Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 718-727

 ตอนที่ 718 ผีเสื้อราตรีสีเลือดกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง

โดย

ProjectZyphon

แม้เดือดดาล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศรแห่งนภาครามที่ระเบิดพุ่งออกมา พวกมู่หลิงเฟิงก็ยังตกใจจนสำแดงพลังทั้งหมดเพื่อหลบหนี


โครม!


บริเวณใกล้เคียงพวกเขา พื้นดินถูกเจาะเป็นหลุมใหญ่ที่ลึกจนไม่เห็นก้นหลุมหนึ่ง หินผาแหลกสลายระเบิดกระจุยฝุ่นตลบ ทำให้พวกเขามอมแมมเปื้อนฝุ่น


“น่าชังนัก!”


พวกมู่หลิงเฟิงโกรธจนปอดแทบระเบิด พวกเขาเป็นถึงราชันกึ่งระดับ เคยสะบักสะบอมเช่นนี้เสียที่ไหน


“พวกเดรัจฉานเฒ่า ไม่กลัวตายก็ตามมาสิ!”


เสียงของหลินสวินดังอยู่ไกลออกไป น้ำเสียงท้าทายเต็มที นี่ทำให้พวกมู่หลิงเฟิงโกรธจนแทบคลั่ง


เอาแต่พูดว่าเดรัจฉานเฒ่า คิดว่าพวกเขาไม่กล้าฆ่ามันจริงหรือ


“จะตามไปไหม”


จินตู้เจินสีหน้าคล้ำเขียว ไฟโทสะน่ากลัวพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตา


“นี่…”


มู่หลิงเฟิงลังเลอยู่บ้าง ราตรีปกคลุม พวกเขามาถึงส่วนลึกของป่าต้นหม่อนแล้ว ทุกอย่างดูไม่อาจล่วงรู้ได้และอันตราย


“เจ้าเด็กนี่ท้าทายเช่นนี้ หากไม่ถือโอกาสนี้ฆ่ามันให้ตาย พวกเราจะมีหน้าไปพบคนในเผ่าได้อย่างไร”


ชางหลันเสวี่ยก็โกรธจนตัวสั่น ตลอดทางไม่เพียงตามหลินสวินไม่ทัน ถ้วยวารีวินสมบัติชิ้นงามในมือนางกลับถูกทำลาย และตอนนี้ยังถูกหลินสวินท้าทายหลายครั้ง นี่จะให้นางยังทนอยู่ได้อย่างไร


“หือ”


ทันใดนั้นมู่หลิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ไม่ดีแล้ว ไกลออกไปมีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นถูกรบกวนให้ตื่นขึ้นมาแล้ว กำลังพุ่งมาทางนี้!”


แทบจะในเวลาเดียวกัน จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยก็รับรู้ได้ว่ากลิ่นอายนั้นไม่มีปิดบังเลย พลุ่งพล่านทะลุเมฆาท่ามกลางราตรี น่าประหวั่นพรั่นพรึง มีความดุดันลึกลับนัก


เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวจากศรเมื่อครู่ของหลินสวินดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวบางตัว!


‘เป้าหมายของศรเมื่อครู่ของเจ้าเด็กนี่ คงไม่ได้คิดจะยืมมือผู้อื่นฆ่าคนกระมัง’


ความคิดเดียวกันบังเกิดขึ้นในใจพวกมู่หลิงเฟิงโดยไม่ได้นัดหมาย


“ตามไป! ถ้าอยู่ที่นี่ต้องได้รับอันตรายแน่ ไม่สู้เสี่ยงดวงออกไปกำจัดไอ้สวะตัวจ้อยสมควรตายนั่นหรอก!”


มู่หลิงเฟิงเข่นเขี้ยวตัดสินใจ


สวบๆๆ!


เงาร่างของพวกเขาวูบไหว ไล่ตามต่อไปในราตรี เพียงแต่แม้จะกราดเกรี้ยวหาใดเทียบ แต่พวกเขากลับระมัดระวังตัวถึงที่สุด


ช่วยไม่ได้ ป่าต้นหม่อนตอนกลางคืนน่ากลัวเกินไปจริงๆ


พวกเขาจากไปได้ไม่นาน ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวหนึ่งก็กระพือปีกปรากฏตัวแช่มช้าในบริเวณนั้น


ทั้งตัวของมันราวสลักขึ้นจากหยกสีเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด ขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น สีแดงสดงดงาม มีแสงเลือดล้อมรอบ ท่วงท่าปราดเปรียวพลิ้วไหว แต่ยามมันกระพือปีก ห้วงอากาศบริเวณนั้นกลับยุบลงไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับถูกหลุมดำกลืนกิน


กลิ่นอายดุดันน่าหวาดหวั่นนั้นก็ฟุ้งออกมาจากตัวมัน


แม้เงาร่างเล็กจ้อย แต่อานุภาพของมันช่างไม่เรียบง่าย เมื่อลอยตัวอยู่ตรงนั้น ก็เหมือนดั่งผู้เป็นใหญ่ในฟ้าดินกำลังมองลงมายังทุกสิ่งในโลกอย่างเรียบเฉย


“นภาคราม…”


มันพึมพำเสียงค่อย “ที่แท้มันไม่ได้ถูกทำลาย น่าเสียดาย กลิ่นอายอ่อนแอเกินไปแล้ว มันในตอนนั้นแม้กระทั่ง… ยังยิงสังหารได้…”


“ดูท่ามันคงได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ก็พลังของมันถูกลบเลือนไประหว่างการไหลเคลื่อนของห้วงเวลาอันยาวนานไร้สิ้นสุดนี้…”


สุดท้ายมันก็นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงได้กระพือปีกบินอย่างรวดเร็ว แล้วไล่ตามไปยังทิศทางที่พวกหลินสวินจากไป


…….


หืม?


หลินสวินที่กำลังหลบหนีอยู่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาหยุดเท้าโดยพลัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประหลาดแห่งหนึ่ง


ที่นี่เงียบสงบเกินไปแล้ว หมอกเลือดพวยพุ่ง ราตรีปกคลุม วังเวงจนน่ากลัว ขนาดเสียงลมสักแอะยังไม่มี


แต่ในพื้นที่อื่นเสียงคำรามน่าตื่นตระหนกต่างๆ ลอยมาแต่ไกล อย่างเสียงคำรามเดือดดาลของเทพมาร หรือเสียงกู่ก้องชวนขนหัวลุกของสัตว์ปีศาจ


ทว่ามีเพียงพื้นที่นี้ที่เงียบเชียบไร้เสียง ดูผิดปกตินัก


หลินสวินระแวดระวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในทันใด เขาขนหัวลุกอยู่บ้าง รู้สึกได้ว่าในบริเวณนี้ต้องซุกซ่อนความพรั่นพรึงใหญ่หลวงที่ไม่อาจล่วงรู้ได้บางอย่างแน่


ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่ว่าจะไปต่อหรือไม่ ด้านหลังก็พอได้ยินเสียงทะลุอากาศระลอกหนึ่งรางๆ แล้ว


‘เดรัจฉานเฒ่าพวกนี้ถึงกับตามมาจริงๆ หรือนี่’


หลินสวินอึ้งเล็กน้อย ที่เขาท้าทายก่อนหน้านี้ เดิมทีก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง เพื่อดูว่าราชันกึ่งระดับเหล่านั้นจะกล้าเคลื่อนไหวต่อในตอนกลางคืนจริงๆ หรือไม่


ไม่เคยคิดว่าพวกเขายังกล้าตามมาจริงๆ


‘เช่นนั้นก็ต้องสู้สักตั้งว่าใครจะดวงแข็งกว่ากันกระมัง!’


หลินสวินกัดฟัน พุ่งไปยังส่วนลึกยิ่งกว่าของพื้นที่แปลกประหลาดนี้โดยไม่สนใจสิ่งอื่น


ในใจเขามีแผนแล้วว่าจะเสี่ยงดวงดู ถ้าประสบอันตรายใหญ่จริงๆ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือทุกคนล้วนได้รับเคราะห์และตายตกตามกันไปโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา


อย่างน้อยนี่ก็ยังดีกว่าตายด้วยน้ำมือของศัตรู ปล่อยให้พวกมันจากไปทั้งที่มีชีวิตอยู่


สวบ!


หมอกเลือดหนาแน่น หลินสวินว่องไวถึงที่สุด เพียงแต่ความกระวนกระวายในใจเขายิ่งรุนแรงขึ้น ถึงกับออกจะหวาดระแวง มือเท้าเย็นเฉียบ


ในพื้นที่แปลกประหลาดที่เงียบงันน่ากลัวนี้ ราวกับมีสายตาไร้รูปคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอด นี่ทำให้หลินสวินเริ่มจะสติแตก


ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ น่ากลัวกว่าการเผชิญหน้ากับราชันระดับสังสารวัฏเสียอีก


แต่เขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว


หืม?


แสงสว่างเปล่งประกายราวหิมะน้ำแข็งพลันปรากฏสู่สายตาหลินสวินกะทันหัน แสงนี้ไหววูบอยู่ไกลลิบท่ามกลางหมอกสีเลือด แต่กลับมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บอกไม่ถูก


‘นี่คือ?’ เขาเข้าใกล้อย่างระวัง ทันใดนั้นก็มองเห็นภาพที่ยากลืมเลือนไปชั่วชีวิต…


กลางหมอกสีเลือด มีต้นไม้ใหญ่ดั่งแกะสลักขึ้นจากหิมะน้ำแข็งต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ใบดุจพัดใบลาน เปล่งประกายดุจหิมะน้ำแข็ง เป็นพุ่มดกหนาแข็งแรง มีแสงเทพบริสุทธิ์แสงแล้วแสงเล่าลู่ลงมา


ลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั้นยิ่งน่าตกตะลึง เปลือกไม้แก่แตกออกราวเกล็ดมังกร โปร่งใสเป็นน้ำแข็งเช่นเดียวกัน พุ่งตรงทะลุเวิ้งฟ้า ไม่อาจประเมินความสูงของมันได้!


ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์และเจิดจ้า บริสุทธิ์ราวหิมะน้ำแข็ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แต่กลับมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่พาให้คนรู้สึกเคารพบูชา


แสงเทพสีขาวหิมะหมื่นพันสายไหลลงมาจากกิ่งก้านของต้นไม้ ราวกับฝนแสงม่านน้ำตกกำลังไหลหลั่งพลิ้วไหว ในค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยหมอกเลือดนี้ ดูสะดุดตาอย่างประหลาด น่าตื่นตะลึง


หลินสวินอึ้งไป เขารู้สึกได้ถึงพลังชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลไร้เทียมทานกระจายออกมาจากต้นไม้โบราณหิมะน้ำแข็งนั้น ด้วยถูกกลิ่นอายมหาศาลเช่นนั้นดึงดูด ทำให้พลังชีวิตรอบกายเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วย กระชุ่มกระชวยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกล่องลอยประหนึ่งสำเร็จมรรคลอยขึ้นสวรรค์!


‘นี่…’


คลื่นแห่งความประหลาดใจซัดสาดในใจหลินสวิน ‘คงไม่ใช่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานหรอกกระมัง’


แต่ในเวลาเดียวกันนี้ เขายิ่งรู้สึกกระวนกระวายขึ้นแล้ว เสียวสันหลังวาบ กลิ่นอายอันตรายถึงแก่ชีวิตตีเข้ามาที่ผิวหนังของเขาทุกกระเบียดนิ้วราวกระแสน้ำ ทำให้เขาแทบหุนหันอยากรีบออกจากที่นี่


‘ความประหลาดและเงียบเชียบของที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับต้นไม้นี่!’


หลินสวินชี้ชัด เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็กัดฟันเข้าใกล้ไปทีละก้าว กระทั่งยามห่างจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเพียงสิบจั้ง เขาแทบจะรับกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นนั้นไม่อยู่แล้ว


ในที่สุดเขาก็สำแดงไอซวนหนี กำบังร่อยรอยอย่างเงียบเชียบแล้วหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น ที่นี่แม้มีอันตรายถึงที่สุด แต่ก็ย่อมทำให้พวกมู่หลิงเฟิงหวาดผวาได้เช่นเดียวกัน!


หลินสวินอยากเห็นเสียจริงว่า เจ้าพวกนี้จะกล้าลงมือที่นี่หรือไม่


……


“พิลึกแล้ว! ที่นี่มีอันตรายใหญ่หลวงซุกซ่อนอยู่”


ไม่นานนักเงาร่างของพวกมู่หลิงเฟิงก็ปรากฏขึ้นใกล้กับพื้นที่ประหลาดนี้ สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา


ตัวมีฐานะเป็นราชันกึ่งระดับ ภยันตรายที่พวกเขารับรู้ได้มากยิ่งกว่า รู้สึกได้ว่าในพื้นที่นี้มีอันตรายที่สามารถคุกคามชีวิตของพวกเขาได้


“ยังจะตามไปไหม”


จินตู้เจินกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ทั้งกายเย็นยะเยือก บริเวณนี้มีกลิ่นอายที่ทำให้เขาหายใจติดขัด


“เจ้าเด็กนี่กล้าเข้าไป ทำไมพวกเราจะไม่กล้าเล่า อีกอย่าง ดูจากกลิ่นอายที่เขาหลงเหลือไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ประสบเคราะห์ พวกเราตามมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าถอยกลับไปอีกจะไม่ขายหน้าไปหน่อยหรือ”


ชางหลันเสวี่ยเข่นเขี้ยวเอ่ยปาก แม้นางพูดเช่นนี้ แต่ใจจริงกลับกระวนกระวายอยู่บ้าง


“เช่นนั้นก็… ตามไป!”


มู่หลิงเฟิงกัดฟันแล้วพูดว่า “แต่ว่า หากพบว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเข้า พวกเราก็ต้องออกไปทันที จะลังเลไม่ได้เด็ดขาด!”


จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยพยักหน้า นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย


“หืม?”


เดินหน้าอย่างระแวดระวังได้ไม่นานนัก ทันใดนั้นพวกมู่หลิงเฟิงก็พบต้นไม้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์สีขาวหิมะเปล่งประกายต้นนั้น ดวงตาพลันแข็งทื่อ ตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้น


“กลิ่นอายอริยมรรค! บนต้นไม้โบราณนี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายอริยมรรค หรือว่า… หรือว่าข่าวลือจะเป็นความจริง”


พวกมู่หลิงเฟิงตาลุกวาว ตื่นเต้นจนแทบร้องออกมา


“ตำนานกล่าวไว้ ในป่าต้นหม่อนยุคปฐมกาล มีความลับยิ่งใหญ่ของการบรรลุแจ้งเป็นอริยะซ่อนอยู่ ต้นหม่อนต้นหนึ่งเคยได้ล่วงรู้ความลับนี้โดยบังเอิญ สุดท้ายได้เข้าถึงมรรคกลายเป็นอริยะ เย้ยฟ้าเหนือปวงเทพ!”


จินตู้เจินพึมพำ สีหน้ามีแต่ความปรารถนา “เดิมทีข้านึกว่าข่าวลือนี้เกินจริง แต่ตอนนี้ดูท่าอาจจะเป็นความจริง…”


“ดูสิ! บนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั่นถึงกับมีดอกไม้น้ำแข็งดอกหนึ่งแข็งตัว บนดอกมีผลแข็งตัวอยู่ผลหนึ่ง! เจิดจ้านัก เหมือนดวงอาทิตย์หิมะดวงหนึ่ง!”


ชางหลันเสวี่ยพบอะไรเข้า จู่ๆ ก็ตื่นเต้นจนร้องเสียงหลงออกมา “นะ… นั่นคงไม่ใช่ผลอริยะใช่ไหม”


มู่หลิงเฟิงกับจินตู้เจินทอดสายตาไป ก็เห็นว่าบนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีดอกไม้น้ำแข็งขนาดเท่าหินโม่ดอกหนึ่ง กลีบดอกแพรวพราวบานออกเต็มที่ สาดรัศมีเทพนับพันนับหมื่นลงมา


และเหนือดอกไม้น้ำแข็งก็มีผลผลหนึ่งแขวนอยู่ แม้มีขนาดเพียงกำปั้น แต่กลับเจิดจรัสจนไม่อาจจับจ้อง เหมือนดวงระวีหิมะน้ำแข็งดวงน้อย สะดุดตาหาใดเทียบ


“นี่… ก็คือมหาศุภโชคที่ราชันเผ่าข้าหมายจะตามหา! ไม่คิดเลยว่าจะถูกพวกเราพบเข้าโดยบังเอิญแล้ว!”


มู่หลิงเฟิงสูดหายใจลึกพลางเอ่ยปาก


ขณะนี้เขาถึงกับลืมเรื่องตามฆ่าหลินสวินไป เพราะวาสนาตรงหน้านี้น่าตื่นตาและยั่วยวนยิ่งนัก สะกดใจเขาไว้อย่างอยู่หมัด


“พวกเจ้าช่วยคุ้มครองข้าที ข้ายอมเสี่ยงอันตรายเพื่อวาสนานี้สักตั้ง!”


ในที่สุดมู่หลิงเฟิงก็กัดฟัน ตั้งใจไปเด็ดผลลี้ลับที่ห้อยอยู่บนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้น!


“ได้!”


จินตู้เจินและชางหลันเสวี่ยกัดฟัน ตัดสินใจมุ่งมั่นเช่นกัน ต่อให้เวลานี้พวกเขารู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายและอันตรายใหญ่หลวง แต่เพื่อวาสนาครั้งนี้ ก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว


ความมั่งมีต้องเสี่ยงภัยถึงได้มา นับประสาอะไรกับศุภโชคไร้เทียมทานเช่นนี้ สามารถทำให้พวกเขาไปช่วงชิงได้โดยไม่สนว่าจะต้องแลกกับสิ่งใด


และตอนนี้หลินสวินที่หลบซ่อนอยู่ไม่ไกลก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เขามาถึงเป็นคนแรกเชียวนะ แต่กลับเพราะตกใจและระวังตัว ถึงได้ไม่เห็นว่ายอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ยังมีมหาวาสนาเช่นนี้อยู่


ทำอย่างไรดี


หรือว่าจะมองดูศุภโชคครั้งใหญ่นี้ถูกพวกเขาชิงไปต่อหน้าต่อตา?


หลินสวินไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ฉับพลันเขาก็ใจเย็นลง วาสนาระดับนี้หากได้มาโดยง่ายเช่นนั้น เกรงว่าคงถูกชิงไปก่อนแล้ว จะยังอยู่ถึงตอนนี้ได้อย่างไร


ภายในนั้นต้องมีความลี้ลับ!


พวกมู่หลิงเฟิงดูจุดนี้ไม่ออกหรือ


แน่นอนว่าไม่มีทาง


แต่พวกเขากลับยืนกรานจะไปเสี่ยงภัย เห็นได้ว่ามหาวาสนาครั้งนี้ยั่วยวนพวกเขามากเพียงไหน!


ตอนที่ 719 อริยมรรคประจัญบาน

โดย

ProjectZyphon

ตู้ม!


มู่หลิงเฟิงเคลื่อนไหว เวลานี้เขาดูระมัดระวังและเยือกเย็น โคจรพลังเต็มขีดจำกัด ถึงกับเรียกสมบัติก้นกรุออกมา


ทั้งสร้อยคอกระดูกสัตว์ ชุดเกราะลึกลับ ผ้าคลุมที่โอบล้อมด้วยรอยสัญลักษณ์คนเถื่อน ทั้งในมือยังถือทวนโบราณสีเขียวที่ส่องแสงหลากสีเล่มหนึ่ง ท่าทางดุจติดอาวุธพร้อมมือ


ทั้งร่างของเขาส่องแสง ดูสะดุดตาถึงที่สุด ขนาดหลินสวินที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดยังมองจนตาแข็งทื่อ ตอนนี้ถึงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งไม่ธรรมดาดังคาด


ในขณะเดียวกัน จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็คอยป้องกัน เรียกสมบัติลับต่างๆ ออกมาระวังภัยรอบทิศเพื่อคุ้มครองมู่หลิงเฟิง


จัดแจงเรียบร้อย!


มู่หลิงเฟิงเงยหน้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาเพ่งไปที่ยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เยือกแข็งนั้นในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกแล้วก้าวย่างไป


โครม!


พลานุภาพทั้งร่างของเขาเพิ่มขึ้นฉับพลัน ชั่วพริบตาก็ไต่ถึงจุดสูงสุด ทำให้หลินสวินรู้สึกเย็นเยียบในจิตใจ รู้ดีว่าถ้าประจันหน้ากับเจ้าแก่พวกนี้ตรงๆ ในตอนนี้ เกรงว่าตนคงตั้งรับการโจมตีไม่ได้สักกระบวนท่าเดียว


สวบ!


มู่หลิงเฟิงก้าวย่างไปในอากาศ โผบินขึ้นไม่รวดเร็วนัก ดูรอบคอบระมัดระวัง


ไม่นานนักเขาก็เข้าใกล้ยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้แม้แต่ตัวมู่หลิงเฟิงเองก็รู้สึกคอแห้งผาก หัวใจเต้นโครมคราม


ถ้าสามารถชิงวาสนาไร้เทียมทานครั้งนี้ได้ เช่นนั้น…จะสามารถทำให้ตนก้าวเข้าสู่ระดับราชันที่แท้จริงได้หรือไม่


ใจเย็นไว้! ใจเย็นไว้!


เวลานี้มู่หลิงเฟิงแสดงความหนักแน่นที่ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งมี เขารอบคอบโดยสมบูรณ์ ยิ่งระวังตัวขึ้นไปอีก


ใกล้แล้ว!


เขาถึงกับสามารถมองเห็นได้ว่า รอบๆ ผลที่เปล่งประกายราวดวงระวีหิมะน้ำแข็งนั้น บังเกิดภาพปรากฏการณ์ประหลาดลี้ลับภาพแล้วภาพเล่า มีเสียงธรรมโบราณไพศาลดังแว่ว ศักดิ์สิทธิ์หาใดเทียบ


ละอองแสงปลิวกระจาย กลิ่นหอมบริสุทธิ์ที่แทรกซึมเข้าไปถึงส่วนลึกของกระดูกปลิวว่อน ทำให้มู่หลิงเฟิงสบายจนแทบวิญญาณหลุดลอย!


ในที่สุดมู่หลิงเฟิงก็ทนไม่ไหวแล้ว ลงมือว่องไวราวสายฟ้าแลบ แหวกอากาศพุ่งไปคว้าผลนั้น


แต่ก็แทบจะเวลาเดียวกันนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงจักจั่นร้องขึ้นแผ่วเบาราวสายพิณกระทุ้งน่าหวั่นใจ กังวานไหลลื่นอย่างบอกไม่ถูก


แต่เมื่อเข้าสู่โสตประสาทของมู่หลิงเฟิง กลับทำให้จิตวิญญาณของเขาถูกจองจำในชั่วพริบตา โลหิตในกายจับตัวเป็นน้ำแข็ง พลังฉีกทึ้งที่น่าหวาดหวั่นก็ขยายออกภายในร่างไปพร้อมกัน


“นี่…”


รูม่านตาของมู่หลิงเฟิงเบิกกว้าง เขาเห็นจักจั่นขาวหิมะตัวหนึ่งปรากฏสู่สายตา มันมีขนาดเท่าฝ่ามือทารกเท่านั้น กำลังฟุบอยู่ในดอกไม้หิมะน้ำแข็งที่อยู่ใต้ผล ดวงตาเย็นชาเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไปด้วยความดูถูกอย่างลึกซึ้ง


ก็เหมือนเทพบนสรวงสวรรค์กำลังมองดูมดที่อยู่บนพื้นดิน


“จักจั่นขาว… เป็น… เป็นมัน…” มู่หลิงเฟิงสีหน้าซีดเผือดในทันใด ด้วยนึกข่าวลือข่าวหนึ่งที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในป่าต้นหม่อนออก


เคยมีผู้ฝึกปราณสาบานเป็นมั่นเหมาะว่าเขาบังเอิญพบจักจั่นขาวตัวหนึ่งที่ส่วนลึกของป่าต้นหม่อน จักจั่นมีขนาดเท่าฝ่ามือทารก บนตัวมีละอองแสงเซียนไหลเวียน ร้องเสียงแผ่วเบาก็ทำลายล้างทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้ได้!


แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยแห่งจักรวรรดิสันนิษฐานไว้ว่า หากข่าวลือเป็นจริง เช่นนั้นจักจั่นขาวตัวนี้ก็เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะบรรลุอริยมรรค!


เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่หลิงเฟิงก็พบเข้าจริงๆ ว่ารอบตัวจักจั่นขาวนั้นปกคลุมไปด้วยละอองแสงละมุนละไมราวภาพนิมิต ประดุจแสงยามเซียนเหาะเหิน…


ต่อจากนั้น เขาก็สูญเสียการรับรู้และสติสัมปชัญญะ


…….


ด้านล่างของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ยามเห็นมู่หลิงเฟิงเข้าใกล้ผลอริยะ จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยที่เฝ้าระวังและรอตั้งรับมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือทั้งสองข้างจนแน่น ในใจตื่นเต้นและตั้งตาคอย


เพียงแต่ไม่นานพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เห็นได้ชัดว่ามู่หลิงเฟิงเริ่มลงมือแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับแข็งทื่ออยู่เช่นนั้นราวกับถูกผนึกไว้ รักษาท่วงท่าประหลาดถึงที่สุด ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว


“หรือว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นแล้ว”


ทั้งสองคนตื่นตระหนก แต่ที่ทำให้พวกเขาฉงนก็คือ ตั้งแต่เริ่มจนจบกลับไม่ได้รู้สึกว่ามีไอสังหารและอันตรายใดๆ มาเยือนเลย


พรูดๆๆ!


ทันใดนั้นนัยน์ตาของทั้งสองพลันขยายกว้างขึ้น


ในครรลองสายตา มู่หลิงเฟิงไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด แต่จู่ๆ ร่างกายก็แหลกสลายอย่างไร้เสียง กลายเป็นเลือดเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยแหลกละเอียดร่วงรินลงมา


ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย ขนาดเสียงโหยหวนหรือร้องขอชีวิตยังไม่มี ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งแปรสภาพเป็นเลือดเนื้อป่นปี้อย่างเงียบเชียบ!


จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญแขวน ราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง เกือบร้องเสียงหลงออกมา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้


ภาพนี้ดูแปลกประหลาดและน่าสยดสยองเกินไปแล้ว ทำให้ทั้งสองแทบเลือกหนีตายก่อนโดยไม่ทันรู้ตัว!


เวลานี้อย่าว่าแต่วาสนาไร้เทียมทานเลย ต่อให้ความลับแห่งอายุวัฒนะที่แท้จริงวางอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ไม่หันกลับมามองโดยเด็ดขาด


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


และตอนนี้หลินสวินก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเช่นกัน ในใจสั่นสะท้าน ความเก่งกาจของมู่หลิงเฟิง เขาได้รู้ได้เห็นอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับสิ้นชีพกะทันหันแล้ว!


นี่เป็นถึงราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งเชียวนะ จัดอยู่ในหมู่ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดแห่งโลกมานานแล้ว จะตายเช่นนี้หรือ


นี่กระตุ้นให้หลินสวินอยากจะหันหลังหนี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นนี้ต่อให้น่าเย้ายวน แต่ไอสังหารที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นกลับน่าพรั่นพรึงไร้ที่สิ้นสุด!


จากนั้นภาพที่ทำให้เขายิ่งใจหายก็ปรากฏขึ้น ก็เห็นว่าจินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยที่หนีตายอยู่ไม่ไกล ร่างกายกลับแหลกสลายไปทุกกระเบียดนิ้วระหว่างหลบหนี แปรสภาพเป็นเลือดเนื้อปลิวว่อนไปตามทาง…


หลินสวินตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก


วิธีการตายเช่นนี้เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก น่าสะพรึงเกินไปแล้ว เงียบเชียบไร้เสียง ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ!


เดิมทีเมื่อได้เห็นพวกมู่หลิงเฟิงพากันตายไป หลินสวินก็ควรจะยินดีปรีดา แต่ตอนนี้เขากลับไม่ดีใจเลยสักนิด


ตอนนี้เขาซ่อนอยู่ข้างต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง แม้จะใช้ไอซวนหนีปกปิดกลิ่นอายทั้งตัว แต่เขารู้ดีว่าตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวที่นี่ เกรงว่าจะถูกจับจ้องมานานแล้ว!


ซ่า!


ฉับพลันปรากฏการณ์ประหลาดระลอกหนึ่งก็เกิดขึ้นในบริเวณไกลออกไป ฟังดูเสียดหูท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบเช่นนี้


จู่ๆ ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น ร่างเพรียวบางราวหยกโลหิตแกะสลักที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก สีแดงสดศักดิ์สิทธิ์ พลิ้วไหวปราดเปรียว แต่ยามกระพือปีก ห้วงอากาศกลับจ่อมจมไร้เสียงเหมือนหลุมดำ


กลิ่นอายบนตัวมันพุ่งทะลุเมฆาราวมหาอำนาจสูงสุดมาเยือนโลกา แยงตาหลินสวินนัก พาให้สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง


กลิ่นอายนี้… น่ากลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏเสียอีก!


หลินสวินนึกถึงวานรเฒ่าที่บรรลุอริยมรรคซึ่งตนเคยพบที่แดนลับอสูรมารอริยะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวระดับเดียวกัน


ฉึบ!


เพียงแต่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาก็รับรู้ได้ว่าสายตาเย็นชาเรียบเฉยทอดมองมาที่ตน


ชั่วพริบตานั้นเหมือนดาบคมทิ่มคอ!


ทว่าไม่นานนักสายตานี้ก็มลายไป ต่อจากนั้นหลินสวินที่ตกใจจนเหงื่อกาฬชโลมกายก็มองเห็นจักจั่นขาวตัวหนึ่ง


มันบินขึ้นจากยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างบริสุทธิ์ราวหิมะน้ำแข็งโปรยละอองแสงดุจภาพนิมิต ไปถึงห้วงอากาศไกลออกไปในเวลาไม่นาน


ทันใดนั้นเสียงร้องของจักจั่นก็ดังขึ้นแผ่วเบาราวเสียงพิณ สะท้านไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน


ก็เห็นว่าบนร่างของจักจั่นขาวนั้นบังเกิดพลังศักดิ์สิทธิ์โหมคลั่งทะยานขึ้นสู่เวิ้งฟ้า ทำให้ห้วงอากาศบริเวณนี้สั่นสะเทือนเลือนลั่น เกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมรุนแรง


“ข้ามเขตแล้ว”


จักจั่นขาวส่งคลื่นเสียงเย็นชา “พิบัติมหามรรคครั้งนี้ยังมาไม่ถึง เจ้าก็คิดจะลงมือแล้วหรือ”


“ข้าหยั่งรู้มรรคเมื่อครั้งบรรพกาล ตื่นขึ้นในกาลปัจจุบัน จำหลายเรื่องไม่ได้แล้ว แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนเก่าบางเรื่องกลับไม่อาจลืมเลือนได้”


ไกลออกไป ผีเสื้อราตรีสีเลือดลอยละล่องพลิ้วไหว เปล่งประกายเจิดจ้า ถ้าพูดถึงอานุภาพแล้ว ไม่อ่อนด้อยไปกว่าจักจั่นขาวตัวนั้นเลย


นี่คือสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่น่าหวาดหวั่นสองตัว!


หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก พอจะเดาได้แล้วว่า บางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนี้ ถึงทำให้จักจั่นขาวตัวนั้นไม่สนใจจัดการตน ส่งผลให้ตนโชคดีพ้นเคราะห์ไป


หาไม่แล้ว เกรงว่าตนก็คงพบจุดจบเช่นเดียวกับพวกมู่หลิงเฟิงแน่!


“ไม่ว่าเรื่องใด ข้ามเขตก็เป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง!”


น้ำเสียงจักจั่นขาวเย็นเยียบ มีท่วงทำนองเป็นเอกลักษณ์ เหมือนเสียงธรรมดังก้อง ฟ้าดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไพศาล


“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มาสู้กันสักตั้งดีไหม”


ผีเสื้อราตรีสีเลือดก็เหมือนคร้านจะอธิบาย เสียงของมันเรียบเฉย ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนและอวดดี


“สมใจเจ้า!”


โครม!


จักจั่นขาวพุ่งขึ้นไปเหนือชั้นฟ้าอย่างรวดเร็ว


ในขณะเดียวกันผีเสื้อราตรีสีเลือดก็กระพือปีก พุ่งตามไปสู่เวิ้งฟ้าราวพายุสีเลือดลูกหนึ่ง


“เจ้ากล้าขัดขวางไม่ให้ข้าฆ่าเด็กนี่หรือ”


ทันใดนั้นเสียงของจักจั่นขาวยิ่งเย็นชา เหมือนถูกยั่วโมโห


หลินสวินอึ้งไป นิ่งงันไปโดยสิ้นเชิง รับรู้ได้ว่าเมื่อครู่นี้จักจั่นขาวตัวนั้นถึงกับจะลงมือกำจัดตน เพียงแต่ไม่รู้ด้วยความบังเอิญเช่นไร กลับถูกผีเสื้อราตรีสีเลือดนั้นมาขวางไว้!


“ทำไม โมโหกราดเกรี้ยวแล้วหรือ”


ผีเสื้อราตรีสีแดงหัวเราะเสียงเรียบ


ตู้ม!


เหนือเวิ้งฟ้า มหาศึกปะทุขึ้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลบ่า ประหนึ่งระเบิดท้องนภายามราตรี ภาพน่าหวาดหวั่นสะท้านโลกาเต็มฟ้า


เวลานี้ผู้แข็งแกร่งที่จำศีลในบริเวณต่างๆ ของป่าต้นหม่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิหรือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน ไม่ว่าพลังปราณจะสูงหรือต่ำล้วนพรั่นพรึงโดยพร้อมเพรียง สายตาพากันมองไปยังเหนือท้องฟ้ายามราตรี


ที่นั่นมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เหลือคณาสองสายปะทะกันอยู่ เปล่งประกายช่วงโชติส่องสว่างทั่วท้องนภา รัตติกาลถูกทำลายลง


ทั้งยังมีปรากฏการณ์ประหลาดอย่างมหามรรคมลายหาย เทพมารหลั่งโลหิตเกิดขึ้นอย่างคลุมเครือ!


“อริยมรรคประจัญบาน!”


ราชันอย่างแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ย เซี่ยซื่ออัน ราชันนภาเพลิง ราชันเมฆาอสนี ราชันอำพันทองล้วนตะลึงพรึงเพริด


อริยมรรค!


พลังระดับนี้ไม่ได้ปรากฏในใต้หล้ามานานแค่ไหนแล้ว


แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ นี่ช่างน่าตกใจยิ่งนัก หากข่าวกระจายออกไป ต้องก่อให้เกิดแรงสะเทือนในใต้หล้าแน่!


หน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง หลินสวินที่เพิ่งรอดชีวิตมาอย่างเฉียดฉิว อาภารณ์ทั้งตัวถูกเหงื่อกาฬชโลมชุ่ม เขายังหวาดหวั่นมาก คืนนี้อันตรายไปแล้ว เหมือนเป็นการเดินสู่ประตูยมโลก


‘หนี!’


ไม่ต้องลังเลใดๆ ทั้งสิ้น หลินสวินจะจากไปทันที ไม่ถือโอกาสนี้หนีไป หากจักจั่นขาวตัวนั้นกลับมา เช่นนั้นก็จะพบเคราะห์เข้าจริงๆ แล้ว


สำหรับผลที่อยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั้น เขาไม่มีแก่ใจเสียดายเลยสักนิด เขาถึงกับมั่นใจได้ว่าหากตนกล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้ เช่นนั้นเจ้าจักจั่นขาวที่กำลังต่อสู้อยู่ต้องสังหารตนโดยไม่สนใจว่าจะแลกกับอะไรแน่!


“สหาย ในเมื่อมาแล้วเหตุใดถึงจะไปเสียเล่า ศึกใหญ่อยู่ตรงหน้า ย่อมไม่อาจชี้ขาดได้ในเวลาอันสั้น ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ส่วนเจ้าก็จับพลัดจับผลูหนีภัยมาที่นี่ พูดได้ว่ากฎกรรมฟ้าลิขิตให้ข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน เหตุใดจึงไม่ถือโอกาสนี้สนทนากัน”


แต่ในตอนที่หลินสวินจะจากไป เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั้น กลับมีเสียงสดใสนุ่มนวลดูมีเจตนาดีดังขึ้นเชื้อเชิญหลินสวิน


ทว่าหลินสวินกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว ขนลุกเกรียว หนีอย่างบ้าคลั่งพลางร้องออกมาว่า “ช่างมันเถอะ เจ้าหาคนอื่นคุยด้วยก็แล้วกัน ข้าไปก่อนล่ะ หากมีวาสนาไว้ค่อยพบกันอีก! ไม่สิ ดีที่สุดต่อให้มีวาสนาก็ไม่ต้องพบกัน!”


ตอนที่ 720 นั่งสมาธิคืนเดียว ประหนึ่งนิพพาน

โดย

ProjectZyphon

ในใจหลินสวินรู้สึกประหลาดยิ่ง ขนลุกเกรียวทั่วสรรพางค์กาย


เจ้าคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งอยู่เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั้น กลับมาเชื้อเชิญ กล่าวว่ามีวาสนากับตน นี่ก็ดูเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว


“เฮ้อ เดือนปียาวนานเปล่าเปลี่ยวราวหิมะ มีวาสนาได้พบกันไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องบอกว่าจะไปเล่า ข้าเพียงอยากคุยกับเจ้าเท่านั้นเอง”


เสียงกังวานอ่อนโยนนั้นทอดถอนใจ


ต่อจากนั้นหลินสวินก็ค้นพบอย่างหวาดหวั่นว่าพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งปกคลุมตนเองไว้ เพียงชั่วอึดใจก็นำตนมาอยู่เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้น!


ดอกไม้น้ำแข็งดอกหนึ่งผลิบาน แสงเทพเทพนับหมื่นพันสายลู่ลงมาราวภาพนิมิต หลินสวินมองดูตัวเองนั่งอยู่บนกิ่งต้นไม้เปล่งประกายข้างดอกไม้น้ำแข็งดอกนี้ตาปริบๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่อาจควบคุมและต่อต้านได้


“สหาย เจ้า… นี่ออกจะบังคับฝืนใจผู้อื่นอยู่นะ อย่างนี้เรียกวาสนาได้ที่ไหน”


หลินสวินกลืนน้ำลายอย่างคอ ขนหัวลุกอยู่บ้าง โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ เวลานี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตราย


กระทั่งว่าเมื่อนั่งอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ ทั้งกายถูกชโลมด้วยแสงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แสงแล้วแสงเล่า ทำให้เขาสบายผ่อนคลายไปทั้งตัว


“กฎแห่งวาสนานั้นว่างเปล่าราวภาพฝัน การปรารถนาตามใจต้องการนั้นดี แต่หากลุ่มหลงมัวเมาเข้าแล้ว กลับจะกลายเป็นของธรรมดา ขัดกับมรรคของข้า”


เมื่อเสียงกังวานนุ่มนวลนี้ดังขึ้น หลินสวินถึงได้รู้ว่า ในดอกไม้หิมะที่บานอยู่ข้างๆ มีเบาะรองนั่งที่สร้างขึ้นจากหยกน้ำแข็งอันหนึ่ง จักจั่นทองตัวหนึ่งฟุบอยู่บนนั้น ท่วงท่าสงบนิ่งเยือกเย็น


จักจั่นทองตัวนั้นมีขนาดเพียงฝ่ามือทารก ทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงทองอ่อนโยน ดวงตากระจ่างใสสุกสกาว ดุจสามารถสะท้อนความลับในก้นบึ้งของจิตใจผู้อื่นได้


มันผุดผ่องนัก แผ่แสงแห่งปัญญาออกมา จักจั่นตัวหนึ่งเท่านั้น กลับทำให้หลินสวินรับรู้ถึงกลิ่นอายน่าเคารพยำเกรง มีอิสระเสรี


จากนั้นหลินสวินก็ตาเบิกกว้าง เขาคิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนี้นอกจากจะมีจักจั่นขาวตัวหนึ่งแล้ว ยังมีจักจั่นทองอีกตัวหนึ่งด้วย!


หรือว่า…


นี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นที่บรรลุอริยมรรคตัวหนึ่งเช่นกัน?


หลินสวินจิตใจสั่นระรัว


“อริยมรรคน่ากลัวหรือ ข้าว่าก็ไม่เท่าไร มันเป็นเพียงประตูสู่มรรคาบานหนึ่งเท่านั้น เจ้าอยู่นอกประตู มองความลี้ลับภายในไม่ออกจึงหวั่นใจ รอวันหนึ่งเมื่อเจ้าผลักประตูเข้ามาก็จะพบว่า มันก็เพียงเท่านี้”


ฉับพลันจักจั่นทองก็พูดอีกครั้ง ราวมองทะลุความคิดของหลินสวิน น้ำเสียงมีพลังทำให้ผู้อื่นรู้สึกสงบ


“ก็เพียงเท่านี้หรือ” หลินสวินรู้สึกเหลวไหลอย่างหนึ่ง อริยมรรคเชียวนะ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรไม่มีวาสนาได้ก้าวย่างเข้าสู่เส้นทางนั้น ทำได้แต่หมายปอง


แต่ตอนนี้จักจั่นทองตัวนี้กลับพูดออกมาได้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา


“ใช่ ก็เพียงเท่านี้”


จักจั่นทองกล่าว “ข้ามีภาพฝันภาพหนึ่งว่าสักวันสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกนี้จะกลายเป็นอริยะ หลีกเลี่ยงความทุกข์ยากแห่งเกิดแก่เจ็บตายได้โดยทั่วกัน”


หลินสวินตื่นตระหนก เจ้าหมอนี่คุยโตนัก!


สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนเป็นอริยะหรือ


ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ใครกล้าเอ่ยวาจาเพ้อฝันพรรค์นี้กัน


“ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่ ไม่เป็นไร จะเชื่อหรือไม่เชื่อลงท้ายก็เป็นเรื่องของข้า” จักจั่นทองดูอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด


ในใจหลินสวินสงบลงเล็กน้อย กล่าวว่า “พูดคุยกันเท่านั้นจริงหรือ”


“ใช่ พูดคุยกัน”


จักจั่นทองเอ่ยต่อ “เจ้ารู้ไหมก่อนยุคบรรพกาล สิ่งมีชีวิตในโลกเริ่มมีปัญญาตื่นรู้ ยามรู้จักฟ้าดินนี้ครั้งแรก พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่


“ทำอะไรหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้ เขายังไม่เคยคิดถึงคำถามทำนองนี้


“พูดคุย”


จักจั่นทองให้คำตอบที่ทำให้หลินสวินแทบพูดไม่ออก


แต่ไม่นานนักจักจั่นทองก็อธิบาย “พูดคุย ที่พูดคุยก็ย่อมเป็นเรื่องบนสวรรค์ เวลานั้น เวลานั้น โลกนี้อยู่ในสภาวะแรกกำเนิดอันคลุมเครือ ทุกอย่างล้วนมีรูปลักษณ์ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ การดำรงอยู่ของสวรรค์ก็สูงส่งจนไม่อาจสัมผัสได้ ไกลจนเอื้อมไม่ถึง ประดุจการแปรสภาพแห่งมหามรรค คิดจะก้าวย่างสู่วิถีแห่งการฝึกปราณก็ต้องทำความเข้าใจและค้นหามัน”


“สิ่งแรกที่ผู้ฝึกปราณในตอนนั้นจะทำเมื่อรวมตัวอยู่ด้วยกันก็คือการพูดคุย พูดคุยเรื่องการรับรู้และหยั่งรู้เกี่ยวกับสวรรค์ ต่างแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน ดังนั้นเมื่อนานเข้า วิถีฝึกปราณก็ถูกค้นพบทีละก้าว”


“ที่แท้ก็เป็นการพูดคุยเช่นนี้”


หลินสวินครุ่นคิด เมื่อได้ยินการอธิบายเรื่อง ‘การพูดคุย’ เช่นนี้ ถึงกับทำให้เขาได้รับรู้ในสิ่งใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


“ยามเจ้าบรรลุอริยมรรค ก็จะได้เรียนรู้การพูดคุย” จู่ๆ จักจั่นทองก็เอ่ยขึ้น “ทว่าในตอนนั้น ผู้ที่เจ้าสนทนาด้วยจะเป็นเหล่าสรรพชีวิต เผยแพร่ชี้แนะ หรืออาจจะอบรมบ่มเพาะ ล้วนข้องเกี่ยวกับวิถีแห่งอริยมรรคที่เจ้าตามหา…”


“บรรลุอริยะยังมีรายละเอียดมากมายเช่นนี้หรือ” หลินสวินตื่นตะลึง ถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว


อริยมรรค แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏก็ไม่อาจมองทะลุปริศนาภายในนั้นได้ เพราะระดับขอบเขตนี้สูงส่งเกินไป เป็นที่รู้กันว่ายืนนานเป็นนิรันดร์ เจิดจรัสชั่วทิวาราตรี เหลือเชื่อถึงที่สุด


แต่ตอนนี้ ได้รู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอริยมรรคจากปากของจักจั่นทองลึกลับตัวนี้ สำหรับหลินสวินแล้วเป็นโอกาสเรียนรู้ที่หาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


“บรรลุอริยะจะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย ภายในนั้นมีความลึกลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ เจ้าเพียงต้องรู้ว่า ใต้หล้านี้มีอริยะที่ว่ามากมาย แต่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น หนทางที่เดินไปยังเป็นเส้นทางเก่าที่มีมาแต่เดิม ผลสำเร็จย่อมมีจำกัด เต็มที่ก็เป็นได้เพียงอริยะปลอม”


“อริยะที่แท้จริง ต้องเบิกมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยตัวเอง”


คำพูดนี้ของจักจั่นทองทำให้หลินสวินประหวั่นพรั่นพรึง อริยมรรคถึงกับยังมีแบ่งแยกจริงปลอมด้วยหรือนี่


“อริยะที่ไร้อริยะก็คืออริยะที่แท้จริง มรรคที่ไร้มรรคก็คือมหามรรค คิดไปก็กังวลเสียเปล่าๆ สู้ทั้งข้าทั้งเจ้าลืมไปให้สิ้นดีกว่า”


จู่ๆ จักจั่นทองก็พึมพำขึ้นมา เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่


หลินสวินก็อึ้งไป สำหรับเขาอริยมรรคนั้นเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป แม้ได้ยินความลับเกี่ยวกับอริยมรรค แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวมากนัก


เวลานี้หลินสวินเพียงกำลังคิดว่า ‘การพูดคุย’ ในวันนี้พิเศษเสียจริง ถึงกับดูเพ้อเจ้อและผิดปกติ


หมอกเลือดคละคลุ้งป่าต้นหม่อนที่กว้างใหญ่ไพศาลและอันตราย เหนือเวิ้งฟ้า สิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่บรรลุอริยมรรคสองตัวกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด สะท้านไปทั้งฟ้าดิน


ส่วนบนผืนดิน เขากลับนั่งอยู่ยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง สนทนากับจักจั่นทองที่ฟุบอยู่บนเบาะรองนั่งในดอกไม้น้ำแข็งข้างๆ ตัวหนึ่ง


บรรยากาศเช่นนี้ดูชอบกลนัก


จริงด้วย ยังมีผลอริยะที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมผลนั้นอีก!


ตอนนี้หลินสวินถึงเพิ่งนึกได้ว่า ผลอริยะที่เปล่งประกายราวดวงระวีหิมะน้ำแข็งผลนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากศีรษะเขา


มันใหญ่เท่ากำปั้นเท่านั้น ดุจแกะสลักขึ้นจากหิมะน้ำแข็งขาวบริสุทธิ์ อบอวลไปด้วยรัศมีผุดผ่องช่วงโชติหาใดเทียบ แสงเทพราวมายานับหมื่นพันไหลเอ่อออกมา


กลิ่นหอมสดชื่นลอยตลบมาจากในนั้น เหมือนสามารถแทรกซึมเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณ พาให้ผู้คนลอยละล่องกลายเป็นเซียน


ยังมีปรากฏการณ์ประหลาดลี้ลับภาพแล้วภาพเล่าไหววูบอยู่รอบผลนั้น ทั้งยังมีเสียงธรรมราวเสียงสวรรค์เสียงแล้วเสียงเล่าดังรางเลือน


ระหว่างที่หลินสวินเหม่อลอย เขารู้สึกได้ว่าถูกแสงมรรคอบอุ่นอาบไล้ทั่วกาย จิตวิญญาณว่างเปล่า ไม่คิดอะไรอีกต่อไป


ซ่า!


เลือดลม พลังวิญญาณ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณในกายเขาโคจรขึ้นเองอย่างกระปรี้กระเปร่าและสมบูรณ์ ถ้ำสวรรค์ในกายเขาส่งเสียงโครมคราม แสงเทพพวยพุ่ง


เวลานี้หลินสวินลืมสิ้นทุกสิ่ง


ลืมการประลองไร้เทียมทานเหนือเวิ้งฟ้า ลืมว่าข้างกายตนยังมีจักจั่นทองลี้ลับตัวหนึ่งกำลังทอดถอนใจ ทั้งยังลืมระมัดะวังและป้องกันตัว…


สภาพของเขาในตอนนี้อัศจรรย์นัก เหมือนกำลังหยั่งรู้หลอมรวมเข้าไปในมหามรรค และเหมือนอยู่ในภาวะเหม่อลอยไร้ความคิด ทั้งภายนอกและภายในจิตวิญญาณล้วนว่างเปล่า


…….


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรการต่อสู้เหนือเวิ้งฟ้ายามราตรีปิดฉากลง คืนสู่ความสงบ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่จำศีลอยู่ตามที่ต่างๆ ในป่าต้นหม่อนยังคงหวาดผวาดังเดิม


การประลองอริยมรรคครั้งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้ราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นล้วนใจฝ่อไม่ว่างเว้น


ใครแพ้ใครชนะหรือ


ไม่มีผู้ใดล่วงรู้


ทั้งอริยะสองท่านที่ห้ำหั่นกันนั้นคือใครกัน


ก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน


และเพราะเป็นเช่นนี้ ด้วยศึกนี้ ทำให้ป่าต้นหม่อนที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ดูลี้ลับและอันตรายยิ่งขึ้นแล้ว


“เหตุใดถึงไม่ฆ่าเขา”


จักจั่นขาวปรากฏตัวบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง เมื่อเห็นหลินสวินที่นั่งอาบรัศมีศักดิ์สิทธิ์อยู่ ดวงตาทั้งสองก็ฉายไอสังหารทันที


นัยน์ตากระจ่างของจักจั่นทองมองดูหลินสวิน แล้วเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ไม่ง่ายกว่าจะตื่นขึ้นครั้งหนึ่ง การได้พบเด็กหนุ่มที่น่าสนใจขนาดนี้ผู้หนึ่ง นี่ก็คือกฎแห่งวาสนา ใจข้าไร้ซึ่งความคิดสังหาร เหตุใดต้องช่วงชิงชีวิตเขามาด้วยเล่า”


“น่าสนใจหรือ”


จักจั่นขาวดูถูก “เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เหยียบย่างมกุฎมรรคาไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แม้เด็กนี่จะได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาครามไป สมบัติคู่นี้ก็เสียอานุภาพในตอนแรกไปนานแล้ว นี่เรียกว่าน่าสนใจหรือ”


“เจ้าไม่เข้าใจ”


จักจั่นทองส่ายหน้า “สิ่งที่เจ้าเห็นเหล่านี้เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น บนตัวเขายังมีจุดที่น่าสนใจขึ้นไปอีก”


“อ้อ ไม่อย่างนั้นให้ข้าฆ่ามัน ทุบเปลือกนอกมันออกมาดูให้รู้ไปเลยเป็นอย่างไร” จักจั่นขาวแค่นหัวเราะเยาะเย้ย


จักจั่นทองเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ถ้าเจ้ากล้าทำเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะนำผลกำเนิดอริยะนี้ไปคืนสังขารให้เขา”


“เจ้ากล้าหรือ!” เสียงจักจั่นขาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันใด


“เจ้าคิดว่าบนโลกนี้ยังมีเรื่องที่ข้าไม่กล้าทำหรือ อย่าลืมเสียล่ะ ตอนนั้นสาเหตุที่ข้าเลือกจะเงียบหายไปจากที่นี่ ก็เพียงแค่อยากรอโอกาสครั้งหนึ่งไปพิสูจน์ความคิดของตัวเองก็เท่านั้น ส่วนผลกำเนิดอริยะนี้ สำหรับข้าแล้วก็เป็นเพียงสิ่งของที่จะมีหรือไม่ก็ได้ชิ้นหนึ่ง มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่ใส่ใจขนาดนี้”


เสียงจักจั่นทองยังคงนุ่มนวลและสงบนิ่งดังเดิม


แต่จักจั่นขาวกลับนิ่งเงียบลง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”


“ข้าอยากเห็นว่าอริยมรรคที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะก้าวเดินไปจะมีสภาพอย่างไรกันแน่”


จักจั่นทองตอบง่ายๆ “ก็เหมือนปลูกเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่ง ข้าเพียงอยากเห็นว่าจะออกดอกเช่นไร”


“สุดท้าย เจ้ายังเชื่อความหวังที่ว่าล่ะสิ บอกให้นะ บนโลกนี้ไม่มีมรรคาที่เจ้าเพ้อฝันอยู่จริงหรอก” จักจั่นขาวหัวเราะร่า เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ถ้าไม่เชื่อก็รอดู!”


“เช่นนั้นก็รอดู”


จักจั่นทองยังคงสงบเยือกเย็นดังเดิม


……


เมื่อราตรีลับไป หลินสวินก็ตื่นขึ้น เขางงงวยเป็นอย่างแรก แล้วก็พลันตื่นตระหนก!


ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง หมอกเลือดห้อมล้อมรอบทิศ ราวกับทุกอย่างที่ได้ประสบเมื่อวานเป็นแค่ฝันไป


‘นี่…’


หลินสวินผุดลุกขึ้น สายตากวาดไปโดยรอบ หายไปแล้วจริงๆ ขนาดจักจั่นทองตัวนั้นก็หายไป ประหนึ่งไม่เคยมีอยู่เลย


“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ความฝัน!”


ไม่นานเขาก็พบว่าทั้งร่างของตนราวกับเกิดใหม่ เนื้อหนังมังสาทุกกระเบียดนิ้วเต็มไปด้วยพลังชีวิตมหาศาล พลังวิญญาณภายในร่างเกรียงไกรราวมหาสมุทรพลุ่งพล่าน พลังอันเข้มข้นนั้นย้อมถ้ำสวรรค์ในกายด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง


ส่วนพลังปราณ ได้ไปถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงแล้ว!


นั่งสมาธิคืนเดียว กลับประหนึ่งนิพพาน!


ตอนที่ 721 แสงสมบัติจากอุโมงค์

โดย

ProjectZyphon

‘ต้องเป็นประสิทธิภาพของผลอริยะนั่นแน่ๆ!’


หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ชี้ชัดได้ นี่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึง


เมื่อคืนเขาเพียงนั่งสมาธิตรงนั้น อาบรัศมีเทพที่ผลอริยะผลนั้นแผ่ออกมาเท่านั้น กลับส่งผลให้พลังปราณของเขาเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง นี่ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก


‘หากกลืนผลอริยะผลนั้นไป จะเกิดประสิทธิภาพอัศจรรย์ขนาดไหนกันนะ’


ไม่นานนักหลินสวินก็สูดหายใจลึก ไม่คิดอะไรต่ออีก


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนดูเหมือนเหลวไหลไม่เป็นความจริงราวกับเป็นความฝัน แต่อย่างไรเสียก็ทำให้เขาพ้นเคราะห์ไปครั้งหนึ่งได้โดยไม่รู้ตัว!


มู่หลิงเฟิงตายแล้ว จินตู้เจินและชางหลันเสวี่ยก็เช่นกัน ส่วนเขากลับได้ทุกขลาภ ไม่เพียงได้ฟังความลับส่วนหนึ่งเกี่ยวกับอริยมรรค ยังถึงขั้นทำให้พลังปราณของตนแปรเปลี่ยนไปอีกขั้นหนึ่งโดยบังเอิญ


‘ก็ไม่รู้ว่าจักจั่นทองตัวนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เหตุใดถึงจำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ ยังมีผีเสื้อราตรีสีเลือดกับจักจั่นขาวนั่นอีก ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่บรรลุอริยะทั้งนั้น แต่เหตุใดถึงต้องการยึดครองที่นี่’


หลินสวินไม่รู้ชัด แต่เขากลับแน่ใจได้ว่า บางทีเมื่อโอกาสบางอย่างมาถึง สิ่งมีชีวิตอริยมรรคที่จำศีลเหล่านี้ ต้องยิ่งใหญ่เหนือโลกาแน่!


ไม่นานนักหลินสวินก็หายตัวออกจากบริเวณนี้ ไม่อ้อยอิ่งต่ออีก


ระหว่างทางเขาทำเหมือนก่อนหน้านี้ เสาะหาโดยละเอียดไปตามทาง หวังใจว่าจะค้นพบหินหยกอัศจรรย์เพิ่มขึ้น ส่วนวาสนาไร้เทียมทานอะไรนั่น เขาไม่เสียดายอย่างสิ้นเชิงแล้ว


ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ไม่เพียงมีระดับราชันมาเยือน กระทั่งยังมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวระดับอริยมรรคจำศีลอยู่ แม้ว่าจะมีวาสนาใหญ่เท่าฟ้าอะไรก็ตามเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเสียดายได้เลย


“ไอ้พวกสวะพ่อมดเถื่อนระยำยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นแล้ว คิดจริงๆ หรือว่าในป่าต้นหม่อนแห่งนี้พวกเขาจะได้เปรียบอย่างแน่นอน”


“เฮ้อ พูดได้เพียงว่าสถานการณ์ของพวกเราผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิไม่สู้ดีนัก ครั้งนี้ยังดีที่พวกเราหนีไว หาไม่แล้ว เกรงว่าจะถูกจับไปเป็นเบี้ยใช้แล้วทิ้ง ถูกบีบให้ขายวิญญาณให้สวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นขุดสมบัติแน่”


“น่าชังนัก! ถ้าในหมู่ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิเรามีตัวร้ายกาจอย่างหลินสือเอ้อร์สักสองสามคน ก็ไม่ถึงกับทำให้พวกเราคับแค้นใจปานนี้”


ฉับพลันในหมอกเลือดไกลออกไปก็มีเสียงก่นด่าสาปแช่งดังมาระลอกหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน


“ทุกท่าน ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นหรือ”


หลินสวินเข้าไปใกล้ เห็นผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิห้าหกคนกำลังหลบหนี ท่าทางเดือดดาลคับข้อง เขาจึงอดถามออกไปไม่ได้


“ยังจะอะไรอีก ในอุโมงค์ธรรมชาติที่อยู่ข้างหน้าแห่งหนึ่งมีแสงสมบัติอบอวลออกมา แต่กลับถูกสวะพ่อมดเถื่อนยึดครองไปแล้ว หนำซ้ำพวกมันยังจับพวกเราผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิไปเป็นหนังหน้าไฟ ให้ไปเสี่ยงอันตรายและขุดเอาสมบัติแทนพวกมัน ช่างรังแกกันเกินไปแล้ว!”


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยอย่างชิงชัง


“พ่อหนุ่ม รีบหนีไปเถอะ อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด ที่นั่นถูกยอดฝีมือของไอ้สวะพ่อมดเถื่อนยึดครองแล้ว ในนั้นยังมีราชันกึ่งระดับคนหนึ่งสั่งการ ไปก็หาที่ตาย” ผู้ฝึกปราณคนอื่นพากันเอ่ยปากเตือน


“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณมาก” หลินสวินพยักหน้าแล้วหายตัวไป


ก่อนหน้านี้เขาถูกพวกมู่หลิงเฟิงตามฆ่าเกือบประสบเคราะห์ ในใจเก็บกลั้นไฟโทสะไว้เต็มอกอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินเรื่องเช่นนี้ ทำให้หลินสวินหาทางระบายออกได้ในทันใด


“เขา… ไม่ฟังที่เตือนเลยหรือนี่ ไม่กลัวตายหรือไงกัน”


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนอึ้งไป พบว่าทิศทางที่เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปนั้นเป็นพื้นที่ที่พวกเขาหนีออกมาก่อนหน้านี้


“ไม่ใช่! พวกเจ้าไม่สังเกตหรือ เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนกับหลินสือเอ้อร์ที่ลือกัน!” บางคนเหมือนรับรู้อะไรบางอย่าง ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้น


“อะไรนะ เขายังไม่ตายหรือ”


“สวรรค์ ข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย! ถูกราชันกึ่งระดับสามคนตามฆ่ากลับยังรอดมาได้ จะแกร่งเกินไปแล้ว!”


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนส่งเสียงฮือฮา ตื่นเต้นไม่หยุดหย่อน พวกเขาลองตรองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งพบเมื่อกี้ก็คือหลินสือเอ้อร์!


เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นถือคันธนูกระดูกขาวคันใหญ่หนาดุดันคันหนึ่ง และคันธนูนี้ก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของหลินสือเอ้อร์แต่เพียงผู้เดียว เป็นที่จดจำอย่างยิ่งไปนานแล้ว!


“พวกเราจะตามไปดูหน่อยไหม”


มีคนเสนอ ทันใดนั้นก็ทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นใจเต้นไม่หยุดหย่อน


“ไป!”


มีคนนำหน้า กัดฟันแล้วกลับไปยังทางเดิมทันที ผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ล้วนรีบตามไป


……


ในพื้นที่ด้านหน้าคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นเตะจมูก บนพื้นยังมีซากศพแหลกเละ ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิ น่าตกใจเมื่อได้เห็น


ชายชราน่าเกรงขามที่ร่างกายราวหลอมขึ้นจากหินผาผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สายตาของเขาเย็นชาเหี้ยมเกรียม กำลังกวาดมองพื้นที่นี้อยู่


เขามาจากสายคนเถื่อนพสุธา มีนามว่าเถิงไห่ ก่อนหน้านี้ฆ่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิไปไม่น้อย และจับกุมผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิมาหลายคน


เวลานี้เขากำลังสั่งการผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเหล่านี้ให้ช่วยเขาขุดอุโมงค์ธรรมชาติแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ นั้น ภายในมีแสงสมบัติพวยพุ่ง แต่ก็มีไอสังหารที่ไม่อาจคาดเดาได้ซ่อนอยู่เช่นกัน


ใกล้กันนั้น ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนส่วนหนึ่งกำลังเฝ้าดูอยู่


“หืม มีปลาว่ายเข้าแหมาเองอีกตัวแล้ว”


เถิงไห่กระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียม “เจ้าหมอนี่กล้าดีนี่ เห็นอย่างนี้ยังกล้าเข้ามาใกล้อีก”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่อยู่บริเวณนั้นก็หัวเราะ สีหน้าล้อเลียนเยาะหยัน


“คนบนพื้นเป็นเจ้าฆ่าใช่หรือไม่” สายตาหลินสวินกวาดมองไปที่ซากศพแหลกเละบนพื้น ดูสงบนิ่งอย่างมาก


ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิจำนวนไม่น้อยที่ถูกจับกุมเป็นทาสในบริเวณนั้นต่างตื่นตระหนก หันสายตามามอง


“มองอะไร อยากตายหรือไง ขุดต่อไป!”


เถิงไห่ตะคอกอย่างโหดเหี้ยม ไอสังหารโอบล้อม


ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเหล่านั้นสีหน้าทั้งเขียวคล้ำและซีดเผือดปนเปกัน สุดท้ายทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน ก้มหัวลงขุดบริเวณที่ใกล้กับอุโมงค์ใต้ดินนั้นต่อไป


“ไอ้หนู ข้าฆ่าแล้วจะทำไม อย่ามานิ่งบื้อ ไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปทำงานกับพวกมัน!”


เถิงไห่แสดงสีหน้าดูแคลน


“เอ๊ะ แปลกชอบกล ผู้อาวุโส เจ้าเด็กนี่เหมือนจะเป็น…” ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เหมือนจะสังเกตเห็นอะไรเข้า หน้าเปลี่ยนสีในทันใด จึงเอ่ยปากเตือน


ปัง!


เขาไม่ทันพูดจบ หลินสวินก็ง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุดแล้วยิงศรแห่งนภาครามออกไป เกิดเป็นเสียงระเบิดดังลั่น ภาพประหลาดปรากฏสู่สายตา กลิ่นอายทำลายล้างน่าหวาดหวั่นปกคลุมทั้งที่นั้นในชั่วอึดใจ


“เป็นมัน!”


ลูกตาของเถิงไห่แทบถลนออกมาเมื่อจำฐานะของอีกฝ่ายได้ สีหน้าก็กระวนกระวายขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็คำรามเดือดดาล พุ่งทะลุเมฆาขึ้นไป


ต้องกล่าวว่าด้วยฐานะราชันกึ่งระดับ การตอบสนองของเถิงไห่ไม่อาจพูดได้ว่าไม่เร็ว แต่อย่างไรเขาก็หลบหนีอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงช้าไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว


ปึ้ก!


ไกลออกไป ผู้ฝึกปราณที่เคยบังเอิญพบหลินสวินก่อนเหล่านั้นก็พากันกรูเข้ามา และเห็นเข้าพอดีว่าศรเทพสีดำทะลวงผ่านร่างเถิงไห่ที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อให้เกิดบุบผาโลหิตแดงฉาน


ประหนึ่งประทัดลอยขึ้นสู่ท้องนภา ดอกไม้ไฟสีแดงดอกหนึ่งระเบิดออกในห้วงอากาศ งดงามทว่าน่าหวาดหวั่น


ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งก็ตายลงต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ความเขย่าขวัญเช่นนั้นทำให้ทุกคนพากันร้องเสียงหลง


พลานุภาพของหนึ่งศรน่าหวาดหวั่นตามที่ร่ำลือกัน!


ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิ ณ ที่นั้นล้วนนึกถึงชื่อเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย หลินสือเอ้อร์!


และก็มีเพียงเขา ถึงได้มีวิชาธนูเย้ยฟ้าปานนี้!


ส่วนผู้แข็งแกร่งจากเผ่าพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นล้วนกลัวไปหมดแล้ว จะคิดได้อย่างไรว่าเด็กหนุ่มที่จู่ๆ ฝ่าเข้ามาคนหนึ่งกลับสังหารราชันกึ่งระดับของพวกเขาด้วยศรเดียว


รวดเร็วเกินไปแล้ว!


ศึกที่ชี้เป็นชี้ตายด้วยศรเดียวเช่นนี้สร้างความสะเทือนขวัญเป็นพิเศษ ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นสมองว่างเปล่า


หลินสวินถือโอกาสนี้ดึงดาบหักออกมาสังหารหมู่อย่างไม่ลังเลสักนิด


เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตามมา ปลุกให้เหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิที่กำลังสะท้านขวัญอยู่ตื่นขึ้นราวเพิ่งตื่นจากฝัน ตอนนี้พวกเขาร้องเสียงดังมุ่งหน้ามาร่วมรบกับหลินสวิน


“ฆ่ามัน!”


“ฆ่าไอ้สวะพ่อมดเถื่อนชิงหมาเกิดพวกนี้ซะ!”


ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเหล่านี้ถูกจับเป็นทาส คับแค้นใจจนแทบบ้าอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ไฟแค้นที่สุมอยู่เต็มอกก็ระบายลงที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเหล่านี้


ออกแรงอยู่ครู่เดียวเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนสิบกว่าคนในที่นั้นก็ถูกสังหารหมู่จนหมดสิ้น เลือดสาดตายคาที่


ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิทุกคนต่างฮึกเหิม พากันเข้าไปกล่าวขอบคุณหลินสวิน สายตามีความเคารพนับถือที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด


หลินสือเอ้อร์แห่งจักรวรรดิ สมคำร่ำลือจริงๆ!


ที่สำคัญกว่าก็คือ วันนี้พวกเขายังได้เด็กหนุ่มช่วยไว้ และได้เห็นอานุภาพที่เขาใช้ศรเดียวปลิดชีพราชันกึ่งระดับ!


จู่ๆ หลินสวินก็ออกจะรับความเร่าร้อนของทุกคนไว้ไม่ไหว กำชับให้พวกเขารีบกวาดทรัพย์หลังศึกให้หมด ส่วนเขากลับมาที่หน้าอุโมงค์ธรรมชาติแห่งนั้น


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ส่วนลึกของอุโมงค์นี้ต้องมีสมบัติอะไรซ่อนอยู่แน่!


แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตได้ว่าในอุโมงค์มีกลิ่นอายอันตรายเย็นยะเยือกเสียดกระดูก ทำให้จิตใจเขาสั่นระรัว


“ในนี้เป็นอะไรหรือ” หลินสวินร้องถามผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง


ผู้ฝึกปราณคนนั้นรีบร้อนตอบว่า “ไม่แน่ใจ แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินราชันกึ่งระดับเผ่าพ่อมดเถื่อนนั่นวิเคราะห์ เห็นว่าสมบัติที่อยู่ในนั้นมีพลังชีวิตน่าตื่นตะลึงถึงที่สุดอยู่ อาจจะเป็นโอสถสมบัติไร้เทียมทานที่เพิ่งตื่นขึ้นจากความเงียบงันก็เป็นได้”


หลินสวินเลิกคิ้ว โอสถสมบัติไร้เทียมทานหรือ


แต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกหวาดกลัวยามมองไปที่ด้านล่างของอุโมงค์นั้น เหมือนมีดวงตาดวงหนึ่งสบตาตนอยู่…


หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วสั่งว่า “พวกเจ้าออกจากที่นี่ไปก่อน ข้าจะลองดูหน่อย จำไว้ ถอยไปยิ่งไกลยิ่งดี”


ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเมื่อได้ยินดังนั้นพากันจิตใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าร่ำไร พากันหลบไปยังบริเวณที่ไกลออกไป


แต่หลินสวินกลับหยิบดาบหักออกมา เมื่อกัดฟันเตรียมจะฟันอุโมงค์ให้เปิดออกอย่างเต็มแรง ฉับพลันทันใด ลำแสงสีเขียวก็พุ่งขึ้นมา!


ชั่วขณะนั้นเขาเห็นอย่างชัดเจน ว่าในส่วนลึกของอุโมงค์นั้นมีดวงตาดวงหนึ่งเบิกกว้างอย่างเย็นชาและเรียบเฉย แผ่แสงสีเขียวน่าหวาดหวั่นออกมา กระบอกตานั้นลึกล้ำราวอวกาศ บังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าพรั่นพรึงอย่างสุริยันจันทราสาดส่องสะท้อนกัน เดือนปีหมุนเวียน


สวบ!


หลินสวินจิตใจสั่นสะท้านไม่สงบ จะยังกล้าลังเลได้อย่างไร สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลัง แล้วหายตัวไปจากที่เดิมในชั่วพริบตา


กระทั่งหนีออกมาเกือบร้อยลี้ ใจเขาก็ยังเต้นระรัวรุนแรง หวาดผวาอย่างยิ่ง น่ากลัวเกินไปแล้ว!


นั่นย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตน่าพรั่นพรึงตัวหนึ่งที่จำศีลอยู่ใต้ปฐพีแห่งนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าจะบรรลุอริยมรรคเหมือนผีเสื้อราตรีสีเลือด จักจั่นขาว และจักจั่นทอง!


‘โอสถสมบัติไร้เทียมทานบ้าบออะไรกัน!’


หลินสวินลอบด่าทอในใจ เหงื่อกาฬท่วมตัว ป่าต้นหม่อนแห่งนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ทุกที่ล้วนมีไอสังหารที่ไม่อาจคาดคิดได้ซุกซ่อนอยู่


ไม่นานนักผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเหล่านั้นก็พากันรุดหน้ามา เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่เป็นอะไรก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนหน้านี้พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบนั้น แม้อยู่ห่างไปไกลลิบ ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจนใจเต้นรัว


ต่อมาผู้ฝึกปราณเหล่านี้ก็แบ่งทรัพย์หลังศึกเกินครึ่งให้หลินสวิน ภายในนั้นมีหินหยกอัศจรรย์ไม่น้อย ทั้งยังมีวัตถุดิบวิญญาณและสิ่งของหายากบางอย่าง


ตอนนี้หลินสวินกำลังต้องการหินหยกอัศจรรย์อยู่พอดี ย่อมไม่เกรงใจเป็นธรรมดา นี่ทำให้เขาถึงกับมีความคิดอย่างหนึ่งว่า…


บางทีอาจจะลองไปล่าสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเหล่านั้น เพื่อรวบรวมหินหยกอัศจรรย์ที่จำเป็นต่อการแปรสภาพดาบหักดีหรือไม่


ตอนที่ 722 อับอายเสียเอง

โดย

ProjectZyphon

ก่อนจากกัน ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเหล่านี้บอกหลินสวินว่าหลายวันมานี้มีข่าวลือไม่สู้ดีเกี่ยวกับเขามากมาย ส่งผลให้ทางผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิต่างเป็นกังวลแทนเขาแทบทั้งสิ้น


ส่วนฝั่งเผ่าพ่อมดเถื่อนกลับยืนกรานว่าเขาถูกราชันกึ่งระดับสามคนตามฆ่า ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย


ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้จริง


ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ความเป็นความตายของหลินสวินมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิทุกคน และเพราะเด็กหนุ่มยังไม่มีข่าวคราวออกมา ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิยิ่งเป็นกังวลและหนักใจ


ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนดูกระชุ่มกระชวยผิดธรรมดา


‘หลินสือเอ้อร์อะไรกัน รอหัวมันหล่นถึงพื้นก็สูญเสียทุกอย่างอยู่ดี!’ นี่เป็นถ้อยคำที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนมากมายเอ่ยออกมา


ที่ทำให้ทุกคนโกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็คืออิ๋งเชวี่ย นายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดยังเรียกรวมผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนหลายคน และคุยโวว่าช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นอย่างลับๆ ป่าวประกาศไปทั่วว่าหลินสือเอ้อร์ถูกปลิดชีพไปแล้ว ใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเสียขวัญกำลังใจ


ต้องกล่าวว่า แม้วิธีการนี้จะไร้ยางอายไปบ้าง แต่กลับได้ผลนัก ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิล้วนเดือดดาลและเศร้าโศก กำลังใจถดถอยเพราะสิ่งนี้


“หรือพูดได้ว่า ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเผ่าพ่อมดเถื่อน หรือฝั่งจักรวรรดิก็เข้าใจว่าข้าตายไปแล้วใช่ไหม” ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดรังสีประหลาด


ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นพยักหน้า


‘อิ๋งเชวี่ย…’


เมื่อหลินสวินนึกถึงคนคนนี้ ก็นึกถึงหลิ่วเหวินที่ตอนนี้ทรยศจักรวรรดิ ไอสังหารในใจไหววูบ กล่าวว่า “ทุกท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”


“คุณชายหลินพูดมาเถิด” ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นพากันเอ่ยปาก


“ช่วยข้ากระจายข่าวออกไปประโยคเดียวว่า ให้ราชันกึ่งระดับสวะพ่อมดเถื่อนพวกนั้นล้างคอรอข้าไว้ได้เลย!”


เฮือก!


ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ ใจเต้นระรัว


……


บริเวณหนึ่งในป่าต้นหม่อน


“นี่ก็ตั้งวันหนึ่งแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวของหลินสือเอ้อร์ผู้นั้น มันต้องตายไปแล้วแน่ ทำให้ข้าเสียดายนัก ข้ายังอยากจะหยั่งรู้ปริศนาแห่งมกุฎมรรคาอยู่เลย แต่ตอนนี้… กลับทำได้เพียงถอดใจ”


อิ๋งเชวี่ยถอนหายใจ


แต่จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “แต่ไม่เป็นไร ในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ยังมีวาสนาที่ไม่อาจประเมินได้อยู่ทั่ว ขอแค่ค่อยๆ เสาะหา ไม่ช้าก็เร็วต้องพบเจอโอกาสแน่”


พูดถึงตรงนี้เขาก็ผุดลุกขึ้น ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา พูดเสียงขรึมว่า “ทุกท่าน การตายของหลินสือเอ้อร์ต้องส่งผลกระทบเกินกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้แน่ เขาไม่เพียงเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา ยังเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแห่งจักรวรรดิมนุษย์ การสิ้นชีพของเขาต้องกระทบกระเทือนจิตใจผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเหล่านั้นอย่างหนักหน่วงยิ่งแน่นอน!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่อยู่ใกล้กันนั้นล้วนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้


หลังจากที่หลินสือเอ้อร์ผู้นั้นมีชื่อเสียงขึ้นในสมรภูมิกระหายเลือด สังหารราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งรวมถึงบุคคลชั้นยอดระดับมหาเวทมากมายอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงสั่นสะเทือน ถึงกับก่อให้เกิดเงามืดปกคลุมเหนือทั้งค่ายเผ่าพ่อมดเถื่อนขึ้นชั้นหนึ่ง ส่งผลให้พวกเขาทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว


คนผู้นี้ เหมือนกลายเป็นดาวดวงใหม่ที่สะดุดตาหาใดเทียบดวงหนึ่งในค่ายจักรวรรดิ ดุจปีศาจเย้ยฟ้า มีชื่อลือทั่วสมรภูมิกระหายเลือด


แต่หากเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นนี้ตายไปเสียแล้ว เช่นนั้นสำหรับฝ่ายจักรวรรดิก็ต้องเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ครั้งหนึ่ง!


“นายน้อยน้อยคิดจะทำเช่นไรขอรับ” หลิ่วเหวินรีบร้อนเอ่ยถาม ดูกระตือรือร้นนัก


ท่าทางประจบประแจงเช่นนี้ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่อยู่ใกล้ๆ รังเกียจ รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ไร้ยางอายเกินไปแล้ว


แต่หลิ่วเหวินไม่สนใจ เขาแค่รู้ว่าต่อไปหากตนต้องการยืนหยัดอย่างมั่งคงในค่ายพ่อมดเถื่อน ก็ต้องเลียแข้งเลียขาอิ๋งเชวี่ย นายน้อยราชนิกุลคนเถื่อนมืดผู้นี้


“สร้างแรงกระเพื่อมต่อไป! ใช้ทุกวิถีทางกระจายข่าวการตายของหลินสือเอ้อร์ให้ทั่วป่าต้นหม่อน ยิ่งใส่สีตีไข่ใหญ่โตเท่าใด ก็ยิ่งสะเทือนจักรวรรดิมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น!”


อิ๋งเชวี่ยลำพองใจ ไม่ปิดบังความคิดของตน แม้วิธีนี้จะดูไม่โสภาไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นศึกระหว่างสองดินแดนใหญ่ ขอเพียงทำให้เผ่ามนุษย์เสียขวัญกำลังใจได้ เช่นนั้นจะโสภาหรือไม่ก็ไม่สำคัญ


“เช่นนั้นก็ทำเช่นนี้!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนตอบรับ


การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็เด็ดขาดและรวดเร็วนัก ไม่นานก็แยกย้ายออกไปติดต่อกับผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่กระจายอยู่ในป่าต้นหม่อนให้ประกาศข่าวไปด้วยกัน


สาเหตุที่พวกเขากระตือรือร้นเช่นนี้ได้ หลักๆ แล้วเป็นเพราะก่อนหน้านี้การมีอยู่ของหลินสือเอ้อร์สร้างเงามืดและแรงโจมตีต่อพวกเขาเผ่าพ่อมดเถื่อนอย่างมาก ทำให้พวกเขาล้วนเดือดดาล เก็บกลั้นไฟโทสะไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว


เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น เพียงอาศัยคันธนูใหญ่ลี้ลับคันหนึ่ง ถึงกับทำให้ราชันกึ่งระดับฝ่ายพวกเขาต้องหวั่นใจ ความรู้สึกเช่นนี้น่าทุกข์ใจเกินไปแล้ว


และตอนนี้ หลินสือเอ้อร์คนนี้ถูกราชันกึ่งระดับตามฆ่า และไม่มีข่าวคราวอะไรออกมา ทำให้พวกมั่นใจว่าเด็กหนุ่มถูกสังหารแล้ว ดังนั้นจึงป่าวประกาศอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ได้


“หลินสือเอ้อร์ตายแล้ว จักรวรรดิพวกเจ้ามีดีเท่านี้หรือ ขนาดเด็กหนุ่มผู้กล้าคนหนึ่งยังปกป้องไว้ไม่ได้ ช่างน่าสลดใจเสียจริง!”


“ฮ่าๆ! ผู้กล้าบ้าบออะไรกัน ในสายตาของผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้า ก็เป็นแค่ตุ๊กตาดินเผาบอบบางไม่มีค่าอะไรด้วยซ้ำ และตอนนี้หลินสือเอ้อร์ตายไปแล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรได้”


ข่าวทำนองนี้เริ่มแพร่ไปทั่วป่าต้นหม่อนราวพายุ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นล้วนหยิ่งผยองลำพองใจ สำหรับพวกเขาแล้ว ข่าวนี้ก็เหมือนข่าวดีที่ใหญ่โตเท่าฟ้าข่าวหนึ่ง สามารถทำให้พวกเขาปรบไม้ปรบมือด้วยความดีใจ


“เหอะๆ นี่หรือผู้กล้าแห่งจักรวรรดิของพวกเจ้า ก็ไม่เท่าไหร่นี่”


“รีบไสหัวไปเถอะ! ไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแต่หลินสือเอ้อร์ สวะจักรวรรดิอย่างพวกเจ้าก็จะโดนฆ่าหมด!”


วาจาเหลือทนเช่นนี้ยังพ่นออกมาจากปากของผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเหล่านี้ ดูเหิมเกริมไม่กลัวเกรง ได้ใจหาใดเทียบ


พวกเขาทนมานานแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยวาจาชั่วร้ายออกมา รู้สึกสาแก่ใจเป็นพิเศษ


ส่วนผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิล้วนตกอยู่ในความโกลาหล ถูกไฟโทสะแผดเผา หดหู่และจนใจ ข่าวการเสียชีวิตเช่นนี้กระทบกระเทือนจิตใจของพวกเขาอย่างยิ่ง


“รังแกกันเกินไปแล้ว!”


ยามได้ข่าวเหล่านี้ แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยตะโกนเสียงดัง หนวดเคราเผ้าผมชี้ขึ้นด้วยความโกรธ เสียงนั้นสะเทือนไปเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินอย่างน่าหวาดหวั่น


แต่นี่กลับทำให้เผ่าพ่อมดเถื่อนยิ่งสะใจ ดังเช่นราชันนภาเพลิงก็เอ่ยปากอย่างดูถูกว่า “เอาแต่เอะอะโวยวาย ดูไร้ความสามารถนัก!”


และในช่วงที่พายุโหมคลั่ง วุ่นวายไม่หยุดหย่อนนี้เอง ข่าวสะเทือนโลกข่าวหนึ่งก็แพร่ออกมา…


“คุณชายหลินยังไม่ตาย! วันนี้ได้เห็นเขาปรากฏตัวกับตา ศรดอกเดียวสังหารเถิงไห่ ราชันกึ่งระดับสายคนเถื่อนพสุธาได้!”


ทันใดนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เซ็งแซ่อยู่เดิมก็เงียบลงทันควันเช่นนี้


ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่คุยโวอย่างลำพองและสาปแช่งอย่างสะใจเหล่านั้นล้วนตกตะลึง ตกอยู่ในความเงียบงัน อ้ำอึ้งพูดไม่ออก


ถูกตบหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนพายุโหม ไม่ทันได้ตั้งตัว!


แม้แต่เหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิก็งงงวยไปบ้าง หลินสือเอ้อร์ยังไม่ตายหรือ หนำซ้ำยังสังหารราชันกึ่งระดับเถิงไห่ด้วยหรือ


“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! ครั้งนี้พวกเราส่งราชันกึ่งระดับสามคนออกไป จะปล่อยให้เด็กนั่นมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”


ในกลุ่มผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน คนใหญ่คนโตบางคนคำรามเดือดดาล พวกเขากำลังตรวจสอบว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จอย่างเต็มที่


ขนาดอิ๋งเชวี่ยที่ช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นอย่างลับๆ สีหน้ายังปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าเด็กนั่นดวงแข็งขนาดนี้เลยหรือ


ไม่นานนักข่าวก็ได้รับารยืนยัน เถิงไห่ถูกฆ่าแล้วจริงๆ ร่างของเขาถูกศรเดียวแทงทะลุ ระเบิดออกเหมือนดอกไม้ไฟ สิ้นชีพอย่างน่าหดหู่หาใดเปรียบ


ฉับพลันในป่าต้นหม่อนก็เหมือนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนทุกคนที่ไม่อยากเชื่อข่าวนี้ล้วนแข็งทื่อเป็นก้อนหิน แทบจะแหลกสลายพังพาบ


เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้


ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่ได้ข่าวนี้ทุกคนต่างโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ สีหน้าแทบกระอักเลือดราวบิดามารดาของตัวเสียชีวิต


นี่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!


ก่อนหน้านี้พวกเขายังป่าวประกาศข่าวการตายของหลินสือเอ้อร์ เยาะเย้ยถากถางผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิอย่างยิ่ง หมายจะใช้โอกาสนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเสียกำลังใจอย่างรุนแรงอยู่เลย


จะคิดได้อย่างไรว่าการโต้ตอบจะกลับมาเร็วเช่นนี้ นี่ช่างเหมือนถูกฝ่ามือไร้รูปตบเข้าอย่างจังจนปวดแสบปวดร้อน


ส่วนฝ่ายผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิกลับล้วนตกตะลึงและยินดีปรีดา ยังไม่ตาย! หลินสือเอ้อร์ยังไม่ตายจริงๆ ด้วย!


ก่อนหน้านี้ไม่นาน จิตใจของพวกเขาถูกกระทบกระเทือนจนหดหู่ซึมเซา โกรธแค้นและอับจนหนทาง จะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าสุดท้ายเหตุการณ์จะพลิกผัน!


“ฮ่าๆๆ คุณชายหลินยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ฆ่าได้ดี!”


“สวะพ่อมดเถื่อนพวกนั้นตาถั่วเสียแล้ว ถึงได้กล้าเพ้อว่าปฐมาจารย์หลินประสบเคราะห์ ช่างน่าขันยิ่ง!”


“เหอะๆ ข้าสงสัยนัก ก่อนหน้านี้ไอ้สวะพ่อมดเถื่อนพวกนั้นยังหยิ่งผยองลำพองใจอยู่เลย ตอนนี้จะทำสีหน้าอย่างไรนะ”


ฝ่ายผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิก็พลุ่งพล่านเต็มที่ ร้องร่าตื่นเต้น กำลังใจฮึกเหิม


“พวกเจ้าสังเกตหรือไม่ คุณชายหลินปรากฏตัวแล้ว หนำซ้ำยังปลิดชีพราชันกึ่งระดับไปคนหนึ่งด้วย แต่ราชันกึ่งระดับสามคนนั้นที่ตามฆ่าคุณชายหลินก่อนหน้านี้กลับไม่มีข่าวคราว นี่จะหมายความว่าพวกเขาถูกคุณชายหลินฆ่าแล้วหรือไม่”


เมื่อเกิดข้อสันนิษฐานนี้ขึ้น ก็สร้างความอึกทึกครึกโครมขึ้นอีกรอบ ทำให้เหล่าบุคคลชั้นยอดจากจักรวรรดิต่างเปลี่ยนสีหน้า ตกตะลึงเสียแล้ว


ส่วนฝ่ายเผ่าพ่อมดเถื่อนนั้น กลับล้วนขนหัวลุกเกรียว มือเท้าเย็นเฉียบ


จริงด้วย หลินสือเอ้อร์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือว่ามู่หลิงเฟิง จินตู้เจิน และชางหลันเสวี่ย ราชันกึ่งระดับสามคนที่ตามฆ่าเขาจะ…


พวกเขาต่างไม่กล้าคิดต่อ


ใครจะไปคิดได้ว่าสุดท้ายหลินสือเอ้อร์ยังไม่ตาย แต่กลับสำแดงอานุภาพมารปีศาจใหญ่โตอีกครั้งหนึ่ง สังหารราชันกึ่งระดับเถิงไห่ กระทั่งพวกมู่หลิงเฟิงยังอาจจะตายด้วยน้ำมือเขา


หากตรองโดยละเอียด ตอนนี้ราชันกึ่งระดับเผ่าพ่อมดเถื่อนของพวกเขาที่ตายด้วยน้ำมือหลินสือเอ้อร์ มีมากถึงห้าคนแล้ว!


นี่เป็นจำนวนที่น่าหวาดดผวา อย่างไรเสียราชันกึ่งระดับก็ไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ แม้แต่ในค่ายพ่อมดเถื่อน ยังเป็นกำลังพลน่าหวั่นเกรงชั้นยอด มีน้อยนิดเพียงหยิบมือ เป็นรองเพียงราชันที่แท้จริง


แต่ตอนนี้กลับมีราชันกึ่งระดับห้าคนประสบเคราะห์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังตายด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง นี่ย่อมกระทบกระเทือนจิตใจเผ่าพ่อมดเถื่อนจนไม่อาจรับไหวได้อีกแล้ว!


ชั่วครู่เดียว เสียงวิพากษ์วิจารณ์กับเสียงเซ็งแซ่ก็ดังราวบรรพตถล่มมหาสมุทรหวีดร้อง ฝั่งผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดินั้น ขนาดแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยยังชื่นชม หัวเราะร่าไม่หยุดหย่อนโดยไม่สงวนท่าที


ด้านราชันนภาเพลิงที่ก่อนหน้านี้เย่อหยิ่งโอหังถึงที่สุด กลับนิ่งเงียบอย่างพบเห็นได้ยาก ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ทำให้เขาตั้งรับไม่ทันเช่นกัน


ส่วนพวกผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนอย่างอิ๋งเชวี่ยก็งงงวยอยู่เช่นนั้น เวลาผ่านไปนานยังพูดไม่ออก


เดิมทีทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาลอบโหมกระพือ ป่าวประกาศอย่างกำเริบเสิบสาน สร้างแรงกระเพื่อมไม่ว่างเว้น จะไปคิดได้อย่างไรว่ายามที่พวกเขาผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนมีกำลังใจฮึกเหิมที่สุด สถานการณ์กลับพลิกผันจนทำให้พวกเขาหดหู่แทบกระอักเลือด แรงกระเพื่อมที่พวกตนสร้างกลับทำให้ฝ่ายตัวเองกระอักกระอ่วนและอัดอั้น จิตใจถูกกระทบกระเทือน ใครจะรับเรื่องนี้ได้กัน


พูดว่าย้ายหินกระแทกเท้าตัวเองยังออกจะเบาไป นี่เรียกได้ว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน รนหาความอับอายเสียเองโดยแท้!


“อ๊าก!”


ในที่สุดอิ๋งเชวี่ยก็ทนไม่ไหวแล้ว ร้องคำรามเดือดดาล โกรธจนสั่นไปทั้งตัว ดวงตาถลนออกมา “หลินสือเอ้อร์ ข้าจะฆ่าเจ้า!”


ตอนที่ 723

โดย

ProjectZyphon

อันที่จริงเรื่องนี้ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน


การสร้างชื่อและแต่งแต้มชุดหนึ่ง สุดท้ายกลับกลายเป็นผลงานอันทรงอานุภาพและเกริกก้องของหลินสวิน นี่ทำให้อิ๋งเชวี่ยโมโหแทบบ้า


สีหน้าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงดูไม่ได้ยิ่งนัก โกรธจนควันออกหู พวกเขาไร้ที่ระบาย แม้แต่สายตาที่มองหลิ่วเหวินต่างเจือความอาฆาตแค้นวูบหนึ่ง


ช่วยไม่ได้ ในที่นั้นมีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นเผ่ามนุษย์แห่งจักรวรรดิ


หลิ่วเหวินสีหน้าคล้ำเขียว รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ เขาเองก็อัดอั้นยิ่งยวดเช่นเดียวกัน เขามีความคั่งแค้นต่อหลินสวินนานแล้ว แทบอยากให้อีกฝ่ายถูกสังหารโดยเร็ว แต่ความเป็นจริงกลับโหดร้ายเช่นนี้!


ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองที่สุดคือ ไอ้พวกสวะพ่อมดเถื่อนนี่ถึงกับเอาความแค้นมาลงที่เขาอย่างไร้เหตุผล เป็นดังคาด ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมมีใจแตกต่างสินะ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้หลินสวินปรากฏตัวออกมาทั้งยังมีชีวิต อาศัยผลงานการต่อสู้อันเกริกก้องพลิกสถานการณ์ในคราเดียว สุดท้ายกลับทำให้ขวัญกำลังใจของเผ่าพ่อมดเถื่อนถูกโจมตีเต็มๆ พังทลายลงอย่างรวดเร็ว


ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนมากมายต่างวิตกกังวลใจ คิดถึงว่า เมื่อหลินสือเอ้อร์นั่นยังมีชีวิตอยู่ นี่ไม่เพียงแค่โจมตีขวัญกำลังใจธรรมดา ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องสาหัสสากรรจ์คล้ายกันอีก!


จริงดังคาด ความกังวลของพวกเขาเกิดขึ้นแล้ว ในวันนั้นมีผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิประกาศคำพูดแทนหลินสวิน…


“คุณชายหลินบอกว่า ให้ราชันกึ่งระดับสวะพ่อมดเถื่อนพวกนั้นล้างคอรอเขาไว้ได้เลย!”


หินก้อนเดียวก่อเกิดคลื่นพันชั้น!


ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นต่างตะลึงงัน เจ้าหมอนี่… ยังจะกระทำการป่าเถื่อนต่องั้นรึ


ส่วนบรรดาราชันกึ่งระดับยิ่งใจสั่นระรัว ทั้งตระหนกทั้งขุ่นเคือง


ไอ้หมอนี่แม่งหมายหัวมาที่พวกเขาแล้ว! ไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ สินะ!


แต่พวกเขากลับไม่อาจไม่หวาดกลัว ช่วยไม่ได้ ราชันกึ่งระดับที่ตายในมือหลินสวินมากเหลือเกิน ครั้งเดียวอาจเป็นโชค แต่เมื่อปรากฏบ่อยครั้งนั่นก็ไม่อาจเอาโชคดีมาบรรยายได้แล้ว


เมื่อสามราชันเถื่อนอย่างราชันนภาเพลิง ราชันอำพันทอง ราชันเมฆาอสนีทราบข่าวนี้ต่างโกรธจนผมตั้ง โมโหจนสีหน้าถมึงทึง


เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง อยู่ในป่าต้นหม่อนกลับกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ เห็นคนแก่อย่างพวกเขาเป็นเครื่องประดับรึไง


“คุณชายหลินเยี่ยมไปเลย!”


“อะไรที่เรียกว่าห้าวหาญเกรียงไกรดุจพยัคฆ์ ก็นี่ไงล่ะ!”


“สวรรค์มีตา จักรวรรดิเรามีผู้กล้าอย่างคุณชายหลินเช่นนี้ เป็นโชคดีแห่งจักรวรรดิยิ่งแล้ว”


ทางด้านผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิล้วนอึกทึกพลุ่งพล่านโดยสมบูรณ์ ความเลื่อมใสยกย่องที่มีต่อหลินสวินถึงขั้นเป็นประวัติการณ์


เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับสังหารราชันกึ่งระดับประหนึ่งดื่มน้ำจิบชา ใครเล่าจะไม่ยอมรับ ไม่อัศจรรย์ใจ ไม่ยกย่องสรรเสริญ



วันนั้น แม้แต่หลินสวินที่หาหินหยกอัศจรรย์ในป่าต้นหม่อนยังได้ยินคลื่นลมและข่าวคราวเหล่านี้ แค่เขาเองคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะอึกทึกพลุ่งพล่านเช่นนี้ อยู่นอกเหนือจากที่เขาคาดไว้โดยสมบูรณ์


ระหว่างทางหลังจากนั้นยิ่งเกิดเรื่องบางอย่างที่ทำเอาหลินสวินหัวเราะไม่ออก ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนส่วนหนึ่งซึ่งพบเจอระหว่างทาง ยังไม่รอให้ตนลงมือก็เหมือนนกหวาดเกาทัณฑ์ ตกใจจนหน้าซีดขาว หนีเตลิดเปิดเปิง


ส่วนผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิส่วนหนึ่งที่พบเจอกลับเข้ามาทักทายอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ละคนแววตาเปล่งประกาย มองจนหลินสวินอึดอัดไปทั้งตัวอยู่บ้าง


เมื่อรู้ว่าหลินสวินกำลังหาหินหยกอัศจรรย์จำนวนหนึ่ง ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ยิ่งใจกว้าง ล้วงห่อสัมภาระแล้วแบ่งหินหยกอัศจรรย์ที่รวบรวมได้ในหลายวันนี้ให้หลินสวินส่วนหนึ่ง


ไร้ผลงานย่อมไม่ควรรับรางวัล หลินสวินไหนเลยจะยอมรับ เพียงแต่เขาทานความกระตือรือร้นยิ่งของอีกฝ่ายไม่ไหว อีกทั้งหากไม่ยอมรับก็จะดูเหมือนเป็นการดูถูกฝ่ายตรงข้าม


ท้ายที่สุดหลินสวินได้แต่ยอมรับความหวังดีเช่นนี้


แค่เพียงสองวันหลินสวินก็ได้รับหินหยกอัศจรรย์เต็มห่อสัมภาระใบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยๆ ก็มีมากถึงห้าหกร้อยก้อน


นี่ทำให้หลินสวินแอบแลบลิ้นกับตัวเอง ความเร็วนี้ไวยิ่งกว่าตนคนเดียวไปควานหามากยิ่งนัก


เดิมทีหลินสวินยังระแวดระวังอยู่บ้าง ถึงอย่างไรแรงกระเพื่อมที่เขาก่อครานี้ก็ใหญ่หลวงนัก แม้ราชันกึ่งระดับสามคนอย่างพวกมู่หลิงเฟิงจะไม่ได้ตายด้วยมือเขา แต่ตอนนี้ต่อให้เขาอธิบาย เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำ


ประกอบกับที่เขาเคยป่าวประกาศว่าจะฆ่าราชันกึ่งระดับเผ่าพ่อมดเถื่อนต่อ จึงกลายเป็นจุดสนใจไปนานแล้ว


ในเวลาเช่นนี้หลินสวินไม่สงสัยเลยสักนิด เผ่าพ่อมดเถื่อนเสียเปรียบมากขนาดนี้มีหรือจะยังอดกลั้นได้อีกหรือ


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ศัตรูไม่มีทางเลิกราแค่นี้เป็นอันขาด!


ดังนั้นในการเคลื่อนไหวหลังจากนั้นหลินสวินจึงระวังตัวอย่างยิ่งมาตลอด เขาถึงขนาดคาดเดาว่าในหมู่ราชันของเผ่าพ่อมดเถื่อนนั่นอาจมีคนอยากลงมือกับตนอย่างอดรนทนไม่ไหว


แต่ไม่ช้าเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหัน ช่วยหลินสวินคลี่คลายภยันตรายที่เคลือบแฝงทั้งมวลอย่างไร้รูป


เนื่องเพราะวันนี้ซากปรักหักพังในส่วนลึกสุดของป่าต้นหม่อน จู่ๆ เกิดปรากฏการณ์ประหลาดสะเทือนใต้หล้า มีหมอกเมฆสีเขียวปริศนาจับตัวกันเป็นบุปผา ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า


ภาพนี้ช่างไม่ต่างอะไรจาก ‘บุปผาสวรรค์โปรยปราย’ ในตำนาน


ขณะเดียวกันในบริเวณนั้นปรากฏตำหนักมรรคปริศนาหลังหนึ่ง แค่เพียงบันไดก็มีเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ประดุจบันไดสู่สวรรค์!


ตำหนักมรรคยิ่งใหญ่ตระหง่านง้ำอยู่กลางฟ้าดิน แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไพศาลไร้ขีดจำกัด ย้อมฟ้าดินแถบนั้นด้วยกลิ่นอายยิ่งใหญ่โชติช่วงชั้นหนึ่ง


นี่เป็นสัญญาณว่าวาสนาใหญ่กำลังมาเยือนโดยไม่ต้องสงสัย!


ชั่วขณะเดียว ไม่ว่าจะฝั่งจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อนล้วนอึกทึกครึกโครม คนใหญ่คนโตชั้นยอดทั้งมวลต่างถูกทำให้ตกใจ รีบเร่งไปอย่างเต็มกำลังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ในเวลาเช่นนี้ คนใหญ่คนโตเหล่านั้นจะมัวมาใส่ใจหลินสวินอีกได้อย่างไร


แต่เมื่อเป็นดังนี้กลับทำให้หลินสวินผ่อนคลายไม่น้อย เขาใคร่ครวญ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจออกจากป่าต้นหม่อนแห่งนี้!


เขารวบรวมหินหยกอัศจรรย์มากพอแล้ว บรรลุจุดประสงค์การเดินทางครานี้ และแน่ใจว่าสามารถทำให้ดาบหักเกิดการเปลี่ยนสภาพอีกครั้ง


สำหรับตำหนักมรรคปริศนาที่จู่ๆ อุบัติขึ้นนั่น แม้ในใจหลินสวินอยากรู้อยากเห็นมาก แต่กลับเยือกเย็นยิ่ง รู้ว่าด้วยความสามารถของตน ไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย


บางทีตนอาจสามารถจู่โจมสังหารราชันกึ่งระดับได้ แต่นั่นล้วนแต่พึ่งพาอานุภาพของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม อย่างมาก็ใช้ได้แค่ครั้งเดียว ไม่อาจสู้ศึกยืดเยื้อได้


ในเวลาเช่นนี้การไปช่วงชิงวาสนากับพวกราชันที่แท้จริง นั่นคงเบื่อชีวิตเกินไปแล้ว


อีกทั้งหลินสวินมีลางสังหรณ์ว่า สรรพชีวิตน่าหวาดหวั่นซึ่งจำศีลในแต่ละบริเวณของป่าต้นหม่อนพวกนั้น จะต้องไม่มีทางอยู่เงียบๆ แน่!


จริงดังคาด ระหว่างที่หลินสวินล่าถอย เขาได้ยินเสียงร้องจักจั่นทะลวงเมฆา จากนั้นกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ชวนประหวั่นหนึ่งก็พวยพุ่ง ทะยานไปยังส่วนลึกสุดของป่าต้นหม่อน


ในขณะเดียวกันอีกบริเวณหนึ่งก็ปรากฏแสงโลหิตทั่วฟ้า ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวหนึ่งพัดโหมลมกาฬวาต เริ่มเคลื่อนไหวประดุจหลุมดำกลืนกินสรรพสิ่ง


ตูม!


ที่ทำให้หลินสวินขนพองสยองเกล้าที่สุดคือ ในบริเวณที่เขาฆ่าราชันกึ่งระดับเถิงไห่ มังกรเจียวหลงขนาดใหญ่มหึมาสีเขียวมรกตยาวประมาณพันจั้งตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อบอวล เปล่งเสียงมังกรคำรามแหวกอากาศออกไป


เห็นได้ชัดว่ามังกรเจียวหลงสีครามนั่นคือสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่จำศีลอยู่ใต้ดินในส่วนลึกของอุโมงค์นั่น!


‘แม้แต่สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวซึ่งก้าวสู่อริยมรรคล้วนออกเคลื่อนไหว ในตำหนักมรรคนั่นซ่อนความลับสะเทือนใต้หล้าระดับใดกันแน่’


ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน


แต่ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ความคิดจะออกจากป่าต้นหม่อนของเขาหนักแน่นยิ่งขึ้น


บริเวณใกล้ๆ ตำหนักมรรคนั่นจะต้องเกิดการนองเลือดที่ไม่อาจคาดเดาแน่ เกรงว่าแม้แต่ราชันของจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อนยังต้องเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต!


หลินสวินไม่อยากรั้งอยู่ในแดนผีสิงนี่อีกต่อไปแล้ว


วาสนาแม้ยิ่งใหญ่ หากไร้ความสามารถไปแย่งชิง ต่อให้ไปก็เป็นได้แค่หนังหน้าไฟ



วันต่อมา


แม้ตื่นตระหนกแต่หลินสวินก็หวนกลับมาถึงพื้นที่ทางเข้าป่าต้นหม่อนอย่างไร้อันตราย เมื่อมาถึงที่นี่เขาก็อดเป่าปากโล่งอกไม่ได้


ตลอดทางมานี้อันตรายเหลือเกิน ระหว่างทางปรากฏสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงมากมายต่อเนื่อง ถึงแม้ไม่มีระดับอริยะ แต่กลับมีสิ่งดุร้ายระดับราชันไม่ขาด


อย่างเช่นหอกสำริดหักพังด้ามหนึ่งที่ราวกับมีจิตวิญญาณ เปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์มืดสลัว เห็นชัดว่าเป็นอาวุธอริยมรรคซึ่งหักพังชิ้นหนึ่ง แต่พลานุภาพกลับร้ายกาจยิ่งกว่าราชันที่แท้จริงอยู่สามส่วน


ยังมีดอกไม้สีทองที่มีกลิ่นอายมารประหลาดต้นหนึ่ง ระหว่างกลีบดอกที่พลิ้วไหวมีแสงทองสายแล้วสายเล่ายิงออกมาดุจฝนกระบี่ แหวกอำลายห้วงนภา


นี่เห็นชัดว่าเป็นระดับราชันอีกหนึ่งอย่าง!


นอกจากนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตซึ่งแปลกประหลาดและไม่อาจระบุมากมาย ล้วนประหนึ่งตื่นขึ้นจากความเงียบสงัด พุ่งทะยานไปยังส่วนลึกป่าต้นหม่อนนั่น


หลินสวินเคยเห็นกับตาตนเอง ระหว่างทางผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่หนีหลบ ไม่ว่าจากจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน เมื่อใดที่ถูกสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวเหล่านี้พบเข้า แทบทุกคนล้วนถูกเด็ดชีพไปอย่างดุดันป่าเถื่อน


นี่ก็คือป่าต้นหม่อนซึ่งมีฉายาว่า ‘แดนมารย้อมโลหิตเทพ’ และเวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็รับรู้ถึงความน่าพรั่นพรึงของที่นี่อย่างลึกซึ้ง


เทียบกับ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ของส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณแล้ว แทบไม่ด้อยไปกว่ากันเลย!


“ยังดี ครั้งนี้ไม่เข้าไปใกล้ตำหนักมรรคปริศนานั่น ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” หลินสวินแค่ลองนึกก็หนาวสั่นอยู่ในใจ


เขาหาได้ลังเลไม่ มุ่งหน้าออกไปนอกป่าต้นหม่อนทันที


บนเส้นทางมีผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิและผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนมากมายกำลังหนีตาย พวกเขาเองก็สังเกตเห็นถึงอันตรายเหมือนกับหลินสวิน เพื่อรักษาชีวิตจึงไม่กล้ารั้งอยู่ต่อไปอีก


หืม?


เพิ่งออกจากป่าต้นหม่อนไม่นาน ในสัมผัสจิตวิญญาณของหลินสวินพลันสังเกตเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยหนึ่ง


หลิ่วเหวิน!


เจ้าหมอนี่กำลังเผ่นหนีตามผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มหนึ่ง ท่าทางรีบร้อน


จากนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นอิ๋งเชวี่ย นายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดในหมู่ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนนั้น


‘เหอะๆ โลกช่างกลมซะจริง…’


มุมปากหลินสวินปรากฏรัศมีโค้งเย็นเยียบ เขาติดตามไปอย่างไม่รีบร้อน


“หงุดหงิดโว้ย! ครั้งนี้ไม่เพียงฆ่าหลินสือเอ้อร์นั่นไม่ได้ แม้แต่วาสนาก็ไม่มีโอกาสให้พวกเราสอดมือ!”


อิ๋งเชวี่ยหน้าตาอึมครึม พวกเขากำลังพุ่งไปเบื้องหน้า


เวลานี้ไม่ว่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิหรือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนล้วนกำลังเผ่นหนี ใครต่างไม่มีความคิดต่อสู้กันอีก


“นายน้อย ไม่จำเป็นต้องหมดกำลังใจ ตราบใดที่ขุนเขายังขจีย่อมไม่กลัวไร้ฟืนเผา อาศัยรากฐานของท่านตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องสามารถก้าวสู่มกุฎมรรคาได้แน่!”


หลิ่วเหวินกระวีกระวาดส่งเสียงปลอบประโลม


“ที่ข้าแค้นคือปฏิบัติการครานี้ไม่เพียงแต่เสียแรงเปล่า ยังทำให้หลินสือเอ้อร์นั่นกิตติศัพท์เลื่องลืออีกครั้ง! ไอ้สวะบัดซบนี่ หากไม่ใช่ว่ามีธนูยักษ์ลี้ลับคอยช่วย ไหนเลยจะสามารถมีพลังพลิกฟ้าเช่นนี้”


ทันทีที่กล่าวถึงหลินสวิน อิ๋งเชวี่ยก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาปูดโปนแทบถลน


หลิ่วเหวินเองก่นด่าสาปแช่ง “นายน้อย คนเช่นหลินสือเอ้อร์จะต้องประสบเภทภัยแย่ มันทำตัวโดดเด่นเกินไป ดังคำกล่าวที่ว่าไม้เด่นเกินไพร ลมย่อมพัดหักโค่น ตอนนี้ยิ่งมันเผยตัวอย่างโดดเด่นสะดุดตา รอเมื่อภัยมาเยือนก็จะยิ่งตายอย่างอนาถ!”


“เช่นนั้นหรือ”


เวลานี้เองน้ำเสียงทุ้มต่ำเรียบเฉยหนึ่งพลันดังขึ้น ทำเอาหลิ่วเหวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ตระหนกจนเกือบขวัญหนีดีฝ่อ เสียงนี้…


เขาคุ้นเคยดีทีเดียว!


ตอนที่ 724 ควบรวมพลังจิต

โดย

ProjectZyphon

หลินสือเอ้อร์!


หลิ่วเหวินประหนึ่งถูกฟ้าผ่า อึ้งงันไปทั้งตัว คิดไม่ถึงสักนิดว่าเพิ่งหนีออกจากป่าต้นหม่อนแดนผีสิงนั่นมา ดันมาเจอกับหลินสือเอ้อร์กะทันหัน


“นายน้อยระวัง!”


หลิ่วเหวินคำราม ในเวลาเช่นนี้ปฏิกิริยาแรกของเขากลับเป็นการเตือนอิ๋งเชวี่ย ไม่อาจไม่พูดถึง เจ้าหมอนี่ช่างมีศักยภาพของผู้ทรยศจริงๆ


ฟุ่บ!


แต่ยามเสียงหลิ่วเหวินเพิ่งดังขึ้น เขาก็เห็นว่าลำคออิ๋งเชวี่ยที่อยู่ข้างกายพลันมีรูโหว่ชุ่มเลือดเพิ่มขึ้นมารูหนึ่ง


เห็นชัดว่าอิ๋งเชวี่ยหาได้ป้องกันแม้แต่น้อย สีหน้าเขายังคงตื่นตระหนก กระทั่งใกล้ตายแล้วยังไม่อาจจินตนาการว่าตนจะประสบเคราะห์กะทันหันเช่นนี้


เขาคือราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดเชียวนะ!


เป็นมือสังหารโดยกำเนิด ก้าวเดินในเงามืด ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิหน้าเปลี่ยนสี


แต่ตอนนี้ เขากลับถูกคนจู่โจมสังหารภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันสังเกตเห็นโดยสมบูรณ์…


พรวด!


โลหิตแดงสดสายหนึ่งพุ่งออกจากลำคออิ๋งเชวี่ย สาดพรมทั่วหน้าหลิ่วเหวิน ชวนตระหนกจนเขาเปล่งเสียงหวีดร้อง ขวัญหนีดีฝ่ออย่างอดไม่อยู่


ตายแล้ว?


หลิ่วเหวินรู้สึกแย่ไปทั้งตัว ในใจถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ


อิ๋งเชวี่ย นี่น่ะเป็นถึงนายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืด เป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งค่ายทัพพ่อมดเถื่อน ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายตั้งความหวัง คิดว่าจากนี้เขามีความโอกาสสูงยิ่งที่จะกลายเป็นจักรพรรดิเถื่อนผู้ก้าวสู่มกุฎมรรคา!


แต่ตอนนี้อิ๋งเชวี่ยกลับตายแล้ว…


หลิ่วเหวินไม่ได้โศกเศร้าเพื่ออีกฝ่าย แต่การทรยศของเขาครานี้นำความหวังทั้งหมดฝากไว้กับตัวอิ๋งเชวี่ย ยังมุ่งหวังว่าจากนี้สามารถอาศัยความชอบจากอิ๋งเชวี่ยก้าวย่างอย่างมั่นคงในเผ่าพ่อมดเถื่อน


แต่ตอนนี้ ความหวังทุกอย่างล้วนดับสลายแล้ว!


หลิ่วเหวินรู้สึกราวฟ้าจะถล่ม ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นด้วยหวาดผวาและงุนงง


ริมหูยินเสียงโรมรันดุเดือด เสียงร้องทุรนทุรายโหยหวน เสียงปะทะของพลังอันน่าหวาดกลัว…


แต่หลิ่วเหวินกลับประหนึ่งตกตะลึงขวัญหาย ความหวังของเขาจบสิ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ทรยศ เขาไม่อาจหวนคืนค่ายจักรวรรดิได้อีก


และหลังจากการตายของอิ๋งเชวี่ย ทางเผ่าพ่อมดเถื่อนนั่นก็จะไม่มีที่ของเขาอีก หลิ่วเหวินสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังเหลือจะเอ่ยอย่างหนึ่ง


“เป็นเจ้าจัดการตัว หรือจะให้ข้าลงมือ?”


น้ำเสียงหลินสวินดังขึ้นริมหูราวฟ้า ร้องกับเสียงฟ้าผ่า ทำเอาหลิ่วเหวินสะดุ้งตื่นจากความสิ้นหวังไร้สิ้นสุดในฉับพลัน


เมื่อมองออกไปก็เห็นว่าบนพื้นทั่วทิศเต็มไปด้วยซากศพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ส่วนหลินสือเอ้อร์ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น มองมาที่ตนอย่างเงียบๆ


ไกลออกไปอีก ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิส่วนหนึ่งกำลังรุมล้อมส่งเสียงกระซิบกระซาบ แต่ละคนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยความสบประมาทและรังเกียจ


จบสิ้นแล้ว!


ฟางเส้นสุดท้ายภายในใจหลิ่วเหวินขาดสิ้น หัวสมองพลันว่างเปล่า


“ข้าแค้นนัก! หากไม่ใช่เจ้าหลินสือเอ้อร์ ข้าไหนเลยจะทรยศจักรวรรดิ ไหนเลยจะตกต่ำถึงทุกวันนี้”


หลิ่วเหวินราวเสียสติโดยสมบูรณ์ สีหน้าบิดเบี้ยวตะโกนลั่น


นัยน์ตาเขาคั่งโลหิตจ้องมองหลินสวินอย่างเหี้ยมเกรียม แทบอยากจะกลืนกินทั้งเป็น “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! เป็นความผิดของเจ้า…!”


ระหว่างคำราม เขาก็ถือดาบศึกพุ่งเข้ามา


ฉึบ!


ไม่รอให้เข้าประชิด ลำคอหลิ่วเหวินก็ถูกดาบหักตัดขาด ศีรษะชโลมเลือดกระเด็นขึ้นเหนือฟ้า กระทั่งก่อนตายเขาก็ยังมีท่าทางเหี้ยมโหดผูกพยาบาท


หลินสวินหมุนตัวจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง


คนอย่างหลิ่วเหวิน ต่อให้ตายก็ไม่สำนึกเสียใจสักนิด กลับนำความผิดทั้งหมดมาโทษใส่เขา ตายไปก็ไม่น่าเสียดายสักนิด


ก่อนจะจากไป หลินสวินมองกลับมายังป่าต้นหม่อนซึ่งอยู่เบื้องหลังวูบหนึ่ง ที่นั่นหมอกโลหิตแผ่กว้าง เร้นลับไม่อาจรับรู้


แต่หลินสวินแน่ใจว่าส่วนลึกสุดของป่าต้นหม่อนนั่น มีพายุคาวเลือดหนึ่งกำลังเปิดฉาก โอบล้อมตำหนักมรรคปริศนาซึ่งปรากฏออกมา


‘ที่นี่มีอริยะจำศีล ซ่อนความลับมากเหลือเกิน สักวันหนึ่งอาจได้หวนกลับมาเสาะหาอีกครั้ง!’


หลินสวินนึกถึงจักจั่นทองที่เคร่งขรึมมีสง่าตัวนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงความฝันที่แทบจะเหมือนไร้สาระเต็มกลืนของมัน…


ฝันว่าสักวันหนึ่ง สรรพชีวิตทั้งมวลบนโลกนี้ล้วนสามารถกลายเป็นอริยะ!



ยามสายัณห์วันนี้ก่อนรัตติกาลมาเยือน ในที่สุดหลินสวินก็กลับสู่ค่ายหมายเลขเจ็ด


“เจ้าหนูอย่างเจ้ายังไม่ตายรึ”


เมื่อทราบข่าว หลูเหวินถิงราวกระต่ายเฒ่าผุดกระโดดหน้าตาตื่น


หลายวันนี้ของเขาแทบจะผ่านไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน วิตกหวาดกลัว เกรงแต่จะได้ยินข่าวร้ายบางอย่างเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม


แต่ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายกลับมาอย่างปลอดภัย พาให้เขาเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย


จากนั้นหลูเหวินถิงก็เริ่มตำหนิและพร่ำบ่น “คนอย่างเจ้านี่ช่างดื้อรั้นซะจริง บอกจะไปก็ไป เจ้าไม่รู้รึว่ามันอันตรายมากแค่ไหน เจ้ารู้ไหมหากเจ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด เจ้ารู้ไหมว่า…”


หลินสวินมึนงงไปชั่วขณะ ขณะกำลังหาโอกาสกลับห้องตนเอง เสียงตวาดสนั่นหวั่นไหวดั่งอสนีบาตหนึ่งก็ดังก้องขึ้น…


“เจ้าเด็กนี่ยังมีหน้ากลับมาอีก!”


แม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยเองก็ปรากฏตัวหลังทราบข่าวแล้ว สีหน้าเดือดดาล มาถึงก็ดุว่ายกหนึ่ง เสียงพูดดังจนได้ยินไปทั้งค่าย


หลินสวินรู้ว่าการเคลื่อนไหวครานี้ของตนทำพวกเขากังวลยิ่ง รู้ตัวว่ามีเหตุผลให้โดนดุแล้ว จึงได้แต่ยืนรับการอบรมอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง


นี่หากให้ยอดบุคคลในป่าต้นหม่อนพวกนั้นเห็นเข้าคงตกใจจนกรามค้าง ใครจะกล้าคิด หลินสือเอ้อร์ที่กร้าวแกร่งดุจเทพมารหนุ่มถึงกับมีช่วงเชื่องเชื่อว่านอนสอนง่ายเช่นนี้?


จ่างซุนเลี่ยระบายเพลิงโทสะยกหนึ่งแล้วจึงปล่อยหลินสวิน แต่ก่อนจากไปยังคงกล่าวเตือน ว่าหากหลินสวินกล้าไม่ฟังคำสั่งแล้วกระทำการคนเดียวอีกจะไม่เอาเขาไว้แน่


กระทั่งรัตติกาลเยื้องกราย หลินสวินจึงได้กลับห้องตนเองในที่สุด


ครืด!


หลินสวินเปิดห่อสัมภาระออก หินแร่ วัตถุดิบวิญญาณแน่นขนัดนานัปการไหลออกมาดั่งกระแสน้ำเต็มพื้น


นอกจากผลึกวิญญาณชั้นสูงส่วนหนึ่งซึ่งเดิมเป็นของเขาเองแล้ว สิ่งอื่นล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้จากป่าต้นหม่อนทั้งสิ้น


ในนั้นมีวัตถุดิบวิญญาณหายาก และมีหินแร่ลึกลับซึ่งไม่รู้ประโยชน์ใช้สอย แผ่นเหล็กที่แตกหัก หนังและขนเปื้อนเลือดเป็นต้น


สิ่งที่มีเยอะที่สุดคือหินหยกอัศจรรย์ มีถึงห้าหกร้อยก้อน!


หลินสวินคัดกรองครู่หนึ่ง เก็บจัดแยกตามประเภท สมบัติส่วนหนึ่งในนั้นแม้ใช้ไม่ได้ชั่วคราว แต่มูลค่ากลับไม่อาจประเมิน ภายหลังอย่างไรคงมีเวลาที่ได้ใช้


ท้ายที่สุดเขานำดาบหักออกมาเสียบลงในกองหินหยกอัศจรรย์นั่น


“น่าจะพอให้ดาบหักฟื้นฟูและแปรสภาพได้โดยสิ้นเชิงอีกครั้ง…”


หลินสวินจ้องมองดาบหักซึ่งเริ่มดูดซึมพลังชีวิตปริศนา นัยน์ตาฉายแววเฝ้ารอวูบหนึ่ง


ฟู่…


ไม่นานนัก หลินสวินก็นั่งสมาธิบนเตียงเริ่มสงบจิตใจ


ครั้งนี้ในป่าต้นหม่อนเขาเจอทุกขลาภ ได้นั่งสมาธิบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั้นคืนหนึ่ง ทำให้พลังปราณก้าวกระโดดสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง


อีกทั้งการบรรลุเช่นนี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นบนพลังปราณเท่านั้น แม้แต่พลังจิตวิญญาณเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินคราหนึ่ง!


และตอนนี้หลินสวินเพิ่งมีเวลาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงพวกนี้


ในห้วงนิมิต เคล็ดเวทบริกรรมโคจร ปรากฏจันทราน้ำแข็งดวงหนึ่งชั่วพริบตา ดวงดาวแห่งจิตนับหมื่นพันถูกจุดประกาย ล้อมพิทักษ์โอบรอบจันทร์เพ็ญ แสงศักดิ์สิทธิ์ใสเย็นพลิ้วล่อง


ที่ต่างจากอดีตคือ ปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างนี้พลันถูกแสงแรงกล้าหาใดเปรียบสายหนึ่งฝังกลบ!


นั่นคือตะวันดวงใหญ่เจิดจรัสหาใดเทียมดวงหนึ่ง เคลื่อนคล้อยลอยเด่นกลางอากาศเหนือห้วงนิมิต รัศมีแสงชัชวาลส่องประกายรุ่งโรจน์ กลายเป็นนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวในห้วงนิมิต!


ตึง!


จิตวิญญาณของหลินสวินพลันสั่นสะเทือน เกิดแรงสะท้านอย่างรุนแรง จากนั้นก็ประหนึ่งทลายเครื่องพันธนาการซึ่งปกคลุมจิตวิญญาณชั้นหนึ่งออก มีความรู้สึกเหมือนจะปลดเปลื้องโบยบินอย่างหนึ่ง


ระหว่างที่เคลิ้มลอยหลินสวินประดุจมาอยู่เหนือห้วงฟ้า ยิ่งบินยิ่งสูง ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดล้วนปรากฏเป็นจุดเล็กๆ ให้เห็นในใจ


ทหารยามเฝ้าค่าย ผู้ฝึกปราณที่สำเริงสำราญร่ำสุราในร้านเหล้า หลูเหวินถิงที่กำลังยุ่งอยู่ในกองพลาธิการ รวมถึงเสียงหลอมอาวุธดังตึงตังที่กองยุทโธปกรณ์…


ทุกภาพฉาก ทุกเสียง ราวกระแสน้ำมหาศาลที่ถาโถมสู่ใจหลินสวิน


หมอกฝุ่นบนฟากฟ้า ลมปนกลิ่นคาวเลือดในอากาศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ฝึกปราณแต่ละคนล้วนถูกหลินสวิน ‘เห็น’ ทั้งหมด


หืม?


เมื่อหลินสวิน ‘มอง’ ไปยังที่พำนักของจ่างซุนเลี่ยซึ่งอยู่ห่างออกไป กลับเห็นแค่แสงศักดิ์สิทธิ์ตรงดิ่งทะลวงเมฆาสายหนึ่ง ผ่าเผยทรงพลัง ประดุจไฟสงครามโหมกระหน่ำ ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต


ทุกสิ่งในนั้นไม่อาจถูกรับรู้โดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังทำให้หลินสวินสัมผัสถึงความกดดันและหวาดหวั่นซึ่งไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่ง


นี่ก็คือพลานุภาพของราชันระดับสังสารวัฏหรือ ไม่อาจถูกสืบเสาะและจับจ้องได้โดยง่าย!


พรึ่บ!


เวลาถัดมา หลินสวินก็เก็บพลังจิตวิญญาณของตนกลับคื


“หืม?” แทบจะในเวลาเดียวกัน ในห้องจ่างซุนเลี่ยที่อยู่ห่างไกลมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น “พลังจิตวิญญาณของเจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งยิ่งนัก นี่คือพลังจิตที่ควบรวมออกมางั้นรึ”


เขาพลันผุดลุกขึ้น นัยน์ตาทอแสงยากคาดเดา “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นจริง เจ้าสัตว์ประหลาดน้อยนี่ถึงกับทำได้ล่วงหน้าหนึ่งก้าว แม่งช่างเย้ยฟ้าซะจริง!”


……


‘เคล็ดเวทบริกรรมระดับสาม ‘ตะวันจรัสแสง’!’


ในห้องพักหลินสวินเกิดความรู้แจ้งในใจ “อีกทั้งจิตวิญญาณได้ควบรวม ‘พลังจิต’ ออกมาแล้ว ทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่คือความอัศจรรย์ของห้วงคำนึงแห่งพลังจิต”


‘นี่แหละคือจิตรับรู้!’


‘พลังซึ่งมีเพียงผู้ฝึกปราณที่ควบรวมพลังจิตออกมาได้จึงจะได้ครอบครอง เมื่อถึงขั้นนี้สามารถใช้จิตรับรู้มาต่อสู้! ขอแค่พลังจิตไม่ดับมอดก็ไม่มีทางถูกฆ่าตาย!’


‘เพียงแต่…’


หลินสวินนึกถึงตรงนี้ กลับมีความรู้สึกงุนงงอย่างหนึ่ง


พลังจิตและจิตรับรู้ นี่คือพลังที่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้นจึงจะมีได้ แต่ตอนนี้กลับถูกเขายึดกุมล่วงหน้า!


จิตวิญญาณ เกี่ยวเนื่องกับการหยั่งรู้และสติปัญญาของผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง วิเศษอัศจรรย์ไม่อาจจินตนาการที่สุด จิตวิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง คุณประโยชน์ซึ่งนำมาขณะฝึกปราณก็ยิ่งมาก


นี่เป็นเรื่องที่คนในโลกแห่งการฝึกปราณต่างรับรู้!


และเมื่อครองพลังจิตก็สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณมีกลวิธีพิศวงอย่าง ‘หนึ่งใจหลายกระทำ’ ‘จิตขับเคลื่อนพิฆาตศัตรู’ ‘อนุมานโชคเคราะห์’ เป็นต้น


‘หยั่งสัจจะขั้นสูงระดับสมบูรณ์ พลังแห่งจิตวิญญาณควบรวมพลังจิตออกมา ขาดแค่การเคี่ยวกรำวิชายุทธ์และขอบเขตการหยั่งรู้แล้ว…’


หลินสวินนั่งสมาธิพลางครุ่นคิด


ที่เขาแสวงหาคือมกุฎมรรคาซึ่งแข็งแกร่งที่สุด คือมหามรรคที่สมบูรณ์ไร้บกพร่อง ด้วยเหตุนี้เมื่อฝึกปราณถึงระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงสมบูรณ์ จึงไม่อาจไม่เริ่มคิดใคร่ครวญถึงการเลื่อนไประดับกระบวนแปรจุติ!


และการทะลวงระดับสำหรับหลินสวินอาจไม่ถึงขั้นยุ่งยากนัก แต่หากเขาคิดจะก้าวเดินไปในมกุฎมรรคาแห่งตนต่อไป จำเป็นต้องให้พลังทั้งมวลเคี่ยวกรำถึงขั้นสมบูรณ์ก่อนการบรรลุระดับ!


เวลานั้นจึงจะเรียกได้ว่าบริบูรณ์อย่างแท้จริง!


เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น


หลินสวินซึ่งกำลังนั่งสมาธิถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงใสกังวานกะทันหัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาอดเผยความประหลาดใจวูบหนึ่งไม่ได้


เกือบจะเวลาเดียวกัน ในค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิ มีข่าวใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับป่าต้นหม่อนส่งมาจากแนวหน้า พลันจุดชนวนความปั่นป่วนโกลาหลฉากหนึ่งขึ้นทันที


ตอนที่ 725 มรดกอักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรค

โดย

ProjectZyphon

ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ข่าวเกี่ยวกับศึกนองเลือดในป่าต้นหม่อนทยอยถูกสายสืบของจักรวรรดิในแต่ละพื้นที่ส่งข่าวกลับมา


เพียงแต่ข่าวที่ส่งมาเช้านี้กลับเห็นได้ว่าไม่ธรรมดายิ่งนัก


“คุณชายหลินสือเอ้อร์ง้างธนูสังหารราชันกึ่งระดับสี่คน สยบศัตรูทั้งมวล! ประกาศศักดาจักรวรรดิเรา!”


“นายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดอิ๋งเชวี่ยถูกคุณชายหลินสือเอ้อร์สังหาร คนทรยศหลิ่วเหวินรับโทษถูกตัดหัว!”


“ศึกป่าต้นหม่อน คุณชายหลินผงาดกร้าวฆ่าสังหาร ใช้ฝีมืออันเยี่ยมยอดฆ่าฟันศัตรู ทำเอาผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนแค่ได้ยินก็กลัวหัวหด!”


ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของหลินสวินด้านแล้วด้านเล่าโปรยปรายทั่วค่ายหมายเลขเจ็ดราวเกล็ดหิมะ ก่อเกิดความฮือฮาในหมู่ผู้ฝึกปราณโดยพลัน


“คุณชายหลินดุจเทพเซียนเกินไปแล้ว!”


เหล่าหวงหัวหน้าทหารยามประจำค่ายตื่นเต้นจนตบเข่าฉาด ทั่วหน้าเปล่งประกาย


“เจ้าเด็กนี่… ทำข้ากังวลแทนเขา ใครเล่าจะคาดคิดว่าเขากลับป่าเถื่อนเช่นนี้…”


กองพลาธิการ หลูเหวินถิงซึ่งกำลังจัดการงานหลวงตกใจแทบสะดุ้งโหยง แต่จากนั้นก็เป็นสุขอย่างยิ่ง สบายอกสบายใจหาใดเปรียบ


ผู้ฝึกปราณซึ่งมาแลกเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญที่กองพลาธิการวันนี้ต่างพบเจอเรื่องเกินคาด ด้วยหลูเหวินถิงผู้มีชื่อว่าหน้าเหล็กเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้มมาตลอดในอดีต วันนี้กลับกระตือรือร้นและเป็นกันเองผิดปกติ


ทุกครั้งที่เห็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง เขาก็ยิ้มกล่าวคราหนึ่ง “ไอ๊หยา คืนนี้จะต้องไปดื่มเหล้ากับคุณชายหลิน ในฐานะสหายต้องแสดงความยินดีกับเขาให้เต็มที่!”


ดังนั้นจึงนำมาซึ่งสายตาอิจฉา อย่าว่าแต่เป็นเพื่อนกับคุณชายหลินสือเอ้อร์เลย แค่ร่ำสุรากับเขาเพียงคราเดียวก็เป็นเกียรติพิเศษอย่างหนึ่งแล้ว


“ปฐมาจารย์หลินไม่เพียงมีความรู้ลึกซึ้งเป็นเลิศบนวิถีสลักวิญญาณจนใครๆ ต่างแหงนมอง แม้แต่บนวิถียุทธ์วิถีปราณก็เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าไร้เทียมทาน!”


กองยุทโธปกรณ์ นักสลักวิญญาณทั้งหมดเบิกบานภาคภูมิ ฮึกเหิมและภูมิใจ แม้แต่ปรมาจารย์อิงยังลูบหนวดเคราผงกศีรษะเห็นด้วยไม่หยุด


“หลิ่วเหวินกลายเป็นผู้ทรยศ…”


หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราหูทงในใจสับสนยิ่ง คาดไม่ถึงสักนิด หลิ่วเหวินที่เขาคิดว่าตายไปแล้วไม่เพียงมีชีวิตรอด ยังทรยศจักรวรรดิไปพึ่งพาเศษสวะพ่อมดเถื่อน


“คนพรรค์นี้สมควรลงพันมีดหมื่นแล่ ไม่ให้ตายดี!”


อาปี้ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าเคียดแค้นชิงชังและรังเกียจ “ข้าบอกได้แค่ คุณชายหลินสังหารได้ดี!”


พูดถึงตอนท้ายสุด นางนึกถึงผลงานอันเกริกก้องลือกระฉ่อนเกี่ยวกับหลินสวินที่ป่าต้นหม่อนวันนี้ ในใจเกิดความรู้สึกเหลือจะเอ่ยวูบหนึ่ง


เด็กหนุ่มที่ถูกนางเห็นเป็นเจ้าหน้ามนในตอนแรก ถึงกับเป็นผู้กล้าที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้าคนหนึ่ง ตอนนั้นนางยังประกาศศักดาหมาย ‘คุ้มกะลาหัว’ ฝ่ายตรงข้ามอยู่เลย!


ระหว่างกลุ่มผู้ฝึกปราณสี่ห้ากลุ่ม ทั้งในโรงเตี๊ยม บนท้องถนน ต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์ ผลงานเจิดจรัสครานี้ของหลินสวินพาให้พวกเขาไม่อาจไม่พอใจ ไม่อาจไม่อัศจรรย์ใจ


อย่างไรเสียเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง นับจากปรากฏตัวที่สมรภูมิกระหายเลือดกลับจู่โจมสังหารราชันกึ่งระดับมากมายต่อเนื่อง นี่เห็นได้ว่าไม่อาจจินตนาการเกินไปแล้ว!


โครม!


โต๊ะทำงานเบื้องหน้าจ่างซุนเลี่ยถูกซัดละเอียดอีกครั้ง ครานี้เขาหน้าตาพิลึกพิลั่น ปากบ่นอุบอิบไม่หยุด “ไอ้เฒ่าระยำราชันกระหายเลือดนี่ไปหาสัตว์ประหลาดเช่นนี้จากไหนกัน นี่มันเทพชัดๆ! ข้ามีชีวิตอยู่จนป่านนี้ มีอัจฉริยะแบบใดที่ไม่เคยเห็นบ้าง แต่ยังไม่เคยพบใครเย้ยฟ้าเยี่ยงเจ้าเด็กนี่…”


นอกประตูได้ยินเสียงโต๊ะทำงานแตกละเอียด ทหารยามมุมปากกระตุกหนักหน่วงไม่หยุด เขาพลันปวดหัว ช่วงนี้เพราะหลินสือเอ้อร์คนเดียวทำท่านแม่ทัพตบโต๊ะพังไปหลายตัว คราวนี้เยี่ยมเลย ต้องเปลี่ยนโต๊ะใหม่อีกแล้ว…


‘ดูท่า ช่วงนี้คงต้องทำโต๊ะเตรียมไว้เยอะหน่อย…’


ทหารยามตัดสินใจกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะเขารู้สึกว่าจากนี้ขอแค่หลินสือเอ้อร์ยังอยู่ในค่ายหมายเลขเจ็ด เหตุการณ์คล้ายคลึงกันคงต้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง เตรียมโต๊ะทำงานไว้เยอะหน่อยคงไม่เลว


ไม่เพียงแต่ค่ายหมายเลขเจ็ด ในค่ายอื่นของจักรวรรดิ เมื่อข่าวของหลินสวินแพร่ไปถึงก็ประหนึ่งเป็ฯระเบิดลูกใหญ่ เปิดฉากเสียงอึกทึกและวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน


“คุณชายหลินสือเอ้อร์ ผู้กล้าไม่เป็นสองรองใคร!”


นี่คือคำประเมินอันเป็นเอกฉันท์ของผู้ฝึกปราณส่วนมาก



ภายในห้อง สายตาหลินสวินถูกดึงดูดแน่นหนา


วิ้ง…


ดาบหักกำลังเปล่งประกาย หมุนคว้างกลางอากาศติ้วๆ บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหินหยกอัศจรรย์ที่แหลกละเอียด


ดาบหักแปรเปลี่ยนแล้ว!


ตัวดาบที่ดำสนิทดุจรัตติกาลนิรันดร์เปลี่ยนเป็นขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ แทบจะโปร่งแสง กระจ่างเป็นประกายราวเจียระไนจากหยกมันแพะ


ประกายดาราเพริศแพร้วเป็นสายๆ ดั่งฝันเสมือนภาพลวงตา ทำให้ดาบหักเปล่งพลานุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน


มันไม่อำมหิตชวนประหวั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก กลับมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง แวววาวเปล่งประกาย ระลอกคลื่นปริศนาไหลเวียน


หลินสวินในขณะนี้รู้สึกตกตะลึง


ช่างดั่งมายาและเจิดจ้าเหลือเกิน เสมือนผลงานชิ้นเอกแห่งสรวงสวรรค์!


ชิ้ง!


หลินสวินกุมมันไว้ในมือ มันมีน้ำหนักเบาราวว่างเปล่า ประดุจหยิบยกขนนกหนึ่ง คมดาบแผ่ประกายดาราดั่งหยาดพิรุณ ส่องสว่างห้องอันหมองหม่น ย้อมกลิ่นอายบริสุทธิ์ผุดผ่อง


หลินสวินเลื่อนสายตาไปยังผิวดาบ ตรงนั้นมีลายมรรคหนาแน่นแต่ชัดเจนปรากฏอยู่ภายในตัวดาบหักที่คล้ายโปร่งแสง


เพียงแค่มองปราดเดียวก็ทำให้หลินสวินใจสะท้าน สัมผัสถึงพลังไพศาล เร้นลับ ไร้สิ้นสุดอย่างหนึ่ง


นี่คือการเปลี่ยนแปลงซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน!


หลินสวินใช้จิตรับรู้ไปสำรวจลายมรรคปริศนานั่นอย่างอดไม่อยู่


สวบ!


เหตุไม่คาดฝันพลันปรากฏ ดาบหักจู่ๆ ก็หายไป ขณะเดียวกันในห้วงนิมิตของหลินสวินก็สั่นไหว สะเทือนอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เสมือนถูกสิ่งแปลกปลอมหนึ่งแทรกเข้าไป


‘นี่มัน…’


ทันใดนั้นหลินสวินค้นพบอย่างน่าตะลึงว่า ดาบหักถึงกับปรากฏอยู่ในห้วงนิมิตของตน ขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ใสจนแทบจะโปร่งแสง ละอองแสงแผ่พลิ้วออกมา ใสเย็นดุจภาพฝัน


เมื่อหลินสวินโคจรพลังจิต แค่พริบตาพลันเกิดการขานรับอันน่าอัศจรรย์กับดาบหักในห้วงนิมิต


ราวดาบหักได้เปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตน กลายเป็นผู้คุ้มกันพลังจิต มีความรู้สึกดุจเป็นสายเลือดเดียวกันอย่างหนึ่ง


อีกทั้งตัวดาบหักเองก็ได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างไร้รูปจากพลังจิต เปล่งเสียงขับขานยินดี ฉวัดเฉวียนเริงระบำรอบพลังจิตไม่หยุด


พรึ่บ!


เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด ดาบหักก็โฉบออกมาโดยพลัน แหวกอากาศออกมาดุจสายฟ้าแลบสีขาวหิมะเจิดจ้า เสียงดาบครวญกู่ก้อง ทำเอาเครื่องเรือนภายในห้องกลายเป็นจุณ สั่นสะเทือนจนกลายเป็นฝุ่นผง


หลินสวินอ้าปากค้าง อานุภาพแข็งแกร่งมาก!


สวบ…


ต่อจากนั้นดาบหักก็โฉบอยู่กลางห้วงอากาศตามเจตจำนงของหลินสวิน คล้ายปลาน้อยแคล่วคล่องตัวหนึ่ง สะบัดหางละอองแสงประกายดาราเป็นสายๆ เริงระบำส่องประกายตามอำเภอใจในห้องเล็กแคบ


ครืน ครืน…


แต่อานุภาพที่ดาบหักปล่อยออกมา กลับทำห้วงอากาศกระเพื่อมไหวรุนแรงดั่งกระแสน้ำ ส่งเสียงอึกทึกสนั่นหู


บ้านทั้งหลังส่ายไหว สั่นระรัวรุนแรงขึ้นมา


เห็นดังนี้ในใจหลินสวินผงะไปชั่วขณะ ขับเคลื่อนความคิดทันใด ดาบหักพลันกลายเป็นแสงกระจ่างสายหนึ่งหายไปในห้วงนิมิต


ภายในห้องจึงสงบลง


แต่จิตใจหลินสวินกลับไม่อาจนิ่งสงบเนิ่นนาน ค่อนข้างตื่นเต้นพอควร


เขาฉุกนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ตนใช้ดาบหักผิดแต่แรก สมบัติชิ้นนี้สามารถเรียกได้ว่า ‘ดาบคมศาสตราจิต’ ที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์


เหตุใดจึงเรียกว่าศาสตราจิต


นั่นก็คือสมบัติที่อาศัย ‘จิต’ ควบคุมบังคับ!


ก็เหมือนดั่งกระบี่เทพเมื่อครั้งบรรพกาลในตำนาน กระบี่บินเล่มหนึ่งฟาดฟันภูตผีเทวดา ตัดสะบั้นฟ้าดิน ปั่นป่วนหยินหยาง!


สรุปง่ายๆ ก็คือเป็นสมบัติที่สามารถอาศัยจิตรับรู้บังคับ เรียกว่า ‘ศาสตราจิต’ โดย ‘จิต’ นี้ก็คือการเรียกขานของพลังจิต


สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ บนโลกในปัจจุบันน้อยนักที่จะพบเห็น ช่างหาได้ยากเกินไปแล้ว แม้แต่ในมือสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างราชันระดับสังสารวัฏยังไม่มี!


หลินสวินมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ยิ่งรู้ดีถึงความยากพบเห็นของศาสตราจิต เนื่องจากวัตถุดิบวิญญาณที่ใช้หลอมศาสตราจิตหายากเกินไป เป็นสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่อาจร้องขอ


อย่างหลินสวินฝึกปราณจวบจนตอนนี้ แม้เคยได้รับของแปลกพิสดาร วัตถุดิบวิญญาณล้ำค่าหาใดเปรียบนานัปการ แต่กลับไม่เคยเจอวัตถุดิบวิญญาณที่สามารถนำมาหลอมศาสตราจิตได้


วัตถุดิบวิญญาณประเภทนี้มักถูกนักสลักวิญญาณเรียกว่า ‘เจตวัตถุ’


ฟู่…


สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หลินสวินควบคุมความตื่นเต้นภายในใจเต็มกำลัง เริ่มนั่งสมาธิสงบจิต หวนนึกถึงดาบหักซึ่งลอยเคว้งกลางห้วงนิมิต


ดาบหักแปรสภาพครานี้ ลายมรรคบนพื้นผิวซึ่งแต่เดิมเลือนรางเปลี่ยนเป็นคมชัดขึ้นมา เห็นชัดถึงความวิเศษอัศจรรย์


ตูม!


ทันทีที่จิตรับรู้ของหลินสวินสัมผัสลายมรรคปริศนานั่น ทั้งจิตวิญญาณพลันประสบแรงปะทะน่าหวาดกลัว เกิดความรู้สึกราวแหลกสลาย


เขาส่งเสียงอึดอัดในคอคราหนึ่ง พลังจิตสั่นระรัว


‘ตะวันจรัสแสง!’ หลินสวินโคจรเคล็ดเวทบริกรรมโดยไม่ลังเล กลางห้วงนิมิตตะวันดวงใหญ่ทะยานกลางฟ้า รัศมีแสงโชติช่วงชัชวาล เจิดจรัสแรงกล้า ยิ่งใหญ่ร้อนแรง


ทันใดนั้นพลังจิตซึ่งเดิมประหนึ่งถูกแหวกผ่าจนสั่นระรัวกลับมามั่นคงใหม่อีกครั้ง นี่ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความหวาดผวา การจู่โจมเมื่อครู่เกรงว่าแม้แต่มหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติก็ยังต้านทานไม่อยู่


หากไม่ใช่เพราะความอัศจรรย์ของเคล็ดเวทบริกรรม หลินสวินก็สงสัยนักว่าพลังจิตของตนคงพังทลายสิ้น!


จากนั้นหลินสวินก็ไม่อาจใส่ใจเรื่องพวกนี้ได้อีก ด้วยจิตใจของเขาถูกค่ายกลเรียบง่ายหาใดเปรียบหนึ่งดึงดูด


นั่นคือค่ายกลที่สะท้อนลายมรรคปริศนาบนผิวดาบหัก เก่าแก่และไพศาล ร่างอักษร ‘ปฐม’ ออกมา


ทุกขีดทุกเส้นล้วนประหนึ่งร่องรอยแห่งมหามรรค ประทับพลังมหามรรคอันเร้นลับ มีพลังเกินคาดเดาปานดึงจิตวิญญาณผู้คนให้จมดิ่งลึกถลำอย่างหนึ่ง


ครืน!


รอเมื่อหลินสวินลองหยั่งสัมผัส พลังมรดกดุจห้วงมหาสมุทรพลันโถมซัดเข้าสู่พลังจิตของหลินสวิน


นี่กลับเป็นมรดกวิชาหนึ่ง มาจากลายมรรคปริศนาซึ่งสลักบนดาบหัก!


แค่พริบตาเท่านั้น ในก้นบึ้งจิตใจหลินสวินเกิดการหยั่งรู้มากมายไม่อาจจินตนาการ ประดุจความรู้แจ้งทั้งมวลประทับสู่จิตอย่างชัดเจน


‘ที่แท้มรดกที่ค่ายกลลายมรรคหลงเหลือไว้ ก็กล่าวถึงวิชาในการใช้ดาบหัก…’


ครู่ใหญ่หลินสวินก็หยั่งถึงโดยสมบูรณ์ ในใจพบทางสว่างฉับพลัน


นี่ทำให้เขาไหวหวั่นคือ ภายในดาบหักถึงกับมีวิชาลับจิตขับเคลื่อนที่เสริมส่งกันและกัน นี่ก็เห็นได้ว่าไม่อาจคาดฝันเกินไปแล้ว


หลินสวินรู้ชัดว่าหากคิดหมายอยากได้มรดกวิชานี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนี้ดาบหักเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็คงไม่มีโอกาสได้เลิกม่านปริศนาที่ปกคลุมดาบหักออก


ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ว่าพลังจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนเป็นทรงพลังหาใดเปรียบจนควบรวมพลังจิตออกมาได้ ทั้งยังครอบครองเคล็ดเวทบริกรรม คงไม่อาจได้รับมรดกเช่นนี้เหมือนกัน!


กระทั่งครู่ใหญ่หลินสวินสงบลงแล้ว ก็พลันเห็นว่า ใกล้ๆ อักษร ‘ปฐม’ บนค่ายกลลายมรรค ยังมีค่ายกลปริศนาอีกสามภาพ


เพียงแต่พวกมันช่างเลือนรางแทบจะไร้รูป ได้แค่มองเห็น แต่ปริศนาภายในกลับไม่อาจถูกหยั่งถึงโดยสิ้นเชิง


‘ดูท่า มรดกวิชาของดาบหักคงแบ่งเป็นสี่ส่วน ตอนนี้ข้ามีแค่วิชาลับส่วนแรกที่เป็นการใช้จิตขับเคลื่อนดาบหัก’


‘และหากหมายจะได้มรดกวิชาลับส่วนที่สอง เกรงว่าคงได้แต่รอเวลาที่ดาบหักจะแปรสภาพครั้งที่สองแล้ว…’


หลินสวินใคร่ครวญ


ตอนที่ 726 ข่าวโกลาหลนองเลือด

โดย

ProjectZyphon

ยามเย็น บริเวณที่ห่างจากค่ายหมายเลขเจ็ดหลายสิบลี้


ฉัวะ!


แสงหิมะจ้าโฉบออกมา ลากหางประกายดาราเจิดจรัส ฟันลงบนยอดเขาหนึ่งไม่ไกลโดยพลัน


ตูม!


ดุจดาบหั่นเต้าหู้ ยอดเขาถูกผ่าเป็นสองซีกอย่างง่ายดาย หน้าตัดราบเรียบ


นี่ยังไม่จบสมบูรณ์ ก็เห็นดาบหักที่แวววาวเจิดจ้าราวโปร่งแสงนั่นกะพริบไม่หยุด บ้างผ่า บ้างฟัน บ้างเฉือน บ้างแทง วิถีโคจรที่พาดผ่านแหวกอากาศเป็นรอยแยกน่าตกตะลึง


จากนั้นพลันยินเสียงกระหึ่มครืนๆ เป็นห้วงๆ


ยอดเขาซึ่งสูงราวหลายสิบจั้งถูกหั่นเป็นหินมหึมาก้อนแล้วก้อนเล่าเป็นระเบียบ จากนั้นจึงกลิ้งตกร่วงหล่นลง


พรึ่บ!


และตอนนี้ ดาบหักบินกลับมาลอยคว้างเหนือกายหลินสวินนานแล้ว เจิดจ้าดุจหยก ใสสะอาดแวววาว ประกายดาราใสเย็นอันบริสุทธิ์ไหลบ่าเอ่อล้น ไม่มีความเสียหายแม้เพียงเสี้ยว


หลินสวินหยุดยืนอยู่ตรงนั้น สงบจิตครุ่นคิด


ที่เรียกว่าวิชา ‘จิตขับเคลื่อน’ ไม่ได้ซับซ้อน เป็นการใช้จิตรับรู้ควบคุมศาสตราจิตอย่างหนึ่ง


ระหว่างพลังจิต ปราณแห่งตน ศาสตราจิตสามสิ่ง ก่อสัมพันธ์เสริมส่งกันและกัน ปราณแห่งตนยิ่งแข็งแกร่ง อานุภาพที่ศาสตราจิตสำแดงยิ่งน่าพรั่นพรึง


และหากพลังจิตยิ่งกร้าวแกร่ง การควบคุมศาสตราจิตก็ยิ่งเลิศล้ำและแคล่วคล่องดังใจนึก


เช่นเดียวกัน อานุภาพจากตัวศาสตราจิต สามารถทำให้ปราณแห่งตนและพลังจิตยิ่งสำแดงความยอดเยี่ยมได้ถึงที่สุด


แต่ทว่าพูดนั้นง่าย เมื่อลงมือฝึกจริงๆ กลับไม่ง่าย มรดกค่ายกลลายมรรคอักษร ‘ปฐม’ ของดาบหัก แฝงความซับซ้อนและเร้นลับยิ่งยวด หากคิดควบคุมอย่างช่ำชองสมบูรณ์จำเป็นต้องลงมือฝึกฝนไม่หยุดหย่อน


‘อาศัยเพียงอานุภาพดาบหักในปัจจุบัน เทียบกับแต่ก่อนแล้วทรงพลังกว่าเท่าหนึ่ง และเมื่อควบคุมด้วยจิตขับเคลื่อน อานุภาพจะยกระดับขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่ อนุมานจากจุดนี้ หากประมือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีก ก็เพียงพอให้ปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย…’


‘จุดที่ต่างจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารคือ พลังที่ดาบหักผลาญไปนั้นไม่มาก ขอแค่ไม่เจอราชันกึ่งระดับก็สามารถให้ข้าต่อสู้ได้เนิ่นนาน’


หลินสวินทำการเปรียบเทียบครู่หนึ่งอยู่ในใจ


เวลาต่อมาหลินสวินเคี่ยวกรำวิชาจิตขับเคลื่อนต่อเนื่อง จากตะกุกตะกักเป็นเชี่ยวชาญ คืบหน้าอย่างราบรื่น ผลลัพธ์น่าพึงใจ


และในเวลาเดียวกันนี้ ก็เห็นขุนเขาสูงชันรกร้างในบริเวณใกล้เคียงลูกแล้วลูกเล่าทรุดถล่มสนั่นหวั่นไหว เกิดเสียงกึกก้องอึกทึกเป็นระลอก


ไม่นานผู้ฝึกปราณแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดก็ถูกทำให้ตกใจ ทยอยมามุงดู


เริ่มแรกผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างตื่นตะลึง เพราะในภาพความทรงจำของพวกเขา วิธีต่อสู้ที่หลินสวินชำนาญที่สุดคือวิชาธนู


อีกทั้งในสมรภูมิกระหายเลือดทุกวันนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าวิชาธนูของคุณชายหลินเรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร


ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่หลินสวินฝึกฝนไม่ใช่วิชาธนู เหล่าผู้ฝึกปราณจึงตื่นตะลึงเช่นนี้


แต่ไม่ทันไรพวกเขาก็ใคร่รู้ว่านอกจากวิชาธนูแล้ว ความเชี่ยวชาญในวิชาต่อสู้ด้านอื่นๆ ของคุณชายหลินเป็นเช่นไร


จากนั้นเมื่อเห็นหลินสวินควบคุมดาบหัก ทลายภูผาสูงตระหง่านราวหักสะบั้นหญ้าแห้งไม้ผุลูกแล้วลูกเล่า ทำให้บริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลองกับตา ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง จิตใจเปลี่ยนจากอยากรู้อยากเห็นเป็นตื่นตระหนก


พวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆ เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่เพียงมีวิชาธนูที่เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า แม้แต่วิชาต่อสู้อื่นๆ ก็ล้วนเห็นได้ว่าน่าอัศจรรย์!


“หรือว่าคุณชายหลินเป็นบุตรเทพโดยกำเนิดในตำนานรึ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”


ผู้ฝึกปราณมากมายจิตใจสั่นไหว


“หากประมือกัน เกรงว่าข้าคงต้านการโจมตีเดียวของคุณชายหลินไว้ไม่อยู่”


เหยียนเฟิงเองก็มา เขาจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาใดเปรียบ แววตาเคลิ้มลอย


ในฐานะมหายุทธ์ชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดที่มีชื่อเสียงโจษจันคนหนึ่ง เวลานี้เหยียนเฟิงกลับกล่าววาจาเช่นนี้ พลันก่อเกิดเสียงอึกทึกจากผู้ฝึกปราณมากมายที่อยู่ใกล้เคียงทันที


“วิชาจิตขับเคลื่อน ดาบหักในมือเขาเล่มนั้นคือศาสตราจิต!”


ส่วนลึกในค่าย จ่างซุนเลี่ยแววตาไหวระริก แผ่แสงอสนีชวนตระหนก “หนึ่งธนู หนึ่งดาบหัก ล้วนทรงอานุภาพเช่นนี้ หรือเจ้าเด็กนี่มีวาสนาใหญ่ติดตัวรึไง”


กระทั่งรัตติกาลมาเยือน หลินสวินจึงหวนกลับค่ายด้วยหน้าตาอ่อนเพลีย


เพียงแต่ในใจเขากลับเปี่ยมด้วยความปิติยินดีและพอใจ วิชาจิตขับเคลื่อนที่ถ่ายทอดมาจากลายมรรคอักษร ‘ปฐม’ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์เกินคาดเดา ความแข็งแกร่งแห่งอานุภาพของดาบหักทำให้เขารู้สึกเหนือคาดหมาย


“คารวะคุณชายหลิน”


“ปฐมาจารย์หลิน เมื่อไหร่ท่านจะออกสังหารพวกสวะพ่อมดเถื่อนอีก ข้าอยากติดตามบุกตะลุยโจมตีข้าศึกพร้อมท่าน!”


“คุณชายหลิน ค่ำนี้มีเวลาว่างไหมขอรับ ขอดื่มสุรากับท่านสักจอกได้หรือไม่”


ระหว่างทางกลับค่าย ผู้ฝึกปราณที่ได้พบต่างทยอยทักทายหลินสวินอย่างกระตือรือร้น สายตาแฝงความเคารพเลื่อมใสและยกย่องสรรเสริญ


หลินสวินอมยิ้มคารวะตอบ สำหรับคำเชื้อเชิญเหล่านี้ล้วนปฏิเสธสิ้น ตอนนี้เขามัวเมาอยู่กับการเคี่ยวกรำวิชา ไม่มีเวลาไปผ่อนคลายหรือคบค้าสมาคม


รัตติกาลเยื้องกราย โคมตะเกียงในค่ายจุดสว่าง


แต่ทว่าคืนนี้ถูกกำหนดให้ไม่อาจนิ่งสงบ ไม่ทันไรสายสืบของจักรวรรดิคนหนึ่งก็เสี่ยงเข้ามาในค่ายยามราตรี เร่งรุดไปยังห้องแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ย


“อะไรนะ แม่ทัพซย่าโหวเจี๋ยตายแล้ว?”


ภายในห้อง เสียงตระหนกเดือดดาลของจ่างซุนเลี่ยดังก้องขึ้น พร้อมกับเสียงดังโครมใหญ่ โต๊ะทำงานเบื้องหน้าเขากลายเป็นซากไม้ปลิวว่อนอีกครา


“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”


จ่างซุนเลี่ยข่มความตกตะลึงในใจ ซักถามเสียงกร้าว


สุดท้ายหลังจากรู้เรื่องทั้งหมด สีหน้าจ่างซุนเลี่ยพลันอึมครึมถมึงทึงหาใดเปรียบ จมสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์ ไม่เอ่ยสักคำ


เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดตกอยู่ในความสั่นสะท้าน ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างหวาดกลัวอยู่ในใจ บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังและเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด


กลางดึกเมื่อคืน ข่าวใหม่ล่าสุดจากป่าต้นหม่อนประหนึ่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างจมสู่ความหวาดหวั่นตื่นตระหนก


แม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิ ราชันระดับสังสารวัฏซย่าโหวเจี๋ย… ตายแล้ว!


นี่คือเรื่องใหญ่ยิ่งอย่างที่สุด ประดุจพายุที่พาให้ผู้คนยากยอมรับ


ราชัน เป็นบุคคลผู้มีพลังชั้นยอดที่สุดของค่ายแห่งหนึ่ง เสมือนเข็มเทพใต้สมุทร สยบทศทิศ ทำให้ศัตรูไม่กล้าบุ่มบ่ามมารุกราน


แต่ตอนนี้ราชันคนหนึ่งสิ้นชีพแล้ว นั่นก็เหมือนกับฟ้าถล่มไปด้านหนึ่ง ไม่ว่าใครล้วนยากจะสงบนิ่ง!


“จากข่าวได้ยินว่า ป่าต้นหม่อนปรากฏตำหนักมรรคปริศนาหลังหนึ่ง ซ่อนแฝงวาสนายิ่งใหญ่สะเทือนใต้หล้า ดึงดูดสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวซึ่งจำศีลในป่าต้นหม่อนมากมายมาช่วงชิง และแม่ทัพซย่าโหวเจี๋ยก็ถูกสังหารในการแก่งแย่งนี้”


“น่ากลัวเกินไปแล้ว ได้ยินว่าสิ่งที่ฆ่าคือมังกรเจียวหลงสีเขียวซึ่งก้าวสู่อริยมรรคตัวหนึ่ง แค่เพียงสะบัดกรงเล็บก็ชิงชีวิตแม่ทัพซย่าโหวเจี๋ยไป!”


“สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่เหยียบย่างอริยมรรคเชียวนะ! ซ้ำไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ได้ยินว่าเมื่อใดที่ผู้แข็งแกร่งเข้าประชิดตำหนักปริศนานั่น ไม่ว่าผู้ฝึกปราณแห่งจักวรรดิเราหรือผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน เกือบทั้งหมดประสบเคราะห์ที่นั่นทั้งสิ้น”


“น่าชังนัก!”


ข่าวสารพวกนี้ปกปิดไม่อยู่โดยสิ้นเชิง แม้แต่หลินสวินซึ่งมัวเมาอยู่กับการฝึกวิชาลับจิตขับเคลื่อนก็ถูกทำให้ตระหนก


แม้เขามีลางสังหรณ์นานแล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าวการตายของซย่าโหวเจี๋ย ในใจก็ยังสั่นสะท้านไม่หยุด เงียบอึ้งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น


แม้หลินสวินไม่เคยพบซย่าโหวเจี๋ยมาก่อน แต่ตอนที่อยู่ในป่าต้นหม่อนซย่าโหวเจี๋ยกลับเคยส่งเสียงหลายครั้ง ใช้อานุภาพของตนตนปกปักคุ้มครองหลินสวิน


ทว่า…


ราชันที่คุณธรรมสูงส่งเช่นนี้กลับจากไปแล้ว…


จิตใจหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นหดหู่ กลัดกลุ้มไม่หยุดเช่นกัน


หลายวันต่อมา


ข่าวคราวเกี่ยวกับป่าต้นหม่อนนับวันยิ่งมากขึ้น ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างตกอยู่ในความโศกเศร้า บรรยากาศขุ่นมัวเงียบสงัด


“ละแวกใกล้เคียงตำหนักมรรคปริศนา สิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่ก้าวสู่อริยมรรคเปิดฉากต่อสู้สะเทือนใต้หล้า อาณาบริเวณนั้นระเบิดกระจุย ขอเพียงผู้แข็งแกร่งเข้าใกล้ ต่างโดนลูกหลงประสบเคราะห์ตายลงตรงนั้น!”



“จากที่คาดการณ์ ฝ่ายผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิเรา จนถึงตอนนี้อย่างน้อยที่สุดมีราชันกึ่งระดับสิบกว่าคนสิ้นชีพแล้ว แม้แต่แม่ทัพเซี่ยซื่ออันก็สาบสูญไร้ร่องรอย!”



“ประตูใหญ่ตำหนักมรรคปริศนาเปิดออกแล้ว! วาสนายิ่งใหญ่อุบัติบนโลก บรรดาสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงซึ่งก้าวสู่อริยมรรคพวกนั้นคลุ้มคลั่งไปหมดแล้ว เพื่อช่วงชิงวาสนา ถึงกับทำให้พื้นที่แถบนั้นกลายเป็นอเวจีนองเลือดอย่างสิ้นเชิง!”



“แม่ทัพเซี่ยซื่ออันยังคงสาบสูญไร้ร่องรอย ข่าวดีเพียงอย่างเดียวคือ ผู้ฝึกปราณมากมายของจักรวรรดิเราสัมผัสได้ถึงอันตราย รีบถอนตัวออกจากป่าต้นหม่อนมาก่อน”



“ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จักรวรรดิเรา ทางด้านเผ่าพ่อมดเถื่อน ราชันอำพันทองสายคนเถื่อนทองคำเองก็ประสบเคราะห์ ถูกเถาพฤกษ์ทมิฬอริยมรรคต้นหนึ่งจู่โจมสังหาร!”


“นอกจากนี้ราชันเมฆาอสนีสายคนเถื่อนอัสนี ราชันนภาเพลิงสายคนเถื่อนอัคคีต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส หอบชีวิตกลับมาอย่างโชคดี ตอนนี้ถอยกลับค่ายพ่อมดเถื่อนแล้ว ว่ากันว่าในเวลาอันสั้นไม่อาจสู้รบได้อีก!”


“สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตของผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ไม่อาจประเมินได้เช่นเดียวกัน”



แต่ละวันหลินสวินต่างเคี่ยวกรำฝึกยุทธ์


ทว่าข่าวสารที่ส่งต่อมาในหลายวันนี้เขาเองก็รับรู้เช่นเดียวกัน นอกจากถอนหายใจและกลัดกลุ้มแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างสิ้นเชิง


‘ตำหนักมรรคปริศนานั่นซ่อนอะไรไว้กันแน่ ทำไมถึงทำให้สิ่งมีชีวิตที่ก้าวสู่อริยมรรคพวกนั้นต่างช่วงชิงประหนึ่งคลุ้มคลั่ง’


หลินสวินใคร่ครวญถึงคำถามนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว


น่าเสียดายที่เขาเดาไม่ออก สำหรับเขา หนทางแห่งอริยมรรคเห็นชัดว่าห่างไกลเกินไป ไม่อาจจินตนาการได้สักนิดว่าวาสนาที่สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวพวกนั้นคลุ้มคลั่งคืออะไร


เพื่อระบายความรู้สึกหดหู่ภายในใจ หลินสวินทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝน


‘เมื่อพิบัติมหามรรคมาเยือนจริงๆ สิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นซึ่งจำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนเหล่านี้จะต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ หรือบางทีอาจพูดได้ว่า สาเหตุที่พวกมันจำศีลก็เพื่อรอมหาสงครามที่แท้จริงมาเยือน!’


หลินสวินมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง บนหนทางการต่อสู้มหามรรคจากนี้ จะต้องเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดและดุเดือดกว่าแต่ก่อนอย่างแน่นอน


ในช่วงเวลานี้มีเพียงเร่งรีบฉกฉวยเวลาและโอกาสยกระดับศักยภาพ บางทีอาจจะสามารถทำให้มีคุณสมบัติยืนหยัดยามมหาสงครามมาเยือน!


‘ระดับกระบวนแปรจุติ ระดับสังสารวัฏ อมตะนพเคราะห์… หนทางแห่งอริยมรรคของข้ายังอีกยาวไกล แต่เวลาเร่งด่วนอยู่บ้าง หลังกลับจากสมรภูมิกระหายเลือดครานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณนั่นให้ได้!’


‘มีเพียงอยู่ที่นั่นจึงจะสามารถเสาะหาวิธีที่ทำให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และสามารถได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับมหาสงครามมากขึ้นด้วย!’


หลินสวินลอบทำการตัดสินใจ


คลื่นลมโกลาหลเกี่ยวกับป่าต้นหม่อนยืดเยื้อยาวนานราวครึ่งเดือน กว่าจะกลับสู่ความสงบ


ไม่ว่าจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างสูญเสียอย่างสาหัสในคลื่นลมนี้ ขวัญกำลังใจถูกจู่โจมอย่างไม่เคยมีมาก่อน


ยามนี้ป่าต้นหม่อนนั่นราวกลายเป็นเขตต้องห้ามที่พาให้ผู้คนหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีก


และในเวลาครึ่งเดือนนี้ หลินสวินหยั่งถึงวิชาลับจิตขับเคลื่อนโดยสมบูรณ์ แคล่วคล่องดั่งใจนานแล้ว ที่ขาดแคลนเพียงหนึ่งเดียวอาจเป็นการฝึกประมือของจริง


ค่ำคืนนี้หลินสวินผ่อนคลายลงในที่สุด คิดอยากนัดเหล่าสหายอย่างหลูเหวินถิง เหล่าหวง หูทง เหยียนเฟิงมารวมตัวกัน


เพียงแต่เมื่อเขาไปหาหูทงกลับพบว่าฝ่ายหลังไม่อยู่ในค่าย


“หลังจากหัวหน้าออกไปปฏิบัติภารกิจเมื่อสามวันก่อน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราว…” น้ำเสียงอาปี้แผ่วเบา สีหน้าเต็มไปด้วยแววอมทุกข์และอึมครึม จิตใจเลื่อนลอย ประหนึ่งวิญญาณหลุดลอยก็ไม่ปาน


ในใจหลินสวินหนักอึ้งขึ้นมาทันใด นี่เป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย


ตอนที่ 727 สถานการณ์กรีธาทัพ

โดย

ProjectZyphon

เมื่อได้รู้ข่าวที่หูทงสูญหายไปสามวัน หลินสวินค่อนข้างไม่สบายใจอยู่บ้าง


ตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดจวบจนปัจจุบัน หลินสวินคบหาสหายจำกัดแค่ไม่กี่คน หูทงก็คือหนึ่งในนั้น


การหายไปของเขาทำให้หลินสวินไม่มีอารมณ์พบปะสังสรรค์


“เขาปฏิบัติภารกิจอะไร” หลินสวินกล่าวถาม


อาปี้ชะงักงัน ไม่ช้านัยน์ตาพลันส่องประกาย บนหน้างดงามเจือความหวังเสี้ยวหนึ่ง “เจ้าจะไปช่วยหัวหน้ารึ”


หลินสวินพยักหน้า “รุ่งเช้าพรุ่งนี้ออกเดินทาง”


ทันใดนั้นเบ้าตาอาปี้พลันแดงก่ำ กอดหลินสวินแน่น “เจ้า… เจ้าต้องพาหัวหน้ากลับมานะ ข้ากลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว…”


หลินสวินตบบ่าอาปี้ หาได้พูดมากความ


ไม่ว่าหูทงจะเป็นหรือตาย ไม่ว่าจ่างซุนเลี่ยและหลูเหวินถิงเห็นด้วยหรือไม่ เขาต้องไปดูด้วยตาตนเอง!


กลางดึก เมื่อหลินสวินกลับห้องพลันค้นพบว่าเหยียนเฟิงรอคอยอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่ากำลังรอตน


“สหายข้าคนหนึ่งเพิ่งกลับจากสมรภูมิกระหายเลือด ได้ยินข่าวมุ่งร้ายเจ้าบางอย่าง ว่ากันว่าสายคนเถื่อนมืดจะส่งราชันที่แท้จริงมาบุกโจมตีค่ายหมายเลขเจ็ด จุดประสงค์เพื่อสังหารเจ้า!”


เมื่อเห็นหลินสวิน เหยียนเฟิงเข้าประเด็นทันที กล่าวเตือนหลินสวินด้วยหน้าตาเคร่งขรึมว่าให้เขาระวังหน่อย


หลินสวินครัดเคร่งอยู่ในใจ กระทั่งเหยียนเฟิงจากไปเขาก็คิดมาโดยตลอด ว่าสายคนเถื่อนมืดจะให้ราชันเคลื่อนไหวเพื่อมาฆ่าตนจริงหรือ


นี่เหมือนกับว่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้างกระมัง


แต่หลินสวินกลับไม่อาจไม่พิจารณาถึงผลที่ตามมาหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง


‘ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าไปสืบข่าวด้วยตัวเองแล้วกัน…’


เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินแบกห่อสัมภาระไปจากค่ายหมายเลขเจ็ดอย่างเงียบเชียบ ไม่ทำให้ผู้ใดตกใจตื่น


พร้อมกันนั้น หลินสวินก็หมายสืบเสาะข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับสายคนเถื่อนมืดด้วย



วันเดียวกับที่หลินสวินจากไป สายสืบคนหนึ่งซึ่งกลับมาจากสมรภูมิแนวหน้านำข่าวชวนตระหนกหนึ่งกลับมาด้วย


“ท่านแม่ทัพ ได้รับการยืนยันแล้วว่า ‘ราชันวิญญาณเร้น’ แห่งสายคนเถื่อนมืด และ ‘ราชันวิญญาณเขียว’ แห่งสายคนเถื่อนพฤกษา จะร่วมมือกันนำทัพใหญ่บุกโจมตียึดครองค่ายหมายเลขเจ็ดของเรา!”


สายสืบพูดกล่าวอย่างไวว่อง


นัยน์ตาจ่างซุนเลี่ยพลันหดรัดตัว หมายจะซัดฝ่ามือใส่โต๊ะ แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ เขาสูดหายใจลึกพลางกล่าว “นี่พวกมันคิดเปิดฉากสงครามรอบด้านหรือ”


“ไม่ขอรับ จุดมุ่งหมายครานี้ของพวกมันมีเพียงหนึ่งเดียว สังหารคุณชายหลินสือเอ้อร์!”


สายสืบมอบคำตอบเหนือความคาดหมาย ทำเอาจ่างซุนเลี่ยอดชะงักงันไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเปรียบโดยพลัน “ระดมไพร่พลเช่นนี้เพื่อจัดการเด็กหนุ่มของจักรวรรดิข้าคนเดียว? ช่างเสียสติซะจริง!”


“ท่านแม่ทัพ…”


สายสืบลังเลอยู่บ้าง


“มีอะไรก็ว่ามา! อ้ำๆอึ้งๆ ทำอะไร”


จ่างซุนเลี่ยตวาดลั่น


“สาเหตุที่พวกเขาระดมกำลังครานี้ หนึ่งเพราะผลกระทบจากคุณชายหลินมากเกินไป วันนี้บนหมายจับกระดานโลหิตที่พวกเผ่าพ่อมดเถื่อนประกาศ ได้ขยับอันดับคุณชายหลิน จากเดิมอันดับสิบแปดขึ้นเป็นอันดับเก้า!”


“อีกทั้งนายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดอิ๋งเชวี่ยก็ตายในเงื้อมมือคุณชายหลิน ฐานะของอิ๋งเชวี่ยไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง การตายของเขายั่วโทสะทั้งสายคนเถื่อนมืดโดยสมบูรณ์ ราชันวิญญาณเร้นนั่นยิ่งกล่าววาจารุนแรง บอกว่าหากพวกเรามอบตัวคุณชายหลินมาให้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะไม่มารุกราน ไม่เช่นนั้น…”


“ไม่เช่นนั้นอะไร” จ่างซุนเลี่ยสีหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม


“ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จะขยี้ค่ายหมายเลขเจ็ดของเราให้บี้แบน!”


โครม!


จ่างซุนเลี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ซัดฝ่ามือลงโต๊ะทำงานเบื้องหน้าจนแหลกละเอียด


เขาพลันผุดลุกขึ้น นัยน์ตาฉายแววยะเยือกชวนตระหนกหาใดเปรียบ “พูดจาใหญ่โตนักนะ เห็นข้าจ่างซุนเลี่ยกินเจรึ หากแม้แต่เด็กหนุ่มคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของข้าคงเปล่าประโยชน์!”


สายสืบใจสะท้าน รู้ว่าจ่างซุนเลี่ยบังเกิดโทสะอย่างแท้จริงแล้ว


“พวกเฒ่าสวะพ่อมดเถื่อนนั่นจะมารนหาที่ตายเมื่อไหร่” จ่างซุนเลี่ยถาม


“หลังจจากนี้สามวันขอรับ”


สายสืบรีบร้อนกล่าวตอบ


วันนี้ค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิระมัดระวังรอบด้าน ไม่ว่าทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิหรือผู้ฝึกปราณอิสระซึ่งกระจายอยู่ทั่วค่ายต่างทราบข่าว สามวันหลังจากนี้ ทัพใหญ่พ่อมดเถื่อนซึ่งนำโดยราชันวิญญาณเร้นและราชันวิญญาณเขียวจะมารุกราน!


ชั่วขณะนั้นผู้ฝึกปราณทั้งหลายในใจต่างตึงเครียด ตื่นตะลึงด้วยเหตุนี้


และเมื่อทราบว่าศัตรูกรีธาทัพใหญ่โตเช่นนี้เพียงเพื่อฆ่าหลินสวินคนเดียว ผู้ฝึกปราณทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดก็ต่างอึ้งงัน


ศัตรูเสียสติไปแล้วรึ


ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิยืนตระหง่านกลางสมรภูมิกระหายเลือดมาหลายพันปี ผ่านการเคี่ยวกรำจากไฟสงครามมาจนปัจจุบัน ล้วนไม่เคยถูกตีแตกมาก่อน


ตอนนี้ราชันพ่อมดเถื่อนสองคนกลับประกาศศักดา ว่าหากไม่ส่งมอบตัวหลินสวินไปให้ จะเหยียบย่ำค่ายหมายเลขเจ็ดให้บี้แบน นี่จะไม่ให้ผู้คนตกตะลึงได้อย่างไร


ทันใดนั้นบรรยากาศในค่ายหมายเลขเจ็ดพลันตึงเครียดขุ่นมัว ราวลมมรสุมกำลังมา


ไม่ถึงขั้นทุกคนรู้สึกอันตราย แต่หากไม่ประหม่าและกังวลนั่นก็คงหลอกลวงเกินไป อย่างไรเสียค่ายหมายเลขเจ็ดก็มีแค่จ่างซุนเลี่ยเป็นราชันคนเดียวคอยบัญชาการ แต่ครานี้ศัตรูกลับมีระดับราชันถึงสองคน!


อีกทั้งราชันวิญญาณเร้นหนึ่งในนั้น ยังเป็นราชันซึ่งเป็นมือสังหารชั้นเอกอุแห่งสายคนเถื่อนมืด ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเขาเพียงพอให้ผู้คนถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครเล่าจะไม่ประหม่ากลัดกลุ้ม


ไม่จำเป็นต้องสงสัย ค่ายหมายเลขเจ็ดคงได้เปิดฉากฝนโลหิตคาววายุแน่ ทันทีที่การต่อสู้ระดับนี้ปะทุขึ้น ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงหาใดเปรียบ


“หากไม่ใช่หลินสือเอ้อร์นี่ ไหนเลยจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ข้าว่าเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม รีบส่งตัวหลินสือเอ้อร์ไปค่ายอื่นอาจเป็นตัวเลือกที่ฉลาดที่สุด”


มีคนบ่นอย่างอดไม่อยู่


ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณคนนี้พลันถูกแทบทุกคนวิจารณ์โจมตีอย่างเดือดดาล


“ผายลม! เจ้าคิดหรือว่าคุณชายหลินจากไปแล้วศัตรูจะไม่บุกโจมตีค่ายหมายเลขเจ็ด”


“แม่เจ้าน่ะสิ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะตัดพ้อโยนความผิดให้ปฐมาจารย์หลิน นี่เจ้ารนหาที่ตายรึ”


“ถุย! อับอายขายขี้หน้า!”


ไม่นานนักทหารยามมือฉมังกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว นำตัวผู้ฝึกปราณที่กล่าวโทษหลินสวินคนนั้นไปหาแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ย


หลังจากนั้นคนคนนี้ก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย


วันนั้นจ่างซุนเลี่ยออกคำสั่งด้วยไอสังหารดุเดือด “ศึกใหญ่อยู่เบื้องหน้า ใครกล้าปล่อยข่าวลือลวงผู้คน ก่อความวุ่นวายกลางกองทัพ ต้องถูกสำเร็จโทษ!”


ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตระหนักได้ทันที ว่าแม่ทัพใหญ่ยอมให้เกิดศึกนองเลือด อย่างไรก็ต้องปกป้องหลินสวินเอาไว้ให้ได้


ตามเวลาที่ไหลเคลื่อน บรรยากาศภายในค่ายนับวันยิ่งตึงเครียดและกดดัน มรสุมกำลังมา


ทว่าเมื่อถึงวันที่สอง ราชันจากค่ายหมายเลขหนึ่งปรากฏตัว ทำให้ผู้คนสบายใจไม่น้อย


ราชันผู้นี้มีนามว่าฉินฉู่ สวมชุดคลุมขาว ใบหน้าสง่างาม ไว้หนวดเครายาวดั่งต้นหลิว ท่าทางภูมิฐาน


“หลินสือเอ้อร์นั่นล่ะ”


ทันทีที่ฉินฉู่มาถึงก็เอ่ยปากหมายพบหลินสวิน


จ่างซุนเลี่ยตะลึงงัน หันศีรษะไปทางหลูเหวินถิงซึ่งอยู่ข้างๆ แต่หลูเหวินถิงกลับใบหน้าขมขื่น กล่าวเสียงแผ่วว่า “เมื่อวานตอนเช้ามืด เขาออกจากค่ายไปแล้ว…”


พูดพลางเขาก็บอกเรื่องที่หูทงหายไปจนหมดเปลือก แสดงออกชัดเจนว่าหลินสวินหาใช่หนีไปเพราะกลัวการศึกไม่


“เจ้าเด็กนี่จับพลัดจับผลูหลีกหนีเคราะห์หนึ่งไปได้…” จ่างซุนเลี่ยสีหน้าเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น หลินสวินไม่อยู่ในค่าย แน่นอนว่าดียิ่งกว่า


เพียงแต่ฉินฉู่กลับขมวดคิ้วมุ่น กล่าวอย่างไม่พอใจ “เขายังก่อเรื่องไม่มากพอรึไง? เพราะเขาคนเดียวก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่ขนาดนี้ กระทั่งอาจโหมกระพือให้เกิดการต่อสู้รอบด้านระหว่างจักรวรรดิเราและเผ่าพ่อมดเถื่อน และตอนนี้เขาทั้งไม่ฟังคำสั่ง กระทำการเพียงลำพังโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช้ไม่ได้ซะจริง!”


หลูเหวินถิงพลันหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักได้ว่ารู้ว่าฉินฉู่คล้ายมีทัศนคติบางอย่างต่อหลินสวิน


จ่างซุนเลี่ยเหลือบมองฉินฉู่วูบหนึ่งพลางกล่าว “ศึกใหญ่อยู่เบื้องหน้า ดูเหมือน… ไม่ใช่เวลามาสนทนาเรื่องจุกจิกพวกนี้กระมัง”


“เรื่องจุกจิก?”


ฉินฉู่ถอนหายใจ “เหลือเวลาก่อนเปิดช่องทางมุ่งสู่จักรวรรดิครั้งต่อไปแค่สามเดือน หากตอนนี้เกิดศึกขนาดใหญ่ขึ้น การเสริมบำรุงเสบียงยุทโธปกรณ์ของพวกเราต้องโดนผลกระทบอย่างหนัก ผลที่ตามมานี้ใครจะแบกรับไหว”


จ่างซุนเลี่ยนัยน์ตาพลันหรี่ลง กล่าวว่า “ยังมีเวลาสามเดือน พูดถึงเรื่องพวกนี้ยังเร็วไปหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นหากเพราะศัตรูบุกโจมตีครั้งใหญ่ก็ไปกล่าวโทษลงที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่เห็นได้ว่าไม่เหมาะควรยิ่งนัก”


“ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น แค่ไม่อยากให้ช่วงนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก”


ฉินฉู่เคาะนิ้วพลางกล่าวลอยๆ “แต่เห็นชัดยิ่ง หลินสือเอ้อร์คนนี้เป็นตัวปัญหา ทำให้ข้าไม่อาจไม่เกิดความคิดแง่ลบบางอย่างต่อเขา”


จ่างซุนเลี่ยโมโหอยู่บ้าง “ทำศึกดุเดือดนี่ให้เสร็จค่อยพูดเรื่องพวกนี้เถอะ!”


ทว่าที่ทำให้พวกเขาจ่างซุนเลี่ยคาดไม่ถึงคือ ศัตรูถึงกับมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน!



วู้ๆๆ…


เสียงสัญญาณเขาสัตว์ดังขึ้นจากพื้นราบที่อยู่ห่างไกล สะท้อนกังวานกลางฟ้าดิน


เงาร่างชิดถี่แน่นขนัดดั่งกระแสน้ำโหมปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวระลอกคลื่นสีทมิฬมืดฟ้ามัวดิน มุ่งหน้ามาทางค่ายหมายเลขเจ็ด


นั่นคือกองทัพพ่อมดเถื่อน มีมากถึงหลายหมื่นคน!


แต่ละคนสวมเกราะถืออาวุธ ไอสังหารแผ่ซ่าน เมื่อเกาะกลุ่มรวมตัว ไอสังหารน่าหวาดกลัวพุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ พาให้ฟ้าดินตื่นตระหนก


พริบตานั้นทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดถูกทำให้แตกตื่น กองทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างรับมือไม่ทันอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะมาเยือนล่วงหน้าหนึ่งวัน!


“เร็วเข้า! เตรียมตัวรบ!” เสียงคำรามดุดันดังต่อเนื่องเป็นระลอก


“พี่น้องทุกคน ไอ้สวะพ่อมดเถื่อนกล้าวิ่งมารนหาที่ตาย นี่แหละคือเวลาเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญของพวกเรา พวกเจ้าเตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม!?”


เสียงตะโกนหาญกล้าเร้าระทึกดังขึ้นทุกหนแห่งภายในค่าย


ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดประดุจสัตว์ปีศาจที่ซุ่มรอมาเนิ่นนานตื่นขึ้นแล้ว เผยเขี้ยวเล็บเหี้ยมโหดดุดัน!


เรือรบดำเกิงเหิน เรือรบอินทรีเหิน เรือรบวีรชนม่วง… เรือรบนานาชนิดส่งเสียงกัมปนาททะยานขึ้นฟ้า


นี่ก็คือศึกสงคราม หาใช่การต่อสู้เพียงลำพังไม่!


เพียงชั่วขณะ บริเวณนี้ทั้งแถบเมฆลมปั่นป่วน ไอสังหารราวไฟสงครามทะลวงห้วงฟ้า กระแสลมชวนประหวั่นโหมทำลายไร้สุ้มเสียง ย้อมฟ้าดินให้น่าพรั่งพรึงหาใดเปรียบ


จ่างซุนเลี่ยและฉินฉู่สองราชันพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า สีหน้าไม่สะทกสะท้าน นัยน์ตากวาดมองกองทัพพ่อมดเถื่อนที่อยู่ห่างออกไป


แม้ศัตรูปรากฏตัวล่วงหน้าหนึ่งวัน ทว่าสำหรับราชันผู้ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน พวกเขาไม่ได้รู้สึกตกใจหรือเกินความคาดหมาย


การรบ ต้องใช้ยุทธวิธีหลากหลาย!


เรื่องไม่คาดฝันยิบย่อยเช่นนี้เห็นบ่อยจนชินตาแล้ว


เพียงแต่ไม่ทันไร จ่างซุนเลี่ยและฉินฉู่ต่างหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ความเยือกเย็นและสงบนิ่งแต่เดิมได้รับผลกระทบ สีหน้าจริงจังอึมครึมอย่างยากพบเห็น


ในกองทัพศัตรูถึงกับมีราชันเถื่อนสี่คนบัญชาการ!


นี่ต่างจากในข้อมูลข่าวสารที่บอกไว้ว่ามีราชันสองคนบุกโจมตีโดยสิ้นเชิง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)