Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 698-701

 ตอนที่ 698 การตื่นขึ้นของไร้แก่นสาร

โดย

ProjectZyphon

ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน!


ค่ายกลใหญ่ที่ปรมาจารย์รอยสัญลักษณ์สายคนเถื่อนโบราณหลอมขึ้นเองกระบวนหนึ่ง รวบรวมพลังรอยสัญลักษณ์สามสิบหกรอยซึ่งเป็นวิชาตกทอดโบราณของเผ่าพ่อมดเถื่อน ใช้เลือดพิสุทธิ์ของเทพเถื่อนเป็นแหล่งพลังงาน เมื่อวางค่ายกลแล้ว ก็สามารถผนึกฟ้าดิน ตัดขาดกับสรรพสิ่งภายนอกได้


นี่เป็นค่ายกลต้องห้ามที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดกระบวนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


ครั้งนี้หากไม่ใช่เพื่อขุดเอาสมบัติลี้ลับชิ้นหนึ่งที่นานๆ ทีจะปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเหมืองแร่หุบเขาพยัคฆ์ พวกจวี้สวินก็จะไม่วางค่ายกลนี้ง่ายๆ


“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราให้โอกาสพวกเขาหนีแล้ว แต่หากพวกเขาติดอยู่ในค่ายกล… เหอะๆ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงโทษว่าโชคของพวกเขาไม่ดีเอง”


จวี้สวินเอ่ยปากอย่างเย็นชา


ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นก็เผยยิ้มบางๆ พวกเขาหวาดกลัวธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่อยู่ในมือหลินสวินอย่างหาใดเทียบ หากกักขังพวกหลินสวินให้ตายโดยไม่ลงมือได้ พวกเขาย่อมยินดีถึงที่สุด


“คันธนูนั้น…” มีคนถาม


ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นล้วนสายตาวาวโรจน์ สุดท้ายจวี้สวินก็ยื่นคำขาดว่า “ใครชิงไปได้ก็ตกเป็นของผู้นั้น!”


ประโยคเดียวทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเหล่านี้ต่างยิ่งอดรนทนไม่ไหวแล้ว


เพียงแต่ภาพที่พวกเขาคาดคิดไว้ไม่ได้ปรากฏขึ้น


ตู้ม!


ก็เห็นว่าพวกหลินสวินมาถึงหน้าค่ายกลใหญ่ที่ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนที่พวกเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งนั้น ถึงกับถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือเดียวตบให้เป็นโพรงมหึมาโพรงหนึ่งราวเศษกระดาษ พร้อมกับเสียงโครมครามสั่นสะเทือนจนหูแทบดับระลอกหนึ่ง!


พวกจวี้สวินตกใจจนลูกตาแทบถลนออกมา ริมฝีปากล้วนเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง แทบกัดลิ้นของตน


“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” บางคนคำรามเดือดดาล


“นี่เป็นถึงค่ายกลใหญ่ที่ปรมาจารย์รอยสัญลักษณ์สายคนเถื่อนโบราณวางขึ้นเองกับมือ ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับราชันเถื่อนยังทลายได้ยาก ขะ เขาๆ… เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งอย่างเขา เหตุใดถึงทำได้ขนาดนี้”


ทุกคนตื่นตะลึงอ้าปากค้าง แทบจะคิดว่าตาฝาดแล้ว


ยอดฝีมือพ่อมดเถื่อนที่อยู่ใกล้กันนั้นก็ล้วนสับสนงงงวยอยู่เช่นนั้น นั่นเป็นถึงค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนเชียวนะ เหตุใดถึงถูกฝ่ามือเดียวตบจนเป็นรูได้


“ทุกท่าน แล้วพบกันอีกวันหน้า!”


ที่ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ หลินสวินผินหน้ามายิ้มบางๆ และประสานมือคารวะ จากนั้นก็นวยนาดจากไปพร้อมคนอื่นๆ


ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนอะไรกัน แม้รูปแบบพลังจะต่างกับศาสตร์สลักรอยวิญญาณมาก แต่ปริศนาของแก่นแห่งการวางรอยสัญลักษณ์กลับเชื่อมถึงกัน ในสายตาของปฐมาจารย์สลักวิญญาณเช่นหลินสวิน ค่ายกลวิญญาณนี้ช่างมีช่องโหว่มากมาย สามารถทำลายได้โดยง่าย


“น่าชังนัก!”


พวกจวี้สวินโมโหจนเส้นเลือดปูดโปน กระโดดเหยงราวถูกสายฟ้าฟาด ความไม่ยินยอมแรงกล้าบังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้พวกเขาแทบอยากตามไปฉีกทึ้งหลินสวินทั้งเป็น


เห็นศัตรูจากไปอย่างผ่าเผยกับตา ความรู้สึกเช่นนั้นช่าง…ทรมานนัก!


…….


จนกระทั่งออกจากหุบเขาพยัคฆ์ พวกหูทงยังคงรู้สึกเหม่อลอยตัดขาดจากโลก ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือจริง ไม่สงบใจยิ่ง


ส่วนสายตาที่พวกเขามองหลินสวินกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่มีความชิงชังดูถูกอย่างแต่ก่อน แต่มีความประหลาดใจและหวั่นเกรงเพิ่มขึ้นมา


พวกเขาย่อมไม่อาจคาดคิดได้ว่า คุณชายที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง เหตุใดในชั่วพริบตาเดียวจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนได้


เมื่อนึกถึงท่วงท่าองอาจเหนือโลกา ที่หลินสวินอาศัยเพียงธนูคันเดียวก็สร้างความพรั่นพรึงให้กับทั้งหุบเขาได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาก็จิตใจสั่นระริก เหม่อลอยไม่ว่างเว้น


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความรับรู้ที่พวกเขามีต่อหลินสวินก่อนหน้านี้ล้วนผิดหมด เจ้าหมอนี่ต่อให้เป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง ก็เป็นลูกผู้ดีที่ครอบครองพลังต่อสู้เย้ยฟ้า ผิดธรรมดาหาใครเปรียบ!


“เจ้า…”


อาปี้ต้องการจะพูดแต่ก็หยุดปากหลายรอบ ในที่สุดเมื่อรวบรวมความกล้ามากพอจะเอ่ยปาก กลับเห็นว่าไม่เหมาะสม แล้วพลันเงียบลง


เห็นได้ชัดว่านางเรียกหลินสวินว่า ‘เจ้าหน้ามน’ อย่างหยอกเย้าเหมือนแต่ก่อนได้ยากแล้ว


หลินสวินยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรอีก


เวลานี้เขาไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนยามเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่หุบเขาพยัคฆ์ กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าออกจะกังวลใจ นำทุกคนวิ่งทะยานออกไปไม่ได้หยุดพักตลอดทาง


“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าพวกนั้นต้องไม่ยอมรามือแน่ ใช้เวลาไม่นานเกรงว่าจะตามมาไล่ฆ่า” หลินสวินเอ่ยปากในทันใด


พวกหูทงอึ้งไป ทันใดนั้นทั้งร่างก็หวาดหวั่น สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน


“ไม่ผิด พวกเขาเสียหายขนาดนี้ มีหรือจะกล้ำกลืนความโกรธลงได้ อีกทั้งที่พวกเขารวมตัวในหุบเขาพยัคฆ์ ก็เพื่อขุดเอาสมบัติบางอย่างภายในนั้น ย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกเราแพร่งพรายข่าวออกไป”


หูทงสูดหายใจลึก วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น “หากข้าคาดไม่ผิด ในเมื่อพวกเขารวมตัวอยู่ที่หุบเขาพยัคฆ์โดยมีกำลังพลพร้อมสรรพแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว เบื้องหลังพวกเขาต้องมีกำลังกองหนุนอยู่แน่! เพื่อฆ่าปิดปาก พวกเขาต้องเรียกรวมไพร่พลมาตามฆ่าพวกเรา”


หูทงเป็นคนที่กรำศึกในสมรภูมิกระหายเลือดนานปี ประสบการณ์มากมายเป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อาจเทียบได้ จากการวิเคราะห์ครั้งนี้ของเขา ก็ดูออกถึงความคิดสุขุมรอบคอบของเจ้าตัวได้


คนอื่นๆ ก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี


ที่นี่อยู่ห่างไกลจากค่ายนัก ไม่อาจกลับไปได้ในเวลาอันสั้น หากถูกผู้แข็งแกร่งอย่างสวะพ่อมดเถื่อนตามฆ่า เช่นนั้นผลลัพธ์ก็รุนแรงเกินไป


หูทงนิ่วหน้าทอดถอนใจ “ปัญหาใหญ่เกินไป หุบเขาพยัคฆ์รัศมีราวพันลี้ ไม่มีที่ที่อย่างปลอดภัยเลยสักที่ นอกจากพวกเราจะสามารถพุ่งออกจากอาณาเขตนี้ในเวลาสั้นๆ หาไม่แล้ว…”


ยังไม่ทันพูดจบ แต่ความนัยนั้นเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว


ทันใดนั้นจิตใจที่ยินดีปรีดาอยู่แต่เดิมของทุกคนก็เจื่อนลงอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอีกครั้ง


“ทำอย่างไรดี”


พวกเขาจิตใจสับสนยุ่งเหยิง


แม้กล่าวว่ากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราผ่านศึกนองเลือดมากมายในสมรภูมิกระหายเลือด แต่นั่นก็เป็นศึกขนาดเล็ก ไม่อาจเทียบได้กับการประจันหน้าที่อันตรายตรงหน้าครั้งนี้


กระทั่งว่า พวกเขาถึงขั้นสงสัยว่ามีเพียงการเคลื่อนกองทัพผู้ฝึกปราณทางการของจักรวรรดิมา จึงอาจจะต้านทานสวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ


“พวกเจ้าไปก่อน ข้าไปถ่วงพวกมันไว้”


หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยปากในทันใด ประโยคเดียวก็ทำให้ทุกคนพากันตกใจ


“ไม่ได้! ต้องไปด้วยกัน!”


หูทงพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล ระหว่างทางก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนทำเรื่องที่น่าละอายต่ออีกฝ่ายมากมาย แต่ตอนนี้ที่พวกเขาเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ ก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มลุกขึ้นมาต่อสู้ในคราววิกฤติเพียงคนเดียว


ในเวลาเช่นนี้ เขาจะให้เด็กหนุ่มเอาชีวิตเข้าแลกอยู่คนเดียวได้อย่างไร


“ใช่แล้ว แม้พลังของพวกเราจะไม่เท่าเจ้า แต่เมื่อต่อสู้ขึ้นมา พวกเราไม่เคยหวั่น!” คนอื่นๆ พากันเอ่ยปาก


ผลการต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้ได้มาซึ่งความเคารพจากพวกเขา อีกทั้งด้วยความรู้สึกละอายใจ พวกเขาย่อมไม่อาจยอมให้เด็กหนุ่มไปเสี่ยงภัยคนเดียว


มีเพียงหลิ่วเหวินที่นิ่งเงียบชัดแจ้ง หรือควรพูดว่า ตั้งแต่ออกมาจากหุบเขาพยัคฆ์ เขาก็นิ่งเงียบมาตลอดทาง


สาเหตุก็ง่ายดายนัก พลังต่อสู้สะท้านฟ้าที่หลินสวินแสดงออกมากระทบกระเทือนจิตใจเขามากไป ทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้จนถึงตอนนี้


สายตาหลินสวินกวาดมองใบหน้าของทุกคนทีละคน ในใจยินดียิ่งนักที่สามารถทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อตน ไม่เสียแรงที่ตนช่วยพวกเขาครั้งหนึ่ง


เพียงแต่…


เรื่องนี้เขาตัดสินใจไว้นานแล้ว จะไม่เปลี่ยนความคิดอีก


“ก็เอาตามนี้แหละ ข้าเคลื่อนไหวคนเดียวกลับจะอิสระขึ้นมาหน่อย ที่พวกเจ้าต้องทำก็คือรีบเร่งทำเวลากลับไปยังค่ายให้เร็วที่สุด”


หลินสวินสูดหายใจลึก วาจาเต็มไปด้วยนัยไม่ยอมให้บอกปัดได้ ไม่ว่าหูทงจะปรามอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้


ในที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับ


“จริงด้วย กลับไปแจ้งใต้เท้าหลูว่ารอข้าได้เหรียญกล้าหาญมากพอ จะกลับไปพบเขาที่ค่ายเอง”


หลินสวินเอ่ยกำชับ ก่อนที่เงาร่างจะหายวับออกไปอย่างรวดเร็ว จากไปอย่างปราดเปรียวว่องไวไม่ร่ำไรเลยสักนิด


……


“พวกเราติดหนี้ชีวิตคุณชายหลินครั้งหนึ่ง!”


หูทงมองหลินสวินจากไป สูดหายใจลึกแล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า “บุญคุณนี้ควรค่าให้พวกเราทดแทนด้วยชีวิต”


คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม พวกเขารู้ว่าถ้าวันนี้ไม่มีหลินสวิน พวกเขากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราก็คงสูญสิ้นไปแล้ว


มีแต่หลิ่วเหวินที่เห็นต่าง ตลอดทางเขานิ่งเงียบมานานเกินไปแล้ว เวลานี้ยามมองหลินสวินจากไป ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “ติดหนี้ชีวิตเขาครั้งหนึ่งหรือ ข้าไม่ได้ขอให้เขาช่วยข้าสักหน่อย!”


ชั่วพริบตาบรรยากาศกลายเป็นเงียบงันอยู่บ้าง หูทงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาอึมครึมถึงที่สุด ดวงตาแผ่รังสียะเยือกเย็นออกมา จ้องไปที่หลิ่วเหวิน “เจ้ายังไม่ยอมอีกหรือ”


หลิ่วเหวินคอตั้งบ่าเอ่ยว่า “ข้ายอมรับว่าเขาเก่งกาจจริง แต่จะให้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาด้วยเรื่องเหล่านี้ ไม่มีทางหรอก!”


หากยังเก็บคนที่ไม่รู้บุญคุณ ไม่รู้ดีชั่ว ทั้งอคติและใจแคบเช่นนี้ไว้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นภัยแน่!


“หลิ่วเหวิน ขอโทษหัวหน้าเร็วเข้า คำพูดเมื่อกี้ของเจ้าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ครั้งนี้ถ้าไม่ได้คุณชายหลิน พวกเราจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้หรือ”


หยางสยงก้าวขึ้นมาเกลี้ยกล่อม “อีกทั้งตอนนี้คุณชายหลินก็กำลังช่วยพวกเราช่วงชิงโอกาสหลบหนี นี่เป็นบุญคุณใหญ่เท่าฟ้าเชียวนะ จะทำเป็นไม่เห็นได้อย่างไร”


“จะขอโทษทำบ้าอะไร! ข้าหลิ่วเหวินคร้านจะไปประจบไอ้คุณชายหลินอะไรนั่น!” หลิ่วเหวินส่งเสียงหึหยัน


“เจ้า…”


หยางสยงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง สมาชิกคนอื่นๆ ก็ต่างนิ่วหน้า คิดว่าท่าทีของหลิ่วเหวินออกจะไม่เหมาะและไม่รู้ดีชั่ว


“เฮอะ ตอนนี้ท่าทางหยิ่งผยองจองหองเสียจริง ตอนเผชิญหน้ากับการข่มขู่ของเสอเจิ้นคนนั้นอยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ ใครกันที่ตกใจจนหน้าถอดสี แทบจะออกตัวคุกเข่าอยู่แทบเท้าเสอเจิ้นเสียเอง”


ทันใดนั้นอาปี้ร้องเฮอะเย็นชา ตอนนั้นนางเกือบถูกเสอเจิ้นฆ่าตาย และก็ในพริบตานั้นที่นางเห็นว่าหลิ่วเหวินหน้าถอดสี ท่าทางน่าเกลียดเหมือนจะคุกเข่าขอชีวิต


เดิมทีนางยังอดทนไว้ ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องน่าเกลียดพรรค์นี้ แต่การแสดงออกของหลิ่วเหวินช่างเลวร้ายและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำให้นางระเบิดแล้ว


ประโยคเดียวทำให้พวกหูทงหน้าเปลี่ยนสี สายตาที่มองไปยังหลิ่วเหวินไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่างเจือความเคลือบแคลง


คุกเข่ายอมแพ้ให้เสอเจิ้นหรือ


นี่เท่ากับทรยศจักรวรรดิ ก้มหัวให้กับสวะต่างเผ่าเชียวนะ!


“หยุดพูดจาเหลวไหล! เจ้า… ใส่ร้ายป้ายสี!” หลิ่วเหวินโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า ตะคอกกัดฟันกรอด


“พอแล้ว! ก่อนกลับไปที่ค่าย เรื่องพวกนี้อย่าได้ยกขึ้นมาอีก!” หูทงตวาด สีหน้าเขียวคล้ำ ทำให้ทุกคนหวาดหวั่นในทันใด


…..


ขณะเดียวกันเงาร่างหลินสวินหายตัวไหววูบ เดินหน้าไปไม่นานเขาก็กวาดสายตาไปรอบทิศ สุดท้ายถึงหยุดลงที่ทิวเขารกร้างแห้งแล้งแห่งหนึ่ง


ยามเพิ่งยืนได้มั่นคง สีหน้าเขาก็ซีดเผือดขึ้นมา หว่างคิ้วปรากฏความอ่อนแอที่ยากสังเกต


“เสี่ยงนัก ครั้งนี้เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง…”


พอหลินสวินได้หย่อนก้นลงไปกับพื้น มือทั้งสองก็ถือผลึกวิญญาณชั้นสูงไว้ข้างละก้อน สูดลมหายใจลึก เริ่มหลอมเต็มกำลัง


ที่หุบเขาพยัคฆ์ก่อนหน้านี้ อย่ามองว่าเขามีอานุภาพเกรียงไกร อาศัยธนูคันเดียวก็ทำให้ทั้งหุบเขาหวาดกลัว ทว่ามีเพียงตัวเขาเองที่รู้ดีว่าทุกครั้งที่ยิงธนูออกไป ผลาญพลังของตนจนน่าตกใจขนาดไหน


หาไม่แล้วคงไม่อาจเกิดพลานุภาพที่น่ากริ่งเกรงเช่นนั้นได้!


ถึงขั้นที่ว่าหากตอนนั้นพวกจวี้สวินดื้อดึงกว่านั้นอีกหน่อย อย่างมากที่สุดเขาก็ยิงธนูได้อีกสองดอก ก็จะหมดแรงโดยสิ้นเชิง


แต่ว่า อาศัยอานุภาพของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร กอปรกับพลังต่อสู้ของหลินสวินในตอนนี้ แม้จะใช้พลังถึงขีดสุด ก็ไม่น่าจะสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทที่กรำศึกมามากคนหนึ่งได้ด้วยธนูดอกเดียว


ทั้งหมดนี้ต้องมีสาเหตุ!


‘ตอนนั้นภายในคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารมีการตื่นขึ้นและมีเสียงสะท้อนบางอย่าง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดและพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน พลานุภาพแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก…’


‘หรือว่าจะเกี่ยวกับสมบัติลี้ลับที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ชิ้นนั้น’


หลินสวินรีบเสริมพลังกายไปพลาง จมอยู่ในภวังค์ความคิดไปพลาง


ตอนที่ 699 ก่อคลื่นลมรุนแรง

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินย้อนนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นโดยละเอียด


ตอนนั้นยามเขาดึงสายธนูของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุด รู้สึกได้อย่างฉับไวถึงพลังที่ต่างจากเมื่อก่อน


คันธนูใหญ่ทั้งคันส่งเสียงประหลาดดั่งเทพมารคำรามเดือดดาล สายฟ้าวายุสะเทือนเลือนลั่น สั่นสะท้านไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน


นอกจากนี้ รอบตัวคันธนูที่หลอมขึ้นจากกระดูกขาวก็ปรากฏภาพยิ่งใหญ่น่าหวาดหวั่น ที่ดวงอาทิตย์ลับฟ้าคราม กาทองเลือดสาดกระเซ็นบนทะเลสีหยก


ไม่ใช่!


คิดถึงตรงนี้ หลินสวินสังเกตได้ในทันใดว่าตนละเลยรายละเอียดไปอย่างหนึ่ง


นั่นก็คือขณะที่ตนง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนตึง มีเงามายาสูงใหญ่และโอหังเงาหนึ่งง้างคันธนูยิงศรออกไปเหมือนกับตน ราวกับเทพธนูบรรพกาลปรากฏตัว!


‘ตอนนั้น… เหมือนมีเสียงก้องประหลาดเสียงหนึ่งมาๆ หายๆ ดูเหมือนไม่มีอยู่ แต่หากรับรู้โดยละเอียดแล้ว กลับคล้ายดังออกมาจากภายในถ้ำเหมืองที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์นั้น…’


ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดแววเฉียบคม


‘ดูท่าจะเป็นดังคาด สมบัติที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ที่โผล่ขึ้นมาในหุบเขาพยัคฆ์นั้น ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกับธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็ต้องมีพลังอัศจรรย์บางอย่าง ถึงได้ทำให้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเปลี่ยนแปลงไป…’


ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาตัดสินใจจะระวังหลังอยู่คนเดียว ไปถ่วงรั้งกำลังพลที่อาจตามมาสังหารของเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้น จริงอยู่ว่ามีความคิดจะช่วยพวกหูทงคลี่คลายเคราะห์ภัย


แต่สาเหตุที่สำคัญกว่าก็คือ เขาต้องการจะกลับไปดูที่หุบเขาพยัคฆ์อีกครั้ง!


และทั้งหมดนี้ ก็เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงอันลึกลับของธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างแยกไม่ออก


‘ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ เพียงแค่สามารถดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทมากมายขนาดนั้นมารวมตัวกันได้ สมบัติที่ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์นั่นต้องไม่ธรรมดาแน่!’


เวลานี้หลินสวินถึงรับรู้ได้ว่า ในสมรภูมิกระหายเลือดที่โหดเหี้ยมและเหือดแห้งนี้ ยังเก็บซ่อนความลับที่ไม่อาจคาดเดาได้อยู่มากมาย


ก็เหมือนหุบเขาพยัคฆ์นั้น ใครจะจินตนาการได้ว่า ที่นั่นนอกจากอุดมไปด้วยสินแร่หายากอย่างเหล็กดาราจรัสสลายแล้ว ยังมีสมบัติที่ไม่อาจล่วงรู้และลึกลับบางอย่างถือกำเนิดอีกด้วย


‘ดินแดนแห่งนี้พลังวิญญาณแห้งแล้ง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ภายใต้เปลือกนอกที่เลวร้ายราวดินแดนที่ถูกปล่อยร้างเช่นนี้ จะยังแอบซ่อนความลับที่ไม่อาจรับรู้ไว้มากมายหรือไม่’


…….


ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา


สวบ!


บนพื้นดินไกลออกไปมีเงาดำเงาหนึ่งเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วถึงที่สุด ประหนึ่งแสงทองแสบตาสายหนึ่งวูบไหวกลางห้วงอากาศ


“หืม”


ไกลออกไปราวพันจั้ง เงาร่างนี้ก็หยุดเท้าลงทันใด ด้วยสังเกตเห็นหลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิบนยอดเขาสูงร้างแห่งหนึ่งไกลออกไป


ที่จริงก็พบได้โดยง่าย เพราะเขาไม่ได้ซ่อนตัวเลย


“นี่เจ้า… ไม่ได้หนีหรือ”


เงาร่างนั้นประหลาดใจ ทั้งร่างเขามีสีทองเจิดจ้า ขนาดเส้นผมยังมีลักษณะดั่งทอง ผิวพรรณดุจหล่อด้วยทองคำ มีท่าทางน่ากลัวดุดันฉกาจฉกรรจ์


คนผู้นี้ก็คือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทผู้หนึ่งที่เคยล้อมหลินสวินในหุบเขาพยัคฆ์ มาจากสายคนเถื่อนทองคำ มีนามว่าจินอู้


“รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกเจ้าไม่ยอม เลยมารอที่นี่”


หลินสวินลุกขึ้น สีหน้าเหนื่อยอ่อนเลือนหายไปนานแล้ว ถูกเติมเต็มด้วยท่าทางโอหังและเยียบเย็น


เขาเอามือไพล่หลังยืนตระหง่านบนยอดเขาสูง อาภรณ์ปลิวไสว ดวงตามองหยันลงมาดุจสายฟ้าแปลบปลาบ ท่วงท่าเลิศล้ำเหนือโลกา


“งั้นหรือ แต่ทำไมข้ารู้สึกว่า เจ้ายืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงได้จำเป็นต้องหยุด” จินอู้หนังตากระตุก ใบหน้าเผยให้เห็นความสงสัย สายตาเขากวาดไปโดยรอบเหมือนต้องการมองบางอย่าง


หลินสวินแสยะยิ้ม “วางใจเถอะ พื้นที่รัศมีร้อยลี้นี้มีแต่ข้าเพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้น จะต่อกรกับเดรัจฉานเฒ่าแบบเจ้า ยังต้องหาผู้ช่วยอีกหรือ”


เดรัจฉานเฒ่า!


เมื่อได้ยินคำเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังนี้ จินอู้สีหน้าถมึงทึงโดยพลัน โกรธจนตาถลน เจ้าสวะตัวจ้อยนี่คิดว่าตัวมีที่พึ่งเลยไม่หวั่นเกรงเสียจริงนะ!


ทว่าเมื่อนึกถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ที่หลินสวินสำแดงในหุบเขาพยัคฆ์ จิตใจเขาก็สั่นระรัวอีกระลอก หวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงที่สุด


“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้าบ้าระห่ำเกินไปแล้ว อย่านึกว่าครอบครองธนูที่ทรงพลังคันหนึ่งก็จะไม่เห็นผู้ใดในสายตาได้ ข้ากล้าบอกเจ้าเลยว่า ในตอนนี้ยอดฝีมือมากมายจากเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้าได้ยินข่าวกันหมดแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่พรรคพวกเหล่านั้นของเจ้า วันนี้ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีก!”


จินอู้สีหน้าอึมครึม น้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวหาใดเทียบ “แน่นอนว่าหากเจ้าฉลาดอยู่บ้าง ข้าอาจจะชี้ทางรอดให้เจ้าได้ ก็ดูว่าเจ้าจะร่วมมือหรือไม่แล้ว”


“อ้อ” หลินสวินเลิกคิ้ว “ร่วมมืออย่างไร”


“ง่ายมาก ส่งธนูในมือเจ้าคันนั้นมาให้ข้า ข้าก็จะหันกายจากไปทันที ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้า” จินอู้เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ปกปิดความละโมบของตนที่อยากได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเลยสักนิด


“เหอะๆ” หลินสวินหัวเราะ


“เจ้าหัวเราะอะไร ความตายมาเยือนแล้ว ให้โอกาสเจ้าครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ายังรู้สึกว่าน่าขันมากหรือ”


จินอู้สีหน้ายิ่งอึมครึมอย่างยิ่งยวด ตะคอกเสียงดุดันว่า “ถ้าเจ้าไม่รับปากก็ย่อมได้ แต่ว่า วันนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีกแล้ว!”


กึด!


หลินสวินง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารทันควัน ดึงสายธนูจนตึง เล็งเป้าไปทางจินอู้จากจุดที่อยู่สูงกว่า “เดรัจฉานเฒ่าตัวหนึ่งอย่างเจ้ายังกล้ามาข่มขู่ข้าหรือ”


ในชั่วเสี้ยวพริบตา จินอู้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่สนใจจะมาถือสาหาความคำด่าทอเหยียดหยามของหลินสวิน ตกใจจนเงาร่างหายวับแล้วถอยหลังหนีออกไปไกล


คันธนูนี้น่ากลัวเกินไป เคยทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนอย่างเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิงบาดเจ็บสาหัส ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารียังถูกฆ่าในทันใด


ในสถานการณ์เช่นนี้ จินอู้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ก่อนแล้ว ไม่กล้ารับประกันได้ว่าตนจะตั้งรับลูกธนูของหลินสวินได้ ดังนั้นเขาจึงถอยอย่างไม่ลังเลสักนิด


“เหอะๆ”


หลินสวินหัวเราะเหยียดหยามอีกครั้ง ฟังดูระคายหูนัก ทำให้จินอู้โกรธจนหน้าเขียว แทบอยากจะเอาหลินสวินมาเถือหนังทั้งเป็น


น่าโมโหเกินไปแล้ว!


เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น กลับอาศัยธนูคันหนึ่งแสดงแสนยานุภาพต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทอย่างเขา ลบหลู่เกียรติของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างน่าป่นกระดูกให้เป็นผุยผงเสียจริง!


“ไอ้สวะตัวจ้อย เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”


จินอู้ส่งเสียงคำรามเดือดดาลอย่างอัดอั้นและไม่พอใจ ถึงกับเบนหน้าหนีกลับไปทางเดิม จนพาให้หลินสวินงงงวย ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี


‘ดูท่า ตาแก่พวกนี้คงตกใจจนขวัญหายกันหมด นี่ถือเป็นเรื่องดี…’


หลินสวินหยิบคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารขึ้นมาชม มุมปากระบายรอยยิ้มสนอกสนใจ


ที่จริงแล้วแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะใช้คันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็ไม่อาจสำแดงอานุภาพอย่างตอนที่อยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ได้


สาเหตุก็ง่ายดาย เพราะขาดพลังการตื่นขึ้นและเสียงกึกก้องนั้น!


และความจริงข้อนี้ ก็ทำให้หลินสวินยิ่งมั่นใจในความคิดที่จะกลับไปยังหุบเขาพยัคฆ์อีกครั้ง


สวบ!


เงาร่างหลินสวินหายวับ ตามจินอู้ซึ่งถอยหนีไป เขาไม่รีบไม่ร้อน ราวกับพรานมากประสบการณ์ผู้หนึ่ง


ความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดจะฆ่าจินอู้ในทันที แต่ต้องการถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูพลังกายของตน


ในมือของเขายังคงถือผลึกวิญญาณชั้นสูงไว้แน่น เร่งตามไปพลางดูดกลืนพลังออกมา แม้หลอมไม่ได้โดยสมบูรณ์ แต่ใช้เติมพลังกายก็เพียงพอแล้ว


‘ยังเหลือผลึกวิญญาณชั้นสูงอีกสามพันเก้าร้อยก้อน พอให้ยืนหยัดในการต่อสู้ประจันหน้าครั้งหนึ่ง…’


หลินสวินคำนวณอย่างเงียบๆ


ยามเขามายังสมรภูมิกระหายเลือดครั้งนี้ ได้นำผลึกวิญญาณชั้นสูงมาจำนวนมาก อีกทั้งตอนที่ออกมาจากค่ายเมื่อเช้านี้ ก็ใช้แต้มกล้าหาญในมือแลกเอาผลึกวิญญาณชั้นสูงกับหลูเหวินถิง


ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ต้องกังวลเรื่องผลึกวิญญาณไม่พอใช้


“เจ้ายังกล้าตามมาหรือนี่!”


ไกลออกไปสุดสายตา จินอู้หันหน้ามาก็พบว่าหลินสวินตามมาอยู่ด้านหลังไกลๆ พลันตกใจจนขนหัวลุก แทบทำใจเชื่อไม่ได้


“แล้วทำไมข้าจะไม่กล้าตามมาเล่า”


หลินสวินยิ้มแฉ่ง ทั้งกำเริบและหยอกเย้า


“เจ้านี่รนหาที่ตาย…!”


จินอู้โมโหจนปอดแทบระเบิดแล้ว เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท ในสายคนเถื่อนทองคำก็เป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง กรำศึกในสมรภูมิกระหายเลือดมานานปี สังหารผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมาไม่รู้เท่าไร มีชื่อเป็นผู้โหดเหี้ยมเกรียงไกรมานานแล้ว


แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งตามมาประหนึ่งหมาไล่กวด หากถูกคนอื่นเห็นเข้า เช่นนั้นก็น่าขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!


หากไม่กลัวธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่อยู่ในมือหลินสวิน เขาก็คงกลับไปสังหารครั้งใหญ่อย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้ว


“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าก็มาหาที่ตายจริงๆ นั่นล่ะ แต่เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่หนีเล่า แน่จริงเจ้ายืนรอรับลูกธนูของข้าดูสิ”


หลินสวินตะคอก ความจริงเขาเกือบหลุดหัวเราะ จินอู้ผู้นี้ขี้ขลาดไปแล้ว ขนาดความกล้าจะต่อกรกับตนยังไม่มี


ต่อให้เขาหยั่งเชิงดู ก็จะพบว่าคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารไม่ได้มีความน่าพรั่นพรึงถึงแก่ชีวิตนานแล้ว


แต่ว่า นี่ก็ตรงกับที่หลินสวินคาดไว้พอดี


“เจ้าสวะตัวจ้อย แน่จริงเจ้าอย่าใช้คันธนูนั่นสิ!”


เห็นได้ชัดว่าจินอู้โมโหจนแทบคลั่งแล้ว คนใหญ่คนโตอย่างเขากลับเอ่ยวาจาเด็กน้อยเช่นนี้ออกมา ดูออกจะน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย


“เจ้าเดรัจฉานเฒ่า แน่จริงเจ้าก็ยืนนิ่งๆ สิ!”


หลินสวินตะโกน


“แน่จริงเจ้าอย่าใช้คันธนูนั่นสิ!”


“แน่จริงเจ้าก็ยืนนิ่งๆ สิ!”


ดังนั้นการวิ่งไล่จับในเวลาต่อมา ชายชราคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงตะคอกและข่มขู่กันเอง ทั้งที่เป็นการตามสังหารที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายครั้งหนึ่ง สภาพการณ์กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน


หากถูกคนอื่นเห็นเข้าคงต้องมองด้วยความงวยงง ทอดถอนใจครั้งหนึ่งว่าบุคคลร้ายกาจในตอนนี้ แต่ละคนกลับเล่นสนุกยิ่งกว่าอีกคน…


ไม่นานนักขนาดตัวจินอู้เองยังสังเกตได้ว่าไม่ชอบมาพากล ใบหน้าชราของเขาอัดอั้นจนคล้ำเขียว อับอายจนอยากตาย ตัวมีฐานะชั้นไหน กลับมาด่าทอกับเจ้าสวะตัวจ้อยเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง นี่หากแพร่งพรายออกไปตนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


จินอู้แทบอยากจะหยิกปากตัวเอง ตนเป็นอะไรไป วันนี้ถึงเก็บกลั้นอารมณ์โมโหไม่อยู่ ถึงได้ถูกเจ้าสวะตัวจ้อยผู้หนึ่งยั่วโมโหจนจิตใจยุ่งเหยิง


และในตอนนี้เอง ที่ไกลออกไปจู่ๆ ก็มีเสียงเข้มหนักเสียงหนึ่งดังขึ้น “จินอู้ เหตุใดเจ้าถึงกลับมาอีกเล่า หน้าตาก็น่าเกลียดเช่นนี้ด้วย”


เมื่อจินอู้เงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างล่ำสูงใหญ่กำยำ ผิวหนังทั้งกายราวสร้างขึ้นจากหินผาผู้หนึ่ง กำลังยืนมองตนอย่างประหลาดใจอยู่ไกลออกไป


เฟิงคุน ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนพสุธา!


จินอู้ยินดีปรีดาขึ้นทันตา เฟิงคุน บุคคลร้ายกาจที่มีฉายาว่า ‘นักเชือดย้ายขุนเขา’ คนนี้ น่ากลัวกว่าเสอเจิ้นเคียวโลหิตฟ้าคำรามถึงสามส่วน!


“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้าม่องเท่งแน่แล้ว! ในใต้หล้านี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว! ฮ่าๆๆๆ….”


ฉับพลันนั้นจินอู้ห้ามไม่ให้หัวเราะร่าไม่ได้ ความอัดอั้นและโกรธแค้นที่สะสมไว้ในใจตลอดทางได้รับการปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้นในขณะนี้


เพียงแต่ยามเขาหันหน้ากลับมา รอยยิ้มกลับพลันแข็งทื่อ เสียงหัวเราะก็หยุดลงทันใด “เดี๋ยวนะ… เจ้าสวะตัวจ้อยนั่นล่ะ หายไปตั้งแต่เมื่อไร”


ขณะเดียวกันเฟิงคุนซึ่งเงาร่างสูงใหญ่น่ากลัวราวบรรพตเผยสีหน้าประหลาด อดถามไม่ได้ว่า “จินอู้ เหตุใดเจ้าไม่หัวเราะแล้ว”


มุมปากจินอู้กระตุกอย่างแรง ใบหน้าคล้ำเขียว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนเหมือนไส้เดือน หัวเราะหรือ ข้าหัวเราะกับผีน่ะสิ!


ตอนที่ 700 หวนคืนสู่หุบเขาพยัคฆ์

โดย

ProjectZyphon

จินอู้อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด


ถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งตามฆ่าตลอดทางก็น่าขายหน้ามากพอแล้ว ตอนนี้เขายังปล่อยไก่ต่อหน้าเฟิงคุนอีก เขาไม่รู้จะเอาหน้าแก่ๆ ของเขาไปไว้ที่ไหนแล้ว


“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


เฟิงคุนนิ่วหน้า เงาร่างของเขาราวบรรพต ผิวหนังปรากฏรังสีแข็งกระด้างราวหินผา อานุภาพเต็มไปด้วยแรงกดดันถึงขีดสุด


จินอู้สูดหายใจลึก เล่าเรื่องที่บังเอิญเจอหลินสวินก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่ารายละเอียดที่ตนหวาดกลัวแล้วหลบหนี


แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เฟิงคุนกลับพอเดาได้ไม่มากก็น้อย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดทันใด ในที่สุดก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา


ใบหน้าชราของจินอู้ร้อนผ่าว คำรามด้วยความหงุดหงิดและอับอายว่า “หัวเราะกับผีน่ะสิ เจ้ายังไม่เคยเห็นคันธนูในมือไอ้สวะตัวจ้อยนั่น รอเจ้าได้เห็นแล้วรับรองว่าขำไม่ออกแน่ จะบอกเจ้าให้ เสอเจิ้นก็แข็งแกร่งพอตัวใช่ไหมล่ะ แต่กลับถูกเจ้าหนูนั่นทำให้บาดเจ็บสาหัสด้วยธนูดอกเดียว อีกนิดก็จะตายคาที่ จนถึงตอนนี้ยังพักฟื้นตัวอยู่ในหุบเขาพยัคฆ์อยู่เลย”


เฟิงคุนร้องอ้อคำหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาแล้วเอ่ยพึมพำว่า “จากที่เจ้าพูด สิ่งที่เจ้าเด็กนี่พึ่งพิงก็คือธนูกระดูกขาวลึกลับในมือคันนั้นใช่ไหม”


จินอู้กัดฟันกรอด “หากไม่ได้คันธนูคันนี้ พวกข้าจะสะบักสะบอมจนต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ได้อย่างไร”


“ธนูกระดูกคันหนึ่ง กลับทำให้เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งครอบครองพลังเย้ยฟ้า ทำให้พวกเสอเจิ้นต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ดูท่าธนูกระดูกคันนั้นต้องมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่แน่!”


เฟิงคุนแววตาร้อนเร่า “บอกตำแหน่งกับเส้นทางที่เจ้าเด็กนั่นปรากฏตัวให้ข้าที ข้าจะไปฆ่ามัน!”


เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หวั่นไหว อยากจะไปฆ่าหลินสวินเพื่อชิงธนูวิญญาณไร้แก่นสาร


จินอู้สับสนยิ่งนัก เขาทั้งอยากให้เฟิงคุนไปฆ่าหลินสวิน แต่ก็ไม่ต้องการเห็นเฟิงคุนชิงธนูกระดูกขาวคันใหญ่ในมือของหลินสวินไป


“เมื่อกี้ยังอยู่ใกล้ๆ เขาน่าจะยังไปไม่ไกลนัก” ในที่สุดจินอู้ก็ตัดสินใจว่าจะเคลื่อนไหวกับเฟิงคุน เขาไม่ยอมให้ธนูใหญ่คันนั้นตกอยู่ในมือของเฟิงคุน


“เจ้านำทาง พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกัน”


เฟิงคุณชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าต้องเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง ครั้งนี้พวกเราเก้าสายคนเถื่อนเคลื่อนกำลังยอดฝีมือมามากมาย ไม่เพียงแต่ข้า รอบหุบเขาพยัคฆ์นี้ยังมีคนที่ไม่ต่างจากข้าอีกมากกำลังตามหาร่องรอยของเผ่ามนุษย์เหล่านั้น ถ้าเจ้าไม่ร่วมมือกับข้าอย่างจริงใจ เช่นนั้นธนูใหญ่คันนั้นก็อาจจะถูกคนอื่นชิงไปได้”


จินอู้จิตใจสั่นสะท้านหะหนึ่ง เอ่ยว่า “วางใจได้ ข้าแทบอยากจับเจ้าเด็กนั่นมาสับเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น ย่อมไม่อ้อมค้อมแน่”


“รีบเคลื่อนไหวเถอะ จากการสันนิษฐานของตาเฒ่าคนหนึ่งในสายคนเถื่อนโบราณ สมบัติที่อยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ชิ้นนั้นอย่างมากสุดไม่เกินสามวันก็จะโผล่ออกมา ปรากฏโดยสมบูรณ์ พวกเราชิงไปฆ่าเจ้าเด็กหนุ่มนั่นก่อน แล้วรีบกลับมาก่อนสมบัตินั้นจะโผล่ออกมา”


สีหน้าของเฟิงคุณบังเกิดความเย็นชาโหดเหี้ยม


จินอู้ก็ไม่ลังเลอีก กลับไปตามทางที่ผ่านมาก่อนหน้านี้อีกครั้งเพื่อเริ่มตามรอยหลินสวิน


……


“อย่างมากที่สุดไม่เกินสามวันก็จะปรากฏขึ้นมาหรือ”


เฟิงคุนและจินอู้จากไปไม่นาน ในกองหินผาที่อยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมของพวกเขาไปพันจั้งก็บังเกิดหมอกอำพรางราวภาพนิมิตชั้นแล้วชั้นเล่าขึ้น


หมอกอำพรางนั้นลี้ลับยิ่งนัก สีสันลวงตาจนกลืนเป็นเนื้อเดียวกับทิวทัศน์รอบข้างโดยสมบูรณ์ หากไม่มองดูอย่างละเอียดย่อมแยกแยะได้ยากยิ่ง


และเงาร่างของหลินสวินก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากหมอกอำพรางนั้น


นี่คือ ‘ไอซวนหนี’!


มรดกวิชาลับร่างที่ห้าของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร!


ซวนหนี สัตว์เทพบรรพกาล ม่านหมอกที่มันกลืนเข้าไปสามารถปิดกั้นขอบเขต อำพรางหนึ่งเขตแดน ไร้รูปไร้ลักษณ์ ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณก็มองทะลุความลึกลับภายในนั้นได้ยาก


และมรดกลับ ‘ไอซวนหนี’ นี้ก็คือวิชาลี้ลับที่สามารถอำพรางร่องรอย บดบังกายา สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลได้


วิชานี้เมื่อสำแดงออกมาแล้ว เงาร่างประหนึ่งหายลับไปในอากาศ พลังปราณไม่มีอยู่ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทิวทัศน์โดยรอบ แม้จิตวิญญาณเฉียบแหลมเป็นที่สุดก็มองทะลุการดำรงอยู่ได้ยาก!


หลินสวินเพิ่งหยั่งรู้ปริศนาบางอย่างของไอซวนหนีได้ ตอนนี้อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงบดบังพลังปราณของตน อำพรางเงาร่าง ทว่าทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเงาร่างก็จะเผยออกมาโดยพลัน


แต่เมื่อเขาหยั่งถึงปริศนาของไอซวนหนีอย่างถ่องแท้ ถึงระดับสมบูรณ์ ไม่เพียงสามารถกำบังกายตัวเอง ยังสามารถทำให้ภูผาธาราและสรรพสิ่ง กระทั่งโลกฝั่งหนึ่งล้วนถูกกำบังไม่ให้ผู้ใดสังเกตได้!


‘เป็นอย่างที่หูทงสันนิษฐานไว้ดังคาด เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับในหุบเขาพยัคฆ์รั่วไหลออกไป เผ่าพ่อมดเถื่อนได้ใช้ยอดฝีมือมากมายมาตามฆ่าพวกเราเหล่าผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิ…’


หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รู้ชัดถึงทิศทางที่ไปยังหุบเขาพยัคฆ์ เงาร่างหายวับแล้วเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว


เขาเคยรับปากพวกหูทงไว้ว่าจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเขาหนีกลับไปยังค่ายจักรวรรดิ


แต่คิดจะทำเช่นนี้ ก็ต้องควบคุมศัตรูที่ลงมือตามสังหารเหล่านั้น


ศัตรูมากมายนัก เขาเพียงคนเดียวยากจะต้านทานศัตรูทีละคน


แต่ว่าสำหรับหลินสวินแล้ว คิดจะทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริงก็ไม่ใช่ไม่มีวิธี นั่นก็คือไปก่อเรื่องใหญ่โตที่หุบเขาพยัคฆ์!


สมบัติที่หุบเขาพยัคฆ์กำลังจะปรากฏ ดึงดูดผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน หากที่นั่นเกิดความวุ่นวาย ศัตรูที่ไปตามฆ่าพวกหูทงเหล่านั้นย่อมต้องทิ้งทุกอย่างกลับมาช่วยที่หุบเขาพยัคฆ์


เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับสลายการตามฆ่าครั้งนี้ทางอ้อม ชิงเวลาและโอกาสให้พวกเขาได้กลับค่าย!


……


ในหุบเขาพยัคฆ์ เสอเจิ้นที่ใบหน้าเดือดดาลหัวเราะเหี้ยมเกรียม “ครั้งนี้มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทรวมสิบกว่าคนร่วมกันลงมือ อีกทั้งแต่ละคนต่างมีพลังไม่ด้อยไปกว่าข้า หากเจ้าสวะตัวจ้อยนั่นยังรอดชีวิตไปได้ เช่นนั้นถึงเรียกว่าเรื่องตลก!”


เคียวโลหิตฟ้าคำรามอย่างเขา บุคคลร้ายกาจชื่อกระฉ่อนผู้หนึ่ง เวลานี้กลับสีหน้าซีดเซียว หว่างคิ้วบังเกิดแววอ่อนแอ


ก่อนหน้านี้เขาถูกลูกธนูดอกหนึ่งโจมตีจนแทบสิ้นชีพ แม้แต่ในตอนนี้ อาการบาดเจ็บสาหัสบนร่างก็ยังไม่ฟื้นตัวดี


เหยียนชื่อสิงที่อยู่ข้างๆ ก็มีโทสะ กัดฟันกรอดเช่นกัน เขาย่ำแย่กว่าเสอเจิ้นเสียอีก ช่วงท้องลงไปถูกลูกธนูนั้นโจมตีจนแหลกสลาย เหลือเพียงครึ่งร่าง


แม้ว่ายังสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แต่กลับทำให้พลังดั้งเดิมได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ไม่อาจฟื้นคืนได้โดยสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น


“วางใจเถอะ ครั้งนี้ค่ายเราเคลื่อนกำลังพลชั้นยอดมา ต่อให้พบกับบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติในจักรวรรดิมนุษย์ก็กวาดให้ราบได้ นับประสาอะไรกับเจ้าสวะตัวจ้อยระดับหยั่งสัจจะเล็กๆ คนหนึ่งเล่า”


อีกด้านหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนมืดคนนั้นส่งเสียงเคืองแค้น


เขามีนามว่าอินเป่ยกู้ อันที่จริงสภาพเลวร้ายที่สุด ทั้งร่างถูกหุ้มด้วยผ้าพันแผล ไม่มีผิวหนังที่สมบูรณ์เลยสักแห่ง ร่างกายเหมือนแหลกเละ กล้ามเนื้อกระดูกและเลือดเนื้อแหลกสลาย ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ช่างเหลือเชื่อ


“เป็นการเหยียดหยามยิ่งนักนะ!” เสอเจิ้นเคียดแค้นยากสงบใจได้


พวกเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท ห้ำหั่นโรมรันในสมรภูมิกระหายเลือดมานานปี วันนี้กลับถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถ้าข่าวกระจายออกไป ต้องกลายเป็นตัวตลกของเผ่าพ่อมดเถื่อนแน่


“เจ้าเด็กนี่รอดชีวิตได้ยากแน่แล้ว ก็ไม่ต้องประสาทเสียเพราะมันหรอก” เหยียนชื่อสิงกับอินเป่ยกู้ที่อยู่ด้านข้างล้วนเอ่ยปลอบ


ตู้ม!


ก็ในตอนนี้เอง เสียงระเบิดลั่นสั่นสะท้านดังออกมาจากทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์พร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ทุกคนที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ล้วนได้ยิน


“เกิดอะไรขึ้น” เสอเจิ้นหยัดตัวขึ้นโดยพลัน แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังมีพลานุภาพน่ากลัวดังเดิม


เหยียนชื่อสิงกับอินเป่ยกู้ก็สีหน้าฉงนไม่ว่างเว้น เวลาเช่นนี้ยังมีใครถึงกับกล้ามายังหุบเขาพยัคฆ์ได้


“แย่แล้ว! ยอดฝีมือเผ่าพ่อมดเถื่อนของเราต่างไปตามฆ่าผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เหล่านั้น ตอนนี้ในหุบเขาไม่มียอดฝีมือสั่งการ!” เหยียนชื่อสิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


“ไม่มีปัญหา รอบทิศของหุบเขาพยัคฆ์ปกคลุมไปด้วยค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน ต่อให้เป็นราชันระดับสังสารวัฏเผ่ามนุษย์มา ก็เลิกคิดว่าจะทลายเข้ามาได้ในเวลาอันสั้น” อินเป่ยกู้ดูเยือกเย็นนัก


เมื่อได้ยินวาจา เสอเจิ้นกับเหยียนชื่อสิงก็สงบใจลงเล็กน้อย ทว่าในสมองของทั้งสองนึกถึงภาพเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ยามเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนนั้นจากไป ในตอนนั้นก็สามารถใช้ฝ่ามือเดียวตบให้ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนแตกเป็นโพรงได้…


คงไม่ใช่เขา!


ทั้งสองคนไม่ยอมรับโดยไม่รู้ตัว ว่าหลินสวินที่หนีไปนานแล้วจะยังกลับมา


ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์


หลินสวินเหยียบย่ำฝุ่นดิน เดินสาวเท้าไปข้างหน้าเพียงลำพัง ระหว่างทางมีพ่อมดเถื่อนมือฉมังพุ่งประจันบาญมาทางเขา


ต่างถูกดาบหักในมือเขาฟาดฟัน ศีรษะกลิ้งตกลงไป เลือดกระเซ็นคาที่


ไกลออกไปมีพ่อมดเถื่อนมือฉมังคนหนึ่งจำหลินสวินได้ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์สมควรตายคนนี้ไม่ได้หนีไปแล้วหรือ เหตุใดถึงกลับมาอีกเล่า


เขาอ้าปากคิดจะร้องเตือนเสียงดัง ประกายดาบคมกริบยิงพุ่งออกมาดังฟุ่บ ศีรษะของเขาก็ถูกฟันขาดกระเด็นไปในห้วงอากาศ


“สวะเผ่ามนุษย์หรือ เจ้าคนเดียวถึงกับกล้ามากำเริบเสิบสานที่หุบเขาพยัคฆ์ ช่างไม่รู้ดีรู้ชั่วเสียจริง!”


พ่อมดเถื่อนมือฉมังมากมายเพิ่งถูกระดมพลมาเป็นกำลังเสริม จึงไม่รู้จักหลินสวิน ทั้งยังไม่รู้เรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเคยสำแดงแสนยานุภาพใหญ่โตที่นี่มาก่อนด้วย


ไอสังหารของพวกเขาพวยพุ่ง รังสีอำมหิตของแต่ละคนเผยออกมาอย่างหมดจน ไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งระดับจอมเวท


หลินสวินสีหน้าเย็นชา ไม่พูดไม่จาสักคำ ถือดาบหักเล่มหนึ่งก้าวไปข้างหน้า ราวดึงลากธารดาราสีเงินเจิดจ้า


โครม!


เสียงคำรามเดือดดาลดังลั่นฟ้า พ่อมดเถื่อนมือฉมังสิบกว่าคนพุ่งตัวมา โหดเหี้ยมน่าหวาดหวั่น อำมหิตและน่าพรั่นพรึง


ฟุ่บๆๆ… เพียงแต่การเคลื่อนไหวของหลินสวินว่องไวกว่า คมดาบราวสายฟ้า เพียงชั่วเสี้ยวพริบตาเท่านั้น ก็ฟันสังหารพ่อมดเถื่อนมือฉมังไปสิบกว่าคนจนแขนขากระเด็นเกลื่อนกลาด เลือดสาดกระเซ็นย้อมผืนดินให้เป็นสีแดงสด


พ่อมดเถื่อนคนอื่นเห็นเช่นนี้ต่างตกใจจนตัวสั่น เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่ ตัวคนเดียวเท่านั้นกลับมีพลังทำลายล้างมหาศาล น่ากลัวเกินไปแล้ว


เมื่อหลินสวินมาถึงหุบเขาพยัคฆ์ เดิมทีก็ระมัดระวังรอบคอบหาใดเทียบ แต่หลังจากสืบข่าว เขากลับค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายว่ายอดฝีมือที่ป้องกันที่นี่ไม่อยู่แทบทุกคน เหลือเพียงกำลังพ่อมดเถื่อนมือฉมังหลายคน แม้มีจำนวนมาก แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับไม่ถือเป็นภัยคุกคาม


นี่ทำให้เขาตัดสินได้ในทันทีว่า ยอดฝีมือของอีกฝ่ายน่าจะไปตามสังหารพวกหูทงแล้ว นอกจากนี้อีกฝ่ายก็ไม่คิดว่าตนจะย้อนกลับมาโจมตีอีกครั้ง


“แย่แล้ว! มียอดฝีมือมาจู่โจม!”


“เร็วเข้า! รีบหลบเข้าไปในค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน!”


เมื่อเห็นการนองเลือดแต่ละฉาก พ่อมดเถื่อนมือฉมังเหล่านั้นล้วนตกใจจนหนีอย่างน่าอดสู หลบเข้าไปอยู่ในค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน


“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้ารอก่อนเถอะ ยามยอดฝีมือเผ่าข้ากลับมาก็จะเป็นเวลาตายของเจ้า!”


พ่อมดเถื่อนมือฉมังตะคอกดัง ไม่หวั่นกลัวอีกแล้ว ด้วยเชื่อมั่นว่ามีค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนอยู่ หลินสวินก็ไม่อาจเข้ามาได้แล้ว


เพียงแต่ภาพต่อมากลับทำให้พวกเขาตื่นตะลึงโดยสิ้นเชิง


หลินสวินถือดาบก้าวมาข้างหน้า ยามก้าวย่างออกไป ค่ายกลใหญ่เบื้องหน้าก็ถูกสะเทือนจนเกิดโพรง จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาอย่างสบาย…


นี่…


ทั้งหุบเขางงงวย


ส่วนกองกำลังพ่อมดเถื่อนมือฉมังที่ป้องกันอยู่ภายในหุบเขา ในที่สุดตอนนี้ก็จำหลินสวินได้ อดไม่ได้ส่งเสียงร้องแหลมพรั่นพรึงออกมาว่า…


“สวรรค์ เจ้ามารหนุ่มนั่นกลับมาอีกแล้ว!”


ตอนที่ 701 เรื่องยินดีที่คาดไม่ถึง

โดย

ProjectZyphon

เสียงหวีดร้องอย่างบ้าคลั่งและหวาดผวา ณ ที่นั้นทำให้พ่อมดเถื่อนมือฉมังคนอื่นที่มาใหม่ต่างงุนงง แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนก หนีอย่างบ้าคลั่งกระเจิดกระเจิง


ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น อาศัยแค่ภาพที่เท้าข้างหนึ่งของหลินสวินเหยียบย่ำค่ายกล เดินนวยนาดสู่หุบเขาพยัคฆ์ก็ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อแล้ว


หลินสวินเดินหน้ามาตามทาง


พลังจิตวิญญาณเขาแผ่กระจายขยายออกครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณ ดาบหักราวมีลูกตา จู่โจมสังหารพ่อมดเถื่อนมือฉมังสิบกว่าคนอีกครา


ภายในนั้นไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งระดับจอมเวท ในสมรภูมิกระหายเลือดก็ถือว่าเป็นพวกทรงพลัง แต่ต่อหน้าหลินสวินกลับเสมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา ไม่อาจต้านทานสักกระผีก


“อะไรนะ?! เจ้าเด็กสวะนั่นกลับมา?” ส่วนลึกหุบเขาก้องเสียงคำรามของเสอเจิ้น เขาตระหนกและโกรธเกี้ยว ดวงตาปูดโปนแทบถลน


กลางหุบเขาสับสนอลหม่าน หลินสวินกระชับดาบมุ่งหน้า ทิ้งรอยเลือดตลอดทาง แต่เสื้อผ้าเขากลับไม่แปดเปื้อน บุคลิกท่วงท่าสง่างาม เมื่อรวมกับภาพฉากยุ่งเหยิงและกระหายเลือดทั่วจตุรทิศนั้น ยิ่งขับเน้นให้เขาเป็นดั่งเซียนสวรรค์มาเยือนโลกคนหนึ่ง


“ถึงกับเป็นเขาจริงๆ…” เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้ร้องลั่นเช่นกัน แทบไม่กล้าเชื่อตาตนเอง


เจ้าเด็กนี่วกกลับมาจู่โจมฉับพลันอย่างไม่คาดฝัน!


ต่อให้พวกเขาผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ถึงว่าเหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงใจกล้าคับฟ้าเช่นนี้ หนีไปได้แล้วทำไมยังต้องกลับมาอีก ใครมันให้ความมั่นใจกับเขากัน


“เจ้ายังกล้ากลับมาอีกรึ ช่างเป็นสุนัขกล้าคับฟ้าซะจริง ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!” เสอเจิ้นตะเบ็งลั่น แต่แท้จริงแล้วกลับใช้ความดุดันมาปกปิดความอ่อนแออยู่บ้าง


ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกศรดอกหนึ่งของหลินสวินทำบาดเจ็บสาหัสเกือบวายชนม์ ร่างกายเสียหายอย่างหนัก เวลานี้ไหนเลยจะมีความกล้าต่อต้านหลินสวิน


“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าอยากไล่สังหารข้าหรอกรึ ตอนนี้ข้าหวนกลับมาเอง ทำไมพวกเจ้ายังไม่ยินดี”


ขณะหลินสวินพูดก็เงื้อดาบฟาดฟันจนได้ยินเสียงฟุ่บๆๆ ระลอกหนึ่ง พ่อมดเถื่อนมือฉมังซึ่งอยู่ใกล้เคียงเจ็ดแปดคนไม่ทันได้หลบก็ถูกฆ่า ณ ตรงนั้นในบัดดล


ท่าทางฆ่าฟันอันเลือดเย็นอำมหิตไม่มีลังเลนั้น ทำเอาพวกเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง อินเป่ยกู้ตระหนกจนใจสั่นสะท้าน ขนพองสยองเกล้า


ไม่ใช่ว่าพวกเขาประมาทเลินเล่อ ไม่มีการป้องกัน แต่เป็นเพราะพวกเขาคาดไม่ถึงแต่แรก ว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นี่ถึงกับมีความกล้าหวนกลับมา ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน


น่าเสียดาย ขณะนี้มาเสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว


ตูม!


ในลานหลินสวินไม่แม้แต่จะหยุดมือ เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ดาบหักฟาดฟัน พุ่งสังหารเข่นฆ่า


“ลุยพร้อมกัน ฆ่าไอ้เศษสวะนี่!”


เสอเจิ้นคำรามดุดันกึกก้องฟ้าดิน เขาคิดอาศัยเสียงตวาดนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนระดับมหาเวทในบริเวณใกล้เคียงตื่นตกใจ และมาช่วยเหลือพวกเขา


แต่เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้ตรงไปตรงมายิ่งกว่า ส่งสัญญาณซึ่งหลอมจากกระดูกสัตว์ไปขอความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งภายนอก


หลินสวินยิ้มแล้ว ที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้ มีเพียงเป็นเช่นนี้จึงจะสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนระดับมหาเวทซึ่งไล่สังหารพวกเขาหูทงพวกนั้น ไม่อาจไม่หวนกลับหุบเขาพยัคฆ์!


ตูม ครืน!


การเข่นฆ่าสังหารยังดำเนินต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินล้วนฆ่าฟันหมดจด ท่าทางเลือดเย็นและไร้ปรานี นับตั้งแต่เข้าสู่หุบเขาพยัคฆ์ก็ไม่เคยออมมือ


วิธีทำลายล้างประดุจเทพมารเช่นนั้น ทำพ่อมดเถื่อนมือฉมังที่อยู่ใกล้ๆ สะดุ้งตระหนกอย่างสิ้นเชิง ต่างลนลานหนีออกนอกหุบเขาพยัคฆ์


หลินสวินไม่ได้ไล่ตามไป ที่เขามาครานี้เดิมทีก็ไม่ใช่เพื่อสังหารศัตรู


แต่ภาพเหตุการณ์เช่นนี้กลับทำให้พวกเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง อินเป่ยกู้สีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม สั่นเทิ้มทั่วสรรพางค์กาย มือเท้าเย็นเยียบ


หากให้เจ้าเด็กนี่สังหารเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้กองหนุนหวนกลับมา แต่เวลานั้นเกรงว่าพวกเขาคงสิ้นชีพนานแล้ว!


“หนี!”


พวกเสอเจิ้นตัดสินใจอย่างอัดอั้นและอัปยศ ช่วยไม่ได้ เพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาไหนเลยจะมัวใส่ใจหน้าตา


ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาล้วนได้รับบาดเจ็บ สูญเสียคุณสมบัติต่อต้านหลินสวิน


เพียงแต่พอนึกถึงว่าครั้งนี้ถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นทำเอาหวาดหวั่นอีกครา ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกประหนึ่งอยากกระอักเลือดขึ้นมา


รังแกกันเกินไปแล้ว!


ไกลออกไป หลินสวินซึ่งกำลังสังหารศัตรูกลุ่มหนึ่งรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าพวกเสอเจิ้นหนีไปแล้ว เพียงแต่ที่ต่างจากพ่อมดเถื่อนมือฉมังคนอื่นคือ พวกเขาสามคนหนีเข้าไปในถ้ำเหมืองของส่วนลึกหุบเขาพยัคฆ์


‘หรือส่วนลึกในถ้ำเหมืองนั่นยังซ่อนสถานที่ปลอดภัยอะไรไว้ ทำให้พวกเขาเลือกถอยเข้าไปในนั้นอย่างเด็ดขาดเช่นนี้’


ในใจหลินสวินพลันกระตุก


เขาไม่ได้ไล่ตามไป พวกเสอเจิ้นไม่ต่างอะไรจากพยัคฆ์เฒ่าถอดเขี้ยว ไม่ช้าก็เร็วสามารถฆ่าพวกเขาได้


หลังจากนั้นไม่นาน


หุบเขาพยัคฆ์เกลื่อนกลาดระเนระนาด ซากศพนอนอยู่ทั่ว แอ่งโลหิตย้อมพื้นดินเป็นสีแดง อย่างน้อยก็มีซากศพพ่อมดเถื่อนมือฉมังกว่าร้อยศพนอนอยู่ ณ ที่นั้น


ภาพนี้ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง น่าตกใจเกินไป ในสมรภูมิกระหายเลือดล้วนเรียกได้ว่าเป็นศึกขนาดย่อม!


และทั้งหมดนี้กลับเกิดขึ้นจากหลินสวินคนเดียว


แน่นอนว่าพ่อมดเถื่อนมือฉมังซึ่งหนีไปมีมากกว่าที่ตาย แต่หลินสวินล้วนไม่ขัดขวาง เขาต้องการให้ศัตรูช่วยแพร่ข่าวสารไปดึงดูดผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่กำลังไล่ล่าพวกหูทง


หลินสวินเริ่มเก็บทรัพย์หลังศึก


วิธีการคล่องแคล่วคุ้นเคย ไม่นาน ณ ที่นั้นก็มีห่อสัมภาระขนาดใหญ่สามใบซึ่งแน่นขนัด ภายในนั้นล้วนเป็นทรัพย์หลังศึก สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญกล้าหาญของกองทัพได้อย่างมากมาย


เพียงแต่ไม่ทันไรหลินสวินก็ปวดหัวแล้ว ห่อสัมภาระใหญ่เกินไป ทั้งยังมีมากถึงสามใบ ในสมรภูมิกระหายเลือดซึ่งไม่อาจใช้สมบัติเก็บของ คิดอยากนำทรัพย์หลังศึกเหล่านี้กลับค่ายโดยราบรื่น เป็นบททดสอบที่ไม่เล็กเลย


คิดไปคิดมา หลินสวินก็หาเชือกเส้นหนึ่งออกมา แล้วนำห่อสัมภาระสามใบร้อยรวมกัน จากนั้นจึงหิ้วไว้ในมือก่อนเดินไปทางถ้ำเหมืองส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์


เสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง อินเป่ยกู้ตอนนี้ยังหลบอยู่ในนั้น อีกทั้งหลินสวินไม่มีทางลืมจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการหวนคืนหุบเขาพยัคฆ์ครานี้…


สมบัติปริศนาซึ่งใกล้จะปรากฏชิ้นนั้น!



ถ้ำเหมืองลึกอย่างมาก ภายในมืดสนิทชื้นแฉะ เส้นทางถี่ยิบแน่นขนัดประดุจใยแมงมุม ยืดขยายไปยังส่วนลึกของพื้นดิน คล้ายเขาวงกตใต้ดิน


ทันทีที่เข้ามา หลินสวินก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารเสียดกระดูกที่บอกไม่ถูกสายหนึ่ง เลือนราง ทว่ากลับมีอยู่ทุกอณู!


รูขุมขนทั่วร่างหลินสวินตั้งชัน แม้ว่าจะเป็นเขา ในใจก็ยังสะท้านอย่างอดไม่อยู่ ลอบตะลึงงันไปวูบหนึ่ง


ไอสังหารน่ากลัวยิ่งนัก!


เขาลากห่อสัมภาระเดินหน้าอย่างระแวดระวัง พลังจิตวิญญาณยิ่งใหญ่แผ่กว้างขยายออก ชั่วพริบตาก็สัมผัสกลิ่นอายพวกเสอเจิ้นสามคนที่หลงเหลือไว้ได้เสี้ยวหนึ่ง


สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง เดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง


เส้นทางวกวนซับซ้อนตัดสลับ คนทั่วไปเดินในนี้ต้องหลงทางเป็นแน่


อีกทั้งยิ่งหลินสวินเข้ามาลึกเท่าไหร่ ไอสังหารเสียดกระดูกที่รู้สึกได้ก็ยิ่งน่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ เสียดแทงจนผิวหนังหลินสวินเจ็บแปลบรางๆ


นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย ที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาดังคาด


ฟุ่บ!


ไม่ทันไรหลินสวินพลันลงมือดุจอสนีบาต ดาบหักแทงใส่ผนังหินฟากหนึ่งของทางเดิน ร่างหนึ่งเปล่งเสียงร้องทุรนทุราย ตามมาด้วยน้ำเลือดสายหนึ่ง เงามืดหนึ่งร่วงหล่นกับพื้น ถูกฆ่าตายลงตรงนั้น


นี่คือผู้แข็งแกร็งสายคนเถื่อนมืดคนหนึ่ง แทบทำให้คนเสาะหากลิ่นอายไม่พบ แต่กลับหลบซ่อนจากการตรวจจับของพลังจิตวิญญาณอันทรงพลังของหลินสวินไม่พ้น


นี่คือความอัศจรรย์ของ ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ อย่างหนึ่ง ทำให้พลังจิตวิญญาณของหลินสวินสามารถมองทะลุแม้สิ่งที่มองไม่เห็น และคว้าจับตัวตนที่แท้จริง


ตูม!


เพิ่งเดินหน้าไปไม่นาน กลางทางพลันมีทวนกระดูกขาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่ แทงมายังลำคอหลินสวินอย่างหนักหน่วง น่าตะลึงหาใดเปรียบ พลังดุดันรุนแรงน่าหวาดกลัว


หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง เงาร่างวาบกะพริบแล้วหายไปจากจุดเดิม


ฟุ่บ!


ทวนกระดูกขาวแทงใส่อากาศ แต่บริเวณที่ไม่ไกลออกไปกลับมีศีรษะเลือดหลั่งรินหนึ่งถูกฟันร่วง ศพไร้หัวศพหนึ่งหล่นลงพื้นโดยพลัน


ส่วนเงาร่างของหลินสวินหายไปในส่วนลึกของอุโมงค์นานแล้ว


เขาวงกตใต้ดินที่มืดมนและเปียกชื้นนี้ซ่อนไอสังหารเสียดกระดูกเร้นลับ และยังซ่อนพ่อมดเถื่อนมือฉมังซึ่งหลบอยู่ภายในมากมาย


แต่ทว่าหลินสวินกลับประหนึ่งเดินเล่นบนทางราบ มุ่งไปเบื้องหน้าตลอดทาง เมื่อใดที่พบการลอบสังหาร ซุ่มโจมตี ล้วนถูกเขาจับได้ก่อนก้าวหนึ่ง จากนั้นก็ปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงใจ


หืม?


ไม่รู้ว่าสังหารศัตรูไปเท่าไหร่ หลินสวินพลันชะงักเท้ากะทันหัน นัยน์ตาดำฉายแสงวับวาว


ในอุโมงค์เบื้องหน้าจู่ๆ ปรากฏแสงดาราดวงแล้วดวงเล่า เจิดจรัสจ้าตา ส่องอาณาเขตอันมืดมนเปียกชื้นนั้น ประกายใสเอ่อล้น ถึงกับมีความงามไพศาลอันลึกลับอย่างหนึ่ง


เมื่อเดินใกล้เข้าไปถึงได้พบว่า แสงดาวเจิดจรัสเล็กๆ นั่น กลับเป็นหินสีดำบนผนังที่นูนออกมา


แครก!


หลินสวินใช้ดาบหักเฉือนออกมา หินแร่สีดำขนาดเท่าไข่ห่านก้อนหนึ่งลื่นไถลลงในมือ ก็เห็นว่าพื้นผิวของมันมีแสงดาราจ้าตาไหลวน ยิ่งมีเนื้อสัมผัสประหนึ่งโลหะ หนักมือ แต่ไม่ถึงกับเกินพันชั่ง


เหล็กดาราจรัสสลาย!


นี่ก็คือหินแร่เฉพาะถิ่นในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ วัตถุดิบวิญญาณที่ล้ำค่ายากพบเห็นชนิดหนึ่ง เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ใช้หลอมสมบัติระดับสวรรค์ชั้นยอด


ขณะเดียวกันยังสามารถใช้มันเป็นสื่อนำในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ความอัศจรรย์ไร้ขีดจำกัด มูลค่าก็น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งยวด


ก้อนเล็กเช่นนี้ก้อนหนึ่ง ในจักรวรรดิก็สามารถแลกเป็นเงินมากกว่าหมื่นเหรียญทอง!


แต่บัดนี้บนผนังหินใกล้เคียง ล้วนเต็มไปด้วยหินแร่เหล็กดาราจรัสสลายแน่นขนัด! พวกมันประดุจดวงดาวที่ฝังประดับ เปล่งแสงประกายดั่งภาพลวงตา


‘มิน่าพวกเผ่าพ่อมดเถื่อนถึงได้ส่งกองกำลังมือฉมังมาประจำการที่นี่ แค่แร่เหล็กดาราจรัสสลายพวกนี้ก็คุ้มค่าให้พวกเขาจะทำเช่นนี้แล้ว’


ขณะหลินสวินกำลังไตร่ตรอง ทันใดนั้นนัยน์ตาพลันหดตัว สังเกตเห็นว่าดาบหักในยามนี้ถึงกับปรากฏระลอกคลื่นลึกลับยากพบเห็นวูบหนึ่งเสมือนได้กลิ่นอาหารโอชะ และสูบพลังที่แฝงอยู่ในเหล็กดาราจรัสสลายก้อนนั้นในมือเขา


แกร๊ก!


แค่เพียงชั่วพริบตา เหล็กดาราจรัสสลายขนาดเท่าไข่ห่านก็ถูกสูบพลังจนหมด กลายเป็นฝุ่นผงแหลกละเอียดลอยละล่อง


พร้อมกันนั้นพื้นผิวของดาบหักปรากฏแสงเหลือบวูบไหวราวกับกำลังหายใจ ส่องประกายแสงดาราสายหนึ่ง จากนั้นค่อยจมสู่ความเงียบสงัด


ในใจหลินสวินรู้สึกประหลาดขึ้นมา ดาบหักเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นครั้งแรก ถึงกับดูดกลืนพลังด้วยตัวเอง


หรือภายในเหล็กดาราจรัสสลายจะมีพลังที่สามารถทำให้มันพัฒนาตัวได้แฝงอยู่?


ชิ้ง!


หลินสวินเพียงสะบัดข้อมือเบาๆ ดาบหักก็เสียบทะลุผนังหินฝั่งหนึ่งราวหั่นเต้าหู้ก็ไม่ปาน


ทันใดนั้นสามารถสังเกตเห็นอย่างชัดเจน ว่าเกิดเสียงครวญต่ำเบาจากดาบหัก คล้ายเป็นการโห่ร้องยินดี แผ่คลื่นพลังคลุมเครือออกมา


แต่หินแร่เหล็กดาราจรัสสลายซึ่งแน่นขนัดบนผนังหินทั่วทิศกลับเริ่มสั่นขึ้นมา แสงที่อบอวลออกมาเริ่มเปลี่ยนเป็นทึบหม่นอย่างรวดเร็ว เห็นชัดว่าพลังกำลังไหลหายไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปรวมอยู่ในดาบหัก


‘เป็นจริงดังคาด!’


หลินสวินนัยน์ตาฉายแวววาบ การค้นพบนี้กล่าวได้ว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมาย ทำให้เขาไม่คาดฝัน


‘ไม่รู้ว่าหลังดาบหักสูบพลังของเหล็กดาราจรัสสลายพวกนี้แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร…’


หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ตัดสินใจทิ้งดาบหักไว้ที่นี่ ส่วนตัวเขากลับถือธนูวิญญาณไร้แก่นสารรุดหน้าต่อไป


มาถึงตรงนี้ ไอสังหารเสียดกระดูกที่เดิมคล้ายมีคล้ายไม่มีสายนั้นยามนี้ปรากฏชัด นี่ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า ใกล้จะถึงสถานที่ที่เขาเสาะหาแล้ว!


………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)