Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 690-695

 ตอนที่ 690 เจ้าหน้ามน เจ้าเพิ่งมาใหม่กระมัง

โดย

ProjectZyphon

จ่างซุนเลี่ยจับจ้องตัวอักษรบนจดหมายลับเงียบๆ อยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่ได้ กล่าวถามว่า “เหวินถิง เจ้าคิดว่าราชันกระหายเลือดหมายความว่าอย่างไร”


หลูเหวินถิงเองก็กลัดกลุ้มเช่นกัน กล่าวอย่างลังเลว่า “ดูจากสภาพการณ์ ที่มาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก ดังนั้นจึงได้ถูกส่งตัวมาสมรภูมิกระหายเลือดเพียงลำพัง…”


จ่างซุนเลี่ยตัดบท “ข้าถามว่าราชันกระหายเลือดหมายความว่าอย่างไร!”


หลูเหวินถิงหน้านิ่วคิ้วขมวด “ท่านแม่ทัพ นี่ทำให้ข้าอักอ่วนนัก ใต้เท้าราชันกระหายเลือดแผนการลึกล้ำดั่งขุนเขามหาสมุทร สุดหยั่งรู้ได้ ความคิดของเขา ผู้ใต้บัญชาอย่างข้าจะคาดเดาได้อย่างไร”


คิ้วของจ่างซุนเลี่ยขมวดมุ่นมากขึ้นทุกที ตบเอกสารราชการหนึ่งฉาด ปากก็กล่าวพึมพำ “ระยำ อย่าว่าแต่ดูแลเป็นพิเศษเลย แต่ใครจะกล้าทำแบบนี้จริงๆ ตาเฒ่าสารเลวอย่างราชันกระหายเลือดนี่ช่างน่าโมโหนัก เกริ่นประโยคเดียวแบบนี้ก็จบเรื่องแล้ว แต่ทำให้ข้าปวดกบาลได้!”


ตาเฒ่าสารเลว…


ดวงตาของหลูเหวินถิงแทบถลน ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ เกรงว่าคงมีเพียงแม่ทัพเบื้องหน้าผู้นี้เท่านั้นที่กล้าด่าท่านผู้นั้นว่าตาเฒ่าสารเลว


“ท่านแม่ทัพ จากที่ข้าดู เด็กคนนั้นจะต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ถึงได้ถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดส่งมาสมรภูมิกระหายเลือดเพียงลำพัง ในเมื่อใต้เท้าราชันกระหายเลือดบอกเองว่าให้ ‘กระทำการอย่างยุติธรรม’ กับเด็กคนนี้ เช่นนั้นพวกเราแค่ทำตามคำสั่งก็สิ้นเรื่อง”


หลูเหวินถิงเลือกสรรคำอย่างพินิจพิจารณา “แน่นอน แม้ว่าพวกเราจะไม่ ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ กับเด็กคนนี้ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ยังต้องให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของเด็กคนนี้อยู่ เลี่ยงไม่ให้เขาประสบเหตุสุดวิสัยใดๆ ซึ่งยากต่อการอธิบายต่อใต้เท้าราชันกระหายเลือดในอนาคต”


จ่างซุนเลี่ยนวดหว่างคิ้ว กล่าวพลางถอนหายใจ “ก็คงได้แต่ทำแบบนี้แล้ว ตาเฒ่าสารเลวคนนี้ออกจากสมรภูมิกระหายเลือดไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตัวเขาไม่อยู่ก็ช่างเถิด ตอนนี้กลับโยนเจ้าหนูคนหนึ่งมาสร้างความลำบากให้ข้านี่มันสารเลวถึงขีดสุดแล้วชัดๆ!”


กล่าวถึงตรงนี้ ดูเหมือนเขาจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ถามว่า “เจ้าเคยถามเด็กคนนี้หรือไม่ว่ามาสมรภูมิกระหายเลือดแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่”


หลูเหวินถิงส่ายหน้า กล่าวอย่างจนปัญญา “ตอนนั้นข้าตกใจแทบแย่ สมองยังสับสน ไหนเลยจะมีความคิดถามเรื่องพวกนี้ หรือไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ให้ข้าไปถามไถ่แบบเจาะจง?”


จ่างซุนเลี่ยครุ่นคิดสักพักก็กล่าวพลางโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่ต้องถามแล้ว ขอเพียงเขาไม่ก่อหายนะใหญ่หลวงตอนอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ พวกเราก็แกล้งหลับตาข้างหนึ่ง วันๆ ข้ายุ่งง่วนแต่กับการต่อสู้กับราชันเศษเดนพ่อมดเถื่อน ไม่มีเวลาไปสนใจเด็กคนนั้นหรอก”


หลูเหวินถิงพยักหน้า แน่นอนว่าสำหรับแม่ทัพใหญ่ระดับผู้ดูแลค่ายอย่างจ่างซุนเลี่ยแล้ว คงไม่มีเรี่ยวแรงอะไรไปสนใจเด็กหนุ่มที่ถูกส่งมาอย่างลึกลับคนหนึ่งได้


“แต่แน่นอนว่าต้องจับตามองการเคลื่อนไหวของเขาให้ข้าด้วย เขาประสบอุบัติเหตุได้ กระทั่งตายไปเลยก็ได้ แต่ไม่อาจตายในอาณาเขตของข้าเป็นอันขาด!”


จ่างซุนเลี่ยกล่าวเสริมหนึ่งประโยค


ถึงแม้ถ้อยคำจะโหดร้าย ทว่าหลูเหวินถิงตระหนักดี เพราะจดหมายลับฉบับนั้นของราชันกระหายเลือด แม้จะบอกว่า ‘หลินสือเอ้อร์’ คนนั้นจะไม่ได้รับ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ ที่สลักสำคัญอะไร ทว่าในเรื่องความปลอดภัยของเขา จ่างซุนเลี่ยกลับไม่อาจไม่สนใจ


หลูเหวินถิงอดกล่าวพึมพำไม่ได้ “เด็กคนนี้ช่างเป็นเผือกร้อนลวกมือคนหนึ่งเสียจริงๆ สมรภูมิกระหายเลือดมีตั้งแปดค่าย ไฉนเขาถึงแจ้นมาหาพวกเราถึงที่นี่ได้… ถ้าหากส่งเขาไปให้ค่ายอื่นได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องอึดอัดกระอักกระอ่วนกันขนาดนี้…”


“หืม?”


นัยน์ตาของจ่างซุนเลี่ยวาววับ เปล่งประกายดุจดั่งคบเพลิง “ส่งเขาออกไป? ทำแบบนี้ก็ได้นี่ แต่ว่า ยังต้องสังเกตการณ์ไปก่อนสักระยะ ตราบใดที่เขาไม่ก่อเรื่อง ข้าแม่ทัพใหญ่ผู้สูงส่งแห่งจักรวรรดิ ยังจะปล่อยเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ไม่ได้เชียวหรือ”


หลูเหวินถิงคลี่ยิ้มอย่างรู้ทัน “ท่านแม่ทัพพูดถูก ไม่ก่อเรื่องก็ง่ายหน่อย ถ้าก่อเรื่อง ก็ได้แต่ส่งเผือกร้อนลวกมือนี้ไปให้แม่ทัพค่ายอื่นปวดเศียรเท่านั้นแล้ว”


“ต้องให้เจ้าพูดแบบนี้ด้วยหรือ”


จ่างซุนเลี่ยถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาเองก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน


……


หลินสวินไม่รู้เลย ว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันของเขากลับทำให้แม่ทัพใหญ่และหัวหน้าฝ่ายพลาธิการผู้มีอำนาจควบคุมกองเสบียงต่างปวดเศียรเวียนเกล้าไม่สิ้นสุด


เวลานี้เขายังคงพูดคุยอยู่กับเหล่าหวง


แม้ว่าจะเป็นช่วงดึก ภายในโรงเตี๊ยมดาบโลหิตกลับคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนล้วนมีกลิ่นอายดุกร้าว ต่างก็เป็นพวกโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบเลือด ต่างฝ่ายต่างร่ำสุราเสวนากันอย่างเอ็ดอึง


เหล่าหวงเองก็ดื่มมากแล้ว แก้มกับปลายจมูกเรื่อแดง เมามายตาเยิ้ม หลินสวินสั่งเหล้าสามกาติดต่อกัน ส่วนใหญ่ล้วนกรอกเข้าไปในท้องของเหล่าหวงทั้งสิ้น


“ใต้เท้าท่านรู้หรือไม่ ข้าแช่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเห็บหมานี่มาห้าปีแล้ว ห้าปีเชียวนะ พรรคพวกข้างกายข้าเปลี่ยนไปชุดแล้วชุดเล่า ทั้งคนที่คุ้นเคยและแปลกหน้า จนบัดนี้ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าข้าควรจำใครบ้าง”


“คนอื่นล้วนบอกว่าข้าดวงแข็ง ห้าปีแล้วยังไม่ตาย เหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่ตัวข้าเองรู้ดี ข้าแม่งก็แค่กลัวตายเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สู้รบ ข้าล้วนทำทุกวิธีให้ตัวเองไม่ตายแบบสุดแรงเกิด ถึงได้บังเอิญอยู่รอดมาจนป่านนี้…”


“แต่ว่า การรอดชีวิตแบบนี้มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน! ทุกๆ วันยามตื่นขึ้นมา ความคิดแรกก็คือควรรอดชีวิตให้พ้นวันนี้ไปได้อย่างไร! เรื่องต่อจากนี้และอนาคตอะไรนั่น ใครแม่งมันจะไปใส่ใจกัน”


“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ที่นี่เป็นสมรภูมิกระหายเลือดเล่า ความตายล้วนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เผลอๆ วันใดวันหนึ่ง ข้า… ข้า… ก็…”


เหล่าหวงกล่าวถึงตรงนี้อย่างตะกุกตะกัก เมามายโดยสิ้นเชิงแล้ว หน้าผากกระแทกกับโต๊ะ นอนหลับกรนเสียงดังขึ้นมา


หลินสวินนั่งจิบเหล้าอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ท่าทางแสนสงบ ภายในใจกลับนึกถึงถ้อยคำที่จ้าวไท่ไหลเคยกำชับมากกว่าหนึ่งครั้ง


‘จำไว้ว่าต้องอยู่รอดต่อไป!’


ในตอนนั้น ท่าทางของจ้าวไท่ไหลดูเคร่งขรึมและจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


‘อยู่รอดต่อไป…’


หลินสวินพึมพำอยู่ในใจ มองไปยังเหล่าหวงที่เมาแอ๋อยู่ข้างๆ แล้วมองไปยังผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทั้งหมดที่หัวเราะรื่นรมย์ดื่มกินกันตามอำเภอใจภายในโรงเตี๊ยม


เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน ก่อนกระดกเหล้าในกาหมดรวดเดียว


เหล่าหวงเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะที่ดุดันถึงที่สุดคนหนึ่ง ทว่าหลังจากเขาเมาแล้ว กลับทำอะไรไม่ถูกและดูเจ็บปวดมากเพียงนั้นอย่างเห็นได้ชัด


สิ่งนี้ทำให้หลินสวินตระหนักอย่างสุดซึ้ง ว่าชีวิตในสมรภูมิกระหายเลือดโหดร้ายและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก


……


กลางดึก ยามหลินสวินกลับถึงที่พักของตนและกำลังเตรียมจะผลักประตูเข้าไปนั้น กลับได้ยินเสียงเศร้าสร้อยระลอกหนึ่ง


บริเวณที่ไกลออกไป มีเงาร่ายสายหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านหิน พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงสะอื้นไห้ที่ข่มกลั้นไว้สุดฤทธิ์ คล้ายกับกลัวเหลือเกินว่าจะรบกวนผู้อื่นเข้า


“พี่ ข้าจะแก้แค้นแทนท่านเอง ไม่ล้างโคตรพวกเศษเดนพ่อมดเถื่อน ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ออกจากสมรภูมิกระหายเลือดเด็ดขาด!”


นั่นคือหญิงสาวนางหนึ่ง ผมสั้นเสมอหู รูปร่างผอมเพรียวปราดเปรียว มีความดุร้ายที่ปะทุออกมาประการหนึ่ง เพียงแต่นางในตอนนี้สีหน้ากลับเจือความร้าวระทม ดวงตาแดงก่ำ มีหยาดน้ำตาพราวระยับ


“มองอะไร ถ้ามองอีกจะควักลูกตาเจ้าซะ!”


ครั้นสัมผัสถึงสายตาของหลินสวิน หญิงสาวผู้นั้นพลันหยัดกายขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งตัวพลันเปลี่ยนเป็นดุดันและแข็งกร้าว ถลึงตาจ้องหลินสวินปราดหนึ่ง


หลินสวินไม่ได้รู้สึกโกรธ ทำเพียงกล่าวหนึ่งคำ “ขออภัยด้วย” จากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าบ้านของตน


หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางรัตติกาล ดูอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงแค่นเสียงหนึ่งครา ค่อยเบือนหน้าแล้วหมุนกายจากไป


……


เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น


ฟ้ายังไม่ทันสาง หลินสวินก็ตื่นขึ้นมาจากการทำสมาธิ


‘ฝึกปราณหนึ่งครั้ง ก็เผาเผลาญผลึกวิญญาณระดับสูงไปสี่สิบเก้าอัน เป็นอย่างนี้ต่อไป แม้จะมีโอกาสในการเลื่อนระดับทะลวงขั้น แต่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี’


หลินสวินมุ่นคิ้ว


ข้างกายเขามีเศษผงผลึกที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่กองหนึ่ง เป็นเพียงผลึกวิญญาณที่เขาเผาผลาญทิ้งไปในการฝึกปราณตลอดทั้งคืน


หากเป็นเมื่อก่อน หลินสวินคงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย


ทว่าในสมรภูมิกระหายเลือดที่พลังวิญญาณร่อยหรอแห่งนี้ หลินสวินกลับไม่อาจไม่ให้ความสำคัญว่าจะทำอย่างไรให้กอบโกยผลึกวิญญาณ รวมถึงประหยัดผลึกวิญญาณให้มากขึ้นกว่าเดิม


สิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกปวดหัวมากที่สุดคือ การฝึกปราณของเขาในตอนนี้ได้บรรลุถึงขอบเขตเต็มสมบูรณ์ในระดับหยั่งสัจจะขั้นกลางแล้ว คิดจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสูงของระดับหยั่งสัจจะ ก็ห่างแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น


แต่หลินสวินทราบดี หากปราศจากการค้ำจุนของผลึกวิญญาณระดับสูงในปริมาณมหาศาล การห่างแค่เพียงก้าวเดียวนี้ จะต้องตรากตรำเสียยิ่งกว่าทะยานฟ้า


“ช่างเถอะ ช่วงนี้ก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกยุทธ์และพลังจิตวิญญาณเป็นหลัก รอจนเก็บเกี่ยวผลึกวิญญาณเพียงพอแล้ว ค่อยคิดเรื่องทะลวงขั้นก็ยังไม่สาย”


หลินสวินสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก ทำการตัดสินใจ


ในแง่การฝึกจิตวิญญาณ เขาฝึกหยั่งถึงระดับใหญ่ที่สองของเคล็ดเวทบริกรรม ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ แล้ว ระยะห่างของการทะลวงระดับนั้นยังอีกยาวไกล


ภายใต้สถานการณ์ที่พลังวิญญาณไม่เพียงพอ หันไปขัดเกลาพลังจิตวิญญาณเป็นการเฉพาะก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว


ในทำนองเดียวกัน ในด้านการฝึกยุทธ์ จนบัดนี้หลินสวินยังมีวิชาลับบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์


เช่น ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ หลินสวินสันทัดเพียง ‘ก้าวย่างชือน้ำแข็ง’ ‘ปะทะฟู่ซี่’ ‘ประทับปี้อั้น’ ‘ผนึกป้าเซี่ย’วิชาลับสี่ร่างแรกนี้เท่านั้น


มรดกวิชาลับร่างที่ห้าถึงเก้า ยังไม่เคยถูกเขาหยั่งรู้ควบคุม


นอกจากนี้ ‘กระบวนท่าคว้าดารา’ ‘กระบวนท่าสอยจันทรา’ และ ‘กระบวนท่าเผาตะวัน’ ใน‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ถึงแม้จะถูกหลินสวินควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าหลินสวินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงมรดกวิชาลับครึ่งแรกของเพลงดาบวัฏจักรฟ้าเท่านั้น!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ครึ่งหลังของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า ยังมีมรดกที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั่นเอง!


ที่น่าเสียดายคือ ตอนที่หลินสวินอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ได้รับมาเพียงครึ่งแรกเท่านั้น ส่วนจะได้รับครึ่งหลังเมื่อไหร่นั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าฟันธง


เช่นเดียวกับเพลงดาบวัฏจักรฟ้า ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ ที่หลินสวินฝึกเป็นหลักก็มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้น บนนั้นบันทึกวิธีการฝึกปราณของห้าระดับใหญ่ตั้งแต่ ‘ระดับกำลังภายใน’ จนถึง ‘ระดับกระบวนแปรจุติ’ เอาไว้


จากตรงนี้คาดเดาได้ว่า ในครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน จะต้องบันทึกเคล็ดลับการฝึกปราณขั้นสูงที่เกี่ยวกับระดับสังสารวัฏเอาไว้เป็นแน่!


น่าเสียดาย ครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินนี้ หลินสวินก็ไม่ได้รับมาเช่นเดียวกัน


“รอให้ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำของข้าบรรลุถึงระดับเจตจำนงมรรค ก็สามารถเข้าไปทดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์ได้อีกครั้ง หวังว่าตอนนั้นจะเอาครึ่งหลังของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า และครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินมาได้ทั้งหมด…”


หลินสวินพึมพำ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถรับประกันข้อนี้ได้ ห้องโถงมรรคาสวรรค์แห่งนั้นลึกลับเกินไป ตอนนี้เขาเป็นถึงมกุฎราชันแห่งระดับหยั่งสัจจะแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กอ่อนหัดที่ไม่ประสีประสาอะไรเลยเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว


แต่ก็เพราะยิ่งเข้าใจมากขึ้น จึงทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักถึงความลึกลับและน่าเหลือเชื่อของห้องโถงมรรคาสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ


อย่างน้อยจนป่านนี้หลินสวินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าบนโลกนี้จะมีสมบัติชนิดไหนที่มีวิธีใช้งานน่าอัศจรรย์หาที่เปรียบไม่ได้อย่างห้องโถงมรรคาสวรรค์ เรียกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่เย้ยฟ้ากบฏสวรรค์อย่างสิ้นเชิง!


ยามหลินสวินผลักประตูออกมา ก็เห็นหญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความดุร้าย กลิ่นอายดุดัน รูปร่างปราดเปรียวคนนั้นที่เคยพบเมื่อวาน กำลังเดินมาตามท้องถนนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก


หลินสวินผงกหัวให้อย่างสุภาพ ขณะที่เตรียมจะจากไป กลับเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้ากะทันหัน


นางมีผิวสีข้าวสาลี โครงหน้าราวกับใช้มีดแกะสลักมิปาน มีความงดงามที่ทั้งดุร้ายและแข็งกร้าวประการหนึ่ง


เวลานี้ดวงตาดุจถั่วซิ่งเหริน (อัลมอนด์) คู่นั้นของนางหรี่ลงเล็กน้อย วาววาบด้วยประกายคมกริบ จับจ้องที่แก้มของหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นปลายนิ้วเรียวเล็กออกมาเชยปลายคางของหลินสวินขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าหน้ามน เจ้าเพิ่งมาใหม่กระมัง ข้าชื่ออาปี้ ต่อไปข้าคุ้มครองเจ้าเอง มีปัญหาอะไรก็พูดชื่อข้าออกไปได้”


กล่าวเสร็จนางก็หมุนกายจากไป ฝีเท้าคล่องแคล่วปราดเปรียว เรือนผมสั้นเสมอหูสีข้าวฟ่างอ่อนพลิ้วไปตามลม ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง


——


ตอนที่ 691 ทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดารา

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินนิ่งงัน แล้วอดยิ้มไม่ได้


หญิงสาวผู้นี้แลดูดุดัน แต่อันที่จริงก็เป็นเพียงคนแข็งนอกอ่อนในคนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่… เหตุใดตนถึงกลายเป็นเจ้าหน้ามนไปได้


หลินสวินลูบแก้มของตัวเอง สภาพจิตใจกลับเปลี่ยนเป็นรื่นรมย์อย่างน่าประหลาด


……


แม้ว่าสีท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทุกอณูภายในค่ายหมายเลขเจ็ดกลับเป็นภาพอันยุ่งง่วนทั้งผืน เสียงดังเอ็ดอึงไม่สิ้นสุด


กองกำลังผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิขบวนแล้วขบวนเล่าถูกเรียกระดมพล


พวกเขาขยันขันแข็ง เข้มงวดกวดขัน รวมตัวกันอยู่ในลาน จากนั้นถูกหัวหน้าของตัวเองนำไป โดยสารบนเรือรบหลากรูปแบบของจักรวรรดิ พุ่งทะยานสู่ท้องนภา ออกไปจากค่ายทหารท่ามกลางเสียงอึกทึกบาดหูเป็นระลอก


หลินสวินสัมผัสได้ว่าในบรรดาเรือรบเหล่านั้น มีเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิ เรือบรบอินทรีเหินขนาดกลางของจักรวรรดิ และยังมีเรือรบวีรชนม่วงขนาดเล็กอีกด้วย


พวกมันเหินขึ้นเหนือท้องฟ้า คล้ายแผ่นดินใหญ่ที่ลอยล่องผืนแล้วผืนเล่า ลอยเสียงแผ่วจางจากไปยังสนามรบเวิ้งว้างห่างไกลออกไป ภาพนั้นดูน่าตื่นตา แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด


ในเวลาเดียวกัน ในค่ายทหารก็มีผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก เป็นกลุ่มก้อนแน่นขนัด ร้องเรียกพวกพ้อง ควงศาสตราวุธนานาชนิด รอเคลื่อนพลเดินทาง


เมื่อเทียบกับกองทัพทางการแล้ว พวกเขาราวกับกลุ่มพันธมิตรนักล่าขบวนแล้วขบวนเล่า ซึ่งเป็นกำลังรบแบบกองโจร อีกทั้งจุดประสงค์ก็ยังแสนจะเรียบง่าย นั่นคือเพื่อไล่ล่าสังหารศัตรู เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึก ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนความมั่งคั่ง


ดังคำกล่าวที่ว่าความมั่งคั่งต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ผู้ที่กล้าวิ่งโร่มาเสี่ยงภัยในสมรภูมิกระหายเลือด ต่างก็เป็นพวกโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบโลหิตกันเกือบทั้งสิ้น ไม่มีบุคคลธรรมดาเลยสักคน


ยิ่งกว่านั้น ผู้ฝึกปราณธรรมดาสามัญแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่รอดในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้


ณ กองพลาธิการ


“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับการมอบหมายหน้าที่ของข้าเสียหน่อย”


เมื่อมองเห็นหลูเหวินถิง หลินสวินก็พูดจุดประสงค์ของตนออกมาตรงๆ


“เอ่อ…”


หลูเหวินถิงอึ้งงัน เมื่อวานเขายังสงสัยอยู่ ว่าเด็กหนุ่มซึ่งถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดส่งมาคนนี้ มาที่นี่เพราะต้องการทำอะไรกันแน่


กลับคิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่วันนี้หลินสวินกลับเป็นฝ่ายมาถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง


“เจ้า… ให้ข้าจัดแจงหน้าที่ให้เจ้า?” หลูเหวินถิงถาม ดูคล้ายว่าไม่อยากเชื่อ


หลินสวินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าดูตรงไปตรงมาและเยือกเย็นอย่างยิ่ง


ทว่าหลูเหวินถิงกลับปวดหัว ในใจยุ่งเหยิงอย่างถึงที่สุด จัดแจงหน้าที่ให้เจ้าเด็กคนนี้?


ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้น เช่นนั้นผลที่ตามมาผู้ใดจะรับผิดชอบไหว


แต่หากไม่สนใจเขา ก็จะสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย นั่นก็ไม่เหมาะอีกเช่นกัน


ควรทำอย่างไรดี


หลูเหวินถิงขมวดคิ้วเป็นปมอยู่นาน ท้ายที่สุดก็อดกล่าวไม่ได้ “เอ่อ… คุณชายหลิน ข้าขอถามสักหน่อย ท่านค่อนข้างถนัดอะไร”


หลินสวินกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ไปฆ่าศัตรูในสนามรบ หรือไม่ก็หลอมอาวุธ ได้ทั้งหมด”


“หลอมอาวุธ?”


นัยน์ตาของหลูเหวินถิงแทบจะถลนออกมา เจ้าหนูนี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขาได้ยินอะไรบางอย่าง ถึงได้คิดจะวิ่งแจ้นไปกอบโกยเหรียญกล้าหาญที่ ‘กองยุทโธปกรณ์’?


ในค่ายทหารของสมรภูมิกระหายเลือด นักสลักวิญญาณที่มีความเชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธและซ่อมแซมอาวุธนั้นเนื้อหอมที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย


เนื่องจากในสนามรบมีการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นไม่เว้นวัน ดังนั้นนักสลักวิญญาณแต่ละคนล้วนมีภารกิจไม่รู้จบในทุกๆ วัน


แน่นอนว่านักสลักวิญญาณนั้นยุ่งตัวเป็นเกลียว เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทว่าในสายตาของคนนอก กลับเป็นภารกิจที่อิ่มหมีพีมันหาที่เปรียบไม่ได้ นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ก็สามารถเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญของกองทัพได้ไม่รู้จบ!


แต่ว่า กองยุทโธปกรณ์เป็นแกนกลางสำคัญแห่งหนึ่งภายในค่าย ในสถานการณ์ทั่วไปไม่อนุญาตให้บุคคลใดก็ตามยื่นมือเข้าแทรกแซงสิ่งต่างๆ ทางนั้น


นี่ก็เพื่อรับประกันว่านักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์จะสามารถมีสมาธิกับหลอมอาวุธ เตรียมความพร้อมอย่างครบครันให้แก่ผู้ฝึกปราณที่ออกรบแต่ละคนได้ทันท่วงที


‘ไม่ได้ จะให้เจ้าหนูนี่วิ่งโร่ไปสร้างความปั่นป่วนไม่ได้เด็ดขาด ฐานะของเขาพิเศษ ถ้าหากก่อเรื่องในกองยุทโธปกรณ์ จะต้องก่อกวนลำดับขั้นตอนตามปกติของกองเป็นแน่ แต่ก็ดันตำหนิติติงเขาไม่ได้อีก เป็นแบบนี้สถานการณ์คงเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ…’


หลูเหวินถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และปฏิเสธความคิดที่จะให้หลินสวินไปหาอะไรทำที่กองยุทโธปกรณ์โดยตรง


“ที่กองยุทโธปกรณ์คนเต็มนานแล้ว ตำแหน่งต่างๆ ล้วนอิ่มตัว นี่…” หลูเหวินถิงแสดงท่าทางลำบากใจ


“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยจัดหน้าที่สังหารศัตรูให้ข้าก็พอ ข้าจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวเหรียญกล้าหาญจำนวนหนึ่ง” หลินสวินก็ไม่ได้ผิดหวัง ดูเยือกเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด


เห็นว่าหลินสวินว่าง่ายเช่นนี้ หลูเหวินถิงก็ลอบถอนหายใจโล่งอกหนึ่งเฮือก


น่าเสียดาย เขาไม่รู้เลยสักนิด ครั้งนี้เท่ากับว่าเขาปฏิเสธโอกาสทองที่ยากพานพบไปเสียแล้ว!


ควรรู้ว่าหลินสวินเป็นถึงเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ ณ ขณะนี้ อีกทั้งยังเคยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสะเทือนฟ้าดินอย่าง ‘อาสัญสลาย’ ออกมาได้สำเร็จ


ยิ่งกว่านั้น ‘กระถางสมบัติเก้ามังกร’ ของจ้าวจิ่งเซวียนก็สร้างจากมือหลินสวินเช่นกัน กระทั่งแม้แต่ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ชุดศึกสลักวิญญาณที่ชำรุดซึ่งอยู่ในครอบครองของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ก็ได้รับการซ่อมแซมจากหลินสวินทั้งสิ้น


เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณเช่นนี้ หากเข้ารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์ของค่ายหมายเลขเจ็ด ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่จะได้รับทั้งหมดจะต้องเหนือจินตนาการเป็นแน่


หลูเหวินถิงล้วนไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้


ภายในใจของเขาคิดโดยทันทีว่าหลินสวินก็คือพวก ‘ทายาทรุ่นสองไม่เอางาน’ คนหนึ่ง ถูกใต้เท้าราชันกระหายเลือดโยนมาที่นี่เพื่อ ‘ชุบทอง’


ถ้าหากเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ กลัวแต่ว่าคงนึกเสียใจภายหลังจนไส้พังหมดกระมัง


แน่นอน ไม่รู้ก็มีข้อดีของความไม่รู้เช่นกัน อย่างน้อยหลูเหวินถิงในตอนนี้ก็ดีอกดีใจที่หลินสวินให้ความร่วมมือกับตนยิ่งนัก


ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ต้องปวดหัวอีกครั้ง


สังหารศัตรู?


ส่งเจ้าหนูนี่ไปสนามรบเพื่อเข่นฆ่ากับพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อน หากเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า


อย่าว่าแต่เขาหลูเหวินถิงเลย ต่อให้เป็นแม่ทัพจ่างซุนเลี่ยผู้ดูแลค่ายหมายเลขเจ็ดเอง ก็กลัวแต่ว่าคงต้องเผชิญหน้ากับเพลิงโทสะของใต้เท้าราชันกระหายเลือดเป็นแน่!


หลูเหวินถิงดูคล้ายกับมีอาการท้องผูก ดวงหน้าย่นยู่ ลอบด่าทอกับตัวเอง ‘ระยำ เจ้าหมอนี่เป็นเผือกร้อนลวกมือตัวแสบจริงๆ ด้วย เมื่อวานเพิ่งจะมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด ยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ ก็เริ่มคิดจะขยับตัวอย่างโง่เง่าแล้ว นี่ไม่ได้ทำให้คนลำบากใจล้วนๆ เลยหรอกหรือ!’


“ทำไมหรือ หรือว่ายังมีปัญหา” หลินสวินขมวดคิ้ว


หลูเหวินถิงคนนี้ช่างจู้จี้จุกจิกเหลือเกิน หรือว่าคนตำแหน่งสูงอย่างหัวหน้ากองพลาธิการ แม้แต่หน้าที่นิดเดียวก็จัดการให้ไม่ได้เชียวหรือ


เผือกร้อนลวกมือรายนี้เริ่มแสดงอาการไม่พอใจแล้ว!


หลูเหวินถิงรู้สึกสะท้านในใจ ท้ายที่สุดก็กัดฟันแน่น พาหลินสวินไปมอบหมายหน้าที่สังหารศัตรูให้เขาด้วยตัวเอง “คุณชายหลิน โปรดตามข้ามา”


……


กลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดารา


ทั้งกลุ่มมีสมาชิกเพียงเก้าคนเท่านั้น ผู้นำมีนามว่าหูทง เป็นผู้แข็งแกร่งทรงอิทธิพลที่กรำศึกมาร้อยสมรภูมิ เคยรบห้ำหั่นมานับครั้งไม่ถ้วนในสมรภูมิกระหายเลือด


ในขณะเดียวกัน หูทงก็เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ชื่องเสียงกระฉ่อนทั่วค่ายหมายเลขเจ็ดผู้หนึ่ง!


เขาอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดมาสิบหกปีแล้ว


ในสนามรบอันโหดร้ายหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งมีการตายเกิดขึ้นไม่เว้นวันแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาถึงสิบหกปีโดยไม่ตาย นี่ย่อมเป็นความแข็งแกร่งที่สำแดงออกมาอย่างหนึ่ง


“ภารกิจในครั้งนี้ของพวกเราคือมุ่งหน้าไป ‘หุบเขาพยัคฆ์’ ที่อยู่ห่างจากค่ายหนึ่งพันสามร้อยลี้ ที่นั่นมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งของพวกสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนประจำการอยู่ เป้าหมายของพวกเราคือฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก จากนั้นเอาแร่ ‘เหล็กดาราจรัสสลาย’ ที่มีเฉพาะในหุบเขาพยัคฆ์ออกมา”


“หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจครั้งนี้ จะได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสองสองชิ้น เหรียญชั้นสามหกชิ้น เมื่อนำมารวมกันแล้วสามารถแลกเปลี่ยนคะแนนได้ถึงหนึ่งพันหกร้อยแต้ม”


“นี่เป็นภารกิจที่พูดไม่ได้ว่าอันตรายมากมายอะไร เพียงแต่หนทางค่อนข้างยาวไกล ถ้าหากทำเวลาได้ ก่อนฟ้ามืดก็สามารถกลับมาที่ค่ายได้”


“ทุกคนมีข้อข้องใจหรือไม่”


เสียงของหูทงหยาบกระด้าง ถ้อยคำหนักแน่นทรงพลัง เขามีรูปร่างผอม ใบหน้าฉายแววแข็งกระด้าง หว่างคิ้วกลับมีแววหนักแน่นลุ่มลึกประการหนึ่ง


มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ยาวนาน ผ่านเรื่องราวมาอย่างคับคั่ง


“ไม่มี” สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราต่างส่ายหน้า


พวกเขามีความเชื่อมั่นต่อหูทงอย่างสิ้นเชิง นี่คือความไว้วางใจที่หลอมรวมออกมาจากการผ่านความลำบากร่วมกันมานานหลายปี


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทาง ณ บัดนี้!” หูทงโบกมือเต็มแรงหนึ่งที


เพียงแต่ขณะที่ขบวนของทั้งเก้าคนเพิ่งมาถึงหน้าประตูค่าย หูทงก็ถูกหลูเหวินถิงที่ยืนรออยู่ตรงนั้นนานแล้วเรียกเอาไว้


“ใต้เท้าหลู?”


หูทงค่อนข้างประหลาดใจ หยุดเท้าลงทันทีแล้วประสานมือคารวะ ดูเคารพนบนอบอย่างเห็นได้ชัด


เขารู้ดีว่าชายชราที่คุมอำนาจกองพลาธิการของค่ายหมายเลขเจ็ดคนนี้ อย่ามองแค่ว่ารูปลักษณ์ไม่สะดุดตา แท้จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง ใครก็ไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง


เหตุผลนั้นแสนง่ายยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณในกองทัพทางการของจักรววรดิ หรือว่ากลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองจำพวกหูทง ตราบใดที่จะแลกเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญของกองทัพ ก็จำต้องมุ่งหน้าไปยัง ‘กองพลาธิการ’


และหลูเหวินถิงเป็นถึงหัวหน้ากองพลาธิการ!


ถ้าหากเขาไม่ชอบใจ จำนวนของเหรียญกล้าหาญที่แลกเปลี่ยนได้ไม่เพียงแต่น้อยลงไปมาก ที่สำคัญคือจากนี้ไปจะไม่ได้รับ ‘ภารกิจดีๆ’ อะไรเลยในอนาคต!


หลูเหวินถิงในเวลานี้ดูสงวนท่าทีมากอย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า “ครั้งนี้พวกเจ้าจะไปหุบเขาพยัคฆ์หรือ”


“ถูกต้อง” หูทงพยักหน้า “ไม่ทราบใต้เท้าหลูมีสิ่งใดจะบัญชา”


“พาเขาร่วมขบวนไปด้วย”


หลูเหวินถิงกล่าวพลางชี้ไปที่หลินสวินซึ่งอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับมีกลิ่นอายที่ไม่อาจปฏิเสธได้สายหนึ่ง


เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้เคยทำเช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง วิธีการแสนคุ้นเคย เจนจัดยิ่งยวด ล้วนคร้านจะพูดมากความ


“ไม่ได้!”


ไม่รอให้หูทงเอ่ยปาก ชายหนุ่มชุดคลุมสีเงิน รูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งก็พูดโพล่งออกมาแล้ว คล้ายจะไม่ใคร่พอใจ มุ่นคิ้วกล่าว “กลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราของพวกเราไม่เคยพาคนนอกร่วมขบวนด้วยมาก่อน”


“นั่นสิ เจ้าหนูนั่นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกอ่อนหัดคนหนึ่ง ไม่ประสาอะไรเลย แค่ดูก็รู้ว่ามาเพื่อกอบโกยเหรียญกล้าหาญของกองทัพ พวกเราไม่อยากพาตัวถ่วงแบบนี้ไปด้วยหรอกนะ”


ทันใดนั้นสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราจำนวนไม่น้อยต่างเอ่ยปาก แสดงออกถึงการปฏิเสธและต่อต้าน


หลินสวินนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง สายตากลับมองไปทางหลูเหวินถิง เสมือนกำลังพูดว่า นี่หรือคือหน้าที่ที่ท่านช่วยข้าจัดหา?


หลูเหวินถิงส่งสัญญาณให้หลินสวินอย่างเพิ่งรีบร้อน จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางหูทงและคนอื่นๆ ดวงหน้าชรานิ่งขรึม กล่าวด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “ถ้าพวกเจ้าขัดข้อง เช่นนั้นก็ช่างเถิด”


กล่าวจบเขาก็ทำท่าจะเดินออกไป


หูทงก้าวมาข้างหน้าโดยพลัน พาหลูเหวินถิงแยกไปยังบริเวณไกลออกไป แล้วเริ่มกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงแผ่วเบา


ในเวลาเดียวกันนั้นหลินสวินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยเขามองเห็นคนรู้จักผู้หนึ่ง “บังเอิญจริงเชียว ที่แท้แม่นางอาปี้ก็อยู่นี่ด้วย”


ไม่ไกลออกไป อาปี้ที่รูปร่างปราดเปรียวเพรียวลม งดงามและเจือความดุร้ายเต็มที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด สติล่องลอยไปไกล จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นหลินสวิน


ดังนั้นเวลานี้ตอนที่เห็นหลินสวินจึงดูอึ้งงันไปอย่างชัดเจน กล่าวว่า “เป็นเจ้าหน้ามนคนนี้นี่เอง”


สีหน้าของหลินสวินอึมครึม ผู้หญิงคนนี้เหตุใดถึงเอาแต่คิดว่าตนเป็นเจ้าหน้ามนนะ


“อาปี้ เจ้ารู้จักเขาหรือ”


ชายหนุ่มชุดคลุมเงินที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้หัวคิ้วยิ่งขมวดมุ่นขึ้น สายตาที่มองไปทางหลินสวินเจือความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไม่ปิดบัง


“อืม เพิ่งรู้จักกัน” อาปี้พยักหน้า


“อาปี้ ข้าขอเตือนเจ้าว่าจากนี้ไปอย่าสนใจคนผู้นี้ดีกว่า เขาไม่เพียงเป็นเจ้าหน้ามน ยังเป็นพวกสำรวยไร้ความสามารถคนหนึ่งอีกด้วย ทำเป็นแต่อาศัยฐานะของตัวเองไปกอบโกยเหรียญกล้าหาญของผู้อื่น คนพรรค์นี้ ก็แค่หนอนดูดเลือดของจักรวรรดิที่ทำให้ผู้คนร้องยี้!”


เมื่อรู้ว่าอาปี้รู้จักหลินสวิน ชายหนุ่ชุดคลุมเงินผู้นั้นก็ยิ่งไม่เกรงใจ ถ้อยวาจาแฝงความดูหมิ่นอย่างไม่ปิดบัง


เขาเห็นหลินสวินและหลูเหวินถิงอยู่ด้วยกัน กอปรกับหมายจะเข้าร่วมขบวนของพวกเขา ก็คิดโดยจิตใต้สำนึกว่านี่จะต้องเป็นลูกผู้ดีมีเงินของตระกูลทรงอิทธิพลสักแห่งหนึ่ง ที่วิ่งโร่มาเพื่อเก็บเหรียญกล้าหาญของกองทัพอย่างแน่นอน กอบโกยอย่างน่าอุจาดตาเหลือเกิน


ตอนที่ 692 ลูกผู้ดีมีเงินที่พาให้คนชิงชัง

โดย

ProjectZyphon

ทันทีที่สิ้นเสียงชายหนุ่มชุดคลุมสีเงิน ทั่วลานก็เกิดเสียงหัวเราะครืนดังก้องขึ้น


สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้น ต่างเป็นพวกที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากภูเขาดาบทะเลเพลิงกันทั้งสิ้น อีกทั้งในสมรภูมิกระหายเลือด สิ่งที่ต้องพึ่งพิงคือความสามารถของตัวเองในการเอาชีวิตรอด ย่อมไม่เกรงกลัวลูกผู้ดีมีเงินอะไรอยู่แล้ว


แน่นอน พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินบุคคลเช่นนี้มากเกินไปเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังต้องพึ่งพาคนมีอำนาจอย่างหลูเหวินถิงเพื่อปากท้องอยู่


ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะหัวเราะครืน แต่ก็ไม่ได้สุมไฟให้โหมกระพือหรือจงใจหาเรื่อง


แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้หลินสวินมุ่นคิ้วน้อยๆ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้ว แต่ต่อให้เข้าใจผิด ถ้อยคำของชายหนุ่มชุดคลุมเงินผู้นั้นก็ยังบาดหูเกินไปอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี


“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องสนใจ”


ไม่รอให้หลินสวินเอ่ยปาก อาปี้ก็กล่าวอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์เท่าใดนัก


ชายหนุ่มชุดคลุมเงินอึ้งงันไป “อาปี้ นี่เจ้ามองไม่ออกเชียวหรือ เจ้าหนุ่มนี่เป็นหนอนดูดเลือดตัวหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงได้ผูกมิตรกับคนพรรค์นี้”


“เจ้าว่าใครเป็นหนอนดูดเลือด”


ไม่รู้ว่าหลูเหวินถิงวกกลับมาตอนไหน หน้าตาเย็นเยียบ


“ข้า…” ชายหนุ่มชุดเงินยังคงไม่ลดละ กลับถูกหูทงถลึงตาจ้องปราดหนึ่ง จึงไม่กล้าพูดมากความอีก รีบหุบปากลงอย่างฉุนเฉียว


“เฮอะ!”


หลูเหวินถิงแค่นเสียงเย็นชา คราวนี้จึงเอ่ยคำกับหูทง “จำสิ่งที่เจ้ารับปากไว้ ข้าไม่หวังว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร”


หูทงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


เห็นได้ชัดว่าระหว่างพวกเขาสองคนได้บรรลุข้อตกลงบางประการกันแล้ว


“คุณชายหลิน จัดเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณชายราบรื่น กลับคืนมาอย่างสัมฤทธิ์ผล!”


หลูเหวินถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ในที่สุดก็จัดแจงเผือกร้อนลวกมือผู้นี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้มีหรือจะไม่ทำให้ภายในใจของหลูเหวินถิงเบิกบาน


“ขอบคุณมาก”


หลินสวินพยักหน้าเปล่งวาจาด้วยท่าทางว่า ในเมื่อมาแล้วก็จะอยู่ที่นี่อย่างสงบ


……


“ออกเดินทาง!”


ตามหลังคำสั่งของหูทง ยานสมบัติบุโรทั่งลำหนึ่งพลันทะยานสู่ท้องนภา บรรทุกหลินสวินและสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราออกไปจากค่าย เหาะเหินมุ่งหน้าไปยังแดนไกล


ยานสมบัติลำนี้ชำรุดทรุดโทรมถึงขีดสุด แต่กลับเสถียรมั่งคงยิ่ง อยู่กลางอากาศเหมือนหนึ่งว่าย่ำบนพื้นที่ราบ ความเร็วนั้นแม้พูดไม่ได้ว่ารวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้อืดอาด


ปฏิบัติการในสมรภูมิกระหายเลือด เวิ้งฟ้าเป็นดั่งเขตต้องห้าม การเหาะเหินอยู่บนนั้น อาจพบเจออันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้


ทว่าขอเพียงแค่เหาะเหินในอากาศระดับต่ำ ก็จะไม่เกิดภัยคุกคามร้ายแรงถึงชีวิตอะไร


หลินสวินนิ่งเงียบตลอดทาง เขาสามารถรับรู้ได้ว่า นอกจากอาปี้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนกีดกันและหมางเมินต่อการเข้าร่วมของตน


สิ่งนี้กลับไม่เป็นไรเลย เหตุผลที่เขายอมมาปฏิบัติภารกิจกับกลุ่มของพวกเขา ก็แค่อยากลองดูเสียหน่อย ว่าในฐานะผู้คร่ำหวอดในสมรภูมิกระหายเลือด พวกของหูทงจะต่อสู้กันอย่างไรเท่านั้นเอง


ข้อนี้สำคัญยิ่ง!


หลินสวินเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ความรู้ความเข้าใจต่อสมรภูมิกระหายเลือดถือว่ามีเพียงผิวเผิน ส่วนพวกหูทงนั้นต่างเป็นผู้คร่ำหวอดมากประสบการณ์ มีจุดที่ควรค่าแก่การศึกษาอยู่มากมาย


ก็เหมือนกับตลอดการเดินทางนี้ หลินสวินค้นพบว่า แม้สมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านี้ดูเหมือนเป็นพวกพยศดุดัน ทว่าอันที่จริงล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างดีกันทั้งสิ้น


บ้างก็กำลังสะกดรอย บ้างก็กำลังตระเตรียมเสบียงก่อนศึก บ้างก็วิเคราะห์แจกแจงรายละเอียดของปฏิบัติการในครั้งนี้


ส่วนหูทงก็กำกับทุกสิ่งทั้งหมดนี้ เหมือนผู้บังคับบัญชาที่ปราดเปรื่องและมั่นคงคนหนึ่ง


ด้วยการพูดคุยจิปาถะของพวกเขา รวมถึงข่าวสารที่รั่วไหลในถ้อยคำโดยไม่ได้ตั้งใจ พาให้หลินสวินพลอยได้ทำความเข้าใจเรื่องราวของสมรภูมิกระหายเลือดไม่มากก็น้อย


นี่ก็คือการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง


หลินสวินรู้ดีว่าสิ่งที่ตนต้องการในขณะนี้ก็คือประสบการณ์และเรื่องราวภายในสมรภูมิกระหายเลือด และมีเพียงการสันทัดจัดเจนสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะทำให้ตนรอดชีวิตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดได้นานขึ้น


สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ นับตั้งแต่เข้าร่วมกองกำลังนี้ ท่าทีของหลิ่วเหวินคนนั้นดูร้ายกาจมากอย่างเห็นได้ชัด


หลิ่วเหวินก็คือชายหนุ่มชุดคลุมเงินคนนั้น เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ อายุยังน้อย หากไปอยู่ในจักรวรรดิ ก็นับได้ว่าเป็นคนโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทีเดียว


ยิ่งไปกว่านั้นเขาผ่านการฆ่าฟันในสมรภูมิกระหายเลือด ย่อมไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของเจ้าตัวต่ำไปได้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปเป็นอักโข สิ่งนี้คล้ายจะทำให้เขาหยิ่งลำพองและมั่นใจในตัวเองถึงที่สุด


แม้ว่าหลินสวินจะนิ่งเงียบและทำตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้หลิ่วเหวินผู้นี้เหิมเกริมมากขึ้นเท่านั้น


ตลอดทางเขาปลุกปั่นหลินสวินด้วยการเหลือบสายตาดูหมิ่นมาให้เป็นพักๆ


เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่สนใจเขา เขาก็ยังจงใจเอ่ยคำเสียดสีบางส่วน ตัวอย่างเช่น ‘หนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิ’ ‘ทายาทรุ่นสองไม่เอางานที่หวังกอบโกย’ เป็นต้น


ต่อให้หลินสวินอารมณ์เย็นมากเพียงใด สิ่งนี้ก็ยังทำให้เขาอดมุ่นคิ้วไม่ได้ เจ้าหมอนี่เห็นตนเป็นอะไร เป้าของความอัปยศหรือ?


“อย่าสนเขาเลย”


ทันใดนั้นอาปี้ที่อยู่ข้างๆ พลันเอ่ยปาก “ขอเพียงเจ้าทนไม่ไหว การยั่วยุของเขาก็ประสบผลสำเร็จแล้ว จากนั้นคงฉวยโอกาสนี้เล่นงานเจ้าเต็มเหนี่ยว”


“อาปี้ นี่เจ้ากำลังพูดอะไร เหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนเลวไปได้” หลิ่วเหวินค่อนข้างหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด


“หากเจ้าอยากพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนเลวก็หุบปากของเจ้าเสีย!” อาปี้มองเข้าไปอย่างเย็นชา ไม่เกรงกลัวหลิ่วเหวินสักนิด


“เอาล่ะ ทุกคนต่างถอยคนละก้าว”


สมาชิกคนอื่นๆ เห็นบรรยากาศชักเริ่มตึงก็ทยอยเอ่ยปากเตือนสติ เพียงแต่สายตาที่พวกเขามองไปทางหลินสวินนั้นยิ่งขับไล่ไสส่งมากขึ้นเรื่อยๆ


เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนคิดว่าการเข้าร่วมอย่างกะทันหันของหลินสวิน ทำลายบรรยากาศความกลมเกลียวระหว่างพวกเขา


“ไอ้หนู ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่ออยากกอบโกยเหรียญกล้าหาญกับพวกเรา เจ้าก็จงเชื่อฟังพวกข้าหน่อย!”


หลิ่วเหวินหยัดตัวขึ้น นัยน์ตาเจือแววเหยียมหยาม น้ำคำเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของการตักเตือนและข่มขู่ กล่าวจบเขาพลันหมุนกายเดินออกไปนอกห้องโดยสาร


“เฮ้อ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าหัวหน้ารับปากให้ลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาไหนคนหนึ่งเข้าร่วมกลุ่มพวกเราได้อย่างไร”


“หวังว่าเขาคงไม่ก่อความวุ่นวายให้พวกเรา ไม่เช่นนั้นปัญหาจะยิ่งใหญ่ขึ้น”


“ปัญหา? เฮอะ ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ วันๆ ไม่รู้ว่ามีลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาอ่าวตายไปตั้งเท่าไร ถ้าหากกล้าก่อความวุ่นวาย จุดจบจะต้องไม่น่าพิสมัยแน่!”


สมาชิกคนอื่นๆ หยัดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดินออกจากห้องโดยสารไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ในน้ำเสียงเจือความขับไล่ ชิงชัง และข่มขู่ปะปนกัน เห็นชัดว่าพูดให้หลินสวินฟัง


ไม่นานภายในห้องโดยสารก็เหลือเพียงหลินสวินและอาปี้


ต่อให้หลินสวินอารมณ์เย็นเพียงใด หว่างคิ้วก็แฝงด้วยแววอึมครึม ก่อนมุ่งหน้ามายังสมรภูมิกระหายเลือด ทั่วทั้งนครต้องห้ามมีผู้ใดกล้าพูดกับเขาเช่นนี้บ้าง


“เจ้าเพิ่งมาที่ค่ายหมายเลขเจ็ด จู่ๆ ก็เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเรา คงเลี่ยงการถูกเหยียดหยันและการปฏิบัติอย่างเย็นชาได้ยาก แต่เจ้าก็อย่าโกรธไปเลย พวกเขาแต่ละแค่กำลังบ่น แต่ไม่ได้จงใจมุ่งเป้าไปที่เจ้าหรอก”


อาปี้ที่อยู่ข้างๆ กล่าว นางมีบุคลิกคล่องแคล่วดุดัน ดูดุร้ายเต็มที่ แต่กลับมีความคิดละเอียดอ่อนของสตรีอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน


หลินสวินถอนหายใจ “ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยข้ากล้ายืนยันว่า ถ้าให้โอกาสหลิ่วเหวินคนนั้นสักครั้ง เขาต้องไม่รังเกียจสั่งสอนข้าให้หลาบจำเป็นแน่”


อาปี้เลิกคิ้วขึ้น ครุ่นคิดสักพัก ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้า “เอาเถิด ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ตลอดทางนี้เจ้าก็อยู่ข้างๆ ข้าแล้วกัน จะไม่ให้เจ้าเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรแน่”


“เหตุใดเจ้าต้องทำขนาดนี้ ไม่กลัวจะพลอยฟ้าพลอยฝนไปกับข้า ทำให้คนอื่นๆ เกิดความไม่พอใจหรือ” หลินสวินกล่าวอย่างสนใจ


อาปี้แค่นเสียงกล่าว “เมื่อเช้านี้ข้าบอกไปแล้วว่าจะคุ้มครองเจ้า มีหรือจะเปลี่ยนใจได้ในพริบตาเดียว นั่นไม่ใช่ทางของข้า”


นิ่งงันไปครู่นางก็กล่าวเสียงต่ำ “เรื่องเมื่อคืนวาน ห้ามบอกคนอื่นนะ”


“เรื่องอะไร” หลินสวินทำหน้างุนงง แต่ความจริงแล้วรู้ดีแก่ใจ อาปี้กลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องที่นางคุกเข่าร่ำไห้เมื่อคืน


“เจ้าลืมแล้ว?” อาปี้รู้สึกแปลกใจ


“นึกไม่ออกแล้ว ย่อมไม่มีอะไรให้เอาไปบอกคนอื่น เจ้าว่าอย่างไรเล่า” หลินสวินขยิบตา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม


อาปี้หลุดขำออกมา จากนั้นก็จ้องหลินสวินเขม็งปราดหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าเจ้ากล้าปากสว่าง ข้าจะดึงลิ้นเจ้าออก!”


กล่าวจบนางก็อดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ จู่ๆ ก็พบว่าเจ้าหน้ามนคนนี้พูดจาค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว


“จริงสิ ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าเรียกข้าว่าเจ้าหน้ามนอีก มันอุจาดหูชะมัด เรียกข้าว่า… หลินสือเอ้อร์เถอะ” หลินสวินครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าว


“หลินสือเอ้อร์?”


“ใช่”


“ไม่น่าฟัง เรียกว่าเจ้าหน้ามนถนัดปากมากกว่า”


หลินสวินจนคำพูดทันใด เปลี่ยนคำเรียกขานยังต้องสนเรื่องถนัดหรือไม่ถนัดปากด้วย?


……


“หัวหน้า ข้าต้องการคำชี้แจง เหตุใดถึงต้องพาเจ้าเด็กนั่นร่วมขบวนมาด้วย ท่านมองไม่ออกหรือว่าเด็กคนนี้เป็นหนอนดูดเลือดที่มาชิงเหรียญกล้าหาญของกองทัพ”


ในห้องโดยสารอีกห้อง หลิ่วเหวินโกรธกรุ่นฉุนเฉียว เขาพาสมาชิกบางส่วนมาด้วยกัน ใช้สิ่งนี้แสดงออกถึงความไม่พอใจ


“หลิ่วเหวิน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย” หูทงขมวดคิ้ว ตำหนิเสียงเข้ม


“ข้ารู้ว่าท่าทีของข้ามีปัญหา แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว ทำไมเหรียญกล้าหาญที่พวกเราเสี่ยงชีวิตไปตามล่า ต้องมาถูกทายาทรุ่นสองไม่เอาการเอางานแบบนี้มาแบ่งสันปันส่วนด้วย” หลิ่วเหวินกล่าวอย่างฮึดฮัด


“หลิ่วเหวิน!”


หูทงสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเลิกพูดพล่ามเสียที คงไม่ใช่เพราะเจ้าเห็นว่าเด็กคนนั้นกับอาปี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในใจเจ้าเลยรู้สึกไม่พอใจกระมัง”


สมาชิกคนอื่นๆ มองหน้ากันปราดหนึ่ง ล้วนนิ่งเงียบ พวกเขารู้ดีว่าหลิ่วเหวินชื่นชอบอาปี้มาโดยตลอด เห็นอาปี้เป็นของหวงแหนของเขา ย่อมไม่อาจยอมให้ถูกผู้อื่นจับต้องได้อยู่แล้ว


หากว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่รู้จักอาปี้ ท่าทีของหลิ่วเหวินอาจจะดีกว่านี้หน่อยก็ได้ แต่อาปี้ก็ดันดูเหมือนจะคุ้มครองเด็กหนุ่มคนนั้นอีก ถ้าหลิ่วเหวินมีท่าทีดีด้วยได้สิน่าแปลก


“หัวหน้า! นี่ข้ากำลังคิดเพื่อพวกเราทุกคนอยู่นะ เหตุใดท่านถึงเอ่ยเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ขึ้นมา” หลิ่วเหวินไม่สบอารมณ์ยิ่งยวด ยังคงปากแข็งอยู่


“ได้ ในเมื่อเจ้าต้องการเหตุผล ข้าก็จะบอกเจ้าเอง”


หูทงกล่าวเสียงเข้ม “เหตุที่ข้ารับปากเรื่องนี้ ก็เพราะใต้เท้าหลูให้คำมั่นแล้ว ขอเพียงพาคุณชายหลินคนนั้นร่วมขบวนมาด้วย เหรียญกล้าหาญของกองทัพที่จะได้รับในภารกิจครั้งนี้… จะเพิ่มเป็นเท่าตัว!”


อะไรนะ?


สมาชิกเหล่านั้นต่างพากันสูดหายใจ ใบหน้าฉายแววตกตะลึง หากว่าเหรียญกล้าหาญในภารกิจครั้งนี้ของพวกเขาเพิ่มเป็นเท่าตัว นั่นมิใช่ว่าจากหนึ่งพันหกร้อยแต้มกลายเป็นสามพันสองร้อยแต้มในทันทีหรอกหรือ


นี่เท่ากับทำภารกิจเดียวกันสำเร็จสองครั้งเชียว!


บนโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้อยู่อีกหรือ


ทันใดนั้นสมาชิกเหล่านั้นก็ตระหนักว่า ในเมื่อสามารถทำให้หลูเหวินถิงผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จของฝ่ายพลาธิการให้คำมั่นสัญญาระดับนี้ออกมาได้ ฐานะของคุณชายหลินคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่!


ต่อให้เขาเป็นพวกไม่เอาไหนอย่างที่สุด ก็ยังเป็นพวกไม่เอาไหนที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งถึงที่สุดคนหนึ่ง!


แม้แต่หลิ่วเหวินยังอึ้งงันไปเป็นนาน มุมปากกระตุกขึ้นอย่างยากสังเกต


เนิ่นนาน เขายังคงดูคล้ายไม่เต็มใจ กล่าวอย่างเดือดดาล “แค่เพราะเหรียญกล้าหาญของกองทัพพวกนี้ พวกเราต้องรับหนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิเข้าพวกด้วยหรือ หัวหน้า ท่านเคยบอกว่าท่านดูถูกคนประเภทนี้ที่สุดนี่!”


หูทงดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ผิด ข้าดูถูกคนพรรค์นี้มากจริงๆ แต่หากข้าไม่ตกลง ก็เท่ากับล่วงเกินหลูเหวินถิง! ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่ในค่ายหมายเลขเจ็ดต่อไป จะไม่ถูกหาเรื่องหรือ”


“กล่าวได้ว่า แค่หลูเหวินถิงเอ่ยประโยคเดียวก็สามารถทำให้พวกเราไม่ได้รับภารกิจใดๆ เลย ถึงตอนนั้นพวกเราไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะแลกเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญอีกเลย!”


หูทงพ่นคำพูดซัดใส่หน้าโครมๆ ทำให้สมาชิกเหล่านั้นต่างนิ่งเงียบ


มีเพียงหลิ่วเหวินคนเดียวที่หน้าเขียว ภายในใจยังคงเดือดพล่าน และยิ่งเกลียดชังเจ้าหนูนั่นขึ้นทุกที ข้าเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากทายาทรุ่นสองไม่เอาไหนคนนี้!


“จำไว้ ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร แต่จำเป็นต้องรับประกันว่าคุณชายหลินคนนั้นจะกลับค่ายได้อย่างปลอดภัยทุกประการ!”


หูทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก น้ำเสียงแน่วแน่ ไม่ยอมให้ผู้ใดสงสัย


สมาชิกคนอื่นๆ ต่างเข้าใจ ฐานะคุณชายหลินคนนั้นจะต้องพิเศษยิ่งยวดเป็นแน่ ถึงได้รับการให้ความสำคัญระดับนี้ สิ่งนี้ทำให้ในใจพวกเขานอกจากความชิงชังแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้ ชะตาชีวิตของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันจริงๆ ด้วย


ลูกผู้ดีเช่นนี้คนหนึ่ง ได้รับการดูแลทุกรูปแบบอย่างง่ายดาย แม้แต่หลูเหวินถิงผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จควบคุมฝ่ายพลาธิการยังต้องปฏิบัติด้วยความสุภาพ


ส่วนพวกเขาเหล่านี้ กลับทำได้เพียงอาศัยการเสี่ยงชีวิตล่าสังหารเพื่อไขว่คว้าเหรียญกล้าหาญของกองทัพ ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนความมั่งคั่ง เมื่อเปรียบกันแล้วก็เห็นสูงต่ำชัดเจน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ภายในใจก็คงหดหู่ยิ่งเช่นเดียวกัน


โดยเฉพาะหลิ่วเหวินที่เกลียดจนกัดฟันแทบแหลก


อาศัยอะไร?


แค่อาศัยว่าเขาเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่ฐานะไม่ธรรมดา ภูมิหลังยิ่งใหญ่ ก็สามารถได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว?


แม้แต่อาปี้ยังช่วยออกปากแทนเขา!


เพราะอะไร?


หรือเป็นเพราะฐานะของเจ้านั่นทำให้อาปี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างแตกต่างด้วยเช่นเดียวกัน?


น่าชังนัก!


หลิ่วเหวินข่มกลั้นความเดือดดาลในใจ เขากลัวควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วพุ่งไปเชือดเจ้าหน้ามนน่ารังเกียจคนนั้น


ในห้องข้างๆ หลินสวินที่กำลังพูดคุยกับอาปี้ไม่รู้เอาเสียเลย ว่าในสายตาคนนอก เขากลายเป็น ‘ลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาไหน’ ที่ทำให้ผู้คนชี้นิ้วชิงชัง และทำให้คนร้องยี้ไปเสียแล้ว…


ตอนที่ 693 ยั่วยุไม่ว่างเว้น

โดย

ProjectZyphon

หนึ่งชั่วยามให้หลัง


ยานสมบัติโรยตัวลงบนพื้นดิน ภายใต้การนำของหูทง ทุกคนเดินเรียงแถวออกมา


ในขณะเดียวกัน สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราคนหนึ่งที่ล่ำสันปานภูผาซ่อนยานสมบัติในโกรกธารบริเวณนั้นอย่างคล่องไม้คล่องมือ


ภายในโกรกธารมีโขดหินและซากศพเน่าเปื่อยสะสมอยู่จำนวนมาก ยานสมบัติถูกซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้วเหมือนของเล่นหักพังที่ถูกทิ้งลำหนึ่ง ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย


“มุ่งหน้าไปอีกหน่อนยก็ถึงพื้นที่อันตรายแล้ว อาจพบกับกองกำลังที่พวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนส่งออกมา ไม่เหมาะจะโดยสารนั่งยานสมบัติเหาะเหินแล้ว”


อาปี้อธิบายง่ายๆ


หลินสวินมองไปรอบบริเวณ ฟ้าดินมืดครึ้ม ปกคลุมด้วยฝุ่นควัน แทบไม่ต้องจดจ่อก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเหม็นฉุนคาวเลือดที่พัดเข้ามา พาให้ผู้คนกดดัน


แนวเขาเวิ้งว้าง รกร้างวังเวง ทุกหัวระแหงไร้หย่อมหญ้า ผืนดินคละคลุ้งด้วยฝุ่นควัน บนเวิ้งนภามีหมอกฝุ่นหนาแน่น ราวกับดินแดนที่ถูกทิ้งร้างจากสงคราม


ไม่มีการพูดมากความ ภายใต้การนำของหูทง ทุกคนพลันพุ่งปราดมุ่งหน้าไปตลอดทาง


หลินสวินสังเกตเห็นว่าสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านี้ ต่างก็เปลี่ยนท่าทีเป็นตื่นตัวและระวังระไว แต่ละคนดุจดั่งนักล่าหลักแหลมหฤโหด


บ้างก็สำรวจเส้นทางอยู่เบื้องหน้า บ้างก็สังเกตภูมิประเทศวิเคราะห์เส้นทาง ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ ร่วมมือกันอย่างสมัครสมานถึงที่สุด


แม้แต่หลิ่วเหวินที่เห็นว่าหลินสวินขัดตามาโดยตลอดก็ยังรักษาความนิ่งขรึม มือถือดาบคู่สีชาด ทั่วร่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายเคร่งครัด ราวกับธนูที่ขึงตึง พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ


“หืม?”


ขณะที่สายตาของหลินสวินสังเกตเห็นอาวุธในมือของอาปี้ ก็อดอึ้งงันไม่ได้


นั่นคือค้อนยักษ์ที่อัปลักษณ์ผิดปกติ มีสีเทาเข้ม รอยสลักวิญญาณหนาแน่นไหววูบอยู่บนนั้น ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นออกมา


ค้อนยักษ์เช่นนี้ ถูกผู้หญิงคนหนึ่งอย่างอาปี้ถือไว้ในมือราวกับถือเข็มเย็บปัก ให้ความขัดแย้งอย่างรุนแรงแก่ผู้พบเห็น


แต่สิ่งที่หลินสวินให้ความสนใจไม่เรื่องพวกนี้ ในฐานะเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้มีชื่อก้องจักรวรรดิ เขาแทบจะมองออกในแวบแรกว่าค้อนยักษ์ในมืออาปี้ชำรุดเสียหายมานานแล้ว กระบวนรอยสลักวิญญาณแน่นขนัดบนนั้นซีดจางพร่าเลือน พลังอำนาจลดทอนลงอย่างน้อยสี่ส่วน


“เป็นอะไรไป” อาปี้สังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน


“ทำไมไม่เปลี่ยนอาวุธสักอันเล่า” หลินสวินถาม


ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา พลันมีเสียงเหยียดหยามเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณชายนี่ก็ยังเป็นคุณชายอยู่ดี ไม่รู้ถึงความแร้นแค้นของชาวบ้าน เจ้าคิดว่าอาปี้ไม่อยากเปลี่ยนรึ เจ้าไม่เข้าใจเลยต่างหาก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ผู้ฝึกปราณอิสระอย่างพวกเราอยากเปลี่ยนอาวุธที่ถนัดมือสักชิ้น ต้องใช้เหรียญกล้าหาญเป็นอักโข ไม่ใช่ว่าใครอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้!”


ผู้พูดคือหยางสยง เป็นสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเช่นเดียวกัน เขามีรูปร่างล่ำสัน ผิวสีทองแดงเข้ม ที่ปลายคิ้วมีรอยดาบพาดลึกรอยหนึ่ง บุคลิกเหมือนอินทรี ดุกร้าวน่าสะพรึง


คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็เหยียดหยามและเยาะหยัน การแสดงออกเช่นนี้ของหลินสวินทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจ ว่านี่คือพวกคุณชายลูกผู้ดีที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม กินดีอยู่ดี ไม่ประสีประสาอะไรเลย


หลินสวินไม่ได้สนใจพวกเขา กล่าวกับอาปี้ว่า “สมบัติชิ้นนี้ของเจ้าใช้งานได้ไม่นานเดี๋ยวก็พังหมดแล้ว ถ้าเจ้าเชื่อข้า รอกลับถึงค่ายข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมมันเอง”


“เจ้า?” อาปี้อึ้งงัน


คนอื่นๆ ได้ยินเข้าก็ไม่อาจหัวเราะเยาะได้แล้ว ทีท่าพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา


ในตอนนี้พวกเขาตระหนักโดยฉับพลันว่าต่อให้คุณชายหลินคนนี้ไม่รู้อะไรเลย แต่อาศัยแค่ฐานะของเขา ขอเพียงอ้าปากก็สามารถได้รับการปฏิบัติสุดพิเศษอย่างที่พวกเขาไม่มีทางได้รับ!


เรื่องนี้สามารถดูออกไปจากท่าทีของหลูเหวินถิงแห่งกองพลาธิการ


คุณชายประเภทที่ทำให้หลูเหวินถิงยังต้องดูแลเอาใจใส่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ช่วยอาปี้ซ่อมแซมสมบัติเลย ต่อให้ช่วยอาปี้เปลี่ยนสมบัติชิ้นใหม่ สำหรับเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาอะไรสักนิด!


“อาปี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือ คุณชายหลินท่านนี้เอ่ยประโยคเดียว ก็สามารถทำให้นักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์ช่วยเจ้าซ่อมอาวุธในมือได้อย่างสมบูรณ์”


หยางสยงกล่าวเหน็บแนม


คนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอิจฉาและจนปัญญา


ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ช่างไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลยจริงๆ


คุณชายหลินคนนี้อาจไม่เอาไหน ไม่มีข้อดีสักจุด แต่เจ้าตัวมีฐานะพิเศษ เอ่ยหนึ่งประโยคตามอำเภอใจก็สามารถทำเรื่องที่พวกเขาพยายามสุดแรงเกิดยังทำไม่ได้ให้สำเร็จขึ้นมา


สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเศร้าสลดและหดหู่ยิ่งนัก แต่ช่วยไม่ได้ นี่ก็คือสัจธรรม


เพียงแต่พวกเขาเข้าใจผิดแล้ว หลินสวินปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง มีหรือจะต้องให้ผู้อื่นไปช่วยอาปี้ซ่อมแซมสมบัติ


นี่ไม่ใช่ว่าตบหน้าตัวเองอยู่หรือ


แต่หลินสวินก็ไม่ได้อธิบาย และเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้คนที่กีดกันและตั้งตนเป็นศัตรูพวกนี้ฟังด้วย แบบนั้นต่างอะไรกับการลดเกียรติตัวเอง


ไม่รออาปี้เอ่ยปาก หลิ่วเหวินพลันประชิดเข้ามาทันใด กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “ไม่จำเป็น รอกลับไปคราวนี้ ข้าจะช่วยอาปี้แลกอาวุธถมัดมือสักชิ้นเอง ไม่รบกวนคุณชายหลินอย่างเจ้าต้องกังวลใจไปหรอก!”


กล่าวเสร็จเขายังใช้สายตาเย็นยะเยือกจ้องหลินสวิน นี่คือคำเตือนและข่มขู่อันไร้เสียงอย่างหนึ่ง คล้ายกำลังบอกว่า หากเจ้ายังกล้ายุ่งกับอาปี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!


หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำ


อาปี้กลับมุ่นคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “หลิ่วเหวิน ข้าเคยบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว เรื่องของข้า ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ไม่ต้องให้เจ้าก้าวก่าย!”


ประโยคเดียวทำให้ดวงหน้าหล่อเหลาของหลิ่วเหวินแดงซ่านขึ้นในบัดดล ดูอักอ่วนเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ภายในใจคุด้วยไฟโกรธ เขาช่วยเหลือด้วยเจตนาดี กลับถูกอาปี้ปฏิเสธต่อหน้าธารกำนัล แทบจะเชิดหน้าไว้ไม่อยู่ในบัดดล


เพียงแต่เขาไม่กล้าบันดาลโทสะใส่อาปี้ จึงหันไประบายไฟโกรธใส่หลินสวินแทน และยิ่งเกลียดชังหลินสวินขึ้นทุกที


ในมุมมองของเขา ท่าทีที่อาปี้มีต่อตนเปลี่ยนไป ล้วนเป็นเพราะเจ้าหน้ามนลูกผู้ดีไม่เอาไหน ที่พาให้คนชิงชังคนนี้!


หลิ่วเหวินแค่นเสียงเย็นชา หมุนกายจากไป ก่อนจะไปยังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองหวินสวินปราดหนึ่ง คล้ายกำลังบอกว่า ‘เจ้าคอยดูเถอะ!’


หลินสวินยิ้มน้อยๆ สีหน้าราบเรียบ เพียงแต่ในนัยน์ตาดำคู่นั้นของเขากลับลุ่มลึกเย็นชา ถูกยั่วยุหลายต่อหลายครั้ง คิดว่าเขาหลินสวินเป็นมะพลับนิ่มที่บีบกำได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ


เช่นนั้นก็…


คอยดูต่อไปเถอะ!


“โกรธแล้วหรือ” อาปี้คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง


“โกรธคนที่ไม่สมควรโกรธหรือ ไม่คุ้มหรอก” หลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ


“ทั้งที่โกรธอยู่แท้ๆ ยังปากแข็ง ข้าเคยบอกแล้วว่าจะคุ้มครองเจ้า จะไม่ยอมให้เจ้าถูกรังแกเป็นแน่ เจ้าวางใจเถอะ”


อาปี้ตบไหล่หลินสวิน ดูเหมือนกับพี่สาวกำลังปลอบขวัญน้องชายตัวเล็กไม่มีผิด ทำให้หลินสวินเป็นใบ้ในบัดดล


ฮูกๆ~


เสียงร้องแปลกประหลาดที่ดูลนลานระลอกหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล คล้ายกับเสียงร้องของนกฮูก


หูทงที่เป็นผู้นำพลันชะงักฝีเท้า นัยน์ตาฉายแววสังหาร “หนึ่งร้อยสามสิบหกลี้ข้างหน้า พบกองกำลังของพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนหนึ่งขบวน มีสิบเก้าคน จอมพลังสิบสองคน จอมเวทหกคน มหาเวทหนึ่งคน!”


“อาปี้ เจ้าดูแลคุณชายหลินให้ดี คนอื่นตามข้ามาลงมือด้วยกัน เมื่อรวบตัวพวกมันได้ ก็จะได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสามเพิ่มอีกสี่อันด้วย!”


น้ำเสียงมุ่งพิฆาตมาดมั่น ทรงพลังก้องกังวาน


เห็นชัดว่าเสียงร้องแปลกๆ นั่นเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ส่งออกมาจากสายสืบที่ส่งไปแนวหน้า


สวบๆๆ!


ฉับพลันนั้นทหารรับจ้างทั้งกลุ่มต่างรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางความนิ่งเงียบมีจิตสังหารไร้รูปสายหนึ่ง ต่างพุ่งปราดไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว


ขบวนของพวกเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเคลื่อนไหวก็ช่ำชองอย่างยิ่ง สามารถใช้คำว่า ‘ห้ำหั่นดุจสายลม รุกรานดั่งเปลวเพลิง’ มาสาธยาย


แม้แต่หลินสวินก็ยังมองตาค้าง ต่อให้ท่าทีที่คนพวกนี้ปฏิบัติต่อตนแสนย่ำแย่ แต่ยามตั้งใจสู้รบจริงจัง แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกหลักแหลมชั้นยอด สัญชาตญาณต่อสู้แสนหฤโหดเช่นนั้น บางทีคงมีแต่ในสมรภูมิกระหายเลือดเท่านั้นจึงจะสามารถเคี่ยวกรำออกมาได้


“เจ้ารีบร้อนอะไร


เห็นหลินสวินคิดจะตามไปข้างหน้าเช่นกัน อาปี้พลันกลอกตา “หรือเจ้าคิดจะไปเข่นฆ่าด้วยตัวเองจริงๆ ไม่ได้ยินที่หัวหน้าพูดหรือไร อยู่ข้างๆ ข้าอย่างว่าง่ายก็พอแล้ว!”


หลินสวินลูบจมูก จนปัญญาเล็กน้อย พวกเขาคิดจะเอื้อความสบายให้ตนขึ้นมาจริงๆ หรือ


“เฮ้อ ยังไม่สำนักอีก เพื่อปกป้องเจ้าแล้ว แม้แต่ข้ายังไม่มีโอกาสไปฆ่าพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นด้วยตัวเอง ข้ายังไม่โกรธเลย เจ้าก็รู้จักพอเสียบ้าง”


อาปี้กล่าวพลางคว้าหมับเข้าที่แขนของหลินสวิน รั้งอยู่ด้านหลังขบวนห่างๆ


การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว


ดุเดือดยิ่งนัก ไม่มีพูดพล่ามเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน การต่อสู้นองเลือดและเข้มขนฉากหนึ่งก็เปิดฉากขึ้นในทันที


สิ่งที่น่าเสียดายคือหลินสวินถูกปกป้องเอาไว้ ถูกอาปี้ลากมาซ่อนตัวอยู่ห่างๆ ได้แต่ชมการต่อสู้เท่านั้น


แต่หลินสวินกลับผ่อนคลาย สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสนามรบทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม


รายละเอียดการต่อสู้ของสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราของพวกหูทง ก็ถูกหลินสวินจับจ้องเอาไว้โดยไม่พลาดแม้เพียงเสี้ยว


เยี่ยมยอด!


เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลินสวินก็ได้ข้อสรุปออกมา


พวกหูทงเป็นกองกำลังเยี่ยมยอดขบวนหนึ่งอย่างแท้จริง ร่วมมือกันอย่างสมัครสมาน ฝีมือการต่อสู้หฤโหด แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกมือฉมังเหี้ยมโหด


โดยเฉพาะหูทง ในฐานะมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ เมื่อเทียบกับพวกฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งแล้ว แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่แค่เพียงเล็กน้อย


สิ่งเดียวที่เทียบพวกฉินเสวียนตู้ไม่ติด บางทีอาจเป็นอาวุธในมือและอุปกรณ์บนตัวเท่านั้น เพราะเป็นเพียงสินค้าธรรมดาทั่วไป แทบไม่สามารถทำให้หูทงปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดของเขาออกมาได้


สิ่งนี้ก็เข้าใจได้ง่ายมาก พวกฉินเสวียนตู้ถือกำเนิดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ไม่ขาดแคลนสมบัติและทรัพยากรชั้นเลิศราคาแพงแม้แต่น้อย


แต่หูทงนั้นทำไม่ได้ เขาเป็นเพียงแค่ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างขบวนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เส้นสนกลในและทุนทรัพย์ที่ครอบครองอยู่ล้วนมีจำกัด ไม่อาจเทียบเส้นสนกลในและทุนทรัพย์ของผู้ฝึกปราณในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้เลย


“หัวหน้าหูทงเป็นยอดฝีมือที่น่าทึ่งคนหนึ่ง” หลินสวินเอ่ยทอดถอนใจ เขานึกถึงจูเหล่าซานขึ้นมา พบว่าทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด


เพียงแต่จูเหล่าซานเป็นคนนิ่งขรึมเกินไป ส่วนหูทงนั้นมีศักยภาพอย่างหนึ่งที่ผู้นำพึงมี


“หัวหน้าย่อมน่าทึ่งมากอยู่แล้ว ช่วงสี่ปีที่ข้าอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เกือบจะสิ้นชีพไปตั้งเจ็ดครั้ง สุดท้ายล้วนถูกหัวหน้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที อีกอย่างไม่เพียงแต่ข้า คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างได้รับการช่วยเหลือจากหัวหน้าไม่มากก็น้อยกันทั้งนั้น”


บนใบหน้าอาปี้ปรากฏแววชื่นชมจากก้นบึ้งหัวใจ


หลินสวินแย้มยิ้ม เขาเห็นท่าทางชื่นชมแบบนี้มามากแล้ว เพียงแต่ล้วนเป็นเขาถูกผู้อื่นชื่นชมก็เท่านั้น


ไม่นานการต่อสู้ก็สิ้นสุดลง พวกหูทงพิชิตชัยได้อย่างสมบูรณ์ มีสมาชิกไม่กี่คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว ผลกำไรที่พวกเขาได้รับนั้นไม่เลวทีเดียว


หลังล้างบางศัตรู ทรัพย์หลังศึกที่ริบมาได้นั้นสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญกล้าหาญชั้นสามได้สี่ชิ้น


“ครั้งนี้โชดดีใช้ได้เลย”


หยางสยง หลิ่วเหวินและคนอื่นๆ ต่างฉายแววปลื้มปิติ


เพียงแต่ในตอนนี้มีคนกล่าวถามขึ้นกะทันหัน “หัวหน้า เหรียญกล้าหาญของพวกเราในครั้งนี้ ต้องแบ่งให้คุณชายหลินคนนั้นส่วนหนึ่งด้วยหรือไม่”


ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศแห่งความปลื้มปิติในคราแรกพลันอันตรธานลับไปในบัดดล ท่าทีของสมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้นต่างแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม ทอดสายตามองไปทางหูทง


ตอนที่ 694 การเปลี่ยนแปลงแห่งหุบเขาพยัคฆ์

โดย

ProjectZyphon

ไม่รอให้หูทงเอ่ยปาก หลิ่วเหวินก็กล่าวอย่างเย็นชา “ภารกิจที่คุณชายหลินคนนั้นเข้าร่วมคือการมุ่งหน้าสู่หุบเขาพยัคฆ์ เหรียญกล้าหาญที่เก็บเกี่ยวระหว่างทาง ไหนเลยจะมีส่วนแบ่งของเขากัน”


“ถูกต้อง เพื่อปกป้องเขา พวกเราถึงขนาดให้อาปี้คุ้มกันด้วยตัวเอง เหรียญกล้าหาญที่เก็บเกี่ยวได้ในตอนนี้ ขืนแบ่งให้เขาส่วนหนึ่งอีกข้าคงไม่ยอมเป็นคนแรก!”


สมาชิกคนอื่นๆ ต่างทยอยเอ่ยปาก แสดงจุดยืนของตัวเอง


กับพวกชุบมือเปิบ พวกเขาล้วนมีความชิงชังและกีดกันโดยสัญชาตญาณ


หูทงอดมุ่นคิ้วไม่ได้ เขาไม่กลัวจะสังหารศัตรู ทว่าเวลานี้ชักเริ่มปวดหัวอยู่เหมือนกัน ฝั่งหนึ่งเป็นสหายร่วมอาชีพที่ติดตามตนมาหลายปี อีกฝั่งหนึ่งเป็นคุณชายซึ่งมีฐานะพิเศษ สิ่งนี้ทำให้เขาที่ยืนอยู่ตรงกลางทำตัวลำบากยิ่งนัก


“พวกเจ้าวางใจได้ ไร้ผลงานย่อมไม่ควรรับรางวัล ถ้าหากอยากได้เหรียญกล้าหาญ ข้าจะเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง”


หลินสวินมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา เวลานี้ชักเริ่มหงุดหงิดอยู่ในใจ ตลอดทางเขาประสบกับการผลักไสและเหยียดหยามก็ช่างเถิด


ทว่าตอนนี้ แม้แต่เหรียญกล้าหาญขี้ประติ๋วพวกนี้ยังจงใจเพ่งเล็งมาที่ตน เห็นว่าเขาหลินสวินจะมาเอารัดเอาเปรียบจริงๆ หรือ


“คุณชายหลิน หวังว่าคงไม่โกรธ”


สีหน้าหูทงเปลี่ยนไป เขาและหลูเหวินถิงเคยทำข้อตกลงกันไว้ ไหนเลยจะกล้ายั่วโมโหคุณชายหลินผู้นี้


เขาหันไปส่งส่งตาให้อาปี้คราหนึ่ง หมายจะให้อาปี้มาเกลี้ยกล่อมหลินสวิน


กลับเห็นว่าอาปี้กล่าวแค่นเสียง “หัวหน้า ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยท่านพูดหรอกนะ แต่การกระทำเช่นนี้ของพวกเขามันก็เกินไปจริงๆ นับตั้งแต่ที่คุณชายหลินเข้าร่วมขบวนกับพวกเรา ก็เท่ากับเป็นสมาชิกของพวกเราแล้ว ก่อนหน้าที่ภารกิจในครั้งนี้จะลุล่วง ผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับทั้งหมดย่อมมีส่วนแบ่งของเขาด้วยอยู่แล้ว นี่ถึงเรียกว่ายุติธรรม! แต่ตอนนี้… ไม่พูดก็ช่างเถิด!”


“ยุติธรรม?”


เห็นอาปี้ยังคงช่วยออกปากแทน สีหน้าของหลิ่วเหวินพลันเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวหาที่เปรียบไม่ได้ “เจ้าคนที่แม้แต่ปฏิบัติภารกิจยังต้องให้คนอื่นปกป้องอย่างเขา ยังต้องกล่าวถึงความยุติธรรมอะไร เหรียญกล้าหาญที่พวกเราเอาชีวิตเข้าเสี่ยง กลับต้องให้เขานั่งลอยลมรับส่วนแบ่งด้วย นี่ยุติธรรมหรือ”


“นั่นสิ ต้องการความยุติธรรมก็ง่ายนัก ให้เจ้าหนูนั่นเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยปะไร ข้าว่าเขาไม่มีแม้แต่ความกล้านี้เลยด้วยซ้ำ!”


“อย่าคาดหวังไปเลย ลูกผู้ดีมีเงินพรรค์นี้แต่ละคนกลัวตายหาที่เปรียบไม่ได้กันทั้งนั้น มีหรือจะไปสู้สุดแรงเกิดเหมือนกับพวกเรา”


“เมื่อครู่เขาไม่ได้พูดเองหรือ ไร้ผลงานย่อมไม่ควรรับรางวัล แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกผิดอยู่ในใจ ไม่มีหน้าไปโกยเหรียญกล้าหาญแบบได้เปล่าเช่นนี้!”


ภายในใจของสมาชิกคนอื่นๆ มีความไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลานี้จึงถือโอกาสระบายมันออกมา จงใจเสียดสีกระทบกระเทียบ


“พอได้แล้ว!”


หูทงตวาดลั่น สีหน้าอึมครึมยิ่ง ทำให้คนอื่นๆ เงียบปานจั๊กจั่นหน้าหนาวในบัดดล แต่ขอเพียงมองดูท่าทีของพวกเขา ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ยอมแพ้


“หัวหน้าหูไม่จำเป็นต้องลำบากใจ ข้าพูดคำไหนคำนั้น ไร้ผลงานย่อมไม่ควรรับรางวัล เหรียญกล้าหาญของผู้อื่น ข้าสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย!”


ท่ามกลางความเงียบงัน หลินสวินกล่าวอย่างเฉยเมย “อีกอย่าง เรื่องก่อนหน้านี้ข้าคร้านจะไล่สาวเอาความ แต่ถ้าหากต่อไปยังเกิดเรื่องทำนองเดียวกันอยู่ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”


ไม่เกรงใจ?


เสียงหลุดขำเย้ยหยันดังขึ้นในที่นั้น ลูกผู้ดีคนหนึ่งที่ยังต้องให้พวกเขาปกป้องเช่นนี้ ยังกล้าข่มขู่พวกเขา?


หูทงถอนหายใจเบาๆ ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว


ละครคั่นฉากเล็กๆ นี้ไม่นานก็ผ่านไป ทั้งขบวนเริ่มออกเดินทางต่อ


เพียงแต่บรรยากาศระหว่างทางค่อนข้างอึมครึม หลินสวินไม่เอ่ยสักคำ อาปี้อยากพูดอะไรอยู่หลายครั้ง ทว่าตอนที่เห็นท่าทางเยือกเย็นผิดปกติเช่นนั้นของหลินสวิน กลับเอ่ยปากออกมาไม่ได้


ภายในใจของนางก็อึดอัดเช่นกัน ปฏิบัติการในวันนี้มันอย่างไรกันแน่ หรือทุกคนยอมปล่อยเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปไม่ได้จริงๆ ตลอดทางเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องเกินเหตุอะไรเลยนี่!


……


สองชั่วยามให้หลัง คนทั้งขบวนเข้าใกล้หุบเขาพยัคฆ์อย่างราบรื่น


ที่นี่คือแนวเขาอันรกร้างผืนหนึ่ง มองลงมาจากเวิ้งฟ้ามีลักษณะคล้ายพยัคฆ์ตัวหนึ่งที่ยึดครองผืนแผ่นดินใหญ่ หุบเขาสายหนึ่งในนั้นมีลักษณะคล้ายปากเสือ ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกว่า ‘หุบเขาพยัคฆ์’


หมอกควันหนาทึบ ให้บรรยากาศอึดอัดกดดันอย่างหนึ่ง


เป้าหมายของขบวนหลินสวินก็คือสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่ประจำการอยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ ช่วงชิงเอาแร่หายาก ‘เหล็กดาราจรัสสลาย’ ในหุบเขาพยัคฆ์ไปให้ได้!


“ตามข้อมูล มีผู้แข็งแกร่งมหาเวทเผ่าพ่อมดเถื่อนที่เทียบเท่าระดับกระบวนแปรจุติสามคนนั่งบัญชาการอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ ยังมีกองกำลังชั้นยอดจากสายคนเถื่อนอัคคีกระจายอยู่ในหุบเขาพยัคฆ์อีกด้วย จำนวนคนราวๆ ห้าสิบคน”


ไกลออกไป หูทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช่วงหว่างคิ้วเจือความโหดเหี้ยม “พี่น้องทั้งหลาย นี่คือศึกหินศึกหนึ่ง รอเมื่อเริ่มลงมือ ข้าจะจัดการผู้แข็งแกร่งมหาเวทสามคนนั้นเอง ศัตรูคนอื่นๆ ก็มอบให้พวกเจ้าแล้ว”


ทุกคนต่างรับคำสั่ง


เพียงแต่ก่อนจะเริ่มลงมือหูทงลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็กล่าวกำชับ “อาปี้ ภารกิจของเจ้าก็คือปกป้องคุณชายหลิน จะต้องรับรองความปลอดภัยของคุณชายหลินให้ได้”


ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา อาปี้กลับไม่มีปัญหาอะไร แต่หลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ ต่างขมวดคิ้ว สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วยความเหยียดหยามและดูหมิ่น


พูดไปพูดมา จนแล้วจนรอด เจ้าหนุ่มนี่ก็ยังต้องให้พวกเขาปกป้องอยู่ดี ช่างน่ารังเกียจนัก


แต่ว่าศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีแก่ใจจะไปเสียดสีและกระทบกระเทียบหลินสวินอีกต่อไป ติดตามหูทงไปทันที เคลื่อนไหวลับๆ มุ่งหน้าไปยังหุบเขาพยัคฆ์ที่อยู่ห่างออกไป


“เจ้าเองก็ไปเถอะ รู้อยู่แล้วว่าเจ้าคันไม้คันมือ” หลินสวินมองอาปี้ที่อยู่ข้างกายปราดหนึ่ง


“ไม่ได้ ข้าต้องคอยอยู่ข้างๆ เจ้า เผื่อเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นกับเจ้า หัวหน้าต้องฆ่าข้าแน่ๆ” อาปี้ส่ายหน้า


หลินสวินเห็นดังนี้พลันถอนหายใจอยู่ในทรวง ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รอให้ภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นก็จะจากไปทันที เขายินดีปฏิบัติการเพียงลำพัง ดีกว่าถูกคนเหยียบย่ำและกีดกันอีก


ทั้งสองพุ่งไปยังหุบเขาพยัคฆ์ด้วยกัน อยู่รั้งท้ายไกลออกมา


ฉึบๆๆ!


สิ้นหนักทึบระลอกหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่เฝ้าหุบเขาพยัคฆ์ถูกพวกหูทงฆ่าตายอย่างเงียบเชียบ นอนราบกับพื้น ไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงใดๆ


นี่เป็นการเปิดฉากที่ไม่เลวเลย


พวกหูทงต่างกระปรี้กระเปร่า แต่อย่างไรเสียพวกเขาล้วนเป็นพวกผ่านศึกมาร้อยสมรภูมิ แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงรักษาอาการตื่นตัวและเฝ้าระวัง ลอบเคลื่อนขบวนอย่างระแวดระวัง


ภายในหุบเขาพยัคฆ์เป็นผืนหาดทรายที่กว้างขวางอย่างที่สุด ลำธารแห้งแล้งสายหนึ่งกลายเป็นโกรกธาร คดเคี้ยวอยู่ภายใน


นอกจากนี้ บริเวณส่วนลึกของหุบเขายังมีถ้ำอุโมงค์ที่ถูกขุดเจาะจำนวนมาก นั่นคือเหมืองแร่ แร่ล้ำค่าอย่าง ‘เหล็กดาราจรัสสลาย’ ก็ถูกขุดออกมาจากที่นี่ด้วย


เพียงแต่ที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกหูทงคือ พวกเขาแทบไม่พบอุปสรรคใดๆ ก็แฝงเร้นเข้าสู่ส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ได้แล้ว


ตลอดทางสังหารไปเพียงทหารยามเผ่าพ่อมดเถื่อนหนึ่งกลุ่ม แต่ทั้งหมดล้วนเป็นพวกตัวประกอบ ไม่ควรค่าให้ชายตาแล


“คงไม่ใช่ว่าพวกเศษสวะพ่อมดเถื่อนนั่นรู้ว่าพวกเราจะมา จึงวิ่งเข้าไปซ่อนตัวในเหมืองนั่นหรอกกระมัง” หลิ่วเหวินกล่าวติดตลก


คนอื่นๆ ก็อดครื้นเครงไม่ได้ มีเพียงหูทงที่มุ่นคิ้วอยู่คนเดียว เขาสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ชักจะไม่ชอบมาพากล การป้องกันของศัตรูหละหลวมเกินไป ไม่ได้กวดขันเหมือนอย่างที่กล่าวในข้อมูลเลยแม้แต่น้อย


“เหนี่ยวนกเขา ละแวกนี้มีร่องรอยการถอยร่นของศัตรูหรือไม่” หูทงถามโดยพลัน


ผู้ที่ถูกเรียกว่าเหยี่ยวนกเขาคือชายหนุ่มรูปร่างผอมกะหร่องคนหนึ่ง เป็นสายสืบในขบวน เขาส่ายหน้า “ไม่มี”


ภายในใจของหูทงผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาวูบหนึ่ง


และขณะนั้นเอง ปากถ้ำเหมืองแห่งหนึ่งในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ จู่ๆ พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง เป็นทหารยามเผ่าพ่อมดเถื่อนคนหนึ่ง ตอนที่เห็นพวกหูทงก็พลันส่งเสียงร้อง “ศัตรูบุก! ศัตรูบุก…”


ฟุ่บ!


ธนูดอกหนึ่งพุ่งออกมา เจาะลำคอของทหารยามเผ่าพ่อมดเถื่อนคนนั้นอย่างแม่นยำ นำมาซึ่งโลหิตร้อนลวกเป็นสาย ตายคาที่


หยางสยงเก็บคันธนู หัวเราะร่า “ที่แท้ก็เหมือนหลิ่วเหวินพูดเอาไว้จริงๆ พวกเศษสวะนั่นเข้าไปซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเหมืองเหมือนหนูไม่มีผิด!”


“เตรียมพร้อมต่อสู้!”


หูทงสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก นัยน์ตาฉายแสงเย็นเยียบออกมา ภารกิจครั้งนี้มาถึงจุดสำคัญแล้ว ขอเพียงพิชิตชัยได้ พวกเขาก็จะกลับไปพร้อมความสำเร็จเต็มเปี่ยม


ไม่นานในถ้ำเหมืองแต่ละแห่งที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ ก็มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาแน่นขนัด เหมือนกับหนูที่ออกมาจากพื้นดินไม่มีผิด


พวกเขาส่งเสียงร้องลั่นคำรามเดือด ไอสังหารพลุ่งพล่าน


เพียงแต่ยามที่พวกเขาเพิ่งปรากฏตัวนั้น ก็ประสบกับการโจมตีเต็มกำลังจากพวกหูทง ชั่วขณะเดียวพื้นที่บริเวณนั้นมีเลือดนองเป็นแอ่ง ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเพิ่งปรากฏกายก็ถูกฆ่าตายคาที่


สิ่งนี้ทำให้พวกหูทงต่างฮึกเหิม พละกำลังเต็มเหนี่ยว สำแดงความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนออกมา จู่โจมสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นสุดกำลัง


“ดูท่า ภารกิจครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า”


ปากทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ อาปี้มองดูทั้งหมดนี้อยู่ไกลๆ มุมปากผุดความผ่อนคลายขึ้นเสี้ยวหนึ่ง


“สถานการณ์ไม่ถูกต้อง”


เพียงแต่หลินสวินที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาดำลึกล้ำพลันหรี่ลง


อาปี้อึ้งงัน


และในตอนนั้นเอง เสียงเคร่งครัดเย็นชาเสียงหนึ่งพลันดังก้องขึ้น “เศษสวะเผ่ามนุษย์ต่ำช้า ถึงขั้นกล้ามาทำลายการใหญ่ของพวกข้าในเวลานี้!”


เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีเสียงแตกต่างกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล้วนเย็นชาและน่าเกรงขามอย่างเห็นได้ชัด


“ทุกท่าน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข่าวรั่วไหล มาร่วมกันลงมือเถิด วันนี้ จะต้องไม่ให้ผู้ใดหนีออกไปได้เด็ดขาด!”


“ย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว!”


ทันทีทันใด ในหุบเขาพยัคฆ์ล้วนมีเสียงเหล่านั้นก้องสะท้อน ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป


และบริเวณปากถ้ำเหมืองเหล่านั้น พลันปรากฏเงาร่างน่าสะพรึงร่างแล้วร่างเล่า ทันทีที่พวกเขาปรากฏกาย กลิ่นอายอันน่าสะพรึงก็แผ่ขยายทั่วลาน กดดันเสียจนอากาศร้องโหยหวน


“ผู้แข็งแกร่งมหาเวทของเผ่าพ่อมดเถื่อนเก้าคนเต็มๆ!”


ภายในใจหูทงกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาใดเปรียบ


หลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ ที่แต่เดิมเหิมฮึกพิฆาตศัตรู เวลานี้ต่างก็ชาไปทั้งหัว หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้


เหตุใดถึง…


ในข่าวไม่ได้บอกว่า ที่นี่อย่างมากก็มีผู้แข็งแกร่งมหาเวทสามคนบัญชาการอยู่หรอกหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงโผล่มาเพิ่มอีกหกคนได้


สิ่งที่ทำให้พวกหูทงหนังศีรษะชาวาบมากที่สุดคือ ตามหลังผู้แข็งแกร่งมหาเวทเก้าคนนั้นปรากฏตัว ยังมีกองกำลังชั้นยอดซึ่งมาจากทั้งเผ่าพ่อมดเถื่อนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า


หนาแน่นเป็นขนัด อย่างน้อยๆ มีจำนวนมากถึงหลายร้อยหลายพันคน!


“แย่แล้ว!”


“ถอย!”


พวกหูทงผ่านประสบการศึกนองเลือดมาช้านาน ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าครั้งนี้เผชิญหน้ากับอันตรายกะทันหันแล้ว ตัดสินใจถอยทัพอย่างเด็ดขาดโดยแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก


“เฮอะๆ คิดหนี? สายไปแล้ว!”


ที่มาพร้อมกับเสียงคำรามดุจฟ้าร้องนั้น คือค่ายกลรอยสัญลักษณ์ขนาดใหญ่อันลึกลับ ที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันเหนือเวิ้งฟ้าทั่วทั้งหุบเขาพยัคฆ์!


สัญลักษณ์สีเลือดลึกลับและคลุมเครือแผ่แสงเรืองน่ากลัวออกมา พุ่งไปยังสี่ทิศแปดด้าน ปกคลุมหุบเขาพยัคฆ์ทุกส่วน บังเกิดกลิ่นอายสุดหยั่งที่ราวกับผนึกต้องห้าม


ตูม!


ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งหุบเขาพยัคฆ์ดูคล้ายมองไม่เห็น ถูกค่ายกลสัญลักษณ์ขนาดใหญ่สีแดงฉานดั่งโลหิตปกคลุมไปทั้งผืน!


แม้จะเป็นหลินสวินและอาปี้ที่ยืนอยู่ปากทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ ต่างยังวิ่งหนีไม่ทัน เส้นทางล่าถอยทั้งหมดถูกตัดขาด


ทันใดนั้นหัวใจของพวกหูทงล้วนเย็นวูบ ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง สีหน้าเหยเกถึงขีดสุด


เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้


ข่าวกรองมีความผิดพลาดหรือ


ตอนที่ 695 แมลงเม่าบินเข้ากองไฟกับวีรบุรุษช่วยสาวงาม

โดย

ProjectZyphon

“กับดัก!”


สีหน้าของอาปี้ซีดลงทันใด ค่ายกลขนาดใหญ่ปิดผนึกพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้ ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งมหาเวทเก้าคนนั่งบัญชาการอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีกองกำลังชั้นยอดเผ่าพ่อมดเถื่อนเป็นร้อยเป็นพันกระจายกำลังควบคุมอยู่ นี่มัน…


เท่ากับทางตันอย่างไม่ต้องสงสัย!


อาศัยเพียงกำลังของพวกเขา เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงที่จะพลิกสถานการณ์


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ภายในของอาปี้จมดิ่งสู่ก้นบึ้ง ไยถึงเป็นเช่นนี้ไปได้…


“นี่ไม่ใช่กับดัก น่าจะเพราะที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ชักนำผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนจำนวนมากให้มุ่งหน้ามา พวกเราก็แค่มาได้จังหวะพอดีเท่านั้น”


หลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ


“อย่างนั้นหรือ…”


อาปี้นิ่งงัน คราวนี้ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ เจ้าหน้ามนที่อยู่ข้างกายก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง สุขุมเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม


ความเยือกเย็นประเภทนี้ ไม่มีทางเสแสร้งแกล้งทำออกมาได้แม้แต่น้อย


‘เขา… ไม่กังวลใจเลยหรือ’


อาปี้รู้สึกไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง


แต่ไม่รอให้เขาตอบสนอง ในลานพลันมีเสียงเย็นเยียบและน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น “แค่กองกำลังผู้ฝึกปราณอิสระของจักรวรรดิเผ่ามนุษย์ขบวนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าริอ่านแตะต้องหุบเขาพยัคฆ์ ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ”


ผู้ที่เอ่ยคำคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ทั่วสรรพางค์กายของเขาอาบชุ่มด้วยสายฟ้าสีเลือด บนเรือนผมมีประจุไฟฟ้าสีแดงฉานปานโลหิตไหลพัน นัยน์ตาเปล่งประกาย ราวกับดวงอาทิตย์เลือดคู่หนึ่ง


กลางฝ่ามือเขากำเคียวสีเลือดขนาดมหึมาด้ามหนึ่ง คมเคียวราวกับจันทร์เสี้ยว ทว่ากลับแดงสดดุจโลหิต งามประหลาดและน่าขยาดกลัว


“ผู้แข็งแกร่งมหาเวทสายคนเถื่อนอสนี…เสอเจิ้น!”


สีหน้าหลิ่วเหวินเปลี่ยนไปอย่างมาก ร้องอุทานเสียงหลง


เสอเจิ้น บุคคลร้ายกาจที่มีชื่อเสียงด้านความเหี้ยมโหดในสมรภูมิกระหายเลือด มีฉายาว่า ‘เคียวโลหิตฟ้าคำราม’ มาจากสายคนเถื่อนอสนี ครอบครองพลังระดับแห่งมหาเวท


หลายปีมานี้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่ตายด้วยน้ำมือของเสอเจิ้น อย่างน้อยก็มีถึงหลายพันคน!


ใน ‘กระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวท’ ที่ออกโดยค่ายทหารของจักรวรรดิ ชื่อของเสอเจิ้นก็อยู่ในนั้นด้วย ทั้งยังสูงถึงอันดับที่เจ็ดสิบสอง!


นี่ย่อมเป็นมหาพิบัติคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ในลานไม่ได้มีแค่เสอเจิ้น ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นอีกแปดคน


ลำพังแค่กระบวนทัพเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนสิ้นหวังแล้ว


ไม่เพียงหลิ่วเหวิน สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราคนอื่นๆ ต่างก็มือไม้เย็นเฉียบ ต่อให้ประสบการณ์สู้รบของพวกเขามากมายเพียงใด ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ ก็ไม่สามารถนำพาความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่พวกเขาได้


“เฮอะๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในกองกำลังกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ยังมีคนรู้จักข้าด้วย”


เสอเจิ้นแสร้งหัวเราะ ทั่วร่างเขามีสายฟ้าสีเลือดไหลพุ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงที่คาวเลือดกดข่มผู้คน น่าพรั่นพรึงถึงที่สุด


แม้จะเป็นหูทง ภายในใจก็อดถอนหายใจไม่ได้ รู้ว่าครั้นนี้หากคิดจะพลิกสถานการณ์ ความหวังนั้นแสนริบหรี่เต็มที


“เจ้าหมอนี่มีชื่อเสียงมากหรือ”


ไกลออกไป หลินสวินถามด้วยความประหลาดใจ


อาปี้จนคำพูดไปชั่วขณะ ภายในใจของนางร้อนรนกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ไหนเลยจะเคยคิด ว่าจนป่านนี้แล้วคุณชายหลินผู้นี้ยังให้ความสนใจกับเรื่องพรรค์อยู่อีก


อาปี้กล่าวอย่างรวดเร็ว “หมอนี่คือพวกโหดเหี้ยมที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกในกระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวท แค่มีชื่อเสียงเสียที่ไหน เป็นคนโด่งดังที่ขึ้นชื่อด้านความชั่วร้ายเลยชัดๆ! เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก เจ้าคิดก่อนดีกว่าว่าจะรอดชีวิตอย่างไร!”


“พูดแบบนี้ ถ้าฆ่าเขาก็จะได้รับรางวัลเป็นกอบเป็นกำเลยใช่หรือไม่” หลินสวินคล้ายขบคิด


“ฆ่าเขา?”


อาปี้แทบเป็นบ้า อดไม่ไหวอยากแงะกบาลเจ้าหน้ามนออกมาดูว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่มันเวลาใดแล้ว เขายังพูดล้อเล่นพรรค์นี้อยู่ได้!


ไม่รู้ย่อมไม่กลัว หมายถึงคนประเภทนี้กระมัง


“ได้ ไหนๆ ก็ใกล้ตายอยู่รอมร่อแล้ว ข้าจะบอกเจ้าเอง รางวัลค่าหัวของเสอเจิ้นคนนั้นคือเหรียญกล้าหาญชั้นรองสิบเก้าอัน รวมถึงผลึกวิญญาณชั้นสูงแปดพันชิ้น อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งชุด โอสถวิญญาณรักษาบาดแผลชนิดพิเศษสิบขวด!”


อาปี้กัดฟัน เจือท่าทางประหนึ่งไม่สนอะไรอีกแล้ว กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งตั้งเท่าไรหมายจะฆ่าชายคนนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยความล้มเหลว รางวัลค่าหัวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครยังจะกล้าฝันถึงอีก”


หลินสวินร้องอ้อหนึ่งคราแล้วไม่เอ่ยวาจาอีก


คำว่า ‘อ้อ’ คำเดียวดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อาปี้มีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ประการหนึ่ง เจ้าหมอนี่… ไม่หวาดกลัวเลยสักนิดจริงๆ หรือ


เพียงแต่ตอนที่นางกำลังจะพูด ในหุบเขาพยัคฆ์บริเวณที่ห่างออกไป ก็ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวดังกึกก้องปานฟ้าคำราม…


“พูดพล่ามมากมายขนาดนั้นทำไมกัน ฆ่าพวกแมลงวันนี่ก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย!”


นั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนอัคคีผู้หนึ่ง ทั่วกายรายล้อมด้วยเปลวเพลิงที่พุ่งทะยานสู่ฟ้า หยาบโลนและหยิ่งผยอง ดุจดั่งมารปีศาจที่ถือกำเนิดจากเปลวเพลิงตนหนึ่ง


เขานามว่าเหยียนชื่อเหิง เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งเช่นเดียวกัน


“สู้กับพวกมัน!”


หูทงคำราม รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์สิ้นหวัง ก็ยังขอสู้จนตัวตาย!


“เฮอะ ก็แค่ไม้ซีกงัดไม้ซุงเท่านั้น!”


เหยียนชื่อเหิงแค่นเสียงเย็นชา เงาร่างกลายเป็นทะเลเพลิงผืนหนึ่งในบัดดล พุ่งปกคลุมไปทางหูทง


“ฆ่า!”


แม้ตกสู่สถานการณ์สิ้นหวัง สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้นก็ไม่ได้ขี้ขลาดตาขาว เวลานี้แต่ละคนต่างดุดัน หมายต่อสู้สุดแรงเกิด ยอมตายดีกว่าก้มหัวให้


ตูม!


การต่อสู้ปะทุขึ้นในเวลานี้ เหยียนชื่อเหิงและหูทงเข้าโรมรันเข่นฆ่ากัน


ส่วนหลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ ล้วนถูกเสอเจิ้นเพียงคนเดียวขวางเอาไว้!


ใช่แล้ว เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ควงเคียวสีเลือดขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง ความกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมา ก็สามารถกำราบพวกหลิ่วเหวินได้อย่างสมบูรณ์


เพียงแต่เขากลับไม่ได้รีบร้อนลงมือ กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “คุกเข่าแทบเท้าข้า ข้าจะเว้นโทษตายแก่พวกเจ้า มอบการปฏิบัติเยี่ยงเชลยศึกให้”


บัดนั้นหลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ โกรธจนหน้าแดงเถือก เส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน ความอัปยศอดสูทว่าเรียบง่ายเช่นนี้ กลับมีประสิทธิภาพมากที่สุด


เดิมทีหลินสวินยังคิดจะดูเสียหน่อยว่าเจ้าพวกนี้จะตอบสนองอย่างไร


เขาหาใช่เลือดเย็น หากแต่ตลอดทางถูกคนพวกนี้เหยียดหยามและเสียดสีหลายต่อหลายครั้ง จึงอยากยืมโอกาสครั้งนี้มาดูเสียหน่อยว่า เมื่อประสบความอัปยศอดสู เจ้าพวกนี้จะมีท่าทีอย่างไร


ใครจะไปคิดว่าเวลานี้อาปี้กลับเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว


นางกัดฟันกรอด ด่าทอออกไป “เศษสวะชาติหมา กดขี่ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!” จากนั้นก็กระชับค้อนยักษ์ด้ามนั้น เงาร่างไหววูบ พุ่งไปทางเสอเจิ้นซึ่งอยู่ไกลออกไปทันที


“ผู้หญิงคนนี้นี่ช่าง…”


หลินสวินส่ายหน้าอย่างจนปัญญาเล็กน้อย


“ฮ่าๆ นางหนูอย่างเจ้าเลือดร้อนดีนี่ แต่ว่า เจ้าคิดตายปุบปับคงไม่ได้ จะต้องคุกเข่าให้ข้าก่อน!”


เสอเจิ้นเองก็ค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยามมาดร้ายวูบหนึ่ง เขายกมือขึ้นแล้วซัดออกไป


ตูม!


รอยฝ่ามือสีเลือดผุดขึ้นในบัดดล กดทับอากาศ ครอบคลุมลงมา


“หลบเร็ว!”


หยางสยงและคนอื่นๆ ตกตะลึง ร้องตะโกนเสียงหลง


แต่ไม่ทันแล้ว ปฏิกิริยาของอาปี้เถรตรงเกินไป เหมือนอุปนิสัยของนาง ตรงไปตรงมาและเฉียบขาด


ปึง!


ทันทีที่อาปี้เงื้อค้อนขึ้น ก็ถูกรอยฝ่ามือสีเลือดซัดสะเทือนจนเจ็บไปทั้งร่าง กระดูกคล้ายจะแตกกระจาย ค้อนยักษ์ที่ชำรุดอยู่ก่อนแล้วในมือพลันส่งเสียงระเบิดอันท่วมท้นเหลือทนออกมา ถูกทำลายลงสิ้นซาก


นางในเวลานี้ดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องตายโดยไร้ข้อกังขา ทว่าความบ้าระห่ำที่เผชิญหน้ากับความตายนั้น กลับทำให้ผู้คนไม่อาจไม่สะเทือนอารมณ์


“ไม้ซีกงัดไม้ซุงก็คงไม่พ้นเป็นเช่นนี้ คุกเข่าลงไป!”


น้ำเสียงเฉยเมยของเสอเจิ้นดังขึ้น รอยฝ่ามือสีเลือดนั้นเจียนจะปกคลุมตัวอาปี้ ทำให้นางไร้ทางหลีกลี้


นี่ก็คือพลังของผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของเผ่าพ่อมดเถื่อน ประหนึ่งมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ต่อหน้าบุคคลระดับนี้ อาปี้ซึ่งมีเพียงปราณระดับหยั่งสัจจะ เห็นชัดว่าเป็นขี้ผงและไร้ค่ามากเกินไปโดยไม่ต้องสงสัย


ดวงตาของอาปี้ก่ำเลือด ดวงหน้างดงามดุร้ายเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวและเคียดแค้น ไม่มีการถอยร่นแม้แต่น้อย


ต่อให้ตาย นางก็ไม่ยอมจำนน!


เพียงแต่…


พอคิดถึงว่าความแค้นของพี่ชายยังไม่ทันชำระ ก็ต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ กลับทำให้อาปี้รู้สึกไม่ยินยอมอย่างบอกไม่ถูก


นี่คือปมในใจของนาง


น่าเสียดาย… ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาได้แก้ปมเสียแล้ว…


อาปี้ถอนหายใจอยู่ในอก


ในตอนนี้ เวลาเสมือนว่าแสนยาวนาน ถึงขั้นที่นางสังเกตเห็นว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนจำนวนมากที่อยู่ไกลออกไป ต่างผุดรอยยิ้มมาดร้ายและโหดเหี้ยมออกมา


มองเห็นหูทงที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกับเหยียนชื่อเหิง กำลังมองมาทางตนด้วยความเดือดดาลและร้อนรน


และมองเห็นใบหน้าโกรธแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้ของพวกหยางสยง…


แล้วก็หลิ่วเหวิน…


เขา…


เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้!?


ชั่วแล่น หัวใจของอาปี้พลันเย็นเยียบไปทั้งดวง นางมองเห็นภาพที่ทำให้ตื่นตระหนกจนหนาวเยือกไปทั้งใจ…


จากนั้น ทั้งหมดล้วนอันตรธานลับไป เหลือเพียงรอยฝ่ามือสีเลือดที่ปะทะเข้ามา ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในครรลองสายตา


คิดจะให้ข้าคุกเข่าหรือ


ฝันไปเถอะ!


นัยน์ตาของอาปี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง คล้ายคิดจะทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้


พรึ่บ!


ทว่าในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ รอยฝ่ามือสีเลือดที่ขยายใหญ่ขึ้นไม่ว่างเว้นในครรลองสายตานาง กลับถูกโจมตีจนเกิดเป็นรูโบ๋ จากนั้นพลันแตกกระจายต่อหน้าต่อตา


พร้อมกันนั้นอาปี้รู้สึกว่าร่างเบาหวิว พลันถูกวงแขนทรงพลังข้างหนึ่งโอบกอดไว้ และหายตัวไปจากจุดเดิม


ถูกช่วยแล้ว?


อาปี้มึนงงอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อมองเห็นคนที่ช่วยชีวิตตัวเองได้เต็มตานั้น นางยิ่งเกือบคิดว่าตัวเองตาลายเข้าไปใหญ่


“ทำไม… เป็นเจ้า?”


คนผู้นั้นถึงกับเป็นเจ้าหน้ามนคนนั้น!


ไม่เพียงอาปี้เท่านั้น เวลานี้ทั่วลานเกิดสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้น หรือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน แต่ละคนล้วนเบิกตากว้าง มีสีหน้าตื่นตะลึงเกินบรรยาย


แทบไม่มีใครคาดคิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงขั้นมีคนสามารถเอาชนะฝ่ามือของเสอเจิ้นผู้มีฉายาว่า ‘เคียวโลหิตฟ้าคำราม’ ได้


อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งด้วย!


นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทำให้บรรยากาศทั่วลานแข็งทื่อไปชั่วขณะ


โดยเฉพาะพวกหยางสยง หลิ่วเหวิน ลูกตาแทบปลิ้นออกมา ตีให้ตายก็ไม่กล้าเชื่อว่าคุณชายลูกผู้ดีที่ถูกพวกเขามองเป็นหนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิ ไม่มีประโยชน์สักนิด เป็นตัวภาระที่พาให้ผู้คนชิงรังคนนี้ ถึงขั้นช่วยชีวิตอาปี้เอาไว้ในเวลานี้!


นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว!


เป็นไปได้อย่างไรกัน


“ตอนนี้ เปลี่ยนเป็นข้าคุ้มครองเจ้า”


หลินสวินเมินเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ เขาวางอาปี้ลงแล้วตบไหล่นางเบาๆ


สีหน้าของอาปี้ในตอนนี้คงต้องใช้คำว่า ‘สับสนงุนงง อึ้งค้างตะลึงงัน’ มาบรรยาย นางนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น


แม้แต่นางก็ยังคิดไม่ถึง คนที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ไม่ใช่พวกพ้องเหล่านั้น แต่เป็นเจ้าหน้ามนที่ถูกนางปกป้องมาตลอดทางคนนี้…


“ดูไม่ออกเลย ถึงขนาดให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเล่นปาหี่เป็นวีรุบุรุษช่วยสาวงามต่อหน้าข้าเชียว เฮอะๆ แต่วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวีรุบุรุษหรือสาวงาม เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ก็ได้แต่คุกเข่ารอข้ามอบความเป็นหรือตายให้เท่านั้น!”


สีหน้าเสอเจิ้นราบเรียบ น้ำเสียงสบายอารมณ์


เด็กหนุ่มคนหนึ่งสามารถทำลายการโจมตีแบบส่งๆ ของเขาได้ ถึงจะเหนือความคาดหมาย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ


“เศษสวะอย่างเจ้า ข้าฆ่ามาไม่ใช่แค่หนึ่งคน วันนี้เพิ่มอีกสองสามคนก็ไม่เห็นเป็นไร” หลินสวินทอดสายตามองไป นัยน์ตาดำสนิทลึกล้ำ


“เจ้าพวกมดปลวก ถึงคราวตายแล้วยังคุยโวโอ้อวดอีก!”


เสอเจิ้นเหมือนรู้สึกขันยิ่งนัก เขาสะบัดแขนเสื้อ สายฟ้าสีเลือดแถบหนึ่งทะยานออกมา ทลายอากาศ เผด็จการและน่ากลัว พุ่งกำราบไปทางหลินสวิน


——

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)