Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 710-711
ตอนที่ 710 ท่วงท่าแห่งปฐมาจารย์
โดย
ProjectZyphon
หืม?
เมื่อหลินสวินเริ่มลงมือ บรรดานักสลักวิญญาณที่เดิมทีเดือดดาลและเหยียดหยามพลันตกตะลึงเล็กน้อย
พวกเขาพลันค้นพบในทันใดว่าตอนที่เด็กหนุ่มหลอมกระบี่เหล็กนิลเล่มนั้น ทักษะฝีมือกลับชำนาญคล่องแคล่วอย่างมาก เป็นอิสระราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล
ถึงขั้นที่ว่า…
มีความงามที่ไม่อาจพรรณนา ทำให้ถูกดึงดูดอย่างอดไม่ได้
“นี่…”
กลุ่มนักสลักวิญญาณมองหน้ากันไปมา ต่างรู้สึกถึงความแปลกประหลาด อดเพ่งสมาธิดูต่อไม่ได้
หลินสวินไม่ได้เผยทักษะที่ลึกล้ำซับซ้อนใดๆ เพียงหลอมกระบี่ระดับสวรรค์ขั้นต่ำเล่มหนึ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้งเท่านั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา
เขาเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ นิ้วทั้งสิบแผ่วเบาราวกับผีเสื้อบินผ่านดอกไม้ สีหน้าท่าทางเผยบรรยากาศสงบนิ่ง
ในมือของเขากระบี่เหล็กนิลถูกโยนเข้าไปหลอมในเตาหลอม จากนั้นถูกสลักกระบวนรอยสลักวิญญาณขึ้นใหม่ ขั้นตอนทั้งหมดผ่อนคลายและเป็นไปตามระบบระเบียบ
ไม่เพียงแค่นักสลักวิญญาณเหล่านั้น แม้แต่บรรดาผู้ฝึกปราณที่สังเกตการณ์อยู่ก็เบิกตาโพลง จิตใจถูกดึงดูดอย่างสิ้นเชิง
แม้พวกเขาไม่เข้าใจศาสตร์การสลักวิญญาณ แต่ก็สามารถดูออกว่าทักษะฝีมือที่เด็กหนุ่มเผยออกมาให้เห็นตอนนี้ มีจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งที่นักสลักวิญญาณทั่วไปจะเทียบได้!
“หรือว่า… เขาเป็นนักสลักวิญญาณ?”
หลายคนหัวใจสะเทือนไหว ตอนแรกในจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้ อาจจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกปราณที่คนทั่วไปยากจะไล่ทัน แต่กลับไม่เคยคิดว่าเขาอาจจะเป็นนักสลักวิญญาณคนหนึ่ง
ดังนั้นตอนที่รู้ว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มคนนี้จะมาเป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์อิงที่กองยุทโธปกรณ์ จึงได้เกิดเสียงฮือฮาและแปลกใจมากมายขนาดนั้น
แต่ตอนนี้การกระทำของอีกฝ่ายกลับประหนึ่งกำลังยืนยันว่า เขาไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มผู้กล้าระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง!
“เอ๊ะ!”
หลูเหวินถิงที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ใคร่ครวญว่าจะจัดการเรื่องวุ่นวายนี้อย่างไร แต่พอเหลือบไปเห็นทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างมองคุณชายหลินด้วยท่าทางตื่นตะลึง เขาก็อดอึ้งไม่ได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หลูเหวินถิงอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ พลันเห็นเด็หนุ่มกำลังถือด้ามสลักจุ่มหมึกวิญญาณ สลักกระบวนรอยสลักวิญญาณบนกระบี่เหล็กนิลที่หลอมขึ้นใหม่อีกครั้ง
เขายืดตัวตรง ปลายด้ามสลักราวกับน้ำพุที่ไหลริน ย้อมเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่หนาแน่นและลึกลับมากมาย
เพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกเจริญหูเจริญตา เกิดความประหลาดใจและสั่นสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก ท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ สง่างามราวกับปฐมาจารย์!
“นี่…”
หลูเหวินถิงเองก็ตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก หัวสมองคิดไม่ทันแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาคัดค้านที่คุณชายหลินจะมารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์อย่างที่สุด เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะก่อเรื่องที่นี่จนรบกวนระบบดำเนินงานตามปกติของกองยุทโธปกรณ์
แต่ใครจะคิดว่าคุณชายหลินที่ทุกคนต่างมองไม่ดี ตอนนี้กลับใช้การกระทำตบหน้าพวกเขาทุกคนอย่างแรง!
ความสามารถด้านการหลอมอาวุธระดับนี้ คนธรรมดาที่ไม่มีความรู้ด้านการสลักวิญญาณเลยจะมีได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่ปรมาจารย์สลักวิญญาณลงมือเอง ยังยากจะผ่อนคลายได้อย่างเขา!
ปรมาจารย์อิงก้มหน้าก้มตาพลิกดูม้วนตำราในมือ ความดื้อดึงของเด็กหนุ่มเช่นนี้ทำให้เขาทั้งดูถูกและเดือดดาล ในใจคิดคำพูดไว้มากมาย รอตอนที่อีกฝ่ายอับอายขายหน้า จะไล่ตะเพิดให้ออกไปทันที!
ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดชังและจงใจเพ่งเล็งไปที่อีกฝ่าย แต่เป็นเพราะไม่อยากเห็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลยมาก่อเรื่องที่กองยุทโธปกรณ์ต่างหาก
“ปรมจารย์อิง ท่าน… ท่านรีบดูหน่อยเถอะ…” ข้างๆ นักสลักวิญญาณคนหนึ่งกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เตือนเสียงเบา
“อ้อ เขารู้ว่ายากแล้วยอมแพ้ไปแล้วหรือ ถือว่าฉลาด เหอะๆ ให้ข้าดูสีหน้าของเขาตอนนี้หน่อยซิ…”
ในขณะที่พูดปรมาจารย์อิงก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไป
เพียงแวบเดียวเท่านั้นเขาก็อึ้งค้างอยู่กับที่ สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน “นี่…”
“ปรมาจารย์อิง ท่านก็ดูออกแล้วหรือ นี่ดูผิดปกติไม่น้อย” นักสลักวิญญาณที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงขื่น
ไม่ใช่แค่ผิดปกติ แต่ผิดปกติมากเกินไปแล้ว!
ยามนี้ปรมาจารย์อิงสูญเสียความเยือกเย็น ลุกพรวดขึ้น ในสายตาเต็มไปด้วยความตะลึง พึมพำว่า “ทักษะฝีมือนี้… ฝีมือเช่นนี้…”
เขาตกใจเกินไปจนพูดไม่ออก
ภาพนี้ดึงดูดความสนใจจากนักสลักวิญญาณและกลุ่มผู้ฝึกปราณที่อยู่รอบๆ ทันที ต่างหันมองอย่างแปลกใจและตะลึง
แม้แต่ปรมาจารย์อิงยังเสียอาการเพียงนี้ หรือว่า…
ตอนนี้เอง ปรมาจารย์อิงราวกับอัดอั้นมานานแล้ว ริมฝีปากพ่นประโยคหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก “นี่มันความสามารถระดับปฐมาจารย์!”
ประโยคเดียวราวกับดึงพลังทั้งร่างกายของเขาออกมา ทำให้สีเลือดบนใบหน้าของเขาจางจนขาวซีด ร่างกายก็สั่นเทา
เมื่อครู่นี้ตนปฏิเสธและกีดกันปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งต่อหน้างั้นหรือ
คิดถึงตรงนี้ในใจปรมาจารย์อิงก็สั่นสะท้าน อยากจะตบหน้าตัวเองสักที เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างที่สุด
หากเมื่อครู่นี้ท่าทีของตนสุภาพกว่านี้เสียหน่อย อดทนถามให้มากกว่านี้ ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใช่หรือไม่
ปรมาจารย์อิงสองตาไร้แวว ท่าทางราวกับวิญญาณล่องลอยอย่างไรอย่างนั้น
ในวงการนักสลักวิญญาณ มีกฎเหล็กอันเป็นที่ยอมรับของทุกคนมาโดยตลอด นั่นคือห้ามหมิ่นประมาทปฐมาจารย์!
เพราะนี่เป็นบุคคลที่โดดเด่นและสูงส่งเกินไป ราวกับมังกรศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในประวัติการณ์ของแวดวงสลักวิญญาณ บุคคลระดับนี้ใช่คนที่นักสลักวิญญาณคนใดจะกล้าดูหมิ่นและสบประมาทได้อย่างไร
หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ถึงขั้นที่จะทำให้เขาอิงสิงคงถูกนักสลักวิญญาณทั่วทั้งจักรวรรดิเกลียดชังและมองเป็นศัตรูได้!
ชิ้ง!
เสียงกังวานใสที่แฝงไอสังหารดังขึ้น ทุกคนตกใจและตื่นจากภวังค์ความคิดต่างๆ สายตาหยุดอยู่ที่มือของเด็กหนุ่มโดยพร้อมเพรียงกัน
กระบี่เหล็กนิลเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ตัวกระบี่ดำราวกับหมึก เปล่งประกายแสงระยิบระยับแสบตาราวกับดวงดาวที่เย็นยะเยือก
มันลอยอยู่อย่างนั้นแต่กลับมีไอสังหารแผ่ออกมา ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนรู้สึกแสบตา ผิวหนังหนาวเยือกขึ้นมา
ทันใดนั้นทุกคนต่างหัวใจสั่นไหวโดยพร้อมเพรียงกัน กระบี่เหล็กนิลอันก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่ระดับสวรรค์ขั้นต่ำเท่านั้น ไม่ถือว่าล้ำค่าอะไร
แต่เพียงเวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น หลังจากเด็กหนุ่มหลอมขึ้นใหม่ กระบี่เล่มนี้กลับประหนึ่งถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก เปลี่ยนเป็นโฉมใหม่!
“ระดับสวรรค์ชั้นยอด!” นักสลักวิญญาณคนหนึ่งตกใจร้องเสียงหลง
คนทั้งที่นั้นเงียบกริบ กระบี่วิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำเล่มหนึ่งกลายเป็นระดับสวรรค์ชั้นยอดในทันที อานุภาพเพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่ขั้นเดียว!
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างเสียการควบคุม นี่เป็นการเปลี่ยนของเสื่อมโทรมให้กลายเป็นของวิเศษชัดๆ!
หรือเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งจริงๆ
“ก่อนหน้านี้ผู้น้อยอิงสิงคงล่วงเกินปฐมาจารย์หลิน ขอปฐมาจารย์โปรดอย่าถือโทษ!”
ท่ามกลางความเงียบงันนี้ เห็นเพียงปรมาจารย์อิงสูดหายใจเขาลึกๆ กะทันหัน จากนั้นเข้าไปคารวะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจและตื่นตระหนก
คราวนี้ทุกคนในที่นั้นยิ่งเงียบกว่าเดิม ทุกสายตาที่มองเด็กหนุ่มล้วนเปลี่ยนไป ปฐมาจารย์! เป็นปฐมาจารย์จริงๆ ด้วย!
เพียงแต่…
เด็กหนุ่มที่อายุน้อยเพียงนี้ กลับก้าวสู่ระดับปฐมาจารย์แห่งวงการสลักวิญญาณแล้ว ความเป็นจริงนี้ดูตะลึงโลกมากเกินไปแล้ว
“คารวะปฐมาจารย์หลิน!” นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ต่างรีบเข้าไปคารวะแทบไม่ทัน สีหน้าของพวกเขาก็เผยความละอาย ในใจรู้สึกพะวง
ก่อนหน้านี้พวกเขาตำหนิและโจมตีเด็กหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ตอนนี้พวกเขาเสียใจและหวาดกลัว ในใจกระวนกระวายอย่างมาก
เหล่าผู้ฝึกปราณที่มาดูอึ้งค้างอยู่กับที่โดยสิ้นเชิง เดิมพวกเขามาดูความคึกคัก ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะพลิกผันมากขนาดนี้ เด็กหนุ่มที่เคยฆ่าราชันกึ่งระดับ เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งแล้ว!
ผลลัพธ์เช่นนี้พวกเขาคาดไม่ถึงเลย
‘เก็บได้สมบัติซะแล้ว! มารดามันเถอะ เกินคาดจริงๆ!’ หลูเหวินถิงร้องตะโกนในใจ ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว
เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง หากมาอยู่ในกองยุทโธปกรณ์ของค่ายหมายเลขเจ็ด เช่นนั้นผลประโยชน์ก็ยากจะประเมินอย่างแน่นอน!
เพียงแต่พอหลูเหวินถิงนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตัวเองคัดค้านไม่ให้อีกฝ่ายมารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์สุดกำลัง เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักที แบบนี้มันเรียกว่ามีตาหามีแววไม่ชัดๆ!
“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะช่วยเจ้าหลอมสมบัติใหม่ เจ้าลองดูว่าพอใจกระบี่เล่มนี้หรือไม่”
หลินสวินยื่นกระบี่เหล็กนิลให้อาปี้พร้อมยิ้มพูด
“หา?”
อาปี้ตื่นจากความตะลึง มองกระบี่เหล็กนิลโฉมใหม่ในมือแล้วงุนงงไปหมด ในใจมีความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนผู้ฝึกปราณอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างมองอาปี้ด้วยสายตาอิจฉา เด็กสาวคนนี้ช่างโชคดีเหลือเกิน!
……
ตั้งแต่วันนั้น หลินสวินก็ประจำอยู่ที่กองยุทโธปกรณ์ ชีวิตยุ่งมากแต่ก็มีความสุข
หลังจากฐานะ ‘ปฐมาจารย์สลักวิญญาณ’ ของเขาเผยแพร่ออกไป แต่ละวันจะมีผู้ฝึกปราณมากมายมาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในชื่อเสียง
บางคนมาเพื่อหวังผูกมิตรกับหลินสวิน และบางคนก็หวังให้หลินสวินลงมือหลอมสมบัติให้พวกเขา
กองยุทโธปกรณ์ก็ครึกครื้นมากขึ้น ทุกเช้าจะมีผู้ฝึกปราณมากมายมาเข้าแถว หวังจะได้รับโอกาสที่หลินสวินหลอมอาวุธให้ด้วยตัวเอง
เริ่มแรกหลินสวินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธทุกคนที่มา แต่ไม่นานเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว ด้วยผู้ฝึกปราณที่มาขอความช่วยเหลือมากเกินไป ทำให้เขาดูแลไม่ไหวจริงๆ
สุดท้ายเขาตั้งกฎว่าจะรับภารกิจหลอมอาวุธเพียงสามครั้งต่อวันเท่านั้น และจะแก้เพียงแค่งานหลอมอาวุธที่นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ไม่สามารถแก้ไขได้เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อย
ช่วงกลางวันเขาไปหลอมอาวุธที่กองยุทโธปกรณ์ กลางคืนหาเวลาฝึกปราณ ศึกษาค้นคว้าการฝึกยุทธ์ ในยามว่างจะรวมกลุ่มคนรู้จักมาร่วมดื่มและพูดคุยกัน เพื่อรับข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิกระหายเลือด
สิ่งที่สมควรแก่การพูดถึงคือ เมื่อแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยรู้ข่าวที่หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ตอนแรกก็ตะลึง ตบโต๊ะตัวหนึ่งจนแหลกละเอียด
จากนั้นสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก่นด่าราชันกระหายเลือดว่าเป็นไอ้เฒ่าระยำอย่างเกรี้ยวโกรธ ข่าวสำคัญขนาดนี้ยังปิดบังไม่ยอมบอก
ต่อจากนั้นเขาก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้ เสียงหัวเราะนั่นราวกับภูผาทลายมหาสมุทรถล่ม ก้องไปทั่วทั้งค่ายหมายเลขเจ็ด ทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างประหลาดใจและงงงวย แทบจะคิดว่าแม่ทัพจ่างซุนเลี่ยธาตุไฟเข้าแทรกซะแล้ว…
ในคืนนี้เอง
หน้าประตูบ้านหลินสวิน ใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล งานเลี้ยงเพิ่งจะจบลงก็เห็นว่าเหล่าหวงหัวหน้าทหารยามที่เฝ้าค่ายเมาอีกแล้ว และกำลังเพ้อตามประสาคนเมาที่แม้แต่เจ้าตัวยังฟังไม่รู้เรื่อง
อาปี้ดื่มจนใบหน้างามแดงระเรื่อร้อนผ่าว ตาปรือล่องลอย โวยวายว่าจะดวลเหล้ากับหลินสวิน สุดท้ายก็เมาล้มอยู่ในอ้อมอกของหลินสวิน
หลูเหวินถิงกำลังฮัมเพลง เพลงที่ร้องคือทหารหาญตายในศึกนับร้อย ผู้โชคดีจึงจะได้กลับมา ทำนองเพลงทั้งเศร้าและทุ้มต่ำ
สุดท้ายทุกคนแยกย้ายกันไป เพราะพรุ่งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ศัตรูไม่ตาย สงครามไม่จบ ในฐานะผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ เรื่องที่พวกเขาต้องทำในแต่ละวันแทบจะเกี่ยวข้องกับการฆ่าศัตรูทั้งหมด
“วันนี้หลิ่วเหวินไม่ทันกลับค่ายมาก่อนฟ้ามืด คงไม่กลับมาอีกแล้ว” ก่อนไปหูทงพูดทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่ง ไม่ถึงกับเสียใจ ดูนิ่งสงบมาก
หลินสวินอึ้ง ดื่มเหล้าในจอกจนหมดเงียบๆ
ตอนที่ 711 ซ่อนสมบัติในสมบัติ
โดย
ProjectZyphon
ความเป็นความตายคือหัวข้อสนทนาที่ไม่มีวันสิ้นสุดของสมรภูมิกระหายเลือด
ในช่วงนี้แม้หลินสวินจะอยู่ที่กองยุทโธปกรณ์ทุกวันไม่เคยออกไปข้างนอก แต่ก็รู้ว่าในทุกๆ วันล้วนมีผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิมากมายตายในสนามรบและไม่อาจหวนกลับมาได้อีกแล้ว…
อย่างเช่นหลิ่วเหวิน
ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่เคยท้าทาย ต่อต้านและดูหมิ่นหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่า ในวันข้างหน้าคงไม่ปรากฏตัวอีกต่อไปแล้ว
ตายง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ
หลินสวินสลดใจไม่น้อย ทีแรกเขาก็โกรธเคืองคนคนนี้อยู่บ้าง แต่ตอนที่รู้ว่าเขาอาจจะหายไปจากโลกง่ายๆ แบบนี้ หลินสวินก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ
ผ่านไปอีกหลายวัน
ตอนดื่มเหล้าในงานเลี้ยงตอนเย็น หูทงพาคนหน้าใหม่มาจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ใบหน้าเก่าๆ ของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราหายไปหลายคน
“มา ดื่ม ข้าจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือสมาชิกใหม่ที่ข้ารับมา…” หูทงไม่ได้อธิบายอะไร
ส่วนอาปี้นั้นเงียบมาก ขอบตาบวมแดง อารมณ์ซึมเศร้า ดื่มอย่างบ้าคลั่งโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
หลินสวินเข้าใจ พวกสมาชิกเก่าของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดารา ก็คงไม่อาจหวนกลับมาได้อีกแล้วเช่นกัน
นี่ก็คือสมรภูมิกระหายเลือด ในทุกวันจะมีใบหน้าที่คุ้นเคยหายไปและอาจจะไม่เคยปรากฏอีกเลย ชะตากรรมของพวกเขาอยู่ในสนามรบ บางทีแม้แต่กระดูกยังไม่เหลือรอด ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีสุสาน
“เมื่อเห็นความตายจนชินแล้ว จึงจะเข้าใจความสำคัญของการมีชีวิตอยู่” นี่คือคำพูดหลังงานเลี้ยงของหลูเหวินถิง
แต่หลินสวินกำลังคิดว่า ถ้าจะจบทุกอย่าง บางทีอาจจะมีเพียงวิธีเดียวนั่นคือ กำจัดศัตรูให้สิ้นซาก!
เพียงแต่สำหรับตอนนี้ความคิดนี้เห็นจะเกินจริงไปมาก
จักรวรรดิกับเผ่าพ่อมดเถื่อนสู้กันมาหลายพันปี จนวันนี้ยังไม่เคยทำได้ถึงขั้นนั้น เพราะพวกเขาไม่อยากงั้นหรือ
เปล่าเลย แต่เพราะทำไม่ได้ต่างหาก!
นี่ทำให้หลินสวินอดถอนหายใจไม่ได้ ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของจักรวรรดิในปัจจุบัน ก็แลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของเหล่าผู้ฝึกปราณที่ต่อสู้อยู่แนวหน้ามิใช่หรือ
……
“ข้ายอมใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยน ขอเพียงปฐมาจารย์หลินช่วยหลอมสมบัติชิ้นหนึ่งให้ข้า”
วันนี้ที่กองยุทโธปกรณ์ หลินสวินเพิ่งเสร็จภารกิจที่สามของตน ตอนที่ตัดสินใจจะกลับ จู่ๆ ก็มีผู้ฝึกปราณคนหนึ่งมาเยี่ยมเยียน
คนคนนี้เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอม ใบหน้าราวกับคมดาบ เย็นชาและแข็งแกร่ง มีไอสังหารคาวเลือดที่ปิดไม่อยู่ทั่วทั้งร่างกาย
เขาชื่อเหยียนเฟิง เป็นผู้โดดเดี่ยวที่มีชื่อเสียงมากในค่ายหมายเลขเจ็ด มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอด ถูกจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบเจ็ดของหมายจับกระดานโลหิต
แม้อันดับจะต่ำกว่าหลินสวินไม่มาก แต่นี่ไม่เหมือนกัน เพราะเหยียนเฟิงมีชื่อเสียงจากการสะสมเหรียญกล้าหาญ ถูกศัตรูมองว่าเป็นบุคคลอันตรายขั้นสุด
แต่หลินสวินมีชื่อเสียงเพราะฆ่าราชันกึ่งระดับด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว นี่คือความแตกต่างของทั้งสอง
ในมือของเหยียนเฟิงประคองหินสีเทาขนาดประมาณเท่ากำปั้น เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว พื้นผิวก้อนหินมีลายสีทองคลุมเครือ ดูลึกลับอย่างมาก
“หินหยกอัศจรรย์ลายทองหรือ” นักสลักวิญญาณคนหนึ่งโน้มเข้ามาแล้วพูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
นี่เป็นสมบัติชั้นดี เป็นวัตถุดิบวิญญาณที่หายากในการสร้างชุดศึกสลักวิญญาณ มูลค่าของมันไม่อาจประเมิน พบเห็นได้ยากอย่างมาก
เหยียนเฟิงไม่ได้สนใจเขา เพียงใช้สายตาจับจ้องหลินสวิน
“งานในวันนี้ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าค่อยมาวันหลังเถอะ” หลินสวินพูดสบายๆ เขานัดกับพวกหลูเหวินถิงและหูทงไว้แล้ว ว่าคืนนี้จะรวมตัวกันดื่ม
กลับเห็นเหยียนเฟิงขวางอยู่บนถนน พูดพร้อมสีหน้าจริงจัง “ปฐมาจารย์หลิน ข้ารีบใช้ ช่วยข้าสักครั้งเถอะ บุญคุณครั้งนี้สักวันข้าจะทดแทน”
หลินสวินขมวดคิ้ว ดูออกว่าวันนี้หากไม่รับปาก คนคนนี้คงจะดื้อรั้นไม่หยุดแน่
“หึ! วันๆ มีผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่มาขอความช่วยเหลือจากปฐมาจารย์หลินเช่นเดียวกับเจ้า หรือเจ้าคิดว่าเพียงแค่หินหยกอัศจรรย์ลายทองก้อนเดียวจะสามารถทำให้ปฐมาจารย์หลินยอมให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษได้งั้นหรือ รีบไปซะ อย่ารบกวนปฐมาจารย์หลิน มิฉะนั้นหากแม่ทัพจ่างซุนรู้ เจ้าเดือดร้อนแน่!”
นักสลักวิญญาณที่อยู่ข้างๆ ยืนขึ้นตำหนิเหยียนเฟิง แม้ชื่อเสียงของเหยียนเฟิงจะโด่งดังมาก แต่นักสลักวิญญาณเหล่านี้ต่างไม่เกรงกลัวเลย
เหยียนเฟิงเงียบไปทันที สายตาเผยความหม่นมัวและผิดหวัง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “ช่างเถอะ ข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ ไม่รบกวนแล้ว แต่…”
พูดถึงตรงนี้เขาก็เผยใบหน้าครุ่นคิด สุดท้ายกัดฟันยื่นหินหยกอัศจรรย์ลายทองก้อนนั้นให้หลินสวิน “ของชิ้นนี้อยู่ในมือข้าก็ไม่มีประโยชน์ ให้ปฐมาจารย์หลินไว้แล้วกัน”
พูดจบเขาก็หมุนตัวออกไป
หลินสวินอึ้งพลันถามว่า “เจ้าจะไปไหน”
“สนามรบ”
“ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว”
“ข้าต้องไป น้องชายข้ารอให้ข้าไปช่วยอยู่! บ้านเขามีภรรยาและลูกต้องดูแล จะตายไม่ได้เด็ดขาด!”
ดวงตาสีดำขลับของหลินสวินหรี่ลงพลันพูด “เอาสมบัติของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”
เหยียนเฟิงที่อยู่ห่างออกไปตัวแข็งทื่อ ราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“ยังจะอึ้งอะไรอยู่ เร็วหน่อยสิ อย่าเสียเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่ปฐมาจารย์หลินแหกกฎ ยอมให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษ!”
นักสลักวิญญาณที่อยู่ข้างๆ เตือนเสียงดัง
“ขอบคุณมาก!”
เหยียนเฟิงหมุนตัวไปคารวะให้หลินสวิน สีหน้าเผยความตื่นเต้นและขอบคุณอันยากจะปกปิด
สมบัติที่เหยียนเฟิงจะซ่อมเป็นทวนเหล็กด้ามหนึ่ง เป็นสมบัติระดับสวรรค์ขั้นสูง ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงมาตั้งนานแล้ว ยากที่จะเชื่อว่าบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง หนึ่งในคนร้ายกาจที่ถูกจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของหมายจับกระดานโลหิต อาวุธในมือกลับต๊อกต๋อยเช่นนี้
หลินสวินไม่ลังเล พินิจคร่าวๆ แล้วลงมือทันที
อีกอย่างครั้งนี้หลินสวินดูตั้งใจมาก ความเร็วก็เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก กลุ่มนักสลักวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ ดูจนตาลาย ในใจสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
เวลาเพียงไม่ถึงเค่อเท่านั้นก็เปลี่ยนทวนเหล็กเป็นโฉมใหม่ ไม่เพียงแค่ซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ระดับขั้นยังสูงขึ้นอีกขั้นใหญ่
นี่ทำให้เหยียนเฟิงเองก็หวั่นไหว ดีใจเป็นล้นพ้นและขอบคุณหลินสวินอย่างมาก
“ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน”
หลินสวินพูดสบายๆ “ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรับสมบัติที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งของเจ้า ช่วยเจ้าหลอมทวนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า”
“เป็นแค่หินหยกอัศจรรย์ลายทองก้อนหนึ่งเท่านั้น” เหยียนเฟิงพูด
“ไม่ ไม่ใช่แค่นั้น” นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก
ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกมาก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเหล่านักสลักวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ ทันที หรือสมบัติชิ้นนี้มีอะไรมากกว่านี้
แกร๊ก!
พลันเห็นว่าทันทีที่หลินสวินบีบมือลวกๆ หินหยกอัศจรรย์ลายทองก้อนนี้ก็แตกเป็นเสี่ยง เศษหินร่วงหล่นลงมา พร้อมๆ กันนั้นแสงประกายระยิบระยับราวกับธารดาราพรั่งพรูออกมา
“นี่มัน…” กลุ่มนักสลักวิญญาณเบิกตาโพลง มองเห็นฝ่ามือของหลินสวินเหลือเพียงแค่หินหยกโปร่งใสขนาดเท่าไข่นกพิราบ สีเงินอร่ามราวกับดวงดาว สว่างไสวสะดุดตา
แม้แต่เหยียนเฟิงเองยังชะงัก เขาไม่เคยคิดเลยว่าภายในหินหยกอัศจรรย์ลายทองยังมีอัญมณีลึกลับเม็ดหนึ่งซ่อนอยู่
แกร๊ก!
เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินออกแรงบีบอัญมณีสีเงินอร่ามเม็ดนั้นจนแหลก ละอองแสงลอยกระจาย ใบไม้สีเขียวอ่อนที่เรียวยาวราวกับก้านหญ้าสะท้อนอยู่ในสายตาทุกคน
ใบไม้มีรูปร่างเหมือนเหรียญทองแดง ขนาดเพียงเปลือกเมล็ดแตง แต่เปล่งแสงสีเขียวขจี ย้อมอากาศเป็นสีเขียว สว่างไสวจนผู้คนลืมตาไม่ขึ้น
ในเวลาเดียวกัน กระแสพลังชีวิตอันบริสุทธิ์ทรงพลังแผ่กระจายออกมา ทำให้ทุกคนรอบๆ ต่างจิตใจเบิกบานผ่อนคลาย มีความรู้สึกเหมือนล่องลอยแบบหนึ่ง
“นี่…” นักสลักวิญญาณเหล่านั้นตะลึงอย่างสิ้นเชิง หินหยกอัศจรรย์ลายทองชิ้นหนึ่งกลับดูลึกลับถึงเพียงนี้ เกรงว่าใครก็คงไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ในแก่นของมันจะมีใบไม้สีเขียวขจีที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตเช่นนี้
“ในสมบัติมีสมบัติ มีความลึกลับอื่นซ่อนอยู่ สมบัตินี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!” แม้แต่เหยียนเฟิงยังรู้สึกประหลาดใจ ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้ไม่ธรรมดา
“หากเจ้าเสียใจภายหลัง ข้าสามารถคืนเจ้าได้” หลินสวินมองเหยียนเฟิง
เหยียนเฟิงโบกมือปัดพลางพูด “สมบัตินี้ปฐมาจารย์หลินเป็นคนค้นพบ ไม่เกี่ยวกับข้า”
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าได้สมบัติชิ้นนี้มาจากไหน” หลินสวินถาม
“ป่าต้นหม่อน”
เหยียนเฟิงพูดจบก็ประสานหมัดบอกลา เขาต้องรีบออกไปก่อนฟ้ามืด เข้าสู่สนามรบอีกครั้งเพื่อทำเรื่องที่อันตรายและยากที่สุด
อาจจะตาย แต่เขาไม่เสียดาย
‘ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิก็เป็นเช่นนี้แหละ!’
แม้รู้ดีว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ นี่คือเกียรติภูมิของลูกผู้ชาย หลินสวินถอนหายใจในใจ
……
หลังกลับห้องของตน หลินสวินก็หยิบใบไม้เขียวขจีที่แผ่แสงเขียวสว่างไสวใบนั้นออกมาก่อนเป็นอันดับแรก
ทันใดนั้นห้องที่มืดสลัวในตอนแรกก็ถูกส่องสว่าง
‘พลังชีวิตรุนแรงมาก’
หลินสวินสงบใจสัมผัสอยู่ครู่ก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ภายในพลังชีวิตนั้นมีพลังมหามรรคไหลเวียนอยู่รางๆ ลึกลับและยากจะคาดเดาอย่างที่สุด
ในสมรภูมิกระหายเลือดที่พลังวิญญาณแห้งเหือดราวกับดินแดนรกร้างที่ถูกทอดทิ้ง จะเกิดพลังชีวิตที่รุนแรงและลึกลับถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ชิ้ง!
หลินสวินชักดาบหักออกมา พลันเห็นว่าดาบหักสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงร้องทุ้มต่ำเหมือนแสดงความปรารถนา ราวกับใจร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว
ก่อนที่จะค้นพบใบไม้ลึกลับที่ซ่อนอยู่ในหินหยกอัศจรรย์ลายทอง ก็เพราะแรงสั่นแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งของดาบหักนี่แหละที่ทำให้หลินสวินสังเกตถึงความไม่ธรรมดาของหินหยกอัศจรรย์ลายทองก้อนนี้
ตามคาด แรงสั่นและไอปรารถนาที่เกิดจากดาบหักในตอนนี้ ทำให้หลินสวินมั่นใจเรื่องนี้ในที่สุด
‘ของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ เหตุใดถึงมีพลังมหามรรคและพลังชีวิตแรงกล้าถึงเพียงนี้’
ใบไม้มีขนาดประมาณเปลือกเมล็ดแตง แต่ความยิ่งใหญ่ของพลังชีวิตนั้นทำให้หลินสวินเองยังตื่นกลัว
ฮูม…
สุดท้ายหลินสวินลองยื่นใบไม้ไปไว้หน้าดาบหัก พลันเห็นว่าดาบหักแผ่คลื่นอันคลุมเครือปกคลุมใบไม้นั่นทันทีแล้วดูดพลังชีวิตของมันอย่างบ้าคลั่ง
และหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า บนพื้นผิวของดาบหัก ลายมรรคที่ตอนแรกพร่าเลือนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แม้จะเป็นเพียงแค่โครงร่างคร่าวๆ แต่ถ้าสถานการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่เร็วก็ช้าลายมรรคอันลึกลับเหล่านี้จะต้องปรากฏอย่างสมบูรณ์แน่
‘ดาบหักไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ที่ก่อนหน้านี้เงียบสงบมาโดยตลอด หรือจะเป็นเพราะขาดการฟื้นฟูพลังชีวิตเช่นนี้’
หลินสวินเกิดความคิดหนึ่ง
ที่น่าเสียดายคือ จนกระทั่งพลังชีวิตในใบไม้ใบนั้นถูกดูดออกไปหมด ลายมรรคบนพื้นผิวของดาบหักก็ยังไม่ปรากฏอย่างสมบูรณ์ เพียงแค่มองเห็นได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเท่านั้น แต่ยังคงไม่สามารถถูกมองออกและหยั่งรู้ได้อย่างสมบูรณ์
‘ดูเหมือนว่าต้องไปป่าต้นหม่อนนั่นสักรอบ ไม่แน่ว่าอาจสามารถฉวยโอกาสนี้ทำให้ดาบหักเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์สักครั้ง!’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางตัดสินใจ นี่เป็นวาสนาที่หายาก หากพลาดถือว่าน่าเสียดายมาก
เขาอยู่ที่กองยุทโธปกรณ์มาเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว แม้จะยุ่งมากทุกวัน แต่ก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้เรียบง่ายและเงียบเหงาเกินไปตั้งนานแล้ว
เช้าวันถัดมา
“อะไรนะ เจ้าจะไปที่บ้าๆ อย่างป่าต้นหม่อนงั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นอันตรายแค่ไหน แค่พูดถึงก็เพียงพอที่จะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏหน้าเปลี่ยนสีแล้ว! ไม่ได้ เรื่องนี้อนุญาตเจ้าไม่ได้เด็ดขาด”
ตอนที่ได้ยินว่าหลินสวินจะไปที่ป่าต้นหม่อน ก็ถูกหลูเหวินถิงต่อต้านอย่างรุนแรงทันที ถึงขั้นที่เขาเองยังตกใจไม่น้อย
ป่าต้นหม่อน นั่นเป็นพื้นที่อันตรายที่มีชื่อเสียงแม้แต่ในสมรภูมิกระหายเลือด หลายพันปีมานี้ ราชันระดับสังสารวัฏที่ตายในนั้นมีไม่น้อยเลย!
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น