Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 728-729
ตอนที่ 728 ปรากฏตัวกะทันหัน
โดย
ProjectZyphon
“ไอ้สวะพ่อมดเถื่อนบัดซบ ถึงกับร้ายกาจรอบจัดเช่นนี้!” จ่างซุนเลี่ยกัดฟันกรอด นัยน์ตาวาบแสงชวนตระหนก
ฉินฉู่ที่อยู่ด้านข้างหาได้มีท่าทางสง่างามภูมิฐานดังเดิมไม่ เห็นได้ว่าลนลานอยู่บ้าง ก่อนกล่าวอย่างโมโห “เห็นหรือยัง นี่แหละคือความยุ่งยากที่เด็กนั่นก่อ!”
“เจ้ากลัวรึ” จ่างซุนเลี่ยในใจเดือดดาล นี่แม่งเวลาไหนแล้ว เจ้าหมอนี่ยังจะกล่าววาจาเช่นนี้อีก
“นี่ไม่ใช่เรื่องกลัวหรือไม่กลัว แต่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นตายของค่ายหนึ่งในจักรวรรดิ!” ฉินฉู่ตวาด
จ่างซุนเลี่ยคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยอีก ศึกใหญ่อยู่ตรงหน้า หากยังมาทะเลาะกันด้วยเรื่องพวกนี้อีกต้องเกิดความวุ่นวายกลางกองทัพแน่
“ไม่ถูก! ศัตรู… ศัตรูทางนั้นถึงกับมีราชันสี่คนบัญชาการ!”
ภายในค่าย มีผู้ฝึกปราณตาแหลมสังเกตเห็นแล้วอุทานเสียงหลง
หินก้อนหนึ่งก่อเกิดคลื่นพันชั้น ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิซึ่งเดิมเตรียมพร้อมจู่โจมด้วยท่าทีเหิมเกริมน่ากลัวต่างพลันหยุดหายใจ เกิดสัญญาณโกลาหลฉับพลัน
การค้นพบนี้เสมือนไม้ใหญ่หาดใส่หัวอย่างแท้จริง จู่โจมขวัญกำลังใจของผู้ฝึกปราณของค่ายหมายเลขเจ็ด
ราชันพ่อมดเถื่อนสี่คนออกเคลื่อนไหว พลังเช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว แทบทำให้ผู้คนมองไม่เห็นความหวังที่จะชนะ!
บรรยากาศภายในค่ายประหนึ่งถูกแช่แข็งในพริบตา เปลี่ยนเป็นกดดันหาใดเปรียบ ผู้ฝึกปราณแต่ละคนสีหน้าทะมึนไม่นิ่ง ความรู้สึกภายในใจไหวหวั่น
“กลัวอะไร ค่ายหมายเลขเจ็ดแห่งจักรวรรดิเราตั้งตระหง่านมาจนถึงตอนนี้หลายพันปี ผ่านคลื่นใหญ่ลมแรงมาไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องล่อแหลมอันตรายยิ่งกว่าสถานการณ์ตรงหน้าใช่ว่าไม่เคยเกิด!”
จ่างซุนเลี่ยตวาดลั่น เสียงราวฟ้าร้องกัมปนาท “นักสลักวิญญาณกองยุทโธปกรณ์เตรียมตัวให้พร้อม เวลาคับขันให้ใช้ ‘ค่ายอริยะแปดวิทูร’!”
ค่ายอริยะแปดวิทูร!
ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกมา ในใจผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสมากมายพลันผ่อนคลาย
หลายพันปีก่อนเพื่อต่อต้านเผ่าพ่อมดเถื่อน ปฐมจักรพรรดิได้เชิญปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจากดินแดนรกร้างโบราณมายังสมรภูมิกระหายเลือดโดยเฉพาะ ทำการวางค่ายกลป้องกันแก่ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ
ค่ายกลใหญ่แต่ละแห่งล้วนประทับรอยสลักลับอริยมรรค มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เทพผีโศกศัลย์
โดยเฉพาะยามประสบอันตรายยิ่งยวด ระหว่างค่ายกลใหญ่ทั้งแปดจะขานรับซึ่งกันและกัน กลายเป็นกระบวนค่ายกลขนาดใหญ่ แผ่กว้างหาใดเปรียบ!
ทว่าเนื่องจากพลังที่ผลาญไปกับการใช้ค่ายอริยะเช่นนี้มากเหลือเกิน หากไม่ถึงช่วงวิกฤติอย่างที่สุด ทางฝ่ายจักรวรรดิจะไม่เปิดใช้งานโดยง่ายเด็ดขาด
เห็นชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าถึงขั้นอันตรายรุนแรง จ่างซุนเลี่ยนจึงบัญชาการลงมาเช่นนี้
เมื่อทราบสิ่งเหล่านี้ บรรยากาศในค่ายซึ่งเดิมตกประหม่าและกระสับกระส่ายเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายไม่น้อย ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิกลับคืนสู่ความสงบใหม่อีกครั้ง
มีเพียงฉินฉู่ที่คิ้วขมวด กดเสียงต่ำสื่อจิต ‘ปัจจัยวัตถุดิบของเราตอนนี้เพียงพอยืนหยัดแค่การเปิดช่องทางครั้งต่อไป หากเวลานี้เปิดค่ายอริยะแปดวิทูร ของที่เหลืออยู่พวกนี้เกรงว่าไม่เกินสิบวันก็คงถูกผลาญเกลี้ยง! หากวัตถุดิบหมด ความร้ายแรงของผลที่ตามมาเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า!’
‘ช่วยไม่ได้ ข้าศึกประชิดค่าย มีเพียงต้องรบ! ยังจะไปพะวงเรื่องหลังจากนี้ได้อย่างไร’
จ่างซุนเลี่ยสูดหายใจลึก ‘แน่นอน ดูตามสถานการณ์เถอะ ข้ากลับอยากเห็นนักว่าพวกสวะพ่อมดเถื่อนนี่จะกล้าเปิดศึกหรือไม่!’
ห่างออกไป ในทัพใหญ่ที่บุกประชิดพรมแดน ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนหนาแน่นดั่งกระแสน้ำ เมื่อมาถึงบริเวณที่ห่างจากค่ายสองสามพันจั้งก็พลันหยุดลง
พวกเขามีไอสังหารแผ่ซ่าน แม้ไม่ประชิดมาเบื้องหน้าแต่ไอสังหารราวทะลวงฟ้า ทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี บรรยากาศเปลี่ยนเป็นกดดันหาใดเปรียบ ชวนให้คนหายใจไม่ออก
ท่ามกลางบรรยากาศที่ไอสังหารแผ่พุ่ง จ่างซุนเลี่ยแหงนมองฟ้าหัวเราะร่า เงาร่างเขาก้าวสู่ห้วงนภาอย่างผ่าเผยและหยิ่งผยอง ก่อนตวาดลั่น “ข้านึกว่าเป็นใคร ที่แท้เป็นพวกเฒ่าสวะสี่คนอย่างราชันวิญญาณเร้น ราชันวิญญาณเขียว ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามนี่เอง! ทำไม ล้วนเบื่อชีวิตอยากรนหาที่ตายกันรึไง”
เสียงราวฟ้าร้องกัมปนาท ปั่นป่วนไปทั่วจตุรทิศ
ทางฝ่ายกองทัพพ่อมดเถื่อน ชายชราคนหนึ่งก้าวออกมา เขาประดุจเงาทมิฬหนึ่ง ทั่วร่างถูกหมอกควันสีเทาปกคลุม เร้นลับราวภูตผีเทวดา
“จ่างซุนเลี่ย ข้าไม่ได้มาประชันฝีปากกับเจ้า คิดว่าเจ้าน่าจะรู้เหตุผลการมาของพวกข้าดี ส่งตัวหลินสือเอ้อร์นั่นออกมา พวกข้าจะหันหลังกลับทันที ไม่รุกล้ำค่ายจักรวรรดิของพวกเจ้าแม้เพียงคืบ ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษพวกข้าที่จะลบผืนดินนี้จนสิ้น!”
ชายชรานั่นคือราชันวิญญาณเร้น น้ำเสียงเขาเย็นชาอึมครึม ลอยล่องระหว่างฟ้าดิน แฝงแววหนาวเหน็บเสียดกระดูก ชวนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
เขาคือราชันคนหนึ่ง เป็นราชันผู้ชำนาญวิถีลอบสังหาร ชื่อเสียงโจษจันแพร่สะพัดในสมรภูมิกระหายเลือดมาเนิ่นนานแล้ว
หลินสือเอ้อร์!
จริงดังคาด ศึกใหญ่ที่จวนจะเกิดขึ้นครานี้เป็นเพราะคุณชายหลินสือเอ้อร์!
ในค่ายหมายเลขเจ็ด ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างตระหนักได้โดยพลัน ขณะเดียวกันก็แอบตะลึง คุณชายหลินเพิ่งมาสมรภูมิกระหายเลือดไม่นาน กลับสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ถึงขั้นทำให้ศัตรูเคลื่อนทัพหมายสังหารเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าช่างกำเริบเสิบสานซะจริง คิดหรือว่าให้สี่ราชันลงมือแล้วจะสามารถทำตามอำเภอใจ บีบให้ข้าก้มหัวให้ได้?”
จ่างซุนเลี่ยหัวเราะร่า สีหน้ากลับเยียบเย็นหาใดเปรียบ “ต้องการคน? ฝันไปเถอะ! มีข้าอยู่ อย่าว่าแต่พวกเจ้าไม่กี่คน ถึงแม้กรีธาทัพรอบด้าน หัวคิ้วข้าก็ไม่ขมวด!”
กลับเห็นราชันวิญญาณเร้นไม่สะทกสะท้าน เอ่ยปากเนิบช้า “ข้ายอมรับ มีค่ายอริยะแปดวิทูรอยู่ยากกวาดล้างทุกสิ่ง ณ ที่นี้ ทว่าเท่าที่ข้ารู้ เสบียงและวัตถุดิบที่เหลืออยู่ของพวกเจ้าไม่มากแล้ว หากเปิดค่ายอริยะแปดวิทูรเพียงเพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เกรงว่าพวกเจ้าคงยากยืนหยัดถึงเวลารับเสบียงยุทโธปกรณ์จากจักรวรรดิครั้งหน้า”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา ผู้ฝึกปราณมากมายในค่ายหมายเลขเจ็ดต่างหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
จ่างซุนเลี่ยพลันหรี่ตาลง เขาเพิ่งตระหนักได้ยามนี้ว่าครั้งนี้ศัตรูเตรียมตัวมาอย่างดี!
‘ท่าไม่ดีแล้ว สถานการณ์พวกเราทางนี้ถูกพวกมันคาดการณ์ไว้อย่างชัดเจน’
ฉินฉู่ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าอึมครึม แววตาเขาวาบไหวสื่อจิตกล่าว ‘ไม่ได้บอกรึว่าหลินสือเอ้อร์นั่นตอนนี้ไม่อยู่ค่าย มิสู้พวกเราใช้วิธีประนีประนอมบอกสถานการณ์จริงกับพวกมัน ล่อพวกมันไปจัดการหลินสือเอ้อร์ เมื่อเป็นเช่นนี้จะสามารถประวิงเวลาให้พวกเราช่วงหนึ่ง อาศัยเวลานี้ขอความช่วยเหลือจากค่ายอื่นได้!’
“พอแล้ว!” จ่างซุนเลี่ยพลันขุ่นเคือง “ข้าทำเรื่องสกปรกโสมมขี้หมูขี้หมาเช่นนี้ไม่ลงเด็ดขาด!”
“เจ้า…” ฉินฉู่สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
“หากเจ้ากลัวนัก ก็รีบไสหัวไป!”
จ่างซุนเลี่ยตวาดใส่ เขาเห็นฉินฉู่แล้วไม่เจริญตายิ่งกว่าเดิม หากไม่ใช่กองทัพศัตรูประชิดพรมแดน เขาคงลงมือต่อยคนไปแล้ว
แผนประนีประนอมอะไรกัน เห็นชัดว่าหมายเอาทุกอยางไปลงที่หลินสือเอ้อร์คนเดียว! เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ เขาจ่างซุนเลี่ยทำไม่ลงเด็ดขาด
“ดีๆๆ ข้าอยากดูนักว่าเจ้าจะจัดการสถานการณ์คับขันตรงหน้าอย่างไร!” ฉินฉู่ส่งเสียงเดือดดาล
จ่างซุนเลี่ยแค่นเสียง ไม่ใส่ใจเขาอีก
“จ่างซุนเลี่ย พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร หากพวกเราเปิดศึกครั้งนี้จริง แม้ค่อนข้างเสียหายอยู่บ้างแต่กลับพอสามารถบีบบังคับพวกเจ้าให้ไม่อาจไม่เปิดค่ายอริยะแปดวิทูร ถึงเวลานั้นพวกเราสามารถปลีกตัวถอยร่น แต่หากพวกเจ้าไม่มีเสบียงและวัตถุดิบเพียงพอ เกรงว่า… ผลที่ตามมาคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้ารับผิดชอบไหว”
ราชันวิญญาณเร้นเปล่งวาจาอีกครา ท่าทีราวกำชัยไว้แล้ว
ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในค่ายหมายเลขเจ็ดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าอึมครึมไม่หยุด สถานการณ์คับขันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ นอกเหนือความคาดหมายพวกเขาโดยสมบูรณ์ จึงไม่รู้จะรับมือยังไงอยู่บ้าง
“ไม่ต้องคิดแล้ว จะรบก็รบ ไม่รบก็รีบไสหัวไป!”
จ่างซุนเลี่ยตวาด ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน แต่พูดตามตรง พวกข้ามาครานี้ก็ไม่ได้มีเมตตาอะไรอยู่แล้ว!”
ราชันวิญญาณเร้นหัวเราะลั่น พลานุภาพทะลวงเมฆา เคร่งขรึมและน่าหวาดกลัว
“บอกแล้วอย่างไร นี่คือจังหวะเหมาะที่ดีที่สุดของการตีกระหน่ำซ้ำเติมพวกหมาตกน้ำ พวกมันขาดแคลนเสบียงวัตถุดิบ ไม่กล้าเปิดศึกใหญ่ที่แท้จริงแต่แรก!”
เงาร่างเขียวประกายหนึ่งปรากฏ ทั่วร่างประทับรอยสักสัญลักษณ์ปริศนา เขาคือราชันวิญญาณเขียวแห่งสายคนเถื่อนพฤกษา
“พูดมากไร้ประโยชน์ ลงมือเถอะ ข้าไม่ได้เห็นอานุภาพของค่ายอริยะแปดวิทูรมาตั้งนาน ครานี้อยากลองดูสักหน่อยว่าค่ายหมายเลขเจ็ดนี่จะสามารถต้านทานพวกเราได้หรือไม่!”
ราชันยุบบรรพตก็ปรากฏตัว รูปร่างดั่งขุนเขาสูงชัน ให้ความรู้สึกสูงตระหง่านข่มผู้คน
“รีบลงมือเถอะ ข้าไม่อยากรอจนผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิค่ายอื่นมาช่วยทัน อาศัยโอกาสนี้ หากสามารถเด็ดหัวจ่างซุนเลี่ยได้ข้าก็พอใจแล้ว”
กลางคลื่นสมุทรหมุนวนก่อรวมเป็นเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง แววตาเป็นสีเขียว สีหน้าเคร่งขรึมและน่าเกรงขาม เป็นราชันมรกตครามแห่งสายคนเถื่อนวารี
“ฆ่า!”
กองทัพพ่อมดเถื่อนซึ่งรอคอยเวลาแผดเสียงตะเบ็งลั่นโดยพร้อมเพรียง สั่นสะเทือนชั้นฟ้าทั่วสารทิศ ไอสังหารชวนประหวั่นปกคลุมอาณาบริเวณนี้ในชั่วพริบตา
ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิในค่ายหมายเลขเจ็ดต่างสีหน้าจริงจังหนักแน่น ประจำการพร้อมรับมือ
แต่สายตานักสลักวิญญาณทั้งหมดกลับมองไปยังจ่างซุนเลี่ยพร้อมกัน เวลานี้ต้องใช้ค่ายอริยะแปดวิทูรหรือไม่
“อย่าลืมล่ะ ผลที่ตามมาร้ายแรงนัก!” แม้แต่ฉินฉู่ที่อยู่ด้านข้างเองยังอดส่งเสียงขึ้นมาไม่ได้
จ่างซุนเลี่ยเงียบขรึมอย่างยากพบเห็น
แต่ท้ายที่สุดเขาพลันกัดฟันกรอด นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยววูบหนึ่ง “วันนี้หากแม้แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งข้ายังปกป้องไม่ได้ มิสู้กระแทกหัวชนฝาตายไปซะดีกว่า!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวก้องกังวานอย่างไม่ยอมให้กังขา
“สู้!”
ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเองก็โลหิตเดือดพล่าน ถูกศัตรูมากลั่นแกล้งถึงหน้าประตู ใครเล่าจะไม่โกรธแค้น
พวกเขาคือชายชาตรีแห่งจักรวรรดิ ไม่เคยหวาดกลัวศึกสงครามมาก่อน!
“งั้นก็สู้!”
จ่างซุนเลี่ยสะบัดมือเตรียมออกคำสั่งใช้ค่ายอริยะแปดวิทูร แต่เวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งพลันทะยานมาถึงเบื้องหน้าจ่างซุนเลี่ย
“ข้าขอมอบศรธนูในมือ ช่วยหนุนท่านแม่ทัพ!”
เงาร่างนั้นถึงกับเป็นหลินสวิน ไม่รู้ว่าเขากลับมาค่ายตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อเห็นหลินสวินผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างไหวหวั่น แต่ฉินฉู่กลับตะลึงงันคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง เจ้าเด็กนี่ถึงกับไม่หลบซ่อนในเวลาล่อแหลมอันตรายเช่นนี้ แต่กลับมาปรากฏตัวด้วยตนเอง!
ทางฝั่งกองทัพพ่อมดเถื่อนนั่น พวกราชันทั้งสี่ต่างเผยไอสังหารโชติช่วง จุดมุ่งหมายการมาของพวกเขาครานี้ ก็เพื่อเจ้าเด็กนี่!
ขณะนี้แม้แต่จ่างซุนเลี่ยยังชะงักไปเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพ รับไว้!”
หลินสวินหยิบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามออกมา ก่อนส่งมอบให้จ่างซุนเลี่ย
วู้ม!
คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารซึ่งสร้างจากกระดูกขาวเสมือนสัมผัสได้ถึงไอสังหาร ณ ที่นั้น พลันส่งเสียงหวีดสะท้านปานมุ่งมาดปรารถนา
ตอนที่ 729 ศรเดียวลิขิตฟ้าดิน
โดย
ProjectZyphon
ธนูยักษ์ปริศนาที่สร้างจากกระดูกขาว ศรเทพดำสนิทซึ่งแฝงกลิ่นอายยิ่งใหญ่ ทันทีที่ปรากฏพลันดึงดูดสายตาทุกคนทันใด
ยามนี้ไม่ว่าจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน ล้วนเคยได้ยินผลงานอันเกริกก้องมากมายของหลินสวิน
และในผลงานที่ได้ยินเหล่านี้ ทุกครั้งต่างมีการคาดเดาและข่าวลือนานัปการเกี่ยวกับธนูยักษ์กระดูกขาวและศรเทพสีดำปริศนา
เพราะจากมุมมองพวกเขา เพราะอาศัยคู่ศรธนูนี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสือเอ้อร์สร้างวีรกรรมพลิกฟ้า ข้ามระดับมาสังหารราชันกึ่งระดับ!
‘นี่คือสมบัติบรรพกาลที่สมบูรณ์แบบคู่หนึ่ง ประวัติความเป็นมาเกินคาดเดา อาจเป็นมรดกสืบทอดจากอริยะบางคน!’
นี่คือการสันนิษฐานของผู้ฝึกปราณส่วนมาก มันน่าตื่นตาและดึงดูดผู้คนยิ่ง
ดังนั้นเมื่อหลินสวินนำศรธนูปริศนาคู่นี้ออกมา สายตา ณ ที่นั้นต่างถูกดึงดูดไปสิ้น
“สมบัติชั้นดี…”
จ่างซุนเลี่ยกล่าวชื่นชม แววตาเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวนต่อเนื่อง เขาสัมผัสได้ถึงความเร้นลับและน่ากลัวของศรธนูคู่นี้อย่างแจ่มแจ้ง ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านเพราะมัน
นัยน์ตาของราชันวิญญาณเร้น ราชันวิญญาณเขียว ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามที่อยู่ห่างออกไปกลับหดตัวลงเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง
แม้ระยะห่างไกลสุดหล้า แต่ด้วยพลังปราณของพวกเขาล้วนเพียงพอให้รับรู้ถึงพลังของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามอย่างง่ายดาย
น่ากลัวยิ่งนัก!
นี่คือสัญชาตญาณของพวกเขา พอนึกถึงว่าศรธนูคู่นี้เคยจู่โจมสังหารราชันกึ่งระดับโดยง่าย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่อาจไม่ระมัดระวัง
“ศรเทพสีดำนั่นหายไปจากส่วนลึกหุบเขาพยัคฆ์ เดิมทีควรเป็นของพวกเรา…”
ราชันวิญญาณเร้นพึมพำ นัยน์ตาลุกโชนวูบหนึ่ง “ครานี้พวกเราอาจต้องลงมือเต็มกำลัง ชิงสมบัติล้ำค่าคู่นี้กลับมาให้หมด!”
“ไม่เลว พลังของพวกมันเร้นลับและน่าหวาดกลัวยิ่งนัก แม้ไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายสมบัติอริยะได้ชั่วขณะ แต่สัญชาตญาณบอกข้า ต่อให้พวกมันไม่ใช่สมบัติอริยะ แต่จะต้องไม่ด้อยไปกว่านั้นเด็ดขาด”
ราชันคนอื่นๆ อีกสามคนปรากฏความละโมบขึ้นในใจ สมบัติพลิกฟ้าเช่นนี้ แม้แต่พวกเขาล้วนไม่เคยมีในครอบครอง จะไม่ให้พวกเขาไหวหวั่นได้อย่างไร
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องระวังตัว เพราะตอนนี้จ่างซุนเลี่ยรับธนูยักษ์แล้วง้างสายธนูเต็มที่ เล็งมาทางพวกเขาแล้ว
วู้ม!
พริบตาที่สายธนูสีแดงก่ำดั่งโลหิตถูกง้างเต็มกำลัง ลักษณ์ประหลาดลึกลับชวนประหวั่นพลันปรากฏรอบคันธนู
วายุอสนีถาโถมโหมกระหน่ำ เทพมารกราดเกรี้ยวโหยหวน ยิ่งมีธารดาราระเบิดแตก หมื่นมรรคาดับสลาย ตะวันดวงใหญ่ร่วงหล่นอยู่เหนือนภาคราม กาทองครวญโลหิตกลางทะเลเขียวมรกต!
กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงเหลือล้ำเกินบรรยายตลบอบอวล พาให้ฟ้าดินทั้งผืนเงียบสงัดทันใด!
แรงกดดันท่วมท้น!
ห้วงอากาศคล้ายแบกรับไว้ไม่อยู่ แยกปริจมดิ่งอย่างไร้สุ้มเสียง กองทัพพ่อมดเถื่อนซึ่งอยู่ไกลออกไป เวลานี้ต่างตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ โลหิตจับตัวแข็ง แต่ละคนจวนเจียนหายใจไม่ออก แทบจะพังทลาย
“แย่แล้ว!”
พวกราชันวิญญาณเร้นหน้าพลันเปลี่ยนสี พวกเขาเองก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารเสียดกระดูก น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ทำให้พวกเขาต่างมีรู้สึกสั่นสะท้าน ขนพองสยองเกล้า ราวมีหนามทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง
และนี่เป็นเพียงพลานุภาพที่เกิดขึ้นจากการง้างธนูเท่านั้น!
เงาร่างจ่างซุนเลี่ยสูงใหญ่ หยัดยืนเหนือห้วงอากาศ เหนี่ยวรั้งสายธนูประดุจเทพบรรพกาลเยือนโลกา ท่าทางองอาจและหยิ่งผยองนั่น ทำเอาผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างสะท้าน ในใจปั่นป่วนโกลาหล
แม้แต่หลินสวินก็ยังรู้สึกเกินคาดหมาย อานุภาพของธนูวิญญาณไร้แก่นสารตอนนี้ เห็นชัดว่าทรงอานุภาพกว่าตอนอยู่ในมือตนไม่รู้กี่เท่า!
‘หรือนี่จะเป็นอานุภาพที่แท้จริงของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’ หลินสวินพึมพำอยู่ในใจ
‘นี่จะต้องเป็นสมบัติอริยะซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งบรรพกาลคู่หนึ่งแน่ เคยย้อมโลหิตสดมานับไม่ถ้วน ไอสังหารนั่นราวสามารถปั่นป่วนหยินหยางและฟ้าดิน!’
ฉินฉู่ใจเต้นโครมคราม นัยน์ตาเบิกกว้าง วาบแววลุกโชนยากสังเกตวูบหนึ่ง สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ตกอยู่ในมือหลินสือเอ้อร์นั่น ช่างราวไข่มุกคลุกฝุ่นเหลือเกิน…
“ลงมือ!”
เสียงตวาดหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล ราชันวิญญาณเขียวเป็นคนแรกที่รู้สึกว่าไม่เข้าที ชิงโจมตีก่อนอย่างห้าวหาญ เขาเรียกทวนวงเดือนซึ่งตีมาจากกระดูกสัตว์ออกมา กวาดเฉือนแหวกอากาศ ฟาดผ่าไปทางจ่างซุนเลี่ย
ตูม!
ทวนวงเดือนนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่สมบัติธรรมดาทั่วไป ยาวประมาณหนึ่งจั้งกว่า ทะยานสู่ฟากฟ้า ปรากฏสัญลักษณ์ประหลาดทับซ้อนมากมาย มีเสียงบริกรรมคาถาคลุมเครืออันเก่าแก่โบราณสะท้อนก้องฟ้าดิน
ห้วงอากาศแถบนี้พังทลาย ฟ้าดินราวถูกแหวกผ่าออกเป็นสองส่วน น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว สำแดงอานุภาพแห่งราชันที่แท้จริงคนหนึ่งออกมาอย่างถึงแก่น
หลินสวินมือเท้าเย็นเฉียบ ไม่แคลงใจแม้แต่น้อย ว่าหากตนเผชิญหน้ากับการจู่โจมนี้ คงไม่มีพลังตอบโต้สักนิด จะต้องถูกบดอัดตายคาที่ในชั่วพริบตาแน่!
นี่ก็คือพลานุภาพแห่งราชัน!
ปึง!
เกือบจะเวลาเดียวกัน จ่างซุนเลี่ยก็ปล่อยศรแห่งนภาครามออกมา มันประหนึ่งไร้ผู้ต่อกร เคลือบแฝงความดุดันรุนแรงถึงขีดสุด พลานุภาพที่แทบจะทำลายสิ้นทุกสิ่งปรากฏออกมาบนโลก
เร็วเกินไปแล้ว!
และน่าสะพรึงเหลือเกิน ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งดวงตาเจ็บแปลบ จิตใจสั่นสะท้าน ไม่อาจเห็นชัดเจน และไม่อาจรับรู้โดยสิ้นเชิง
ได้ยินเสียงดังตู้มสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทวนวงเดือนกระดูกขาวนั่นถูกกระแทกจนปลิวกระเด็น เปล่งเสียงคร่ำครวญเสียดหูหาใดเปรียบ คบทวนถึงกับแตกเป็นชิ้นๆ!
“แย่แล้ว!”
ไกลออกไป ราชันวิญญตกใจแทบสะดุ้ง เดิมทีเขาหวาดกลัวศรและคันธนูนั่นอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงชิงลงมือก่อน แต่ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าตนประเมินความน่ากลัวของสมบัติคู่นี้ต่ำไป!
เขาหมายหลีกหลบ
แต่แสงสีดำสายหนึ่งพลันปรากฏ ก็เห็นร่างกายของเขาถูกระเบิดเป็นสองส่วน เลือดเนื้อแตกกระจายกลายเป็นฝนโลหิตสีแดงสด สาดพรมห้วงอากาศ
ราชันผู้หนึ่ง ไม่ทันได้หลีกหลบก็ถูกสังหาร!
เมื่อเห็นภาพนี้ ราชันวิญญาณเร้น ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามซึ่งเดิมคิดจะเข้าไปช่วยต่างพรั่นพรึง สั่นไปทั้งตัวราวตกลงสู่ถ้ำน้ำแข็ง
นี่ต้องเป็นสมบัติน่ากลัวระดับใดกันแน่ ถึงได้สามารถฆ่าราชันคนหนึ่งในชั่วพริบตา
พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี สันหลังอาบเหงื่อกาฬเย็นยะเยียบ แทบถูกข่มขู่จนตะลึงงัน
บรรยากาศกลางที่นั้นเงียบสงัด ไม่ว่าผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิหรือผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนล้วนตกอยู่ในความตื่นตะลึง
ศรเดียว สังหารราชันคนหนึ่ง!
แรงสะเทือนเยี่ยงนั้น หากไม่เห็นกับตาตนเองคงไม่อาจจินตนาการได้เด็ดขาด สะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว พาให้คนแทบสูญสิ้นความกล้า
‘จริงดังคาด อานุภาพที่แท้จริงของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามไม่เคยถูกข้าสำแดงออกมาโดยตลอด…’ ในใจหลินสวินตกตะลึงอยู่บ้าง
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามเดิมเป็นสมบัติของเขา แต่กระทั่งตอนนี้เขายังไม่เคยควบคุมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์
และเวลานี้เมื่ออยู่ในมือจ่างซุนเลี่ย จึงทำให้หลินสวินเห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของสมบัติคู่นี้ เรียกได้ว่าเป็นอาวุธดุดันไร้เทียมทาน แหลมคมทลายทุกสิ่ง!
ด้านข้าง ฉินฉู่ตกตะลึงเหม่อลอย นัยน์ตาจับจ้องธนูวิญญาณไร้แก่นสารราวถูกสะกด ไม่อาจเคลื่อนแม้เพียงเสี้ยว
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
หากมีสมบัติคู่นี้อยู่ในมือ ใต้หล้ากว้างใหญ่มีที่ใดที่ตนไม่อาจวางอำนาจตามอำเภอใจบ้าง
…
ณ ที่นั้นเงียบสงัด ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด
จ่างซุนเลี่ยไม่ได้โจมตีต่อ คนอื่นมองไม่ออก แต่เขาเองกำลังแอบพร่ำบ่นในใจ ศรธนูคู่นี้แม้อานุภาพดุดันจนแม้แต่ตัวเขายังตะลึงถึงที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันกลับผลาญพลังเขาแทบเกลี้ยง!
“ท่านแม่ทัพช่างเกรียงไกร!”
บัดนั้น มีผู้ฝึกปราณตื่นเต้นร้องตะโกนออกมา ไม่ทันไรทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดต่างมีเสียงตะโกนฮึกเหิมหาใดเปรียบ
หนึ่งศรสังหารราชัน อานุภาพเช่นนี้ ทอดตามองทั่วสมรภูมิกระหายเลือด ใครเล่าจะสามารถชิงชัย
ส่วนฝั่งกองทัพพ่อมดเถื่อน ขวัญกำลังใจกลับถูกจู่โจมสาหัสอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ละคนในใจหวาดกลัว ร้อนรนกระสับกระส่าย
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เดิมทีพวกเขามีท่าทีเหิมเกริม เตรียมการมาพร้อม ทัพใหญ่ประชิดพรมแดน ไม่เห็นผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิในสายตา
แต่ศรเดียวของจ่างซุนเลี่ยกลับเหมือนค้อนยักษ์ที่ทุบลงบนใจพวกเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้ความใจสู้ของพวกเขาแทบพังทลาย
ไม่เพียงแค่พวกเขา แม้แต่ราชันวิญญาณเร้น ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามล้วนหน้าเปลี่ยนสี เหงื่อกาฬชุ่มกายตั้งแต่ปลายเท้า ภาพเมื่อครู่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา
แต่พวกเขากลับขัดขวางไม่ทันโดยสิ้นเชิง!
พวกเขาต่างไม่กล้าคิด หากศรนั้นพุ่งมาทางพวกเขา ตนจะต้านทานได้หรือไม่…
“ไสหัวไปตอนนี้ยังทัน”
จ่างซุนเลี่ยสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยปาก
หลินสวินชะงัก พลันตระหนักได้ว่าศรเดียวเมื่อครู่นี้ น่ากลัวว่าจะสูบพลังจ่างซุนเลี่ยเกือบหมด…
“ดูท่า เจ้าคงไม่อาจปล่อยศรดอกที่สองแล้ว”
ราชันวิญญาณเร้นคล้ายมองจุดนี้ออก กล่าวด้วยหน้าตาอึมครึม เขาไม่ยอมล่าถอยไปเช่นนี้แน่
ระดมไพร่พลมา กลับถูกผู้อื่นยิงศรเดียวสังหารราชันไปคนหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ตกใจจนสลัดขนหนีกลับ หากแพร่งพรายออกไป นั่นคงอับอายขายหน้าถึงตระกูล
“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด”
จ่างซุนเลี่ยเปิดเผยยิ่ง “แต่เจ้าอย่าลืมว่าข้างกายข้ายังมีราชันอีกคนหนึ่ง ข้าแค่ส่งมอบศรธนูคู่นี้แก่เขาก็เพียงพอสังหารหนึ่งในพวกเจ้าอีกคน!”
ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกมา พวกราชันวิญญาณเร้นพลันหน้าเปลี่ยนสี
“หรือจะบอกว่า พวกเจ้าตัดสินใจใช้อีกชีวิตหนึ่งมาสู้กับพวกข้าต่อ?”
จ่างซุนเลี่ยสีหน้าเย็นเยียบ “เช่นนั้นก็ดี ขอแค่ข้าเปิดใช้ค่ายอริยะแปดวิทูร ยืนหยัดจนพลังกายฟื้นคืน ก็มีพลังจู่โจมสังหารพวกเจ้าทีละคนๆ แล้ว!”
พวกราชันวิญญาณเร้นต่างเงียบกริบ
ในหมู่พวกเขา ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากเอาชีวิตตนไปล้อเล่น
อีกทั้งพวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับ ที่จ่างซุนเลี่ยคิดนับว่าถูกต้องยิ่ง ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น ไม่กล้าผลีผลามลงมือ
แต่จะให้พวกเขากลับไปอย่างกระอักกระอ่วนเช่นนี้ นั่นคงอัดอั้นและขายขี้หน้าเกินไปแล้ว!
ด้านผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิล้วนกำลังโห่ร้องและตะโกนเพิ่มขวัญกำลังใจ ใครต่างคาดไม่ถึงว่าศึกใหญ่เหี้ยมโหดหาใดเปรียบยังไม่ทันเปิดฉาก แต่เพราะการปรากฏตัวของศรธนูคู่หนึ่ง ถึงกับพลิกสถานการณ์โดยสิ้นเชิง!
นี่ช่างราวภาพฉากแห่งความฝัน
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลินสวินที่นำมา นี่ทำให้สายตาพวกเขาที่มองยังหลินสวินต่างฮึกเหิมและชื่นชมยิ่งกว่าเดิม
“ข้าลุยเอง!”
ฉินฉู่เป็นฝ่ายออกปากด้วยตัวเอง กระตือรือร้นอยากลองดู แววตาเขาเร่าร้อน แทบอยากชิงศรธนูคู่นั้นในมือจ่างซุนเลี่ยมาเต็มประดา อยากลองสัมผัสพลานุภาพร้ายกาจของมันด้วยตัวเอง
เพียงแต่ยังไม่รอให้จ่างซุนเลี่ยตกปากรับคำ พวกราชันวิญญาณเร้นซึ่งอยู่ไกลออกไปก็ทำการตัดสินเด็ดขาด
“ถอย!”
พวกเขาล่าถอย หน้าตาคล้ำเขียวเจือเพลิงโทสะและความแค้นเหลือคณา นี่เป็นการตัดสินใจที่ปลอดภัยที่สุด แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่อัปยศอดสูยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ทัพใหญ่ประชิดพรมแดน กลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้ ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งซะจริง ทำให้พวกเขาต่างท้อแท้สิ้นหวัง หน้าตาอับแสง
ครืน ครืน…
กองทัพพ่อมดเถื่อนถอยกลับว่องไวดั่งกระแสน้ำ หายลับจากไปบนเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล
เมื่อเห็นภาพนี้กับตาตนเอง ค่ายหมายเลขเจ็ดแห่งจักรวรรดิกลับเงียบสงัด ผู้ฝึกปราณแต่ละคนต่างสีหน้ามึนงงคล้ายไม่กล้าเชื่อ
กองทัพศัตรูซึ่งนำโดยราชันเถื่อนสี่คน… กลับถอยไปเช่นนี้?
เดิมทีหากเป็นไปตามปกติ จะต้องเปิดศึกใหญ่อันบ้าระห่ำ แต่สภาพการณ์ดันผกผันและเปลี่ยนแปลงซะอย่างนั้น ทำให้ทุกอย่างยังไม่ทันได้เกิดขึ้นก็สิ้นสุดลงกะทันหัน
และสิ่งที่ชักนำให้เกิดทุกอย่างนี้ มาจากศรและธนูในมือหลินสวิน!
ศรเดียวสังหารราชัน ศรเดียวสะท้านเหล่าศัตรู ทำเอาพวกมันหลีกหนีแตกตื่น!
นี่สิถึงเรียกว่าศรเดียวลิขิตฟ้าดินอย่างแท้จริง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น