Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 702-703
ตอนที่ 702 ศรแห่งนภาคราม
โดย
ProjectZyphon
มุ่งหน้าต่อไปไม่นานนัก ช่องว่างใต้ดินซึ่งกว้างใหญ่หาใดเปรียบแห่งหนึ่งปรากฏตรงเบื้องหน้า
ที่นี่ประดุจโลกใต้พิภพแห่งหนึ่ง มืดมนและว่างเปล่า
บริเวณที่ห่างจากหลินสวินไปราวร้อยจั้ง มีซากศพใหญ่มหึมาดั่งภูผาตระหง่านร่างหนึ่งนอนพาดขวาง แน่นิ่งไม่ไหวติง
นี่คือซากศพสัตว์ปีศาจที่ลึกลับและน่าหวาดกลัวตัวหนึ่ง ปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดสีเงินเข้มดุดัน แค่เพียงแขนคู่หนึ่งที่ปรากฏก็ยาวหลายจั้ง ใหญ่โตราวสิ่งปลูกสร้างหิน
และหัวของก็มันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง ใหญ่โตจนน่าอัศจรรย์
นี่เป็นสัตว์ปีศาจที่แม้แต่หลินสวินยังไม่เคยพบเห็น ส่วนหัวมีลูกธนปักเอียงไว้ดอกหนึ่ง เทียบกันแล้วลูกศรไม่ได้เตะตา ยาวแค่สองฉื่อ หยาบยุ่งเหมือนลายมือเด็กทารก ดูเล็กบางกระจ้อยร่อยอย่างแท้จริงเมื่อเทียบกับซากศพของสัตว์ปีศาจ
แต่กลับเป็นลูกศรดอกนี้ที่แทงทะลุหัวมัน ปลิดชีพของมัน!
หลินสวินนัยน์ตาพลันหดรัด มาถึงตรงนี้ในที่สุดเขาจึงเข้าใจ ไอสังหารเสียดกระดูกที่สัมผัสได้ตลอดทางนั้น ที่แท้ออกมาจากซากศพสัตว์ปีศาจนั่น
ชวนขนพองสยองเกล้า!
ไอสังหารนี่น่ากลัวเกินไป เสมือนดั่งคงอยู่จริง ถึงแม้แน่ใจว่าสัตว์ปีศาจลี้ลับซึ่งใหญ่มหึมาหาใดเปรียบนั่นตายไปนานแล้ว แต่หลินสวินยังคงหวาดผวา สังเกตเห็นความอันตรายถึงขีดสุดประการหนึ่ง
‘หรือสมบัติปริศนาที่เผ่าพ่อมดเถื่อนค้นพบ ก็คือลูกศรแทรกที่ทะลุหัวสัตว์ปีศาจตัวนั้น’
‘หืม?’
ขณะกำลังใคร่ครวญ ในการรับรู้จิตวิญญาณของหลินสวินพลันค้นพบร่องรอยเสี้ยวหนึ่ง เขาเปล่งเสียงเย็นชาในบัดดล “ท่านทั้งสาม ข้ามาถึงแล้ว พวกเจ้ายังคิดซ่อนตัวต่อไปอีกรึ”
“หึ เจ้าเด็กสวะ คิดจริงๆ หรือว่าพวกข้าอับจนหนทาง ได้แต่รอเจ้ามาเชือดสังหาร” พร้อมๆ กับการแค่นเสียง เสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง อินเป่ยกู้สามคนเดินออกมาจากด้านหลังซากสัตว์ปีศาจนั่น
พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนระดับมหาเวท รูปร่างเดิมทีก็สูงใหญ่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์อยู่แล้ว แต่เวลานี้เมื่อยืนอยู่ข้างซากสัตว์ปีศาจซึ่งประหนึ่งภูผาตระหง่านนั้น กลับเหมือนว่าตัวเล็กนิดเดียวยิ่งนัก
“ดูไปแล้ว พวกเจ้าคงไม่เกรงกลัวสิ่งใดสินะ” หลินสวินนัยน์ตาหรี่ลง
เขาสังเกตเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว ยามนี้ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับเห็นได้ว่าสงบใจยิ่ง นี่ก็น่าสงสัยอยู่บ้างแล้ว
ขณะพูด หลินสวินก็น้าวธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือ
“เหอะๆ น่าขัน!”
เสอเจิ้นสีหน้าอึมครึม “เด็กสวะคนหนึ่งอย่างเจ้า หากไม่มีคันธนูในมือนั่น ไหนเลยจะมีสิทธิ์วางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าพวกเรา”
เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้เองก็มีใบหน้าชิงชัง พวกเขาคือคนใหญ่คนโตระดับมหาเวทผู้สง่าผ่าเผยแห่งเผ่าพ่อมดเถื่อน กลับถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งบีบจนถึงขั้นนี้ นี่มันน่าอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
“พูดมากความซะจริง!”
หลินสวินคิ้วขมวด ไอสังหารในใจวาบกะพริบ อีกฝ่ายสงบนิ่งเกินไปแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลยิ่งกว่าเดิม หมายเร่งรบเร่งจบ
แต่พริบตาที่ในใจเขาเกิดไอสังหาร เหตุไม่คาดฝันพลันปรากฏ…
‘ฆ่า!’
ในโลกใต้ดินซึ่งโล่งโปร่งผืนนี้ เดิมทีก็อุดมไปด้วยไอสังหารที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่แล้ว บัดนี้เสมือนได้กลิ่นการนองเลือด เปลี่ยนเป็นอำมหิตหาใดเปรียบในชั่วขณะเดียว กลายเป็นประหนึ่งกระแสน้ำที่แท้จริง ถาโถมบีบทับเข้ามา
จิตวิญญาณของหลินสวินพลันได้รับการโจมตีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทันที
ไอสังหารนั่นประดุจข้ามเขตกาลเวลาแต่โบราณ เคลือบแฝงพลานุภาพน่าหวาดกลัวร้ายกาจอันกว้างใหญ่ ทำให้สีหน้าเขาพลันซีดขาว
หลินสวินโคจร ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ โดยไม่ลังเล พลังทั่วร่างส่งเสียงกึกก้อง ห้วงนิมิตปรากฏลักษณ์ประหลาดที่จันทร์เต็มดวงแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้า หมู่ดาราห้อมล้อม
ไม่นานไอสังหารที่โจมตีมาก็ถูกหักล้าง จิตวิญญาณเปลี่ยนเป็นเสถียรขึ้นมาก หลายปีนี้หลินสวินฝึกเคล็ดเวทบริกรรมจนหยั่งถึงพลังอันเร้นลับที่เคล็ดวิชานี้มีมานานแล้ว ต่อให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ ก็จะถูกฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว
ครืนครืน…
แต่ทว่าไอสังหารระหว่างฟ้าดินยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสมือนคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำ ควบทะยานมาจากทั่วสารทิศ
‘ฆ่า!’
‘ฆ่า!’
‘ฆ่า!’
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไอสังหารไร้สิ้นสุดนั่นถึงกับถาโถมออกมาจากศพสัตว์ปีศาจมหึมาซากนั้น บุกจู่โจมและบดอัดจิตวิญญาณและจิตใจของหลินสวิน
หลินสวินกดดันเพิ่มอีกเท่าตัว!
‘ซากสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งที่ายไปไม่รู้นานเท่าไหร่ กลับทำให้ข้าไม่อาจไม่โคจรเคล็ดเวทบริกรรมและพลังทั่วร่างมาต่อต้าน หากมันยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าพริบตาคงสังหารข้าอย่างง่ายดาย…’
หลินสวินพิศวงในใจ
ที่นี่ไอสังหารดั่งมหาสมุทร น่าประหวั่นไร้ขอบเขต!
แต่ทว่าพลังของเคล็ดเวทบริกรรมเวลานี้วิเศษอัศจรรย์อย่างชัดเจนถึงขีดสุด คงความมั่นคงของจิตวิญญาณของหลินสวินไว้อย่างแน่นหนา การโจมตีใดๆ ล้วนไม่อาจสั่นคลอนอีก
“ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กสวะ รสชาตินี้เหลือทนยิ่งใช่หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะโหดร้ายป่าเถื่อนแค่ไหน ณ ที่แห่งนี้ ทันทีที่ในใจมีจิตสังหาร ก็ต้องพบเจอหายนะแห่งการทำลายล้าง! นี่คงเป็นสิ่งเจ้าคิดไม่ถึงกระมัง” บริเวณที่ห่างออกไปแว่วเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมของเสอเจิ้น เปี่ยมไปด้วยความรื่นรมย์
“ดูสิ หน้าเจ้าเด็กนี่ขาวไปหมดแล้ว สั่นสะท้านทั้งร่าง เห็นชัดว่าใกล้ยืนหยัดไม่อยู่” เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้เองก็หัวเราะร่า สีหน้าอาฆาตแค้นกระหยิ่มยิ้มย่อง
สาเหตุที่พวกเขาหลบซ่อนที่นี่ ก็เพื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้!
ตอนแรกที่พวกเขาผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนค้นพบสถานที่นี้ก็เกิดความฮือฮา เพราะเมื่อใดที่ผู้มาถึงที่แห่งนี้เผยจิตสังหารแม้เพียงเศษเสี้ยว ก็ต้องประสบกับการตอบโต้และกดดันอันน่ากลัว!
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทยังยากจะแบกรับการโจมตีเช่นนี้
หากไม่ใช่เช่นนี้ พวกเขาคงนำซากสัตว์ปีศาจและลูกศรซึ่งเสียบเอียงอยู่บนศพนี้จากไปนานแล้ว!
“น่าชังนัก หากไม่ใช่ธนูยักษ์ในมือเจ้าเด็กสวะนั่น ข้าคงสับมันด้วยมือตนเองนานแล้ว ไหนเลยจะต้องมาเปลืองแรงขนาดนี้”
เสอเจิ้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบอยากจะพุ่งออกไปฆ่าหลินสวินด้วยมือตนเอง
ตูม!
บริเวณใกล้เคียง ไอสังหารน่าหวาดกลัวสายปรากฏ ทำเอาเสอเจิ้นตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี เมื่อครู่เขาเผลอเกิดจิตสังหารเสี้ยวหนึ่ง จึงดึงดูดการตอบโต้ของที่นี่
ยังดีที่เขาตอบสนองไว สลัดจิตสังหารภายในใจทิ้งทันที จึงคลี่คลายเคราะห์สังหารที่จวนมาเยือนได้อย่างไร้อันตราย
“ระวังหน่อย!” เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้ที่อยู่ด้านข้างสั่นระริกไปทั้งตัว ตกใจจนแทบกระโดดโหยง ต่างมองเสอเจิ้นด้วยความโกรธเคือง
เสอเจิ้นพลันเก้กังทันที
‘ที่แท้สาเหตุที่พวกเขาหนีมาที่นี่ เพราะหมายอาศัยไอสังหารของที่แห่งนี้มาจัดการข้า… ไม่แปลกที่ตอนนี้พวกเขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้…’
ห่างออกไป ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจ
ทันใดนั้นเขายกเท้าเดินเข้าไปใกล้ซากสัตว์ปีศาจซึ่งอยู่นอกระยะพันจั้งทีละก้าว
ภาพเหตุการณ์นี้น่าตระหนกจนพวกเสอเจิ้นนัยน์ตาหดรัด แทบไม่กล้าเชื่อ ไอสังหารนั่นดุดันน่ากลัวระดับใด แม้แต่พวกเขายังไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า
แต่บัดนี้ เจ้าเด็กนี่กลับเข้าประชิดด้วยตัวเอง!
นี่เขารังเกียจที่ยังไม่ตายเร็วพอหรือ
หลินสวินหาได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ นัยน์ตาดำทั้งคู่ของเขาจ้องลูกศรสีดำซึ่งเสียบเอียงบนหัวสัตว์ปีศาจนั่นเขม็ง ส่วนลึกของนัยน์ตาเจือแสงแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง
มีเพียงตัวเขาที่สัมผัสถึง ว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือยามนี้คล้ายถูกกระตุ้นจนสั่นสะท้านเป็นระลอก มีกลิ่นอายเร้นลับหนึ่งกำลังตื่นขึ้น
ไม่นานในที่สุดหลินสวินก็เห็นอย่างชัดเจน
สัตว์ปีศาจซึ่งปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดทั้งตัวนั้น รูปร่างคล้ายสิงห์พยัคฆ์ตัวหนึ่ง แต่กลับมีหัวเป็นมังกร เท้าทั้งสี่ดั่งเสาเหล็กสิบกว่าจั้ง คราบเลือดเกรอะกรังติดตัวเต็มไปหมด
ส่วนหัวของสัตว์ปีศาจ ลูกศรสีดำเรียบง่ายไม่หรูหราปักเอียง มีเพียงขนลูกศรที่ย้อมด้วยแสงสีแดงเป็นสายๆ
กลิ่นอายเร้นลับหนึ่งกำลังพวยพุ่งออกจากลูกศรสีดำนั่น เกิดการขานรับกับธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างคล้ายมีคล้ายไม่มีเสี้ยวหนึ่ง
พริบตานี้ต่อให้ไม่โคจรเคล็ดเวทบริกรรม หลินสวินก็แน่ใจว่าไอสังหารที่มืดฟ้ามัวดินนั้น ไม่อาจนำมาซึ่งภยันตรายสักเศษเสี้ยวแก่ตน
“ทำไมเป็นเช่นนี้ หรือเขาทรงพลังถึงระดับนี้เชียวรึ” เสอเจิ้นที่อยู่ห่างไกลหน้าเปลี่ยนสี ส่งเสียงร้องแหลม
ตามการสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของพวกเขา ถึงแม้เป็นราชันระดับสังสารวัฏมาเองก็ยังต้องระมัดระวังเต็มกำลัง อาจจะพอเข้าใกล้เบื้องหน้าสัตว์ปีศาจนั้นได้
แต่บัดนี้เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับเข้าประชิดทีละก้าว! ซ้ำยังไม่มีความทุลักทุเลจากการรับแรงกดดันของไอสังหารอย่างตอนแรก กลับเห็นได้ว่านิ่งสงบยิ่งนัก
“เป็นไปไม่ได้…!”
เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้เองก็ตะโกนลั่น พวกเขาหวาดหวั่นอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส บัดนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาคืออาศัยไอสังหาร ณ ที่แห่งนี้กำจัดอีกฝ่าย
เพียงแต่รูปการณ์แปรเปลี่ยนไป คลาดเคลื่อนไปจากการคาดคะเนของพวกเขาโดยสมบูรณ์!
“ศรจงมา!”
เมื่อเงาร่างหลินสวินห่างจากซากศพสัตว์ปีศาจตัวนั้นในระยะสิบจั้ง เขาพลันหยุดยืนนิ่ง ริมฝีปากเปล่งวาจาหนึ่งอย่างแผ่วเบา
พรึ่บ!
ภายใต้สายตาตระหนกที่จับจ้องของพวกเสอเจิ้น ลูกศรสีดำซึ่งปักเอียงบนหัวสัตว์ปีศาจนั่นถึงกับพลันพุ่งออก กลายเป็นแสงทมิฬสายหนึ่งร่วงหล่นลงในมือหลินสวิน
ลูกธนูเรียบง่ายไม่หรูหรา หนาราวแขนเด็ก ขนลูกศรย้อมสีแดงโลหิตเข้ม ปลายศรดำสนิทไหลวนด้วยแสงเย็นเยียบที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
แค่เพียงอยู่ในมือหลินสวิน ก็มีความเกรงขามอันน่าสะพรึงแผ่ขยายออกจากตัวลูกธนู บีบอัดจนห้วงอากาศรอบทิศเกิดระลอกคลื่นปานจะระเบิดแหลก
ครืน!
ขณะเดียวกัน ซากสัตว์ปีศาจลึกลับราวสิงขรสูงชันนั่นถึงกับพังทลายสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นเถ้าถ่านพลิ้วลอยล่องลงพื้น
“นี่…”
พวกเสอเจิ้นตะลึงราวรูปปั้นดิน นิ่งอึ้งอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นไปได้อย่างไร
เดิมทีในการคาดคะเนของพวกเขา ลูกศรสีดำดอกนี้จะต้องเป็นสมบัติโบราณล้ำค่าทรงพลังอย่างไม่อาจจินตนาการชิ้นหนึ่งแน่ คิดจะเอามันไปยังต้องรอเวลาอีกหน่อย จนเมื่อไอดุร้ายของมันนิ่งสงบลงแล้วจึงจะสามารถกำราบได้
นี่ก็คือสาเหตุที่หลายวันนี้พวกเขาเรียกระดมพลยอดฝีมือมากขนาดนี้มารักษาการณ์ที่หุบเขาพยัคฆ์
แต่ใครเล่าจะคาดคิด การมาถึงของหลินสวินกลับทำลายแผนการของพวกเขาสิ้น ยกมือโบกกระหวัดก็ชิงลูกศรสีดำนั่นไปอย่างง่ายดาย!
“ไม่…!” พวกเสอเจิ้นแผดเสียงคำรามอย่างไม่พอใจและคับแค้น นี่ไม่ต่างอะไรกับเสียฮูหยินแล้วเสียขุนศึกซ้ำอีกอย่างแท้จริง
“นภาคราม…”
และในเวลานี้ หลินสวินกล่าวพึมพำ รับรู้ถึงคำจารึกพิเศษสองคำที่มีเพียงในสมัยบรรพกาลเท่านั้น ซึ่งประทับอยู่บนลูกศรสีดำนี้
ศรนี้ นามนภาคราม!
“เจ้าเด็กสวะ ทิ้งสมบัตินี่ลงเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าหลบหนีไปที่ไหน จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้าไล่ฆ่าจนตายแน่!”
พวกเสอเจิ้นคำรามดุดันเคืองแค้นเต็มประดา พวกเขารักษาการณ์อยู่ที่นี่หลายวันก็เพื่อสมบัตินี้ แต่บัดนี้กลับถูกหลินสวินชุบมือเปิบตัดหน้าเอาไปก่อน นี่จะให้พวกเขาอดกลั้นได้อย่างไร
“ทุกท่าน การละเล่นควรสิ้นสุดลงแล้ว”
หลินสวินเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำมองออกไป ลูกศรสีดำในมือมีคลื่นไอสังหารไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกมา
พรูดๆๆ!
พริบตานั้น ไม่ว่าจะเป็นเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง หรืออินเป่ยกู้ ต่างไม่ทันได้ตอบสนอง ร่างกายระเบิดออกโดยพร้อมเพรียง ถูกไอสังหารเสียดกระดูกนั่นบดขยี้กลายเป็นหมอกโลหิตลอยล่อง แม้ซากกระดูกล้วนไม่เหลือทิ้งไว้
ตอนที่ 703 ตื่นตระหนกชั่วขณะ
โดย
ProjectZyphon
ค่ายหมายเลขเจ็ด
หลูเหวินถิงสีหน้าถมึงทึง ดวงตาทั้งสองดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ คำราม “คนล่ะ แม่งเอ๊ย! ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรให้พวกเจ้าคุ้มครองคุณชายหลินให้ดี แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับหนีเอาตัวรอด! คิดว่าข้าหลูเหวินถิงไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ หรือ”
น้ำเสียงราวฟ้าร้องกัมปนาทแทบพลิกตลบหลังคา ทหารยามทั้งหมดนอกห้องตกใจจนสั่นเทาไม่หยุด พวกเขาเพิ่งเคยเห็นหลูเหวินถิงมีโทสะถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก
ภายในห้องพวกหูทงสีหน้ากระอักกระอ่วนก้มหัว บนใบหน้าเจือแววละอาย
“หูทง เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นไสหัวไปให้หมด!”
หลูเหวินถิงรู้ว่ามัวแต่โกรธเช่นนี้หาใช่หนทางไม่ เรื่องเร่งด่วนคือต้องรีบเข้าใจสถานการณ์แล้วกู้คืนแก้ไข
หลังพวกอาปี้และหยางสยงจากไป หูทงสูดหายใจลึกบอกเล่าเรื่องราวยามไปทำภารกิจที่หุบเขาพยัคฆ์ออกมาทั้งหมด
เฮือก!
เมื่อได้ยินว่าหลินสวินใช้ธนูยักษ์โจมตีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทหลายคนบาดเจ็บสาหัสติดต่อกัน อานุภาพยิ่งใหญ่สะท้านขวัญ หลูเหวินถิงก็อดสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้
และเมื่อรู้ว่าเพื่อให้พวกหูทงมีเวลาหนี หลินสวินเลือกจะอยู่ต่อเพียงลำพัง สกัดกั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนซึ่งไล่สังหารพวกนั้น หลูเหวินถิงก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครา ใจพลันกระตุกวูบ
“มิน่าล่ะพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยังสามารถวิ่งกลับมาถึงค่ายได้…”
หลูเหวินถิงเหล่มองหูทงปราดหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นแล้วว่ายามพวกหูทงหวนกลับมา แต่ละคนล้วนบาดเจ็บหนักแทบทั้งสิ้น ทั่วร่างอาบโลหิต ที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมายังค่ายได้ช่างเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
แต่หลังทราบสาเหตุของเรื่องนี้ หลูเหวินถิงถึงตระหนักได้ว่าที่พวกหูทงสามารถหอบชีวิตกลับมาได้ เป็นเพราะมีหลินสวินสกัดกั้นศัตรูบนสมรภูมิให้ทั้งสิ้น!
หูทงสูดหายใจลึก กัดฟันคุกเข่าลงกับพื้นพลางกล่าว “ชีวิตนี้ของข้าเป็นคุณชายหลินมอบให้ กลับมาครานี้คิดขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าหลู ขอท่านส่งตัวยอดฝีมือไปช่วยคุณชายหลิน หากเขาตายในสมรภูมิ ข้าคงอยู่ในความเสียใจละอายทรมานชั่วชีวิต!”
“พูดเรื่องซังกะบ๊วยพวกนี้ให้น้อยหน่อย ครั้งนี้หากคุณชายหลินเกิดเรื่อง อย่าว่าแต่เจ้ากับข้า แม้แต่แม่ทัพจ่างซุนล้วนต้องติดร่างแห!”
หลูเหวินถิงแค่นเสียงหนึ่งก่อนรีบเร่งจากไป
เขาร้อนใจดั่งเพลิงผลาญ รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าเด็ดขาด หากว่าเจ้าหนูนั่นเกิดพลาดพลั้งอะไรขึ้น ด่านใต้เท้าราชันกระหายเลือดนั่นคงผ่านได้ยากแล้ว…
“แม้แต่แม่ทัพจ่างซุนล้วนพลอยติดร่างแห?”
หูทงหวาดผวา เพิ่งตระหนักว่าที่มาของคุณชายหลินนั่นดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการ
หลังจากนั้นไม่นาน ในกระโจมแม่ทัพขั้นสูงสุดแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดมีเสียงคำรามดั่งอสนีพิโรธดังออกมา “หลูเหวินถิง เจ้าเด็กนั่นมาวันแรก เจ้าก็หาเรื่องใหญ่มาให้ข้าแล้ว! เจ้านี่มันเป็นหัวหน้ากองพลาธิการจนปัญญาอ่อนแล้วรึ ใครใช้ให้เจ้าส่งเด็กนั่นไปโรมรันกลางสมรภูมิ! หา!”
ทั้งอาณาบริเวณทั่วค่ายหมายเลขเจ็ด ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดินับไม่ถ้วนต่างหยุดกระทำการในมือ ใจสั่นสะท้านอยู่บ้าง แม่ทัพจ่างซุนเป็นอะไรไป ทำไมถึงส่งเสียงโกรธแค้นราวอสนีบาตเช่นนี้
“ทหาร! ระดมพลขึ้นเรือรบดำเกิงเหินลำหนึ่งมุ่งหน้าไปหุบเขาพยัคฆ์พร้อมข้า! ใครแม่งกล้าล่าช้าเสียเวลา ข้าจะปลิดชีพพวกมัน!”
ไม่นานนักตามหลังเสียงคำรามสะท้านฟ้า เงาร่างสูงสง่าผ่าเผยของจ่างซุนเลี่ยทะลวงขึ้นเหนือเมฆ ราวควันสงคราม แผ้วพานวายุเมฆา
ทันใดนั้นทั้งค่ายต่างอึกทึกครึกโครม ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิมากมายถูกเรียกระดมพลอย่างรวดเร็ว ก้าวขึ้นเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิพร้อมจ่างซุนเลี่ย ไอสังหารพุ่งทะยานแผ่ซ่านทั้งค่าย
ผู้ฝึกปราณมากมายเห็นเหตุการณ์นี้กับตาตนเองล้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง เป็นคนใหญ่คนโตที่ไหนกันแน่ ถึงกับทำแม่ทัพจ่างซุนรีบเร่งกระวนกระวายเช่นนี้
…
หุบเขาพยัคฆ์ ปลายสุดของอุโมงค์ใต้ดิน
“ศรนภาคราม…”
ยามหลินสวินใช้ศรเทพสีดำซึ่งหยั่งถึงในมือ จิตวิญญาณพลันสั่นสะท้านครู่หนึ่ง เกิดอาการเจ็บแปลบราวดาบระเบิด
ขณะเดียวกันภาพอันน่าหวาดกลัวหนึ่งปรากฏขึ้นในสมอง
ส่วนลึกของหมู่ดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล ศรเทพสีดำดอกหนึ่งวาบกะพริบส่งเสียงตูม พลันมีดาวดวงหนึ่งแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง
พลังทำลายล้างชั่วพริบตานั้นทำเอาหลินสวินมือเท้าเย็นเยียบ หนังหัวชาไปหมด
ยิงดาวแตกระเบิด?
เกรงว่าคงมีแต่อริยะอุบัติบนโลก จึงจะสามารถครองพลานุภาพล้นฟ้าเช่นนี้กระมัง
ไม่รอหลินสวินได้ตอบสนอง ภาพประหลาดสะเทือนใต้หล้าอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้นอีก ก็เห็นส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ปรากฏสัตว์ปีศาจใหญ่มหึมาที่แบกตำหนักสำริดตัวหนึ่ง
สัตว์ปีศาจข้ามผ่านห้วงอากาศพุ่งแหวกหมู่ดาว ตำหนักสำริดบนหลังมันอบอวลไอคลุมครือ มองเห็นไม่ชัดเจน
แต่แค่เพียงภาพนี้ก็ทำให้หลินสวินหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกแล้ว นี่ช่างเหมือนตำนานเทพในสมัยบรรพกาล คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ท้องฟ้าดารายิ่งใหญ่ไพศาลระดับใด กวาดมองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ใครเล่าจะสามารถปีนขึ้นฟ้าเหนืออวกาศได้
แต่บัดนี้กลับมีสัตว์ปีศาจแบกตำหนักสำริดเดินทะลวงผ่านอยู่ภายใน ไอคลุมครือไร้ขอบเขต ไม่รู้ทิศทางไปและหนทางกลับของมัน!
ตูม!
ศรเทพสีดำนั้นพลันปรากฏอีกครั้ง คล้ายหมายจู่โจมทำลายตำหนักสำริดบนหลังสัตว์ปีศาจนั่น
แต่ท้ายที่สุดกลับถูกคทาหยกสมปรารถนาลึกลับเจิดจรัสด้ามหนึ่งสกัดกั้นอย่างแรง ชั่วขณะพลันระเบิดเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต ซัดดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียงให้ดับสลายโดยพร้อมเพรียง!
ภาพเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ก็พลันเลือนหายไป
แต่หลินสวินกลับเหงื่อกาฬไหลอาบทั่วร่าง หวั่นหวาดอยู่ในใจ นั่นต้องมีพลังระดับใดจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?
คทาหยกสมปรารถนาลึกลับเจิดจรัสนั่นออกมาจากมือผู้ใด
ตำหนักสำริดซึ่งอบอวลไอคลุมครือจะถูกจู่โจมสลายหรือไม่
หลินสวินไม่รู้ ที่รู้เพียงอย่างเดียวคือ ศรเทพสีดำที่แข็งแกร่งไร้ผู้ต่อต้านซึ่งพุ่งทะลวงท้องฟ้าดาราประดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้นั้น บัดนี้กำลังอยู่ในมือตน
มันมีนามว่า ‘นภาคราม’!
เพียงแต่เทียบกับศรเทพสีดำซึ่งอยู่ในภาพนิมิตแล้ว ศรนภาครามเวลานี้กลับเห็นดูเรียบง่ายไม่หรูหรา มีกลิ่นอายสงบนิ่งประการหนึ่ง
“ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ศรนภาคราม ระหว่างสองสิ่งต้องมีความสัมพันธ์บางอย่าง มิฉะนั้นก่อนหน้าคงไม่มีทางเกิดการตอบสนองอย่างตื่นตัวและขานรับกันเช่นนั้น…”
หลินสวินพึมพำ
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารทั้งคันสร้างจากโครงกระดูกขาว สายธนูแดงก่ำดั่งโลหิต ส่วนศรนภาครามดอกนี้กลับดำสนิทดุจรัตติกาล มีเพียงขนลูกศรและปลายศรที่เจือสีแดงคล้ำ เรียบง่ายและไม่หรูหรา
หนึ่งขาวหนึ่งดำล้วนแต้มแต่งสีโลหิตอยู่ภายใน เห็นได้ว่าแปลกประหลาดและเร้นลับ
ก่อนหน้านี้ตอนได้รับธนูวิญญาณไร้แก่นสาร หลินสวินก็สงสัยว่าธนูนี้น่าจะมีลูกศรเข้าชุดกัน บางทีอาจสามารถสำแดงอานุภาพของมันออกมาถึงขีดสุด
และบัดนี้ศรนภาครามปรากฏ ทำให้หลินสวินแน่ใจการคาดเดาของตน ตอนนี้เขาถึงขั้นร้อนอกร้อนใจอยากลองอยู่บ้าง ว่าเมื่อใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรนภาครามแล้ว จะสำแดงพลานุภาพน่าหวาดกลัวระดับใด
ท้ายที่สุดหลินสวินยังคงยับยั้งแรงกระตุ้นเช่นนี้ หากเขาคำนวณไม่ผิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหุบเขาพยัคฆ์คงดึงดูดผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนมากมายให้รีบรุดมา ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน ไม่สามารถล่าช้าอีกต่อไป
หลินสวินหวนกลับเส้นทางเดิม และดึงดาบหักที่เสียบบนผนังหินตรงกลางทาง
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ดาบหักได้สูบพลังเหล็กดาราจรัสสลายซึ่งอยู่บนผนังหินใกล้เคียงจนแห้งเกือบหมด
เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินผิดหวังอยู่บ้างคือ ดาบหักไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน อย่างมากก็แค่เพิ่มความรู้สึกของ ‘ความสะอาดผุดผ่อง’ ที่ดูเป็นจริงกว่าแต่ก่อน ประกายดาราที่อบอวลออกมาบริสุทธิ์กว่าเดิมบ้างเล็กน้อย
ที่ควรค่าให้เรียกว่าน่าแปลกใจหนึ่งเดียว อาจเป็นบนพื้นผิวของดาบหักปรากฏลายมรรคปริศนาเลือนรางส่วนหนึ่งต่อเนื่องเป็นสาย คล้ายมีคล้ายไม่มี ซ่อนอยู่อย่างเลือนราง หากไม่สังเกตโดยละเอียดยากที่จะสังเกตเห็น
แต่เมื่อหลินสวินลองใช้พลังจิตวิญญาณหยั่งรู้ลายมรรคปริศนาเหล่านั้น กลับไม่สามารถใช้การได้เช่นเดียวกัน มันเลือนรางซ่อนเร้นเกินไป ทำให้เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้
‘หากรอให้ดาบหักสูบพลังจนเพียงพอ บางทีทั้งหมดนี้อาจเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมกระมัง…’
หลินสวินคล้ายขบคิดใคร่ครวญ
…
ขณะที่หลินสวินถือห่อสัมภาระที่มีทรัพย์หลังศึกเต็มแน่นสามใบ สะพายธนูวิญญาณไร้แก่นสาร มือถือศรนภาครามหวนกลับไปตามทางเข้าเหมือง ทันใดนั้นนัยน์ตาพลันหรี่ลง
พริบตาเดียวเขาสังเกตเห็นกลิ่นอายทรงพลังมากมายกำลังมุ่งหน้ามาทางหุบเขาพยัคฆ์จากทั่วทุกสารทิศ ไม่ปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย ไม่ต้องสัมผัสอย่างถ้วนถี่ก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างสิ้นเชิง
สวบ!
หลินสวินเงาร่างวาบไหว เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ทั้งตัวเสมือนเงาวูบหนึ่งพลันหายไปจากจุดเดิม พุ่งทะยานไปนอกหุบเขาพยัคฆ์
“เร็ว!”
“เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นช่างเป็นสุนัขกล้าคับฟ้า ถึงกับกล้ากลับมา ครั้งนี้ไม่เอามันไว้แน่!”
“น่าแค้นนัก! ก่อนหน้านี้อีกนิดเดียวก็สามารถฆ่าผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิพวกนั้นได้ กลับถูกเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้มารบกวน ไม่อาจไม่เร่งกลับมา หากไอ้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นถูกข้าพบ จะต้องถลกหนังมันแน่!”
เสียงด่าทอเป็นพรวนดังกึกก้องตรงทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ ไม่ช้าเงาร่างมากมายก็พุ่งเข้ามาในค่ายกลรอยวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน
ในนั้นมีจินอู้และเฟิงคุนผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสองคน ข้างกายพวกเขายังติดตามมาด้วยผู้แข็งแกร่งอื่นส่วนหนึ่ง พลังต่างไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาทั้งสอง
เห็นชัดว่าล้วนเป็นบุคคลผู้แข็งแกร่งที่มาสนับสนุน!
ยามพวกเขาก้าวเข้ามาในหุบเขาพยัคฆ์ก็เห็นว่าบนพื้นทั่วทุกที่ล้วนเกลื่อนกลาด เต็มไปด้วยซากศพและแอ่งโลหิต ภาพอันน่าอเนจอนาถนั้นกระตุ้นจนพวกเขาต่างบันดาลโทสะก่นด่าสาบแช่งไม่หยุด
เพียงแต่พวกเขาไม่สังเกตสักนิด ว่าขณะที่พวกเขาเข้าสู่หุบเขาพยัคฆ์ มีเงาร่างประหนึ่งว่างเปล่าเงาหนึ่งวูบไหวแผ่วเบา ออกไปจากค่ายกลรอยวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน มุ่งไปนอกหุบเขาพยัคฆ์
เงาร่างนั้นคือหลินสวิน
‘อันตรายนัก! อีกนิดเดียวคงถูกขังอยู่ด้านในแล้ว’ หลินสวินลอบเป่าปากโล่งอก
ทว่าไม่ทันที่เขาจะหนีไปสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด เงาร่างพลันวูบไหวซุกซ่อนในเงามืดใต้เนินเขาเตี้ยลูกหนึ่งในละแวกใกล้เคียง โคจร ‘ไอซวนหนี’ เต็มกำลัง กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายรวมถึงห่อสัมภาระต่างถูกปิดกั้นในพริบตา เสมือนอยู่ดีๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สวบ!
เกือบจะเวลาเดียวกัน เงามืดหนึ่งวาบปรากฏ ร่างชราผอมบางผิวดำเสมือนภูตผีคนหนึ่งปรากฏตัวยังตำแหน่งที่หลินสวินเคยอยู่
‘เป็นเขา!’
นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด เขาจำฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้
เมื่อวานยามมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด เขาเคยเกือบสังหาร ‘ชายเงาสีเทา’ ราชนิกุลคนเถื่อนมืดคนหนึ่ง แต่ในตอนท้ายกลับถูกพลังน่าหวาดกลัวสายหนึ่งมาขัดขวาง
และบัดนี้ หลินสวินสัมผัสได้ถึงพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้อีกครั้งจากร่างชายชราที่มาเยือนกะทันหันคนนี้!
‘ผู้อยู่ในระดับกึ่งราชันคนหนึ่ง… ดูท่าเผ่าพ่อมดเถื่อนคงเอาจริงแล้ว น่าเสียดาย พวกเขาทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจหมายชิงศรนภาคราม ซึ่งบัดนี้ได้ตกอยู่ในมือข้าแล้ว…’
หลินสวินพยายามทำตนเองให้นิ่งสงบ เขารู้ว่าวิกฤติยังไม่คลี่คลาย
“หืม?”
ชายชราร่างผอมยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม คล้ายกังขาอยู่บ้าง สายตากวาดมองโดยรอบครู่หนึ่ง เขาราวสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ทว่าท้ายที่สุดเขาพลันส่ายหัว มุ่งตรงเข้าสู่หุบเขาพยัคฆ์
…………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น