาราโรย


หุบเขาห้วยผี


…ในแต่ละพื้นที่ของสมรภูมิกระหายเลือด มีศึกนองเลือดเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่ตายมีพวกที่มาจากสายคนเถื่อนอัคคี สายคนเถื่อนวารี สายคนเถื่อนพสุธา สายคนเถื่อนทองคำ… มีทั้งผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท และพ่อมดเถื่อนจอมพลัง…


สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ พวกเขาล้วนตายในมือคนคนเดียวกัน


จนกระทั่งรัตติกาลมาเยือน


การต่อสู้ครั้งนี้ยืดยาวข้ามพื้นที่ต่างๆ ไปทั้งวันกว่าจะจบลง


นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิที่ติดตามหลินสวินเพื่อขนทรัพย์หลังศึกต่างถอนหายใจยาว บอกตามตรงว่าหัวสมองของพวกเขาตะลึงจนแน่นิ่งไปหมดแล้ว


แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่แค่ตามขนทรัพย์หลังศึกอยู่ข้างหลังหลินสวิน ก็ทำให้พวกเขาวิ่งเต้นไปมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว


ช่วยไม่ได้ หลินสวินลงมือข้ามพื้นที่มากเกินไป อีกทั้งผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่ฆ่าระหว่างทางก็มากมาย ทำให้พวกเขาที่แม้เพียงเก็บกวาดทรัพย์หลังศึกก็ยังต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย


เมื่อข่าวนี้แพร่กลับค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิ ทั้งค่ายก็ฮือฮาขึ้นมา ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมากมายต่างตื่นตกใจ มารวมตัวกันดูความครึกครื้นที่กองพลาธิการ


ที่นั่นมีห่อสัมภาระซึ่งแน่นขนัดด้วยทรัพย์หลังศึกมากมายกองอยู่ รอให้ทหารของกองพลาธิการมาตรวจสอบเหรียญกล้าหาญ


ด้วยทรัพย์หลังศึกมากเกินไป แม้แต่หลูเหวินถิงยังตกใจและลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง


“มารดามันเถอะ เจ้าหนูนี่เรียกว่าไปสู้รบเสียที่ไหน นี่มันวิ่งไปกวาดล้างคนเดียวชัดๆ!”


หลูเหวินถิงตรวจสอบไปพลางพูดหยาบคายไปพลาง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความตะลึงและดีใจ หลายวันมานี้บรรยากาศในค่ายจักรวรรดิอึมครึมมาโดยตลอด ตึงเครียดและกดดัน


แต่การกระทำในวันนี้ของหลินสวิน จะต้องกระตุ้นขวัญกำลังใจได้อย่างยอมเยี่ยมแน่นอน!


คืนนั้นเหรียญกล้าหาญของหลินสวินถูกคำนวณออกมา ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิทุกคนในค่ายอึ้งงันไปทันที


เหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่งถึงยี่สิบเก้าเหรียญ!


ส่วนชื่อของ ‘หลินสือเอ้อร์’ ก็กระโดดไปอยู่อันดับที่เก้าในการจัดอันดับเหรียญกล้าหาญของค่ายหมายเลขเจ็ด!


ต้องรู้ว่าเหรียญกล้าหาญหนึ่งร้อยอันดับแรกล้วนสั่งสมมาหลายปี กว่าจะได้ครองตำแหน่งอันเป็นตัวแทนของเกียรติยศนี้


แต่หลินสวินเพิ่งมาอยู่ในค่ายไม่ถึงครึ่งปี เหรียญกล้าหาญที่สะสมได้กลับพุ่งพรวดพราด กระโดดขึ้นมาอยู่อันดับที่เก้าด้วยความเร็วที่เกินจริงจนพาให้ตะลึง!


แน่นอนว่าเหรียญกล้าหาญที่เขาได้จากการสังหารราชันกึ่งระดับก็ถูกนับรวมเข้าไปด้วย


ผู้ฝึกปราณค่ายหมายเลขเจ็ดต่างตื่นเต้น ขวัญกำลังใจล้นปรี่ ความเคารพนับถือต่อหลินสวินยิ่งมากถึงระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


จนกระทั่งตกดึก แม้แต่ผู้ฝึกปราณของค่ายอื่นๆ อีกเจ็ดค่ายของจักรวรรดิ ก็ได้รู้ ‘ผลงานการรบเย้ยฟ้า’ ของหลินสวิน พลันเกิดความฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่


แต่บรรยากาศในค่ายพ่อมดเถื่อนกลับดูอึมครึมมากเป็นพิเศษ เพราะ ‘วีรกรรมอันเกริกก้อง’ ของหลินสวิน ทำให้ราชันพ่อมดเถื่อนหลายคนยังตกตะลึง


สุดท้าย ชื่อของ ‘หลินสือเอ้อร์’ ในหมายจับกระดานโลหิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่ง


ตอนที่ 736 เดินหน้าก็ยาก ถอยหลังก็ลำบาก

โดย

ProjectZyphon

อันดับสามในหมายจับกระดานโลหิต!


เมื่อฝั่งค่ายทัพจักรวรรดิรู้ข่าวนี้ก็ตกใจอย่างสิ้นเชิง


ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง กลับกลายเป็นบุคคลอันตรายอันดับสามของค่ายทัพพ่อมดเถื่อนในชั่วพริบตา


ในช่วงเวลาหลายพันปีของการต่อสู้ ไม่เคยปรากฏกรณีเช่นนี้มาก่อน!


“คุณชายหลินดุดันเกินไปแล้ว!”


“จัดชื่อของคุณชายหลินไว้ในอันดับสามของกระดาษโลหิต เห็นได้ชัดว่าเผ่าพ่อมดเถื่อนถูกบีบจนร้อนใจแล้ว”


เสียงอุทานต่างๆ ดังขึ้นในค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ ผลการรบอันดุดันของหลินสวินกระตุ้นขวัญกำลังใจของค่ายทัพจักรวรรดิ กวาดล้างพยับเมฆในอดีตจนหมดสิ้น


เพียงแต่ในทางกลับกัน ก็มีคนกลัดกลุ้มกระสับกระส่าย กังวลแทนหลินสวิน


อันดับสามในกระดานโลหิต!


ดูเหมือนเป็นเกียรติยศที่พิเศษมาก แต่ในขณะเดียวกันอันดับนี้ก็จะนำพาอันตรายและปัญหายิ่งใหญ่มาให้หลินสวิน


ฆ่าผู้แข็งแกร่งของค่ายทัพพ่อมดเถื่อนไปมากมายขนาดนั้น อีกฝ่ายมีหรือจะยอมวางมือง่ายๆ


ในความเป็นจริงสถานการณ์ของหลินสวินอันตรายขึ้นมากจริงๆ หลายวันหลังจากนั้น ยามเขาลงมือในสนามรบ ก็เริ่มปรากฏตัวแปรอันตรายหลายอย่างแล้ว


……


ภูเขาห่านสันโดษแห่งสมรภูมิกระหายเลือด


สวบ!


หลินสวินกำลังหนี เงาร่างประหนึ่งกลายเป็นชือน้ำแข็ง ความเร็วนั้นรวดเร็วถึงขีดสุด


“ไม่มีธนูและศรคู่นั้น เจ้า หลินสือเอ้อร์ก็มีฝีมือแค่นี้แหละ!”


ข้างหลังผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนอสนีที่ดุดันแข็งกร้าวคนหนึ่งกำลังไล่ตามมา เรือนกายของเขากำยำ หนวดเคราเผ้าผมเหมือนง้าว ระหว่างที่กะพริบตาประกายสายฟ้าแล่นปราด น่ากลัวอย่างที่สุด


นี่คือราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง นามว่าเสอหนานหมิง มาจากสายคนเถื่อนอสนี


ภูเขาห่านสันโดษเดิมมีกองทัพสายคนเถื่อนอสนีประจำการ จากรายงานข้อมูล ในทัพสายคนเถื่อนอสนีขบวนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเท่านั้น


เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินรับมือไม่ทันคือ ตอนที่เขาไปถึงภูเขาห่านสันโดษ ทัพของสายคนเถื่อนอสนีขบวนนี้กลับไม่รู้ถอยทัพไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เหลือไว้แต่เพียงความว่างเปล่า


มีเพียงราชันกึ่งระดับอย่างเสอหนานหมิงเท่านั้นที่รออยู่!


เห็นได้ชัดว่าเสอหนานหมิงมาเพื่อฆ่าหลินสวินโดยเฉพาะ


“ฮ่าๆๆ หลินสือเอ้อร์ก็มีวันนี้ด้วยหรือ ข้าจะบอกเจ้าให้ ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ข้า ยังมีราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ อีกห้าคนรวมทั้งราชันเถื่อนที่แท้จริงอีกหนึ่งคนออกโรง เป้าหมายเดียวก็คือฆ่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าซะ!”


เสอหนานหมิงยิ้ม เสียงเย็นเยียบและเต็มไปด้วยไอสังหาร


แค่หลินสือเอ้อร์ที่มีพลังปราณเพียงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น ทว่าในช่วงที่ผ่านมากลับนำพาการโจมตีและเงามืดสู่ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนมากเกินไปแล้ว หากไม่ฆ่าเขาก็จะเป็นความอับอายอย่างยิ่งของพวกเขาเผ่าพ่อมดเถื่อน


‘ราชันเถื่อนหรือ’


หลินสวินที่หนีห่างออกไปนัยน์ตาหดรัดทันใด ส่งราชันหนึ่งคนและราชันกึ่งระดับอีกหกคนมารับมือตนเชียว


ลงทุนเหลือเกิน!


“ตายซะ!”


ทันใดนั้นเสอหนานหมิงส่งเสียงคำราม สะบัดมือขว้างหอกที่เกิดจากการรวมตัวของสายฟ้า โฉบพุ่งผ่านอากาศเข้าสังหารหลินสวิน


ความเร็วนั้นเหลือเชื่อยิ่ง


ตอนอยู่ในส่วนลึกของป่าต้นหม่อน หลินสวินเคยถูกตามฆ่าเช่นนี้มาแล้ว


แต่ตอนนั้นมีหมอกควันสีเลือดที่ปิดกั้นการรับรู้และการตรวจจับคอยบดบังอยู่ และยังมีการคุกคามของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามควบคู่ไปด้วย ทำให้หลินสวินสามารถหลบหนีได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ


ทว่าตอนนี้กลับแตกต่าง ภายใต้ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแทบไม่มีที่ให้ซ่อนตัว เพราะฉะนั้นแม้หลินสวินจะสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลังแล้วก็ยังถูกตามทัน


ตู้ม!


อานุภาพของหอกแห่งสายฟ้าน่าสะพรึงกลัวมาก โอบล้อมรัดพันด้วยประกายสายฟ้าแสบตา บดขยี้ห้วงอากาศจนแหลกละเอียด ดูน่ากลัวอย่างที่สุด


หลินสวินร่างกายวูบไหวขยับหนี เสียงตูมดังลั่น หอกสายฟ้ากระแทกพื้นดินบริเวณนั้นเป็นหลุมใหญ่น่าสยดสยอง


จากการโจมตีนี้ ทำให้เสอหนานหมิงตามทันแล้ว พลันพูดพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “เจ้าหนูน้อย เจ้าหนีอีกสิ ข้าอยากรู้มากว่าไม่มีธนูและศรคู่นั้นแล้ว เจ้าจะเก่งสักแค่ไหน!”


ในระหว่างที่พูดเขาก็เปิดการโจมตีด้วยท่าสังหาร สะบัดแขนเสื้อคราเดียวรัศมีแสงสายฟ้าก็พุ่งออกมาทั่วฟ้า แปลงเป็นเป็นหอกสายแล้วสายเล่าสังหารลงมา


นี่น่าสะพรึงกลัวมากจริงๆ ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อย่าว่าแต่ระดับหยั่งสัจจะ แม้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติมา ก็กลัวว่ายังยากจะต้านทาน


ต่อให้หลินสวินจะมั่นใจ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีความช่วยเหลือจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม หากอยากจะชนะราชันกึ่งระดับ ก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


สวบๆๆ


ร่างกายของเขากะพริบวูบไหว หนีอย่างต่อเนื่อง แต่กลับดูสะบักสะบอมอยู่บ้าง การโจมตีซึ่งหน้าของราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง มีหรือจะธรรมดา


พลันเห็นอานุภาพเสอหนานหมิงยิ่งใหญ่ราวมหาสมุทร รอบตัวปรากฏพลังแห่งสายฟ้าอันน่าประหวั่น ราวกับเป็นผู้ครอบครองฟ้าดินผืนนี้ ชี้ฟ้าบุกดิน สำแดงอานุภาพของราชันกึ่งระดับออกมาอย่างเต็มที่


หลินสวินกดดันขึ้นเป็นเท่าทวี!


หากเฉพาะด้านการหลบหนีอย่างเดียว ด้วยความมหัศจรรย์ของก้าวย่างชือน้ำแข็งสามารถทำให้เขาไม่ต้องกลัวการโจมตีเช่นนี้ได้ แต่นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้


อานุภาพของราชันกึ่งระดับยิ่งใหญ่มากเกินไป ควบคุมปริศนาแห่งมหามรรค ฟ้าดินผืนนี้ราวกับกลายเป็นสิทธิ์ขาดของเขาคนเดียว


แม้หลินสวินจะหนี รอบตัวก็แบกรับแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงยิ่ง ราวกับปลาที่ดิ้นรนอยู่ในชั้นน้ำแข็ง พร้อมแข็งตัวได้ตลอดเวลา!


ฟ้าดินสั่นไหว เสียงฟ้าร้องโหมกระหน่ำสายฟ้าแล่นปราดราวกับฝนห่าใหญ่หนาแน่น เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงไร้เทียมทาน


หินกำลังแตกระเบิด แผ่นดินพังทลาย อากาศปั่นป่วน ทุกอย่างดูผันผวนและวุ่นวาย


เสอหนานหมิงราวกับเทพสายฟ้าองค์หนึ่ง อานุภาพประหนึ่งตะวันจันทรา ดูดุดันผิดปกติ


แต่หลินสวินทำได้เพียงหนีอย่างสุดความสามารถ สถานการณ์ล่อแหลมอันตรายต่อเนื่อง


พูดอย่างจริงจัง นี่คงถือเป็นครั้งแรกที่หลินสวินเผชิญหน้ากับราชันกึ่งระดับโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม


แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีประสบการณ์สังหารราชันกึ่งระดับมาแล้วหลายครั้ง แต่ในเวลานี้หลินสวินเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความแตกต่างของระดับหยั่งสัจจะกับราชันกึ่งระดับอย่างลึกซึ้ง


ความแตกต่างนี้ราวกับคูน้ำธรรมชาติ ไม่สามารถอาศัยพลังปราณอันสมบูรณ์มาชดเชยได้ แม้หลินสวินก้าวสู่มรรคาแห่งมกุฎราชันแล้ว เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรในระดับหยั่งสัจจะ แต่ก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบกับพลังปราณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงทุกอย่าง


“หลินสือเอ้อร์ เจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ”


เสอหนานหมิงตื่นเต้นมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหารเหี้ยมโหด เด็กหนุ่มที่จัดอยู่ในอันดับสามของกระดานโลหิต เคยนำพาการโจมตีและเงามืดมากมายสู่ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนคนนี้ วันนี้กำลังจะตายในมือตนแล้ว ทำให้ภายในใจเสอหนานหมิงรู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุด


เขาเชื่อว่าหากวันนี้ฆ่าเจ้าเด็กนี่ได้ เขาจะต้องกลายเป็นราชันกึ่งระดับที่น่าจับตามองที่สุดในค่ายทัพพ่อมดเถื่อนอย่างแน่นอน!


ตูม!


เสอหนานหมิงลงมือรุนแรงกว่าเดิม พายุสายฟ้ากระหน่ำขวางอากาศ พุ่งลงมาราวกับน้ำตก สว่างไสวจนลืมตาไม่ขึ้น


“ตาย!”


เสอหนานหมิงตะเบ็งเสียง ท่าทางดุร้าย ควบคุมคลื่นสายฟ้าปกคลุมมาทางหลินสวิน


เขาดูออกว่าหลินสวินกำลังจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว!


ชิ้ง!


ทว่าในตอนนี้เอง คมดาบที่ราวกับโปร่งแสงปรากฏขึ้น เสียงฉัวะดังลั่น ผ่าสายฟ้าเต็มท้องนภาออกเป็นสองส่วน


ภาพนี้ดูเหลือเชื่อจริงๆ สายฟ้าที่ระเบิดราวกับน้ำพุ ตอนนี้กลับถูกตัดจนกระจายออกอย่างง่ายดายราวกับชิ้นผ้า!


ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เสอหนานหมิงเองก็ไม่ทันตั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปพลัน


แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามปานตะลึงโลกดังก้อง สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินราวกับมังกรคำราม คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นทำให้จิตวิญญาณของเสอหนานหมิงสั่นไหวราวกับถูกค้อนยักษ์ทุบ


ร่างกายอันดุดันไร้เทียมทานของเขาแข็งทื่อกลางอากาศโดยพลัน เท้าเซจนแทบร่วงลงจากกลางอากาศ


ฉึบ!


ไม่รอให้เสอหนานหมิงตอบสนอง คมดาบเจิดจ้าแทบโปร่งแสงก็เคลื่อนมาถึง ไวเกินไปแล้ว ไวจนทำให้เสอหนานหมิงยังขนพองสยองเกล้า รู้สึกได้ถึงการคุกคามที่ร้ายแรงถึงชีวิต


ไม่อาจไม่พูดว่าเสอหนานหมิงผู้เป็นราชันกึ่งระดับนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ การตอบสนองว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ ในชั่วขณะที่ห่างกันเพียงเส้นผม ร่างกายของเขากลับบิดอย่างแปลกประหลาด หลบการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตนี้ได้อย่างหวุดหวิด


ทว่าลำคอของเขากลับถูกบาดเป็นรอยแผลยาวประมาณชุ่น เลือดสดๆ พุ่งออกมาไม่ขาดสาย อีกเพียงนิดเดียวก็จะตัดคอของเขาขาดแล้ว!


สิ่งนี้ทำให้เสอหนานหมิงตกใจจนเหงื่อท่วมตัว สีหน้าเขียวคล้ำอย่างที่สุด ชิงชังจนคลั่ง ในการต่อสู้ที่มั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยมนี้ เขากลับเกือบถูกฆ่า!


“รนหาที่ตาย!”


เสอหนานหมิงคำรามอย่างเดือดดาล สะเทือนจนฟ้าดินสั่นไหว


เพียงแต่ตอนนี้หลินสวินหนีไปตั้งนานแล้ว


ไม่สามารถฆ่าเสอหนานหมิงให้ตายได้ ทำให้หลินสวินเองก็ถอดหายใจในใจ แม้ดาบหักจะเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นศาสตราจิตเล่มหนึ่ง แต่เพราะพลังปราณของตนต่ำเกินไป อานุภาพที่สำแดงออกมาจึงมีจำกัด เพียงพอแค่ทำร้ายราชันกึ่งระดับได้อย่างฝืนๆ


อีกทั้ง นี่ยังอยู่ในสถานการณ์ลอบสังหาร


สำหรับ ‘เสียงคำรามผูเหลา’ บางทีอาจจะสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติได้รับผลกระทบอย่างหนักได้ แต่กับราชันกึ่งระดับ อานุภาพที่เกิดขึ้นนั้นเห็นได้ชัดว่ามีจำกัด


หลินสวินจำต้องเลือกหนี


สวบ!


ร่างกายของเขาราวกับชือน้ำแข็งทะลวงอากาศ ว่องไวอย่างที่สุด


แต่ด้านหลังเสียงคำรามเดือดดาลยิ่งของเสอหนานหมิงยังคงดังอยู่ อีกทั้งเสียงนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าราชันกึ่งระดับที่ถูกกระตุ้นจนโกรธคนนี้กำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว


‘เจ้าหมอนี่มีการระวังตัวแล้ว ครั้งนี้แม้ใช้ดาบหัก กลัวว่าคงยากจะทำร้ายเขาได้อีก น่าเสียดายที่ธนูวิญญาณไร้แก่นสารไม่อยู่ มิฉะนั้นมีหรือจะต้องสะบักสะบอมขนาดนี้ ใช้ธนูฆ่าเดรัจฉานเฒ่านี่ตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง…’


ระหว่างที่หนี หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ว่า ตั้งแต่ให้ราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ยืมธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามไป ก็ผ่านไปเกือบจะแปดวันแล้ว


แต่ในแปดวันนี้กลับไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ เกี่ยวกับนางเลย นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ


หรือนางกำลังรอเหยื่อที่พอใจ?


คิดถึงตรงนี้ ในใจหลินสวินก็สั่นสะท้านขึ้นมากะทันหัน รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายน่าหวาดผวา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปในชั่วขณะ


บนหนทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าปรากฏร่างสูงใหญ่ไร้เทียมทานตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามราวกับดวงอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ ส่องสว่างฟ้าดินแถบนั้น


ราชันคนหนึ่ง!


และเห็นได้ชัดว่ามาจากสายคนเถื่อนทองคำ!


ในที่สุดหลินสวินก็มั่นใจว่า ที่แท้สิ่งที่เสอหนานหมิงพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริง ครั้งนี้เพื่อโจมตีเขาหลินสวิน เผ่าพ่อมดเถื่อนยังส่งราชันที่แท้จริงมาด้วยหนึ่งคน!


สถานการณ์ของหลินสวินวิกฤตในบัดดล อันตรายรอบด้านจริงๆ เดินหน้าก็ยาก ถอยหลังก็ลำบาก ราวกับเป็นทางตัน!


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เหตุใดเจ้าไม่หนีแล้วล่ะ!?”


ด้านหลัง เสียงตะโกนด้วยความเดือดดาลและเยียบเย็นของเสอหนานหมิงดังขึ้น


เขาเองก็มองเห็นร่างสูงใหญ่สะดุดตานั่นแล้ว เปล่งประกายสีทองอร่ามราวกับเทพไท้ ยืนอยู่กลางฟ้าดินประหนึ่งราชันที่มองลงมาจากที่สูง


ตอนที่ 737 จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ

โดย

ProjectZyphon

ที่เสอหนานหมิงเดือดดาลเพราะทีแรกควรเป็นเขาที่ฆ่าหลินสวิน แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว


ราชันผู้สูงใหญ่ไร้เทียมทาน เปล่งประกายสีทองอร่ามทั่วร่างกายที่ปรากฏในระยะไกลนามว่าจินเจาสุ่ย เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่มาหลายพันปีแล้ว


ในบรรดาราชันเถื่อนในค่ายทัพพ่อมดเถื่อน จินเจาสุ่ยนับว่าเป็นบุคคลชั้นยอดอันดับต้นๆ ผู้ที่สามารถเทียบได้มีเพียงสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่กี่คนอย่างราชันวิญญาณเร้นแห่งสายคนเถื่อนมืด ราชันเมฆาอสนีแห่งสายคนเถื่อนอสนีเท่านั้น


ตอนนี้จินเจาสุ่ยปรากฏตัว ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำเสอหนานหมิงก็รู้ว่า คราวนี้ความดีความชอบของการฆ่าหลินสือเอ้อร์ในครั้งนี้ไม่ตกมาถึงเขาแน่


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ได้ตายในมือใต้เท้าจินถือเป็นบุญของเจ้า!” เสียงของเสอหนานหมิงแฝงความไม่ยินยอมสายหนึ่ง


แต่สีหน้าในตอนนี้ของหลินสวินกลับดูแปลกไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งเห็นจินเจาสุ่ย เขายังหวาดผวาและประหลาดใจอยู่เลย


แต่เพียงชั่วขณะเท่านั้นเขากลับสงบลง


นี่ดูผิดปกติไม่น้อย


เสอหนานหมิงเองก็สังเกตเห็นภาพนี้เช่นกัน อดคิดขึ้นมาอย่างเดือดดาลไม่ได้ เมื่อครู่นี้ตอนที่เผชิญหน้ากับตน เจ้าหนูนี่ยังมีท่าทีว่าถึงตายก็ไม่ยอมแพ้อยู่เลย


แต่ตอนนี้พอเผชิญหน้ากับราชันคนหนึ่งกลับยอมแพ้โดยดี ท่าทางเหมือนนั่งรอความตายไม่คิดต่อสู้


เทียบกันเช่นนี้แล้ว มันช่างน่าหงุดหงิดเกินไปจริงๆ!


“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้ายอมง่ายๆ เช่นนี้หรือ เหนือความคาดหมายของข้ามากจริงๆ ข่าวลือว่าเจ้าใจกล้าคับฟ้า ไม่กลัวอะไรเลยไม่ใช่หรือ”


ความไม่จำยอมและเพลิงโทสะเต็มอกของเสอหนานหมิงแปรเปลี่ยนเป็นการเยาะเย้ย ระบายออกจากปาก “ที่แท้เจ้าก็แค่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า”


“อย่าเพิ่งผิดหวัง”


ตอนนี้เองมุมปากของหลินสวินกลับเผยรัศมีลึกลับ “เชื่อข้าเถอะ เดี๋ยวจะทำให้เจ้าพอใจอย่างแน่นอน”


หืม?


เสอหนานหมิงตะลึงงัน พลันบันดาลโทสะ ถึงขนาดนี้แล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไอ้เด็กนี่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว แต่กลับยังคงไม่กลัวตนเลยสักนิด หรือในสายตาของเขาราชันกึ่งระดับอย่างตนไม่มีตัวตนเลย


เสอหนานหมิงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกทำร้ายอย่างรุนแรง สีหน้ายิ่งข่มไว้ไม่อยู่


เพียงแต่ตอนที่เขาคิดจะลงมือสั่งสอนหลินสวินอย่างรุนแรง ลูกตาพลันเบิกกว้างจนเกือบหลุดออกจากเบ้า สีหน้ายิ่งเปลี่ยนเป็นอึ้งค้างในพริบตา ท่าทางเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น


พลันเห็นว่าในระยะไกล ราชันสายคนเถื่อนทองคำจินเจาสุ่ยที่เงาร่างโอหังอวดดี จรัสแสงราวกับดวงอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างกายกลับแตกสลายทีละชุ่น เลือดเนื้อร่วงลงมา!


ภาพนี้ดูน่าสยองอกสั่นขวัญหายเกินไปแล้ว


สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่น่าสะพรึงกลัวไร้เทียมทานคนหนึ่ง ยังไม่ทันได้ปริปากพูดสักคำก็ตายไปเงียบๆ เช่นนี้เลยหรือ


เสอหนานหมิงเองก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่เคยเห็นโลก ถึงขั้นที่เขาในฐานะที่เป็นราชันกึ่งระดับ ชีวิตนี้ได้เห็นภาพการตายมากมายหลากหลายรูปแบบมาแล้ว


แต่ตอนที่เห็นภาพตรงหน้า ก็ยังคงตกใจจนหนังหัวชาวาบ อกสั่นขวัญหนี


จินเจาสุ่ย!


นี่เป็นถึงผู้อาวุโสที่น่ากลัวของสายคนเถื่อนทองคำเชียวนะ ลือกันว่าได้เริ่มค้นหาความเร้นลับของอมตะนพเคราะห์แล้ว


แต่ตอนนี้กลับตายไปเงียบๆ เช่นนี้?


เสอหนานหมิงเกือบคิดว่าตัวเองตาฝาดไปแล้ว ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป กระวนกระวายและเย็นวาบไปทั้งตัว


“ทำไม… ทำไมถึง…” สีหน้าเสอหนานหมิงอึ้งงันมึนงง


แต่หลินสวินกลับสงบนิ่งกว่ามาก เริ่มแรกเขาเองก็ตะลึง แต่ไม่นานก็สังเกตเห็นเบาะแสที่ซ่อนอยู่


จนกระทั่งจินเจาสุ่ยตายไปอย่างเงียบๆ เขาจึงมั่นใจอย่างที่สุดว่าราชันสายคนเถื่อนทองคำคนนี้ถูกฆ่าตั้งแต่ก่อนตนมาแล้ว!


และสิ่งที่ฆ่าเขาก็คือศรแห่งนภาครามนั่นเอง!


หลินสวินคุ้นเคยกับกลิ่นอายของศรแห่งนภาครามมากจะเดาไม่ออกได้อย่างไร จอมทัพหญิงอันดับหนึ่งของค่ายทัพจักรวรรดิ จ้าวซิงเย่ผู้มีสมญานามว่า ‘ราชินีกระหายเลือด’ อยู่บริเวณนี้หรือ


และนี่ก็คือความมั่นใจที่ทำให้หลินสวินสามารถรักษาความนิ่งสงบและไม่สะทกสะท้านได้


“ตอนนี้เจ้าคงไม่ผิดหวังแล้วกระมัง”


หลินสวินหันกลับไปมองความอึ้งและตกใจบนใบหน้าของเสอหนานหมิง ในใจอดแสยะยิ้มไม่ได้ เจ้าหมอนี่ตกใจจนมึนไปแล้วแน่ๆ


“นี่… นี่…”


เสอหนานหมิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก สัมผัสได้ถึงความไม่เข้าที ระหว่างที่พูดก็หันหลังแล้วหนีไปทันที


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ราชันคนหนึ่งยังตายเช่นนี้ แล้วเสอหนานหมิงที่เป็นราชันกึ่งระดับจะกล้าอยู่ซะที่ไหน


เพียงแต่ในใจเขายังคงงุนงงมาก ระดับราชันอย่างจินเจาสุ่ยจะตายอย่างเงียบๆ เช่นนี้ได้อย่างไร


ในสมรภูมิกระหายเลือด ใครจะสามารถฆ่าราชันคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายเช่นนี้


หรือว่าสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวบางตัวที่ก้าวสู่อริยมรรคในส่วนลึกของป่าต้นหม่อนวิ่งออกมาแล้ว


เสอหนานหมิงยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลและหวาดกลัว


‘ไม่ใช่สิ!’


เขาฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน หลายวันก่อนตอนที่ราชันวิญญาณเร้นและราชันอีกสี่คนนำทัพไปจู่โจมค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิ ก็เคยเกิดเรื่องที่คล้ายกันมาแล้วครั้งหนึ่ง


ตอนนั้นจ่างซุนเลี่ยแห่งค่ายหมายเลขเจ็ด ใช้คันธนูและศรอันน่ากลัวคู่นั้นฆ่าราชันวิญญาณเขียวได้ในคราเดียว ทำให้พวกราชันวิญญาณเร้นยังไม่ทันได้เปิดศึกก็ตกใจจนถอยทัพหนีไป


‘หรือว่า…’


เสอหนานหมิงหัวใจกระเพื่อมไหว ‘หรือบริเวณนี้มีราชันของจักรวรรดิซุ่มอยู่ และในมือกำลังถือคันธนูและศรของหลินสือเอ้อร์’


ต้องบอกว่าในฐานะราชันกึ่งระดับ ประสบการณ์และการตอบสนองของเสอหนานหมิงเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม วิเคราะห์เพียงคร่าวๆ ก็ทำให้เขาเดาคำตอบที่ใกล้เคียงความจริงได้แล้ว


เสียดายที่เขาตระหนักได้ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว บนทางข้างหน้าที่เขาหนีอยู่ ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่


ผู้หญิงที่งดงามอย่างยิ่งคนหนึ่ง


สวมเสื้อคลุมนกกระเรียนสีดำ รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม เส้นผมสีดำสนิททิ้งตัวลงราวกับน้ำตก เผยใบหน้างดงามปานมีอานุภาพทำลายบ้านเมืองได้


ดวงตาของนางดำแลพเป็นประกาย ริมฝีปากแดงและชุ่มฉ่ำ ผิวเรียบเนียนละเอียดลออยิ่งกว่าหยกมันแพะ งดงามจนพาให้อกสั่นขวัญหาย


เพียงแต่แวบแรกที่เห็นผู้หญิงคนนี้ เสอหนานหมิงก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง ราวกับเห็นราชินีปีศาจจากนรก สีหน้าหม่นหมองราวกับสูญเสียบุพการี


ราชินีกระหายเลือด!


ถึงกับ… ถึงกับเป็นนาง!


นี่คือความคิดสุดท้ายก่อนตายของเสอหนานหมิง เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและไร้ที่พึ่ง


และตอนนี้หลินสวินได้ไปรวมตัวกับจ้าวซิงเย่แล้ว


……


“เจ้าเป็นเหยื่อล่อ ข้าทำหน้าที่สังหารศัตรู เพื่อฆ่าราชันเถื่อนให้ได้มากขึ้น”


ทักทายกันคร่าวๆ จ้าวซิงเย่ก็เสนอเช่นนี้


หลินสวินชะงัก “เช่นนี้… จะได้หรือ”


“อย่าดูแคลนตัวเองเกินไป ตอนนี้ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังกว่าข้ามาก ทำให้ค่ายทัพพ่อมดเถื่อนแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ส่งระดับราชันมาตามฆ่าเจ้า ในสถานการณ์เช่นนี้ ให้เจ้ารับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ย่อมเหมาะสมที่สุด”


จ้าวซิงเย่ยิ้มอย่างงดงาม นางยืนตัวตรงสง่างาม มีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผสมผสานความสุภาพเยือกเย็น งดงาม โหดเหี้ยมและเย้ายวนไว้ในคนเดียวกัน ให้ความรู้สึกหลากหลายและมีความน่าเกรงขามที่ทำให้ไม่กล้าดูหมิ่น


“เอ้อ” หลินสวินยิ้มขื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำชมที่ผิดปกติแบบนี้ แม้แต่การถูกตามฆ่ายังกลายเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง นี่จะต้องเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์อย่างแน่นอน


ทว่าสุดท้ายหลินสวินก็รับปาก


……


ในช่วงเวลาหลังจากนั้น หลินสวินก็ไม่ซ่อนตัวและไม่ระมัดระวังอีกต่อไป พุ่งไปที่ค่ายฐานของศัตรูโดยตรง


ระหว่างทางมีผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนไม่รู้เท่าไหร่ตะลึง แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตน หลินสือเอ้อร์ไม่กลัวตายหรือ


หรือเขาไม่รู้ว่ามีราชันที่แท้จริงตามฆ่าเขาอยู่


อวดดีเกินไปแล้ว!


ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนต่างเดือดดาล คิดว่านี่เป็นพฤติกรรมยั่วยุอย่างหนึ่ง ไม่เห็นพวกเขาเผ่าพ่อมดเถื่อนในสายตา อวดดีอย่างที่สุด


หลินสวินไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เจอกับศัตรูที่ความสามารถไม่พอ ก็ถูกเขาฆ่าอย่างง่ายดายและรวดเร็ว


ส่วนคู่ต่อสู้ที่ความสามารถยิ่งอ่อนด้อย เขาคร้านจะตามฆ่าจึงปล่อยให้หนีไป เพื่อให้พวกเขาไปแจ้งเบาะแส


สิ่งที่ทำให้หลินสวินเสียดายไม่น้อยคือ ระหว่างทางเขากลับไม่พบราชันที่แท้จริงอีกเลย แม้แต่ราชันกึ่งระดับก็ไม่เห็น


‘เฮ้อ จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง’ หลินสวินคิดถึงการกระทำในตอนนี้ของตัวเอง สีหน้าก็อดจะแปลกประหลาดขึ้นมาไม่ได้


แต่จะพูดอย่างไรดี ความรู้สึกแบบนี้ก็สะใจมากจริงๆ!


ตอนนี้หลินสวินอยากให้เป็นในนครต้องห้ามแทบไม่ไหวแล้ว เช่นนี้ก็สามารถบุกไปฆ่าตระกูลจั่วและตระกูลฉินถึงหน้าประตูได้


มีจ้าวซิงเย่ผู้เป็นราชินีกระหายเลือดคอยติดตาม ใครหน้าไหนขวางทางก็ฆ่าได้หมดเลยมิใช่หรือ


แน่นอนว่าสุดท้ายนี่เป็นแค่จินตนาการ ไม่สมจริง ไม่นานหลินสวินก็ยิ้มขื่น ส่ายหน้าไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก


“รายงาน! หลินสือเอ้อร์ล่าสังหารมาทางค่ายทัพของเราด้วยตัวคนเดียวแล้ว!”


“กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด หากไม่กำจัดเขาซะ พวกเราเผ่าพ่อมดเถื่อนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


ในค่ายทัพพ่อมดเถื่อน ข่าวมากมายถูกส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว พาให้เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่ และทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างโกรธจนหน้าเขียว


คำว่ารังแกเกินไปแล้วเป็นอย่างไรน่ะหรือ


ก็เช่นนี้อย่างไรเล่า!


เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง กลับกล้ากำเริบเสิบสานถึงขั้นเข้ามาเหิมเกริมในอาณาเขตของพวกเขา อวดดีเกินไปแล้วจริงๆ


“ดีๆๆ! กำลังกังวลอยู่เลยว่าไม่มีโอกาสฆ่าเด็กนั่น ไม่คิดว่าเขาจะมารนหาที่ตายเสียเอง ไป ฆ่าเขาซะ!”


ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนมากมายออกจากค่ายไปอย่างเดือดดาล ไอสังหารพวยพุ่งรุนแรง หมายจะไปกำจัดหลินสวิน


ทว่าพวกเขาไม่ได้ถูกความโกรธครอบงำ ผู้ที่เคลื่อนไหวแทบจะเป็นบุคคลชั้นยอดระดับมหาเวทขึ้นไปทั้งหมด และไม่ขาดราชันกึ่งระดับ


“เหอะๆ คนรุ่นหลังเก่งนำคนรุ่นก่อนสินะ ข้าอยากดูนักว่าเด็กนี่มีความสามารถอะไร ถึงกล้ามาท้าทายเพียงลำพัง”


“ระวังเป็นกับดัก”


“ไม่ต้องห่วง นี่คืออาณาเขตของพวกเราเผ่าพ่อมดเถื่อน! แม้จะมีกับดัก ก็ไม่มีทางยอมให้เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้ามาเด็ดขาด!”


สุดท้ายแม้แต่ราชันคนหนึ่งยังนั่งไม่ติดแล้ว ออกจากค่ายไปพร้อมใบหน้าเหี้ยมโหด


ในเวลาเดียวกัน ในพื้นที่ที่ห่างจากค่ายทัพพ่อมดเถื่อนไม่กี่พันลี้ หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง มองลงไปยังผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่มาจากระยะไกล


เขาเอามือไพล่หลัง สีหน้าสงบนิ่งและใจเย็น พูดอย่างเยือกเย็น “อย่างพวกเจ้า หลายวันมานี้ข้าฆ่าไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ เบื่อมากแล้ว ไปๆๆ ไปตามผู้ใหญ่ของพวกเจ้ามารับความตาย ข้าไม่อยากเปลืองแรงกับพวกเจ้าอีกแล้ว”


คำพูดเหล่านี้ราบเรียบสบายๆ แต่ทุกคำกลับดังก้องฟ้าดินอย่างชัดเจน ความเย้ยหยันและดูถูกในคำพูดที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด ทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนโกรธจัดจนปอดแทบระเบิดแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)