Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 696-697
ตอนที่ 696 ยิงธนูสะท้านรอบทิศ
โดย
ProjectZyphon
ผึง!
แทบจะในเวลาเดียวกับที่เสอเจิ้นลงมือ หลินสวินได้ยิงธนูลูกหนึ่งออกไปโดยไม่ลังเล
การเคลื่อนไหวต่อเนื่องตั้งแต่ง้างคันธนู ดึงสายธนู และยิงออกไป รวดเร็วจนเหลือเชื่อ เหมือนเสร็จสิ้นในชั่วเสี้ยวพริบตา
แต่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นก็คือ ก่อนหลินสวินยิงธนูลูกนี้ พลังทั้งหมดของถ้ำสวรรค์ภายในร่างโคจรถึงขีดจำกัดอย่างไม่เคยมีมาก่อน!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตั้งแต่หลินสวินยิงธนูลูกนี้ออกไป เขาสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตน ไม่ออมมือสักนิดแล้ว
ตูม!
ชั่วเสี้ยวพริบตา เสียงลมและสายฟ้าสั่นสะท้านดังขึ้นราววิญญาณร้ายคำรามพิโรธ รอยสลักลี้ลับรอยหนึ่งได้ปรากฏขึ้นจากตัวคันธนูที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกขาว
ดวงตะวันดวงแล้วดวงเล่าในรอยสลักกำลังจมจ่อม กาทองตัวแล้วตัวเล่าถูกแทงทะลุร่าง เลือดอาบท้องนภา ตกลงสู่ทะเลสีคราม
ส่วนเบื้องหลังหลินสวินกลับบังเกิดเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งทำท่าง้างคันธนูเหมือนกับเขา ท่วงท่าโอหังไร้เทียมทานนั้นดุจเทพบรรพกาลจุติลงมายังโลกองค์หนึ่ง
โครม!
สายฟ้าสีเลือดที่เสอเจิ้นสะบัดแขนเสื้อออกมาก็ถูกอานุภาพธนูลูกนี้สลายกลายเป็นจุณ แปรสภาพเป็นละอองแสงปลิวว่อนแทบจะในชั่วพริบตา
“แย่แล้ว!”
เสอเจิ้นตระหนกจนลูกตาแทบหลุดออกมา ขวัญหนีดีฝ่อ จะคิดได้อย่างไรว่าเพิ่งลงมือกลับเกิดเรื่องน่ากลัวปานนี้ได้
ในช่วงชี้เป็นชี้ตาย เขาคำรามพลางต้านทานสุดกำลัง สายฟ้าสีเลือดรอบกายหวีดร้องเสียงดัง ไหววูบราวน้ำตก โคจรพลังปราณทั่วร่างถึงขีดสุด
ในเวลาเดียวกัน กระดูกสัตว์ชิ้นหนึ่งขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าเขา นี่เป็นสมบัติป้องกันตัวของเขา ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์คับขันจะไม่นำออกมาใช้เลย
แต่ตอนนี้ เพิ่งเริ่มต่อสู้ก็ถูกเขานำออกมาใช้แล้ว นี่ทำให้เขาทั้งอัดอั้นและหวาดหวั่น และออกจะไม่อาจทำใจเชื่อได้
เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เหตุใดถึงน่ากลัวปานนี้
แต่พลังที่อันตรายถึงชีวิตนั้นกลับไม่ผิดแน่!
ตู้ม!
เร็วไปแล้ว ทำให้เสอเจิ้นยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก โล่กระดูกสัตว์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็แหลกสลายอย่างสะเทือนเลือนลั่น ในขณะเดียวกันร่างของเขาก็ถูกพลังทะลุทะลวงน่าหวาดหวั่นกระแทกเข้าใส่อย่างรุนแรงเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
ต่อมาเขาก็ร้องโหยหวน แขนขวากับครึ่งร่างด้านข้างถูกโจมตีให้สลายในพริบตา เลือดเนื้อสาดกระเซ็น ร่างกระเด็นตกลงไปกับพื้นอย่างหนักหน่วง
ปึ้ก!
ฝุ่นควันตลบอบอวล พื้นดินถูกกระแทกเป็นหลุม เสอเจิ้นที่ถูกทำร้ายสาหัสกระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทั้งตัวประหนึ่งหายไปแล้วครึ่งชีวิต
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนเชื่องช้า แต่แท้จริงแล้วกลับเสร็จสิ้นลงในชั่วพริบตา!
หลายคนไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนอง ในสายตาก็เห็นภาพเสอเจิ้นถูกธนูลูกหนึ่งยิงทะลุ กระอักเลือดตกลงสู่พื้นดิน
น่าตื่นตระหนกเมื่อได้เห็น!
ภาพน่าตกใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศในที่นั้น ณ เวลานี้ถึงกับเงียบเชียบไร้เสียงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่ว่าเป็นศัตรูหรือพวกเดียวกัน ล้วนนัยน์ตาเบิกกว้าง สีหน้าตกตะลึง
เสอเจิ้น ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทผู้อื้อฉาวในสมรภูมิกระหายเลือด สองมือย้อมคาวเลือด จัดอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบสองของกระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวทแห่งจักรวรรดิ!
ผู้โหดเหี้ยมใหญ่ยักษ์เช่นนี้ผู้หนึ่ง หลายปีมานี้สังหารผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิไปไม่รู้เท่าไร ย่อมเป็นตัวร้ายที่พูดถึงก็พาให้คนหน้าเปลี่ยนสี
แต่ตอนนี้เขากลับถูกธนูลูกหนึ่งทำให้บาดเจ็บสาหัส! หากไม่ใช่ว่าหลบทันก็เกือบสิ้นชื่อแล้ว!
นี่เพิ่งเริ่มต่อสู้เองนะ!
ใครจะเชื่อได้กัน
ที่ยิ่งเหลือเชื่อก็คือ คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง เพิ่งมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น…
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเผ่าพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ เวลานี้ก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ใบหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง สูดหายใจเยียบเย็น
พลังต่อสู้ของเสอเจิ้นย่อมเป็นที่หนึ่งที่สองในหมู่พวกเขา แต่ตอนนี้… กลับถูกธนูลูกหนึ่งยิงทะลุเสียแล้ว!
นี่ก็ดูน่ากลัวเกินไปแล้ว
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเหล่านี้ล้วนตื่นตะลึงเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าความรู้สึกของเหล่าผู้เก่งกาจเผ่าพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ จะเป็นอย่างไร แต่ละคนสีหน้าอึ้งงันราวรูปปั้น
ส่วนพวกอาปี้และหยางสยงล้วนนิ่งอึ้งสับสนงงงวย ในใจมีความตะลึงพรึงเพริดบอกไม่ถูกกำลังพลุ่งพล่าน
นี่หรือลูกคุณหนูรุ่นที่สองซึ่งไร้วิชาไม่มีทักษะผู้นั้นหรือ
นี่หรือเด็กหนุ่มที่ต้องให้พวกเขาปกป้อง รู้จักแต่ชุบมือเปิบ ทำให้ผู้อื่นรังเกียจและกีดกัน
นี่…
พวกเขาล้วนไม่อาจสรรหาคำใดๆ มาบรรยายความรู้สึกในเวลานี้แล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายถึงที่สุด
โดยเฉพาะหลิวเหวิน เขาแทบกระโดดเหยงเหมือนเจอผีกลางวันแสกๆ ร้องเสียงหลงว่า “นี่เป็นไปได้อย่างไร… เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
เขากลับไม่รู้เลยสักนิดว่าเวลานี้ตนเสียอาการมากขนาดไหน
ขนาดเหยียนชื่อสิงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนอัคคีกับหูทงที่กำลังห้ำหั่นกันห่างออกไป เวลานี้ก็พากันหวาดผวาไปครู่หนึ่ง เหม่อลอยช่วงสั้นๆ
ผึง!
ก็ในตอนนี้เอง ที่หลินสวินยิงธนูออกมาอีกลูกหนึ่งโดยไม่ลังเล
เสียงลมสายฟ้าครั่นครืนราววิญญาณร้ายคำรามพิโรธดังขึ้นอีกครั้ง สั่นสะท้านไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินราวเสียงปีศาจ
ส่วนเบื้องหลังของหลินสวิน เงาร่างสูงใหญ่และโอหังนั้นก็ทำท่าง้างธนูยิงลูกศรเช่นเดียวกันตามไปด้วย บังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลก ตะวันตกลงมาจากเบื้องฟ้า กาทองเลือดสาดกระเซ็นบนทะเลคราม
เหยียนชื่อสิงตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ!
ก่อนหน้านี้เขายังไม่เชื่ออยู่บ้าง นึกว่าเข้าใจผิดไปเอง แต่ชั่วขณะที่ถูกลูกธนูดอกนี้เล็งมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของเสอเจิ้น
นั่นคือความรู้สึกที่ถูกความตายจดจ้อง กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตทำให้หัวเขาแทบระเบิด เลือดราวกับจะแข็งตัวแล้ว
ไม่ทันรู้ตัว เขาก็ตัดสินใจละทิ้งหูทงที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ หนีไปยังที่ไกลออกไปเหมือนกระต่ายที่ถูกทำให้ตื่นกลัว
ตูม!
แต่เขายังประเมินความน่ากลัวของลูกธนูดอกนั้นไว้ต่ำไป ชั่วพริบตาใต้ท้องของเขาก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงระเบิดแหลก แล้วสลายกลายเป็นหมอกโลหิต เหลือเพียงร่างครึ่งท่อน
ภาพนองเลือดและอหังการนั้นกระตุ้นจนทุกคนในที่นั้นตะลึงพรึงเพริดขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องจริง!
ในที่สุดทุกคนก็มั่นใจได้แล้ว เพราะไม่เพียงแต่เสอเจิ้น ขนาดเหยียนชื่อสิงยังถูกลูกธนูดอกนี้โจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส น่าอนาถสะบักสะบอม แทบสิ้นชีพ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินมอบให้!
และตั้งแต่ปรากฏตัวในที่นั้นจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่เริ่มจนจบเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เขากับใช้ลูกธนูสองดอกทำร้ายผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนสองคนให้บาดเจ็บสาหัส!
ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนในที่นั้นต่างไม่อาจสงบใจได้แล้ว เสียงคำรามเดือดดาลและเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นไม่ว่างเว้น ราวกับพายุกึกก้อง
พวกเขาแต่ละคนต่างสีหน้าฉงนและโกรธจัดจนหน้าเขียว มองไปยังเงาร่างเด็กหนุ่มซึ่งง้างคันธนูใหญ่กระดูกขาวที่อยู่ไกลออกไปนั้น ในใจมีความหนาวยะเยือกบอกไม่ถูก
หมอนี่เป็นใครกัน
ในจักรวรรดิมีบุคคลเย้ยฟ้าเช่นนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไร
“เจ้าหน้ามนนี่ที่แท้ก็ร้ายกาจขนาดนี้ ต้องโทษข้าที่นึกว่าเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ที่แท้ก็ถูกเขาหลอกมาโดยตลอด!”
อาปี้กัดริมฝีปากอิ่ม บนใบหน้างดงามแต่ดุดันถึงที่สุดยามนี้มีอารมณ์ซับซ้อนนัก ทั้งตื่นตระหนกและงงงัน ทั้งพาลโกรธและยินดี
ในใจพวกหยางสยงกลับตระหนกและอับอาย พวกเขานึกถึงท่าทีที่ปฏิบัติต่อหลินสวินมาตลอดทาง เวลานี้ถึงเพิ่งรู้ว่า พวกเขาต่างหากที่เป็นจำอวด ดูน่าตลกขบขันยิ่งนัก
เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาไหนเลยสักนิด แต่เป็นบุคคลประหนึ่งมังกรเทพบนสวรรค์ แต่พวกเขากลับท้าทายพลานุภาพของมังกรเทพครั้งแล้วครั้งเล่าราวปลวกน่าหัวเราะ นี่…
ทำให้พวกเขาอับอายจนอยากตาย อยากแทรกแผ่นดินหนี
ทว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ล้วนเริ่มสิ้นหวัง คิดจะเอาชีวิตเข้าแลกแล้วตายจากไป แต่ตอนนี้ การออกโรงอย่างแข็งกร้าวของหลินสวิน กลับทำให้พวกเขาล้วนฮึกเหิมขึ้นมา มองเห็นความหวังราวกับรอดตาย
“หัวหน้าหูทง เชิญมาทางนี้หน่อย”
หลินสวินเอ่ยปากแล้ว เขายืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น ร่างสูงโปร่ง อาภรณ์สีขาวพระจันทร์โบกสะบัดกลางลมจนเกิดเสียง บนใบหน้าหล่อเหลาสุภาพมีความเชื่อมั่นในตัวเองและความโดดเด่นเหนือธรรมดา
คันธนูไร้แก่นสารถูกเขาง้างอยู่ในมือ ตัวคันธนูที่สร้างขึ้นจากกระดูกสีขาวกับสายธนูสีแดงสดราวโลหิตสร้างบรรยากาศน่ากลัวที่ป่าเถื่อนน่าหวาดหวั่น ขับเน้นให้บุคลิกของเขาดุจเทพมารหนุ่มองค์หนึ่ง!
ไม่ต้องสงสัย หลินสวินในตอนนี้ใช้พลังของลูกธนูเพียงสองดอกก็สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั้งที่นั้น กลายเป็นจุดสนใจที่ถูกจับตามอง
หูทงเองก็ตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่สู้ดีดังเดิม ในฐานะเป็นยอดฝีมือที่ประสบการณ์ต่อสู้มากมาย เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลินสวิน เขาก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล เข้าประชิดฝั่งนี้
เขารู้ดีว่าวันนี้จะสามารถหลุดพ้นจากความยากลำบากได้หรือไม่ ความหวังเพียงหนึ่งเดียวก็อยู่ที่คุณชายหลินผู้นั้น เพียงแต่ นี่ทำให้หูทงมีความรู้สึกที่พูดไม่ถูก
ทั้งทำใจเชื่อได้ยาก ทั้งรู้สึกผิด ทั้งตื่นเต้นและทอดถอนใจอย่างพูดไม่ถูก ความรู้สึกนั้นเหมือนมองเห็นแมลงดูดเลือดที่ต้องการการปกป้อง ฉับพลันทันใดกลับกลายเป็นมังกรเกรียงไกรโผทะยานเหนือเก้าชั้นฟ้าตัวหนึ่ง!
ไม่มีใครขัดขวางหูทง
เวลานี้สายตาในที่นั้นรวมอยู่ที่หลินสวินเพียงผู้เดียว เสอเจิ้นและเหยียนชื่อสิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบสิ้นชีพ ถูกผู้อื่นช่วยไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
ทว่าแม้ขาดพวกเขาไปสองคน ในที่นั้นก็ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเผ่าพ่อมดเถื่อนอีกเจ็ดคน ทั้งยังมีกำลังแก่กล้าชั้นยอดของเผ่าพ่อมดเถื่อนนับร้อยพัน!
ที่สำคัญที่สุดคือ อาณาเขตที่หุบเขาพยัคฆ์นี้ตั้งอยู่ ถูกค่ายกลรอยสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ค่ายหนึ่งปกคลุมและผนึกไว้ก่อนแล้ว!
พูดได้ว่า สถานการณ์ของพวกหลินสวินก็ยังไม่สู้ดีดังเดิม
“ไม่คิดว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์ของจักรวรรดิ ถึงกับมีตัวร้ายที่มีพลังพลิกฟ้าเช่นนี้คนหนึ่งโผล่มา”
ชายชราที่ทั้งกายเต็มไปด้วยแสงสีครามผู้หนึ่งเอ่ยปาก เขามีนามว่าจวี้สวิน มาจากสายคนเถื่อนพฤกษา ท่าทางน่าเกรงขามถึงที่สุด
ยามเขาเอ่ยปาก ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทอีกหกคนได้แยกกันโอบล้อม ปิดผนึกอยู่ไกลๆ สีหน้าเย็นชาและมีเจตนาร้าย
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกเล่นงานโดยที่รับมือไม่ทัน ไม่ทันไปช่วยเหลือและขัดขวาง ทำให้เสอเจิ้นและเหยียนชื่อสิงล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส
นี่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตะลึงอย่างล้นเหลือ ใบหน้าอึมครึม ในใจขุ่นเคืองและฉงน
นี่ก็คือความรู้สึกหวาดผวา ทำให้เวลานี้ยามพวกเขาเผชิญหน้าหลินสวิน ท่าทางล้วนแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งราวพบกับศัตรูตัวร้าย ไม่กล้ามองเขาเป็นเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งอีก แต่ยกระดับให้เป็นอันตรายถึงขีดสุด
เพียงแต่พวกเขาก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ว่า เหตุใดเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้เย้ยฟ้าเช่นนี้ หรือว่า… เป็นเพราะคันธนูในมือเขาคันนั้น
พวกเขากำลังสำรวจ สังเกตได้อย่างเฉียบแหลมถึงความลี้ลับและเหนือธรรมดาของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
จะคิดเช่นนี้ก็ปกติ อย่างไรเสียเสอเจิ้นกับเหยียนชื่อสิงล้วนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทที่ไม่ธรรมดา พวกเขามีชื่อเสียงมานาน มีผลงานการต่อสู้นองเลือดที่สามารถทระนงได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขากลับถูกลูกธนูดอกเดียวทำให้บาดเจ็บสาหัส นี่ก็ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าสั่นสะท้านไปทั่ว!
อย่างน้อยก็ไม่มีเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน
ดังนั้นในจิตใต้สำนึกของพวกเขาล้วนคิดว่า กุญแจสำคัญที่ก่อให้เกิดเรื่องทุกอย่างนี้ อยู่ที่คันธนูใหญ่ในมือของเด็กหนุ่มคันนั้น!
อีกทั้งตามที่พวกเขาสังเกต ก็มั่นใจได้อย่างแน่ชัด ด้วยรับรู้ได้ถึงพลังอันตรายคลุมเครือที่พาให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อแผ่ออกมาจากคันธนูใหญ่นั้น!
ตอนที่ 697 หยอกเล่น
โดย
ProjectZyphon
แม้ว่าจะเผชิญความกดดันจากระดับมหาเวทเจ็ดคน หลินสวินกลับมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นราวไม่รู้สึกรู้สา
“สถานการณ์ตอนนี้พวกเจ้าก็เห็นแล้ว จะให้ทางเลือกพวกเจ้าสองข้อ”
“ข้อแรก ให้พวกข้าจากไป ไม่ทำร้ายกัน”
“ข้อสอง สู้กัน!”
เสียงของหลินสวินดังสะท้านไปทั่วสี่ทิศ ท่าทางโอหัง
“เจ้าให้พวกเราเลือกหรือ”
จวี้สวินผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนพฤกษาเดือดดาลจนหัวเราะแล้ว “เจ้าหนู คิดว่าอาศัยคันธนูคันเดียวก็สามารถเหิมเกริมไม่หวั่นกลัวได้แล้วจริงหรือ”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนคนอื่นก็สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง วาจานี้ของหลินสวินเหมือนให้ทานและออกคำสั่ง ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาสักนิด ทำให้พวกเขามีไฟโทสะอัดอั้นอยู่ในอก
“เจ้าไม่ยอมหรือ”
ดวงตาสีดำของหลินสวินมองไปอย่างเย็นเยียบ “หากไม่ใช่ว่ายังต้องดูแลสหายร่วมรบเหล่านั้น วันนี้พวกเจ้าไม่มีโอกาสได้เลือกหรอก!”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา พวกจวี้สวินสีหน้ายิ่งอึมครึมแล้ว พวกเขามีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท ทั้งเป็นคนใหญ่คนโตที่พลานุภาพสะท้านสะเทือนในดินแดนฝั่งหนึ่ง จะเคยถูกล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร
ส่วนพวกหูทงสีหน้ากลับซับซ้อนหาใดเทียบ ก่อนหน้านี้พวกเขามองว่าเด็กหนุ่มเป็นภาระ ต้องการการดูแล ดูถูกดูแคลนเขานัก
แต่ในชั่วพริบตา ความเป็นความตายของพวกเขาในตอนนี้กลับฝากอยู่กับเด็กหนุ่ม กลายเป็นตัวภาระให้อีกฝ่ายเสียอย่างนั้น นี่ทำให้ในใจพวกเขารู้สึกประหลาด
“ทำไมข้ารู้สึกว่าหลังจากเพิ่งยิงธนูสองดอกนั้น ก็ผลาญพลังเจ้าไปเกินครึ่ง เวลานี้เป็นเพียงการขู่ขวัญเท่านั้น”
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้หนึ่งเอ่ยปากเสียงเนิบ ทั่วร่างเต็มไปด้วยหมอกน้ำพร่ามัว ร่างกายราวเกิดจากแสงวารีรวมตัวกัน ดูประหลาดลี้ลับ
กึด!
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง หลินสวินก็ง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุดแล้วเล็งเป้าอย่างไม่ลังเล
เสียงลมสายฟ้าสั่นสะเทือน เทพมารคำรามเดือดดาลที่คุ้นชินปรากฏขึ้นอีกครั้งในที่นั้นพร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดน่ากลัวมากมาย
ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มที่กำลังต่อรองเงื่อนไขจะทำเช่นนี้โดยฉับพลัน
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นั้นตื่นตระหนกจนร้องเสียงแหลม เขาเห็นจุดจบน่าอดอนาถของเสอเจิ้นและเหยียนชื่อสิงกับตาตัวเอง!
ดังนั้นเขาจึงเลือกหนีไปอย่างไม่ลังเล
เพียงแต่ลูกธนูดอกนี้กลับไม่ได้ยิงออกไป ก็เห็นว่าหลินสวินยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าว่าข้าขู่ให้กลัว เหตุใดถึงต้องหลบเล่า”
ใบหน้าชราของผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นั้นพลันแดงก่ำ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง รู้ว่าตนถูกหลอกเข้าแล้ว เจ้าเด็กนี่ถึงกับกล้าหยอกเขาเล่น!
เมื่อคิดถึงว่าท่าทางไม่น่าดูยามตนหลบหนีเมื่อครู่ถูกผู้อื่นในที่นั้นเห็นเข้า เขาก็โกรธจนหน้าเขียวแล้ว
“รังแกกันมากไปแล้ว! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะยิงธนูดอกที่สามได้!”
เขาตะคอก เรียกหินโม่แสงวารีขนาดราวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งออกมา บดขยี้ห้วงอากาศดังโครมคราม พลานุภาพน่าพรั่นพรึง
นี่เป็นวิชาไม้ตายก้นกรุของเขา ทันทีที่ถูกหินโม่กวาดโดน ไม่ว่าร่างกายเจ้าจะแข็งแกร่งปานใด ก็จะถูกบดทำลายในชั่วพริบตา ไม่เหลือแม้ศพ
เห็นได้ชัดว่าแม้อยู่ในความเดือดดาล เขาก็ไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม เลือกวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดมาต่อกรหลินสวิน
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าเขาระวังและหวาดกลัวหลินสวินอย่างยิ่ง
ผึง!
มุมปากหลินสวินยกขึ้น ธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกง้างจนสุดและปล่อยออกมาในชั่วพริบตา
เวลานี้สายตาทั้งที่นั้นล้วนรวมอยู่ที่คันธนูกระดูกขาวลี้ลับคันนี้ รู้สึกได้ถึงพลังน่ากริ่งเกรงยากบรรยายอย่างชัดเจน ปะทุออกมาดุจภูเขาทลายทะเลหวีดร้อง ทำให้ห้วงอากาศในชั่วพริบตานี้เหมือนถูกลบล้าง แปรสภาพเป็นสุญญากาศว่างเปล่า!
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะธนูดอกนี้ว่องไวยิ่งนัก ทั้งพลังก็น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!
ตูม!
หินโม่แสงวารีถูกระเบิดจนแหลกสลายราวเศษกระดาษ
ในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นั้นก็ร้องเสียงประหลาด หลบหนีอีกครั้งหนึ่ง ดูทุลักทุเลยิ่งกว่าเมื่อครู่
เพราะในใจเขาสงสัยอยู่ก่อนแล้วว่าหลินสวินยิงธนูดอกที่สามออกมาไม่ได้ ใครจะคิดว่าความเป็นจริงที่โหดร้ายเช่นนี้กลับกระทบกระเทือนจิตใจราวสาดน้ำเย็นใส่เขา ทำให้เขาตกตะลึงและหวาดหวั่น
เพียงแต่จะหลบตอนนี้ก็ออกจะสายไปแล้ว เสียงตูมดังขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารีผู้นี้ทรวงอกระเบิดแหลก ถูกเจาะให้เป็นหลุมยักษ์หลุมหนึ่งโดยฉับพลัน
ตัวเขาเพิ่งร้องโหยหวน เสียงก็เงียบลงทันใด สิ้นชีพคาที่!
ทุกคนในที่นั้นจิตใจหนาวยะเยือกราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง นี่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนแรกที่ตายไป ไม่ทันได้หลบหนีก็ถูกโจมตีสังหารคาที่
ภาพน่าตะลึงพรึงเพริดและนองเลือดนั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นๆ พากันขวัญหาย เมื่อกี้นี้พวกเขายังสงสัย คิดอยู่ว่าจะพุ่งโจมตี
แต่ลูกธนูดอกนี้ของหลินสวินกลับประหนึ่งตีแสกหน้า ทำให้พวกเขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่ม
“พวกเราคิดผิดไปแล้ว…” หูทงสีหน้าอ่านยาก ถอนใจเสียงเบา
คนอื่นๆ สีหน้าบิดเบี้ยวผสมปนเป
“ตอนนี้ ใครยังอยากลองอีกไหม”
ดวงตาสีดำของหลินสวินกวาดมองไปทั้งลาน มีอานุภาพน่าหวาดหวั่น ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนหลายคนล้วนจิตใจสั่นระรัว ไม่กล้าสบตากับเขา
“หากพวกเราเข้าสู้พร้อมกันล่ะ อาศัยเจ้าเพียงคนเดียว เกรงว่าจะช่วยพรรคพวกเหล่านั้นของเจ้าไม่ได้กระมัง”
จวี้สวินผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของสายคนเถื่อนพฤกษาสีหน้าอึมครึมและเย็นชา ยามพูดจาก็กวาดตามองพวกหูทง อาปี้ปราดหนึ่ง ทำให้ฝ่ายหลังล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุดหย่อน
แน่นอนว่าหากผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนทุกคนในหุบเขาพยัคฆ์นี้ลงมืออย่างไม่สนใจสิ่งใด ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็ยากคาดเดาได้จริงๆ
แต่ที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ การหลั่งเลือดและการสังเวยชีวิตย่อมหลีกเลี่ยงได้ยาก!
“พูดเช่นนี้ พวกเจ้าเลือกข้อที่สองหรือ”
หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง หว่างคิ้วกลับเผยจิตสังหารเปี่ยมล้น “เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน วันนี้ในหมู่พวกเจ้าจะมีกี่คนที่รอดชีวิตไปได้!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยไอสังหารทะลุเมฆา!
นี่เป็นการข่มขู่ที่ตรงไปตรงมาที่สุด แต่กลับได้ผลที่สุด อาศัยอานุภาพของธนูสามดอกเมื่อครู่ ก็ทำให้ไม่มีใครในที่นั้นกล้าเพิกเฉยวาจาและท่าทีของหลินสวินอีก
เมื่อเห็นเขาตอบอย่างแข็งข้อเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทอย่างพวกจวี้สวินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกระลอก ไม่รู้จะเดินหมากอย่างไรอยู่บ้าง
เสียหายทั้งสองฝ่ายก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นเช่นกัน แต่หากยอมรามือเช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกหลินสวินจากไป พวกเขากลับไม่มีทางยินยอม
“ตามที่ข้าสันนิษฐาน ส่วนลึกของเหมืองแร่ในหุบเขาพยัคฆ์แห่งนี้ต้องมีสมบัติเยี่ยมยอดปรากฏขึ้น ถึงได้ดึงดูดพวกเจ้ามาได้ล่ะสิ”
ทันใดนั้นหลินสวินเอ่ยปากพร้อมด้วยรอยยิ้มที่คล้ายมีแต่ไม่มี
คำพูดเดียวทำเอาพวกจวี้สวินล้วนกราดเกรี้ยวและฉงนถึงขีดสุด
ส่วนพวกหูทงก็เกิดความสงสัยขึ้นในจิตใจอยู่นานแล้ว อย่างไรเสียตามข่าวที่ได้มา ในหุบเขาพยัคฆ์มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสั่งการอย่างมากก็แค่สามคน อีกทั้งมีกองกำลังป้องกันชั้นยอดเผ่าพ่อมดเถื่อนไม่เกินห้าสิบคน
แต่ตอนนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเก้าคน รวมถึงยอดฝีมือเผ่าพ่อมดเถื่อนนับพันนับหมื่นโผล่ขึ้นมาในคราวเดียว นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบมาพากล
ดังนั้นเมื่อได้ยินวาจานี้ของหลินสวิน ในที่สุดพวกหูทงก็รับรู้ได้ว่า ที่แท้พวกสวะพ่อมดเถื่อนเหล่านี้มาที่หุบเขาพยัคฆ์แห่งนี้ ก็เพื่อสมบัติที่เพิ่งโผล่ออกมาบางชิ้น!
และเมื่ออธิบายเช่นนี้ ถึงได้ดูสมเหตุสมผล
“วางใจได้ ข้าไม่สนใจสมบัติที่นี่หรอก แต่ที่ข้าสงสัยก็คือ หากวันนี้พวกเจ้าสู้จนสิ้นชีพแล้ว เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้สมบัติไปกระมัง”
หลินสวินสีหน้าผ่อนคลายนิ่งสงบ ดวงตาสีดำกลับเย็นชาน่ากริ่งเกรง คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารถูกง้างขึ้นรอท่าแล้ว
“ไอ้เศษสวะ! เลิกแผลงฤทธิ์เสียที พลังของเจ้าอย่างไรก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ต่อให้เจ้าเก่งกาจกว่านี้ จะฆ่าพวกข้าได้สักกี่คน”
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนทองคำคนหนึ่งคำรามกราดเกรี้ยว เขาอัดอั้นนัก ท่าทีมั่นใจว่าเอาพวกเขาอยู่หมัดของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาอยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ
“เจ้าเดรัจฉานเฒ่า เจ้าก็อยากลองดูหรือ”
หลินสวินเล็งคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารไป ทำให้ฝ่ายหลังสีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ทั้งตื่นตระหนกและโมโหสลับกันกัน
“ช่างเถอะ ให้พวกเขาไปเถอะ”
เวลานี้จวี้สวินพลันถอนใจ สีหน้าอึมครึม
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นต่างมองหน้าเลิ่กลั่ก สุดท้ายล้วนเงียบกริบ พวกเขามาจากขุมอำนาจต่างสายกัน ย่อมไม่อาจร่วมแรงร่วมใจสู้กับหลินสวิน
กอปรกับพลังที่หลินสวินเคยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้น่าตื่นตระหนกและน่าสะพรึงอย่างยิ่งยวด ทำให้แม้พวกเขากราดเกรี้ยวหาใดเทียบ แต่ในใจก็ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเข้าสู้มากแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากตาย
พวกหูทงเมื่อได้ยินดังนี้ก็ดีใจเกินคาด แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
เรื่องราวพลิกผัน รอดชีวิตในสถานการณ์คับขัน ก็มีเพียงเท่านี้!
แต่ความรู้สึกในใจพวกเขากลับไหววูบแปรปรวนอย่างยิ่ง ราวประสบกับความเป็นความตายมา ความรู้สึกเช่นนั้นอย่าเอ่ยเลยว่าทรมานมากขนาดไหน สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งทั่วๆ ไปทรุดทลายได้
ยังดีที่แสงอรุโณทัยแห่งความหวังทอลงมาแล้วในที่สุด!
ผึง!
ถึงกระนั้นที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ ในเวลาเช่นนี้หลินสวินกลับง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร แล้วยิงธนูออกไปอีกดอกหนึ่ง
เพียงแต่เป้าหมายกลับเป็นในเงามืดที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
ชั่วพริบตาพวกจวี้สวินพากันหน้าเปลี่ยนสี เหมือนไม่คิดว่าหลินสวินจะมองอะไรออก
ตูม!
ในเวลาเดียวกัน เสียงกึกก้องราวทำลายล้างเกิดขึ้นในเงามืดนั้น เงาร่างทะมึนที่แทบไร้รูปเงาหนึ่งร้องเสียงแหลมโหยหวน พลันวิ่งพล่านออกมา
นั่นย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของสายคนเถื่อนมืดผู้หนึ่ง เพียงแต่เวลานี้ทั้งร่างของเขาชโลมไปด้วยเลือด ผิวหนังเหวอะหวะ ถูกโจมตีจนแหลกหลายจุด ดูน่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา
“เจ้า… เจ้าถึงกับรับรู้ได้หรือ” เขาร้องเสียงแหลม เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวตื่นตระหนกและสะพรึงกลัว
หลินสวินเอ่ยเสียงเย็น “นี่เป็นเรื่องยากตรงไหนหรือ”
พวกหูทงสูดลมหายใจเย็น เหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั้งกาย พวกเขาเพิ่งรับรู้ในตอนนี้ว่าหากเมื่อกี้ออกไป จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนมืดที่ซ่อนตัวในเงามืดคนนั้นลอบโจมตี เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ไม่อาจคาดคิดได้แล้ว!
แต่หลินสวินกลับรับรู้ทุกอย่างนี้ได้อย่างเฉียบแหลม ทำให้พวกหูทงตะลึงพรึงเพริด ยิ่งรู้สึกว่าหลินสวินน่าเหลือเชื่อ
“พวกเจ้าไปเถอะ!”
เวลานี้จวี้สวินเอ่ยปากแล้ว เขากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นล้วนสีหน้าบูดเบี้ยว เหมือนยอมแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ต้องการรบรากันอีก
กึด!
ที่ตอบกลับพวกเขาคือสายธนูที่หลินสวินดึงจนตึงอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้า…”
พวกจวี้สวินหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ตกใจระคนโกรธเกรี้ยวถึงที่สุด เจ้าสวะตัวจ้อยนี่ไม่คิดจะไปแล้ว แต่คิดจะฆ่าฟันกับพวกเขาจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งจริงๆ หรือ
“เหอะๆ อย่าตระหนกไป ขู่ให้พวกเจ้ากลัวเท่านั้นเอง”
กลับเห็นว่าหลินสวินพลันหัวเราะ คลายสายธนูลง
ทันใดนั้นพวกจวี้สวินสีหน้าอัดอั้นจนหน้าบูดเขียวแล้ว โกรธจนแทบกดความอยากพุ่งไปฆ่าคนไว้ไม่อยู่ เจ้าเด็กนี่สารเลวเกินไปแล้ว ถึงกับยั่วแหย่พวกตนครั้งแล้วครั้งเล่า!
หลินสวินกลับจากไปอย่างรวดเร็ว พาพวกหูทงเดินออกไปยังปากทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ที่ไกลออกไป
“จะลงมือหรือไม่” พวกจวี้สวินต่างสีหน้าอึมครึมและไม่พอใจ จิตสังหารพันพัวอยู่ในดวงตาระหว่างมองตามไปไกล
น่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว!
เจ้าเด็กนี่อาศัยคันธนูคันเดียว ก็สังหารพรรคพวกของพวกเขาไปคนหนึ่งอย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้เสอเจิ้นกับเหยียนชื่อสิงบาดเจ็บสาหัส หากปล่อยให้เขาพาคนอื่นเดินอาดๆ จากไปเช่นนี้ ก็ช่างเป็นการหยามเหยียดใหญ่โต หากข่าวกระจายออกไป ต้องทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น เชิดหน้าชูคอไม่ได้แน่!
“คันธนูนั่นเป็นสมบัติยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งเชียวนะ…” ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งเอ่ยช้าๆ
ประโยคเดียวทำให้คนอื่นยิ่งไม่พอใจ แทบจะคุมไว้ไม่อยู่แล้ว
“ทุกท่านอย่าลืมสิ ‘ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน’ ที่พวกเราร่วมกันวางยังอยู่ ก็ดูว่าพวกเขาจะออกไปได้หรือไม่…” รังสีเย็นเยียบฉายวาบในดวงตาจวี้สวิน
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นๆ ล้วนหวั่นไหว
พวกเขาย่อมฟังออกว่า ความนัยในคำพูดของจวี้สวินก็คือ หากผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิเหล่านี้ออกจากค่ายกลนี้ไปไม่ได้ เช่นนั้น…
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นโอกาสลงมือที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น