Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 686-689
ตอนที่ 686 หนึ่งหนีหนึ่งไล่ล่า
โดย
ProjectZyphon
เคร้ง!
ครั้นโจมตีพลาด กระบี่บินสีเทาเล่มนั้นพลันหลีกเร้นทันใด อันตรธานหายลับไปอีกครา
“ดูไม่ออกเลยว่าการรับรู้ของเจ้าโดดเด่นกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้เสียอีก แต่ว่า วันนี้กลับไว้ชีวิตเจ้าไม่ได้!”
น้ำเสียงของชายเงาสีเทาดังก้องไปทั่วบริเวณนี้ เทียวผลุบเทียวโผล่ เจือไอสังหารเยียบเย็นเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าตระหนักถึงความเหนือธรรมดาของหลินสวินแล้ว และหมายจะลงมืออย่างอำมหิต
“ฆ่า!”
หลินสวินกลับไม่พูดพล่าม ครั้งนี้เขาสัมผัสพลังเสี้ยวหนึ่งของอีกฝ่ายได้ สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งพุ่งปราดเข้าไปในพริบตา
ตูม!
ดาบหักหวดอากาศ ก่อให้เกิดดวงดาราพร่างพราวทั่วฟ้า แสงดาบราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ส่องสว่างจักรวาล อานุภาพน่าพรั่นพรึง
กลางอากาศ เงาสีเทาสายนั้นพลันถูกบีบให้ปรากฏตัว เขาเร่งขับเคลื่อนกระบี่บินพุ่งโจมตีใส่หลินสวิน กระบี่คมกริบดุดัน เคลื่อนไหวสอดประสานไร้พรมแดน
ครืนครืน~
พื้นที่บริเวณนั้นเกิดเสียงกึกก้อง มือของหลินสวินกระชับดาบหัก นัยน์ตาดำดุจอสนี พลังจิตวิญญาณแผ่ซ่าน จับจ้องอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นหนา เริ่มจู่โจมอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
แต่งาสีเทาสายนั้นก็น่ากลัวสุดขีดอย่างเห็นได้ชัด ทักษะการต่อสู้โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งยวด วิชากระบี่บินแทบจะเทียบเคียงมรรคา ไอสังหารหาที่เปรียบไม่ได้
นี่คือผู้แข็งแกร่งปลายยอดในสายคนเถื่อนมืดผู้หนึ่ง จัดเจนในวิถีลอบสังหารแต่กำเนิด ท่าร่างยากคาดเดา วิชากระบี่เร้นลับ ราวกับเงาตะคุ่มที่ไม่สามารถสัมผัสได้ พาให้หัวใจสั่นไหว
ในบรรดาเผ่าพ่อมดเถื่อนเก้าสาย คนเถื่อนมืดสายนี้เป็นสายที่ลึกลับที่สุด เผ่าพันธุ์สายพวกเขามีจำนวนน้อยอย่างถึงที่สุด ทว่าแต่ละคนล้วนดุจดั่งราชันในความมืดมิด
ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาของจักรวรรดิ บุคคลสำคัญที่ตายด้วยน้ำมือของนักลอบสังหารสายคนเถื่อนมืด มีไม่น้อยกว่าหลายร้อยคนอย่างแน่นอน
กระทั่งมีข่าวลือว่าราชันระดับสังสารวัฏในจักรวรรดิ ล้วนเคยถูกนักลอบสังหารสายคนเถื่อนมืดซุ่มโจมตี เกือบทิ้งชีวิตวายชีวัน!
ยามอยู่ในค่ายกระหายเลือด หัวหน้าครูฝึกสวีซานชีก็เคยกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้ง ว่าในบรรดาเก้าสายของพ่อมดเถื่อน ผู้ที่พลังต่อสู้แกร่งกล้ามากที่สุด คือผู้แข็งแกร่งของสายคนเถื่อนอสนีและสายคนเถื่อนแสงสองสายนี้
แต่ถ้าพูดถึงผู้ที่ทำให้คนปวดหัวและกริ่งเกรงมากที่สุด ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งสายคนเถื่อนมืดอย่างไม่ต้องสงสัย!
เนื่องจากพวกเขาเหมือนเป็นนักลอบสังหารที่อาศัยอยู่ในเงามืดแต่กำเนิด ยามที่ไม่ทันตั้งตัวก็สามารถพรากเอาชีวิตของเจ้าไปได้แล้ว
ฉึก!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ไหล่ของหลินสวินถูกกระบี่บินเฉี่ยวเล็กน้อย พลันมีเลือดกระเซ็นออกมา
วิชากระบี่ที่เทียบได้กับมรรคานี้ช่างลึกลับและน่ากลัวโดยแท้ ทำให้หลินสวินเกือบจะถูกการโจมตีนี้ทำเอาบาดเจ็บสาหัส
ทว่าในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็ถูกฟันด้วยแสงของดาบหัก ใบหูครึ่งส่วนถูกตัดลงมา เลือดสดไหลชุ่ม ห่างเพียงเสี้ยวเดียวก็จะฟันใส่ลำคอของเขาขาดแล้ว
“เจ้าถึงกับทำให้ข้าบาดเจ็บได้!?”
ชายเงาสีเทาดูเหมือนทั้งตกใจและเดือดดาล แผดเสียงคำรามยาวหนึ่งครา เงาร่างยิ่งเบาหวิวพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเงาที่เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มีสายหนึ่ง เคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฟ้าดิน
ตูม!
หลินสวินไม่เอ่ยวาจา มีเพียงนัยน์ตาเท่านั้นที่ยิ่งเยือกเย็นลุ่มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ รอบกายของเขารายล้อมด้วยแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์สีเขียว ท่วงทำนองแห่งมรรคสัมบูรณ์ไหลเวียน วิชาอริยะยุทธ์ถูกเขานำมาใช้ประโยชน์
ท่าร่างของคู่ต่อสู้เดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย ทว่าหลินสวินกลับเร่งความเร็วขึ้นกะทันหัน ก้าวย่างชือน้ำแข็งราวกับภาพมายา ว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ
ปึงๆๆ!
ทั้งสองปะทะกัน ดาบหักและกระบี่บินสั่นอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างน่าหวาดกลัวกวาดม้วนทั่วสารทิศ แสงดาบและไอกระบี่ฉีกอากาศเป็นเสี่ยงๆ จนเป็นรอยนับไม่ถ้วน
คู่ต่อสู้แข็งแกร่งนัก!
มีพลังระดับ ‘จอมเวท’ ในแง่การฝึกปราณไม่ได้แตกต่างจากหลินสวินเลย แต่ทว่ากลับเป็นศัตรูตัวฉกาจซึ่งอยู่ในระดับเดียวกัน ที่หลินสวินได้พบเจอหลังกลับมาจากทะเลกลืนวิญญาณ!
ในระหว่างการต่อสู้ มีอยู่ชั่วครู่หนึ่งที่หลินสวินถึงขั้นคิดว่าอีกฝ่ายได้เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคาเช่นเดียวกับตน
ลำพังแค่จุดนี้ก็เพียงพอจะทำให้หลินสวินตกใจได้แล้ว นักลอบสังหารในสายคนเถื่อนมืดคนหนึ่ง กลับสามารถครอบครองพลังต่อสู้เช่นนี้ในระดับจอมเวทได้ ฐานะในเผ่าพ่อมดเถื่อนของอีกฝ่ายจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้หลินสวินถึงขั้นเคยโจมตีสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนเพียงลำพัง แต่ตอนนี้ คู่ต่อสู้ที่แทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน กลับสามารถประลองกับหลินสวินมาจนป่านนี้ได้ เช่นนี้มีหรือที่ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนทั่วไปจะเทียบชั้นได้
“ฆ่า!”
ไอสังหารพวยพุ่งในใจฃหลินสวิน เขาเองก็มีความคิดจะสังหารอย่างเด็ดขาด กำจัดภัยในภายหน้าไปให้สิ้นเช่นเดียวกัน
หากปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ จะต้องนำมาซึ่งการผลาญชีวิตอีกไม่รู้เท่าไรของจักรววรดิอย่างแน่นอน
ปังๆๆ!
นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างยิ่ง ดาบกระบี่ฟาดฟันกัน พลังชนกระแทก สะเทือนเลือนลั่นฟ้าดิน
ทั้งสองต่างช่ำชองในวิชาต่อสู้ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย แต่กลับรับรู้ถึงแก่นแท้ของการต่อสู้เป็นอย่างดี
นี่ก็คือการประชันของยอดฝีมือ เวลานี้ถ้าหากผู้ฝึกปราณคนอื่นผลีผลามเข้ามา คาดว่าคงถูกปลิดชีพในทันที
“ฟัน!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลินสวินก็โดดผลุงขึ้นมา ดาบหักราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์กวาดไพลิน ผ่าฟันออกไป
ตูม!
แม้ว่าชายเงาสีเทาจะหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ ทว่าแรงสะเทือนอันน่ากลัวนั้นกลับทำให้ร่างของเขาซวนเซ ใบหน้าที่แต่เดิมเกลี้ยงเกลาขาวเนียนก่ำแดงขึ้นมา
‘หรือว่าเขาเหยียบย่างบนเส้นทางในตำนานสายนั้นไปแล้ว’
ชายเงาสีเทามีอาการประหลาดใจและเคร่งขรึม นัยน์ตาสีเทาลุกโชนด้วยจิตต่อสู้อันพลุ่งพล่าน ความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ทำให้ความฮึกเหิมในใจของเขาสั่นคลอนอีกครั้ง
“ฆ่า!”
หลินสวินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ ดาบหักระเบิดปะทุประหนึ่งย้ายขุนเขาทลายสมุทร ท้วมท้นด้วยพลังโจมตี สั่นสะเทือนพื้นที่รกร้างทั้งแถบ เมฆลมปั่นป่วน
ฉัวะ!
เพียงชั่วขณะเท่านั้น ชายเงาสีเทาก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ถูกดาบหักเฉือนผมยาวหนึ่งช่อ ผิวตรงแผ่นหลังถูกไอดาบคมกริบฟันเป็นรอยแผลยาวชุ่มเลือด ลึกจนเห็นกระดูก
หลังจากเขาได้รับบาดเจ็บ เงาร่างก็เหมือนกับควันสีเทากลุ่มหนึ่ง แนบพื้นถอยร่นออกไปหลายพันจั้งทันใด ปากกลับส่งเสียงหัวเราะคล้ายกับฮึกเหิม “ในที่สุดข้าก็พบคู่ต่อสู้เสียที ขอเพียงฆ่าเจ้าได้ ข้าก็จะสามารถเปิดมหาทวารแห่งมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุด กลายเป็นราชันแห่งพ่อมดเถื่อนแล้ว!”
“ขออภัย เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว!”
หนึ่งกระบวนท่าของหลินสวินเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ไล่ตามเข้าไปสังหารอย่างต่อเนื่อง ดาบหักพร่างพราวจนคล้ายจันทราน้ำแข็งที่กำลังส่องแสงดวงหนึ่ง พลังทำลายล้างน่าตกใจ พุ่งเข้าใส่จุดสำคัญถึงชีวิตของอีกฝ่าย
“ฮ่าๆ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก พวกเราสายคนเถื่อนมืดถ้าหากคิดหนี ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครขวางไว้ได้!”
ชายเงาสีเทาราวกับแสงกะพริบ หนีไปอย่างบ้าคลั่ง ห้วงอากาศล้วนถูกฉีกขาด โขดหินและแนวเขาระหว่างทางต่างถูกบดขยี้ปานกระดาษว่าว
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งไล่ล่าสุดกำลัง
ตูม!
ความเร็วของทั้งสองต่างบรรลุถึงขั้นน่าตระหนก ขณะที่เสียงระเบิดปานฉีกทึ้งดังก้องขึ้น เงาร่างของพวกเขาก็อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นจั้งนานแล้ว!
แม้แต่หลินสวินก็ยังอดยอมรับไม่ได้ ว่าเจ้าหมอนี่ฆ่าได้ยากเหลือเกินจริงๆ เทียบกับพวกหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงแล้ว ยังเหนือกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ
อีกทั้งในแง่ของพลังและประสบการณ์ต่อสู้จริง รวมถึงวิชาลับที่สันทัดทั้งหมดของอีกฝ่ายแล้ว ล้วนเรียกได้ว่าอยู่ในมาตรฐานชั้นเลิศในโลก!
แต่ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ทำให้ความคิดที่จะฆ่าอีกฝ่ายของหลินสวินยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นถึงศัตรูของจักรวรรดิ หากปล่อยให้เขาผงาดขึ้นมา จะต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่แน่!
หลินสวินเปลี่ยนดาบเป็นคันธนูโดยไม่มีลังเล สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก โคจรพลังทั้งหมดในร่าง พลังภายในร่างดุจดั่งเตาหลอมแห่งฟ้าดิน และกำลังเผาไหม้ดุเดือดเต็มกำลัง
นัยน์ตาดำสนิทของเขาลุ่มลึก คล้ายหุบเหวอันลึกล้ำกำลังเคลื่อนโคจร ราวกับสามารถกลืนกินสุริยันจันทราให้หายลับ เพียงชั่วพริบตาก็เหมือนกลายร่างเป็นเทพไท้ที่จุติมาสู่โลกมนุษย์
วู้ม!
คันธนูแข็งแรงหยาบขรุขระของธนูวิญญาณไร้แก่นสารโค้งงอ สายธนูสีแดงสดราวกับแช่ด้วยโลหิตถูกง้างเต็มเหนี่ยว ชั่วขณะนั้นดุจดั่งมีเทพมารคำรามอย่างเดือดดาล เสียงพายุอสนีโถมประดังบังเกิด
ฟุ่บ!
ทว่าเมื่อศรวิญญาณดอกนั้นถูกยิงออกไป กลับไร้สุ้มเสียง เจียนจะว่างเปล่ามองไม่เห็น ไหววูบและหายลับไปกลางอากาศ
ชายเงาสีเทาที่หนีไปไกลหัวใจพลันสั่นสะท้าน หนาวเยือกไปทั้งร่าง ตระหนักถึงอันตรายร้ายแรงสุดขีดที่กำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว
เขาร้องเสียงประหลาดคราหนึ่ง ด้านหลังพลันปรากฏธงหนังสัตว์ผืนหนึ่งขึ้นมากะทันหัน บนนั้นเขียนรอยสัญลักษณ์พ่อมดเถื่อนสีเลือด คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น
ปึง!
ธงหนังสัตว์ส่องแสง รอยสัญลักษณ์สีเลือดหมุนวน ทว่ากลับสกัดกั้นได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็ถูกศรวิญญาณทะลวงเป็นช่องโหว่หนึ่งรู
แทบจะในเวลาเดียวกัน ชายเงาสีเทาส่งเสียงร้องโหยหวนคราหนึ่ง เขาอยากหลบ ทว่าไม่ทันแล้ว นั่นเป็นถึงลูกศรของราชันไร้เทียมทานในระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเชียว!
แผ่นหลังของเขาถูกแทงทะลวง ปรากฏรูเลือดเป็นวงใหญ่ ทำให้เขาเจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยว เกือบหัวทิ่มหกคะเมนลงกับพื้น
‘ธงรอยสัญลักษณ์โลหิตเป็นถึงสมบัติล้ำค่าในเผ่า ทำไมถึงสกัดศรดอกนั้นไม่ได้ หรือว่าธนูคันนั้นเป็นสมบัติลึกลับที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่ง’
ชายเงาสีเทาเลิ่กลั่ก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้เยือกเย็นอีกต่อไป
แต่เขาแข็งกร้าวถึงที่สุด ประสบการณ์การต่อสู้ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่ง ระหว่างที่หลบหนี บริเวณแผ่นหลังปรากฏปีกคู่หนึ่งขึ้นมาโดยพลัน
ปีกเทาหม่นคล้ายกับปีกค้างคาวกระพือเบาๆ เกิดเสียงดังซ่าหนึ่งครา ก็ทำให้ชายเงาสีเทาเคลื่อนตัวไกลออกไปหลายพันจั้ง รวดเร็วยิ่งกว่าเมื่อครู่ถึงหนึ่งเท่าเต็มๆ
นี่คือปีกแห่งเงามืด หาใช่สมบัติ แต่เป็นวิชาลับระดับสูงของสายคนเถื่อนมืด จำเป็นต้องแผดเผาเลือดลมในร่างเพื่อสำแดงออกมา
หากไม่ถึงช่วงอันตราถึงชีวิต ชายเงาสีเทาก็ไม่เต็มใจทำร้ายตัวเองเช่นนี้เหมือนกัน
“ยุ่งยากจริงๆ…”
เบื้องหลัง หลินสวินก็เพิ่มความเร็วขึ้นเช่นกัน บนใบหน้าอบอวลด้วยไอสังหาร
ปึง!
ไม่นานนักทั่วสรรพางค์กายของหลินสวินก็ส่องสว่างเป็นประกาย ท้วมท้นด้วยลมปราณที่พวยพุ่งขึ้นสู่อากาศ เขาในเวลานี้ประดุจเทพธนูแห่งยุคบรรพกาล รูปร่างสูงโปร่งยืดเหยียด ง้างธนูยิงดอกที่สองออกไป!
ฟุ่บ!
ปีกแห่งเงามืดของชายเงาสีเทาผู้นั้นระเบิดออก ถูกศรหนึ่งดอกระเบิดอย่างดุเดือด ที่น่าเสียดายคือยังคงพลาดไปเสี้ยวหนึ่ง ไม่สามารถโจมตีสังหารเขาได้ เพียงแต่ยิงแขนของเขาขาดไปเท่านั้น
แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ชายเงาสีเทาผู้นั้นหวาดผวา ทั้งเสียขวัญและโกรธเกรี้ยว ฝึกปราณมาจนป่านนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกเพลี้ยงพล้ำเช่นนี้
เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าในจักรวรรดิถึงกับมีเด็กหนุ่มเช่นนี้เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกัน น่ากลัวยิ่งนัก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิด
หนี!
ชายเงาสีเทากัดฟัน ตระหนักได้ว่าวันนี้เผลอๆ อาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
แต่หลินสวินเองก็อดขมวดคิ้วกับเรื่องนี้ไม่ได้ ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ต่อให้เปลี่ยนเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงถูกจะยิงจนเป็นรังแตนไปตั้งแต่ต้นแล้ว
ทว่าชายเงาสีเทาคนนี้กลับยังคงยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ นี่ไม่ใช่โชคช่วยแล้ว แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง
ต้องฆ่าเขาให้ได้!
หลินสวินสูดหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก นัยน์ตาเยียบเย็นราวกับหิมะน้ำแข็ง ยิงลูกศรดอกที่สามออกไป
พริบตานั้นชายเงาสีเทาพลันขนลุกขนพอง ผิวหนังทั่วร่างต่างลุกชันไปหมด สำหรับเขาแล้ว เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังคนนั้นเหมือนกับเทพมารชัดๆ น่าสะพรึงเกินไปแล้ว
เขาหนีเอาชีวิตรอดสุดแรงเกิด น่าเสียดาย ยังคงหนีไม่ทันพ้น ศรวิญญาณดอกหนึ่งทะลวงผ่านหน้าอกเขาโดยตรง ปรากฏสายเลือดกระเซ็นที่แดงเถือกร้อนลวก!
“อ๊าก…” เขาอดร้องโหยหวนออกมาอีกครั้งไม่ได้ ศรครั้งนี้แทบคร่าชีวิตของเขาไป ทำให้เขามีความรู้สึกสิ้นหวังที่จะดิ้นรนก่อนตาย
ตูม!
เพียงแต่ไม่อาจไม่พูด ชายเงาสีเทาคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงชั่วขณะเท่านั้น เลือดลมทั่วร่างของเขาพลุ่งพล่าน ราวกับลุกไหม้ก็มิปาน อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นไปอีก ยามที่หลบหนี เงาร่างเจียนจะมองไม่เห็น ความเร็วว่องไวถึงขั้นน่ากลัว
เห็นได้ชัดว่าเขาเร่งขับเคลื่อนวิชาลับที่น่าสะพรึงบางอย่าง!
หลินสวินแทบจนคำพูด อยากด่าคนยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบกับคู่ต่อสู้ที่ยากสังหารเช่นนี้ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าที่มาของอีกฝ่ายจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ตอนที่ 687 การตรวจสอบที่ละโมบ
โดย
ProjectZyphon
ความหนังเหนียวในพลังชีวิตของชายเงาสีเทาผิดมนุษย์มนาถึงขีดสุดจริงๆ อีกทั้งเขายังสันทัดวิชาลับอัศจรรย์มากมาย พลังต่อสู้ก็ดุร้ายและน่าขนลุกเหนือธรรมดา
บุคคลระดับนี้ทำให้หลินสวินยากจะฆ่าเขาในทันที เพียงจินตนาการก็รู้ได้ว่าคนผู้นี้จะต้องมีฐานะทรงเกียรติเพียงใดในเผ่าพ่อมดเถื่อน
และในสมรภูมิกระหายเลือดนี้ หากปล่อยให้เขารอดชีวิต เช่นนั้นรังแต่จะนำพาภัยเงียบที่ไม่อาจคาดเดาได้มาสู่ฝั่งจักรวรรดิ
เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักลอบสังหารแต่กำเนิดที่สันทัดการลอบฆ่าผู้หนึ่ง!
หลินสวินใช้กำลังออกไปอย่างสิ้นเชิง ต่อให้รู้ว่าบนสมรภูมิกระหายเลือดที่เสี่ยงอันตรายหาที่เปรียบไม่ได้แห่งนี้ การสิ้นเปลืองพลังกายอย่างต่อเนื่องจะเป็นข้อเสียเปรียบต่อสถานการณ์ของตน เขาก็ไม่นึกเสียดาย
ฟุ่บ!
ศรวิญญาณดอกหนึ่งยิงออกไปอีกครั้ง ราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์อันไกลโพ้นที่กักขังวิญญาณ เบาหวิวมิอาจคาดเดาได้ ในพริบตาร่างครึ่งหนึ่งของอีกฝ่ายพลันระเบิดออก เลือดสดซ่านกระเซ็น
ชายเงาสีเทาร้องโหยหวน เจ็บจนภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำ เกือบหมดสติไป
นับตั้งแต่เริ่มต้นบนมรรคา เขาไม่เคยถูกคนไล่สังหารเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยสัมผัสกับประสบการณ์น่าอับอายและอันตรายร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน
สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธจนบ้าคลั่ง ทั้งหวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม เวลานี้ถึงได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของสิ่งที่เรียกว่ามรรคาที่แข็งแกร่งที่สุด
แม้ว่าเขาเองก็เจียนจะสัมผัสขอบเขตนั้นได้แล้วเช่นกัน ทว่าอย่างไรเสียก็ยังไม่เคยบรรลุถึง และก็เพราะเช่นนี้ ทำให้ก่อนหน้านี้เขาประเมินความน่ากลัวของอีกฝ่ายต่ำไป
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินไหววูบ พุ่งไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง อีกฝ่ายจวนจะล้มทั้งยืน ใกล้ยืนหยัดไม่ไหวแล้ว เวลานี้เป็นช่วงเวลาดีที่สุดที่จะจู่โจมสังหาร
ทว่าระหว่างทาง หลินสวินกลับต้องชะงักเท้ากะทันหัน นัยน์ตาดำสนิทจับจ้องไปยังระยะไกลด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ระยำ!”
ท้ายที่สุดหลินสวินก็กลั้นคำด่าเอาไว้ไม่ได้ จากนั้นเขาก็ล่าถอยโดยไม่ลังเลสักนิด หลบหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม ความเร็วนั้นไวยิ่งกว่าเมื่อครู่ถึงสามส่วน!
ตูม!
และขณะที่หลินสวินเพิ่งจากไป กลิ่นอายน่ากลัวหาใดปรียบสายหนึ่งพลันมาเยือนพื้นที่แห่งนี้ ราวกับผู้เป็นนายห้อทะยานมาเยือน ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี บังเกิดลมกระโชกน่ากลัว
“นายน้อย!”
เสียงร้องอุทานเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมปรากฏร่างชายชราผอมซูบ ผิวดำเกรียม ทั่วสรรพางค์กายคละคลุ้งด้วยไอสีเทาหม่น
มองดูชายเงาสีเทาที่ร่างครึ่งซีกถูกระเบิด ดูน่าสังเวชหาใดเปรียบ ใบหน้าของชายชราพลันเขียวคล้ำ กลางนัยน์ตาสาดลำแสงน่าสยดสยองออกมา
“นายน้อยอดทนไว้ บ่าวจะไปฆ่าเจ้าโจรผู้นั้นก่อน!”
ชั่วขณะ ภายใต้การกวาดสายตาอันแสนน่ากลัวของชายชรา ก็พลันพบหลินสวินที่หนีห่างออกไปไกล
“อย่าไป!”
เพียงแต่ยามที่ชายชรากำลังจะลงมือ ชายเงาสีเทากลับร้องตะโกนห้ามปราม
“นายน้อย โอกาสกำลังหลุดลอยไปนะ!”
ชายชรากระวนกระวายยิ่ง
“ข้าบอกว่าอย่าไป!”
ชายเงาสีเทาตวาด สีหน้าแปลกประหลาดหาใดเปรียบ
เขาอ้าปากกลืนลูกกลอนโอสถลงไปหนึ่งเม็ด บัดนั้นทั่วสรรพางค์กายมีเลือดลมพวยพุ่งออกมา ร่างครึ่งซีกที่เดิมทีผุพัง ถึงกับฟื้นตัวคืนมาในพริบตา
เพียงแต่สีหน้าของเขากลับขาวซีดหาที่เปรียบไม่ได้ จวนเจียนโปร่งใส ลมหายใจก็รวยรินประหนึ่งแสงตะเกียงริบหรี่ ราวกับสามารถล้มครืนลงไปเมื่อไรก็ได้
“เจ้านั่นเป็นเหยื่อของข้า นอกจากข้า ใครก็ห้ามแตะต้องเขา!”
ชายเงาสีเทากัดฟัน นัยน์ตาฉายแววโหดเหี้ยม
ความพ่ายแพ้ในวันนี้ เขามองว่าเป็นความอัปยศใหญ่หลวง ภายในใจมีเพลิงโทสะคุกรุ่นอยู่
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เขาฝึกปราณจนป่านนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานเป็นครั้งแรก กระทั่งสัมผัสได้ว่าหากตนหมายจะเหยียบอยู่ในขอบเขตนี้ การฆ่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นก็คือวิธีที่ได้ผลที่สุด!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาขวางชายชราคนนั้นเอาไว้
“นายน้อย เมื่อครู่เป็นใครกันแน่ ถึงกับทำร้ายท่านได้เลยเชียว”
ชายชรารู้ดีว่าเวลานี้เสียโอกาสในการสังหารศัตรูไปแล้ว เพียงแต่เขาไม่เข้าใจยิ่งนัก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ถึงกับยังมีคนสามารถเอาชนะนายน้อยได้
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
แต่เขารู้ดีว่า นายน้อยที่เป็นองค์ชายแห่งสายคนเถื่อนมืด มีพรสวรรค์บันลือโลกเพียงใด เป็นอันดับหนึ่งในชนรุ่นเยาว์แห่งสายคนเถื่อนมืดอย่างไร้ข้อกังขา
ถึงขั้นที่แม้แต่ราชันแห่งสายคนเถื่อนมืดยังเคยกล่าวว่า อาศัยเพียงบุคลิกของนายน้อย ก็เพียงพอจะตั้งตนเป็นใหญ่ยามมหาสงครามมาเยือนแล้ว!
ทว่าตอนนี้นายน้อยกลับพ่ายแพ้ แพ้อย่างน่าสังเวชเช่นนี้ เกือบมีอันตรายถึงแก่ชีวิต สิ่งนี้จะไม่ทำให้ชายชราตกใจได้อย่างไร
เรื่องพรรค์นี้หากแพร่กลับไปยังสายคนเถื่อนมืด จะต้องเกิดแรงสะเทือนยกใหญ่ครั้งหนึ่งเป็นแน่!
แม้จะเป็นการถูกสายเผ่าอื่นอีกแปดสายของเผ่าพ่อมดเถื่อนรู้เข้า ก็คงจะสั่นสะเทือนเลือนลั่นเช่นเดียวกัน!
พวกเขาสายคนเถื่อนมืด เป็นถึงสายที่ลึกลับและโดดเด่นที่สุดในบรรดาเก้าสาย ทว่าตอนนี้องค์ชายผู้มากพรสวรรค์ที่สุดแห่งสายคนเถื่อนมืดของพวกเขากลับเกือบจะถูกฆ่าตาย ใครเล่าจะไม่สั่นสะท้าน
เมื่อนึกถึงว่าหากครั้งนี้ตนมาช้าไปอีกนิด ชายชราก็หวาดหวั่นจนเหงื่อโซมกาย สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขายิ่งเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ แทบอดรนทนไม่ไหว อยากพุ่งเข้าไปฆ่าศัตรูคนนั้นโดยพลัน
“หมานจิ่ว เจ้ารู้ว่าจุดประสงค์ที่ข้ามาเคี่ยวกรำในสมรภูมิกระหายเลือดมานานหลายปี ไม่มีอะไรมากไปกว่าคิดอาศัยการเข่นฆ่า เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคาอย่างแท้จริง”
ชายเงาสีเทาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยวาจาเนิบนาบ “และในวันนี้ ข้าก็ได้เห็นแล้ว! ข้าได้สัมผัสความร้ายกาจของมกุฎมรรคาด้วยตัวเอง พลังระดับนั้น… อยู่เหนือจินตนาการอย่างสิ้นเชิง ดุจดั่งราชันแห่งระดับ ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!”
กล่าวถึงตอนท้าย นัยน์ตาของเขาฉายแววลุกโชนออกมา “และสิ่งที่ข้าต้องการ ก็คือคู่ต่อสู้เช่นนี้ มีเพียงสังหารเขา จึงจะทำให้ข้าได้โอกาสเหยียบย่างบนปลายยอด!”
คู่ต่อสู้คนนั้นเป็นถึงมกุฎราชันแห่งระดับหยั่งสัจจะของเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่งเชียว!
ชายชราเองก็ลอบสูดหายใจเย็นเยียบ เขาค่อนข้างตกใจ กี่ปีมาแล้วล้วนไม่เคยได้ยินว่าผู้แข็งแกร่งระดับนี้ถือกำเนิดในจักรวรรดิมาก่อน
ไฉนจู่ๆ วันนี้จึงโผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง
ทันใดนั้นหัวใจของชายชราพลันบังเกิดความเสียใจอย่างรุนแรงวูบหนึ่ง หากรู้ก่อนแต่แรก เขายิ่งควรลงมือสังหารอีกฝ่ายโดยพลัน!
คนเช่นนี้หากผงาดขึ้นมา สำหรับทั้งเผ่าพ่อมดเถื่อนของพวกเขาแล้ว ย่อมเป็นหายนะยิ่งใหญ่อย่างที่สุด!
“หมานจิ่ว ข้าต้องการให้เจ้าทำสิ่งหนึ่ง”
ทันใดนั้นชายเงาสีเทาพลันเอ่ยปาก “ช่วยสืบข่าวคราวคนผู้นี้มาสักหน่อย ต้องละเอียดที่สุด ข้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจคู่ต่อสู้คนนี้ให้รอบด้าน!”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าหมานจิ่วกล่าวถาม “นายน้อย คนผู้นี้มีรูปร่างเป็นอย่างไร อายุเท่าใด มีลักษณะเฉพาะเจาะจงหรือไม่”
ชายเงาสีเทาครุ่นคิด อธิบายรูปลักษณ์ของหลินสวินหนึ่งรอบ จากนั้นจึงกล่าวว่า “น่าจะหาเขาพบได้ง่าย เพราะอายุของเขาจะต้องไม่เกินยี่สิบปีเป็นแน่ ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง! หากคาดไม่ผิด เขาน่าจะเพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด”
เด็กหนุ่ม!
เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแห่งระดับหยั่งสัจจะ?
หัวใจของหมานจิ่วพลันไหวระริก สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อ่อนวัยเช่นนี้ ก็เหยียบย่างขอบเขตแห่งราชันเสียแล้ว สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวยิ่งนัก!
“จำไว้ เจ้ามีหน้าที่แค่สืบหาข่าวสาร หากกล้าลงมือกับเขา ทำข้าเสียการใหญ่ ข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
ชายเงาสีเทาเอ่ยปากอย่างเย็นเยียบ สายตาจ้องหมานจิ่วเขม็ง มีกลิ่นอายที่มิอาจฝ่าฝืนประการหนึ่ง
เขารู้ถึงศักยภาพของหมานจิ่ว ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างบนระดับ ‘ราชันเถื่อน’ แล้ว เรียกได้ว่าเป็นราชันเถื่อนครึ่งก้าวแล้ว ถ้าหากลงมือด้วยตัวเอง จะต้องสังหารเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างแน่นอน
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!
“บ่าวเข้าใจแล้ว”
หมานจิ่วรับบัญชา ต่อให้เขาไม่เห็นด้วย ก็ต้องทำตามอยู่ดี
การที่สามารถทำให้ราชันเถื่อนครึ่งก้าวอย่างเขาเป็นเช่นนี้ได้ แค่คิดก็รู้ได้ว่า ฐานะในสายคนเถื่อนมืดของชายเงาสีเทาคนนี้ทรงเกียรติและน่ายำเกรงเพียงใด
“โอกาสมาแล้ว… ครั้งนี้ ข้าต้องคว้าเอาไว้ให้ได้!”
ชายเงาสีเทาพึมพำ กลางนัยน์ตามีแววมุ่งมั่นวาบผ่านไป
……
ห่างออกไปหลายร้อยลี้
หลินสวินสีหน้าอึมครึม ภายในอกมีความไม่เต็มใจอย่างรุนแรง
ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะฆ่าชายเงาสีเทาผู้นั้นได้แล้ว ทว่ากลับมีบุคคลน่ากลัวที่มาเยือนปุบปับทำเสียเรื่อง สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอยากแช่งชักหักกระดูกอยู่บ้าง
‘กลิ่นอายน่าสะพรึงนั่นถึงจะอ่อนกว่าราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริง ทว่าก็ห่างกันไม่เท่าไร บุคคลเช่นนี้ กลัวแต่ว่าขาข้างหนึ่งจะเหยียบย่างบนระดับราชันแล้ว…’
หลินสวินเริ่มระวังตัวขึ้นอีก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ยังมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่เป็นรองเพียงราชันระดับสังสารวัฏดำรงอยู่ สิ่งนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงอันตรายอย่างชัดแจ้ง
แต่หลินสวินเองก็รู้ดีว่า ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป บุคคลระดับนี้คงไม่ลงมืออย่างง่ายดาย ต่อให้ลงมือ คนที่จะต่อกรก็คงมีแต่บุคคลในระดับเดียวกับพวกเขาเท่านั้น
‘ฟ้าใกล้มืดแล้ว…’
ภายในใจของหลินสวินรู้สึกลนลานขึ้นมา ไม่กล้าคิดมาก รีบเร่งความเร็วมุ่งไปยังที่ตั้งของค่ายจักรวรรดิ
เมื่อรัตติกาลมาเยือน สมรภูมิกระหายเลือดจะน่ากลัวยิ่งกว่าตอนกลางวันเป็นสิบเป็นร้อยเท่า อาจมีอันตรายและเคราะห์สังหารซึ่งคาดเดาไม่ได้เป็นอักโข ไม่ว่าจะกองทัพศัตรู หรือผู้ฝึกปราณของทางฝั่งจักรวรรดิ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปนั้น น้อยครั้งมากที่เลือกลงมือในยามกลางคืน
นี่คือสิ่งที่จ้าวไท่ไหลกำชับมาเป็นพิเศษ
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินไหววูบรุดหน้า ในมือจะเกิดเสียงดังครืดคราดออกมาเป็นครั้งคราว นั่นคือเสียงผลึกวิญญาณระดับสูงที่แตกเป็นผุยผงหลังจากที่พลังของพวกมันถูกดูดกลืนไป
การต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่ทำให้หลินสวินสิ้นเปลืองพลังกายไปมาก จำเป็นต้องเสริมบำรุงอย่างเร่งด่วน
เวลานี้ความเลวร้ายของสมรภูมิกระหายเลือดปรากฏออกมาแล้ว ไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อาศัยผลึกวิญญาณและโอสถวิญญาณมาเสริมบำรุงเท่านั้น
สิ่งที่คอขาดบาดตายมากที่สุดคือ การฝึกปราณของหลินสวินนั้นทรงพลังแกร่งกล้าหาที่เปรียบไม่ได้ อาจสามารถทำให้เขาต่อสู้ได้ติดต่อกันเนิ่นนาน แต่ในขณะเดียวกัน หากหมายจะฟื้นฟูพลัง จำนวนผลึกวิญญาณที่เขาจำเป็นต้องเสียไปนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าตกใจมากด้วยเช่นกัน
อิงจากการคาดคะเนของหลินสวิน ผลึกวิญญาณระดับสูงที่เขาพกมาด้วย อย่างมากก็พอให้เขาใช้ได้เจ็ดวัน ถ้าหากเจอศึกเลวร้าย การเผาผลาญก็รังแต่จะไวยิ่งขึ้น
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินวางใจคือ ในค่ายของจักรวรรดิสามารถใช้ความดีความชอบทางทหารไปรับเอาวัตถุดิบที่สอดคล้องกันมาเสริมบำรุงได้
หนึ่งในนั้นก็รวมถึงผลึกวิญญาณและโอสถวิญญาณด้วย
ตลอดทาง ร่องรอยศัตรูที่พบเริ่มหายากขึ้นทุกที นี่มีนัยว่าห่างจากค่ายจักรวรรดิไม่ไกลแล้ว
ถึงเป็นดังนี้ก็ยังมีการต่อสู้เกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้งระหว่างทาง แต่ล้วนเป็นสายลับและทหารแนวหน้าฝั่งเผ่าพ่อมดเถื่อน ไม่ได้มีบุคคลเก่งกาจอะไร ถูกหลินสวินเขี่ยทิ้งตลอดทาง ได้รับทรัพย์หลังศึกจำนวนไม่น้อยแบบเกินคาดทีเดียว
ไม่นานนักในที่สุดม่านรัตติกาลก็มาเยือน ระหว่างฟ้าดินพลันปกคลุมด้วยกลิ่นอายวังเวงที่กดดันผู้คนเอาไว้หนึ่งชั้น
เสียงลมต่างหยุดชะงัก กลิ่นเหม็นฉุนคาวเลือดกลางอากาศก็ราวกับควบแน่นและแข็งตัว มีความวิเวกวังเวงที่พาให้ผู้คนขนพองสยองเกล้าประการหนึ่ง น่ากลัวอย่างเงียบงัน
หลินสวินหมุนกายหันขวับ ภายใต้พลังจิตวิญญาณกว้างใหญ่ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่ากลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ด้านหลังนั้น คล้ายจะปรากฏ ‘ความน่ากลัว’ ที่ไม่สามารถสอดส่องได้จำนวนมาก
‘ดังคาด สมรภูมิกระหายเลือด ยามกลางคืนถึงจะน่ากลัวที่สุดจริงๆ ด้วย…’
หลินสวินเองก็ใจสั่นระรัว เขาไม่มีลังเล สาวเท้าว่องไวเร่งรุดไปเบื้องหน้า
ด้านหน้ามีหอสังเกตการณ์หนึ่งหลัง ความสูงพันจั้ง บนนั้นมีคบเพลิงลุกโชนอยู่ ราวกับแสงไฟชั่วนิรันดร์ ภายใต้ความมืดมิดดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
มุ่งหน้าไกลต่อไปอีกหน่อยก็มองเห็นชัดเจน แสงไฟที่เรียงรายสลับฟันปลาดุจดั่งมังกรเพลิง ขดม้วนเป็นชั้นๆ อยู่บนแนวเขาทั้งแถบ ส่องสว่างท้องนภายามราตรี
ธงลายดอกจื่อเย่าแขวนบนหอสังเกตการณ์ ถูกแสงไฟส่องเจิดจ้า ดอกไม้แต่ละดอกประหนึ่งเคยผ่านการอาบเลือด เบ่งบานในยามราตรี มีกลิ่นอายแห่งความขึงขังอย่างหนึ่ง
ที่นี่… ก็คือค่ายของจักรวรรดิ!
แนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ ในนั้นมีบุคคลชั้นยอดของจักรวรรดิประจำการอยู่ และยังมีกองกำลังผู้ฝึกปราณกระจายกันอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
พวกเขาถูกส่งมาประจำการที่นี่ ปกป้องแนวชายแดนจักรวรรดิที่อยู่เบื้องหลัง กรำศึกอยู่ที่นี่ เติบโตอยู่ในที่แห่งนี้
เมื่อมองเห็นคบเพลิง มองเห็นธงผืนนั้น มองเห็นกลุ่มอาคารสิ่งก่อสร้างในค่ายทหารที่ละลานตาเหมือนมังกรเพลิงนั่นแล้ว ภายในใจของหลินสวินก็หวนนึกถึงประโยคนั้นขึ้นมาอีกครา…
‘ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์’!
……
“ผู้มาเยือนเป็นใคร!”
ระยะห่างยังคงไกลถึงพันจั้ง เสียงร้องตวาดเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ในขณะเดียวกันแสงสว่างสายหนึ่งพลันกวาดมา ส่องเงาร่างของหลินสวินท่ามกลางม่านรัตติกาล
หลินสวินหรี่ตาลงน้อยๆ ค้นพบทันทีว่ารอบหอสังเกตการณ์มีกองกำลังกระจายตัวคุ้มกันอย่างแน่นหนา ล้วนแข็งกร้าว มีกลิ่นอายดุดันและเข้มงวด
“เอ๋ เด็กหนุ่มคนหนึ่ง? ใครเป็นคนพาเจ้ามา ผู้ปกครองบ้านเจ้าอยู่ไหน ไฉนค่ำมืดป่านนี้แล้วเพิ่งมาถึงค่ายกัน” ทหารยามคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากหอสังเกตการณ์ เอ่ยถามเสียงดัง
แต่ไม่นานสายตาของเขาพลันแข็งทื่อ สังเกตเห็นว่าบนแผ่นหลังของหลินสวินมีห่อสัมภาระขนาดมหึมาราวกับเนินเขาลูกหนึ่ง พาให้สั่นสะท้าน
“ลูกพี่ ในสัมภาระใบนั้นดูเหมือนล้วนเป็น…” ใครบางคนกระซิบ
“สวรรค์ ข้าได้กลิ่นคาวเลือดของพวกเศษเดนพ่อมดเถื่อน ข้าถึงขั้นสามารถจำแนกได้ว่ามีฟันของพวกเศษเดนสายคนเถื่อนทองคำ เนื้อหน้าอกของพวกเศษเดนสายคนเถื่อนอัคคี หัวไหล่ของพวกเศษเดนสายคนเถื่อนพสุธา… เต็มไปหมด!”
เสียงกระซิบกระซาบพึมพำระลอกหนึ่งดังลอยมาจากบริเวณใกล้เคียงหอสังเกตการณ์
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินตระหนักได้อย่างว่องไวว่ามีสายตามากมายจับจ้องตนเองอย่างดุเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะตอนที่ตระหนักถึงห่อสัมภาระบนแผ่นหลังของตน ต่างเจือความละโมบอยู่ไม่มากก็น้อยวูบหนึ่ง
“เจ้าหนู วางห่อสัมภาระบนหลังของเจ้าลง พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบเสียหน่อย มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถปล่อยเจ้าเข้าไปในค่ายทหารได้”
บนหอสังเกตการณ์ หัวหน้าทหารยามคนนั้นเอ่ยปากเอ่ย
ในดวงตาของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง บนหน้าปรากฏไอสังหารที่ยากสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง
สถานที่อันเป็นที่ตั้งประจำการของค่ายจักรวรรดิ เรียกได้ว่ามั่นคงแข็งแรง กองกำลังคุ้มกันแน่นหนา เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาต้องระวังตัวคือเผ่าพ่อมดเถื่อน หาใช่ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิเช่นเขาไม่
และเช่นกัน หลินสวินเองก็ไม่เคยได้ยินว่า แม้แต่การผ่านประตูใหญ่ของค่ายก็ต้องตรวจสอบทรัพย์สินติดตัวด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าทหารยามคนนั้น หรือทหารยามรอบข้าง ต่างเห็นชัดเจนว่าจงใจหาเรื่อง และความละโมบในแววตาของพวกเขาก็ทำให้หลินสวินตระหนักว่า อีกฝ่ายทำเช่นนี้ น่ากลัวว่าคงไม่มีเจตนาดีอะไร
นับตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดจนถึงตอนนี้ หลินสวินแทบจะเข่นฆ่ามาตลอดทาง เดิมทีคิดว่าเมื่อถึงค่ายแล้วจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ใครเลยจะคิด ดันเจอเข้ากับเรื่องพรรค์นี้เสียได้
สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ของเขาชักเริ่มเลวร้ายในบัดดล
เขาไม่กลัวการสังหารศัตรู แต่กลับเดียดฉันท์การหาเรื่องและยั่วยุระหว่างผู้ฝึกปราณในค่ายเดียวกันอย่างที่สุด
หลินสวินยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น สิ่งนี้ทำให้หัวหน้าทหารยามคนนั้นไม่พอใจยิ่งนัก เด็กหนุ่มที่ขนยังไม่งอกเต็มที่คนหนึ่ง ทั้งยังตัวคนเดียว กลับกล้าไม่ฟังคำสั่ง สิ่งนี้ทำให้เขามีสีหน้าขรึมลง ถุยน้ำลายข้นออกมาหนึ่งคำ ตวาดว่า “ไอ้หนุ่ม ไฉนเจ้าไม่ฟังคำสั่ง มีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝงใช่หรือไม่ ในยามวิกาล มีเพียงเจ้าตัวคนเดียวที่เอ้อระเหยลอยชายมาสาย เท่านี้ก็เห็นชัดว่ามันทะแม่งเกินไปแล้ว”
เขากล่าวพลางโบกมือเต็มแรง ออกคำสั่งว่า “ใครก็ได้ ไปพาเขาเข้ามา ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยเจ้าเด็กคนนี้ว่าเป็นสายลับที่พวกเศษเดนพ่อมดเถื่อนส่งมา จำเป็นต้องตรวจสอบโดยละเอียด!”
ตอนที่ 688 คำนวณผลงาน
โดย
ProjectZyphon
ทหารยามซึ่งประจำอยู่ในค่ายล้วนเป็นพวกเจนโลกที่ผ่านศึกมากว่าร้อยสมรภูมิ แวบแรกก็มองออกว่าหลินสวินน่าจะเป็นคนมาใหม่
กระทั่งอาจจะเป็นนักล่าสัตว์ผู้ฝึกปราณด้วยตนเองที่ถวายชีวิตให้กับอิทธิพลใหญ่บางแห่ง
อย่างไรเสียรูปร่างหน้าตาก็แปลกตาเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่มุ่งหน้ามายังค่ายหมายเลขเจ็ด
และนี่ก็ทำให้ในสายตาของพวกเขา หลินสวินกลายเป็นแกะอ้วนพีตัวหนึ่งที่สามารถเชือดอย่างโหดเหี้ยมได้ในดาบเดียว
ครั้นได้ยินคำสั่งของหัวหน้าทหารยาม ก็มีทหารยามสิบกว่านายพุ่งกรูออกมาพร้อมไอสังหาร จ้องหลินสวินอย่างมุ่งร้าย
หลินสวินมุ่นคิ้ว ในหนังสือคู่มือหนังสัตว์ไม่ได้อธิบายว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ควรรับมืออย่างไร
แต่ว่า ตอนที่หลินสวินอยู่ในค่ายกระหายเลือดก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียเปล่า เมื่อเห็นดังนี้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับแม้เศษเสี้ยว ไอสังหารในสีหน้าท่าทางกลับอันตรธานลับไป เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“มาๆๆ ให้ข้าตรวจสอบก่อนว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นสายลับหรือไม่กันแน่!”
ชายฉกรรจ์ล่ำสันคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าด้วยอาการเหิมฮึกเป็นคนแรก ถูหมัดเช็ดฝ่ามือ ประสาทสัมผัสด้านการรับกลิ่นของเขาไวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สังเกตเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าในสัมภาระบนหลังของหลินสวินมีของดีอยู่ไม่น้อย
ปึง!
เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ห่างจากหลินสวินราวๆ หนึ่งจั้ง ทั้งตัวคล้ายถูกเขาไท่ซานกดทับ เสียงตึงโครมใหญ่ คุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วยิ่งยวด
ทหารยามเหล่านั้นที่ตามหลังเขามาติดๆ เงาร่างของแต่ละคนก็โซซัดโซเซ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ถูกพลังอำนาจน่าหวาดกลัวอันไร้รูปกดทับเอาไว้ ประหนึ่งร่ำสุราจนเมามายก็มิปาน
หลังจากนั้นเสียงดังตึงๆ ดังก้องหนึ่งระลอก ทหารยามเหล่านั้นต่างคุกเข่าลง ใบหน้าแดงก่ำทั้งดวง เข่าสองข้างส่งเสียงแกรกกรากไม่หยุด
“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าอยากตรวจสอบข้าวของของข้าหรอกหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงคุกเข่าลงไปกันเล่า นี่กำลังคารวะต้อนรับข้าอยู่หรือ” หลินสวินทำหน้าประหลาดใจ
ทั่วบริเวณเงียบกริบ
ทหารยามคนอื่นๆ ในละแวกหอสังเกตการณ์ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
พวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่คมดาบอาบเลือดกันทั้งนั้น สามารถรอดชีวิตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดอันแสนดุร้ายและอันตรายมาจนถึงป่านนี้ ล้วนไม่มีบุคคลธรรมดาสามัญสักคน
ทว่าตอนนี้ พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้เด็กหนุ่มคนนั้น ก็คุกเข่าลงทันที!
นี่มันน่าตระหนกเกินไปแล้ว
“สามหาว!”
ทหารยามนายหนึ่งซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแผดเสียงคำราม หมายจะขัดขืนแล้วหยัดกายขึ้น ทว่าเพียงชั่วครู่ก็ถูกกดลงกับพื้นอีกครั้ง กระดูกแทบแหลกลาญ
หลินสวินในยามนี้เป็นผู้อยู่ในขอบเขตราชันที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแล้ว พลังอำนาจของเขามาจากการเคี่ยวกรำผ่านศึกเปื้อนเลือดนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทหารยามที่เพิ่งจะอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณพวกนี้ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมา ก็ไม่กล้าต่อต้านประจันหน้า!
แกร๊กๆ!
บนพื้น ทหารยามเหล่านั้นบิดเกร็งทั่วทั้งตัว ดุจดั่งถูกภูผามหึมากดทับร่าง สีหน้าขาวซีด บนหน้าผากชุ่มเหงื่อกาฬ กล้ามเนื้อกระดูกทั่วร่างล้วนกำลังส่งเสียงเสียดสีกันอย่างท้วมทัน จวนเจียนหักพัง
อานุภาพกดดันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องถูกกดทับจนเลือดออกเจ็ดทวาร กล้ามเนื้อกระดูกทั่วร่างแตกเป็นเสี่ยงแน่
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวในที่สุด ตระหนักได้ว่าเผชิญหน้ากับของแข็งเข้าให้แล้ว นี่ไหนเลยจะเป็นแกะอ้วนพี เป็นหมาป่าที่ห่มหนังแกะตัวหนึ่งชัดๆ!
“สหาย! มีอะไรก็พูดกันดีๆ!”
บนหอสังเกตการณ์ หัวหน้าทหารยามคนนั้นร้องตะโกนอย่างลนลาน เขาเองก็หน้าเปลี่ยนสี สูดลมหายใจเฮือกไม่หยุด อาศัยแค่พละกำลังก็สามารถบดขยี้ทหารยามเหล่านั้นได้แล้ว บุคคลเช่นนี้ทำให้ในใจเขาบังเกิดความกลัวลนลาน
ยามที่เอ่ยวาจา เขาได้พุ่งลงมาจากด้านบนหอสังเกตการณ์แล้ว
“คนที่ไม่อยากพูดกันดีๆ เป็นพวกเจ้ากระมัง” นัยน์ตาของหลินสวินมองสำรวจหัวหน้าทหารยามคนนั้น กลางนัยน์ตาดำเจือแววเย็นเยียบลึกล้ำ
หัวหน้าทหารยามคนนั้นพลันรู้สึกเหมือนถูกใบมีดคมกริบไร้รูปอันหนึ่งพาดบนลำคอ กลิ่นอายอันตรายถึงแก่ชีวิตทำให้ทั่วร่างของเขาราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เหงื่อกาฬไหลออกมาปานน้ำตก เปียกชุ่มไปทั่วร่าง
สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจจนวิญญาณกระเจิง ผู้แข็งแกร่งที่สามารถยืนมั่นอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดล้วนมีลางสังหรณ์อันเฉียบคมต่ออันตรายกันทั้งสิ้น
และหัวหน้าทหารยามคนนี้ก็ยิ่งเป็นผู้เกรียงไกรหนึ่งในนั้น ชั่วพริบตานี้ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มที่มุ่งหน้าฝ่าม่านราตรีมาเพียงลำพังคนนี้ จะต้องเป็นคนที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
“พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคืองแล้ว ขอใต้เท้าโปรดให้อภัย!”
หัวหน้าทหารยามโค้งกายคำนับต่ำ ภายในใจเขายังคงเต้นระส่ำ รับรู้ถึงความกดดันและตึงเครียดอย่างไม่อาจอธิบายได้
หลินสวินเก็บพลังกล่าวว่า “ข้ามาเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจอันใดเลย เมื่อครู่หากล่วงเกินไป ก็หวังว่าทุกท่านอย่าได้ใส่ใจ”
หัวหน้าทหารยามถอนหายใจโล่งอก ปาดเหงื่อเย็นหนึ่งคราแล้วฝืนยิ้มกล่าว “พวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ใต้เท้าขุ่นเคือง ใต้เท้าไม่ถือสานับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว”
“ใช่แล้วๆ” ทหารยามที่ถูกกำราบลงกับพื้นต่างก็ตะกายขึ้นมา สายตาที่มองไปทางหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป ปรากฏความกริ่งเกรงอย่างสุดซึ้งเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขนัด
ทหารยามที่อยู่ละแวกหอสังเกตการณ์ต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตระหนักได้ว่าคราวนี้เจอของแข็งเข้าให้แล้ว ต่างก็ไม่กล้าพูดมั่วๆ อีก
นี่ก็คือการสร้างบารมี ไม่ว่าจะเป็นค่ายกระหายเลือดหรือว่าค่ายทหาร คิดจะทำให้พวกเจนจัดเหล่านี้ศิโรราบ การสำแดงพลังออกมาตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว
หลินสวินเองก็คร้านจะยื้อยุดกับพวกเขาแล้ว ทิ้งห่อสัมภาระใหญ่มหึมาบนหลังลงกับพื้นเสียงดังปึง แล้วโบกมือกล่าว “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ในเมื่อพวกเจ้าจะตรวจสอบ ข้าย่อมไม่อาจไม่เห็นด้วย เมื่อครู่ที่ข้าล่วงเกินไปก็เพราะท่าทีของพวกเจ้ามีปัญหา”
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา พวกทหารยามต่างก็มีสีหน้าเหลอหลา อักอ่วนไม่สิ้น อันที่จริงพวกเขายังคิดว่าบังเอิญพบแกะอ้วนพีตัวหนึ่งเข้า ที่บอกว่าจะตรวจสอบนั้น ความจริงในใจนั้นถูกความโลภครอบงำต่างหาก
ครั้นเห็นว่าเวลานี้อีกฝ่ายมีท่าทีสุภาพ หัวหน้าทหารยามยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เอาเถอะ กฎระเบียบไม่อาจละเมิดได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ตรวจสอบสักรอบ จะได้ให้ใต้เท้าผู้นี้เข้าค่ายทหารโดยเร็ว”
ทหารยามที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงรับกันเกรียวกราว
สิ่งที่เรียกว่าตรวจสอบก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ใครๆ ก็ดูออกว่าหลินสวินไม่มีทางเป็นสายลับของพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อหลินสวินยืนกราน พวกเขาก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือ
เพียงแต่ขณะที่เปิดห่อสัมภาระขนาดใหญ่ปานเนินเขาลูกย่อมๆ ใบนั้นออก ทั่วบริเวณพลันเกิดเสียงสูดหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่ง
ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่โชกเลือดละลานตาไปหมด!
เยอะเกินไปแล้ว แน่นขนัดยิ่ง!
ภายในนั้นส่วนใหญ่เป็นทรัพย์หลังศึกที่เก็บเกี่ยวมาจากตัวของจอมพลังเผ่าพ่อมดเถื่อน และไม่ขาดทรัพย์หลังศึกระดับจอมเวทด้วย!
“สวรรค์ มีระดับจอมเวทเกือบสิบเก้าคน ระดับจอมพลังกว่าร้อยคน!”
หัวหน้าทหารยามและทหารยามในที่นั้นต่างสูดหายใจหนาวเยือก สายตาที่มองไปทางหลินสวินเปลี่ยนเป็นกริ่งเกรงขึ้นทุกที เด็กหนุ่มคนนี้ช่าง… โหดเหี้ยมเกินไปแล้วชัดๆ!
เพียงคนเดียวเท่านั้น ก็เก็บเกี่ยวคุณูปการทางทหารโชกเลือดได้ตั้งมากมายขนาดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาผิดวิสัยมากเพียงใด
“เอ๋! แขนข้างนี้ดูเหมือนจะพิเศษเล็กน้อย”
ทันใดนั้นในค่ายทหารพลันมีเงาร่างสายหนึ่งพุ่งออกมา นั่นคือชายชราชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง เส้นผมและเคราต่างเป็นสีขาว แม้แต่ขนคิ้วก็ยังเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน
เวลานี้เขามาใกล้มาถึงแล้ว ดวงตาพลันมองไปที่แขนข้างนั้นตั้งแต่แรก ในสีหน้าท่าทางเจือความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง จากนั้นเงยสายตามองไปทางหลินสวิน “แขนข้างนี้เจ้าได้มาจากที่ใด”
หลินสวินมุ่นคิ้ว “ท่านคือ?”
“ใต้เท้า ท่านผู้นี้คือใต้เท้าหลู หลูเหวินถิง เป็นนายทหารฝ่ายพลาธิการ ควบคุมดูแลเสบียงปัจจัยวัตถุในค่ายทหารหมายเลขเจ็ดของพวกเรา” หัวหน้าทหารยามที่อยู่ด้านข้างรีบร้อนอธิบาย
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งที กล่าวว่า “แขนข้างนี้มีปัญหาหรือ”
หลูเหวินถิงกลับไม่ถือสาท่าทีเฉยเมยของหลินสวิน ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีปัญหา เพียงแต่… แขนข้างนี้ดูคล้ายจะมาจากผู้แข็งแกร่งราชนิกุลสายคนเถื่อนมืด นี่มันหายากมากทีเดียว”
เฮือก!
เป็นเสียงสูดหายใจเฮือกอีกระลอก ทหารยามละแวกใกล้เคียงกลุ่มนั้นล้วนตาค้าง แขนข้างหนึ่งของราชนิกุลคนเถื่อนมืด?
สวรรค์!
ใต้เท้าเด็กหนุ่มคนนี้ฆ่าราชนิกุลคนเถื่อนมืดคนหนึ่งไปแล้วหรือ
พวกเขารู้ดีว่าราชนิกุลคนเถื่อนมืดเป็นบุคคลที่อยู่ปลายยอดในบรรดานักฆ่า ดุจดั่งผู้กล้าไร้เทียมทานในหมู่ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์ แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ
นักฆ่าระดับนี้มีความเชี่ยวชาญในการซ่อนเร้นและหลบหนี เปรียบดังราชันที่ถือกำเนิดในเงามืด แม้จะเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติลงมือ ก็ยากจะจัดการได้อยู่หมัด!
แต่ตอนนี้ แขนข้างหนึ่งของราชนิกุลคนเถื่อนมืดอยู่ต่อหน้านี่เอง นี่ไม่ได้หมายความว่า…
สายตาของพวกเขามองไปทางหลินสวินโดยพร้อมเพรียงกัน
กลับเห็นว่าหลินสวินนิ่งงันไป กล่าวคล้ายรำพึงรำพัน “ที่แท้เจ้าหมอนั่นก็เป็นถึงราชนิกุลคนเถื่อนมืดคนหนึ่งนี่เอง มิน่าถึงได้ฆ่ายากเสียขนาดนั้น…”
เขานึกถึงชายหนุ่มเงาสีเทาคนนั้นขึ้นมา ภายในใจอดหดหู่เล็กน้อยไม่ได้ น่าเสียดาย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นก็จะฆ่าเจ้าหมอนั่นให้ตายได้แล้ว!
เมื่อได้รับการยืนยันจากหลินสวิน พวกหัวหน้าทหารยามต่างตะลึง นี่ถึงกับเป็นเรื่องจริง…
“คิดว่าสหายน้อยคงจะรีบเร่งมาแลกเปลี่ยนคุณูปการทางทหารกระมัง เชิญตามข้ามาแล้วกัน”
หลูเหวินถิงดูคล้ายจะให้ความสำคัญกับแขนข้างนั้นเป็นพิเศษ และไม่สนใจที่มาของหลินสวิน นำเขารุดหน้าไปทางค่ายทหารโดยตรง
“ก็ดี” หลินสวินพยักหน้า ตามหลูเหวินถิงมุ่งหน้าเข้าสู่ค่ายทหาร
มองส่งพวกเขาจากไป พวกหัวหน้าทหารยามต่างทยอยถอนหายใจเฮือกยาว ภายในใจยังคงขยาดกลัว เมื่อครู่พวกเขาเกือบจะล่วงเกินดาวมฤตยูที่ซ่อนคมในฝักไม่ยอมเผยตัวคนหนึ่งเข้าให้แล้ว!
……
ค่ายทหารมีแสงสว่างจ้า อาคารหลายหลังเรียงรายเลียบแนวภูเขาลูกหนึ่ง ดูแน่นขนัด แต่กลับเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด
ยามราตรีมาเยือน ภายในค่ายทหารดูคึกคักหาที่เปรียบไม่ได้อย่างชัดเจน ทุกบริเวณล้วนสามารภพบเห็นเงาร่างของผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิ กลิ่นอายแต่ละคนล้วนลึกล้ำยิ่งยวด มีกลิ่นอายดุดันอันเป็นเอกลักษณ์
นี่คือกลิ่นอายที่ต้องเข่นฆ่ามาเป็นเวลานานกว่าจะเคี่ยวกรำออกมาได้ บนตัวของผู้ฝึกปราณทั่วไปแทบไม่มีเลยแม้แต่น้อย
ฝ่ายพลาธิการ
หลูเหวินถิงรีบร้อนจัดให้ผู้ใต้บัญชาสองนายมาช่วยหลินสวินนับทรัพย์หลังศึก ส่วนเขากลับหยิบแขนข้างนั้นขึ้นมา เริ่มสำรวจอย่างละเอียด
เนิ่นนานกว่าเขาจะเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าแปลกๆ จ้องไปทางหลินสวินพลางกล่าวว่า “นี่จะต้องเป็นแขนของทายาทราชนิกุลคนเถื่อนมืดอย่างไม่ต้องสงสัย ฝ่ามือของเขาประทับรอยสัญลักษณ์ ‘กระบี่แห่งเงามืด’ ซึ่งเป็นของราชนิกุลคนเถื่อนมืด ทำเลียนแบบไม่ได้ เพียงแต่…”
ดูเหมือนรู้ว่าหลูเหวินถิงจะถามอะไร หลินสวินพูดตรงๆ ว่า “เขายังไม่ตาย”
หลูเหวินถิงผิดหวังทันควัน กล่าวทอดถอนใจ “ก็จริง บุคคลที่เรียกว่าไร้เทียมทายเช่นนี้ จะถูกฆ่าตายส่งเดชได้อย่างไร”
หลินสวินไม่ได้อธิบาย ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่าตนเองสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ก็ตาม แต่อย่างไรเสียท้ายที่สุดแล้วเจ้าหมอนั่นก็ถูกคนช่วยไว้ก่อนอยู่ดี ต่อให้อธิบายไปก็กลัวแต่ว่าคงไม่มีใครเชื่อ
แต่ว่าปฏิกิริยาของหลูเหวินถิงกลับตอกย้ำการคาดเดาก่อนหน้านี้ของหลินสวิน ชายหนุ่มเงาสีเทาคนนั้นเป็นบุคคลพิเศษซึ่งมีที่มาไม่ธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ ด้วย!
“ใต้เทา นับเสร็จสมบูรณ์แล้วขอรับ รวมทั้งสิ้นมีระดับจอมเวทสิบเก้าชิ้น ระดับจอมพลังสองร้อยสิบหกชิ้น รวมกันแล้วสามารถจัดเป็นเหรียญกล้าหาญระดับสองหนึ่งอัน และเหรียญกล้าหาญระดับสามสองอัน”
ผู้ใต้บัญชาสองคนนั้นพูดด้วยความนบนอบ ยามที่สายตาของพวกเขากวาดผ่านหลินสวิน ก็เจือความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้จะถึงขั้นประสบความสำเร็จระดับนี้ได้!
“ไม่ ยังต้องบวกแขนข้างนี้เข้าไปด้วย”
หลูเหวินถิงครุ่นคิดสักพักก่อนพูดตรงๆ “ก็ถือเสียว่าเป็นเหรียญระดับสองสองอัน! จริงสิ ไม่รู้ว่าสหายน้อยชื่อเรียงเสียงไร มาจากค่ายทหารไหนหรือ”
กล่าวพลาง เขามองไปทางหลินสวินด้วยเชิงขอโทษ เพราะมัวแต่สนใจเรื่องแขนข้างนั้นจนลืมถามไถ่ที่มาของเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไปสิ้น
ตอนที่ 689 หมอกควันน่าสงสัยในค่ายทหาร
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินไม่ใส่ใจที่ถูกมองข้าม เขามองออกว่าหลูเหวินถิงไม่ได้มีเจตนาร้าย
“นี่คือหลักฐานรับรองฐานะของข้า”
หลินสวินยื่นป้ายสำริดอันหนึ่งออกไป ด้านหน้าเขียนหมายเลขสามสิบเก้าเอาไว้ และมีหมายเลยสิบสองเขียนอยู่ด้านหลัง
“หลินสิบสอง มาจากค่ายกระหายเลือดหมายเลขสามสิบเก้า?” หลูเหวินถิงถือมันไว้ในมือพลางกวาดตามอง และรับรู้ถึงตัวตนของหลินสวินได้ในทันที
เขาดูคล้ายผงะไปเล็กน้อย “มิน่าเล่าถึงได้ล่าสังหารสร้างคุณูปการทางทหารแลกเหรียญกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นศิษย์ที่มาจากค่ายกระหายเลือดนี่เอง เจ้าเป็นรุ่นไหนหรือ ครูผู้ฝึกคือใคร”
“ข้าเรียนในค่ายกระหายเลือดเมื่อสี่ปีที่แล้ว ครูผู้ฝึกคือสวีซานชี” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
บัดนั้นสายตาของหลูเหวินถิงแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด กล่าวอย่างตกใจว่า “สี่ปีก่อน? หรือว่าสี่ปีก่อน… เจ้าเพิ่งจะอยู่แค่ระดับกำลังภายในเท่านั้น?”
หลินสวินพยักหน้า
ช่วงเวลาสี่ปี จากระดับกำลังภายใน ทะลวงผ่านระดับจิตผสานวิญญาณและมหาสมุทรวิญญาณสองระดับใหญ่ และเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะที่สูงยิ่งกว่า!
นี่มัน…
น่าทึ่งเกินไปแล้ว!
ภายในใจของหลูเหวินถิงสั่นสะท้าน นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน กว่าจะกล่าววาจาอย่างปลงตก “ชนรุ่นหลังน่ากลัวเสียจริง จริงสิ เจ้ามาจากค่ายไหน”
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “วันนี้ข้าเพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด”
“อะไรนะ”
หลูเหวินถิงร้องเสียงหลง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คล้ายกับได้ยินเรื่องน่าเหลือเชื่อเรื่องหนึ่ง “เจ้าบอกว่าเจ้า… เพิ่งจะมาถึงสมรภูมิกระหายเลือดวันนี้?”
หลินสวินมุ่นคิ้ว เขารู้สึกอยู่เลาๆ ว่าเรื่องราวชักจะไม่ชอบมาพากล
“นี่คือจดหมายแนะนำของข้า” หลินสวินหยิบจดหมายหยกลับที่จ้าวไท่ไหลมอบให้เขาออกมา ก่อนยื่นส่งไป
หลูเหวินถิงคลี่เปิดอ่าน ทั้งตัวพลันอึ้งงันอยู่กับที่ สีหน้าฉายแววประหลาดขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งตกตะลึงและสงสัย คล้ายกับพานพบปัญหายากยิ่งที่สุดเข้าให้แล้ว
เนิ่นนานเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก มองหลินสวินพลางกล่าวว่า “ดึกแล้ว ข้าให้คนไปตระเตรียมที่พักให้เจ้าก่อนดีกว่า เรื่องอื่นๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที”
หลินสวินพยักหน้าตอบรับ
……
ครู่ต่อมา หน้าบ้านหินแถวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนไหล่เขา
“ใต้เท้าหลิน บ้านของที่นี่ส่วนใหญ่ว่างกันทั้งนั้น ท่านสามารถเลือกหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่พักของตนได้ตามสบายขอรับ”
หลังจากผู้ติดตามที่หลูเหวินถิงจัดหามาคนนั้นนำทางหลินสวินมาถึงที่นี่แล้ว ก็แนะนำโดยสังเขป ก่อนจากไปอย่างเร่งรีบ ปล่อยหลินสวินที่จับต้นชนปลายไม่ถูกเอาไว้
เดิมทีเขายังอยากถามถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับค่ายทหาร น่าเสียดาย ตั้งแต่ต้นจนจบผู้ติดตามคนนั้นเอาแต่กลัวดอกพิกุลจะร่วงเสมอมา
หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือกและไม่คิดมากความอีก สุ่มเลือกบ้านหินหลังหนึ่งแล้วผลักประตูเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยมีใครพักอาศัยมาก่อน โต๊ะ เตียง รวมถึงของตกแต่งต่างๆ ล้วนมีฝุ่นเขรอะเต็มไปหมด
เมื่อทำความสะอาดอย่างคร่าวๆ แล้วหลินสวินก็แผ่กายลงบนเตียง ภายในใจกลับยังคงมีความข้องใจอยู่มาก ทำให้เขาไม่มีสมาธิฝึกปราณ
ค่ายหมายเลขเจ็ด?
ดูเหมือนว่าในสมรภูมิกระหายเลือด ค่ายทหารที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจะไม่ได้มีเพียงที่นี่แค่แห่งเดียว
แล้วไหนจะหลูเหวินถิงคนนั้น ยามที่รู้ว่าวันนี้ตนเพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด ปฏิกิริยาก็ออกจะผิดวิสัยเสียเหลือเกิน จะต้องมีเหตุผลอะไรในนี้อย่างแน่นอน
ใคร่ครวญอยู่สักพัก หลินสวินพลิกกายลุกขึ้นแล้วผลักประตูออกไป
เขาจำเป็นต้องหาคนมาถามข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับค่ายทหารเสียหน่อยแล้ว และภายในใจก็มีตัวเลือกอยู่แล้ว…
หัวหน้าทหารยามที่เฝ้าหอสังเกตการณ์คนนั้น
……
โรงเตี๊ยมดาบโลหิต
ขณะที่หัวหน้าทหารยามที่เรียกตัวเองว่า ‘เหล่าหวง’ คนนั้นพาหลินสวินมาถึงที่นี่ ทำให้หลินสวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าภายในค่ายทหารแห่งนี้จะมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย
โรงเตี๊ยมคึกคักยิ่ง ผู้ฝึกปราณเป็นกลุ่มก้อนรวมตัวกันอยู่ในนั้น ร่ำสุราพูดคุยกัน บรรยากาศแสนสับสนอลหม่าน
“ใต้เท้า พูดคุยกันในสถานที่แบบนี้ไม่เลวกระมัง ผู้ฝึกปราณจำนวนมากในค่ายทหารของพวกเรา ขอเพียงกลับมาจากสนามรบก็จะมาระบายอารมณ์ดื่มด่ำอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นวันเวลาที่มีแต่การเข่นฆ่าล้มตายเช่นนี้ก็คงอัดอั้นซ้ำซากเกินไป ไม่ว่าใครก็คงต้องขาดใจตายกันทั้งนั้น”
เหล่าหวงทำหน้าหดหู่
เขาสั่งเหล้าหนึ่งกา นั่งดื่มอยู่ตรงข้ามหลินสวิน เหล้านั้นเป็นสุราเข้มที่หมักเป็นพิเศษ จัดเตรียมให้ผู้ฝึกปราณโดยเฉพาะ รสชาติเผ็ดร้อนดุจดาบ ฤทธิ์แรงยิ่งใหญ่
เหล้าเพียงกาเดียวก็สิ้นเปลืองคะแนนของหลินสวินไปสามสิบแต้ม และเหรียญกล้าหาญชั้นสองสองอันที่เขาแลกในวันนี้ รวมกันแล้วได้รับคะแนนเพียงหนึ่งพันแต้มเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คุณูปการทางทหารคือเหรียญกล้าหาญ เหรียญกล้าหาญชั้นสองหนึ่งชิ้น สามารถแลกคะแนนได้ห้าร้อยแต้ม
คะแนนเหล่านี้สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบได้ทั้งหมด รวมถึงค่ากินดื่มในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย
“ข้าอยากขอคำแนะนำบางอย่างจากเจ้า” หลินสวินกล่าวอย่างไตร่ตรอง
เหล่าหวงโบกมือเป็นพัลวัน “มิกล้าให้คำแนะนำหรอก แต่ถ้าหากสามารถช่วยใต้เท้าได้ ข้ารับรองว่าจะพูดทุกสิ่งที่รู้”
หลินสวินเองก็ไม่พิรี้พิไร ถามคำถามที่ตนสนใจมากที่สุด “วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้ามาสมรภูมิกระหายเลือด เจ้าคิดว่าคนใหม่อย่างข้าควรจะทำความเข้าใจเรื่องอะไรก่อนบ้าง”
พรวด!
เหล้าในปากเหล่าหวงพ่นออกมา สำลักจนน้ำตาแทบไหล เพียงแต่เขากลับไม่ไยดีสิ่งเหล่านี้ หากแต่มองไปทางหลินสวินด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “ใต้เท้า ท่านคงไม่ได้ล้อเล่นกระมัง”
ล้อเล่นน่า!
ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ เหล่าหวงถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่ลุยศึกนองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วนคนหนึ่ง แต่ยังไม่เคยเห็น ‘ผู้มาใหม่’ แบบนี้มาก่อน!
ผู้มาใหม่คนหนึ่ง สามารถตัดแขนข้างหนึ่งของทายาทราชนิกุลคนเถื่อนมืดได้หรือ
ผู้มาใหม่คนหนึ่ง เหตุใดถึงทะลวงผ่านสนามรบได้เพียงตัวคนเดียว มาถึงค่ายได้โดยสวัสดิภาพ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ผู้มาใหม่คนหนึ่งเช่นนี้ ยังแบกสัมภาระปานเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ซึ่งในนั้นบรรจุผลงานคุณูปการทางทหารอันโชกเลือดเต็มไปหมด!
หลินสวินเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ กล่าวด้วยอาการคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าดูเหมือนกำลังล้อเล่นอยู่หรือ”
เหล่าหวงส่ายหน้าเป็นพัลวัน เพียงแต่เขายังคงคล้ายสะท้านใจเล็กน้อย สายตาที่มองไปทางหลินสวินเจือแววประหลาดที่ไม่อาจปกปิดได้ ลักษณะเช่นนั้นเหมือนกับหลูเหวินถิงไม่มีผิด
หลินสวินพลันยิ้มแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของเหล่าหวงทำให้เขาตระหนักได้ว่าครั้งนี้คงไม่ได้มาหาผิดคน
ในบทสนทนาต่อจากนี้ ภายใต้การชักนำโดยเจตนาของหลินสวิน ไม่นานเขาก็ได้รู้สิ่งต่างๆ มากมายจากปากเหล่าหวง
ที่แท้สมรภูมิกระหายเลือดก็เป็นดั่งพื้นที่รบที่ตัดขาดจากโลก
ค่ายทหารของจักรวรรดิที่ประจำการอยู่ที่นี่มีทั้งหมดแปดแห่ง ในแต่ละค่ายต่างมีทัพใหญ่ผู้ฝึกปราณชั้นยอดแห่งจักรวรรดิ โดยมีราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่งเป็นผู้นำ มีสิทธิ์ขาดรับผิดชอบในเรื่องศึกสงคราม
นอกจากนี้ ในค่ายยังมีกองกำลังผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองจำนวนมาก พวกเขาเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ แต่ละคนล้วนทำเพื่อล่าแต้มเหรียญกล้าหาญเท่านั้น โดยใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนความมั่งคั่ง
กองกำลังผู้ฝึกปราณด้วยตัวเองเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนจัดขึ้นโดยขุมอำนาจต่างๆ มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ กระจัดกระจายมากมาย พวกเขามักจะรวมกลุ่มกันปฏิบัติการ รุดหน้าเข้าสนามรบเพื่อล่าสังหารศัตรู
แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดพวกร้ายกาจที่ไปมาเพียงลำพัง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกๆ สามปีสมรภูมิกระหายเลือดจึงจะเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิหนึ่งครั้ง!
และมีเพียงในช่วงเวลานี้เท่านั้น ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิในสมรภูมิกระหายเลือดจึงจะมีโอกาสติดต่อสื่อสารกับจักรวรรดิ ร้องขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็เสริมเสบียงวัตถุดิบที่สำคัญต่อกองทัพ
และตอนนี้ ยังเหลืออีกครึ่งปีกว่าจะถึงช่วงเวลาที่เปิดช่องทางสื่อสารระหว่างสมรภูมิกระหายเลือดกับจักรวรรดิ ทว่าจู่ๆ หลินสวินกลับโผล่มาในวันนี้ นี่จึงดูผิดปกติมากอย่างเห็นได้ชัด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจ รู้ได้ว่าตอนนั้นตนถูกจ้าวไท่ไหล ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ เสียแล้ว และรู้ถึงสาเหตุที่หลูเหวินถิงกับเหล่าหวงตกอกตกใจแล้ว
“ทุกครั้งที่เปิดช่องทางสื่อสาร หมายถึงการเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดมหึมาข้ามอาณาเขต ลำพังแค่ผลึกวิญญาณที่เผาผลาญไป ก็เป็นจำนวนเหลือคณาแล้ว ด้วยกำลังทรัพย์ของจักรวรรดิ ทำได้เพียงรับรองว่าจะเปิดใช้งานหนึ่งครั้งต่อสามปีเท่านั้น”
เหล่าหวงหดหู่ยิ่งแล้ว เพียงแต่สายตาที่มองไปทางหลินสวินนั้นยิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มคนนี้หากมาถึงสมรภูมิกระหายเลือดในวันนี้จริงๆ นั่นไม่ได้หมายความว่าจักรวรรดิเปิดช่องทางเพื่อเขาเพียงคนเดียวโดยเฉพาะหรอกหรือ
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“ก่อนข้าจะมา ตัวช่วยที่ใช้คือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อริยะยุคบรรพกาลจัดเตรียมไว้ สามารถเคลื่อนย้ายได้เพียงคนเดียว”
หลินสวินอธิบายหนึ่งประโยคอย่างง่ายๆ
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้เหล่าหวงตระหนักได้ว่าฐานะของหลินสวินนั้นจะต้องไม่เรียบง่ายเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นจักรวรรดิจะแหกกฎส่งเขาเข้าสมรภูมิกระหายเลือดเพียงคนเดียวเป็นการเฉพาะได้อย่างไร
“ถ้าอย่างนั้น ในสองปีครึ่งนี้พวกเจ้าก็ไม่เคยรับรู้ข่าวสารจากจักรวรรดิเลยหรือ”
หลินสวินเอ่ยถามกะทันหัน
“เอ่อ น่าจะเป็นเช่นนั้น เว้นแต่เกิดปรากฏการณ์ตะลึงโลก ไม่เช่นนั้นสมรภูมิกระหายเลือดและจักรวรรดิก็ทำได้เพียงติดต่อสื่อสารกันสามปีครั้ง”
เหล่าหวงพยักหน้า
‘ก่อนหน้านี้สองปีครึ่ง…’
หลินสวินใคร่ครวญ ‘ตอนนั้นดูเหมือนข้าเพิ่งจะเข้าสู่นครต้องห้ามยังไม่ถึงครึ่งปี เพิ่งจะรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี…’
‘นี่ไม่ใช่หมายความว่า ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ แทบไม่มีใครรู้เรื่องที่ข้าทำลงไปตลอดสองปีครึ่งนี้เลยหรือ’
คิดถึงจุดนี้ มุมปากของหลินสวินก็ผุดรัศมีโค้งที่คล้ายมีแต่ไม่มีออกมาอย่างอดไม่อยู่ ‘แบบนี้ก็ดี ข่าวที่เกี่ยวกับข้ายิ่งน้อยเท่าไร สถานการณ์ก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น…’
“เหล่าหวง เจ้าเคยได้ยินเรื่องเจ้าของภูเขาชำระจิตบ้างหรือไม่” หลินสวินอดถามไม่ได้
เหล่าหวงนิ่งงัน “เจ้าของภูเขาชำระจิต? นั่นมันอะไร”
หลินสวินพลันระเบิดหัวเราะขึ้นมา
เหล่าหวงยิ่งรู้สึกงวยงงขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ดูลึกลับไปเสียทุกอณู แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่น่าทึ่งคนหนึ่งเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดวันนี้จึงถูกส่งมาสมรภูมิกระหายเลือดเพียงคนเดียวได้กันเล่า
ใช่ว่าผู้ใดก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เสียหน่อย!
……
“ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยมีเรื่องด่วนจะรายงาน”
หลูเหวินถิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก พยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงเคาะประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่เบื้องหน้าบานนั้น
“เข้ามา”
ประตูห้องเปิดออกอย่างไร้เสียง พื้นที่ห้องมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบอย่างผิดวิสัย
ในยามนี้มีชายวัยกลางคนที่แลดูสง่างาม มีเคราสีดำเข้มดุจหมึก คิ้วหนาตาพยัคฆ์ ดูเข้มงวดขึงขังนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ แต่กลับมีความน่าเกรงขามดั่งพยัคฆ์ซ่อนมังกรหลบ
เขาเป็นผู้ดูแลค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิ แม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ย! ราชันระดับสังสารวัฏที่เด็ดขาด กระทำการอย่างดุดันเผด็จการ
“ท่านแม่ทัพ วันนี้มีเด็กหนุ่มแปลกประหลาดคนหนึ่งมาที่ค่ายของพวกเรา…”
หลูเหวินถิงไม่รอให้ไถ่ถามก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน บอกเล่าทุกสิ่งที่เกี่ยวกับหลินสวินออกมา ทั้งยังชี้ให้เห็นเป็นพิเศษว่าหลินสวินมาถึงสมรภูมิกระหายเลือดในวันนี้
เดิมทีจ่างซุนเลี่ยยังไม่ใส่ใจเท่าใดนัก แม้ได้ยินว่าหลินสวินตัดแขนของราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดผู้หนึ่งได้ ก็เพียงแต่ทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เมื่อได้รู้ว่าหลินสวินมาถึงในวันนี้ จ่างซุนเลี่ยพลันหยัดแผ่นหลังเหยียดตรงทันควัน พริบตานั้นประหนึ่งมียอดเขาลูกหนึ่งผงาดขึ้นจากที่ราบพุ่งทะยานสู่เมฆา พาให้คนรู้สึกถึงแรงกดดันที่ปะทะเข้ามาทันใด
“คนเดียว?” จ่างซุนเลี่ยถาม นัยน์ตาฉายประกายลึกลับ
หลูเหวินถิงยื่นจดหมายลับฉบับนั้นไปให้ “นี่คือจดหมายแนะนำที่เขียนด้วยลายมือใต้เท้าราชันกระหายเลือด ท่านแม่ทัพโปรดตรวจสอบด้วย”
ครั้นจ่างซุนเลี่ยหยิบเอามาอ่าน นัยน์ตาก็นิ่งงันไปเล็กน้อยเป็นสิ่งแรก จากนั้นคิ้วสีดำเข้มปานหมึกคู่นั้นพลันขมวดเป็นปมขึ้นมา
บนจดหมายลับมีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ‘กระทำการอย่างยุติธรรม ไม่จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ’
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น