Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 682-683
ตอนที่ 682 ต้นสายปลายเหตุ
โดย
ProjectZyphon
“เมื่อสิบกว่าปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนโลกชั้นล่างเพียงลำพัง เพราะได้ยินว่าในโลกชั้นล่าง มีเด็กทารกคนหนึ่งถือกำเนิด”
“ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างทารกคนนี้กับทารกคนอื่นๆ คือ เขาเกิดมาพร้อมกับชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่สามารถจัดอยู่ในคุณลักษณะพรสวรรค์ชั้นหนึ่งได้”
“เจ้าก็คงเดาออกว่า ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดนี้เรียกว่าหุบเหวกลืนกิน!”
เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนออกจากสำนักศึกษามฤคมรกต บนเกี้ยวสมบัติเสียงของจ้าวไท่ไหลทุ้มต่ำและราบเรียบ เล่าถึงเรื่องในอดีต
ข้างๆ กันนั้นมีหลินสวินเงียบฟังอยู่
“การต่อสู้มหามรรคเป็นเรื่องที่โหดร้ายยิ่งกว่าเรื่องใดในโลก โดยเฉพาะกับผู้ฝึกปราณ เพื่อความสำเร็จที่สูงกว่าบนเส้นทางมหามรรค แทบจะไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้”
“แต่เดิมอวิ๋นชิ่งไป๋ก็เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานอยู่แล้ว พรสวรรค์ ความสามารถ สติปัญญาและคุณสมบัติของเขาล้วนอยู่ในระดับสูงสุด บุคคลระดับเขาแม้แต่ในยุคบรรพกาลก็เรียกได้ว่าหายากมาก สามารถเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือผู้คน ไม่เป็นสองรองใคร”
“เพียงแต่เมื่อเทียบกับบุตรเทพและร่างวิญญาณที่ถือกำเนิดตามชะตาฟ้าดิน รวมถึงบรรดาเทวบุตรที่มีที่มาน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เขากลับด้อยกว่าเล็กน้อย”
“ตอนแรกนี่ยังไม่ถือเป็นปัญหาอะไร แต่อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนที่แสวงหามหามรรคที่สมบูรณ์อย่างที่สุด เขาไม่สามารถทนให้ตัวเองมีจุดบกพร่องแม้แต่เสี้ยวเดียว ดังนั้น…”
หลินสวินที่เงียบมาโดยตลอดพูดขึ้น “ดังนั้นจึงเพ่งเล็งมาที่ข้า”
จ้าวไท่ไหลจ้องหลินสวินครู่หนึ่ง พบว่าอารมณ์และสีหน้าของอีกฝ่ายไร้คลื่นลม จึงค่อยพูดว่า “ไม่ผิด”
“หุบเหวกลืนกิน เป็นคุณลักษณะพรสวรรค์ที่ลึกลับและน่ากลัวมาตั้งแต่บรรพกาล น้อยมากที่มันจะปรากฏ บันทึกและคำอธิบายเกี่ยวกับมันก็มีน้อยมาก แต่ในตำนาน พรสวรรค์เช่นนี้แม้แต่เหล่าเทวบุตรและบุตรเทพแต่กำเนิดก็ล้วนอิจฉา!”
จ้าวไท่ไหลสีหน้าแฝงความซับซ้อน “สำหรับอวิ๋นชิ่งไป๋ หากสามารถช่วงชิงพรสวรรค์ระดับนี้ไปเป็นของเขาได้ ก็สามารถชดเชยจุดบกพร่องเสี้ยวสุดท้ายในตัวเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย และกลายเป็นมรรคาที่สมบูรณ์แบบขั้นสุดตั้งแต่ที่เคยมีมา”
ดวงตาดำขลับของหลินสวินเย็นชา สีหน้านิ่งสงบจนน่ากลัว กล่าวว่า “เพราะฉะนั้น เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เขาก็สามารถช่วงชิงพรสวรรค์ของคนอื่นมาเป็นของตนได้งั้นหรือ”
จ้าวไท่ไหลยิ้มเศร้า “นี่ก็คือความน่ากลัวของการต่อสู้มหามรรค ในสถานการณ์ที่ไม่มีความแค้นต่อกัน ด้วยเหตุผลบางอย่างก็อาจจะนำพาหายนะที่คาดไม่ถึงมาได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์ที่เจ้ามีมาตั้งแต่เกิดพลิกฟ้าและหายากเกินไป”
หลินสวินใบหน้าไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโส ท่านผิดแล้ว สาเหตุไม่ได้อยู่ที่ว่าข้ามีพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเพียงใด แต่เป็นเพราะอวิ๋นชิ่งไป๋นั่น! คนคนนี้ทำร้ายข้า ถึงขั้นฆ่าคนตระกูลหลินสายตรงของข้าเพื่อมหามรรคที่สมบูรณ์แบบ คนสารเลวแบบนี้ ต่อให้ขึ้นสู่ระดับสูงสุดแห่งมหามรรค ก็เป็นเพียงแค่คนต่ำช้าคนหนึ่งเท่านั้น”
เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดด้วยใบหน้าที่เผยความเยียบเย็น “สักวัน ข้าจะทำให้เจ้าคนต่ำช้าคนนั้นชดใช้อย่างไม่อาจต้านทานได้!”
เพลิงโกรธและความชิงชังในใจเขากำลังจะสกัดกั้นไม่อยู่แล้ว
เขาเพิ่งรู้ว่า ที่แท้การตายของบิดามารดาและญาติๆ ล้วนมีสาเหตุมาจากตน ทำให้เขายิ่งคับแค้นอวิ๋นชิ่งไป๋!
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว กลับทำเรื่องที่ต่ำช้าและคาวเลือดเช่นนี้ คนแบบนี้ต่อให้โดนพันมีดหมื่นแล่ ทำลายกระดูกบดขยี้เถ้าถ่านก็ยังถือว่าน้อยไป
“หลินสวิน…”
จ้าวไท่ไหลสีหน้าจริงจัง “เจ้าอย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่เด็ดขาด การกระทำของอวิ๋นชิ่งไป๋อาจจะต่ำทราม แต่เขาในตอนนี้ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลซึ่งโดดเด่นที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณไปแล้ว เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งเท่าที่เคยมีมา ต่ำกว่าราชันระดับสังสารวัฏลงไปไม่มีใครสู้ได้ อีกทั้งเบื้องหลังยังมีสำนักกระบี่เทียมฟ้า…”
ไม่รอให้พูดจบ ก็ถูกหลินสวินตัดบทเสียก่อน “ผู้อาวุโสวางใจได้ ข้ารอมานานเพียงนี้แล้ว ก็จะไม่รีบร้อนหรอก จริงสิ พูดถึงเรื่องขององค์ชายเก้าให้ฟังหน่อยเถิด”
หลินสวินเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก
จ้าวไท่ไหลเองก็รู้ แม้ตอนนี้หลินสวินจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจคงกำลังสกัดกั้นความชิงชังและเพลิงโกรธที่สลักลึก
“องค์ชายเก้า…”
จ้าวไท่ไหลยิ้มเยาะตรงมุมปาก “ก็แค่คนน่าสงสารที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือก็เท่านั้น”
จากนั้นจ้าวไท่ไหลก็เล่าถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่อง
ที่แท้มารดาขององค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินก็คือกุ้ยเฟย[1]คนหนึ่งข้างกายจักรพรรดิ นามว่าเหมิงหรง ชาติกำเนิดของเหมิงหรงคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เป็นถึงบุตรสาวของผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้า
ตอนนั้นที่อวิ๋นชิ่งไป๋รู้เรื่องที่ตระกูลหลินให้กำเนิดทารกซึ่งมีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ก็เพราะกุ้ยเฟยคนนี้แจ้งเบาะแส
กว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะรู้เรื่องก็ช้าไปก้าวหนึ่ง อยากจะแก้ไขก็สายไปเสียแล้ว
เพราะเรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิพิโรธอย่างมาก จึงปลดฐานันดรศักดิ์กุ้ยเฟยผู้นี้ ด้วยเหตุผลว่าแอบติดต่อกับบุคคลภายนอก ทำลายขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของจักรวรรดิ
ทว่าด้วยอิทธิพลของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จักรพรรดิจึงทำได้แค่นี้ สุดท้ายเหมิงหรงถูกบิดา ซึ่งก็คือผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้า พาออกจากจักรวรรดิไปยังดินแดนรกร้างโบราณ
ส่วนองค์ชายเก้าก็ถูกจักรพรรดิทอดทิ้งเพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาสะสมความโกรธอย่างเต็มล้น ลอบติดต่อกับมารดาของเขาเหมิงหรงเรื่อยมา เขาในฐานะองค์ชาย ไม่สามารถต่อสู้กับอำนาจของจักรพรรดิได้ จึงโยนความแค้นทั้งหมดไปที่ตระกูลหลิน
เมื่อหลินสวินรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดวันนี้จู่ๆ จ้าวจิ่งเจินจึงกระโดดออกมาขัดขวาง ไม่ให้ตนกราบอาจารย์เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
“จำได้ว่าครั้งแรกที่เจ้าเข้ามาในนครต้องห้าม ระหว่างทางพบเจอการลอบสังหารใช่ไหม” จู่ๆ จ้าวไท่ไหลก็พูดขึ้น
“ท่านหมายถึงตระกูลฉือหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว”
จ้าวไท่ไหลถอนหายใจเบาๆ “ตระกูลฉือกับตระกูลหลินของพวกเจ้าไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะถูกองค์ชายเก้าล่อลวง”
“องค์ชายที่ถูกทอดทิ้งอย่างเขา จะออกคำสั่งกับตระกูลฉือได้หรือ” หลินสวินไม่เข้าใจ
“หากเพียงแค่เขาย่อมไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่อย่าลืมว่ามารดาขององค์ชายเก้ามาจากดินแดนรกร้างโบราณ ตาของเขายิ่งเป็นถึงผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า”
จ้าวไท่ไหลอธิบายอย่างใจเย็น “หลายปีมานี้ คนตระกูลฉือจำนวนไม่น้อยถูกส่งไปฝึกปราณยังสำนักกระบี่เทียมฟ้า เพื่อให้ได้รับการดูแลจากตาขององค์ชายเก้า พวกเขาย่อมต้องทำดีกับองค์ชายเก้า”
“มิน่า…”
หลินสวินเข้าใจอย่างแจ่มเจ้งแล้ว หากไม่ใช่เพราะจ้าวไท่ไหลเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ เขาคงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า เรื่องนี้จะมีเลศนัยและความลึกลับเช่นนี้ซ่อนอยู่
“ตาของเขาชื่ออะไรหรือ” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น
จ้าวไท่ไหลอึ้ง “เจ้ายังจะไปแก้แค้นเขาอีกหรือ”
หลินสวินพูดนิ่งๆ “หาเขาให้เจอ จึงจะตามหามารดาขององค์ชายเก้าเหมิงหรงเจอได้”
จ้าวไท่ไหลหัวใจสะท้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตระหนักได้ว่าศัตรูที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดในตอนนั้น หลินสวินไม่คิดจะให้อภัยเลยแม้แต่คนเดียว!
แต่เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว หากเหมิงหรงไม่แจ้งเบาะแส อวิ๋นชิ่งไป๋ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณ จะรู้ได้อย่างไรว่าในโลกชั้นล่างมีเด็กทารกที่มีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินถือกำเนิด
จ้าวไท่ไหลถอนหายใจเบาๆ บอกชื่อผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนนั้น… เหมิงไห่จิ้ง!
“ผู้อาวุโส พวกท่านจะลงโทษองค์ชายเก้าอย่างไร” หลินสวินถาม
คราวนี้จ้าวไท่ไหลดูผ่อนคลายมาก พูดว่า “ถ้าไม่ถูกฆ่าตาย ก็ให้มีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น”
นี่กลับทำให้หลินสวินตะลึง
เขาไม่ได้มีความเมตตาอะไร แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าด้วยฐานะองค์ชายแห่งจักรวรรดิ ทายาทของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หากองค์ชายเก้าถูกประหารชีวิตจริงๆ จะต้องสร้างความฮือฮาให้กับจักรวรรดิอย่างแน่นอน!
แต่เพื่อให้ความเป็นธรรมกับตน จักรพรรดิถึงขั้นมีบัญชาสังหารบุตรชายคนหนึ่ง นี่… เห็นได้ชัดว่าไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
หลินสวินไม่เชื่อว่าตนจะมีเกียรติขนาดนี้
“ตอนนั้นมารดาของเขาทำให้จักรพรรดิเสียใจ และตอนนี้เขาก็เลือกทางผิดเหมือนมารดาของเขา ทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยไปไม่น้อย หากไม่ลงโทษเขา จักรพรรดินีย่อมไม่ยอมให้อภัยแน่”
“จักรพรรดินีหรือ”
จ้าวไท่ไหลยกยิ้มมุมปากอย่างลึกลับ มองหลินสวินพร้อมพูดว่า “ไม่ผิด องค์ชายเก้าไม่ใช่ลูกชายของจักรพรรดินี แต่เจ้ากลับเป็น… ‘สหายรัก’ ของลูกสาวเพียงคนเดียวของจักรพรรดินี!”
เขาจงใจเน้นเสียงคำว่าสหายรัก ท่าทางดูหยอกเย้าเล่นลิ้นคลุมเครือ ทำให้หลินสวินปวดหัวขึ้นมาทันที
“ในสถานการณ์เช่นนี้ จักรพรรดินีย่อมต้องทวงความเป็นธรรมให้กับเจ้า”
จ้าวไท่ไหลสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือ การกระทำขององค์ชายเก้าได้ละเมิดข้อห้ามและขีดความอดทนเส้นสุดท้ายของจักรพรรดิ แม้จะเป็นพ่อลูกกันก็ไม่สามารถให้อภัยได้อีก!”
แววตาของเขาแฝงความยะเยือกเย็น
“ตามคาด ข้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่ได้มีเกียรติขนาดนั้น…” หลินสวินลูบจมูกป้อยๆ
จ้าวไท่ไหลอดกลอกตาไม่ได้
“กลับไปเตรียมตัวเถอะ อีกสามวันข้าจะมารับเจ้าไปสมรภูมิกระหายเลือด!”
เมื่อส่งหลินสวินกลับถึงหน้าภูเขาชำระจิต จ้าวไท่ไหลก็บอกจุดประสงค์
“เป็นเพราะหนี้ที่ติดค้างค่าอาหารหนึ่งมื้อบนเรือนโอบดารานิทราบุหลันหรือ” หลินสวินถามหาเหตุผล
จ้าวไท่ไหลสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ เป็นเพราะเจ้าคือลูกศิษย์คนหนึ่งของค่ายกระหายเลือด! ต้องไปที่นั่นเท่านั้น เจ้าจึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้น”
“คำพูดใด”
“ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!”
“ได้!”
……
ช่วงบ่ายวันที่หลินสวินกลับภูเขาชำระจิต มีข่าวจากพระราชวังว่าองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินถูกถอนฐานันดรศักดิ์ และถูกคุมตัวไปยังพื้นที่ต้องห้ามในส่วนลึกของราชวัง เพื่อเฝ้าสุสานบรรพบุรุษราชวงศ์จวบจนสิ้นอายุขัย!
ยามข่าวนี้แพร่ออกมา ก็สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งนครต้องห้าม ตื่นตะลึงไปทั่วหล้า
ผ่านไปกี่ปีแล้ว จักรวรรดิเพิ่งจะมีการปลดองค์ชายเป็นครั้งแรก องค์ชายเก้าก่อความผิดใหญ่หลวงอะไร จึงทำให้จักรพรรดิเดือดดาลถึงเพียงนี้
ไม่มีใครรู้
แม้แต่เหล่าอาจารย์และศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตที่เคยเห็นจ้าวจิ่งเจินเป็นครั้งสุดท้าย ก็ยากจะเชื่อมโยงเรื่องที่องค์ชายเก้าถูกปลดฐานันดรศักดิ์กับหลินสวิน
ถึงอย่างไร แม้จ้าวจิ่งเจินจะล่วงเกินหลินสวิน แต่สำหรับทุกคน ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้จักรพรรดิเดือดดาลถึงเพียงนี้
มีเพียงหลินสวินเท่านั้นที่รู้ความจริงเป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่พูดอะไรมาก
เพียงแต่ตอนที่หลินสวินรู้ข่าวนี้กลับอดทอดถอนใจไม่ได้ องค์ชายเก้าคนนี้ เป็นเพียงคนน่าสงสารคนหนึ่งอย่างที่จ้าวไท่ไหลพูดจริงๆ…
สามวันหลังจากนั้น…
จ้าวไท่ไหลมาตามนัดหมาย หลินสวินที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วบอกลาทุกคนในภูเขาชำระจิต และจากไปพร้อมกับจ้าวไท่ไหล
สมรภูมิกระหายเลือด
จะเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่
หลินสวินคิดเช่นนี้มาตลอดทาง
——
[1] กุ้ยเฟย ตำแหน่งมเหสีขององค์จักรพรรดิ ลำดับศักดิ์สูงกว่าสนมชั้นเฟยอื่นๆ แต่ต่ำกว่าจักรพรรดินี
ตอนที่ 683 สมรภูมิกระหายเลือด เขามาแล้ว
โดย
ProjectZyphon
“เตรียมการเสร็จหมดแล้วหรือ” ระหว่างทางจ้าวไท่ไหลถาม
หลินสวินพยักหน้า เขาจากมาครั้งนี้ สมบัติในตัวมีเพียงสองชิ้น คือธนูคันหนึ่งและดาบหักอีกด้าม นอกจากนี้ยังมีห่อสัมภาระใบหนึ่ง
ในห่อสัมภาระบรรจุผลึกวิญญาณระดับสูงมากมาย และโอสถวิญญาณล้ำค่าที่จำเป็นต่อการรักษาเยียวยา
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
สมบัติมีค่าอย่างเจดีย์สมบัติไร้อักษร แหวนประสานมายา น้ำเต้าหลอมวิญญาณที่มีเลือดสีม่วงหยดหนึ่ง รวมทั้งพวกวัตถุดิบวิญญาณมีค่าที่ได้มา ล้วนถูกเก็บไว้ที่ภูเขาชำระจิต
เพราะตามที่จ้าวไท่ไหลบอก สมรภูมิกระหายเลือดตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษมาก สมบัติประเภทเอาไว้เก็บของจะไม่สามารถใช้ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กลางฟ้าดินสมรภูมิกระหายเลือดไม่มีพลังวิญญาณ!
“สมรภูมิกระหายเลือด เป็นแนวหน้าของสงครามการเข่นฆ่าระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นสิ่งกีดขวางสงครามที่ทำให้จักรวรรดิสามารถตั้งอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ปกป้องจักรวรรดิมาหลายพันปี…”
จ้าวไท่ไหลแนะนำสั้นๆ ได้ใจความ
“หลายพันปีมานี้ ผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นส่วนใหญ่ในค่ายกระหายเลือด ล้วนถูกส่งมาประจำการและต่อสู้ที่สมรภูมิกระหายเลือด”
“นอกจากนี้ กองทัพที่โดดเด่นที่สุดของจักรวรรดิ รวมทั้งผู้แข็งแกร่งมากมาย ต่างก็ประจำการอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี”
“นั่นคือโลกที่สั่นไหว นองเลือด มืดมนและเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า หลายพันปีมานี้ ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิถูกฝังอยู่ที่นี่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”
“เรียกได้ว่าความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขของจักรวรรดิวันนี้ ล้วนแลกมาด้วยชีวิตและเลือดของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้!”
“เพียงแต่… น้อยคนมากที่จะรู้ก็เท่านั้น”
หลินสวินเงียบฟัง อดสะเทือนใจไม่ได้ พอจะเริ่มมองเห็นภาพของสมรภูมิกระหายเลือดในเบื้องต้นแล้ว
“คำพูดไม่อาจบรรยายความโหดร้ายของสมรภูมิกระหายเลือดได้ หลังจากไปถึงที่นั่นเจ้าจะเข้าใจเอง”
“ข้าเพียงอยากให้เจ้าจำไว้ว่า การมีชีวิตรอดก็เท่ากับชัยชนะ! และเพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าอย่างไรอย่ามีความคิดว่าจะโชคดีเด็ดขาด!”
“นี่คือสงครามระหว่างจักรวรรดิและเผ่าพ่อมดเถื่อน ดำเนินมานานหลายพันปี ความแค้นที่สร้างขึ้นด้วยเลือดและกระดูกไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงการเข่นฆ่าเท่านั้นที่จะสามารถคลี่คลายได้!”
“จักรพรรดิผู้สถาปนาจักรวรรดิเคยกล่าวไว้ว่า ในสมรภูมิกระหายเลือด ความเมตตาเพียงเสี้ยวเดียวของเจ้า บางทีอาจจะทำให้จักรวรรดิสูญเสียอาณาเขตฝั่งหนึ่ง!”
“จำไว้ว่าต้องรอด!”
พูดถึงตรงนี้จ้าวไท่ไหลพลันยื่นหนังสือคู่มือหนังสัตว์เล่มหนึ่งให้หลินสวิน “ในนี้เขียนแนะนำเกี่ยวกับสมรภูมิกระหายเลือดไว้ หลังจากไปถึงค่ายสนามรบ ก็จะมีคนมอบหมายภารกิจให้เจ้าเช่นกัน”
หลินสวินรับคู่มือไป แต่ไม่ได้เปิดดูในทันที ถามว่า “คราวนี้ต้องไปนานเท่าไหร่”
“อย่างน้อยสามเดือน อย่างมากครึ่งปี”
จ้าวไท่ไหลพึมพำ “ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจอยากไปดินแดนรกร้างโบราณ หลังจากเจ้ากลับมาคราวนี้ ข้าจะหาช่องทางให้เจ้าไป”
“เจ้ายังไม่หายสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงเลือกเจ้าใช่หรือไม่” จู่ๆ จ้าวไท่ไหลก็ถามขึ้น
หลินสวินพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
“ง่ายมาก นี่เป็นการจัดการของจักรพรรดิ เพียงแค่เจ้าสร้างความดีความชอบทางการทหารที่นี่ จักรวรรดิก็จะสามารถให้การคุ้มครองตระกูลหลินของเจ้าในทุกๆ ด้านได้อย่างถูกต้อง”
จ้าวไท่ไหลสีหน้าจริงจัง “ในอนาคตเจ้าจะไปยังดินแดนรกร้างโบราณ หากภูเขาชำระจิตอยากจะอยู่รอดได้ในระยะยาว ก็จำเป็นต้องมีความคุ้มครองจากจักรวรรดิ หลังจากเจ้าจากไป เจ้าก็คงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับตระกูลหลินอีกกระมัง”
หลินสวินหรี่ตาลงกล่าง “เหตุผลนี้ไม่เลว”
จ้าวไท่ไหลยิ้มมุมปาก “ที่เจ้าเข้าใจยังไม่ลึกซึ้งพอ ความหมายของข้าคือ หากวันหนึ่งแม้อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนจักรวรรดิ จะเล่นงานตระกูลหลินของเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น!”
ทันใดนั้นหลินสวินหัวใจสั่นไหว มองตรงไปที่จ้าวไท่ไหล
“นี่คือคำมั่นสัญญาของจักรพรรดิต่อเจ้า!” จ้าวไท่ไหลพูด
“ได้!”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ติดใจอะไรอีกต่อไป
……
เมื่อเดินลงจากเกี้ยวสมบัติ โถงโบราณที่ไม่คุ้นเคยสะท้อนอยู่ในดวงตา
เหนือโถงมีป้ายหนึ่งแขวนอยู่… ‘โถงกระหายเลือด’!
ภายในโถงมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่แผ่กลิ่นอายโบราณตั้งอยู่
หลินสวินตะลึงไปทันที เดินเข้าไปจ้องค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นอย่างละเอียด พักใหญ่จึงพูดว่า “สืบทอดมาตั้งแต่บรรพกาลหรือ”
“ตาถึงจริงๆ!” จ้าวไท่ไหลชื่นชม “สมกับที่เป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ”
หลินสวินอดกลอกตาไม่ได้ “ทุกคนต่างรู้ดีว่ามีเพียงอริยะที่ควบคุมปริศนาแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า จึงจะสามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ข้ามผ่านความว่างเปล่าได้ จักรวรรดิในตอนนี้น่ากลัวว่าแม้แต่อริยะยังไม่มี บวกกับพลังของค่ายกลนี้ก็เก่าแก่ เกรงว่าใครๆ ก็สามารถดูออกได้”
สายตาของจ้าวไท่ไหลดูแปลกประหลาดเล็กน้อย “ใครบอกว่าในจักรวรรดิไม่มีอริยะ”
หลินสวินอึ้ง “มีหรือ”
จ้าวไท่ไหลส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เจ้าจะปฏิเสธโดยไม่รู้จริงไม่ได้”
ในขณะที่พูดเขาก็โบกมืออย่างเหลืออด “รีบลงมือเถอะ เข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือดก่อนพระอาทิตย์ตกจะปลอดภัยกว่า หากเข้าไปยามวิกาล เจ้าต้องประสบภัยอันตรายแน่!”
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งค่อยพูดว่า “ผู้อาวุโส ข้าไม่อยากให้ช่วงที่ข้าจากไปนี้ เกิดเรื่องเหมือนอย่างช่วงก่อนหน้านี้อีกแล้ว”
เขาพูดถึงตอนที่ตนกลับมาจากทะเลกลืนวิญญาณ แล้วพบว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตประสบวิกฤติ
คำตอบของจ้าวไท่ไหลดุดันมาก “ไม่ต้องเป็นห่วง หากภูเขาชำระจิตเดือดร้อนแม้แต่น้อย ข้าจะไปเคาะประตูตระกูลจั่วและตระกูลฉินด้วยตัวเอง”
หลินสวินอึ้ง ก่อนหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คำตอบที่ไม่ตรงคำถามนี้ทำให้เขาชอบใจมาก
หลินสวินถึงขั้นสามารถจินตนาการได้ว่า ต่อให้บางเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาชำระจิตจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วและตระกูลฉิน ทั้งสองตระกูลก็จำต้องยอมรับ
วู้ม!
หลินสวินแบกดาบหิ้วคันธนูอย่างไม่ลังเล หยิบห่อสัมภาระก้าวขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้าย จากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับเสียงคำรามกึกก้องครู่หนึ่ง
“เจ้าหนู ต้องเล่นใหญ่หน่อยนะ มิเช่นนั้นค่าอาหารของตาเฒ่าโดดเดี่ยวแห่งเรือนโอบดารานิทราบุหลันคงไม่สามารถคืนได้ง่ายๆ…”
จ้าวไท่ไหลพึมพำ หลังจากนั้นเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว
……
ส่วนลึกของพระราชวัง
ชายชุดขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังตวัดมือเขียนอักษร หลังไหล่ตั้งตรง สง่าผ่าเผย ดูยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูก
บุคลิกแห่งหงส์มังกรก็เป็นเช่นนี้!
“ส่งตัวไปแล้วหรือ”
ชายชุดขาวถามโดยไม่เงยมอง
ภายในตำหนัก จ้าวไท่ไหลเดินเข้าไปช้าๆ แล้วพยักหน้าพูด “เพิ่งไป คงจะถึงค่ายก่อนพระอาทิตย์ตก”
ชายชุดขาวขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง แล้วหยิบภาพอักษรที่เขียนเสร็จขึ้นมา “เจ้าว่าคำนี้เป็นอย่างไร”
จ้าวไท่ไหลมองดู เห็นเพียงว่าบนกระดาษเซวียนจื่อ[1]ที่มีลายเมฆและดอกจื่อเย่าเป็นพื้นหลัง เขียนอักษรตัวใหญ่ไว้บรรทัดหนึ่ง…
เสียงจากหงส์ดรุณชัดเจนกว่าหงส์เฒ่า!
อักษรแต่ละตัวแข็งแกร่งงดงามดุจดั่งมังกร แรงกดทะลุหลังกระดาษ ดูทรงพลังราวกับจะโผบินออกจากกระดาษ ตั้งตระหง่านราวภูผาธารา สั่นสะเทือนใจคน
“ยอดเยี่ยม!”
จ้าวไท่ไหลตาเป็นประกาย ด้วยสายตาของเขาย่อมสามารถดูออกว่า ในภาพอักษรนี้ได้ประทับตราจักรพรรดิประจำตัวของชายชุดขาวเอาไว้!
ปึง!
ชายชุดขาวหยิบตราหยกสีทองม่วงขนาดใหญ่ออกมาประทับที่มุมของภาพอักษร จากนั้นส่งให้จ้าวไท่ไหลพร้อมเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าเอาไปส่งให้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต”
จ้าวไท่ไหลถอนหายใจ “คราวนี้เจ้าหนูนั่นจะได้วางใจได้จริงๆ สักที”
ชายชุดขาวยิ้มทันที “ดูท่าก่อนหน้านี้เขาจะยังไม่สามารถเชื่อคำมั่นที่จักรวรรดิมีต่อเขาได้อย่างหมดใจ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้โตในจักรวรรดิ ด้วยนิสัยของลู่ป๋อหยา ย่อมไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับจักรวรรดิให้เขาฟังอย่างแน่นอน”
จนกระทั่งก่อนจากไป จ้าวไท่ไหลอดถามไม่ได้ “เสด็จพี่ ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเหตุใดต้องยืนกรานส่งเขาไปยังสมรภูมิกระหายเลือด”
ชายชุดขาวแววตาราวกับมหาสมุทรลึกที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทอดมองออกไปยังท้องฟ้านอกตำหนักแล้วถอนหายใจกล่าว “หลายพันปีมานี้ อาณาเขตของจักรวรรดิเราถูกเผ่าพ่อมดเถื่อนทำลายให้เสียหายมาโดยตลอด ในทุกๆ ปีผู้ชายในจักรวรรดินับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิตในสนามรบ เสียสละและสูญเสียมามากเกินไป กว่าจะแลกมาซึ่งความสงบสุขอย่างทุกวันนี้”
หยุดไปครู่ เขาก็พูดออกมาทีละคำว่า “ข้าอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้ให้หมดจด! นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าให้หลินสวินไปสมรภูมิกระหายเลือด!”
จ้าวไท่ไหลหัวใจสั่นสะท้าน “เสด็จพี่หมายความว่า หลินสวินมีความสามารถมากพอจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้ได้งั้นหรือ”
ชายชุดขาวส่ายหน้า “เป็นเพียงความหวังเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรการมีความหวังย่อมดีกว่าไม่มี”
ตอนที่จ้าวไท่ไหลออกจากพระราชวัง อารมณ์ก็ยังคงไม่สามารถสงบลงได้ และใคร่ครวญเรื่องหนึ่งตลอดทาง…
เสด็จพี่ทำเช่นนี้ เป็นการประเมินหลินสวินสูงเกินไปหรือไม่
สถานการณ์ที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดหลายพันปี เขาคนเดียว… จะเปลี่ยนได้หรือ
จ้าวไท่ไหลคิดคำตอบไม่ออก
……
ณ ภูเขาชำระจิต
“เสียงจากหงส์ดรุณชัดเจนกว่าหงส์เฒ่า!”
ตอนที่เห็นภาพอักษรที่ถูกส่งมาจากส่วนลึกของพระราชวัง พญาแร้งก็ยิ้มแล้ว ส่วนหลินจงนั้นตื่นเต้นจนไม่สามารถสงบได้
เขาจำลายมือนี้ได้ เพราะในอดีตเขาเองก็เคยได้รับภาพอักษรเช่นนี้ เพียงแต่เนื้อหามีเพียงสี่ตัว ‘ทั่นฮวาม้าขาว’
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ภูเขาชำระจิตไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว” พญาแร้งเอ่ยพลางถอนหายใจ
พวกเสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน ราชันอินทรีแดง หลินไหวหย่วนเองก็รู้สึกทอดถอนใจ ที่ตระกูลหลินมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะหลินสวิน!
“เสี่ยวเคอ จำไว้ว่าต้องดูแลซย่าจื้อให้ดี”
จู่ๆ พญาแร้งก็กำชับ
เสี่ยวเคอพยักหน้ายิ้มพูด “วางใจเถิด ซย่าจื้อเป็นเลือดในอกของหลินสวิน ครั้งนี้ไม่ได้บอกลาซยาจื้อด้วยตัวเอง ก่อนไปหลินสวินยังคงพะวงไม่น้อยเลย”
ทุกคนต่างเงียบ
ซยาจื้อ เด็กผู้หญิงที่ลึกลับและเหลือเชื่อคนหนึ่ง ตอนนี้ยังคงหลับใหลอยู่ และไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่
ภายในเจดีย์สมบัติไร้อักษร เจ้าคางคกเองก็กำลังนั่งขัดสมาธิปิดด่าน
……
ปึง!
เมื่อเท้าถึงพื้น ฝุ่นควันพวยพุ่งออกมาระลอกหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกผสมกับกลิ่นเหม็นของซากศพ
หลินสวินสะพายดาบหักไว้ข้างหลัง แขวนธนูวิญญาณไร้แก่นสารไว้ข้างเอว หิ้วห่อสัมภาระปรากฏตัวในโลกที่ไม่คุ้นเคย
เขาเงยหน้าขึ้นมองโดยรอบ เห็นว่าฟ้าดินมืดครึ้ม พื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล ภูเขาสลับทับซ้อน มองไปทางไหนแทบไม่มีพืชพรรณ แห้งแล้งและมืดมิด
บนพื้นดิน ซากศพที่เน่าเสียและแตกสลายถูกฝังอยู่ท่ามกลางฝุ่นควันและกรวดหิน ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่จางหายไป
ฟ้าดินของที่นี่ มืดครึ้ม เงียบเหงา และเต็มไปด้วยสีเทาที่พาให้ใจหดหู่
ฮู่ว…
หลินสวินคายอากาศเสียออกมา เขาตระหนักได้ทันทีว่าฟ้าดินตรงนี้ไม่มีพลังชีวิตเลยสักนิด เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและไอความตาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีพลังวิญญาณ!
“สมรภูมิกระหายเลือด… ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะโหดร้ายและนองเลือดเพียงใด!”
ร่างกายหลินสวินไหววูบราวกับชือน้ำแข็งที่ท่องทะยาน เคลื่อนจากหน้าผาที่ยืนอยู่ตอนนี้ไปทางทิศที่อยู่ตรงข้ามกับตะวันตกอย่างรวดเร็ว
‘ทิศตรงข้ามกับตะวันตก ที่ดวงอาทิตย์ทะยานฟ้า ก็คือค่ายของจักรวรรดิ’
นี่คือประโยคแรกในตำราคู่มือหนังสัตว์ที่จ้าวไท่ไหลให้หลินสวินมา
ส่วนประโยคที่สองคือ…
‘ท้องฟ้าคือพื้นที่ต้องห้าม หากทะยานตัวขึ้นไป จะกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน!’
เพราะฉะนั้นหลินสวินจึงเลือกจะเดินทางบนพื้นดิน
——
[1] กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษคุณภาพสูง เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่ายดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น