Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 704-709
ตอนที่ 704 ยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์
โดย
ProjectZyphon
ชายชราร่างผอมจากไป เหตุการณ์แม้ตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย
ทว่าหลินสวินกลับพบว่า ในเวลาอันสั้นตนเองคงจากไปไม่ได้แล้ว
เพราะอาณาบริเวณใกล้เคียงนี้ มีพ่อมดเถื่อนมือฉมังขบวนแล้วขบวนเล่าเคลื่อนเข้าใกล้หุบเขาพยัคฆ์ดั่งกระแสน้ำ…
ยุ่งยากแล้ว!
หลินสวินแอบร่ำร้องในใจ
เวลานี้เขาใช้ ‘ไอซวนหนี’ บดบังกลิ่นอาย อาจไม่ถูกศัตรูค้นพบอย่างคาดไม่ถึง แต่ทันทีที่เคลื่อนไหวเพียงนิดต้องเปิดเผยร่องรอยเป็นแน่
ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดหลินสวินกัดฟันตัดสินใจหยุดขยับตัวชั่วคราว
แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยให้ว่าง อาศัยช่วงเวลานี้นำผลึกวิญญาณระดับสูงออกมาสูบหลอมพลังเงียบๆ เสริมพลังที่ผลาญไปในการต่อสู้เมื่อครู่
…
ในหุบเขาพยัคฆ์ หลังผ่านความหวั่นสะท้านและตระหนกในช่วงแรกไปแล้ว เหตุการณ์ก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดและกดดัน
ผู้อาวุโสกึ่งราชันนามหมานจิ่วคนนั้น รวมถึงเฟิงคุน จินอู้และผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นทั้งหมดกำลังหารือมาตรการรับมือ
“ไอ้เด็กสวะเผ่ามนุษย์บัดซบนั่น ใครจะคิดว่ามันถึงกับกล้ากลับมาอีกครั้ง ช่างเป็นสุนัขกล้าใจคับฟ้า!”
มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทโกรธแค้นด่ายกใหญ่
คนอื่นก็สีหน้าถมึงทึงหาใดเปรียบ พวกเขาพบว่าลูกศรปริศนาไม่อาจจินตนาในส่วนลึกถ้ำเหมืองดอกนั้นหายไปแล้ว เห็นชัดว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นเป็นคนทำ!
“น่าแค้นนัก! เผ่าพ่อมดเถื่อนของเรากรำศึกที่สมรภูมิกระหายเลือดนี่หลายปี มีหรือจะเคยเสียเปรียบมากขนาดนี้ แม้แต่เสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง อินเป่ยกู้ล้วนถูกฆ่า หากแพร่งพรายออกไปต้องเกิดคลื่นลมปั่นป่วนใหญ่หลวงแน่!”
“เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือต้องจับไอ้เด็กสวะนั่นให้ได้!”
“ใช่ เด็กนี่มีปราณแค่ระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับอาศัยธนูยักษ์กระดูกขาวน่ากลัวหาใดเปรียบคันหนึ่งทำให้ฝ่ายเราเสียหายหนัก ที่ไม่อาจให้อภัยที่สุดคือเขาถึงกับนำสมบัติล้ำค่านั่นไปด้วย!”
“ตามที่สัตว์ประหลาดเฒ่าสายคนเถื่อนโบราณท่านหนึ่งคาดการณ์ ศรเทพลึกลับดอกนั้นเป็นไปได้สูงว่าคือยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ราชันอริยะผู้หนึ่งเหลือทิ้งไว้! ความน่าหวาดกลัวแห่งพลังของมันเพียงพอสังหารอัครบุคคลระดับราชันเถื่อน หากถูกผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเผ่ามนุษย์นั่นได้ไป จะต้องเป็นหายนะที่ไม่อาจคาดเดา!”
เหล่าพ่อมดเถื่อนมากสามารถทั้งหมดส่งเสียงกันเซ็งแซ่ พวกเขาเกลียดชังหลินสวิน ในใจคับแค้นอัดอั้นถึงขีดสุด ไม่อาจทนเห็นเขามีชีวิตรอดต่อไป
“เด็กหนุ่มนั่นรูปร่างเป็นอย่างไร”
หมานจิ่วผู้เงียบขรึมมาตลอดพลันเอ่ยปาก
“เขาอายุประมาณสิบกว่าปี มีปราณระดับหยั่งสัจจะ ท่าทางดูไปแล้วค่อนข้างหล่อเหลา…” จินอู้เอ่ยปาก อธิบายลักษณะหลินสวินรอบหนึ่ง
“เป็นเขา!” ทันใดนั้นนัยน์ตาหมานจิ่วฉายแววน่ากลัวชวนตระหนกวูบหนึ่ง
คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันไปมา กล่าวประหลาดใจอยู่บ้าง “หรือผู้อาวุโสหมานจิ่วรู้จักเจ้าเด็กนี่”
หมานจิ่ว ราชันเถื่อนกึ่งระดับของสายคนเถื่อนมืดผู้หนึ่ง ศักยภาพน่าหวาดกลัวยิ่งยวด เป็นรองแค่ผู้ดำรงในระดับราชันเถื่อนที่แท้จริง!
คนใหญ่คนโตเช่นนี้ถึงกับรู้จักเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง นี่ทำเอาคนอื่นไม่คาดฝัน
เงียบงันนานพอควร ในที่สุดหมานจิ่วจึงบอกกล่าวตามความจริงหาได้ปกปิดไม่ “เมื่อวานเจ้าเด็กนี่เกือบสังหารนายน้อยเผ่าข้า ตามที่นายน้อยเผ่าข้าวินิจฉัย เด็กนี่… น่าจะก้าวสู่มกุฎมรรคาซึ่งแกร่งที่สุดในตำนาน”
อะไรนะ!?
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอ้าปากค้าง
มกุฎมรรคาซึ่งแกร่งที่สุด! แม้แต่สมัยบรรพกาลล้วนเรียกได้ว่าเป็นมรรคาสูงสุดอันเป็นที่จับตามองทั่วหล้า ประดุจราชันที่สามารถบดขยี้ศัตรูระดับเดียวกันได้ทั้งมวล!
ข่าวลือเกี่ยวกับมรรคานี้มีมากเหลือเกิน เปี่ยมล้นด้วยสีสันแห่งตำนานไม่อาจจินตนา
แต่ใครต่างไม่คาดคิด ในจักรวรรดิจื่อเย่านั่นถึงกับให้กำเนิดปีศาจพลิกฟ้าเช่นนี้ตนหนึ่ง!
ในอดีตที่ผ่านไม่เคยพบเจอมาก่อน
และเมื่อรู้ว่าแม้แต่นายน้อยราชนิกุลคนเถื่อนมืดยังเกือบถูกสังหาร พวกเขาล้วนสั่นสะท้านพูดไม่ออกโดยพร้อมเพรียง
นายน้อยราชนิกุลคนเถื่อนมืดนามว่าอิ๋งเชวี่ย เป็นบุคคลแห่งยุคที่ถูกขนานนามว่าราชันรุ่นเยาว์แห่งพ่อมดเถื่อนผู้หนึ่ง ถูกคนใหญ่คนโตมากมายจากเก้าสายชื่นชม คิดว่าขอแค่เขาก้าวสู่มกุฎมรรคาก็มีหวังยิ่งที่จะกลายเป็นจักรพรรดิเถื่อนที่แท้จริง!
แต่บุคคลซึ่งเจิดจรัสหาใดเปรียบเช่นนี้ กลับเกือบถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นสังหาร นี่จะไม่ให้ผู้คนตระหนกได้อย่างไร
“รายงาน!”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก หน่วยสอดแนมก็มารายงาน “สืบเสาะภายในรัศมีร้อยลี้แล้ว ไม่พบร่องรอยของศัตรูแม้เพียงเสี้ยว แม้แต่กลิ่นอายยังจับไม่ได้”
หน่วยสอดแนมเผ่าพ่อมดเถื่อน ส่วนใหญ่เป็นสายคนเถื่อนมืด พวกเขาคือมือสังหารโดยกำเนิด ที่ชำนาญที่สุดคือการไล่ล่าและค้นหา
แต่บัดนี้แม้แต่หน่วยสอดแนมสายคนเถื่อนมืดพวกนี้ยังไม่พบร่องรอยของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่น นี่ทำให้สีหน้าทุกคน ณ ที่นั้นไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม
“คนเป็นๆ คนหนึ่งไม่มีทางหายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!” หมานจิ่วมุ่นคิ้ว “เจ้าเด็กนี่หากไม่ใช่ใช้วิชาลับบางอย่างกลบกลิ่นอายหลบหนีไปแล้ว ก็ต้อง… ยังซ่อนอยู่ในบริเวณนี้!”
วาจาเขาเฉียบขาด ในฐานะที่เป็นราชันกึ่งระดับแห่งสายคนเถื่อนมืด คำพูดของเขามีแรงจูงใจอย่างใหญ่หลวงโดยไม่ต้องสงสัย
“ค้น! หาให้ทั่วทั้งหุบเขาพยัคฆ์ ต่อให้ต้องขุดดินลงไปก็ต้องจับตัวมันมาให้ข้า!”
หมานจิ่วออกคำสั่ง
“ผู้อาวุโสท่านคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้หนีไป แต่หลบซ่อนอยู่บริเวณนี้รึ”
คนที่เหลือใจกระตุก
“ข้าสังเกตร่องรอยการต่อสู้ที่นี่แล้ว จากการคาดเดาเวลา เขาไม่มีทางหนีไปไกลได้เด็ดขาด แต่ในระยะร้อยลี้กลับไม่เหลือร่องรอยของเขาแม้เพียงเสี้ยว นี่สามารถพิสูจน์ได้เล็กน้อยว่าเขาอยู่ใกล้ๆ!”
แววเย็นเยียบในดวงตาหมานจิ่วพลุ่งพล่าน เห็นได้ว่ามั่นใจยิ่ง
ทันใดนั้นพ่อมดเถื่อนทั้งหมดต่างฮึกเหิม บนหน้าเผยไอสังหารและคั่งแค้นยากปกปิด วันนี้พวกเขาถูกทำให้เดือดดาลแล้ว
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งกลับทำจนพวกเขาล้มลุกคลุกฝุ่น บาดเจ็บล้มตายสาหัสสากรรจ์ ซ้ำยังชิงสมบัติซึ่งเดิมถูกพวกเขาจับจ้องไป นี่จะให้อดกลั้นได้อย่างไร
“ค้น!”
“ไถ่ภูเขาลูกนั้นให้ราบ!”
“ยังมีถ้ำเหมืองด้านนั้น ทำลายมันให้หมด!”
ณ ที่นั้นเสียงตะโกนดังลั่นเป็นพักๆ พ่อมดเถื่อนมือฉมังกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเริ่มปฏิบัติการดั่งกระแสน้ำ ใช้วิธีรุนแรงค้นหาบริเวณใกล้เคียงหุบเขาพยัคฆ์ ท่าทางน่ากลัวอย่างยิ่ง
หลินสวินซึ่งสังเกตทั้งหมดนี้มาโดยตลอดขมวดคิ้วมุ่น ตระหนักได้ว่าหลบต่อไม่ได้แล้ว
“พวกเจ้ามาหาตรงนี้!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งออกคำสั่ง นำพ่อมดเถื่อนมือฉมังทั้งหมดมุ่งเดินมาทางนี้ ทว่าไม่รอให้พวกเขาเริ่มค้นหา แสงดาบฉับไวอันประดุจแสงดาราก็โผล่ออกมา
ฉัวะๆๆ!
ทันใดนั้นหัวที่เลือดหลั่งรินเจ็ดแปดหัวถูกปลิดเกลี้ยง
“ตรงนี้! ศัตรูหลบอยู่ที่นี่!”
ที่ห่างออกไป ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ดวงตาพลันปูดโปนแทบถลน ส่งเสียงคำรามเล็กแหลม
พริบตานั้นเสียงตะโกนดังระลอกจากทั่วทุกสารทิศ ก็เห็นผู้แข็งแกร่งมหาเวทมากมายพุ่งทะยานมาทางนี้ แต่ละคนไอสังหารพวยพุ่ง
“เป็นไอ้เด็กสวะนั่นดังคาด!”
“ฮ่าๆๆ ครั้งนี้ข้าจะบีบมันให้ตายคามือ!”
ในครรลองสายตา พวกเขาเห็นเงาร่างของหลินสวินกำลังทะยานหนีห่างไปเต็มกำลัง นี่ก็เหมือนนายพรานเห็นเหยื่อ ทำให้พวกเขาเบิกบานอย่างบ้าคลั่งยิ่ง
“ตาม!”
“ปิดทางมันให้ข้า!”
พ่อมดเถื่อนมือฉมังดุจกระแสธารล้อมรอบมาจากทั่วสารทิศราวตาข่ายยักษ์หดรัดตัว หมายกักขังหลินสวินไว้ภายใน
สวบ!
หลินสวินสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลัง พลังทั่วร่างโคจรถึงขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในพริบตา ทั้งตัวราวสาดแสงมายาวูบหนึ่ง เร็วจนไม่อาจจินตนา
เมื่อใดที่ศัตรูกีดขวางเบื้องหน้า ก็จะถูกดาบหักฟันใส่ทันที ระเบิดแหลกราวทำจากกระดาษ
ทั่วสรรพางค์กายคล้ายเหล็กหมาดปลายแหลม แหวกทะลวงถนนโลหิตสายหนึ่งในกองทัพศัตรูเต็มกำลัง
หนี!
แม้แต่ห่อสัมภาระบรรจุทรัพย์หลังศึกเต็มแน่นสามถุงนั้นหลินสวินก็ไม่ต้องการแล้ว ทุ่มกำลังหนีอย่างบ้าคลั่ง
ช่วยไม่ได้ เบื้องหลังไม่เพียงแต่มีผู้แข็งแกร็งมหาเวทกลุ่มใหญ่ ที่น่ากลัวที่สุดคือยังมีราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง!
ต่อให้หลินสวินมั่นใจในศักยภาพตนเองแค่ไหน ก็ไม่บ้าระห่ำถึงขั้นต้านทานราชันกึ่งระดับนั่น
“น่าขัน คราก่อนให้เจ้าหนีไปได้ เพราะนายน้อยเผ่าข้าสั่งไม่ให้ตามฆ่าเจ้า แต่วันนี้หากให้เจ้าหนีไปได้อีก ข้ายังจะเชิดหน้าในสายคนเถื่อนมืดได้อีกหรือ”
ที่มาพร้อมกับเสียงเยียบเย็นและน่าเกรงขามนั้น คือเงาร่างหมานจิ่วซึ่งประหนึ่งชั้นเมฆดำทะมึนบีบกดห้วงอากาศ พุ่งดิ่งเข้ามา
เร็วเกินไปแล้ว!
หมานจิ่วนอกจากเป็นราชันกึ่งระดับ ยังเป็นสายคนเถื่อนมืดผู้หนึ่ง ครอบครองวิธีสังหารและความเร็วที่ไม่อาจเทียบได้
บัดนี้ทันทีที่เขาลงมือ หลินสวินซึ่งกำลังหนีห่างออกไปพลันประหนึ่งมีหนามทิ่มแทงใส่หลัง ขนทั่วร่างตั้งชัน สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่ง
ผึง!
หลินสวินเปลี่ยนดาบเป็นธนูอย่างแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก ง้างสายธนูเต็มเหนี่ยวแล้วยิงออกไปโดยไม่หันหลับไปมอง
“หืม?”
หมานจิ่วนัยน์ตาพลันหรี่หลุบลง แม้แต่เขาเองเกือบถูกยิงตรงคอหอยโดยไม่ตั้งตัว! ต่อให้เป็นเช่นนี้ธนูวิญญาณนั่นก็ถูผิวหนังหว่างลำคอเขาปอกเปิก นำมาซึ่งบุปผาโลหิตกระฉูดระย้า
“มิน่าถึงสามารถฆ่าพวกเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิงได้ ธนูนี่… ช่างคาดไม่ถึงนัก!” หมานจิ่วสีหน้าราบเรียบ ไอสังหารรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เขาเป็นถึงราชันกึ่งระดับ!
กลับเกือบถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งจู่โจมสังหารโดยไม่ทันตั้งตัว นี่ทำให้ในใจเขานอกจากโทสะแล้ว ยังเกิดความละโมบต่อธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือหลินสวิน
หมานจิ่วเป็นมือสังหารโดยกำเนิด หากสามารถครอบครองธนูนี่ เขาถึงขั้นมั่นใจว่าสามารถท้าทายกับราชันเถื่อนที่แท้จริงได้!
‘ธนูนี่ต้องชิงมาเป็นของข้า!’
หมานจิ่วจับจ้องหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปมั่น สูดหายใจลึก เขาตัดสินใจใช้กระบองเพชฌฆาตที่แม้จริงบดขยี้ในคราเดียว เลี่ยงไม่ให้สถานการณ์ยืดเยื้อออกไป
ตูม!
ทั่วร่างเขาปรากฏเปลวอัคคีสีดำดุจหมอกควันพุ่งทะลวงเมฆา ทั้งตัวราวมารปีศาจตนหนึ่ง แรงกดดันมหาศาลชวนประหวั่นดุจลมกาฬวาต ครอบคลุมรัศมีร้อยลี้ในพริบตา
สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ตรงปลายนิ้วเขามีเปลวเพลิงสีเทาสลัวรางกำลังเคลื่อนไหว ดูเหมือนอ่อนกำลัง แต่กลับอบอวลกลิ่นอายทำลายล้างอันตรายสุดขีด
เสมือนเปลวไฟแห่งนรกภูมิ แค่เพียงเปลวหนึ่งล้วนสามารถผลาญสิ้นภูผาธารา!
ทว่าไม่รอให้หมานจิ่วบุกโจมตี ทั่วร่างเขาพลันแข็งทื่อ ในใจไม่อาจระงับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกะทันหันได้
นี่มัน…
ในสายตาหมานจิ่ว สิ่งที่เห็นในแวบแรกคือหลินสวินที่กำลังหลบหนีห่างไปไกล ทว่ายามนี้กลับชะงักเท้าโดยพลัน หันหลังกลับมา แล้วง้างธนูยักษ์กระดูกขาวนั่นเต็มเหนี่ยว
แต่ทว่าครานี้ระหว่างนิ้วของเขากลับเพิ่มลูกศรสีดำเรียบง่ายไม่หรูหราดอกหนึ่ง ปลายศรดั่งสีโลหิต เล็งมาทางตนจากที่ห่างไกล
พริบตานี้หมานจิ่วขนพองสยองเกล้า ราวถูกมัจจุราชจับจ้อง จิตวิญญาณสั่นสะท้าน หวาดกลัวอย่างรุนแรงหาใดเปรียบ
หรือว่านี่คือ ‘ยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์’ ที่ไอ้เด็กสวะนั้นช่วงชิงไป!?
ตอนที่ 705 อานุภาพแห่งหนึ่งศร
โดย
ProjectZyphon
พริบตาที่ศรแห่งนภาครามถูกดึงง้างด้วยธนูวิญญาณไร้แก่นสาร พลังภายในร่างหลินสวินทั้งมวลประดุจวาฬกลืนวารี ถาโถมสู่กลางธนูอย่างบ้าคลั่ง
หลินสวินมีความรู้สึกปานร่างกายถูกทำให้ว่างเปล่าในพริบตา
ในระดับหยั่งสัจจะที่เขาอยู่ หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งของพลัง ล้วนเพียงพอให้โดดเด่นในโลกหน้า ถึงขั้นสามารถทำให้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอับอายที่ไม่อาจเทียบชั้นได้
แต่บัดนี้แค่ง้างธนูเดียวก็สูบพลังเขาเกือบหมด นี่ทำให้ตัวหลินสวินเองก็อดแปลกใจไม่ได้
ทว่าลูกศรอยู่บนสายแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ยิง
หลินสวินแทบจะกัดฟันกรอด ใช้กำลังทุกสัดส่วน ท้ายที่สุดในตอนที่เขาจวนจะยืนหยัดไม่อยู่ ธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ถูกง้างเต็มที่!
ปึง!
ทันทีที่ศรแห่งนภาครามยิงออกมา เสียงหวือดั่งสัทครรลองมหามรรคดังก้องขึ้น กลางฟ้าดินปรากฏลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นที่ธารดาราระเบิดแหลก สรรพสิ่งดับสลาย
และรอบๆ ตัวธนู อาทิตย์จมดิ่ง กาทองร้องร่ำ เป็นภาพอันที่สะเทือนใต้หล้าและพาให้ผู้คนตื่นตระหนก!
ผืนดิน ห้วงอากาศ หินผาละแวกใกล้เคียง… ล้วนจมสู่การทำลายล้างในชั่วพริบตา กลายเป็นเสียงกัมปนาทวุ่นวาย คล้ายหมายดึงทึ้งสรรพสิ่งสู่ความว่างเปล่า ดับสลายให้สิ้นซาก
ภาพนั้นชวนสะพรึงเกินไป
ลูกศรเพียงอันเดียว
ฟ้าดินกลับถูกอานุภาพของมันช่วงชิง!
…
ไม่ดีแน่!
หมานจิ่วซึ่งสังเกตเห็นท่าไม่ดีแต่แรกก็ตระหนกจนหนังหัวแทบระเบิด สัญชาตญาณทำให้เงาร่างของเขาวาบไหว หลบหนีไปจากห้วงอากาศราวกับเงาดำ เพียงพริบตาเดียวก็ห่างไปหลายพันจั้ง เร็วจนไม่อาจคาดคิด
ในฐานะที่เป็นราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง สำหรับชายชราที่ฝ่าฝันภยันตรายในภูเขาดาบทะเลเพลิงมาไม่รู้กี่นานเท่าไหร่ หมานจิ่วรู้สึกถึงความอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้เป็นครั้งแรก
น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
ทำให้จิตวิญญาณเขาสั่นสะท้าน จิตใจโงนเงนไม่มั่นคง แทบไม่กล้าเชื่อ บนโลกนี้ทำไมมีพลังน่าพรั่นพรึงเช่นนี้
แม้เผชิญหน้าราชันที่แท้จริง หมานจิ่วยังไม่เคยรู้ซึ้งหวาดผวาและกลัวเกรงเช่นนี้มาก่อน
หนี!
ก่อนหน้าเขายังกระสันอยากได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารหาใดเปรียบ หมายไขว่คว้ามาครอบครอง ยามนี้เขาคิดแค่อยากหนีไปให้ไกลเท่าที่ไกลได้!
‘ธนูคันหนึ่ง ศรดอกหนึ่ง แต่ละชิ้นน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ หรือว่านี่คือสมบัติคู่หนึ่งรึ’
‘เด็กนี่ต้องฆ่าให้ได้ ไม่อาจปล่อยไว้เด็ดขาด!’
‘โดยเฉพาะธนูกับศรในมือเขา ยิ่งไม่อาจให้ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิครอบครอง!’
ความคิดของหมานจิ่วเตลิดเปิดเปิง
เพียงแต่เขาพลันรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง ทิวทัศน์เบื้องหน้าจู่ๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัว ขณะเดียวกันเขายังได้ยินคลื่นเสียงสนั่นน่าหวาดกลัวหนึ่ง
ผลัวะ!
ราวกับบางอย่างระเบิดออก ทิวทัศน์ตรงหน้าเปี่ยมแสงโลหิต
ประสบการณ์โรมรันกรำศึกหลายปีทำให้หมานจิ่วตระหนักได้ตั้งแต่แวบแรก ว่านี่คือเสียงเคลื่อนไหวที่ร่างกายถูกจู่โจมสังหารระเบิดแหลก
ทว่า…
ทำไมมันดูแปลกพิกล
ฉับพลันนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสเหลือบรรยายผุดขึ้นในจิตใต้สำนึก ท้ายที่สุดหมานจิ่วถึงพบว่า แท้จริงแล้วทุกอย่างที่สังเกตเห็นเมื่อครู่ล้วนเกิดขึ้นกับตนเอง
ร่างกายของตนถูกจู่โจมสังหารระเบิดแหลก!
หมานจิ่วงุนงงพูดไม่ออกทันที ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรความตายถึงจู่โจมฉับพลันเช่นนี้
ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หมานจิ่วไม่เคยคาดการณ์มาก่อน!
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ทันได้ตอบสนอง ไม่ทันได้รับรู้ ไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไร ความตายก็มาถึงอย่างกะทันหันเช่นนี้!
‘นี่รึพลังแห่งยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์…’ การรับรู้สุดท้ายของหมานจิ่ว คือมองเห็นลูกศรดอกหนึ่ง
สีดำประดุจรัตติกาล เรียบง่ายและไม่หรูหรา ชั่วพริบตาก็หายไป ดูลึกลับและยากคาดเดาถึงเพียงนั้น…
…
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
ไกลออกไป ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวททั้งหมดกำลังไล่ตามมาด้วยท่าทีเหิมเกริมน่ากลัว แต่ละคนสีหน้าเปี่ยมความตื่นเต้นดีใจและไอสังหาร
พ่อมดเถื่อนมือฉมังขบวนแล้วขบวนเล่ารอบทิศกำลังพุ่งล้อมมาทางนี้ ราวตาข่ายยักษ์ตีกรอบ เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเหมือนพรานล่าเหยื่อ
แต่ทว่าพริบตาที่หลินสวินปล่อยศรแห่งนภาครามดอกนั้น การเคลื่อนไหวทั้งมวลของพวกเขาต่างหยุดชะงัก ถูกเสียงชวนประหวั่นนั้นสะเทือนสยบ
จากนั้นภาพที่ทำเอาพวกเขายากลืมเลือนชั่วชีวิตก็ปรากฏในครรลองสายตา…
ศรดอกหนึ่งแหวกห้วงอากาศดุจเคลื่อนย้ายผ่านความว่างเปล่า พุ่งใส่หมานจิ่วผู้มีปราณระดับกึ่งราชันอย่างฉับพลัน!
แค่เพียงศรเดียว!
พริบตานั้นไม่ว่าเฟิงคุน จินอู้ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่น หรือกำลังพลพ่อมดเถื่อนมือฉมังที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตะลึงงันอยู่ตรงนั้น หัวสมองว่างเปล่า
นั่นคือหมานจิ่วเชียวนะ!
บุคคลที่เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่ระดับราชันเถื่อน ในเผ่าพ่อมดเถื่อนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ปลายยอด
แต่เขากลับต้านศรเดียวนี้ไม่อยู่!
ถูกสังหารตายคาที่ ณ ตรงนั้น ร่างกายแตกละเอียดเป็นหยาดโลหิต ย้อมห้วงอากาศเป็นสีชาด น่าสลดจนพาให้คนสิ้นหวัง!
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”
“เป็นลูกศรที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
“ไม่…!”
ครู่ใหญ่ บรรยากาศที่กดดันเงียบงันก็ถูกเสียงอื้ออึงอึกทึกเข้ามาแทนที่ บนหน้าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความตระหนก งุนงง โศกเศร้า และไม่อยากเชื่อ
รวมถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทพวกนั้นด้วยที่สีหน้าสลับเปลี่ยนไปมา ในใจสั่นสะท้าน ทั่วร่างสั่นเทาไม่หยุด
ระดับกึ่งราชันเชียวนะ!
ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสชั้นยอดของสายคนเถื่อนมืด มาถูกฆ่าเช่นนี้หรือ
ภาพนี้สะเทือนใต้หล้าเกินไป ไม่ว่าใครที่พบเห็นต่างเกิดความหนาวเยือกในใจ ขวัญหนีดีฝ่อ
ถึงอย่างไรใครเล่าจะคาดคิด ว่ามือสังหารเป็นแค่เพียงเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง รวมถึงใช้แค่ธนูกับลูกศรดอกเดียว
ความกลัวแผ่ขยายออกไปราวกับน้ำหลากไร้รูป ลุกลามทั่วบริเวณ สายตาทั้งหมดที่มองมายังหลินสวินล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เจือความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
เด็กหนุ่มคนนี้เคยมือใช้ธนูยักษ์กระดูกขาวนั่นคันเดียว สร้างความสะเทือนให้ทุกผู้คนในหุบเขาพยัคฆ์ด้วยตัวคนเดียว แล้วพาผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทั้งหมดจากไปอย่างราบรื่น
และเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่จู่ๆ ก็วกกลับมาหุบเขาพยัคฆ์ เข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนไปไม่รู้เท่าไหร่ พาให้ซากศพเกลื่อนพื้น แอ่งเลือดเหลือคณา
และยามนี้ เขาใช้ธนูกับลูกศรดอกเดียวฆ่าราชันกึ่งระดับหมานจิ่วภายใต้สายตาทุกคน!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใครยังจะไม่หวาดกลัว ไม่หวาดผวา
ภายในใจผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านี้ หลินสวินในเวลานี้เสมือนเทพมารหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ชวนให้สั่นสะท้าน
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก!”
ทันใดนั้นเสียงตวาดลุ่มลึกหนึ่งดังขึ้น เป็นเฟิงคุนที่เอ่ยปาก เขาสังเกตเห็นว่ากองกำลังฝ่ายพวกเขากำลังใจลดฮวบถดถอย นี่ไม่ใช่เรื่องดี
“ลูกศรเมื่อครู่นั่นทำให้เด็กนี่สูญเสียพลังทั้งหมดไปแล้ว เขาในเวลานี้เป็นแค่ธนูแกร่งหมดแรงบินเท่านั้น สะกิดนิดเดียวก็ล้ม!”
น้ำเสียงของเฟิงคุนดังก้องไปทั่วบริเวณราวอสนีบาต “ไม่เห็นรึไง ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะหนีแล้ว!”
ฉับพลันผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนมากมายได้สติจากความหวาดหวั่น และพบว่าเป็นจริงดังว่า ด้วยเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ห่างไปหยุดยืนอยู่กับที่ สีหน้าซีดขาว หากมองอย่างถี่ถ้วนจะเห็นว่าสองมือเขากำลังสั่นเล็กน้อย
หากเขายังมีแรงเหลือ ทำไมถึงละทิ้งโอกาสดีที่สุดในการหลบหนีไปในยามนี้เล่า
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ ความหวาดกลัวในใจผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวททั้งหมดต่างลดน้อยลงไปมาก เมื่อมองไปยังหลินสวินอีกครั้ง สีหน้าก็เจือไอสังหารสายหนึ่ง
เด็กนี่ไม่อาจปล่อยไว้เด็ดขาด!
ไม่ฉวยโอกาสนี้ฆ่าเขาทิ้งซะ ในสมรภูมิกระหายเลือดหลังจากนี้ เกรงว่าคงมีแต่ราชันเถื่อนที่แท้จริงออกโรงจึงจะสามารถฆ่ามันได้
ที่สำคัญที่สุดคือคันธนูและศรดอกนั้นพลิกฟ้าและน่าหวาดกลัวเกินไป หากไม่แย่งชิงกลับมา สำหรับพวกเขาเผ่าพ่อมดเถื่อน คือเรื่องร้ายไม่ใช่เรื่องดีแน่
บรรยากาศเปลี่ยนไปแล้ว!
หลินสวินสังเกตเห็นอย่างแจ่มแจ้ง เขาคาดการณ์อยู่ก่อนแล้ว อาศัยเพียงการโจมตีเมื่อครู่นั่นอาจสามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้ศัตรูทั้งหมดได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายใส่ใจหน่อยจะต้องพบว่าสภาพร่างกายของตนถึงขอบเขตที่พลังแห้งเหือดแล้ว
นี่คือสาเหตุที่หลินสวินหยุดยืนอยู่ที่เดิม ไม่หนีจากไป
ช่วยไม่ได้ พลังภายในร่างเขาทั้งหมดถูกลูกศรเมื่อครู่สูบไปจนหมด ไม่มีความสามารถให้หนีแต่แรก
กล่าวได้ว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เลวร้ายถึงขั้นที่ไม่อาจย่ำแย่ไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ทว่าบนใบหน้าหลินสวินในยามนี้ยังคงสุขุมเยือกเย็นยิ่ง เขาเผชิญหน้ากับสายตาหยั่งเชิง เคลือบแคลง และไอสังหารเยียบเย็นสายแล้วสายเล่าจากรอบด้าน ริมฝีปากเพียงพูดออกมาแค่ประโยคเดียว…
“ศรจงมา!”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ประหนึ่งเป็นบัญชาที่ไม่อาจขัดขืน ก็ได้ยินเสียงชิ้งหนึ่ง ไกลออกไปแสงทมิฬสายหนึ่งพลันแล่นปราดมาถึง ส่งเสียงวู้มแล้วหมุนลอยอยู่บนฝ่ามือหลินสวิน
นั่นคือศรแห่งนภาคราม สีของมันเข้มลึกราวรัตติกาลนิรันดร์ ปลายศรย้อมแสงโลหิตแดงก่ำ ดูไปแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่แรงกดดันมหาศาลซึ่งแผ่จากตัวศร กลับบีบอัดจนห้วงอากาศเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว
ฉับพลันทุกคนตรงนั้นหน้าเปลี่ยนสี
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทบางส่วนซึ่งกระเหี้ยนกระหือรือ บัดนี้นัยน์ตาพลันหดรัด เผยความหวาดกลัวและประหลาดใจสงสัยอย่างสุดซึ้ง
หรือเจ้าเด็กนี่ยังเหลือพลังต่อสู้อยู่
ทั่วบริเวณเปลี่ยนเป็นเงียบงันใหม่อีกครั้ง ตื่นตระหนกแล้ว อานุภาพศรแห่งนภาครามเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งถ้วนทั่ว แม้แต่ราชันกึ่งระดับยังหนีไม่พ้น บัดนี้ใครยังจะกล้าไปหยั่งเชิงเป็นคนแรกเล่า
อานุภาพแห่งศรเดียว ยามนี้สำแดงให้เห็นจนถึงแก่น!
แต่แม้หวาดกลัว บรรดาผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ณ ที่นั้นกลับไม่มีสักคนที่เลือกถอยร่น เห็นชัดว่าพวกเขาต่างรอคอย อาจพูดว่ากำลังแคลงใจว่าหลินสวินใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่
“ทำไม พวกเจ้าเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวรึ แม้แต่ความกล้าเข้ามาประลองก็ยังไม่มี?”
หลินสวินเอ่ยเยาะ เสียงไม่ดังแต่กลับทำเอาสีหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนตรงนั้นต่างเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้โดยพลัน
“หึ! หากเจ้ามีพลังจะสู้ เหตุใดจึงยืนอยู่ไม่ขยับ” เฟิงคุนแค่นเสียง “หรือควรพูดว่า ตอนนี้เจ้าแค่เสแสร้ง แท้จริงแล้วเกือบยืนไม่อยู่แล้วดีเล่า”
หลินสวินกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “พูดมากเช่นนั้นไปทำไม เจ้าก็เข้ามาลองด้วยตัวเองสิ”
เฟิงคุนนัยน์ตาหรี่ลง จู่ๆ ก็สั่งทหารพ่อมดเถื่อนส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ “ไป ฆ่าเจ้าเด็กนี่ซะ มันก็แค่แสร้งทำ ไม่ต้องกังวล”
ทหารพ่อมดเถื่อนพวกนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี ในใจแอบร้องร่ำ พวกเขาถูกทำขวัญเสียอยู่ก่อนแล้ว ไม่คิดอยากไปหยั่งเชิงแต่แรก ผลลัพธ์นั้นย่อมไม่อาจคาดเดา
แต่พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง พลันกัดฟันกรอดพุ่งทะยานเข้าหาหลินสวินที่อยู่ห่างไป
ฟุ่บๆๆ!
ทว่าไม่รอให้พวกเขาเข้าใกล้ พลันมีแสงดำราวขนวัวเล็กละเอียดเส้นหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วหลินสวิน ทะยานใส่ร่างทหารพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นก่อนเลือนหายไป
ต่อมาก็เห็นพวกเขาแต่ละคนเปล่งเสียงร้องทุรนทุราย ล้มลงกับพื้นดังสนั่น เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากายหยาบและพลังชีวิตของพวกเขายังคงอยู่ แต่จิตวิญญาณกลับหายไปแล้ว
หนอนกินเทพ!
หนอนประหลาดบรรพกาลซึ่งถูกหลินสวินผนึกไว้ในห้วงนิมิตมาตลอดเหล่านี้ ในที่สุดเวลานี้ก็ถูกส่งลงสมรภูมิ
เฮือก!
ทุกคนตรงนั้นสูดหายใจเย็นเยียบต่อเนื่องเป็นระลอก ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนทั้งหมดตาลีตาลานอย่างสิ้นเชิงแล้ว ผลลัพธ์นี้แสดงออกมาอย่างแจ่มชัดโดยไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มนั่นคล้ายว่าจะไม่ได้แสร้งทำ แต่เขายังมีพลังต่อสู้อยู่จริงๆ!
ตอนที่ 706 การเปลี่ยนแปลงแห่งพรสวรรค์
โดย
ProjectZyphon
หนอนกินเทพสำแดงอำนาจเหี้ยมโหด ทำเอาบรรดาผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นลังเลละล้าละลัง ไม่กล้าพุ่งเข้ามา
เหตุการณ์พลันชะงักงันอยู่ตรงนั้นทันใด
นี่ก็คือพลังอำนาจ!
หลินสวินตัวคนเดียวเข้าสังหารในหุบเขาพยัคฆ์สองคราติดต่อกัน ทำเอาที่นี่เลือดหลั่งรินดั่งกระแสธาร ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนบาดเจ็บล้มตายมากมาย
บัดนี้เขายิ่งใช้ศรเดียวฆ่าราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ภายในใจสงสัยนักว่าหลินสวินเสแสร้ง ทำทีว่ามีกำลังเหลือ แต่กลับไม่มีใครกล้าหยั่งเชิงเป็นคนแรก
แต่ในใจหลินสวินร้อนรนไม่หยุด มีเพียงตัวเขาที่เข้าใจสถานการณ์ตนเองที่สุด ว่าตัวเขามาถึงขั้นธนูแกร่งหมดแรงบินแล้วจริงๆ
หืม?
ขณะหลินสวินช่วงชิงเวลาเล็กๆ นั้นแอบสูบพลังของผลึกวิญญาณระดับสูง ทันใดนั้นจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจที่หน้าอกเขาแผ่กระแสความร้อนแปลกประหลาดกระจายไปทั่วร่าง
พลังภายในร่างที่เดิมแห้งขอดประหนึ่งได้รับน้ำอมฤตฟ้าประทานจนชุ่มฉ่ำในฉับพลัน แค่พริบตาก็ทำให้หลินสวินมีกำลังวังชา ฟื้นคืนพลังส่วนหนึ่ง
นี่มัน…
พลังแห่งชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด!
หลินสวินในใจสั่นสะท้านไม่หยุด สามารถรับรู้อย่างชัดแจ้งว่าชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์ขาวสะอาด ขณะนี้กำลังเรืองแสงเปล่งประกายอยู่บนหัวใจ กระแสพลังร้อนเร่าอันเร้นลับไหลหลั่ง ประดุจรู้ตื่นก็ไม่ปาน
นี่เป็นเรื่องที่ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หุบเหวกลืนกิน…
เมื่อเผชิญเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดจึงประสบเคราะห์ดี!
‘หรือว่า… มีเพียงเมื่อใช้พลังถึงขีดสุด จึงจะสามารถปลุกพลังที่มาจากชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดให้ตื่นขึ้นได้?’ หลินสวินตระหนักได้ถึงบางอย่าง
หุบเหวกลืนกิน คุณลักษณะพรสวรรค์หนึ่งซึ่งสมัยบรรพกาลถูกจัดอยู่ในหมู่พรสวรรค์ชั้นยอด ข่าวลือและความน่ากลัวเกี่ยวกับมันมีบันทึกไว้น้อยนัก
เพราะมันยากพบเห็นเกินไป!
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หุบเหวกลืนกินมีปริศนายากจินตนาการ มิฉะนั้นในตอนนั้นบุคคลแห่งยุคอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า มีหรือจะใจเกิดโลภโมโทสัน คิดช่วงชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดของหลินสวินซึ่งยังแบเบาะอย่างโหดร้าย
และอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้ อาศัยพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินก้าวเข้าสู่มรรคาสมบูรณ์ในตำนาน เป็นผู้ฝึกกระบี่ชั้นยอดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันที่ดินแดนรกร้างโบราณ รู้จักกันในนามราชันระดับสังสารวัฏไร้พ่าย!
เท่านี้ก็พอคาดเดาความน่ากลัวของ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ออกแล้ว
เพียงแต่สำหรับหลินสวิน ความเข้าใจและการหยั่งถึงที่เขามีต่อ ‘หุบเหวกลืนกิน’ อยู่ในขั้นสำรวจมาตลอด ยังไม่อาจหยั่งถึงปริศนาแห่งพรสวรรค์ซึ่งติดตัวแต่กำเนิด
ด้วยเหตุนี้เมื่อปัจจุบันสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของ ‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด’ จึงเพิ่งทำให้หลินสวินรู้สึกเกินคาดหมายและประหลาดใจเช่นนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ร่างกายซึ่งเดิมเหมือนดั่งตะเกียงไร้น้ำมัน บัดนี้การเปลี่ยนแปลกครั้งนี้กำลังฟื้นคืนพลังด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์!
น่าเสียดาย…
ช่วงเวลาเร่งด่วนเหลือเกิน!
หลินสวินแทบอยากจะนั่งสมาธิลงกับพื้น สงบจิตหยั่งรู้ความเร้นลับของการเปลี่ยนแปลกทั้งมวลนี้ แต่ศัตรูฉกาจอยู่ตรงหน้าเขาจึงได้แต่อดกลั้น อีกทั้งยังต้องระวังการต่อสู้ที่พร้อมปะทุทุกเมื่อ
สวบ!
ท่ามกลางบรรยากาศนิ่งค้าง จู่ๆ แสงหนึ่งโฉบออกมา ความหนาวเยือกไหลหลั่ง แหวกห้วงอากาศทะลวงใส่ลำคอหลินสวิน
นั่นคือกระบี่บินกระดูกขาวเล่มหนึ่ง!
“รนหาที่!”
นัยน์ตาหลินสวินฉายแววเยียบเย็น พลันง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสาร เพียงแค่แรงกดดันมหาศาลชวนประหวั่นที่แผ่ออกจากคันธนูก็บดกระบี่บินกระดูกขาวเล่มนั้นให้กลายเป็นจุณในพริบตา ส่งเสียงปึงก่อนกลายเป็นละอองแสงลอยละล่อง
ผึง!
ขณะเดียวกันธนูวิญญาณดอกหนึ่งก็ถูกยิงออกไป อาศัยความเร็วไม่อาจจินตนาพุ่งตรงไปทางผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งกลางกองทัพศัตรู
นั่นคือผู้แข็งแกร่งมหาเวทคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เรียกกระบี่บินออกมา เพราะอยากลองหยั่งเชิงหลินสวิน
ทว่าเขาคาดคิดไม่ถึงโดยเด็ดขาด ว่าการโต้กลับของหลินสวินจะรุนแรงและดุดันเช่นนี้!
“บัดซบ!”
เขาเปล่งเสียงด่าเดือดดาลหนึ่งก่อนหลบไปอีกฝั่ง เพียงช้าไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด ถูกธนูวิญญาณยิงใส่แขนขวาจนแหลกระเบิด เลือดเนื้อสาดกระจาย เจ็บจนเขาแผดเสียงคำราวราวสัตว์ป่า
ทุกคนตรงนั้นสั่นสะท้าน การหยั่งเชิงครานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมหาเวทคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนพวกนั้นหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุดอีกครา
หรือเจ้าเด็กนี่จะมั่นใจเกินร้อยจริง ไม่เกรงกลัวสิ่งใด?
แต่ในใจหลินสวินกลับทอดถอนใจ เพิ่งจะฟื้นคืนพลังส่วนหนึ่ง กลับถูกผลาญจนหมดไปกับการยิงธนูครั้งนี้
ที่โชคดีเพียงหนึ่งเดียวคือชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดยังคงอบอวลด้วยกระแสความร้อนปริศนา เพิ่มเสริมพลังที่แห้งขอดภายในร่างเขาไม่หยุด
“ข้าไม่เชื่ออยู่ดี เขาไม่มีทางรบชนะเด็ดขาด! ลุย ไปฆ่ามันพร้อมกัน วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำลายไอ้เด็กนี่ให้สิ้นซาก!”
หลังการดิ้นรนช่วงสั้นๆ เฟิงคุนก็คำรามดุดันตัดสินใจสู้ ยอมพลีชีพหลั่งโลหิต ก็ต้องสังหารหลินสวินให้ได้
ทันใดนั้น บรรยากาศกลางสมรภูมิเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
แม้กล่าวแล้วดูเหมือนช้า แต่อันที่จริงเหตุการณ์ตั้งแต่ทุกสิ่งหยุดชะงักมาจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่นานเท่านั้น แต่ความล่อแหลมอันตรายที่อยู่ภายใน มีเพียงหลินสวินที่เข้าใจกระจ่าง
บัดนี้ท้ายที่สุดเห็นศัตรูไม่ลังเลและหวาดกลัวอีก ตัดสินใจลงมือแล้ว หลินสวินพลันทอดถอนใจ ได้แค่กัดฟันสู้สุดชีวิตแล้ว
พลังที่ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดมอบให้แม้ไม่อาจทำให้เขาฟื้นคืนดังเดิมทันที แต่การฟื้นพลังอย่างต่อเนื่องก็พอทำให้หลินสวินมีพลังต่อสู้ส่วนหนึ่ง
เพียงแต่…
การต่อสู้นี้จะต้องเลวร้ายอันตรายยิ่ง!
ครืน ครืน…
ทว่ายังไม่รอศึกเดือดฉากนี้ปะทุ กลางนภากาศที่ห่างไกลพลันมีเสียงอึกทึกดับโสตประสาทดังขึ้น
ก็เห็นเรือรบดำสนิทลำหนึ่งที่ยาวกว่าพันจั้งลอยคว้างเหนืออากาศประดุจผืนแผ่นดินใหญ่ บดชั้นเวหาพุ่งหวือแผดคำรามมาทางนี้
หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอก พึมพำในใจ ‘ในที่สุดก็มาแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยพวกเจ้าครั้งหนึ่ง…’
แต่ทางเผ่าพ่อมดเถื่อนกลับส่งเสียงตระหนกขุ่นเคือง
“เป็นเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิเผ่ามนุษย์!”
“สวรรค์ กองทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเคลื่อนไหวแล้ว…”
ทุกคนตรงนั้นหน้าเปลี่ยนสี เรือรบดำเกิงเหินคือเรือรบขนาดใหญ่ของจักรวรรดิจื่อเย่า ทันทีที่เคลื่อนพลจะต้องก่อให้เกิดศึกใหญ่อันเกรียงไกร
สำหรับเผ่าพ่อมดเถื่อนซึ่งโรมรันกรำศึกกับจักรวรรดิมาหลายพันปี พวกเขาไหนเลยจะไม่เข้าใจ ว่าการปรากฏตัวของเรือรบดำเกิงเหินส่อเค้าว่าคนใหญ่คนโตของจักรวรรดิก็ร่วมรบด้วย!
“บัดซบ!”
ผู้แข็งแกร่งมหาเวทอย่างพวกเฟิงคุน จินอู้ต่างสีหน้าอึมครึม ต่อให้ผ่าสมองออกมาก็คาดไม่ถึง ว่าเวลานี้กองหนุนแห่งจักรวรรดิจะมาแล้ว อีกทั้งยังเอิกเกริกเช่นนี้!
“สู้มัน!”
เฟิงคุนไม่พอใจ วันนี้หากไม่ฆ่าเด็กนี่แล้วชิงศรกับคันธนูในมือมันมา ภายภาคหน้าต้องนำเภทภัยใหญ่หลวงมาให้แน่
เพียงแต่เสียงเขาเพิ่งแผ่วลง ก็ได้ยินเสียงแค่นไม่สบอารมณ์ดังจากเหนือฟ้าในฉับพลัน…
“สู้? ข้ากลับอยากดูนักว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้!”
น้ำเสียงนั้นเด็ดขาดและหนักแน่น สะท้อนก้องทั่วสารทิศ ที่ตามมาคือแรงกดดันมหาศาลน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบที่พัดม้วนใส่ที่แห่งนั้น ทำเอาเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นพลันร่างแข็งทื่อ ขวัญหนีดีฝ่อราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็งในชั่วพริบตา
ราชันระดับสังสารวัฏ!
คราวนี้แม้แต่พ่อมดเถื่อนมากฝีมืออย่างพวกเฟิงคุน จินอู้ต่างหนาวสะท้านภายในใจ ดวงตาแทบถลน ตระหนักได้ว่าข้อได้เปรียบได้หายไปแล้ว!
“ถอย!”
เฟิงคุนตะโกนดุดัน
อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องออกปากเลย ทันทีที่เห็นราชันระดับสังสารวัฏและเรือรบดำเกิงเหินมาถึงพร้อมไอสังหารล้นทะลัก ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นก็หมดใจสู้แล้ว ต่างหลบหนีไม่เป็นกระบวน
หลินสวินคลายความตึงเครียดโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงถาโถมจิตใจราวกระแสน้ำทันที
ศึกนี้คือเป็นสถานการณ์อันตรายอย่างที่สุด ทันทีที่ไม่ระวังก็จะพบจุดจบที่ร่างแหลกกระดูกป่น ยังดีที่ทุกอย่างนี้ใกล้สิ้นสุดแล้ว
“ดูไม่ออกเลยว่าเด็กอย่างเจ้าถึงกับมีชีวิตอยู่ ช่างดวงแข็งซะจริง!”
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งลงมาจากฟากฟ้า ปรากฏตัวต่อหน้าหลินสวิน รูปร่างผ่าเผยดุจมังกรเหินพยัคฆ์ก้าว ผมเผ้าหนวดเคราดำสนิทดั่งสีหมึก ยามลืมตา ความอหังการอันชวนประหวั่นก็แผ่ซ่านออกมา
นี่คือแม่ทัพแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดจ่างซุนเลี่ย!
เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินคิดไม่ถึงคือ หลังจากจ่างซุนเลี่ยปรากฏตัวกลับไม่ลงมือไล่สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่หนีกระเจิดกระเจิงพวกนั้น
สิ่งที่เกินคาดหมายยิ่งกว่าคือ ยามนี้จ่างซุนเลี่ยสีหน้าถมึงทึง จ้องตนเองเขม็ง ท่าทางเหมือนโมโหเดือดดาล
“จำไว้ จากนี้ไปบนสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ก่อเรื่องให้ข้าให้แม่งน้อยๆ หน่อย ครานี้ข้าสามารถช่วยเจ้าไว้ได้ แต่ครั้งหน้าหากเจ้ายังหาเรื่องอีก อย่าว่าแต่ช่วยเจ้า ซากกระดูกก็ล้วนไม่มีคนเก็บให้!”
จ่างซุนเลี่ยไม่สนว่าหลินสวินจะรู้สึกอย่างไร สั่งสอนออกมาอย่างดุดันทันทีที่มาถึง จากนั้นไม่สนว่าหลินสวินจะฟังหรือไม่ เขาก็หันหลังจากไปแล้ว
หลินสวินตะลึงงันอยู่ตรงนั้น แม่ทัพผู้นี้นี่ช่างอารมณ์ร้อนมากจริงๆ…
“คุณชายหลิน ท่านยังมีชีวิตอยู่ ช่างดีเหลือเกิน!”
ไกลออกไปหลูเหวินถิงวิ่งเหงื่อออกเต็มหน้าเข้ามา เมื่อแน่ใจว่าหลินสวินแขนไม่ขาดขาไม่แหว่ง เขาราวยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จากนั้นเขาพลันทำหน้าตำหนิ “คุณชายหลิน คราวหน้าอย่าได้เสี่ยงอันตรายเด็ดขาดเชียว หากท่านเกิดเรื่อง แม้แต่ท่านแม่ทัพเองก็จะลำบากไปด้วย”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าในหุบเขาพยัคฆ์นี่ถึงกับรวบรวมคนใหญ่คนโตเผ่าพ่อมดเถื่อนมากเช่นนี้ หากจะกล่าวโทษจริงต้องโทษเจ้าถึงจะถูก เพราะภารกิจครั้งนี้เป็นเจ้าช่วยข้าตระเตรียม”
หลูเหวินถิงเก้กังไปชั่วขณะ ใบหน้าชราแทบแขวนไว้ไม่อยู่ พูดอย่างอักอ่วน “สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันเป็นเรื่องปกติบนสมรภูมิกระหายเลือดนี้”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็รบกวนใต้เท้าหลูแล้ว” หลินสวินกล่าวประสานมือ
หลูเหวินถิงถอนหายใจกล่าว “เฮ้อ ขอแค่จากนี้คุณชายไม่เสี่ยงชีวิตเช่นวันนี้อีก ข้าก็พอใจแล้ว”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยวาจา
ไกลออกไป เรือรบดำเกิงเหินร่อนลงพื้น เงาร่างผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิมากมายออกจากตัวเรือ เมื่อพวกเขามาถึงพลันใจสะท้านทันที
ตลอดทางพวกเขาเห็นศพผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนศพแล้วศพเล่า บ้างแหลกละเอียดบ้างเหลือซากอนาถ แอ่งเลือดเห็นได้ทั่วจนชวนเขย่าขวัญ
และกลางหุบเขาพยัคฆ์ เนินเขาพังทลายพื้นแตกระแหง เกือบถูกทำลายจนพินาศ ทุกหนแห่งมีร่างไร้วิญญาณสุมกอง รอยธนูเด่นชัด หินซึ่งถูกไอดาบฟันผ่าร่วงกระจายทั่วทุกที่
นี่ทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เกิดจากเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว!
“สวรรค์! นี่มันคราบเลือดของราชันกึ่งระดับ หรือที่นี่เคยมีราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งหลั่งเลือด”
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติแห่งจักรวรรดิที่เจนจัดคนหนึ่งอุทานเสียงหลง ค้นพบเศษเนื้อรอยเลือดที่หลงเหลือยามหมายจิ่วถูกสังหาร
ประโยคเดียวก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมในหมู่ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทั่วบริเวณนั้น ต่างฮือฮากันไม่หยุด สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไปแล้ว บ้างยำเกรงบ้างยากจะเชื่อ
“ทรัพย์หลังศึกเยอะมาก!”
ไม่นานนัก แม้แต่ห่อสัมภาระขนาดใหญ่สามใบที่หลินสวินทิ้งไว้ตรงทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ก็ถูกค้นพบ เห็นทรัพย์หลังศึกนองเลือดซึ่งแน่นขนัดห่อสัมภาระ ทำเอาบรรดาผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเหล่านั้นดวงตาแทบถลน เจ้าเด็กนี่… ป่าเถื่อนไปแล้วกระมัง
ส่วนเวลานี้หลินสวินก้าวขึ้นเรือรบดำเกิงเหินไปนานแล้ว
สำหรับเขาที่นี่ไม่มีความหมายอะไรแล้ว อีกทั้งเขายังต้องการเวลาเร่งฟื้นฟูพลัง ไม่มีใจจะล่าช้าอยู่ที่นี่อีก
ส่วนทรัพย์หลังศึก…
มีตาเฒ่าหลูเหวินถิงที่ดูแลกองพลาธิการอยู่ ต้องไม่มีคนกล้าแตะต้องเป็นอันขาด
ตอนที่ 707 หมายจับกระดานโลหิต
โดย
ProjectZyphon
ค่ายหมายเลขเจ็ด
หลังจากหลินสวินหวนคืนก็กลับห้องตนเองทันที เริ่มต้นปิดด่าน
หนึ่งเพราะการต่อสู้ครั้งนี้เขาผลาญพลังมากเกินไป ต้องฟื้นฟูสภาพ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเขาหมายอาศัยโอกาสนี้หยั่งรู้และค้นหาปริศนาของชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดโดยละเอียด!
ขณะที่หลินสวินปิดด่าน โลกภายนอกกลับอึกทึกครึกโครม
เมื่อแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยนำเรือรบดำเกิงเหินลำหนึ่งออกจากค่ายด้วยตัวเองพร้อมไอสังหารแผ่ซ่าน ก็ดึงดูดสายตามากมายซึ่งต่างกำลังคาดเดา ว่าเป็นคนใหญ่คนโตเพียงไหนกันแน่ ถึงกับทำให้จ่างซุนเลี่ยต้องออกโรงด้วยตนเอง
และเมื่อเห็นเรือรบดำเกิงเหินกลับมา ชั่วขณะเดียวหลินสวินก็กลายเป็นศูนย์รวมที่บรรดาผู้ฝึกปราณในค่ายต่างจับจ้อง
ทว่าน่าเสียดาย ทันทีที่หลินสวินกลับมาก็รีบเร่งปิดด่าน ทำให้ผู้ฝึกปราณในค่ายไม่ทันได้ค้นหาที่มาอย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อเห็นห่อสัมภาระซึ่งบรรจุแน่นขนัดถุงแล้วถุงเล่าถูกขนออกมาจากเรือรบดำเกิงเหิน ทั้งค่ายต่างพลุ่งพล่าน
และเมื่อรู้ว่าเหรียญกล้าหาญของกองทัพซึ่งเลือดนองติดเต็มทั้งหมด ล้วนมาจากน้ำมือหลินสวินเพียงคนเดียว ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในค่ายต่างตะลึงงันโดยสมบูรณ์
เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง ถึงกับสังหารศัตรูมากขนาดนี้บนสมรภูมิกระหายเลือด?
“ห่าเอ๊ย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหรียญกล้าหาญระดับจอมเวททั้งสิ้น แม้แต่เหรียญกล้าหาญระดับมหาเวทก็มี! สวรรค์ ทั้งหมดนี่เขาสังหารคนเดียวรึ”
มีคนตกใจจนหลุดสบถออกมาอย่างอดไม่อยู่
ผู้ฝึกปราณคนอื่นในค่ายต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในใจสั่นสะท้านยากจะเอ่ย
จอมเวท!
นั่นเทียบได้กับผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะ ระดับนี้เพียงพอทำให้ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิส่วนมากรู้สึกตึงมือแล้ว
แต่บัดนี้เหรียญกล้าหาญในห่อสัมภาระนั่น อย่างน้อยมากกว่าครึ่งล้วนมาจากชิ้นส่วนของจอมเวทที่ถูกฆ่า!
ส่วนระดับมหาเวทนั่นยิ่งไม่ธรรมดา หากอยู่ในเผ่าพ่อมดเถื่อนล้วนเรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่แท้จริง! ปกติคิดสังหารคนในระดับนี้ จำเป็นต้องให้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอดแห่งจักรวรรดิเคลื่อนไหว
แต่ยามนี้ อย่างน้อยที่สุดมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทห้าคนขึ้นไปถูกสังหาร กลายเป็นเหรียญกล้าหาญของเด็กหนุ่มคนนั้น!
นี่เห็นได้ว่าเหนือจินตนาการเกินไปแล้ว
แม้เป็นทหารเก่าที่กรำศึกบนสมรภูมิกระหายเลือดมานานปียังยากสงบนิ่ง เพราะเหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้ยากยิ่ง
พวกหูทง อาปี้ล้วนอยู่กลางหมู่คน เห็นทุกอย่างเบื้องหน้ากับตาตนเอง
เมื่อรู้ว่าเด้กหนุ่มมีชีวิตรอดถูกช่วยกลับมา พวกเขาต่างแอบเป่าปากโล่งอก รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
ถึงอย่างไรพวกเขาต่างรู้อย่างลึกซึ้งว่าฐานะของคุณชายหลินคนนี้พิเศษโดดเด่นและไม่ธรรมดาเกินไป มิฉะนั้นคงไม่ทำให้แม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยรีบร้อนออกจากค่ายไปช่วยด้วยตัวเองเช่นนี้เด็ดขาด
หากเขาตายไป พวกเขาคงต้องติดร่างแหไปด้วย!
โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ตาย
เพียงแต่เมื่อเห็นห่อสัมภาระบรรจุเหรียญกล้าหาญแน่นขนัดถูกขนย้ายออกมาถุงแล้วถุงเล่า ยังทำเอาพวกหูทงไหวหวั่นเกินบรรยาย
ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นอีกฝ่ายเป็นลูกผู้ดีไร้สามารถ เป็นหนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิที่พาให้คนรู้สึกดูถูก ทำได้แค่ละโมบช่วงชิงเหรียญกล้าหาญของคนอื่น
ใครเล่าจะคาดคิด สุดท้ายคนที่ช่วยชีวิตพวกเขากลับเป็น ‘ลูกผู้ดี’ คนหนึ่งเช่นนี้!
กระทั่งเหรียญกล้าหาญที่เขาได้รับมาคนเดียว ก็เพียงพอให้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนใดๆ ในค่ายหมายเลขเจ็ดละอายจนเงยหน้าไม่ขึ้น!
“ผู้คนไม่รู้จักต้นไม้สูงทะยานเมฆ จนเมื่อมันสูงทะลวงเมฆแล้วถึงได้รู้!” หูทงทอดถอนใจ
“อะไรนะ ยังมีราชันกึ่งระดับของเผ่าพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งหลั่งเลือดกลางสมรภูมิ?”
ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิส่วนหนึ่งที่มุ่งหน้าไปช่วยหลินสวินให้พ้นภัยเดินลงมาจากเรืบรบดำเกิงเหิน และบอกกล่าวข่าวนี้ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮา ณ ที่นั้นในชั่วขณะ แต่ละคนลูกตาแทบถลน
“เป็นไปไม่ได้กระมัง เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง จะสามารถก้าวข้ามระดับใหญ่ไปฆ่าคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าได้อย่างไร นี่มันโคตรเกินจริงและไร้สาระยิ่งกว่านิทานปรัมปราซะอีก!”
มีคนส่งเสียงซักถามสงสัย
“ใช่แล้ว เป็นแม่ทัพใหญ่จ่างซุนลงมือสังหารราชันกึ่งระดับนั่นเองหรือเปล่า”
และมีคนทำการสันนิษฐาน
สำหรับข้อสงสัยและการสันนิษฐานพวกนี้ ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิซึ่งกลับมาจากการช่วยเหลือเหล่านั้นต่างเผยความปรามาส คร้านจะอธิบาย
ความจริงแล้วกระทั่งตอนนี้พวกเขาล้วนยังอยู่ในสภาพมึนงง ไม่อาจคาดเดาว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร นี่เขย่าขวัญและไม่คิดไม่ฝันเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถมั่นใจได้ก็คือ การต่อสู้ที่หุบเขาพยัคฆ์นั่นต้องปลิดชีพราชันกึ่งระดับไปคนหนึ่ง คราบเลือดและเศษซากศพซึ่งแหลกละเอียดล้วนถูกรวบรวมกลับมา ไม่มีทางเป็นเท็จเด็ดขาด!
…
ค่ายหมายเลขเจ็ดวันนี้เห็นได้ว่าคึกคักเป็นพิเศษจวบจนรัตติกาล ไม่ว่ากองทัพทางการผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิหรือกลุ่มอิทธิพลผู้ฝึกปราณอิสระพวกนั้นล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงคนคนเดียวกัน…
เด็กหนุ่มคนนี้ที่เพิ่งมาถึงค่ายหมายเลขเจ็ดเมื่อวาน แค่เพียงหนึ่งวันก็อาศัยเหรียญกล้าหาญที่เลือดหลั่งริน สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วค่ายหมายเลขเจ็ด
วันนั้นถึงขั้นมีผู้ฝึกปราณมากมายรุดหน้าไปเยี่ยมเยียนยังที่พักของเด็กหนุ่ม น่าเสียดายที่ที่นั่นถูกทัพทหารคุ้มกันแน่นหนาอยู่ก่อนแล้ว ใครต่างไม่อาจเข้าใกล้
นี่ต้องเป็นการเตรียมการของหลูเหวินถิงแน่ เขาไม่หวังให้เด็กหนุ่มเกิดเรื่องอีก ด้วยเหตุนี้ทันทีที่กลับมาก็ออกคำสั่ง โยกย้ายทหารมากฝีมือกองหนึ่งมาคุ้มกันหน้าที่พักของอีกฝ่าย
การปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษเช่นนี้ ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดมีเพียงเด็กหนุ่มคนนี้คนเดียวที่ได้รับ
…
หลินสวินกำลังปิดด่านสงบใจ แน่นอนว่าหาได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ไม่
แกรกๆ!
ห้องของเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงผลึกวิญญาณระดับสูงที่แตกละเอียดดังออกมาเป็นพักๆ
เวลาผ่านไปสามวันอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ทัพ เหรียญกล้าหาญจากศึกหุบเขาพยัคฆ์ของคุณชายหลินนับเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หลูเหวินถิงสีหน้าพิกลอยู่บ้าง
“เท่าไหร่?”
จ่างซุนเลี่ยเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานพลางถาม
หลูเหวินถิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ค่อยสูดหายใจลึกกล่าว “เหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่งหนึ่งเหรียญ เหรียญกล้าหาญชั้นสองสามสิบเจ็ดเหรียญขอรับ”
จ่างซุนเลี่ยนัยน์ตาหดรัดทันใด ตบโต๊ะด่า “พูดพล่อยๆ! เหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่ง? เจ้าจงใจ ‘ดูแล’ เจ้าเด็กนี่ไปหน่อยกระมัง”
คำว่าดูแล ความหมายคือทุจริตด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัว แน่นอนว่าหลูเหวินถิงฟังออก เขาพลันรีบร้อนกล่าวทันที “ท่านแม่ทัพ ใต้เท้าราชันกระหายเลือดเคยกำชับมาว่าต้องปฏิบัติต่อเด็กนี่อย่างยุติธรรม ข้ามีหรือจะกล้าช่วยปลอมเหรียญกล้าหาญให้เขา”
เขาหยุดไปครู่ค่อยกล่าวต่อ “เหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่งนี้ เป็นเพราะมีราชันกึ่งระดับคนหนึ่งถูกคุณชายหลินฆ่า!”
“ข่าวคราวยืนยันว่าเขาเป็นคนฆ่างั้นรึ”
จ่างซุนเลี่ยพลันเลิกคิ้วเข้มขึ้น เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้ เพียงแต่เขาสงสัยนักว่าเด็กนี่เป็นคนทำหรือไม่กันแน่
อย่างไรเสียแม้แต่เขาซึ่งเป็นราชันระดับสังสารวัฏยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะคนไหนที่สามารถฆ่าราชันกึ่งระดับได้
ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของจักรวรรดิล้วนไม่เคยปรากฏกรณีนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเด็ดขาด!
“ยืนยันขอรับ หน่วยสอดแนมเราได้รับข่าวที่แม่นยำจากค่ายทัพเผ่าพ่อมดเถื่อน ราชันกึ่งระดับที่สิ้นชีพมีนามว่าหมานจิ่ว เป็นผู้อาวุโสชั้นยอดคนหนึ่งของสายคนเถื่อนมืด ติดตามรับใช้ข้างกายราชนิกุลคนเถื่อนมืดอิ๋งเชวี่ยมาตลอด”
หลูเหวินถิงรีบร้อนอธิบาย “ตามข่าวของเผ่าพ่อมดเถื่อน หมานจิ่วตายในมือคุณชายหลินจริง อีกทั้ง…”
กล่าวถึงตรงนี้เขาก็ลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
“อีกทั้งอะไร” จ่างซุนเลี่ยคิ้วขมวด ไม่พอใจอยู่บ้าง
หลูเหวินถิงฝืนใจกล่าว “อีกทั้งข่าวบอกว่า หมานจิ่วถูกศรเดียวของคุณชายหลินสังหาร…”
จ่างซุนเลี่ยได้ยินดังนั้น ฝ่ามือหนึ่งพลันตบลงบนโต๊ะก่อนก่นด่า “แม่งพูดเหลวไหล! ศรเดียวสังหารนักฆ่าระดับกึ่งราชันที่เยี่ยมยอดคนหนึ่งเนี่ยนะ เจ้าแม่งล้อข้าเล่นรึไง!”
หลูเหวินถิงยิ้มขื่น “ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพคงไม่เชื่อ แต่นี่คือความจริงนะขอรับ ทางเผ่าพ่อมดเถื่อนมีคนมากมายเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องเท็จแน่”
ทันใดนั้นจ่างซุนเลี่ยพลันเงียบขรึม ครู่ใหญ่เขาจึงนวดหว่างคิ้วกล่าวพึมพำ “ไอ้เฒ่าระยำราชันกระหายเลือดไปเก็บสัตว์ประหลาดตัวจ้อยพลิกฟ้าเช่นนี้มาจากไหนกัน ศรเดียวสังหารราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง? แม่งวิปริตซะจริง… ดูท่าราชันกระหายเลือดคงคิดจะใช้สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้เคี่ยวกรำเจ้าเด็กนี่…”
เห็นดังนั้นหลูเหวินถิงก็รู้ว่าท่านแม่ทัพได้เริ่มประเมินความสามารถคุณชายหลินใหม่อีกครั้ง นี่อาจเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง
“ท่านแม่ทัพ ยังมีอีกเรื่อง” หลูเหวินถิงกล่าว
“ว่ามา”
“วันนี้เผ่าพ่อมดเถื่อนประกาศ ‘หมายจับกระดานโลหิต’ ใหม่ล่าสุด ลำดับชื่อบนนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยน เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร”
“เพียงแต่ชื่อคุณชายหลินปรากฏบนนั้นด้วย”
“หืม?”
ฟังถึงตรงนี้ นัยน์ตาจ่างซุนเลี่ยพลันฉายแววยะเยือกวูบหนึ่ง “จัดอยู่ในอันดับเท่าไหร่”
“อันดับสี่สิบเก้าขอรับ!”
จ่างซุนเลี่ยฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะทันที โต๊ะทำงานแหลกละเอียดดังสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นเศษเหล็กปลิวกระเด็น
สีหน้าเขามีไอสังหารยากปกปิด “ลำดับสูงมาก เผ่าพ่อมดเถื่อนนี่หมายให้เด็กนี่ตกเป็นเป้าโจมตีสินะ!”
หลูเหวินถิงเองรู้สึกเช่นนั้น
หมายจับกระดานโลหิตของเผ่าพ่อมดเถื่อนเหมือนกับกระดานรางวัลค่าหัวของค่ายจักรวรรดิ เพียงแต่รายชื่อที่เรียงรายบนนั้นล้วนเป็นชื่อของผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ!
แต่ละชื่อต่างเป็นคนที่เผ่าพ่อมดเถื่อนต้องการฆ่า อันดับยิ่งสูงยิ่งสื่อว่าเป็นภัยต่อเผ่าพ่อมดเถื่อน
โดยทั่วไปชื่อที่อยู่ในร้อยอันดับแรกของหมายจับกระดานโลหิต ล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติของผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิแทบทั้งสิ้น!
แต่บัดนี้เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือดไม่กี่วันเท่านั้น ซ้ำยังเป็นแค่ผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะ กลับถูกจัดอยู่ในอันดับสี่สิบเก้าของหมายจับกระดานโลหิต เจตนานั้นชัดเจน พวกมันเห็นเด็กหนุ่มเป็นศัตรูที่ต้องสังหาร!
และไม่แปลกที่จ่างซุนเลี่ยจะเดือดดาล ทันทีที่อันดับนี้ประกาศออกไป เด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดต้องพบเจอการโจมตีมากมายอย่างคาดไม่ถึง!
หลูเหวินถิงกล่าวพร้อมยิ้มขื่น “ที่ไร้สาระที่สุดไม่หยุดเพียงเท่านี้ ความสูงค่าของรางวัลนำจับคุณชายหลินบนหมายจับกระดานโลหิต สามารถเทียบเคียงบุคคลซึ่งจัดอยู่ในอันดับสิบ…”
“ตอนนี้ที่จัดอยู่ในอันดับสิบคือใคร” จ่างซุนเลี่ยถาม
“เป็นระดับกึ่งราชันแห่งค่ายหมายเลขสองฉินเหวินจ้ง!” หลูเหวินถิงพูดอย่างรวดเร็ว
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
จ่างซุนเลี่ยก่นด่าเดือดดาล “จัดอยู่ในอันดับสี่สิบเก้า รางวัลนำจับกลับเทียบเคียงระดับกึ่งราชันผู้หนึ่ง แม่งเสียสติไปแล้ว!”
“บางที ทั้งหมดนี้อาจเพราะหมานจิ่วนั่นถูกศรเดียวของคุณชายหลินสังหาร ข่มขวัญพวกสวะป่าเถื่อนนั่นอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาได้กลิ่นอันตรายและภัยคุกคาม จึงทำการจัดอันดับออกมาเช่นนี้”
หลูเหวินถิงกล่าววิเคราะห์
“เจ้าเด็กนี่ตอนนี้อยู่ไหน” จ่างซุนเลี่ยถาม
“ยังคงปิดด่านขอรับ”
“สั่งการลงไป ช่วงเวลาต่อจากนี้ห้ามเขาออกจากค่ายอีกแม้เพียงก้าว!” จ่างซุนเลี่ยออกคำสั่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลูเหวินถิงรู้ว่าทำเช่นนี้ก็เพื่อปกป้องคุณชายหลิน
ถึงอย่างไรตอนนี้เด็กหนุ่มก็สะดุดตาเกินไป ด้วยชื่อและรางวัลนำจับซึ่งปรากฏบนหมายจับกระดานโลหิต ทันทีที่ปรากฏตัว ศัตรูต้องเพ่งเล็งเขาดั่งกระแสน้ำเป็นแน่!
เพียงแต่…
หลูเหวินถิงพลันทอดถอนใจ เขาไม่แน่ใจว่าเจ้าเด็กนี่จะฟังคำสั่งหรือไม่น่ะสิ…
ตอนที่ 708 การบรรลุโดยบังเอิญ
โดย
ProjectZyphon
ภายในห้องมืดสลัว
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ ข้างๆ มีเศษผงผลึกวิญญาณระดับสูงกองใหญ่
เขาทำสมาธิมาเป็นเวลาห้าวันแล้ว บริเวณหน้าอกตรงหัวใจของเขา ชีพจรวิญญาณสีขาวสว่างแผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับภาพในห้วงฝัน
ภายในแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นปรากฏหุบเหวขนาดใหญ่ขึ้นอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจน
หุบเหวราวกับภาพลวงตา ว่างเปล่าและไม่มีที่สิ้นสุด
ในขณะที่หลินสวินกำลังสงบจิตใจหยั่งรู้และสำรวจ ราวกับได้ยินเสียงธรรมอันเก่าแก่ดังมาจากส่วนลึกของเหวอย่างคลุมเครือ
พลังทั่วร่างของเขาโคจรหมุนเวียนอย่างเงียบๆ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมแต่ไร้ตัวตน จิตใจปลอดโปร่ง ไม่มีความคิดมากวนใจ ลืมเลือนตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
กระแสความร้อนลึกลับแผ่ออกจากจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ ไหลเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย หล่อเลี้ยงเลือดเนื้อ กระตุ้นศักยภาพให้ฟื้นคืนมา
ส่วนถ้ำสวรรค์ในร่างกาย แสงศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูไหลหลั่ง บนแท่นมรรคโบราณมีแสงสมบัติที่ขาวดั่งหิมะลอยขึ้นมาสามสาย ลอยอยู่รอบๆ แท่นมรรค ยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์และงดงามกว่าเดิม
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ หลินสวินไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
……
วันที่เจ็ดของการทำสมาธิ
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากข้างในตัวหลินสวิน ราวกับเสียงของดักแด้ทะลุรังไหม
พลันเห็นเส้นผมยาวของหลินสวินร่วงหลุดลงมา จากนั้นผมยาวดกหนาและดำขลับก็งอกขึ้นมาใหม่ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ แต่ละเส้นล้วนส่องแสงแวววาว ยาวจรดลงมาถึงเอวราวกับน้ำตกสีดำ
จากนั้นผิวหนังของหลินสวินก็แตกออกทั่วทุกที่ แล้วเกิดผิวชั้นใหม่ที่ใสเหมือนแกะสลักจากหยกซึ่งสมบูรณ์แบบที่สุด ลวดลายกล้ามเนื้อไหลเวียนด้วยท่วงทำนองแห่งมรรค
ดูอ่อนนุ่มและเป็นประกาย เต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
จนกระทั่งตอนหลัง รอบตัวของหลินสวินปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ละอองแสงโคจรอยู่รอบตัวเป็นประกายระยิบระยับ ขับเน้นให้เขาดูเหมือนวิญญาณเซียนที่กำลังจะลอกคราบ
ทุกอย่างราวกับเกิดใหม่ ประหนึ่งถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก!
……
ปิดด่านวันที่สิบ
รอบข้างหลินสวินเงียบสงบ บรรยากาศยิ่งเปลี่ยนเป็นโดดเด่นและไร้ตัวตน มีท่วงทำนองแห่งมรรคอันยากจะเปรียบเปรยแผ่กระจายออกจากรอบตัว
และภายในร่างกาย ยามนี้มีเสียงคำรามดุจดั่งฟ้าร้อง อวัยวะภายใน ถ้ำสวรรค์ เส้นปราณโลหิต กระดูกต่างสั่นไหวด้วยจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์อย่างพร้อมเพรียงกัน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวราวกับภูผาทลายทะเลกระหน่ำ ส่งเสียงคำรามอยู่ภายในร่าง
ตุบ!
ตุบ!
ตุบ!
แม้แต่ทุกการเต้นของหัวใจก็ราวกับสายฟ้าตะลึงสวรรค์ มีพลังชีวิตยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งและทรงพลัง
เหล่าทหารคุ้มกันที่เฝ้าอยู่นอกห้องหลินสวิน ยามนี้สั่นเทิ้มไปทั้งตัว รู้สึกว่าจิตวิญญาณเหมือนถูกเสียงมหามรรคอันยิ่งใหญ่เคาะโจมตีอย่างรุนแรง ทรมานจวนเจียนจะกระอักเลือด
และนี่เป็นเพียงแค่การขับเคลื่อนของพลังเสี้ยวหนึ่งที่แผ่กระจายออกมาตอนที่หลินสวินฝึกปราณเท่านั้น!
……
วันที่สิบสามของการปิดด่าน
การเปลี่ยนแปลงในร่างกายของหลินสวินก็จบลง ทุกอย่างดูเงียบสงบขึ้น
ฉัวะ!
และในเวลานี้เองหลินสวินลืมตาขึ้น ชั่วขณะนั้นในห้องราวกับมีสายฟ้าแลบเป็นประกายคู่หนึ่งกวาดผ่าน ฉีกสภาพแวดล้อมอันมืดมนนั่น!
เมื่อดูอย่างละเอียด ดวงตาสีดำขลับของหลินสวินราวกับหุบเหวลึก ภายในประกายศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน มีบุคลิกชวนหวาดหวั่น ราวกับสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์ได้!
‘คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ… ว่าจะบรรลุขั้นด้วยความบังเอิญ… เรื่องราวบนโลกนี้ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ เต็มไปด้วยเรื่องเหลือเชื่อ…’
มุมปากของหลินสวินเผยรัศมีโค้งแปลกประหลาด ในเวลาเดียวกันประกายศักดิ์สิทธิ์ในดวงตาของเขาถูกเก็บไป เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง ลุ่มลึกและชัดเจน
บรรลุแล้ว!
แม้แต่หลินสวินยังคิดไม่ถึงว่า ในการปิดด่านครั้งนี้จะทำให้ตนบรรลุขั้นโดยบังเอิญ ก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง
ดูเหลือเชื่อมากจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขายังเตรียมจะสะสมผลึกวิญญาณระดับสูงให้เพียงพอ แล้วค่อยลองบรรลุขั้น แต่เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการปิดด่านในครั้งนี้ ทำให้เขาสามารถบรรลุขั้นได้โดยไม่เสียผลึกวิญญาณระดับสูงเพิ่มเลยตั้งแต่ต้นจนจบ!
‘คงจะเกี่ยวกับพลังของชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด…’
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์ความคิด ก่อนหน้านี้เขาหยั่งรู้และสำรวจชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดมาโดยตลอด เพื่อจะควบคุมความลึกลับที่ซ่อนอยู่
แต่เมื่อหยั่งรู้จริงๆ นอกจากเสียงธรรมอันไม่มีที่สิ้นสุด เก่าแก่และคลุมเครือเข้าใจยาก หลินสวินก็ไม่ได้ค้นพบอะไรมากไปกว่านี้เลย
ทว่าตอนนี้หลินสวินถึงตระหนักได้ว่า การหยั่งรู้ครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า ในสถานการณ์ที่แม้แต่เขายังไม่สามารถรับรู้ได้ พลังปราณกลับกระโดดขึ้นสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง!
‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด… หุบเหวกลืนกิน…’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แอบตัดสินใจว่าต่อไปจะสำรวจความลึกลับทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ พรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ เป็นขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเลยเชียว หากไม่สามารถขุดความเร้นลับมันออกมาได้ทั้งหมด ก็เป็นการทำลายของมีค่าที่ฟ้าประทานมาให้
จากนั้นหลินสวินเริ่มสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของตนหลังจากการบรรลุขั้น
‘พลังกายยกระดับขึ้นขั้นหนึ่ง เลือดลมเปี่ยมล้น แขนขางอกใหม่ได้ แม้จะบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่มีเวลามากพอก็สามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว…’
‘พลังปราณที่ทะลวงขึ้นมา ไม่ผิดจากที่คาด ถ้าต้องไปฆ่าบุคคลระดับเสอเจิ้นอีก แม้ไม่ต้องใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็เพียงพอที่จะจบชีวิตอีกฝ่ายได้…’
‘น่าเสียดายที่พลังจิตวิญญาณยังคงอยู่ในระดับจันทราเคลื่อนคล้อย ไม่รู้เมื่อไหร่จึงจะสามารถเข้าถึงปริศนาแห่งระดับที่สามอย่างตะวันจรัสแสง’
‘ไม่เลวๆ ขอบเขตการหยั่งถึงมรรคก็มีพัฒนาการ ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำมีแนวโน้มจะสมบูรณ์แบบ ขาดอีกเพียงส่วนเดียว บางทีอาจจะสามารถเข้าถึงขอบเขตเจตจำนงแห่งมรรคได้’
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังในร่างกายอย่างละเอียด หลินสวินก็ดีใจมาก ในสมรภูมิกระหายเลือดอันดุดันและอันตรายนี้ พลังที่มียิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ โอกาสที่จะอยู่รอดก็ยิ่งมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
……
ไม่นานหลินสวินเปิดประตูออกมา ก็เจอกับสายตาเคารพยำเกรงและหวาดกลัวของทุกคน
กลุ่มทหารคุ้มกันที่เฝ้าอยู่หน้าห้องหลินสวินล้วนเป็นคนเก่าแก่ของสมรภูมิกระหายเลือด แต่ละคนต่างดุดันไร้เทียมทาน แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวินกลับดูยำเกรงอย่างมาก
“คุณชายหลิน ใต้เท้าหลูมีคำสั่งว่า ตอนที่ท่านออกจากการปิดด่าน ให้ไปที่กองพลาธิการก่อน” หัวหน้าทหารคุ้มกันพูดอย่างเคารพ
“ลำบากทุกท่านแล้ว” หลินสวินประสานหมัด ช่วงที่ปิดด่านนี้เขารับรู้ได้นานแล้ว ว่าทหารคุ้มกันเหล่านี้ช่วยเฝ้าประตูให้ตนมาโดยตลอด
จนกระทั่งมองส่งหลินสวินจากไปแล้ว ทหารคุ้มกันเหล่านั้นจึงราวกับโล่งอก ต่างถอนหายใจรัว
เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนนี้ ตอนนี้ชื่อเสียงสะเทือนสมรภูมิกระหายเลือดแล้ว กลายเป็นดาวดวงใหม่ที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วกันทั้งฝ่ายตนและฝ่ายศัตรู
ศรธนูดอกเดียวสังหารราชันกึ่งระดับ…
ฆ่าศัตรูแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนมากมายในหุบเขาพยัคฆ์เพียงลำพัง ได้รับเหรียญกล้าหาญมากมาย…
กลายเป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะเพียงคนเดียว ที่ถูกจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของหมายจับกระดานโลหิตของศัตรู
ทั้งหมดนี้น่าทึ่งเกินไป!
แม้เรื่องราวจะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดเกี่ยวกับหลินสวินยังคงก้องอยู่ในค่ายทั้งแปดแห่งของจักรวรรดิ
กองพลาธิการ
“คุณชายหลิน ท่านเจอปัญหาใหม่แล้ว!”
ทันทีที่เห็นหลินสวิน หลูเหวินถิงก็ถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพได้ออกคำสั่งแล้วว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้ท่านอยู่แต่ในค่าย ห้ามออกไปไหน”
หลินสวินเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลูเหวินถิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาให้หลินสวินฟังอย่างละเอียด เช่นเรื่องหมายจับกระดานโลหิต และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหลินสวินจากศึกที่หุบเขาพยัคฆ์
สุดท้ายหลูเหวินถิงพูดว่า “ในสมรภูมิกระหายเลือดตอนนี้ บุคคลชั้นยอดของเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างประกาศว่าจะฆ่าท่าน เพื่อล้างแค้นให้กับราชันกึ่งระดับหมานจิ่ว สถานการณ์ไม่ดีต่อท่านอย่างมาก”
หลินสวินรู้เรื่องทั้งหมดนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เพียงแค่หมายจับกระดานโลหิตเท่านั้น เหตุใดต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ พวกเขาจะฆ่าข้าก็เข้ามาเถอะ ข้ากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะเพิ่มเหรียญกล้าหาญอย่างไร”
หลูเหวินถิงตกใจจนหน้าถอดสี พลันตะเบ็งเสียงว่า “ไม่ได้เด็ดขาด! คุณชายหลิน ท่านยังไม่เข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้อีกหรือ ขอเพียงแค่ท่านปรากฏตัวในสนามรบตอนนี้ อาจถึงขั้นนำมาซึ่งการจ้องรอโอกาสและโจมตีของราชันกึ่งระดับ!”
“แล้วอย่างไร ใช่ว่าข้าไม่เคยฆ่า” หลินสวินพูดสบายๆ
หลูเหวินถิงพูดไม่ออกทันที ซึ่งก็เป็นความจริง บุคคลชั้นยอดระดับกึ่งราชันแห่งสายคนเถื่อนมืดอย่างหมานจิ่ว ก็ถูกคุณชายคนนี้ฆ่าด้วยศรธนูเดียวมิใช่หรือ
แต่ถ้าให้เขาออกจากค่าย ไปผจญภัยในสนามรบต่อ จะนำพาอันตรายและอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมามากเกินไป
หลูเหวินถิงไม่อยากวิตกกังวลอะไรอีกแล้ว
ในทำนองเดียวกัน เขาเองก็มั่นใจอย่างมากว่าแม่ทัพจ่างซุนเลี่ยจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน
“คุณชายหลิน ท่าน… ท่านอย่าให้ข้าลำบากใจเลย” ท่าทางของหลูเหวินถิงเหมือนจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก อ้อนวอนหลินสวิน
หลังจากหลูเหวินถิงตื้ออยู่นาน สุดท้ายหลินสวินก็ยอม แต่เขาบอกว่า เมื่อมีโอกาสจะต้องให้เขาก้าวเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
หลูเหวินถิงแอบโล่งอกไปทีหนึ่ง แค่รับปากก็ดีแล้ว เขากลัวแต่ว่าคุณชายหลินจะดื้อรั้งไม่ฟังใคร
“อีกอย่าง ในเมื่อต้องอยู่ในค่าย ข้าจะไม่มีอะไรทำก็ไม่ได้” จู่ๆ หลินสวินก็พูดขึ้น “ข้าอยากไปดูกองยุทโธปกรณ์เสียหน่อย”
“อะไรนะ”
หลูเหวินถิงสั่นไปทั้งตัว ความดีใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้หายไปสิ้น แม้แต่สีหน้ายังอึมครึมสับสน คุณชายน้อยท่านนี้ช่วยสงบเสงี่ยมหน่อยไม่ได้หรือ! เหตุใดจึงจะไปก่อเรื่องที่กองยุทโธปกรณ์อีกแล้ว
หลูเหวินถิงปวดหัวขึ้นมาทันที
“นี่ก็ไม่ได้หรือ” หลินสวินมุ่นคิ้ว
“ได้!”
หลูเหวินถิงกัดฟัน สุดท้ายก็รับปาก ในใจพลันคิดคำนวณอย่างรวดเร็วว่าควรมอบหมายภารกิจอย่างไรให้คุณชายหลิน ที่นอกจากสามารถทำให้เขาสงบเสงี่ยมลงได้ ยังไม่รบกวนระบบดำเนินการของกองยุทโธปกรณ์
วันนี้หลังจากข่าวที่คุณชายหลินจะไปทำหน้าที่ผู้ช่วยนักสลักวิญญาณที่กองยุทโธปกรณ์แพร่ออกไป ทุกคนก็ตกใจจนลูกตาแทบถลนทันที
ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างรู้สึกว่าเหลวไหล เด็กหนุ่มผู้กล้าที่ฆ่าราชันกึ่งระดับ เหตุใดจู่ๆ เพียงพริบตาก็กลายมาเป็นผู้ช่วยนักสลักวิญญาณได้
เช่นนี้ไม่ใช่ว่าใช้คนไม่เป็น แต่ไม่เหมาะเลยสักนิดต่างหาก!
ผู้ฝึกปราณหลายคนไม่เชื่อ คิดว่าเป็นข่าวปลอม เหลวไหลเกินไปแล้ว แม้แต่กลุ่มนักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์เมื่อรู้ข่าวนี้ ต่างก็พูดอะไรไม่ออก
ตาเฒ่าหลูเหวินถิงคิดจะสร้างเรื่องอะไรอีกแล้วหรือ
ไม่ว่าอย่างไรตอนที่หลินสวินปรากฏตัวในกองยุทโธปกรณ์ ในที่สุดข่าวที่ถูกมองว่าเหลวไหลก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง!
ผู้ฝึกปราณมากมายในค่ายหมายเลขเจ็ดต่างงุนงงขึ้นมาทันที นี่เป็นเรื่องจริง!
ตอนที่ 709 โดนดูถูกเข้าแล้ว
โดย
ProjectZyphon
“อยากให้เจ้าหนูนี่เป็นผู้ช่วยของข้าหรือ? เหอะๆ เป็นไปไม่ได้!”
ครั้งแรกที่หลินสวินมารายงานตัวที่กองยุทโธปกรณ์ก็ถูกคัดค้านทันที
คนพูดคือปรมาจารย์อิง เป็นบุคคลที่มีบารมีสูงส่งในค่ายหมายเลขเจ็ด คำพูดมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก กลุ่มนักสลักวิญญาณของกองยุทโธปกรณ์ล้วนฟังคำสั่งของปรมาจารย์อิง
พร้อมกันนั้นเขาก็เป็นผู้รับผิดชอบกองยุทโธปกรณ์
ตอนนี้ปรมาจารย์อิงนั่งอยู่หลังโต๊ะ ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อย อ่านม้วนตำราในมือด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ คร้านจะสนใจหลินสวินที่ยืนอยู่
กลุ่มนักสลักวิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นต่างกอดอกดูความครึกครื้น มองหลินสวินด้วยสีหน้านึกสนุกราวกับเป็นการเย้ยหยัน
และนอกกองยุทโธปกรณ์ ผู้ฝึกปราณที่ได้ยินข่าวแล้วตามมาต่างก็อึ้งไม่หยุด ปรมาจารย์อิงไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว ปฏิเสธตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด
คุณชายหลินนั่นเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ฆ่าราชันกึ่งระดับด้วยธนูเดียวเชียวนะ แต่กลับถูกปรมาจารย์อิงปฏิเสธ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงแน่
ทว่าพอลองคิดดูให้ละเอียดผู้ฝึกปราณเหล่านี้ก็เข้าใจ ปรมาจารย์อิงเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์คนหนึ่ง ประจำการอยู่ที่ค่ายหมายเลขเจ็ดมานานปี หลายปีมานี้ช่วยซ่อมอาวุธและอุปกรณ์ในมือผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ได้รับความเคารพนับถือและสนับสนุนอย่างมาก
ด้วยฐานะและตำแหน่งของปรมาจารย์อิง ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคุณชายหลินจริงๆ
บรรยากาศชะงักงันไปชั่วขณะ
หลูเหวินถิงที่พาหลินสวินมาตอนนี้ดูอึดอัดมาก เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์อิงจะปฏิเสธอย่างง่ายๆ และหยาบคายขนาดนี้ ทำให้เขาวางหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง
หลูเหวินถิงกระแอมทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์อิง แค่ตำแหน่งผู้ช่วยเท่านั้น ข้ารับรองว่าด้วยความสามารถของคุณชายหลินต้องสามารถทำได้แน่ และจะไม่รบกวนระบบการทำงานตามปกติของกองยุทโธปกรณ์เด็ดขาด”
“หึ!” ปรมาจารย์อิงแค่นเสียงขึ้นจมูก คร้านจะเงยหน้าสนใจ
สายตามากมายขนาดนี้จ้องมองอยู่แต่กลับถูกคนชักสีหน้าใส่ ทำให้หลูเหวินถิงก็อายจนเคืองไม่น้อย ใบหน้าร้อนผ่าว
แต่หลินสวินกลับนิ่งสงบเอามือไพล่หลัง มองสภาพแวดล้อมรอบๆ กองยุทโธปกรณ์อย่างสนใจ เหมือนทุกอย่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ดูสงบเยือกเย็นและผ่อนคลายอย่างที่สุด
เพียงแต่บรรยากาศกลับดูอึดอัดและแข็งทื่อมาก
นอกกองยุทโธปกรณ์ ผู้ฝึกปราณที่ได้ยินข่าวแล้วตามมามากขึ้นเรื่อยๆ ต่างสงสัยว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้กล้าคนนี้ถึงได้มารับตำแหน่งที่กองยุทโธปกรณ์ อีกทั้งยังมาเป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์อิง เรื่องนี้ดูเหลวไหลอย่างไม่ต้องสงสัย และดึงดูดความอยากรู้ของผู้คนอย่างยิ่ง
แต่พอเห็นว่าทันทีที่เขามาถึง ก็ถูกปฏิเสธหน้าหงายไม่ให้เข้าประตู ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างก็อดยิ้มเยาะไม่ได้
ในค่ายหมายเลขเจ็ด เกรงว่าคงมีแค่ผู้อาวุโสบารมีสูงส่งอย่างปรมาจารย์อิงเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวอะไรเลยเช่นนี้
นี่ก็คือความมั่นใจ ไม่จำนนและไม่ทำตาม
“อิงสิงคง!”
หลูเหวินถิงเหมือนโมโหแล้ว เรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและได้รับการอนุมัติจากแม่ทัพจ่างซุนด้วยตัวเอง เจ้าทำเช่นนี้จะดื้อรั้นไปหน่อยหรือเปล่า”
ปรมาจารย์อิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องหลูเหวินถิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ข้าดื้อรั้นงั้นหรือ เจ้าให้เด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบด้วยซ้ำมาเป็นผู้ช่วยของข้า ก็เป็นการหาเรื่องให้ข้าไม่ใช่หรือ”
“หาเรื่องอะไรกัน” หลูเหวินถิงร้อนรนเคืองโกรธ รู้สึกว่าตาเฒ่านี่ช่างไม่ยอมฟังใครเลยจริงๆ หัวแข็งอย่างกับลา
ปรมาจารย์อิงพูดอย่างราบเรียบ “อย่าเพ้อเจ้อ อยากให้ข้าตอบตกลงก็ได้ เช่นนั้นก็ให้เขามาเป็นผู้ช่วยของเขา ส่วนข้าจะออกจากกองยุทโธปกรณ์เอง!”
นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ในที่นั้นตกใจจนหน้าซีด หากกองยุทโธปกรณ์ขาดปรมาจารย์อิงก็เท่ากับสูญเสียจิตวิญญาณ!
“ไม่ได้เด็ดขาด!” พวกเขาต่างห้าม
แม้แต่กลุ่มผู้ฝึกปราณที่ดูความครึกครื้นอยู่หน้าประตูยังแตกตื่นไม่น้อย ถ้าปรมาจารย์อิงจากไป ต่อไปใครจะช่วยซ่อมอาวุธและอุปกรณ์ให้ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเขาเล่า
คราวนี้หลูเหวินถิงเองก็ลังเลขึ้นมาแล้ว สีหน้าอึมครึมสับสน ความจริงทีแรกเขาก็คัดค้านการมารับตำแหน่งที่กองยุทโธปกรณ์ของคุณชายหลินอย่างมาก
เพียงแต่ตอนนี้เขารับปากไปแล้ว แต่กลับถูกปรมาจารย์อิงปฏิเสธต่อหน้า นี่ทำให้เขาหงุดหงิดและอับอายอยู่บ้าง
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามอย่างมากที่จะคว้าโอกาสให้เด็กหนุ่ม เพียงแต่หลังจากปรมาจารย์อิงแสดงท่าทีปฏิเสธขนาดนี้ หลูเหวินถิงเองก็อยากยอมแพ้ขึ้นมาทันที
หากเพียงเพื่อเด็กหนุ่มคนเดียว ต้องบีบให้ปรมาจารย์อิงต้องจากไป นั่นก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย
“ไม่งั้น… พวกเราเปลี่ยนตำแหน่งสักหน่อย?” หลูเหวินถิงถามเด็กหนุ่มข้างกาย
แต่กลับเห็นอีกฝ่ายยิ้ม “ไม่เปลี่ยน ถ้าแม้แต่ตำแหน่งผู้ช่วยนักสลักวิญญาณคนหนึ่งยังเป็นไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปข้าคงไม่มีหน้ากลับจักรวรรดิแล้ว”
ล้อเล่นหรือเปล่า เขาเป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ ทั้งยังเคยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่แท้จริงมาแล้ว ถ้ามีใครรู้ว่าเขาถูกปฏิเสธไม่ให้แม้แต่ตำแหน่งผู้ช่วยนักสลักวิญญาณ คงกลายเป็นเรื่องน่าขันนัก
เพียงแต่คำพูดนี้ของเขาเมื่อเข้าหูคนอื่นๆ แล้วกลับดูเย่อหยิ่งและเสียดหูมาก พลันมีนักสลักวิญญาณจำนวนไม่น้อยแค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน
“เหอะๆ เจ้าคิดว่าฆ่าราชันกึ่งระดับคนหนึ่งได้แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ารอยสลักวิญญาณคืออะไร”
“พ่อหนุ่ม พลังต่อสู้ของเจ้าอาจจะน่าทึ่ง พรสวรรค์ไร้เทียมทาน แต่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ สำรวมตนหน่อยเถอะ!”
“หากจะดื้อดึงไม่ยอมรับฟังก็รีบออกไปเถอะ”
เหล่าผู้ฝึกปราณนอกกองยุทโธปกรณ์เองก็ทนไม่ไหวต่างเปิดปากตะโกนว่า “คุณชายหลิน ไม่ได้ก็ช่างเถอะ สิ่งที่ท่านถนัดที่สุดคือการต่อสู้และฆ่าศัตรู ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ”
ส่วนปรมาจารย์อิงหรี่ตาอ่านม้วนตำราในมือ ท่าทางดูผ่อนคลายคร้านจะสนใจหลินสวิน
ความรู้สึกแปลกประหลาดและไม่เข้าท่าพลุ่งพล่านขึ้นในใจหลินสวิน ถ้าภาพนี้ถูกเหล่านักสลักวิญญาณในจักรวรรดิเห็นเข้า พวกเขาจะคิดอย่างไร
และหากวันนี้ตนจากไปเช่นนี้ ต่อไปเมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ลบไม่ออก
“อาปี้ เอาอาวุธในมือเจ้ามาให้ข้า” หลินสวินเหลือบตามองพร้อมกวักมือให้อาปี้ที่อยู่นอกกองยุทโธปกรณ์
“หา?”
อาปี้งุนงงเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะทำอะไร ทว่าด้วยความรู้สึกสนับสนุนสหาย หลังจากนิ่งอึ้งไปนางก็ยื่นกระบี่เหล็กนิลในมือให้
หลินสวินเองก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะนึกขึ้นได้ว่า ค้อนยักษ์ที่อาปี้มีในตอนแรกถูกทำลายไปยามต่อสู้ในหุบเขาพยัคฆ์แล้ว
“ช่างเถอะ ข้าช่วยเจ้าหลอมกระบี่นี่ซ้ำอีกครั้งแล้วกัน”
หลินสวินถือกระบี่เหล็กนิลขึ้นมาดูคร่าวๆ ก็มีเค้าร่างในใจแล้ว
“อะไรนะ เจ้า… เจ้าบอกว่าจะหลอมกระบี่ซ้ำอีกครั้งหรือ” นักสลักวิญญาณคนหนึ่งร้องออกมา แทบจะคิดว่าหูฟาดไปแล้ว
คนอื่นๆ เองก็ตะลึง หลอมสมบัติซ้ำอีกครั้งหรือ สำหรับนักสลักวิญญาณเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
ถึงอย่างไรสมบัติก็เป็นรูปเป็นร่างมาแล้ว กระบวนรอยสลักวิญญาณภายในก็มั่นคงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถ้าอยากหลอมซ้ำอีกครั้ง จะต้องเสียแรงกายแรงใจไปมาก ถึงขั้นที่ลำบากกว่าการหลอมสมบัติชิ้นหนึ่งด้วยซ้ำ
นี่คือความรู้ทั่วไปที่คนในวงการสลักวิญญาณรู้โดยทั่วกัน
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลินสวิน ปฏิกิริยาของนักสลักวิญญาณเหล่านั้นจึงตะลึงเช่นนี้ เกือบคิดว่าหลินสวินบ้าไปแล้ว
“คุณชายหลิน เรื่อง… เรื่องแบบนี้จะฝืนกันได้อย่างไร ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ แต่… เฮ้อ เราช่างมันเถอะ”
หลูเหวินถิงเองยังตกใจ รีบร้อนห้ามปราม ด้วยคิดว่านี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความอับอายจนกลายเป็นโกรธของเจ้าตัว เป็นความดื้อดึง ถ้าให้เขาทำแบบนั้นจริงๆ จะต้องกลายเป็นเรื่องตลกของทุกคน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาแน่นอน
“หึๆ ไม่มีความสามารถยังคิดจะทำอะไรเกินตัวหรือ วัยรุ่นเลือดร้อนจริงๆ ทนแรงกระตุ้นไม่ได้” มีนักสลักวิญญาณหัวเราะเยาะ
หลินสวินยิ้ม ท่าทางเรื่อยเฉื่อย “พูดอย่างไม่เกรงใจแล้วกัน ต่อให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณมาขอเป็นผู้ช่วยของข้า ข้ายังต้องพิจารณาความสามารถของเขา ดูว่าเขามีคุณสมบัติหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าต้องไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็วัดกันที่ฝีมือที่แท้จริง ดูซิว่าข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หรือเป็นพวกเจ้ามีตาหามีแววไม่”
คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ได้กังวานและเดือดดาลแต่อย่างไร ราบเรียบมาก แต่กลับเป็นหินก้อนเดียวกระตุ้นคลื่นนับพัน ทำให้ทุกคนฮือฮาขึ้นมา
อวดดี!
อวดดีเกินไปแล้ว!
ในบรรดาคนที่นั่งอยู่มีเพียงปรมาจารย์อิงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์ แต่เจ้าหมอนี่กลับบอกว่าแม้แต่การเป็นผู้ช่วยของเขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอ นี่เห็นจะทะนงตนเกินไปแล้ว
แม้แต่ปรมาจารย์อิงยามนี้ก็สีหน้ามืดทะมึน ไม่สามารถรักษาความสงบอย่างเดิมได้ ทิ้งม้วนตำราในมือลง มองไปทางหลินสวินพร้อมสายตาเย็นเยียบ “เจ้าหนุ่ม ศาสตร์การสลักวิญญาณและศาสตร์การยุทธ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าพูดเช่นนี้เท่ากับกำลังท้าทาย!”
“คุณชายหลินอย่าวู่วาม!” หลูเหวินถิงลนลาน หากทำให้ปรมาจารย์อิงโกรธ แม้แต่แม่ทัพจ่างซุนออกหน้าก็ไม่มีประโยชน์
นี่คือลักษณะเฉพาะของปรมาจารย์สลักวิญญาณ ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธที่พวกเขาครองครอง ทำให้แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังต้องยอมถอย
ยิ่งไปกว่านั้นในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ปรมาจารย์สลักวิญญาณเป็นกลุ่มคนที่หายากที่สุด สถานะจึงพิเศษและเหนือกว่าคนทั่วไป ยิ่งไม่สามารถลบหลู่หรือทำให้ขุ่นเคืองได้
หลินสวินยิ้มน้อยๆ คร้านจะอธิบาย จึงยกเท้าเดินไปในบริเวณกองยุทโธปกรณ์ ที่ตรงนั้นมีเตาหลอมสำริดที่กำลังลุกโชนอย่างรุนแรงพอดี ข้างๆ มีโต๊ะวางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีด้ามสลัก หมึกวิญญาณรวมทั้งวัตถุดิบวิญญาณต่างๆ วางอยู่
นี่คือที่สำหรับหลอมอาวุธของนักสลักวิญญาณคนหนึ่งในกองยุทโธปกรณ์ เพียงแต่ตอนนี้ว่างอยู่ หลินสวินเองก็ไม่ได้เกรงใจ เข้าไปใช้โดยตรง
“เจ้า…” นักสลักวิญญาณเหล่านั้นหน้าซีด พวกเขาไว้หน้าเจ้าหนุ่มนี่มากพอแล้ว แต่เจ้าหมอนี่กลับดื้อดึงไม่ยอมรับฟัง ยืนยันว่าจะทำเช่นนี้ ทำให้พวกเขาต่างเคืองขึ้นมาแล้ว
คำว่ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเป็นอย่างไร
ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า
“ใครก็ห้ามไปขัดขวาง ข้าจะดูซิว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าจะใช้อุบายอันใด บอกว่าปรมาจารย์สลักวิญญาณยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้ช่วยของเจ้างั้นหรือ เหอะๆ นี่เป็นเรื่องตลกที่เหลวไหลที่สุดเท่าที่ข้าได้ยินมาในปีนี้”
ปรมาจารย์อิงเองก็เปิดปาก สีหน้าแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าหลินสวินไม่รู้จักประเมินความสามารถของตน อยากดูว่าเขาจะอับอายครั้งใหญ่ท่ามกลางสายตาของทุกคนอย่างไร!
“เฮ้อ!” หลูเหวินถิงคร่ำครวญในใจ ทีนี้แย่แล้ว สถานการณ์เลวร้ายยากจัดการอีกแล้ว กลัวว่าทางแม่ทัพจ่างซุนต้องเดือดดาลอีกแน่
ทำไมเจ้าหนูนี่ไม่อยู่ในลู่ในทางแบบนี้นะ ไม่ว่าจะไปสนามรบหรือมาที่กองยุทโธปกรณ์ ก็ต้องก่อเรื่องสักหน่อยหรือถึงจะพอใจหรือไร
หลูเหวินถิงปวดหัวขึ้นมาแล้ว
ผู้ฝึกปราณที่ดูอยู่รอบๆ ต่างมองกันไปมา คุณชายหลินคนนี้คิดจะดื้อดึงให้ถึงที่สุดจริงๆ หรือ
เขาไม่กลัวว่าสุดท้ายจะกลายเป็นตัวตลก กลายเป็นเรื่องน่าขันหรือ
ทั้งหมดนี้หลินสวินล้วนไม่สนใจ เขายืนอยู่หน้าโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจก็มีแผนภาพคร่าวๆ ก่อนจะเริ่มลงมือในทันที
……………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น