Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 712-713
ตอนที่ 712
โดย
ProjectZyphon
ป่าต้นหม่อนเป็นพื้นที่อันตรายแห่งหนึ่งในสมรภูมิกระหายเลือด
ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน แม้สงครามการเข่นฆ่าจะโหดร้ายแค่ไหน ก็ไม่กล้าเข้าใกล้พื้นที่นั้นโดยพลการ
ที่นั่นถูกเรียกว่า ‘แดนมารย้อมโลหิตเทพ’ ลึกลับน่าสะพรึงกลัว หลายพันปีมานี้มีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยตายไปพร้อมความแค้นเคืองในนั้น ไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก!
เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ หลินสวินจึงเข้าใจว่าเหตุใดหลูเหวินถิงถึงได้ต่อต้านไม่ให้ตนไปรุนแรงขนาดนั้น
“ข้าอยากไปดูสักหน่อย หากไม่ได้จริงๆ ก็จะไม่เข้าไปโดยพลการ”
ไตร่ตรองอยู่ครู่สุดท้ายหลินสวินก็ตัดสินใจไปดูสักหน่อย
หลูเหวินถิงหน้านิ่วคิ้วขมวด พูดจนปากจะฉีกก็เกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ สุดท้ายจำต้องไปขอคำแนะนำจากแม่ทัพจ่างซุนเลี่ย
“หรือเจ้าหนูนี่ก็ได้ยินข่าวอะไร”
เมื่อรู้เรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของจ่างซุนเลี่ยคือแปลกใจ
เท่าที่เขารู้ช่วงนี้มีข่าวแพร่ออกมาว่าป่าต้นหม่อนเกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีสมบัติล้ำค่าปรากฏ อาจเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือมาจากบรรพกาล หรืออาจเป็นโอสถสมบัติหายากบางชนิดกำลังจะปรากฏ
ตอนนี้ในค่ายทั้งแปดของจักรวรรดิ บุคคลยิ่งใหญ่ชั้นยอดหลายคนต่างเตรียมพร้อมลงมือ กำลังติดตามเรื่องทั้งหมดนี้
แม้แต่เผ่าพ่อมดเถื่อนก็มีผู้ยิ่งใหญ่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ได้ยินข่าวแล้วเคลื่อนไหวมุ่งหน้าไปยังป่าต้นหม่อน!
“ท่านแม่ทัพ ท่านว่า…” หลูเหวินถิงอดถามไม่ได้
“แม้แต่ข้ายังไม่กล้าไปโดยพลการ เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนนึ่ง จะไปร่วมครึกครื้นทำบ้าอะไร อยากตายนักหรือ”
จ่างซุนเลี่ยปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว
ปัจจุบันป่าต้นหม่อนกลายเป็นตาพายุของสมรภูมิกระหายเลือด ดึงดูดสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่มุ่งหน้าไป หากเด็กหนุ่มปรากฏตัว ก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“รายงาน!”
ในเวลานั้นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเหงื่อเต็มหน้าเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพแย่แล้ว เมื่อครู่นี้ที่กองพลาธิการคุณชายหลินเพิ่งแลกเหรียญกล้าหาญทั้งหมดเป็นผลึกวิญญาณระดับสูง แล้วออกจากค่ายไปแล้ว”
“อะไรนะ” หลูเหวินถิงแข็งทื่อไปทั้งตัว
“ใจกล้าคับฟ้า!” จ่างซุนเลี่ยเองก็โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร
“ทำไมพวกเจ้าไม่ขวางไว้!?” หลูเหวินถิงตะคอก เส้นเลือดเขียวปูดโปน
“พวกเรา… พวกเราจะกล้าได้อย่างงไร…” ใบหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ
คุณชายหลินในตอนนี้ไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มผู้กล้าที่ฆ่าราชันกึ่งระดับ แต่ยังเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง ฐานะในค่ายหมายเลขเจ็ดสูงส่งอย่างที่สุด
ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะกล้าขวางเขา
“เจ้าหนูนั่นต้องการจะสร้างความเดือดร้อนให้ข้าชัดๆ!” จ่างซุนเลี่ยโกรธจนกระทืบเท้า ตะโกนว่า “เร็ว! ส่งคนตามไป! ต้องขวางเขาไว้ให้ได้!”
เพียงแต่เวลาหนึ่งเค่อหลังจากนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชามารายงานว่า กองกำลังที่ส่งออกไปค้นหาหลายรอบแล้วก็ยังไม่เจอร่องรอยของเด็กหนุ่ม สุดท้ายกลับมามือเปล่า
เรื่องนี้ทำให้จ่างซุนเลี่ยและหลูเหวินถิงต่างเคร่งเครียด
“เจ้าหนูนี่ใจกล้าเกินไปแล้ว เขาคงยังไม่รู้ว่าเพราะฐานะปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเขา พวกพ่อมดเถื่อนต่ำทรามนั่น ได้ปรับระดับในหมายจับกระดานโลหิตของเขาจากอันดับที่สี่สิบเก้ามาอยู่ที่สิบแปดแล้ว!”
“และมูลค่ารางวัลนำจับก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับห้าอันดับแรกเลยทีเดียว! ในสถานการณ์แบบนี้ การที่เขาไปป่าต้นหม่อนไม่ใช่เป็นการรนหาที่ตายหรือ!?”
จ่างซุนเลี่ยปวดหัวอย่างหนัก
หลูเหวินถิงเองก็โกรธจะแย่แล้ว
แต่สุดท้ายทั้งสองก็จนปัญญา เด็กหนุ่มจากไปแล้ว อยากขวางก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
……
ป่าต้นหม่อนตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างจากค่ายหมายเลขเจ็ดหลายพันลี้ ห่างไกลอย่างยิ่ง
ครั้งนี้หลินสวินออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เดินทางอย่างเร่งรีบ ระหว่างทางยิ่งเจอผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนหลายกลุ่มปิดล้อมแต่ล้วนถูกเขาสังหารมาตลอดทาง
แม้แต่ทรัพย์หลังศึกยังคร้านจะค้นหาแล้ว ช่วยไม่ได้ ในสมรภูมิกระหายเลือดไม่สามารถใช้สมบัติเก็บของได้ ใช้ได้เพียงห่อสัมภาระเก็บทรัพย์หลังศึก พื้นที่มีจำกัดและไม่พอใช้ อีกทั้งจะกระทบต่อการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ด้วย
หากแม้จะเป็นเช่นนี้ ห่อสัมภาระของหลินสวินก็ยังเต็มมาก ภายในมีผลึกวิญญาณระดับสูงเกือบสี่พันชิ้น นี่คือสิ่งที่เขาแลกมาจากแต้มกล้าหาญที่เขาสั่งสมในช่วงนี้
และเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ถูกเขาซ่อนไว้ในค่าย
ครั้งนี้หลินสวินตัดสินใจจะต่อสู้ในสนามรบหลายวัน แม้สมรภูมิกระหายเลือดในยามรัตติกาลจะน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แต่เพื่อค้นหาความลึกลับภายในป่าต้นหม่อนนั่น เขาก็จำต้องทำเช่นนี้
เหตุผลก็เพราะว่าที่ตั้งของป่าต้นหม่อนห่างไกลมากจริงๆ แม้ทุกอย่างจะราบรื่น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับค่ายได้ทันก่อนราตรีมาเยือน
……
สี่ชั่วยามหลังจากนั้น
ฟ้าดินมืดสลัว หมอกควันบดบังท้องฟ้า กลิ่นคาวเลือดและเหม็นเน่าในอากาศรุนแรงขึ้นอย่างที่สุด ถึงขั้นที่ฉุนจมูกไม่น้อย พาให้รู้สึกคลื่นไส้
บนขอบฟ้าในระยะใกล้มีสีเลือดเดือดพล่านอยู่รางๆ ย้อมฟ้าดินจนกลายเป็นสีแดงก่ำ
สวบ!
ร่างของหลินสวินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เขาแบกห่อสัมภาระ สะพายดาบหักไว้ตรงเอว ในมือถือธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามไว้ข้างละอย่าง ท่าทางระแวดระวังอย่างมาก
ระหว่างทางก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเดินผ่านบริเวณแม่น้ำที่แห้งแล้งแห่งนี้ จู่ๆ พื้นดินก็แตกเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ คายพลังกลืนกินอันน่ากลัวออกมา หากไม่ใช่เพราะเขาหลบทันก็เกือบจะถูกม้วนเข้าไปแล้ว
นี่ทำให้หลินสวินตกใจจนเหงื่อท่วมตัว ยิ่งตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ระหว่างทางก็ยิ่งระมัดระวังกว่าเดิม
หืม?
ทันใดนั้นหลินสวินชะงักฝีเท้า ในระยะไกลโพ้นมีเสียงต่อสู้ดุเดือดดังแว่วมา เห็นได้ชัดว่ากำลังเกิดศึกปะทะ
“เหยียนเฟิง?”
เมื่อหลินสวินเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ ดวงตาสีดำขลับของเขาก็อดหรี่ลงไม่ได้ ด้วยค้นพบอย่างประหลาดใจว่า ในบรรดาผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่กำลังต่อสู้อยู่นั้น มีคนหนึ่งคือมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอดของค่ายหมายเลข 7 เหยียนเฟิง!
เพราะหินหยกอัศจรรย์ลายทองที่เหยียนเฟิงให้มา ทำให้หลินสวินค้นพบใบไม้ลึกลับที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตใบนั้น จึงตัดสินใจมาผจญภัยที่ป่าต้นหม่อน
สถานการณ์ของเหยียนเฟิงในตอนนี้ไม่ดีนัก เขากำลังถูกผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนที่มีความสามารถระดับมหาเวทสามคนล้อมสังหารอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังแบกผู้ฝึกปราณคนหนึ่งไว้ด้านหลัง ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ถูกกำราบอย่างสิ้นเชิง วิกฤตอย่างมาก อีกทั้งบนร่างก็มีบาดแผลมากมายที่มีเลือดพรูไหลออกมาไม่ขาดสาย
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
หลินสวินพลันง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุดอย่างไม่ลังเลแล้วยิงศรวิญญาณไร้รูปสามดอกติดต่อกันแทบจะในทันที
แม้ไม่ได้ใช้ศรแห่งนภาคราม แต่อานุภาพของธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ยังคงไม่อาจดูถูกได้ มิฉะนั้นตอนแรกคงเป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้หลินสวินสำแดงอานุภาพอย่างไร้ขีดจำกัดในหุบเขาพยัคฆ์
พรวด!
ไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย ภายใต้การจู่โจมกะทันหัน ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งในสนามรบไม่ทันระวัง ถูกยิงทะลุหน้าอกไปพร้อมกับเลือดที่สาดกระจายออกมา
ร่างกายครึ่งซีกของเขาระเบิดออก ปากร้องโหยหวน ร่างกายถูกแรงทะลวงอันน่าสะพรึงกลัวนั่นปักไปแนบอยู่บนพื้นดินในระยะไกล
แทบจะพร้อมกัน ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทอีกสองคน คนหนึ่งถูกยิงจนกระดูกสะบักแหลก อีกคนถูกยิงทะลุต้นขา ต่างส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเกรี้ยวโกรธ
การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวมาก ใครจะจินตนาการได้ว่า จู่ๆ จะมีศรวิญญาณสามดอกที่แทบล่องหนตกลงจากฟ้า
และใครจะจินตนาการได้ว่า อานุภาพของศรวิญญาณนั่นยังน่าสยดสยองถึงเพียงนี้
และตอนนี้ก็ได้แสดงให้เห็นความดุดันและเด็ดเดี่ยวในพลังต่อสู้ของเหยียนเฟิง ทันทีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เขาแค่เพียงหรี่ตาแล้วพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเล ฉวยโอกาสนี้แทงทวนเหล็กออกไปติดต่อกัน การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเด็ดขาด ทั้งฉับไวและแม่นยำ
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วยังไม่ทันได้ดิ้นรนด้วยซ้ำก็ถูกสังหารคาที่ เลือดย้อมพื้นดิน
จวบจนกระทั่งเห็นว่าเป็นหลินสวินที่ยื่นมือเข้ามาช่วย เหยียนเฟิงจึงเผยสีหน้าประหลาดใจและอึ้งไม่น้อย
คำเล่าลือเป็นจริง!
ด้วยทักษะธนูระดับนี้จะยิงสังหารราชันกึ่งระดับก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
……
“อะไรนะ ปฐมาจารย์หลินจะไปป่าต้นหม่อนหรือ”
หลังจากกล่าวคำขอบคุณเด็กหนุ่ม และได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปป่าต้นหม่อน สีหน้าของเหยียนเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที รีบห้าม “ไม่ได้เด็ดขาด!”
“เพราะเหตุใดเล่า”
หลินสวินอยากฟังความคิดของเหยียนเฟิง หินหยกอัศจรรย์ลายทองชิ้นนั้นเหยียนเฟิงได้จากป่าต้นหม่อน แน่นอนว่าเหยียนเฟิงจะต้องรู้จักพื้นที่อันตรายแห่งนั้น
“เมื่อก่อนอาจจะลองเสี่ยงเข้าไปได้ แต่พักหลังๆ มานี้ป่าต้นหม่อนกลายเป็นสถานที่แห่งลมพายุอันนองเลือด ว่ากันว่ามีวาสนาครั้งใหญ่กำลังจะปรากฏบนโลก จึงดึงดูดสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายเข้ามา”
“ไม่เพียงแค่ฝ่ายจักรวรรดิ ฝั่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเองได้ยินข่าวก็เคลื่อนไหวทันที มุ่งมั่นที่จะครอบครองวาสนาครั้งใหญ่ที่กำลังจะปรากฏนี้”
เหยียนเฟิงสีหน้าจริงจัง บอกหลินสวินว่าเดิมทีป่าต้นหม่อนก็อันตรายยิ่ง ตอนนี้ยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายยื่นมือเข้ามา ทำให้ป่าต้นหม่อนเปลี่ยนเป็นรุนแรงและน่ากลัวอย่างที่สุด
“วาสนาหรือ”
หลินสวินขมวดคิ้ว ถือว่ายุ่งยากไม่น้อยเลยจริงๆ
ศึกการช่วงชิงวาสนา เขาเคยผ่านมาแล้วตอนอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ เรียกได้ว่าเป็นการเข่นฆ่าจนกลายเป็นพิบัติภัย เลือดไหลเป็นสายน้ำ
และจากที่เหยียนเฟิงพูด ในป่าต้นหม่อนนั่น แม้จะเป็นราชันระดับสังสารวัฏ ครั้งนี้ก็อาจจะเจออันตรายที่ไม่อาจคาดเดา
ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อที่จะช่วงชิงวาสนาศุภโชค ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิและผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเกิดความขัดแย้งนองเลือดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ซากศพกองอยู่ทุกแห่งหน พื้นดินถูกย้อมเป็นสีแดง ไอสังหารทะลวงฟ้า
หลินสวินตั้งใจฟัง ทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด สถานการณ์เช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายก่อนเดินทางของเขา ทว่าในเมื่อมาแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะละทิ้งกลางคัน อย่างไรก็ต้องไปดูสักหน่อย
“สิ่งที่รู้ตอนนี้คือเผ่าพ่อมดเถื่อนอยู่เหนือกว่า ส่งบุคคลระดับราชันเถื่อนที่ชื่อเสียงเลื่องลือมาถึงสามคน”
“ซึ่งก็คือ ‘ราชันนภาเพลิง’ แห่งสายคนเถื่อนอัคคี ‘ราชันอำพันทอง’ แห่งสายคนเถื่อนทองคำและ ‘ราชันเมฆาอสนี’ แห่งสายคนเถื่อนอสนี นอกจากนี้ยังมีระดับกึ่งราชันและระดับมหาเวทชั้นยอดอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่เดินทางมาถึงแล้ว”
“แต่ฝั่งผู้ฝึกปราณจักรวรรดิของเรา มีเพียงแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยแห่งค่ายหมายเลขสี่ แม่ทัพใหญ่เซี่ยซื่ออันแห่งค่ายหมายเลขหก และไม่ขาดผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติรวมทั้งระดับกึ่งราชันชั้นยอด แต่ในด้านความสามารถกลับเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด”
เห็นเด็กหนุ่มรั้นจะไป เหยียนเฟิงเองก็ห้ามไม่อยู่ ทำได้เพียงบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนรู้กับอีกฝ่าย
จากที่เหยียนเฟิงบอก ในช่วงที่เพิ่งผ่านมานี้ ศึกใหญ่ดุเดือดยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นที่มีระดับกึ่งราชันจำนวนไม่น้อยบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้ฝึกปราณที่ตายอย่างอนาถยิ่งนับไม่ถ้วน
และเพิ่งจะเมื่อไม่กี่วันก่อน มีศึกไร้เทียมทานปะทุขึ้น ซย่าโหวเจี๋ยแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิจะดวลกับราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคีให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้าง
ก่อนหน้านี้ราชันเหล่านี้ได้ปะทะกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเสียที ทว่าเมื่อวาสนาครั้งใหญ่กำลังจะมาเยือนป่าต้นหม่อน การปะทะครั้งใหญ่ของบุคคลระดับราชันที่แท้จริงก็กำลังจะเริ่มขึ้น!
“วาสนาครั้งนี้คืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้บุคคลระดับราชันยังสู้อย่างไม่เสียดายชีวิต” หลินสวินยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
“ได้ยินมาว่าวาสนาครั้งนี้เป็นความลับยิ่งใหญ่แห่งอริยมรรค และยังกล่าวกันอีกว่าเมื่อวาสนาครั้งนี้มาเยือน ในป่าต้นหม่อนจะปรากฏสมบัติและศุภโชคที่เหลือเชื่อขึ้นมากมาย”
เหยียนเฟิงเล่ารายละเอียด
ตอนที่ 713 ทรยศ
โดย
ProjectZyphon
ป่าต้นหม่อนตั้งอยู่ในหุบเหวลึกแห่งหนึ่ง ไม่อาจล่วงรู้ถึงขนาดและความลึกของป่าได้!
หลายพันปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน มีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่เคยเข้าไปสืบเสาะ แต่กลับไม่มีใครล่วงรู้ถึงภาพรวมของป่าต้นหม่อนอย่างทะลุปรุโปร่งเลยสักคน
ป่าใหญ่เกินไป ลึกล้ำยากหยั่งถึง กระทั่งทำให้ทุกคนสงสัยว่าส่วนลึกที่สุดของป่าอาจจะข้ามผ่านไปอีกโลกหนึ่งได้!
ตอนนี้เพราะปรากฏการณ์ประหลาดภายในป่าต้นหม่อนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถือเป็นเค้าลางว่ามหาวาสนาชิ้นหนึ่งกำลังจะบังเกิดขึ้น
อาจจะเกี่ยวข้องกับอริยมรรค และอาจจะมีสมบัติกับศุภโชคเหลือเชื่อมากมายปรากฏขึ้นมา!
เมื่อได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นั่นถึงได้เกิดเหตุปะทะนองเลือดที่โหดร้ายอย่างที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพราะวาสนา!
“ที่นั่นน่ากลัวนัก ถึงกับมีวิญญาณมารปีศาจในตำนานปรากฏตัว ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร ก็ยิ่งลึกลับและอันตรายยิ่งขึ้น”
เหยียนเฟิงสีหน้าหนักอึ้ง เอ่ยว่า “หลายวันก่อนมีข่าวหลุดออกมาว่าราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคีพบร่องรอยดวงตะวันที่ตกลงมารอยหนึ่งภายในนั้น! กระทั่งตอนนี้ด้านในยังหลงเหลือแก่นเพลิงตะวันอยู่ กลิ่นอายน่าตื่นตะลึงยิ่ง”
“และแม่ทัพใหญ่เซี่ยซื่ออันแห่งจักรวรรดิของพวกเราก็เคยสันนิษฐานว่า ในส่วนลึกของป่าต้นหม่อนมีตำหนักโบราณตั้งอยู่ น่าเสียดายที่ไม่มีทางรับรู้ตำแหน่งอย่างแม่นยำ เพราะที่นั่นกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป หมอกก็หนาทึบ”
“ถึงกับ…”
พูดถึงตรงนี้ เหยียนเฟิงเหมือนต้องการจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป
“ถึงกับอะไร” หลินสวินเลิกคิ้วถาม
“ถึงกับมีผู้ฝึกปราณสาบานอย่างหนักแน่นว่าเห็นจักจั่นขาวตัวขนาดเท่ามือทารกเท่านั้นในป่าต้นหม่อน แต่บนตัวกลับมีละอองแสงเซียนไหลเวียน เสียงจักจั่นร้องเพียงครั้งเดียวทำลายทุกอย่างในรัศมีร้อยลี้จนสิ้น!”
เหยียนเฟิงสีหน้าประหลาดอย่างบอกไม่ถูก “แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจักจั่นขาวตัวนั้นบรรลุเป็นอริยะแล้ว!”
“อะไรนะ!?”
หลินสวินก็ตกตะลึงแล้ว นี่ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก จักจั่นขาวขนาดราวฝ่ามือทารกตัวหนึ่งกลับเป็นอริยะ? เกรงว่าไม่ว่าใครได้ยินก็คงจะรู้สึกว่าเหลวไหลและตกตะลึง
“แต่ว่าพวกนี้ล้วนเป็นข่าวลือ จะจริงหรือเท็จก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน”
เหยียนเฟิงพูดต่อ “แต่ที่สามารถยืนยันได้ก็คือ ในป่าต้นหม่อนมีมหาวาสนาปรากฏขึ้นจริง ช่วงนี้สาเหตุที่มีการห้ำหั่นดุเดือดหาใดเทียบ ก็เพราะในป่าต้นหม่อนมีผู้แข็งแกร่งมากมายมาขุดค้นสมบัติชั้นดีบางอย่าง”
“อย่างหินแร่ลี้ลับที่ย้อมโลหิตปีศาจ หรืออย่างบุปผาสองสีขาวดำที่เกิดขึ้นบนก้านเดียวกัน เศษก้อนสำริดที่มีรอยสลักประหลาดประทับอยู่…”
“แน่นอนว่ายังมีสมบัติทำนองเดียวกับหินหยกอัศจรรย์ลายทองไม่น้อย”
เมื่อได้ยินดังนี้หลินสวินก็ตื่นเต้น ร้อนรุ่มในใจ ที่ครั้งนี้เขามายังป่าต้นหม่อนก็เพื่อมาเสาะหาหินหยกอัศจรรย์ลายทองเพิ่ม!
ภายในนั้นซุกซ่อนใบไม้สีเขียวหยกที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตอยู่ สามารถฟื้นฟูและแปรเปลี่ยนดาบหักได้ อัศจรรย์หาใดเทียบ
หลังจากบอกลาเหยียนเฟิง หลินสวินก็เดินหน้าต่อไป
คำพูดของเหยียนเฟิงทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าป่าต้นหม่อนไม่ธรรมดา ถึงกับน่าตื่นตะลึงกว่าแดนลับอสูรมารอริยะเสียอีก!
……
สองชั่วยามต่อมา
บนเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีแสงสีเลือดที่แสบตาหาใดเทียบแสงหนึ่งพุ่งทะลุเมฆา ย้อมเวิ้งฟ้าบริเวณนั้นเป็นสีเลือดพิลึกพิลั่นน่าหวาดหวั่น
ขณะเดียวกัน อากาศที่นี่ก็มีไอพิฆาตคาวเลือดเสียดกระดูกเพิ่มเข้ามาอย่างเข้มข้นจนจิตใจสั่นระรัว ประหนึ่งว่าที่นั่นเป็นดินแดนปีศาจ มีอันตรายไม่มีที่สิ้นสุดซุกซ่อนอยู่ภายใน
ป่าต้นหม่อน!
หลินสวินพลันหยุดเดิน ที่ที่แสงสีเลือดพุ่งทะลุเมฆมีเหวลึกอยู่ภายใน ในนั้นเป็นทางผ่านไปยังป่าต้นหม่อนที่ถูกเรียกว่า ‘แดนมารย้อมโลหิตเทพ’
ฟู่!
หลินสวินสูดหายใจลึก ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปใกล้ แต่เลือกที่แห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงโคจรไอซวนหนีกำบังกาย จากนั้นจึงเริ่มฟื้นฟูพลังกายอย่างเงียบๆ
หลินสวินเดินทางมาตลอด แม้ไม่ได้ใช้พลังกายมากนัก แต่อย่างไรที่ไปครั้งนี้ก็คือป่าต้นหม่อน ที่นั่นเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น หลั่งเลือดเป็นสายธาร ทำให้เขาไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย
จวบจนสายัณห์มาเยือน เวลานี้เขาถึงได้ปรับการขับเคลื่อนของพลังให้อยู่ในสภาวะสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมพลุ่งพล่าน
เขาซ่อนผลึกวิญาณระดับสูงส่วนหนึ่งในห่อสัมภาระไว้ เหลือเพียงส่วนหนึ่งที่แบกอยู่บนหลัง
ทำเช่นนี้ก็เพื่อเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ยามต้องหนีออกจากป่าต้นหม่อนก็ยังมีโอกาสเติมพลังได้
เพียงแต่เมื่อหลินสวินเพิ่งเคลื่อนไหว กลับต้องหรี่ตาลงในทันใดแล้วอำพรางตัวอีกครั้ง
ไม่นานนักบริเวณที่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ค้างคาวสีทองมหึมาตัวหนึ่งกระพือปีกบินมาทางนี้
บนหลังค้างคาวทองบรรทุกผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนหลายคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ต้องการเดินทางไปยังป่าต้นหม่อนที่อยู่ไกลออกไป
“ข่าวแน่ชัดหรือไม่ เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหลินสือเอ้อร์นั่นอาจหาญเสียจริง กล้ามาป่าต้นหม่อนคนเดียวเลยหรือ”
เสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
นี่ทำให้นัยน์ตาของหลินสวินที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดหดรัดลงทันที วันนี้ตนเพิ่งออกจากค่ายหมายเลขเจ็ด ทั้งยังเพิ่งมาถึงบริเวณนี้ เหตุใดเผ่าพ่อมดเถื่อนถึงรู้ข่าวแล้วล่ะ
ที่เกินความคาดหมายของหลินสวินก็คือ เสียงนี้ออกจะคุ้นหูเขา เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน เป็นอิ๋งเชวี่ย นายน้อยราชนิกุลคนเถื่อนมืด!
วันแรกที่มาถึงสมรภูมิกระหายเลือด หลินสวินก็เกือบสังหารเจ้าหมอนี่สำเร็จ มีหรือจะจำเสียงเขาไม่ได้
“เรียนนายน้อย ข่าวแน่ชัดอย่างไม่ต้องสงสัย ตามที่ได้ยินมาเจ้าหลินสือเอ้อร์นั่นออกจากค่ายหมายเลขเจ็ดตามใจชอบ ขนาดจ่างซุนเลี่ยยังไม่อาจยับยั้งได้ทันท่วงทีขอรับ”
เสียงเคารพนบนอบเสียงหนึ่งดังขึ้น
และเมื่อได้ยินวาจานี้ ต่อให้หลินสวินสุขุมเยือกเย็นแค่ไหนก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย บังเกิดไฟโทสะที่ไม่อาจเก็บกลั้นไว้ได้ในใจ ดวงตาสีดำดุดันหาใดเทียบ
เสียงนี้…
เขาก็คุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นกัน
เพราะเจ้าของเสียงนี้มีนามว่าหลิ่วเหวิน!
‘ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ตาย แต่ทรยศจักรวรรดิ พึ่งพิงอิ๋งเชวี่ย ราชนิกุลสายคนเถื่อนมืด…’
เมื่อหลินสวินนึกถึงตอนที่ได้รู้ข่าวการตายของหลิ่วเหวิน เขายังเคยทอดถอนใจไม่หยุด ใครจะคิดได้ว่าเจ้าหมอนี่ไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังทรยศจักรวรรดิเสียอีก!
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด การทรยศก็ไม่อาจอภัยได้อยู่ดี!
“เหอะๆ ดูท่าเจ้าใส่ใจข่าวของเจ้าหลินสือเอ้อร์นั่นมาก ดีเลวๆ ภายหลังเจ้ามาอยู่กับสายคนเถื่อนมืดของข้า ข้ารับรองว่าเจ้าจะยิ่งสบายกว่าอยู่กับจักรวรรดิมนุษย์แน่!”
อิ๋งเชวี่ยหัวเราะเบาๆ
“นายน้อยน้อยชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเพียงทำตามหน้าที่ อีกอย่างข้าเกลียดเจ้าหลินสือเอ้อร์ผู้นี้เข้ากระดูกดำ ถ้าทำให้คนคนนี้ตายด้วยน้ำมือนายน้อยได้ เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การฉลองเรื่องหนึ่งขอรับ”
หลิ่วเหวินดูนอบน้อมประจบประแจงนัก
“อืม รอไปถึงป่าต้นหม่อนก็กระจายข่าวนี้ออกไป บอกผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนของเราทุกคน ขอเพียงเป็นผู้ที่สามารถให้เบาะแสของหลินสือเอ้อร์ได้ ข้าย่อมให้รางวัลอย่างงาม และหากใครสามารถจับมันทั้งเป็น ข้ารับปากว่าจะให้สิ่งตอบแทนเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดได้!”
เสียงของอิ๋งเชวี่ยแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ในทันใด ไอสังหารพลุ่งพล่าน
ยามสนทนา พวกเขานั่งค้างคาวสีทองตัวยักษ์ตัวนั้นไปไกลแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าพลังจิตวิญญาญของหลินสวินมหาศาลมากพอก็ไม่อาจได้ยินบทสนทนาของพวกเขาได้
“ทรยศจักรวรรดิ หนำซ้ำยังหมายยืมมือศัตรูมาสังหารข้า… หลิ่วเหวินหนอหลิ่วเหวิน ข้าประเมินความชั่วช้าไร้ยางอายของเจ้าต่ำไป!”
จวบจนพวกเขาหายไป หลินสวินถึงเลิกกำบังกาย ดวงตาสีดำลุ่มลึกและเยียบเย็น
เขาไม่ร่ำไร รีบเคลื่อนกายออกไปไกล
แสงสีเลือดทะลุเมฆา สีแดงฉานและน่าหวาดหวั่น บริเวณที่แสงสีเลือดปรากฏขึ้นเป็นเหวลึกมหึมาแห่งหนึ่ง เหมือนบนพื้นมีอ่างเลือดใหญ่ที่ราวกับสามารถกลืนกินทุกสิ่งได้เปิดออก
เมื่อเข้ามาใกล้ที่นี่ พาให้รู้สึกตัวจ้อยอย่างหาใดเทียบอย่างไม่ทันตั้งตัว ดูเล็กจนไม่สลักสำคัญ และขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกกดดันและพรั่นพรึงถึงที่สุด
กลิ่นอายที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว มหาศาลไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นคาวเลือดกระทบหน้า ไอสังหารราวปกคลุมมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน
หลินสวินว่องไวนัก บนหลังแบกห่อสัมภาระ สะพายดาบหัก มือถือคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาคราม สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเดินทางไปยังส่วนลึกของหุบเหวใหญ่
เมื่อเข้าไปในนั้น ประหนึ่งเข้าไปยังโลกสีโลหิตกว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งลึกลงไป ทัศนวิสัยก็ยิ่งกว้างไกลขึ้น
ระหว่างทางเขาพบร่องรอยการต่อสู้มากมายหลงเหลืออยู่ ทั้งหินผาโชกเลือด ซากศพยับเยิน และสมบัติที่ถูกทำลายสิ้นซากมีให้เห็นอยู่ทั่วทิศโดยไม่ต้องตั้งใจสังเกตเลย
ทั้งผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิและผู้แข็งแกร่งจากเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างเคยมาถึงที่นี่ แต่กลับสิ้นชีพลงที่บริเวณชายขอบป่าต้นหม่อนนี้เท่านั้น
มากมายนัก ที่ไหนก็มีอยู่เต็มไปหมด ในอากาศยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเขม่าควัน จากจุดนี้ก็สันนิษฐานได้ว่าไม่กี่วันก่อน แค่เพียงบริเวณนี้ก็มีเหตุปะทะดุเดือดและนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งระแวดระวัง เขาไม่หยุดกลางทาง เดินหน้าต่อไปยังส่วนลึกของหุบเหว
หืม?
ไม่นานนักหลินสวินพลันหวาดผวา เขาพบเข้ากับศพผู้ฝึกปราณจักรวรรดิศพหนึ่ง กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่บ่งบอกทุกอณูว่านี่เป็นราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง!
แต่ตอนนี้เขาเหลือเพียงซากศพถูกทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว เมื่อมีชีวิตไม่มีโอกาสได้มีอายุยืนนาน เมื่อวายชนม์ยังไม่มีสุสานให้เก็บอัฐิ!
หลินสวินเงยหน้ามองรอบด้าน ทั้งสี่ทิศเวิ้งว้างเต็มไปด้วยสีเลือด ส่วนลึกของหุบเหวใหญ่เหมือนไร้ที่สิ้นสุด ประหนึ่งแดนมารย้อมโลหิต
‘นี่ก็คือการฝึกปราณ หนทางยากเข็ญ ใครกล้าเพ้อเจ้อว่าชีวิตนี้จะเป็นนิรันดร์ไม่มีวันดับสูญกัน’
หลินสวินสูดลมหายใจลึก เดินหน้าต่อไป แต่กลับเหนือความคาดหมายของเขา เพราะตลอดทางไม่พบอันตรายใดเลย
ไม่นานนักเขาก็พบเข้ากับขบวนผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิกลุ่มหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามล้วนประหลาดใจ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นป่าต้นหม่อนที่เต็มไปด้วยภยันตรายยิ่งยวด ผู้ที่กล้าเคลื่อนไหวโดยลำพังล้วนเป็นตัวร้ายชั้นยอด
แต่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับลุยเดี่ยวที่นี่ ย่อมดึงดูดสายตาผู้คน
เมื่อถามสารทุกข์สุขดิบกันเล็กน้อย ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก็บอกเขาว่า เพื่อช่วงชิงวาสนา ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อนก็ล้วนรุดเข้าไปในส่วนลึกของป่าต้นหม่อน
เว้นแต่จะพบวาสนาบางอย่าง หาไม่แล้วใครก็ไม่กล้าร่ำไรระหว่างทาง ทำเช่นนี้จะเปลืองพลังมากเกินไป
เมื่อหลินสวินรู้เรื่องเหล่านี้ก็ตระหนักได้ หลังจากกล่าวลาผู้ฝึกปราณเหล่านั้นก็เดินหน้าต่อไป
“เจ้าหนุ่มนี่… คงไม่ใช่หลินสือเอ้อร์ที่มีชื่อเสียงขึ้นกะทันหันในหลายวันมานี้กระมัง”
มีผู้ฝึกปราณบางคนสงสัย
“ก็น่าจะเป็นเขา ไม่เห็นหรือว่าเขาถือธนูกระดูกขาวคันใหญ่กับลูกศร แต่งกายเหมือนหลินสือเอ้อร์เด็กหนุ่มผู้กล้าที่เล่นงานราชันกึ่งระดับด้วยศรเดียวผู้นั้นไม่มีผิด!”
“มิน่าถึงกล้าเคลื่อนไหวตามลำพัง…”
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง พอจะเดาตัวตนของหลินสวินออก
“แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็คือป่าต้นหม่อน เขาถึงกับกล้าปรากฏตัวที่นี่คนเดียว ไม่กังวลว่าจะถูกยอดฝีมือในหมู่สวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นฆ่าเอาหรือ”
ทั้งยังมีผู้ฝึกปราณกระวนกระวายใจ เป็นกังวลแทนหลินสวิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น