Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 676-681

 ตอนที่ 676 ฝ่ามือเดียว

โดย

ProjectZyphon

สำนักศึกษามฤคมรกต สาขายอดยุทธศาสตร์ ลานแสดงยุทธ์


บรรยากาศเงียบสงัด ราวกระแสน้ำขึ้นลงโอบล้อมบรรดาศิษย์และอาจารย์ที่ลานแสดงยุทธ์ทั่วจตุรทิศ แต่ละคนสีหน้าไม่น่าดู


บ้างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น


บ้างจิตตกกลัดกลุ้ม


บ้างเม้มริมฝีปากแน่นหนา สีหน้าอึมครึมและอึดอัด


บนที่นั่งบริเวณใกล้เคียง ศิษย์เจ็ดแปดคนได้รับบาดเจ็บหายใจรวยริน บ้างจมูกเขียวหน้าบวม บ้างกล้ามเนื้อฉีกกระดูกหัก บ้างเป็นลมหมดสติไปทั้งอย่างนั้น…


และกลางลานแสดงยุทธ์อันกว้างใหญ่ กลับมีบุรุษหนุ่มยืนอยู่ผู้หนึ่ง ผมเทาทั้งศีรษะ รูปร่างองอาจ แววตาดุจอินทรีกิริยาดั่งหมาป่า มีกลิ่นอายดุดันปราดเปรียวและโหดเหี้ยม


เขาสองมือไพล่หลัง นัยน์ตาราบเรียบกวาดมองทุกผู้คน มุมปากปรากฏแววปรามาสวูบหนึ่ง ใช้สุ้มเสียงเยาะหยันกล่าว “พวกเจ้า… ใครยังไม่พอใจ?”


ทั้งลานพลันลุกฮือ เหล่าศิษย์ชายต่างโกรธจนถลึงตาถมึงทึงกัดฟันกรอด เหล่าศิษย์หญิงก็สะกดกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำ กำหมัดทั้งสองแน่น


กระทั่งบรรดาอาจารย์เหล่านั้น แต่ละคนต่างใบหน้าอึมครึมไม่พูดสักคำ


นับแต่การประลองนี้เริ่มต้น จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเค่อแล้ว สาขายอดยุทธศาสตร์มีศิษย์แปดคนทยอยออกไปต่อสู้


บรรดาศิษย์เหล่านี้แต่ละคนต่างเรียกได้ว่าพลังต่อสู้แข็งแกร่ง ครอบครองปราณระดับหยั่งสัจจะ ภายภาคหน้าเมื่อเรียนจบจากสำนักศึกษา หากเข้ากองทัพจะต้องถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นบุคคลชั้นระดับหัวหน้าโดยตรงแน่ หากไม่เข้ากองทัพก็ต้องกระโดดขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ข่มขวัญมากอำนาจเช่นเดียวกัน


แต่ต่อให้เป็นศิษย์แปดคนนี้ กลับล้วนพ่ายลงตรงนั้นอย่างน่าอนาถ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคนสามารถต้านเกินร้อยกระบวนท่า!


แพ้จนพูดได้ว่ายับเยินย่อยยับ!


ที่ทำให้อาจารย์และศิษย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นรู้สึกอัปยศอดสูและคับแค้นอับอายที่สุดคือ คู่ต่อสู้เป็นแค่ข้ารับใช้ที่ติดตามข้างกายผู้สืบทอดสักคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


ขณะนี้ที่ยืนอยู่กลางลานแสดงยุทธ์คือข้ารับใช้นั่น เขานามว่ามู่ชิง พลังต่อสู้น่าอัศจรรย์ แรงกำลังมากแต่กำเนิด


ข้ารับใช้คนหนึ่งก็ประดุจไร้คู่ต่อกร แสดงแสนยานุภาพกลางลานแสดงยุทธ์ เอาชนะศิษย์ผู้ทรงอำนาจแปดคนซึ่งเป็นที่จับตามองที่สุดของสำนักศึกษา


ทุกอย่างนี้เสมือนถูกฟาดกระบองใส่ในคราเดียว ตีลงบนศีรษะเหล่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหมดอย่างหนักหน่วง มอบการโจมตีอันรุนแรงแก่เกียรติยศของพวกเขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน!


แทบจะไม่ต้องคิด หากเรื่องวันนี้แพร่งพรายออกไป คงก่อให้เกิดผลกระทบยากประเมินต่อชื่อเสียงทั้งสำนักศึกษามฤคมรกต ทำให้ใต้หล้าหยามเหยียด


“ทำไมไม่มีคนพูด?”


ตรงกลางลานแสดงยุทธ์ นัยปรามาสในนัยน์ตามู่ชิงเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม


เผชิญหน้ากับการยั่วยุชัดแจ้งเช่นนี้ มีศิษย์ทนไม่ไหวหมายพุ่งออกไป แต่กลับถูกอาจารย์ข้างกายรั้งไว้ ขณะนี้หาใช่เวลาทำตามอารมณ์ไม่


ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ทำให้มู่ชิงนั่นสบประมาทยิ่งกว่าเดิม เขากล่าวเยาะหยัน “เหอะๆ ก่อนหน้านี้บอกว่าพวกเจ้าศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตไม่ได้เรื่อง พวกเจ้ายังไม่ยอมรับ คิดว่าพวกข้ากำลังเหยียดหยันและหยามหน้าพวกเจ้า ยามนี้พวกเจ้าต่างเห็นความเป็นจริงแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม”


ที่นี่เป็นอาณาเขตของสำนักศึกษามฤคมรกต บัดนี้กลับถูกคนนอกคนหนึ่งยืนวางอำนาจบาตรใหญ่ ดูแคลนทุกสิ่งอยู่ที่นี่ นี่ทำให้บรรดาศิษย์อาจารย์เหล่านั้นต่างอัดอั้นโกรธแค้นถึงขีดสุด


ศิษย์ส่วนหนึ่งรู้สึกเศร้ารันทดอย่างอดไม่อยู่ หรือชื่อเสียงสำนักศึกษาที่สร้างมาหลายพันปีจะพินาศลงในพริบตา?


“ข้าลุยเอง!”


ทันใดนั้นน้ำเสียงเคร่งขรึมหนึ่งดังก้องขึ้น บุรุษชุดเทาคนหนึ่งก้าวออกมา


“เป็นศิษย์พี่หวังอิง!”


ศิษย์มากมายดวงตาเป็นประกาย จำได้ว่าชายชุดเทานั่นเป็นบุคคลมากสามารถคนหนึ่งแห่งสาขายอดยุทธศาสตร์ ก่อนหน้านี้กำลังปิดด่านมาตลอด ได้ยินว่าหมายบรรลุระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง


แต่ไม่ว่าใครต่างคิดไม่ถึง ว่าแม้แต่หวังอิงยังถูกรบกวน นี่ทำให้ศิษย์เหล่านั้นต่างมีความหวังขึ้นใหม่อีกครั้ง


“ไม่ได้เด็ดขาด!”


เหล่าอาจารย์ตรงนั้นกลับมีปฏิกิริยาต่างจากบรรดาศิษย์ แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี ทยอยส่งเสียงขัดขวางเซ็งแซ่


ช่วงก่อนหน้านี้ หลังกู้อวิ๋นถิงและบุคคลแห่งยุคกลุ่มหนึ่งจากไปแล้ว ปัจจุบันในสาขายอดยุทธศาสตร์หวังอิงนับเป็นยอดฝีมือผู้ยอดเยี่ยมที่สุด


หากเขาพ่ายแพ้ขึ้นมา เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาสำนักศึกษามฤคมรกตเท่ากับว่าปราชัยอย่างสิ้นเชิง โงหัวไม่ขึ้นอีก จะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นแน่


ผลที่ตามมานี้ร้ายแรงเกินไปแล้ว ดังนั้นยอมไม่สู้ดีกว่าปล่อยให้พ่ายแพ้


ถ้าเป็นเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดยังพอรักษาหนทางเสี้ยวหนึ่งไว้ได้


“การต่อสู้ไม่เคยมีคำว่าประนีประนอม วันนี้ข้าหวังอิงยอมพ่าย แต่จะไม่ยอมถอยร่นแม้เพียงก้าวเด็ดขาด!”


กลับเห็นหวังอิงวาจาเฉียบขาด ท่าทางมุ่งมั่น ขณะพูดก็สาวเท้ามาถึงกลางลานแสดงยุทธ์แล้ว


นี่ทำให้ศิษย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างฮึกเหิมขึ้นมา กู่ร้องให้กับความอาจหาญในการก้าวออกมาของหวังอิง บรรยากาศซึ่งเดิมทีเงียบสงัดเปลี่ยนเป็นครึกครื้น


ทว่าเหล่าอาจารย์ตรงนั้นแต่ละคนกลับลอบถอนใจ พวกเขารู้ศักยภาพแท้จริงของหวังอิง คิดอยากเอาชนะมู่ชิงนั่น ความหวัง… ไม่มากเลย…


“เหอะๆ ดูไปแล้วเจ้าเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่จากที่ข้าเห็น อย่างมากก็แค่รนหาที่ตายเพิ่มอีกคน”


มู่ชิงสีหน้าหยอกล้อ ยังคงสบประมาท


“อย่าพูดมาก ลงมือเดี๋ยวก็รู้!”


เห็นชัดว่าหวังอิงเก็บกลั้นความโกรธไว้เต็มท้อง เงาร่างวูบหาย พุ่งทะยานออกไปดุจมังกรพิโรธตัวหนึ่ง พลานุภาพน่าอัศจรรย์


ไม่อาจไม่กล่าวถึง พลังต่อสู้ของหวังอิงเก่งกาจจริงดังว่า อย่างน้อยที่สุดในระดับหยั่งสัจจะก็เพียงพอเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอด


แต่ที่ทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งมวลตรงนั้นหนาวเยือกในใจก็คือ หลังผ่านไปแค่ร้อยกว่ากระบวนท่า หวังอิงก็พ่ายแพ้!


เขาถูกฝ่ามือเดียวของมู่ชิงผ่าลงบนร่าง หากไม่ใช่ว่าแขนทั้งสองของเขาขวางกั้นการจู่โจม เพียงฝ่ามือเดียวนี้ล้วนพอให้เขาท้องเหวอะอกเปิด สิ้นลมเฉียบพลัน ณ ตรงนั้น


แต่แม้ว่าเป็นเช่นนั้น แขนทั้งสองเขาก็ถูกทำลาย กระดูกระเบิดแตกละเอียด ทั้งตัวถูกซัดโจมตีลอยออกไปอย่างหนักหน่วง ร่วงลงบนพื้นนอกระยะหลายสิบจั้ง โลหิตหยาดย้อมศิลาคราม


ทั่วลานเงียบกริบทันใด เงียบสงัดจนน่ากลัว


ศิษย์ทั้งหมดล้วนเบิกตาโพลง ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นทุกอย่างนี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด


แม้แต่หวังอิงยังแพ้พ่าย สำนักศึกษามฤคมรกตยังมีใครสามารถประลองกับมู่ชิงนั่นอีก?


แต่เหล่าอาจารย์กลับล้วนสีหน้าอึมครึม พวกเขาไม่ปรารถนาเห็นฉากนี้มากที่สุด แต่สุดท้ายก็ยังคงเกิดขึ้น เรื่องในวันนี้จะต้องปิดบังไว้ไม่อยู่ ต้องแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วแน่ ถึงตอนนั้น… ชื่อเสียงของสำนักศึกษามฤคมรกตคงจบสิ้นแล้ว!


“สามารถทนต้านเงื้อมมือข้าได้ร้อยกว่ากระบวนท่านับว่าพองั้นๆ น่าเสียดาย คนอย่างเจ้ามีมากมายเกินไปในดินแดนรกร้างโบราณ แม้แต่คุณสมบัติไปเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังไม่มี”


มู่ชิงเหยียดหยันทุกคน รูปร่างเขาเด่นตระหง่าน แม้เป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง แต่กลับมีพละกำลังห้าวหาญโหดเหี้ยมยิ่งยวด


นี่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแคลงใจ มู่ชิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้านายเขาจะทรงพลังระดับใด


อาจารย์ทั้งหมดต่างจิตใจหนักหน่วง สีหน้าหม่นหมอง อึดอัดคับแค้นจนเจียนจะถึงขั้นสิ้นหวังหมดหนทาง


เวลานี้ที่ส่วนลึกสุดของลานแสดงยุทธ์ มีหอสูงแห่งหนึ่ง บนหอสูงนั่นจู่ๆ กลับมีเสียงฮึหนึ่งดังขึ้นเล็กน้อย


เสียงฮึนี้มาจากชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้กับทุกคน


เขาสวมชุดคลุมทอง ผมทองทั้งศีรษะ ต่อให้นั่งอยู่แผ่นหลังก็ตรงดิ่งตระหง่าน บุคลิกดุดันเจิดจรัสจ้าตา


ทุกคนต่างรู้ว่าเขามีนามว่าหนานกงหั่ว เป็น ‘คุณชาย’ ที่มู่ชิงเรียก และเป็นศิษย์สืบทอดซึ่งมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้หนึ่ง!


ได้ยินเสียงฮึนี้ มู่ชิงซึ่งเดิมอวดดีและหยิ่งทะนงสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เคารพนบนอบไปเบื้องหน้าพลางกล่าว “คุณชาย การกระทำของข้าเมื่อครู่มีบางอย่างไม่เหมาะสมหรือไม่”


“พวกเรามาเป็นแขก ทำพื้นสกปรกมันไม่งาม” หนานกงหั่วแม้แต่ศีรษะยังไม่หันกลับ น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความดึงดูดเฉพาะตัวเสี้ยวหนึ่ง


มู่ชิงคล้ายแอบเป่าปากโล่งอก ก่อนมุ่งไปเบื้องหน้าทันที หิ้วหวังอิงซึ่งนอนครวญครางอย่างเจ็บปวดอยู่ในแอ่งโลหิตขึ้นมา แล้วโยนไปยังบรรดาศิษย์เหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นจึงกล่าวเย็นชา “ดูเขาให้ดี! ข้าน่ะไม่อยากทำพื้นที่ของพวกเจ้าสกปรกอีกแล้ว!”


เขาสะบัดชายเสื้อทีหนึ่ง จัดการทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้นจนหมด ค่อยโค้งตัวไปทางเงาด้านหลังของหนานกงหั่ว ก่อนหวนกลับคืนกลางลานแสดงยุทธ์


ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นเห็นภาพเหตุการณ์นี้ในสายตาก็โกรธจนตาแดงไปหมด พวกเขาถึงกับกล้าพูดว่าเลือดของหวังอิง… ทำพื้นสกปรก!


นี่กำลังหยามหน้าพวกเขาทุกคนโดยตรงใช่ไหม


บนหอสูง หนานกงหั่วราวไม่รับรู้ถึงทุกอย่างนี้ หรือพูดได้ว่าต่อให้เขาสังเกตเห็นก็ไม่คิดจะใส่ใจสักนิด


เขายังคงหันหลังให้กับผู้คน ร่ำสุรากับหนุ่มสาวรุ่นเยาว์สี่ห้าคนข้างกายพลางสนทนาพาที มองข้ามทุกคนที่อยู่ตรงนั้น


หนุ่มสาวสี่ห้าคนนั้นเป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เช่นเดียวกัน เมื่อมองเห็นภาพนี้ พวกเขาก็แค่ยิ้มน้อยๆ แล้วถอนสายตากลับ ไม่ใส่ใจอะไรเช่นกัน


จะพูดคุยสัพเพเหระก็พูดคุยสัพเพเหระ จะร่ำสุราก็ร่ำสุรา ท่าทางสบายอารมณ์เช่นนั้น มีหรือจะไม่ใช่การแสดงออกถึงความเย่อหยิ่งและอวดดี


บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง เดียวดายอุดอู้จนชวนให้หายใจไม่ออก


“จริงสิ เจ้าหลินสวินนั่นมาหรือยัง”


มู่ชิงซึ่งอยู่กลางลานแสดงยุทธ์กลับสู่ท่าทีเกียจคร้านดูแคลนอีกครั้ง น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง


“ไม่ใช่ว่าเขาตัวคนเดียวจู่โจมสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนหรอกรึ ทำไมจนป่านนี้กลับกลายเป็นเต่าหดหัว แม้แต่ความกล้ามารับคำท้าล้วนไม่มีหรือ”


ทันทีที่ประโยคนี้ของมู่ชิงหลุดออกมา ก็เหมือนดั่งจุดชนวนในถังดินปืน ทำให้ศิษย์ทุกคนตรงนั้นซึ่งอึดอัดคับแค้นและอดกลั้นถึงขีดสุดอยู่ก่อนแล้วต่างควบคุมอารมณไว้ไม่อยู่


“เจ้านับเป็นตัวอะไร ถึงได้มาสบประมาทอาจารย์เสี่ยวหลิน?”


“หากอาจารย์เสี่ยวหลินมาแล้ว เจ้าไหนเลยจะมีสิทธิ์ยืนพูดปาวๆ”


“เจ้าถึงกับกล้าด่าอาจารย์เสี่ยวหลินเป็นเต่าหดหัวรึ!”


ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างโมโหโทโส หลินสวินในตอนนี้กลายเป็นบุคคลในตำนานที่พวกเขายกย่องสรรเสริญคนหนึ่งนานแล้ว ถูกผู้คนในใต้หล้ากล่าวถึงอย่างเพลิดเพลิน ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเลื่อมใสศรัทธา มีหรือจะถูกคนสบประมาทได้!?


แม้แต่อาจารย์ส่วนหนึ่งยังอดรนทนไม่ไหว ทยอยส่งเสียงตำหนิมู่ชิงว่าวาจานี้จาบจ้วงเกินไปแล้ว!


เหตุการณ์มีสัญญาณว่าจะเสียการควบคุมอยู่บ้าง


นี่ทำให้มู่ชิงคิ้วขมวด พลันเปล่งเสียงตวาดทันที “น่าขัน หากเขามีความกล้า เหตุใดจนป่านนี้ยังไม่ปรากฏตัวอีก พวกเจ้าคิดว่าข้ามีให้มาเสียไปเปล่าๆ กับพวกเจ้าหรือ หรือจะบอกว่าพวกเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกตทำได้แค่ตะโกนโหวกเหวก ข้าบอกแล้ว หากใครไม่พอใจก็ก้าวออกมา!”


น้ำเสียงนี้ราวเสียงฟ้าร้องดังสนั่นแผ่กว้างทั่วบริเวณ ถึงกับสะกดข่มเสียงตำหนิอึกทึกพวกนั้น ทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งมวลต่างหน้าเปลี่ยนสี


“แน่นอน พวกเจ้าเหล่าอาจารย์หากดูแล้วไม่เจริญตาก็สามารถออกมาเช่นเดียวกัน ข้าไม่ถือสาที่จะเล่นกับพวกเจ้า”


มู่ชิงแววตาเย็นเยียบ เผยความปรามาส


ประโยคนี้เห็นชัดว่าบ้าไปแล้ว เดิมเขาก็เป็นแค่ข้ารับใช้เท่านั้น กล้าลบหลู่และหยามหน้าพวกเขาอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ก็เพียงพอให้คนบันดาลโทสะแล้ว


แต่ตอนนี้เขาถึงกับยังท้าทายหมายต่อกรกับอาจารย์แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตโดยตรง ท่าทางหยิ่งผยองเยี่ยงนี้ ทำให้เหล่าศิษย์ที่อยู่ตรงนั้นโกรธจนอกจะแตกตาย


บรรดาอาจารย์สำนักศึกษามฤคมรกตมิขาดแคลนการผู้อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติ พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องลดเกียรติฐานะตนเองเช่นนี้แน่


แต่ถูกมู่ชิงข้ารับใช้คนหนึ่งชี้จมูกยั่วยุเยี่ยงนี้ ทำให้สีหน้าพวกเขาไม่น่าดูถึงขีดสุดเช่นกัน


“เหอะๆ”


มู่ชิงหัวเราะออกมา “ดูท่า สำนักศึกษามฤคมรกตนี่ทำให้คนผิดหวังจริงดังว่า ล้วนไม่มีพวกที่พอจะเข้าตาสักคน ตอนนี้ข้าอดคลางแคลงไม่ได้ หลินสวินซึ่งถูกเรียกว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ นั่น เกรงแต่จะเป็นพวกลวงโลกปั้นชื่อเสียงคนหนึ่ง ไม่มีค่าคู่ควรใด”


“ไม่อนุญาตให้เจ้าพูดกับอาจารย์เสี่ยวหลินของเราเช่นนี้!!”


ในเวลานี้พลันมีเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มตัวอ้วนคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาราวจะสู้สุดชีวิต พุ่งอย่างบ้าคลั่งไปทางมู่ชิง


เป็นเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยนั่นเอง เขาเป็นศิษย์ของชั้นเรียนระดับ ค. ห้องเก้าคนหนึ่ง ตัวเขาเป็นแค่นักสลักวิญญาณเท่านั้น พลังเทียบกับมู่ชิงแล้วไม่ใช่ระดับเดียวกันแต่แรก


แต่บัดนี้เมื่อได้ยินมู่ชิงหยามหน้า ‘อาจารย์เสี่ยวหลิน’ ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง เขาจึงสูญเสียการควบคุมแล้ว โกรธแค้นจนแทบบ้า หมายสู้ตายกับมู่ชิง!


พวกอาจารย์ตระหนกจนหน้าถอดสี แม้แต่บรรดาศิษย์อื่นๆ ยังรับมือไม่ทัน แม้อยากขัดขวางก็ไม่ทันการแล้ว


มู่ชิงนัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง นี่มันอะไร เจ้าคนที่ราวมดปลวกตัวหนึ่งก็กล้าออกมาสู้ตายกับตนหรือ


เบื่อชีวิตแล้วสินะ!


เขาตัดสินใจอย่างเหี้ยมโหด จะมอบ ‘บทเรียน’ ยากลืมเลือนชั่วชีวิตแก่เจ้าเด็กนี่


วู้ม!


แสงสีดำขลับกลุ่มหนึ่งโอบล้อมปลายนิ้วทั้งห้า มู่ชิงยืนนิ่งไม่ขยับ รอเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยเข้ามา ‘หาที่ตาย’


แต่ที่ทำให้เขาเกินคาดหมายคือ พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวกลางลาน ขวางหน้าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยไว้


“หืม?”


มู่ชิงขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองออกไป ก็เห็นว่านั่นคือเด็กหนุ่มในชุดขาวพระจันทร์คนหนึ่ง รูปร่างสูงสง่า นัยน์ตาดำใสสงบ บุคลิกไม่ธรรมดา


เพียงแต่ไม่ช้ามู่ชิงก็ไม่ใส่ใจ ด้วยบนตัวเด็กหนุ่มคนนี้เขามองไม่เห็นความพิเศษอันใด


“ใครที่ไหนมันมาขวางข้า หลีกไป! ข้าจะลุยกับมัน! อาจารย์เสี่ยวหลินเป็นคนที่ไอ้สุนัขอย่างมันสามารถหยามได้หรือ”


เจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยคำราม ตาทั้งสองดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ เขากำลังเดือดดาล จึงไม่ได้สังเกตสักนิดว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นใคร


“เจ้าเด็กเวรนี่ แม้แต่ข้าก็ไม่รู้จักแล้วรึ”


น้ำเสียงคุ้นเคยที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีดังขึ้นข้างหู ทำให้เจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยชะงักงัน ประหนึ่งสติหวนคืน พลันเงยหน้าขึ้นทันที ก็เห็นใบหน้าสุภาพหล่อเหลาที่คุ้นเคย


นี่ทำให้เขาแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง ก่อนกล่าวพึมพำ “ฉิบหาย ข้าโกรธจนตาลายแล้วใช่ไหมเนี่ย ทำไมเหมือนจะเห็นผีเลย…”


เพี๊ยะ!


ท้ายทอยเขาถูกตบทีหนึ่ง “วันนี้การแสดงออกของเจ้าไม่เลว ครั้งหน้าหากกล้าพูดคำหยาบต่อหน้าข้าอีก ไม่เอาเจ้าไว้แน่!”


และเวลานี้อาจารย์และศิษย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน


พวกเขากำลังโกรธแค้น สิ้นหวัง หมดหนทาง อารมณ์ล้วนอยู่ในสภาพที่ควบคุมไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยนั่นขวางหน้าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยไว้ จึงล้วนไม่กล้าเชื่อ ต่างเหม่อลอยไปบ้างชั่วขณะ


มู่ชิงหาไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาได้ยินแค่ว่าเจ้าเด็กอ้วนที่เหมือนมดปลวกนั่น เมื่อครู่ถึงกับด่าเขาว่า ‘ไอ้สุนัข’!


“ไอ้เด็กเวร รีบไสหัวมานี่ วันนี้ใครก็มาช่วยไอ้เด็กสวะนี่ไม่ได้!”


ขณะตวาดเงาร่างของมู่ชิงก็ไหววูบ ฝ่ามือหนึ่งพุ่งผ่าไปยังเหนือศีรษะหลิวฮุย ไอสังหารห้อมล้อม ลงมืออย่างโหดเหี้ยมแล้ว


ก่อนหน้านี้เขาโจมตีศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตจนไร้คู่ต่อกร ทำตัวโอหังหยิ่งผยองถึงเพียงนั้น ทำให้อาจารย์เหล่านั้นต่างมีโทสะ


แต่บัดนี้กลับถูกเจ้าเด็กอ้วนที่ไม่ใช่แม้แต่ระดับหยั่งสัจจะด่าประจานต่อหน้าต่อตา หากไม่ฆ่า เขามู่ชิงจะยังเหลือความน่าเกรงขามอันใดอีก


ตูม!


เสียงระเบิดแหวกอากาศ ลมฝ่ามือน่าหวาดหวั่นโอบล้อมด้วยแสงทมิฬปกคลุมฟ้าดิน ชวนประหวั่นถึงขีดสุด ทำให้ศิษย์อาจารย์ตรงนั้นต่างตกใจตื่นจากสภาพตะลึงงัน


จากนั้นพวกเขาก็เห็นภาพที่ยากจะลืมเลือนชั่วชีวิต…


ช่วงเวลาคับขันนี้ หลินสวินซึ่งขวางหน้าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยเพียงแค่ตบฝ่ามือออกไปง่ายๆ คราเดียวดังพรึบ มู่ชิงก็ประหนึ่งแมลงวันตัวหนึ่งก็มิปาน ถูกฟาดลอยกระเด็นอย่างหนักหน่วง…


ตอนที่ 677 กำจัดทิ้งตรงๆ

โดย

ProjectZyphon

ปึง!


ฝ่ามือเดียวนี้เสียงลุ่มลึกยิ่ง ราวซัดมือลงบนกระสอบทราย และมู่ชิงก็ประดุจกระสอบทราย ถูกซัดยุบสวบลอยลิ่วปลิวกระเด็น


เจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุยงุนงง


อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นเองงงงวย


มู่ชิงก่อนหน้านี้ท่าทางสูงส่งยิ่ง เหยียดหยันเหล่าผู้กล้าอย่างหยิ่งทะนง แม้ว่าเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง กลับเอาชนะศิษย์มากฝีมือแทบทั้งหมดของสำนักศึกษามฤคมรกต


เขาวาจาเหยียดหยัน วางท่าเย่อหยิ่ง ทำให้อาจารย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างมีโทสะ คับแค้นถึงขีดสุด


แต่ยามนี้เจ้าคนหยิ่งผยองนี่กลับราวแมลงวัน ถูกฝ่ามือเดียวตบกระเด็น นี่มันน่าสะท้านมากเกินไปแล้ว


หลินสวินกลับไม่แม้แต่เงยหน้า เพียงตบบ่าเจ้าอ้วนน้อยหลิวฮุย “ยังยืนอยู่หาอะไร รีบกลับไปเร็ว”


“อาจารย์เสี่ยวหลิน… เป็นท่านจริงๆ!” หลิวฮุยตื่นเต้นจนวงหน้าแดงเรื่อ


“เจ้าเด็กน้อยช่างร่ำไรจริง” หลินสวินยิ้มรับ หิ้วถือตามสะดวกก็นำหลิวฮุยออกจากลานแสดงยุทธ์ไป


“เป็นอาจารย์เสี่ยวหลินจริงๆ!”


เวลานี้อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นต่างตื่นจากสภาพตระหนก ในที่สุดก็กล้าเชื่อว่าเป็นหลินสวินมาจริงๆ!


“ไอ้หนู เจ้าตายแน่!”


แต่ในเวลาเดียวกันนี้เสียงคำรามหนึ่งดังก้องขึ้น กลับเห็นมู่ชิงซึ่งถูกซัดลอยกระเด็นพุ่งทะยานเข้ามา


ทั่วร่างเขาแสงทมิฬเอ่อล้น สีหน้าอึมครึม นัยน์ตาโกรธแค้นสุดกำลัง เสมือนไม่เชื่อว่าเมื่อครู่ตนจะถูกฝ่ามือเดียวตีพ่ายยับเยิน


ตูม!


เงาร่างเขาส่งเสียงกัมปนาทราวฟ้าคะนอง พลานุภาพชวนพรั่นพรึงยิ่งยวด ในฝ่ามืออบอวลท่วงทำนองแห่งมรรคหมอกศักดิ์สิทธิ์สีดำมากมาย พุ่งจู่โจมไปทางหลินสวินอย่างกึกก้อง


ห้วงอากาศที่นี่สั่นสะเทือน สภาพอากาศแปรปรวนทั่วจตุรทิศ ภาพฉากชวนประหวั่น


ด้วยฐานะบ่าวรับใช้ สามารถกวาดล้างศิษย์มากฝีมือทั้งหมดของสำนักศึกษามฤคมรกตในปัจจุบัน แน่นอนว่ามู่ชิงต้องเป็นคนร้ายกาจยิ่งคนหนึ่งอย่างแท้จริง


เพียงแต่…


หลังจากเสียง ‘พลั่ก’ ทั้งตัวมู่ชิงก็กระเด็นลอยอีกครั้งแล้วร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างหนักหน่วง เขาสับสนมึนงง ทั่วร่างเกร็งกระตุก เลือดลมตีกลับ เจ็บจนแทบกระอักเลือด


แต่หลินสวินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้เพียงก้าว แค่ผลักมือออกไปตามสะดวกเท่านั้น


และเป็นท่าทางสบายอารมณ์เช่นนี้ของเขา ที่ยิ่งขับเน้นให้มู่ชิงดูน่าอนาถกว่าเดิม ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพลันสูดหายใจเย็นเยียบ


“อาจารย์เสี่ยวหลินเขา… แกร่งเกินไปแล้ว!”


ศิษย์ส่วนหนึ่งสั่นสะท้านร้องเสียงหลง พวกเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมต่อหลินสวิน แต่เช่นเดียวกัน จากที่พวกเขาเห็น มู่ชิงเองก็ไม่ใช่พวกคนธรรมดาสามัญเช่นกัน


เดิมทีคิดว่าแม้หลินสวินลงมือเองก็คงยุ่งยากอยู่บ้าง ใครเล่าจะคาดคิด ต่อหน้าอาจารย์เสี่ยวหลิน มู่ชิงซึ่งเมื่อครู่หยิ่งผยองยโสโอหังนั่น กลับเห็นได้ชัดว่าไม่มีค่าอะไรถึงเพียงนี้!


แตกต่างกันเกินไปแล้ว!


“อะไรเรียกว่าแกร่งเกิน? อาจารย์เสี่ยวหลินแกร่งเช่นนี้มาตลอด!”


“อำนาจทั่วนครหลวง สมญานามเช่นนี้มีหรือจะเรียกกันเล่นๆ”


ศิษย์หญิงส่วนหนึ่งถกเถียง พวกนางตื่นเต้นจนดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย วงแก้มเปี่ยมสีชาด สายตาที่มองหลินสวินเลื่อมใสจนถึงขั้นลุ่มหลง


แม้แต่อาจารย์สำนักศึกษาเหล่านั้นยังคลายความคับแค้นใจออกมาได้ระลอกหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี การแสดงออกของหลินสวินยิ่งแข็งแกร่ง หน้าตาที่พวกเขาสำนักศึกษามฤคมรกตกอบกู้คืนมาได้ก็ยิ่งมาก


แต่ทว่า แม้พวกเขาเห็นพลังของหลินสวินกับตาตนเองก็ยังอดใจสะท้านไม่ได้ คงมีเพียงบุคคลเช่นนี้จึงสามารถสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนติดต่อกันตัวคนเดียวกระมัง


บรรยากาศเงียบสงัด ณ ที่แห่งนั้นเปลี่ยนเป็นร้อนระอุ เสียงกู่ร้องยินดีดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก การมาของหลินสวินทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นต่างพลุ่งพล่าน


“เจ้า… ก็คือหลินสวิน?”


มู่ชิงตะกายขึ้นมาจากพื้น สีหน้ากระอักกระอ่วน เจือความประหลาดใจและเคร่งขรึม


ถูกหลินสวินโจมตีจนพ่ายยับอย่างง่ายดายสองครั้งติดต่อกัน ต่อให้มู่ชิงโง่แค่ไหนก็ตระหนักได้ว่า ครั้งนี้เจอของแข็งเข้าให้แล้ว


หลินสวินไม่เอ่ยวาจา นัยน์ตาดำนิ่งสงบไร้อารมณ์ เขาย่างก้าวไปเบื้องหน้าพลางกล่าว “คนอย่างเจ้าก็ยังกล้าวิ่งมาลำพองที่สำนักศึกษามฤคมรกตรึ”


พลานุภาพไร้รูปอย่างหนึ่งแผ่กระจาย ทำให้มู่ชิงพลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง แทบหายใจไม่ออก ประดุจเห็นภูผาสูงตระหง่านกดบีบเข้ามา


“หึ ลำพองอะไร พวกข้าแค่แลกเปลี่ยนความรู้กัน ศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตของพวกเจ้าไม่เอาไหนยิ่งนัก หรือที่ข้าพูดมีอะไรผิด”


มู่ชิงแค่นเสียง สะกดข่มความตระหนกภายในใจ เผชิญหน้าหลินสวิน


เขามาจากดินแดนรกร้างโบราณ แม้เป็นข้ารับใช้ข้างกายหนานกงหั่วผู้สืบทอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แต่เขาเชื่อว่าในโลกชั้นล่างนี้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา!


“งั้นรึ? เช่นนั้นพวกเราก็มาลองแลกเปลี่ยนความรู้กันหน่อย”


หลินสวินก้าวไปเบื้องหน้า ย่างก้าวมั่นคง สีหน้าไร้อารมณ์ แต่กลับมีพลานุภาพกลืนกินภูผาธารา


“เจ้า…”


มู่ชิงตระหนก เขาเพิ่งร้องออกมาคำเดียวก็รู้สึกเบื้องหน้าพลันฝ้าฟาง ลำคอถูกบีบและถูกหิ้วขึ้นมาทั้งตัว หายใจลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดเลย


แกร่งเกินไปแล้ว!


มู่ชิงหวาดกลัวในใจ ก่อนหน้านี้ยามเขาได้ยินข่าวลือส่วนหนึ่งเกี่ยวกับหลินสวิน ในใจยังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นการจงใจโอ้อวด บิดเบือนต่อกันมา


แต่บัดนี้มู่ชิงตระหนักแล้วว่าตนคาดเดาผิด…


น่าเสียดาย เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงดิ้นรน ดั่งลูกไก่ถูกบีบคอแล้วหิ้วขึ้นมา จากนั้นร่างกายก็ประหนึ่งท่อนไม้ ถูกเขวี้ยงลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง


กร๊อบ!


เสียงระเบิดแตกของกระดูกดังออกมา มู่ชิงเลือดไหลอาบทั่วร่าง ทั้งตัวพลันกระตุกอย่างรุนแรง เปล่งเสียงกรีดร้องทุรนทุราย


การโจมตีนี้เหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดเห็นแล้วเจ็บแทนจนหวั่นใจ


“ด้วยความสามารถแค่นี้ ก็พูดเหลวไหลหมายท้าทายข้า?”


หลินสวินถอนหายใจคล้ายผิดหวังอยู่บ้าง หรือพูดได้ว่าไม่พอใจบางส่วน “ช่างเถอะ อย่างไรเสียที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกตของข้า สังหารเจ้าไป กลับจะทำให้โลกภายนอกคิดว่าพวกข้ารังแกคน เช่นนั้นก็ทำลายปราณเจ้าทิ้งเป็นการลงโทษแล้วกัน”


ขณะพูดเท้าข้างหนึ่งของเขาก็ยกขึ้น


“เจ้ากล้า…!”


มู่ชิงหวาดผวาและคับแค้น พังทลายโดยสิ้นเชิง ไหนเลยจะคาดคิดว่าหลินสวินถึงกับเหี้ยมโหดเพียงนี้ ถึงกับจะทำให้เขาพิการ


“หยุด!”


ยามนี้หนานกงหั่วซึ่งนั่งพูดคุยสัพเพเหระบนหอสูง ท้ายที่สุดไม่อาจนั่งนิ่งดูดาย เปล่งเสียงยับยั้ง


กร๊อบ!


กลับเห็นหลินสวินไม่ใส่ใจสักนิด เท้าหนึ่งกดลง พลังหนักแน่นแผ่กระจายผ่านปลายเท้า ทำลายพลังปราณหยั่งสัจจะภายในร่างมู่ชิงในคราเดียว!


“เจ้า เจ้า…”


มู่ชิงเบิกตากว้างคล้ายยังคงไม่กล้าเชื่อ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเจือความสั่นสะท้าน หวาดกลัว คับแค้น สิ้นหวัง


พลังปราณถูกกำจัด เช่นนั้นฆ่าเขาให้ตายยังดีซะกว่า!


ถึงแม้มีชีวิตรอด แต่จากนี้ต้องเป็นคนไร้ค่าไร้ประโยชน์ จะต้องไม่มีคุณค่าอะไรอีก!


เฮือก!


ศิษย์อาจารย์ ณ ที่นั้นสูดหายใจเย็นเยียบ ถูกกลวิธีของหลินสวินทำเอาหวั่นตระหนก


มู่ชิงนั่นแม้เป็นข้ารับใช้ แต่อย่างไรเสียก็มาจากดินแดนรกร้างโบราณ เป็นบ่าวข้างกายหนานกงหั่วศิษย์สืบทอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


ถูกหลินสวินกำจัดปราณอย่างแคล่วคล่องมั่นคงเช่นนี้ ความขัดแย้งนี้ออกจะมากไปหน่อยแล้ว!


บนหอสูงไกลออกไป กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ซึ่งนำโดยหนานกงหั่วต่างทยอยลุกขึ้นนานแล้ว สายตามองไปยังร่างหลินสวินที่อยู่กลางลานแสดงยุทธ์


ก่อนหน้านี้พวกเขาหันหลังให้กับผู้คน ร่ำสุราเจรจาพาที วางท่าสบายอารมณ์ แต่กลับสะท้อนความหยิ่งทะนงและอวดดี ไม่ใส่ใจศิษย์อาจารย์ทั้งหมด


แต่บัดนี้เมื่อหลินสวินปรากฏตัวและกำจัดปราณของมู่ชิงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจนิ่งดูดายได้


ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ แม้มู่ชิงเป็นเพียงข้ารับใช้ แต่อย่างไรก็มาพร้อมกับพวกเขา เป็นบ่าวข้างกายหนานกงหั่ว มู่ชิงถูกกำจัดปราณ นี่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกเขา?


“เจ้าก็คือหลินสวิน? ดูไปแล้วในโลกชั้นล่างนี้เจ้าคงไม่เพียงมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ แถมยังเจ้าอารมณ์ด้วยสินะ!”


ข้างกายหนานกงหั่ว ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมนกกระเรียน ช่วงเอวคาดเข็มขัดมังกร รูปร่างงามสง่าโอหังผู้หนึ่งเอ่ยปากอย่างเย็นชา


เขามีนามว่าหรั่นเฉิน เป็นศิษย์สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เช่นเดียวกับหนานกงหั่ว


สามารถกลายเป็นศิษย์สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ได้ ไม่มีใครที่ไม่ใช่บุคคลชั้นยอด หรือผู้กล้าที่สติปัญญาโดดเด่น ไม่เพียงแค่หรั่นเฉินและหนานกงหั่ว หนุ่มสาวรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ด้านข้างล้วนเป็นคนประเภทนี้ทั้งสิ้น


เผชิญหน้ากับการซักถามนี้ หลินสวินคล้ายไม่รับรู้อะไร เท้าข้างหนึ่งของเขาเตะมู่ชิงที่อยู่บนพื้นกระเด็นออกไป จากนั้นสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้นสักหน่อยค่อยกล่าว “เลือดของเขาทำพื้นสำนักศึกษามฤคมรกตของข้าสกปรก ลงโทษเล็กน้อยไยถึงเรียกว่าเจ้าอารมณ์?”


สายตาเขามองไปยังหรั่นเฉินพลางกล่าว “ทำไม… หรือเจ้าไม่พอใจ”


ศิษย์อาจารย์ที่อยู่ตรงนั้นใจกระตุก ตระหนักว่าหลินสวินกำลังทวงความเป็นธรรมให้หวังอิงที่พ่ายแพ้เมื่อครู่ แม้เผชิญหน้ากับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ท่าทีเขาก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย


หรั่นเฉินสีหน้าพลันอึมครึม ขณะกำลังออกปากก็ถูกหลินสวินตัดบทตรงๆ “ไม่พอใจก็อดกลั้นเอาไว้ ข้าไม่มีอารมณ์มาสนทนาปัญหากับเจ้าว่าใครถูกใครผิด”


ชั่วขณะเดียวหรั่นเฉินโกรธจนหน้าเขียว เขาคือผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณก็เป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลรุ่นเยาว์ที่ชื่อเสียงขจรไกล


แต่บัดนี้กลับชนกำแพงอย่างต่อเนื่องในโลกชั้นล่าง ถูกคนยั่วยุ นี่จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร


“ไม่รู้จักดีชั่วเสียจริงๆ”


“คิกๆ น่าสนุก ในโลกชั้นล่างถึงกับยังมีคนมีความกล้าเช่นนี้ ช่างพบเห็นได้ยากจริงๆ ที่น่าเสียดายคือปกติคนประเภทนี้มักตายเร็วที่สุด”


“ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ขอโทษพวกเราซะ ขอเพียงเจ้าสามารถดับเพลิงโทสะของพวกเรา วันนี้จะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ข้างๆ สองสามคนทยอยเปิดปาก แม้วาจาสบายอารมณ์ แต่กลับแฝงรสชาติเหยียดหยันผู้อื่น


ทว่าหรั่นเฉินกลับราวไม่พอใจอยู่บ้าง กล่าวว่า “ปล่อยเขาไป? นั่นคงง่ายกับเขาเกินไปแล้ว คนพรรค์นี้หากไม่ฆ่าทิ้งซะ จากนี้จะให้ข้ามีที่ยืนในสำนักต่อไปอย่างไร”


ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดที่อยู่ห่างออกไปเห็นดังนี้ก็ทั้งโกรธแค้นทั้งกังวล


ไม่ว่าอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็เปรียบดั่งอำนาจมหึมาที่มีฐานมั่นเหนือเก้าชั้นฟ้า แม้แต่สำนักศึกษามฤคมรกตยังไม่อาจต่อต้าน และไม่กล้าไปแส่หาเรื่อง


ทว่ายามนี้เห็นพวกหนานกงหั่วหันปลายหอกจ่อใส่หลินสวิน ทั้งนอกและในวาจาล้วนแสดงออกว่าไม่คิดปล่อยหลินสวินไปง่ายๆ นี่จะไม่ให้บรรดาศิษย์อาจารย์ ณ ที่นั้นไม่กังวลได้อย่างไร


“มู่ชิงพิการแล้วก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง เพียงแต่ข้าในฐานะที่เป็นเจ้านายเขา หากไม่ช่วยเขาทวงความเป็นธรรมสักหน่อย ก็คงเหมือนว่าข้าไร้ความสามารถ”


ขณะนี้หนานกงหั่วออกปากแล้ว เขาสวมชุดคลุมทอง ผมทองทั้งศีรษะ ทั่วร่างเจิดจรัสส่องประกาย ยืนอยู่ตรงนั้นประดุจสุริยันโชติช่วงดวงหนึ่ง


เพียงแต่เขาในเวลานี้มีสีหน้าเย็นชาและอำมหิตอย่างเห็นได้ชัน มีอานุภาพกดข่มผู้คน


“ตอนนี้ ข้าสามารถมอบโอกาสไถ่โทษหนึ่งแก่เจ้า สวามิภักดิ์ต่อข้า ทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้ข้างกายข้าอย่างถวายชีวิต เรื่องนี้ก็จะถือว่าแล้วกันไป”


หนานกงหั่วพูดอย่างราบเรียบ แววตาเป็นประกายดุจแสงทอง จ้องมองหลินสวินอย่างแฝงนัยบัญชา


นี่ทำให้ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดต่างสีหน้าเหยเก ให้หลินสวินเป็นข้ารับใช้? นี่ต่างอะไรกับการหยามหน้า


“เหอะๆ ศิษย์พี่หนานกงยังคงใจอ่อน ครั้งนี้ก็พูดดีไปแล้ว เจ้าหนู เจ้ายังไม่รีบก้มศีรษะขอบคุณอีก สามารถรับใช้ถวายชีวิตข้างกายศิษย์พี่หนานกง นี่น่ะเป็นศุภโชคล้ำค่าที่ผู้อื่นต่างถวิลหาแม้ยามฝัน!”


ด้านข้างหนานกงหั่ว ชายนัยน์ตาม่วงโดยกำเนิด บุคลิกแปลกแตกต่างผู้หนึ่งส่งเสียงหัวเราะเบาๆ


ตอนที่ 678 ก้นแตกออกลาย

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินทุกวันนี้เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งจักรวรรดิอย่างสมบูรณ์ เลิศล้ำโดดเด่นในบรรดาชนรุ่นเยาว์ ไม่มีใครเทียบเทียม


แต่บัดนี้ ทันทีที่หนานกงหั่วเปิดปากก็หมายให้หลินสวินสวามิภักดิ์ ทำหน้าที่เป็นข้ารับใช้มาไถ่โทษ!


นี่คือการเหยียบย่ำและหยามหน้าหลินสวินประการหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องโมโหกันทั้งนั้น


ที่ชวนโกรธจนผมตั้งที่สุดคือ ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงนั่นยังคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายว่า หากหลินสวินสวามิภักดิ์ต่อหนานกงหั่ว นั่นคือเรื่องร้ายกลายเป็นดี เป็นศุภโชคที่ผู้อื่นแม้แต่ถวิลหายามฝันก็ไม่อาจได้รับ


นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว!


อาจารย์และศิษย์ที่อยู่ตรงนั้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี เจ้าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี่ช่างหลงระเริงเย่อหยิ่งถึงที่สุด


ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงกลับทำหน้าไร้ความผิด ท่าทางราวกับไม่เข้าใจ “เหตุใดพวกเจ้าจึงโกรธเช่นนี้ล่ะ พวกเราใจกว้างและอดทนพอแล้วนะ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน จากเรื่องที่เขากำจัดปราณมู่ชิงนี้ ต้องไถ่โทษด้วยความตายแล้ว”


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ซึ่งอยู่ข้างเขาต่างหัวเราะเยาะไม่หยุด


ทุกคนต่างดูออก เจ้าพวกนี้เห็นชัดว่ากำลังใช้วิธีการเช่นนี้มาหยามหลินสวิน นี่ทำให้พวกเขาต่างคับแค้นเต็มอก


ณ ที่นั้นเห็นจะมีเพียงเสิ่นทั่วและคนส่วนน้อยบางคนที่สีหน้าราบเรียบเจือความเวทนาเสี้ยวหนึ่ง พวกเขาฉุกนึกถึงเมื่อครั้งงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีขึ้นมา หลิงเทียนโหวเองก็เคยพูดจาคล้ายคลึงกัน หมายให้หลินสวินขายชีวิตแก่เขา


ผลลัพธ์…


หลิงเทียนโหวถูกเล่นงานจนคุกเข่าขอโทษต่อหน้ามวลชน แม้เชื้อพระวงศ์คนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งต่างรั้งไม่อยู่


และบัดนี้หลินสวินเปลี่ยนไปจนต่างจากแต่ก่อนโดยสมบูรณ์ เคยฟาดฟันมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนด้วยมือตนเอง! แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยังคงใช้ท่าทีสูงส่งเหนือคนอื่นแบบเดียวกันมาให้หลินสวินสวามิภักดิ์ เช่นนั้นผลลัพธ์…


นึกถึงตรงนี้สีหน้าเสิ่นทั่วก็เวทนายิ่งกว่าเดิม


เขาเข้าใจแจ่มแจ้ง อ้างอิงจากอุปนิสัยของหลินสวิน ไม่มีทางหวาดกลัวดินแดนรกร้างโบราณอะไรเป็นอันขาด ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เกรงว่าก็คงไม่อาจคุกคามข่มขวัญอะไรหลินสวินได้


จริงดังคาด ก็เห็นหลินสวินที่ยืนอยู่กลางลานแสดงยุทธ์จู่ๆ ก็ยิ้มเล็กน้อย สายตากวาดมองพวกหนานกงหั่ว หรั่นเฉิน ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงพลางกล่าว “พวกเจ้าไม่เลวเลย อย่างน้อยที่สุดเวลานี้ก็ทำให้ข้าเกิดเพลิงโทสะสำเร็จเสี้ยวหนึ่ง”


“เพียงแต่…”


“เพียงแต่อะไร” ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงนั่นคิ้วขมวด กล่าวถามอย่างปรามาส


หลินสวินกล่าวจริงจัง “ข้าแคลงใจนักว่าพวกเจ้าจะสามารถแบกรับเพลิงโทสะเสี้ยวหนึ่งของข้านี้ไหวหรือไม่”


ประดุจได้ยินเรื่องน่าขันใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงหรือพวกหรั่นเฉินต่างอดหัวเราะเยาะขึ้นมาไม่ได้


มุมปากหนานกงหั่วก็ปรากฏรัศมีเพลิดเพลินวูบหนึ่ง จากนั้นเขาจึงกล่าวเย็นชา “อ้อ ข้ากลับสงสัยยิ่งนัก เพลิงโทสะเสี้ยวหนึ่งของเจ้าจะร้ายกาจมากเพียงใดกันแน่ สามารถผลาญทลายนภากาศได้ไหม”


ทันทีที่คำนี้ออกมา พวกชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงยิ่งหัวเราะกำเริบเสิบสานกว่าเดิม


“ผลาญทลายนภากาศไม่อาจเป็นจริง แต่ทำให้พวกเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่านกลับเป็นเรื่องง่าย หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ตอนนี้ก็ลองดูไหมเล่า”


นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม นิ่งสงบไร้คลื่น


“ฮ่าๆๆ ได้สิ มาๆๆ ให้คุณชายอย่างข้าเล่นกับเจ้า! จะได้ทำให้พวกเจ้าชาวโลกชั้นล่างเข้าใจ ว่าอะไรเรียกว่าความแตกต่างระหว่างเทพมังกรแห่งสรวงสวรรค์และมดปลวกบนพื้นดิน!”


ชายนัยน์ตาม่วงหัวเราะร่า เงาร่างวูบไหวไปปรากฏตัวกลางลานแสดงยุทธ์ ชี้หลินสวินอย่างทะเล้นยิ่ง “พูดให้ชัดเจนก่อนนะ หากเพลิงพิโรธของเจ้าไม่อาจทำให้ข้าพอใจ อย่าหาว่าข้าฉีกหน้าเจ้าล่ะ!”


“ได้สิ”


หลินสวินพยักหน้าตรงไปตรงมา


“นิสัยศิษย์น้องอิงเฟิงยังใจร้อนอยู่หน่อย แค่มดปลวกตัวหนึ่งเอ็ดตะโรเท่านั้น ไยต้องทำตัวเหมือนกับเขา ลดเกียรติฐานะตนเสียอย่างนั้น”


หรั่นเฉินส่ายหัว อันที่จริงเดิมทีเขาก็คิดจะลงมือ จัดการหลินสวินให้หนักสักหน่อย น่าเสียดายกลับถูกชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงชิงตัดหน้า


“นี่จึงเรียกว่าทำตามใจปรารถนาอย่างไรเล่า พวกเราก็รอดูละครเถอะ ข้ากลับสงสัยนักว่าหลินสวินนี่จะแข็งแกร่งเช่นที่เล่าลือหรือไม่”


หนานกงหั่วสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ตระหนกหวั่นวิตก


ตูม!


ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงนั่นแค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกสันดานบ้าบิ่น ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เงาร่างดุจสายฟ้าตัดทำลายแหวกอากาศ ระเบิดการจู่โจมออกไปทันใด


ศิษย์อาจารย์ตรงนั้นต่างใจเคว้งขึ้นมา ตึงเครียดไม่หยุด


ศิษย์สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ลงมือ มีหรือจะเอาคนธรรมดามาเทียบได้ ถึงแม้พวกเขาจะมั่นใจในตัวหลินสวิน แต่เวลานี้ก็ไม่อาจไม่ประหม่า


เร็ว!


เร็วจนไม่อาจจินตนาการ ทันทีที่ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงลงมือ ความเร็วของท่าร่างนั่นทำมวลชนตกตะลึง พริบตาพลันมาถึงด้านหน้าหลินสวิน


เขายื่นฝ่ามือเรียวยาวดุจหยกขาวหนึ่งออกมาอยู่ก่อนแล้ว ซัดกลุ่มแสงเจิดจ้าเรืองรอง เปล่งประกายเจิดจรัส ใส่หลินสวินอย่างหนักหน่วง


อาศัยแค่วิธีบุกโจมตีเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าชั้นยอด เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะอื่น เกรงว่าคงไม่ทันตอบสนองก็ถูกปลิดชีพลงตรงนั้น!


แม้แต่เหล่าอาจารย์ระดับกระบวนแปรจุติ ณ ที่นั้นล้วนไม่อาจไม่ยอมรับ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว หากอยู่ในนครต้องห้าม ก็เพียงพอให้เหยียดหยันผู้กล้าทั้งรุ่นได้อย่างแน่นอน


ทว่าภายในใจบรรดาเหล่าอาจารย์ หลินสวินไม่ได้อยู่ในหมู่ผู้กล้าในรุ่นนี้ แต่เป็นบุคคลเย้ยฟ้าที่สามารถชิงชัยกับระดับกระบวนแปรจุติ ดังนั้นไม่มีทางนำผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั่วไปมาเปรียบเทียบกับหลินสวินได้เด็ดขาด


ปึง!


เงาร่างของหลินสวินถูกซัดโดนจังๆ


เพียงแต่เมื่อชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงเพิ่งเผยแววดูถูก ก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่า เงาร่างหลินสวินที่ถูกซัดนั่นหายไปราวฟองน้ำ


และฝ่ามือนี้ของเขาประหนึ่งโจมตีใส่ความว่างเปล่า มีความรู้สึกไร้กำลังราวจู่โจมใส่ปุยฝ้าย


“แย่แล้ว!”


ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงม่านตาพลันหดรัด ความรวดเร็วของเขา ในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล้วนเรียกได้ว่าเป็นเลิศ น้อยนักที่จะมีคนทัน


แต่ตอนนี้ถึงกับมีคนหลีกเลี่ยงล่วงหน้า ความเร็วเทียบกับเขาแล้วยังไวกว่าสามส่วน ทำให้เขาถึงกับไม่ทันสังเกตเห็น!


นี่เห็นได้ว่าน่าทึ่งอยู่บ้างแล้ว


สวบ!


พูดแล้วเหมือนเนิ่นนานแต่ความจริงนั้นรวดเร็วยิ่งนัก ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงโจมตีพลาด หลังตระหนักว่าท่าไม่ดี เงาร่างพลันกะพริบหายไปจากจุดเดิมโดยพลัน พุ่งหลบไปอีกด้าน


แต่ยังไม่รอให้เขายืนมั่น พลันรู้สึกก้นถูกเท้าข้างหนึ่งเตะอย่างหนักหน่วง


ปึง!


พลังนั่นราวถูกกระทิงทรงพลังกระแทก ทำให้ก้นเขาเหมือนแตกออก เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เครื่องหน้าทั้งห้าบิดเบี้ยว ทั้งตัวดุจกระสุนปืนพุ่งตรงไปข้างหน้า เสียงตูมหนึ่งดังขึ้น ร่างเขาร่วงลงบนพื้นนอกระยะกว่าสิบจั้ง สภาพหกคะเมนหน้ากระแทกพื้น


ยามนี้ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงอับอายจนอยากตาย เขาเพิ่งจะลงมือ ซ้ำยังใช้ความเร็วซึ่งตนชำนาญที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เห็นแม้แต่ฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังถูกเท้าข้างหนึ่งเตะใส่ก้น หกคะเมนท่าทางน่าอักอ่วนหาใดเปรียบ


นี่ช่างน่าอัปยศอดสูเกินไปแล้ว!


พริบตาเดียวกันนี้ ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดต่างเบิกตาอ้าปากค้าง พวกเขารู้สึกแค่เบื้องหน้าพลันฝ้าฟาง ไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงนั่นก็หกคะเมนลงบนพื้นแล้ว…


“นี่มัน…”


บนหอสูง พวกหนานกงหั่ว หรั่นเฉินล้วนใจกระตุกวูบอย่างรุนแรง หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล


แม้แต่พวกเขายังแทบไม่สามารถจับเงาร่างหลินสวินได้ เร็วเกินไปแล้ว! เห็นได้ว่าคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง


ตึง!


ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงซึ่งอับอายจนอยากตายเพิ่งคิดจะลุกขึ้น ก็รู้สึกว่าบนก้นที่เจ็บปวดสาหัสยากทานทนอยู่ก่อนแล้ว ถูกเท้าข้างหนึ่งย่ำลงมาเต็มๆ ทั้งตัวเขาพลันแนบติดพื้นอีกครั้งพร้อมเสียงดังตึง ก้นประหนึ่งถูกค้อนเหล็กทุบอย่างหนักหน่วง เจ็บจนเขาแผดเสียงออกมา น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นสาย


“เพลิงโทสะเสี้ยวหนึ่งของข้า เจ้ายังแบกรับไม่อยู่ นี่รึผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ข้าดูแล้วก็เท่านั้น”


หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น ใต้เท้าลอบออกแรง ก็ได้ยินเสียงทึบหนักระลอกหนึ่ง กระดูกเชิงกรานและเลือดเนื้อของชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงล้วนถูกบีบแตกละเอียด โลหิตแดงสดหลั่งรินออกมา


“เจ้า เจ้า เจ้า… ข้าจะฆ่าเจ้า!”


ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงแผดเสียง เส้นเลือดดำปรินูน น่าอัปยศอดสูเกินไปแล้ว ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองอยู่ ก้นถูกเหยียบแตกระเบิด หากแพร่งพรายกลับไปยังดินแดนรกร้างโบราณ เขาจะต้องกลายเป็นตัวตลก หลังจากนี้คงโงหัวไม่ขึ้นแน่


ปึง!


หลินสวินเหยียบลงไปจนชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงสลบไสล น้ำลายฟูมปาก โดยยังคงมีท่าทางหกคะเมนหน้าทิ่มพื้นอยู่


ศิษย์มากมายเห็นดังนั้น ต่างส่งเสียงหัวเราะครืนออกมาอย่างอดไม่อยู่


อาจารย์ส่วนหนึ่งกลับสีหน้าพิลึกพิลั่น เจ้าหลินสวินนี่ยังคงมีนิสัยแบบนี้ดังคาด ทันทีที่ลงมือแก้แค้นขึ้นมา ไม่ว่าวิธีอะไรล้วนแสดงออกมาได้


“สหาย เจ้าทำเกินไปแล้ว!”


ที่มาพร้อมกับเสียงตวาดคือผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อีกคนออกลงมือ นั่นคือชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงกำยำ หนวดเคราดำสนิทผู้หนึ่ง พลานุภาพแข็งแกร่งดุดันยิ่งยวด


ตูม!


เขาถือดาบศึกเขียวเข้มเล่มหนึ่งฟาดผ่ามาถึง ปลายดาบถาโถมด้วยแสงงดงาม แหวกอากาศออกจากกันอย่างน่าตกตะลึง


การจู่โจมนี้เรียกได้ว่าอำมหิตและดุดัน กระทั่งเคลือบแฝงการซุ่มโจมตี เพราะใครเล่าจะคาดคิดว่าในเวลาเช่นนี้ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จะบุกโจมตีอย่างฉับพลัน


เห็นว่าดาบนี้กำลังจะผ่าลงบนร่างหลินสวิน แต่กลับเห็นเงามายาสัตว์เทพป้าเซี่ยตัวหนึ่งพลันทะยานออกมาจากร่างหลินสวิน


ตูม!


พลังน่าหวาดกลัวสายหนึ่งแผ่กระจาย ก็เห็นปลายดาบที่ผ่าลงมานั่นประดุจหยุดตรึง ถูกพันธนาการไว้เหนือศีรษะหลินสวินห่างไปหนึ่งฉื่อ


แม้แต่ตัวชายหนุ่มหนวดเคราดำนั่นยังหยุดชะงัก ราวปลาน้อยถูกแช่เย็นในชั้นน้ำแข็ง ยังคงมีท่าทางมุ่งสังหารดุดันยิ่ง แต่กลับเสมือนรูปปั้นดิน ดูตลกอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด


ในเวลาเดียวกันนี้ หลินสวินหันหน้ากลัยมาแล้วพลิกมือ ชิงดาบศึกของอีกฝ่าย จากนั้นจึงหิ้วอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วขว้างลงบนพื้นอย่างแรง


“ต่อยตีไม่ชนะก็บอกว่าเกินไป ทำไมไม่ว่าอย่างไรล้วนแต่เป็นเจ้ามีเหตุผลไปซะหมด”


ขณะพูดเท้าข้างหนึ่งของหลินสวินก็เหยียบใส่ก้นฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ได้ยินเสียงครึกๆ ทึบดังออกมา ก้นของชายหนุ่มหนวดเคราดำนั่นแตกปริออก กล้ามเนื้อฉีกกระดูกหัก โลหิตแดงสดหลั่งริน


ได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ เขาตรงไปตรงมายิ่งกว่าชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงนั่น พลันตาเหลือกหมดสติไป น่าขายหน้าเกินไปแล้ว!


พวกเขาผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย กลับถูกคนโลกชั้นล่างจัดการอยู่หมัด เตะเหยียบจนก้นแตกออกลายราวอบรมลูกหลานตามใจชอบ ความอัปยศอดสูที่ประสบนี้ พวกเขามีหรือจะเคยพบเจอ


ช่างป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!


ศิษย์อาจารย์ตรงนั้นต่างตะลึงงันอยู่บ้าง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สองคนทยอยถูกหลินสวินทำลายอย่างสบายอารมณ์ราวตุ๊กตาติดต่อกัน ใครจะกล้าคาดคิดเล่า


แม้แต่พวกหนานกงหั่วหัวใจยังกระตุกวูบอย่างหนักหน่วงไม่หยุด สูดหายใจเย็นเยียบอย่างไม่กล้าเชื่อตาตนเองอยู่บ้าง


ในฐานะที่เป็นพวกพ้องกัน พวกเขารู้ถึงศักยภาพชายหนุ่มสองคนนั้นที่สุด เป็นบุคคลชั้นยอดในหมู่ระดับหยั่งสัจจะอย่างแน่นอน


แต่บัดนี้กลับถูกคนทำลายอย่างสบายอารมณ์…


ทั้งที่นึกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมะพลับนิ่ม แต่กลับกลายเป็นเตะใส่พื้นเหล็กเสียแล้ว!


สีหน้าพวกเขาต่างเปลี่ยนเป็นจริงจังหาใดเปรียบ เดิมทีพวกเขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวินส่วนหนึ่ง เพียงแต่พวกเขานึกไปว่าโลกชั้นล่างยากไร้และล้าหลัง ไหนเลยจะมีผู้เหี้ยมโหดเย้ยฟ้าอะไรนั่นอย่างแท้จริง จะต้องเป็นคำกล่าวเกินจริงแน่นอน


แต่ตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าตนผิดไปแล้ว


หลินสวินคนนี้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะเช่นเดียวกับพวกเขาชัดๆ แต่เมื่อลงมือขึ้นมากลับแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่ใช่น้อย!


สายตาผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เหล่านั้นต่างมองไปยังหนานกงหั่ว คล้ายรอเขาตัดสินใจ


ก่อนหน้านี้พวกเขายังวางอำนาจ ท่าทางน่านับถือเหนือผู้คน ตอนนี้จะให้พวกเขาเปลี่ยนท่าที ก็ออกจะฝืนใจอยู่บ้าง


แต่หนานกงหั่วเองก็นิ่งเงียบ ในใจเขาแท้จริงแล้วหมดคำพูดถึงที่สุด ใครเล่าจะคาดคิด ในโลกชั้นล่างนี่ยังพบเจอสัตว์ประหลาดตนหนึ่งเช่นนี้


หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่พวกเขาคงไม่มีทางวางท่าสูงส่งเช่นนั้นแน่


น่าเสียดาย เสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว


“คิดไม่ถึงว่าในสำนักศึกษามฤคมรกตนี้ ยังสามารถพบเห็นเอกบุคคลเฉกเช่นสหาย”


หนานกงหั่วสูดหายใจลึก กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ ขอสหายโปรดปล่อยศิษย์น้องทั้งสองของข้าก่อน”


เขาสวมชุดคลุมทอง ผมทองเจิดจรัส ทั่วร่างมีท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทาน แต่การเอ่ยปากในยามนี้ เท่ากับยอมรับหลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย ท่าทีเกิดการเปลี่ยนแปลง


นี่ทำให้ศิษย์อาจารย์ที่อยู่ตรงนั้นต่างฮึกเหิมและภูมิใจ สามารถทำให้ศิษย์สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก้มหัวด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถทำได้!


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พวกนั้นสีหน้าอึมครึมไม่น่าดูอยู่บ้าง เหยเกราวกินแมลงวันเข้าไป ในใจอึดอัดยิ่งนัก แต่พวกเขาต่างระมัดระวัง ไม่กล้าผลีผลามลงมือกับหลินสวินอีก


แต่หลินสวินหาได้รับน้ำใจไม่ ขมวดคิ้วกล่าว “เพลิงโทสะเสี้ยวหนึ่งของข้ายังไม่ระบาย พวกเจ้าก็คิดจะหดหัวแล้วหรือ”


“นี่ไม่ใช่หดหัว!” หรั่นเฉินที่อยู่ข้างหนานกงหั่วตะโกน


“อ้อ งั้นก็ต่อไหม” หลินสวินสีหน้าสบายอารมณ์ยิ่งนัก


แต่ประโยคนี้เสมือนมีพลังน่าหวาดหวั่นอันยิ่งใหญ่ ทำให้หรั่นเฉินอ้ำอึ้งชั่วขณะ อัดอั้นจนวงหน้าเขียว กัดฟันแทบแหลก


แต่ก่อนล้วนเป็นพวกเขาที่รังแกคนอื่น ไหนเลยจะคิดว่าวันนี้กลับถูกคนอื่นรังแก


“พวกเจ้ารู้ซึ้งถึงรสชาติของความอึดอัดและคับแค้นนี้หรือยัง เป็นอย่างไร เหลือทนยิ่งนักกระมัง” นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ


ประโยคนี้ทำให้ศิษย์อาจารย์ตรงนั้นต่างเกิดความซาบซึ้งใจ รู้ว่าหลินสวินกำลังช่วยพวกเขาทำการโต้กลับและลบล้างความอัปยศ


ก่อนหน้านี้มู่ชิงซึ่งเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้เท่านั้น วางอำนาจบาตรใหญ่กลั่นแกล้งประหนึ่งสำนักศึกษามฤคมรกตไร้ผู้คน ดูถูกและเย้ยหยันถึงขีดสุด ทำให้พวกเขาได้รับความอดสูและโกรธแค้นเท่าทวี


บัดนี้หลินสวินแค่นำมันกลับคืนไปเท่านั้น!


“สหาย ทำอะไรแต่พอเหมาะพอควร อย่าได้คิดว่าพวกเราผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จะกลัวเจ้าจริงๆ” หนานกงหั่วสีหน้าเย็นเยือก


“งั้นก็สู้!”


หลินสวินกล่าวไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เมื่อครู่เจ้าหมายรับข้าเป็นบ่าวรับใช้ หากขี้ขลาดเช่นนี้คงทำให้ผู้คนดูถูก”


“พวกเราไว้หน้าเจ้าพอแล้ว เจ้ายังจะเซ้าซี้ต่อไปรึ” แววตาหนานกงหั่วฉายแววเยียบเย็น ถูกคำพูดของหลินสวินบีบจนโกรธเข้าจริงๆ ทั่วร่างมีเค้าลางจวนเจียนจะระเบิด


“ทำไมจะไม่ได้”


ขณะหลินสวินเอ่ยวาจาก็บุกเข้าจู่โจมทันที เขาใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ร่างกายวูบไหวแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนหอสูงที่อยู่ห่างออกไป ดูกร้าวแกร่งตรงไปตรงมาถึงที่สุด


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อะไร ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับบุตรเทพชั้นแนวหน้าของส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ เทียบกับพวกบุตรเทพชั้นยอดอย่างหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงแล้ว ยังค่อนด้อยกว่าเสี้ยวหนึ่ง


บุคคลคนระดับนี้ไม่รู้ว่าตอนนั้นหลินสวินสังหารไปเท่าไหร่


ถึงขั้นแม้แต่ศิษย์สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณกงหยางอวี่ ยังถูกหลินสวินสังหารอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไยต้องหวาดกลัวพวกหนานกงหั่วด้วย


วันนี้หากปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้ จะกลับกลายเป็นว่าเขาหลินสวินไร้น้ำยายิ่งนัก!


ตอนที่ 679 เล่นสนุก

โดย

ProjectZyphon

อาจารย์และศิษย์ทั้งหมดตรงนั้นดวงตาจะถลนออกมาอยู่แล้ว อ้าปากค้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า


พวกเขาต่างคิดไม่ถึง ภายใต้สถานการณ์ที่หนานกงหั่วยอมถอยอย่างเปิดเผย หลินสวินถึงกับทำเหมือนมองไม่เห็น ซ้ำยังบุกจู่โจมด้วยตนเอง!


ทว่าลองคิดดูอย่างถี่ถ้วน พวกเขารู้สึกสะใจเป็นพิเศษ


ผู้สืบทอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จากดินแดนรกร้างโบราณพวกนี้ ก่อนหน้ากำเริบเสิบสานนัก รังแกผู้อื่นเกิรนไป เยาะเย้ยและสบประมาทพวกเขาสำนักศึกษามฤคมรกตถึงที่สุด


บัดนี้สมควรให้อีกฝ่ายลองลิ้มรสชาติความทรมานเช่นนี้บ้าง!


“เฮ้อ หวังว่าอย่าก่อเรื่องใหญ่ไปแล้วกัน…”


ขณะนี้กลับเป็นเสิ่นทั่วที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บ้าง เขากังวลว่าเรื่องราวจะใหญ่โตไม่อาจสงบ ถึงอย่างไรต่อให้ฝ่ายตรงข้ามกำเริบแค่ไหน ก็ยังเป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ฐานะไม่เหมือนกัน


แต่เสิ่นทั่วก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยของหลินสวิน เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่


ดังนั้นเสิ่นทั่วจึงกลัดกลุ้มนัก


ตูม!


บนหอสูงที่อยู่ห่างไกลการต่อสู้ได้ปะทุขึ้น แสงประกายสาดส่องแรงกล้า พลุ่งพล่านไปทั่ว เสียงคำรามอย่างตระหนกและโมโหดังตามหลังเป็นพักๆ


ภายใต้สายตาที่จับจ้องอย่างตกตะลึงของศิษย์อาจารย์ทั้งหมด ก็เห็นว่าหลินสวินในเวลานี้ประดุจพยัคฆ์เข้าฝูงแกะ เงาร่างห้อทะยานอยู่หอสูงนั่น ไร้ผู้ใดเทียบเทียม


ปึง!


แค่เพียงพริบตา ชายหนุ่มนามว่าหรั่นเฉินก็ร้องอนาถ ถูกหลินสวินเตะกระเด็น ร่วงคะมำลงไปกลางลานแสดงยุทธ์ดังตึง ทั่วร่างกระตุก ถึงกับลุกไม่ขึ้น


ที่น่าตกตะลึงที่สุดคือ ก้นเขาราวถูกเตะจนเป็นลายพร้อยเช่นเดียวกัน โลหิตแดงสดไหลโกรก เจ็บจนเขาครวญครางแยกเขี้ยวยิงฟันไม่หยุด


ปึง!


ไม่นานนักหญิงสาวกระโปรงแดงนางหนึ่งก็ถูกเตะกระเด็น ร่วงลงในลานแสดงยุทธ์เช่นกัน ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนใบหน้างดงามน่ามองบิดเบี้ยวน่าเกลียด


ก่อนหน้านี้นางดึงดูดผู้คนยิ่งนัก ผิวขาวหน้าสวย บุคลิกสุกสกาวราวจันทร์กระจ่าง ประดุจเซียนจากสรวงสวรรค์ ให้ความรู้สึกหยิ่งทะนงสูงส่งจนไม่อาจเอื้อมอย่างหนึ่ง


แต่ตอนนี้นางเองก้นแตกลาย หกคะเมนหน้าทิ่มพื้นอย่างน่าอนาถ เห็นชัดว่าหลินสวินไม่ได้ปฏิบัติต่อนางอย่างแตกต่างเพียงเพราะเป็นสตรี


หญิงสาวกระโปรงแดงกำลังกรีดร้อง คับแค้นอับอายแทบบ้าคลั่ง ในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ นางเสมือนจันทร์กระจ่างซึ่งถูกหมู่ดาวล้อมพิทักษ์


แต่บัดนี้กลับโดนเด็กหนุ่มคนหนึ่งเตะกระเด็นอย่างหยาบคาย ทั้งยังถูกเตะใส่ก้น นี่… แทบจะทำให้นางกลายเป็นบ้า คิดอยากตายขึ้นมา


“นี่… นี่ถือว่าทำลายบุปผางามหรือเปล่า”


ศิษย์ชายส่วนหนึ่งไม่อาจฝืนดูต่อไปอยู่บ้าง


ทันใดนั้นศิษย์หญิงที่อยู่ใกล้เคียงก็ไม่พอใจ กล่าวถกเถียง “เหลวไหล! นางนั่นนับเป็นตัวอะไร สมควรให้พวกเจ้าเห็นใจรึ ข้าว่าพวกเจ้านี่ช่างไม่รู้จักดีชั่ว ต้องอย่างอาจารย์เสี่ยวหลินสิจึงจะเรียกว่ามีคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ ถึงใจคนยิ่งนัก!”


ศิษย์ชายเหล่านั้นหุบปากโดยพลัน เงียบกริบดังจักจั่นในเดือนหนาว


แม้แต่พวกผู้หญิงยังพูดแทนหลินสวิน เวลานี้ใครกล้าแย้งอีก คงต้องกลายเป็นศัตรูร่วมกันของศิษย์หญิงทั้งสำนักศึกษามฤคมรกต


อาจารย์ส่วนหนึ่งเดิมทีก็ไม่อาจทนดูได้ หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จึงเลือกทำเหมือนมองไม่เห็น เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างชาญฉลาดยิ่งนัก


ปึง!


ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อีกคนถูกเตะกระเด็น ร้องโอดโอยกลิ้งร่วงลงมาในลานประลอง


ภาพต่างๆ นี้ประดุจฟ้าร้องกัมปนาทอย่างแท้จริง แต่ละคราต่างทำให้ศิษย์อาจารย์ตรงนั้นสัมผัสได้ถึงแรงปะทะอย่างไม่เคยมีมาก่อน


ถึงอย่างไรนั่นก็คือผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เชียวนะ!


แต่ละคนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดแห่งยุคในระดับหยั่งสัจจะ แต่กลับประหนึ่งตุ๊กตาเรียงรายในมือ ถูกเหยียบย่ำอย่างหนักหน่วง


นี่ล้มล้างการรับรู้ของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่เพราะคิดว่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พวกนั้นอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะตระหนักได้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ!


ข่าวลือของโลกภายนอกที่เกี่ยวกับหลินสวินอึกทึกครึกโครมมากมายหลายหลาก แต่ท้ายที่สุดนั่นก็คือข่าวลือ ไม่น่าสั่นสะท้านเท่าเห็นกับตาตนเองเหมือนตอนนี้อย่างสิ้นเชิง


“ที่เจ้าสำนักพูดทั้งหมดน่าจะไม่ผิด หลินสวินเขา… จะต้องย่างเหยียบลงบนมกุฎมรรคาที่แกร่งที่สุดนับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันอย่างแน่นอน!”


อาจารย์มากประสบการณ์ยิ่งผู้หนึ่งทอดถอนใจ


หลายวันก่อน เมื่อข่าวเกี่ยวกับหลินสวินสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนแพร่สะพัด เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตก็ถูกทำให้ตระหนกเช่นกัน เพียงวิจารณ์ออกมาประโยคเดียว…


‘เด็กคนนี้ก้าวเหนือคนรุ่นเดียวกันแล้ว เหยียบย่างลงบนมกุฎ ประดุจราชันในระดับหยั่งสัจจะ เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกร!’


บัดนี้เห็นเหตุการณ์นี้กับตา อาจารย์เหล่านั้นท้ายที่สุดจึงได้ตระหนัก ว่าอะไรที่เรียกว่าหนทางแห่งมกุฎ และอะไรที่เรียกว่าราชันแห่งระดับขอบเขต!


ไม่ว่าพรสวรรค์เจ้าโดดเด่นมากแค่ไหน ครอบครองวิชาลับชวนตระหนกมากเท่าไร ที่มาไม่ธรรมดามากเพียงใด แต่ต่อหน้าราชันก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีค่า!


“นี่เขากำลังเล่นสนุกกับเจ้าพวกนั้นหรือเปล่า” มีอาจารย์สีหน้าพิกล


ตั้งแต่หลินสวินลงมือจนถึงตอนนี้ กลางลานแสดงยุทธ์มีผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นอนคว่ำอยู่ห้าคนแล้ว แต่ละคนต่างถูกเท้าเตะกระเด็นก้นแตก


หากนี่ไม่ใช่การเล่นสนุกแล้วจะเป็นอะไร


แต่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างไรเสียการเตะใส่ก้นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ทั้งทำเช่นนี้ได้หลายต่อหลายครั้ง เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก


แต่หลินสวินดันทำได้อย่างง่ายดายซะอย่างนั้น นี่กลับเป็นการสะท้อนให้เห็นจากอีกด้านหนึ่งว่า ศักยภาพของหลินสวินในปัจจุบันน่าหวาดกลัวระดับใด!


“นี่เจ้าคิดผูกอาฆาตกับพวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์จริงรึ”


บนหอสูง หนานกงหั่วสีหน้าเยียบเย็นอึมครึม บัดนี้ที่นี่เหลือแค่เขาคนเดียว ขณะเผชิญหน้าหลินสวิน นอกจากความโกรธแล้ว ในใจยังมีความหวาดหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วย


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคพวกข้างกายเขาแต่ละคนต่างถูกเตะจนก้นแตก นอนคว่ำหน้าลงบนพื้นด้วยท่าทางเกินทน


นี่ทำให้หนานกงหั่วสั่นกลัว เกรงแต่ว่าหากตนต้องพบกับเรื่องเช่นนี้ นั่นคงยากจะรับได้ยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตาย


“ขู่หรือ”


หลินสวินก้าวออกมาหนึ่งก้าว


ก้าวนี้สบายอารมณ์ยิ่งนัก แต่กลับเห็นหนานกงหั่วเกร็งขาทั้งสองแน่น สองมือปกป้องสะโพกโดยสัญชาตญาณ


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพลันหัวเราะเกรียวกราวทันที


เจ้าหมอนี่ก่อนหน้านี้ทั่วร่างทองอร่ามประหนึ่งสุริยันเจิดจรัส โอหังและหยิ่งทะนงระดับใด แต่บัดนี้กลับถูกขู่จนขาทั้งสองหดเกร็ง สองมือป้องสะโพก นี่ช่างตลกผิดแผกกันเกินไปแล้ว


หลินสวินเองก็หัวเราะ หัวเราะจนออกรสออกชาติ


หนานกงหั่วสังเกตเห็นว่าเสียกิริยา วงหน้าหล่อเหลาแดงก่ำหาใดเปรียบ โกรธจนกัดฟันกรอด


เขาฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยรู้ซึ้งถึงความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน!


“เจ้า… เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”


หนานกงหั่วโกรธถึงขีดสุด สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ เปล่งเสียงคำรามหมายสู้ตายกับหลินสวิน


“ขาดเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว”


ที่หลินสวินรอคือเวลานี้ เขาลงมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยเช่นเดียวกัน


“หยุด!”


แต่เวลานี้เอง เสียงตะโกนกร้าวเปี่ยมความน่าเกรงขามดังก้องขึ้น ที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือเงาร่างซึ่งวูบไหวเข้ามาจากนอกลานแสดงยุทธ์


นั่นคือผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงคนหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏตัวก็ถูกอาจารย์มากมายจดจำได้ นี่คือคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


สิ่งนี่ทำให้ผู้คนมากมายต่างหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักว่าเหตุการณ์บานปลายอยู่บ้างแล้ว แม้แต่คนใหญ่คนโตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังถูกทำให้ตกใจ หมายขัดขวางเรื่องทั้งหมดนี้


แต่ขณะนี้หนานกงหั่วซึ่งเพลิงโทสะสุมหัวกลับลอบเป่าปากโล่งอก รับรู้ว่าในที่สุดตนก็ได้รับความช่วยเหลือแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้สุดชีวิตกับเจ้าคนเยี่ยงสัตว์ประหลาดตรงหน้านั่นอีก และไม่ต้องพบเจอความอัปยศแห่งการ ‘ก้นแตกออกลาย’…


ปึง!


แต่ที่ทำให้หนานกงหั่วดวงตาแทบถลน ขวัญหนีดีฝ่อคือ หลินสวินถึงกับไม่สนใจใยดี ยังคงบุกจู่โจมตามเดิม พริบตานั้นเองหนานกงหั่วพลันรู้สึกเจ็บก้น ร่างกายลอยละลิ่วไปอย่างควบคุมไม่อยู่…


“บ้าเอ๊ย!”


สิ่งที่ไม่อยากยอมรับที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว นี่ทำให้หนานกงหั่วโกรธจนเบื้องหน้ามืดสนิท ในใจพังทลาย ตัวยังไม่ร่วงคะมำลงกับพื้นก็เป็นลมหมดสติไปแล้ว


“เจ้าหนู เจ้ารนหาที่ตาย…!”


ผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงนั่นมาถึงแล้ว เห็นภาพนี้เข้าสีหน้าพลันอึมครึมหาใดเปรียบ เงาร่างไม่หยุดนิ่ง มุ่งตรงไปโจมตีหลินสวินโดยพลัน


เขาอานุภาพน่ากลัว ประดุจมังกรแห่งสรวงสวรรค์ มีพลานุภาพล้นฟ้า ฝ่ามือหนึ่งซัดออกไป ปรากฏท่วงทำนองมรรคแห่งรอยสลักลับพันหมื่นสาย หมายปกคลุมหลินสวิน!


พริบตาเดียวนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตื่นตระหนกหวั่นกลัว อาจารย์และศิษย์ทั้งหมดหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียง


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีใครคิดว่าหลินสวินจะถึงกับไม่สนสิ่งใด ลงมือกับหนานกงหั่ว


และเช่นเดียวกัน ไม่มีใครคิดว่าคนใหญ่คนโตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้นั้นถึงกับตัดสินใจเด็ดขาด ทันทีที่มาถึงก็ลงมือกับหลินสวินโดยตรง!


คิดอยากขัดขวางก็ไม่ทันการแล้ว


ตูม!


กลับเห็นบนหอสูง หลินสวินนัยรน์ตาหดรัด รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน


ทว่าเขาเยือกเย็นไม่หวั่นเกรง


ถ้ำสวรรค์ในร่างพริบตานี้โคจรเต็มกำลังเสียงกึกก้อง แสงศักดิ์สิทธิ์เอ่อท้น พลังทั่วร่างถูกเค้นออกมาถึงขีดสุด ทำให้ทั่วสรรพางค์กายแวววาวเปล่งประกาย แสงสีเขียวอ่อนไหลบ่าออกมาดุจภาพมายา


พลานุภาพประหนึ่งพญามังกรที่จำศีลเนิ่นนานในหุบเหวลึก ทะยานตัวขึ้นเหนือเมฆา!


ตูม!


รอยฝ่ามือเรียบง่ายหนึ่งเกาะกลุ่มรวมตัวออกจากฝ่ามือหลินสวิน ประดุจแกะสลักจากหยกเขียวไร้ตำหนิ มีอานุภาพอาจหาญน่าเกรงขาม กว้างใหญ่สูงตระหง่าน


ประทับปี้อั้น!


เวลาต่อมาเสียงปะทะสนั่นหวั่นไหวดับโสตประสาทดังก้องขึ้น สั่นสะท้านไปทั้งลานแสดงยุทธ์ทุกกระเบียดนิ้ว แรงสะเทือนน่าหวาดหวั่นกวาดล้าง ทำให้พื้นปริร้าวแตกเป็นสายๆ


สิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงเวลานี้ล้วนพังทลาย เศษหินดินทรายแผ่กระจายฝุ่นตลบ


ศิษย์ซึ่งพลังค่อนข้างด้อยถูกสะเทือนจนหน้าซีดเผือดแทบกระอักเลือด เคราะห์ดีที่อาจารย์ส่วนหนึ่งปกป้องไว้ทัน มิฉะนั้นเกรงว่าคงถูกสะเทือนสาหัสกว่านี้


อานุภาพแห่งการโจมตีเดียว น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!


ท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวล ก็เห็นเงาร่างหลินสวินไหวเอน ถอยหลังอย่างควบคุมไม่อยู่ไปสองสามก้าว แต่ละก้าวที่ย่ำลงสั่นสะเทือนพื้นดินครั้งหนึ่ง เกิดคลื่นเสียงดังสนั่นแตกระแหง


พอถอยร่นสามก้าว พื้นดินแตกระแหงเผยรอยร้าวถี่ละเอียดนับไม่ถ้วนดั่งใยแมงมุม แผ่ขยายออกทั่วจตุรทิศ


แต่หลินสวินในขณะนี้สีหน้าแค่เผือดขาวเล็กน้อย กลางนัยน์ตาดำคือจิตต่อสู้ที่เดือดคลั่งดุจหินหนืด ดูไปแล้วมิเพียงไม่ได้รับบาดเจ็บ พละกำลังและปณิธานแห่งการต่อสู้กลับยิ่งเดือดพล่านและแข็งแกร่งกว่าเดิม


เมื่อหันดูอีกฝั่ง ผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงนั่นร่างกายซวนเซเล็กน้อย แต่ไม่ก้าวถอยหลัง เห็นชัดว่าในการจู่โจมนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ


เพียงแต่สีหน้าเขากลับเขียวคล้ำและอึมครึมอย่างชัดเจน ถึงขั้นเจือความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง เห็นชัดว่าเขาคิดไม่ถึง ว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งถึงกับสามารถสกัดการโจมตีแฝงโทสะของเขาได้!


ส่วนศิษย์อาจารย์ทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างนิ่งอึ้งไปหมดแล้ว


ผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงนี้เป็นถึงคนใหญ่คนโตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แต่หลินสวินกลับสามารถสกัดการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างคาดไม่ถึง…


นี่น่าตระหนกเกินไปแล้ว!


หากเผยแพร่ออกไป เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเชื่อ


“มิน่าถึงกล้าอาละวาดเช่นนี้ ที่แท้ก็มีดี เช่นนั้นลองรับฝ่ามือของข้าอีกครั้งสิ!”


ผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงสีหน้าอึมครึม นัยน์ตาพรั่งพรูแววเย็นเยียบ ขณะพูดเงาร่างเขาก็วาบไหว พุ่งออกไปอีกครา


ถูกเด็กคนหนึ่งสกัดการจู่โจมได้ ทำให้เขารับไม่ได้อยู่บ้าง ยามลงมือครานี้พลานุภาพจึงต่างจากเมื่อครู่อย่างสมบูรณ์!


ตอนที่ 680 ผู้ก่อกวน

โดย

ProjectZyphon

นี่คือบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง!


หลินสวินคาดเดาในใจ เขาเคยสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนอย่างพวกฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งมาก่อน ค่อนข้างเข้าใจพลังของระดับนี้อยู่ก่อนแล้ว


ดังนั้นในการโจมตีเมื่อครู่ หลินสวินจึงรับรู้ว่าผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงคนนั้นไม่ธรรมดา เป็นยอดคนในระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง


นี่กลับไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ที่ชวนประหวั่นคือพลังบนตัวผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงพร้อมพรั่งและสมบูรณ์ หาใช่คนที่พวกฉินเสวียนตู้สามารถเทียบเทียมได้


นี่ก็คือผลกระทบที่เกิดจาก ‘มรรคบกพร่อง’


พวกฉินเสวียนตู้บรรลุระดับกระบวนแปรจุติในโลกชั้นล่าง อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าสามารถเหยียดหยันหยิ่งทระนง ทว่าในสายตาของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง มรรคาของพวกเขาเห็นชัดว่าบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว เทียบกับผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติซึ่งมีมรรคาสมบูรณ์อย่างแท้จริง เห็นชัดว่าด้อยกว่าอยู่บ้าง


ก่อนหน้านี้หลินสวินยังไม่เข้าใจจุดนี้ แต่เพราะผ่านประสบการณ์นานัปการที่ส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ ทำให้เขาซ่อมเสริมมหามรรคแห่งตนและก้าวเข้าสู่มกุฎมรรคา ถึงได้ตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ว่าภายใต้สถานการณ์ที่มหามรรคบกพร่อง สามารถสร้างผลกระทบต่อผู้ฝึกปราณได้มากเพียงใด


ไม่แปลกที่บรรดาชนรุ่นเยาว์ที่ขอเพียงเป็นผู้กล้าซึ่งต้องการแสวงหามรรคา ล้วนต้องจากไป มุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณ


ที่พวกเขาแสวงหาคือหนทางอันสมบูรณ์ซึ่งต่างจากโลกชั้นล่าง!


จุดนี้คือสิ่งสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย


และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงทรงพลัง ไม่ใช่เพียงระดับขอบเขตที่พวกฉินเสวียนตู้อยู่



ตูม!


หลินสวินไม่ทันคิดมากความ ผู้อาวุโสผมเทาชุดม่วงก็เปิดฉากการโจมตีครั้งที่สองอย่างทรงพลานุภาพยิ่งกว่าเดิม


“ข้ากลับอยากลองดูว่าเจ้าสามารถบีบขีดจำกัดพลังของข้าออกมาได้หรือไม่!”


หลินสวินสูดหายใจลึก ความเร้นลับแห่งวิชาอริยะยุทธ์โคจรและแผ่ออกมาจากในใจ ทำให้พริบตานั้นจิตต่อสู้ของเขาประหนึ่งลุกโหม


ตั้งแต่จากทะเลกลืนวิญญาณและหวนคืนนครต้องห้ามจนถึงตอนนี้ หลินสวินยังไม่เคยพบเจอคู่ต่อสู้ที่พอจะประลองสักคน ตอนนี้ผู้อาวุโสชุดคลุมม่วงปรากฏตัว ทำให้เขาไม่เพียงไม่หวาดกลัว กลับยิ่งเฝ้ารออยู่บ้าง


เพียงแต่ไม่รอให้ทั้งสองต่อสู้อีกครา เงาร่างหนึ่งพลันมาถึงกลางลาน ขวางหน้าผู้อาวุโสชุดคลุมม่วงนั่น


“เสวียนสิง พวกเรามาเป็นแขก หาใช่มาต่อยตีสังหารไม่ เจ้าถอยไปเสียเถอะ”


นี่คือชายหนุ่มที่ดูเยาว์วัยยิ่งผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมยาวเขียวเข้ม นัยน์ตาสะอาดบริสุทธิ์ดุจเด็กทารก หางตากลับเกิดรอยตีนกาเล็กน้อย เพิ่มกลิ่นอายเปี่ยมประสบการณ์ให้เขาส่วนหนึ่ง


ชายหนุ่มสองมือไพล่หลังท่าทางนิ่งสงบสบายๆ แต่กลับมีความเกรงขามยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกว่าตัวเล็กจ้อยเงยมองภูเขาสูง


ไม่ว่าใครล้วนไม่สังเกตเห็นว่าเขาปรากฏตัวอย่างไร แต่พริบตาที่ปรากฏกายก็กลายเป็นศูนย์รวมสายตาของทุกคน!


รวมถึงหลินสวินที่ยามนี้นัยน์ตาพลันหดรัดตัว จิตใจเกิดแรงกดดันอย่างหนักหน่วง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่ง!


ทั่วทั้งลานเงียบสนิทไร้เสียง มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้น เอวตั้งหลังตรงดั่งยอดคีรี ประหนึ่งสามารถค้ำฟ้าดิน สูงใหญ่และไม่อาจสั่นคลอน


ผู้อาวุโสชุดคลุมม่วงที่ถูกเรียกว่า ‘เสวียนสิง’ เวลานี้สีหน้าแปรเปลี่ยน อยากจะพูดแต่ก็หยุดปากไว้หลายครา ในที่สุดจึงเงียบแล้วถอยไปอีกฝั่ง


เหตุการณ์นี้ขับเน้นให้ที่มาของชายหนุ่มคนนั้นไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม


เขาก็คือผู้อาวุโสเยวี่ยซิวแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งที่กิตติศัพท์โด่งดังแม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณ!


“พาพวกเขาออกไปจากที่นี่ก่อน” เยวี่ยซิวกล่าวกำชับลอยๆ


เสวียนสิงลังเลอยู่บ้าง ในใจเขายังคงขุ่นข้องและกรุ่นโกรธ กล่าวว่า “ผู้อาวุโส เมื่อครู่…”


“ทุกอย่างเมื่อครู่ข้าล้วนเห็นหมดแล้ว ฝีมือสู้เขาไม่ได้ยังยั่วยุ ได้รับบทเรียนบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร หรือผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของเราแพ้ไม่เป็น?”


น้ำเสียงเยวี่ยซิวราบเรียบ แต่กลับทำให้เสวียนสิงหน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดกลัว เขาไม่กล้าลังเลอีก พาพวกหนานกงหั่วรีบเร่งจากไป


ฮู่ว…


อาจารย์และศิษย์ทั้งหมดตรงนั้นเห็นดังนี้จึงแอบเป่าปากโล่งอก สายตาที่มองไปยังเยวี่ยซิวยิ่งเพิ่มความนับถือชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง


ความสง่างามและห้าวหาญเช่นนี้ อาจเป็นบุคลิกแท้จริงที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พึงมีกระมัง


“หลินสวิน ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้ามา แม้แต่เจ้าสำนักของพวกเจ้าก็ยังชื่นชมเจ้า”


เยวี่ยซิวอมยิ้มพลางมองมายังหลินสวิน “แต่เมื่อเห็นภาพต่างๆ เมื่อครู่ทำให้ข้ายิ่งมั่นใจ เจ้าไม่ธรรมดาดังที่เล่าลือจริงๆ เป็นอย่างไร สนใจไปฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หรือไม่”


ทั่วทั้งลานแตกตื่นทันใด แต่ละคนทั้งตื่นตะลึงทั้งฮึกเหิม


ใครเล่าจะคาดคิด หลินสวินเพิ่งจะถล่มพวกผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปยกหนึ่ง แต่บัดนี้บุคคลเบื้องสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถึงกับไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ กลับเชื้อเชิญหลินสวินไปฝึกปราณยังแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วยตนเอง


ช่างเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!


แม้แต่หลินสวินยังอึ้งงันไปเล็กน้อย


“เจ้าวางใจได้ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะไม่กระทบต่อการบำเพ็ญเพียรในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของเจ้าเด็ดขาด อีกทั้งด้วยศักยภาพและพลังแฝงที่เจ้ามี ข้าเชื่อว่ามีเพียงการฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เท่านั้น พวกมันจึงจะไม่ถูกฝังกลบไป”


แววชื่นชมบนสีหน้าเยวี่ยซิวไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย จริงใจเป็นอย่างยิ่ง


แม้รูปลักษณ์เขาดูเยาว์วัย แต่ตัวเขาเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับสังสารวัฏ ถึงกับชักชวนชนรุ่นหลังคนหนึ่งด้วยตนเองเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนเกินคาดหมายจริงๆ


ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นต่างตื่นเต้นยิ่ง แต่ก็รู้สึกทอดถอนใจด้วย บางทีอาจมีเพียงคนเช่นอาจารย์เสี่ยวหลิน จึงจะสามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งต้อนรับเช่นนี้ได้


หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เมื่อพบการเชื้อเชิญเช่นนี้ เกรงว่าคงตอบรับอย่างไม่ต้องคิดนานแล้ว


ถึงอย่างไรนี่ก็คือศุภโชคที่ยากจะได้มา หากสามารถจากโลกชั้นล่างเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เพื่อบำเพ็ญเพียร ก็แทบไม่ต่างอะไรกับก้าวเดียวทะยานฟ้า!


แต่หลินสวินกลับกำลังใคร่ครวญ


หาใช่ว่าเขาไม่ไหวหวั่น ในแผนการของเขา เดิมคิดว่าหลังตระเตรียมเรื่องราวทุกอย่างก็จะมุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณ


ที่เขาลังเล เป็นเพราะตอนนี้มีเรื่องราวมากมายยังไม่ได้จัดการ จึงไม่อาจตกปากรับคำได้ชั่วขณะ


เยวี่ยซิวมองหลินสวินเงียบๆ โดยไม่มีเศษเสี้ยวความไม่พอใจอันใด เขาชื่นชมหลินสวินยิ่งนัก ถึงขั้นเมื่อเห็นหลินสวินกับตาตนเอง ในใจก็ยินดีอย่างเกินคาดหมายอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนเจอเพชรเม็ดงามเข้าแล้ว


ด้วยสายตาของเขาสามารถมองออกเป็นธรรมดา หลินสวินจะต้องก้าวเข้าสู่มกุฎมรรคาแล้วเป็นแน่! อัจฉริยะไร้เทียมทานเช่นนี้ แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณก็ถือว่าเป็นกล้าพันธุ์ดีที่สำนักใหญ่ๆ ยื้อแย่งช่วงชิง


และหลินสวินซึ่งอาศัยอยู่ในโลกชั้นล่างที่มหามรรคบกพร่องนี้ สามารถก้าวเข้าสู่มกุฎมรรคาได้ แค่คิดก็รู้ว่าพลังแฝงและพรสวรรค์ของเขาน่าอัศจรรย์ระดับใด


อัจฉริยะระดับนี้ ควรค่าที่เขาจะให้ความสำคัญ!


เพียงแต่ยังไม่รอให้หลินสวินใคร่ครวญชัดแจ้ง เสียงฉะฉานหนึ่งก็ดังขึ้นกะทันหัน…


“ผู้อาวุโส มีบางเรื่องที่ท่านอาจยังไม่เข้าใจ หากเข้าใจแล้วจะต้องไม่ด่วนทำการตัดสินใจเช่นนี้แน่”


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างคิ้วขมวด ใครช่างใจกล้านัก ถึงกับเปล่งเสียงออกมาเวลานี้


ซ้ำยังเห็นชัดว่าหมายขัดขวางการเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของหลินสวิน!


สายตาทุกคนหันมองไปอย่างพร้อมเพรียง ก็เห็นชายหนุ่มในชุดคลุมมังกรสี่เล็บ ศีรษะสวมเกี้ยวม่วงอำพัน รูปร่างงามสง่า หล่อเหลาโดดเด่นผู้หนึ่งย่างก้าวออกมา


“องค์ชายเก้า!”


มีคนร้องเสียงหลง ทำให้ทุกคนตรงนั้นงงงันชั่วขณะ รับรู้ถึงฐานะผู้มาเยือน


องค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจิน!


โอรสของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ฐานะสูงส่งเกินบรรยาย ในจักรวรรดิจื่อเย่า ไม่ว่าใครเห็นต่างไม่อาจไม่เคารพสามส่วน


แต่ว่าทำไมเขาถึงมาล่ะ ทั้งเหตุใดต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้


อาจารย์และศิษย์ตรงนั้นต่างเกิดความรู้สึกว่าไม่เข้าทีเสี้ยวหนึ่ง สังเกตเห็นว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันขององค์ชายเก้า ดูเหมือนจะไม่เป็นผลดีต่อหลินสวิน


หลินสวินมุ่นคิ้วเล็กน้อย เข้าใจฐานะของจ้าวจิ่งเจินจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เพียงแต่เขากลับแคลงใจยิ่งนัก เขาไม่เคยพบคนคนนี้มาก่อน แม้แต่รู้จักยังไม่รู้จัก แปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง แล้วเหตุใดเจ้าหมอนี่กลับปรากฏตัวเวลานี้


“หมายความว่าอย่างไร” เยวี่ยซิวเองก็ขมวดคิ้ว สายตาฉายแววไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง


ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทั้งมาจากดินแดนรกร้างโบราณ อีกทั้งตนเองยังเป็นถึงราชันระดับสังสารวัฏ แน่นอนว่าไม่มีทางหวาดกลัวและใส่ใจฐานะองค์ชายน้อยคนหนึ่ง


กลับเห็นจ้าวจิ่งเจินพลันคำนับไปทางเยวี่ยซิวอย่างเคารพนบนอบ แล้วค่อยกล่าวว่า “ผู้อาวุโสอย่าได้คิดมาก ผู้น้อยมาครานี้หาใช่เจตนาทำลายเรื่องดีของผู้อาวุโสไม่ เพียงแต่คิดบอกกล่าวความจริงบางส่วนแก่ผู้อาวุโส”


ความจริง?


ทุกคนต่างสงสัย


หลินสวินกลับขมวดคิ้วมุ่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมากความ เขาอยากดูว่าองค์ชายเก้าคนนี้คิดแสดงปาหี่อะไรกันแน่


“ว่ามาเถอะ”


เยวี่ยซิวสะกดข่มความไม่พอใจภายในใจ


จ้าวจิ่งเจินยิ้มเล็กน้อย สีหน้าไม่สะทกสะท้านก่อนเอ่ยปากเสียงดัง “ผู้อาวุโสอาจไม่ทราบ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เคยมีผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณคนหนึ่งตายในเงื้อมมือหลินสวิน ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงถูกมองเป็นศัตรูของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ต้องจับเขาไปสังหารไถ่บาป”


เฮือก!


อาจารย์และศิษย์ทั้งหมดต่างสูดหายใจเฮือก พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหลินสวินเคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน นี่ช่างน่าตระหนกเกินไปแล้ว ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณผูกพยาบาท คิดแล้วช่างทำให้ผู้คนขนพองสยองเกล้านัก


หลินสวินหรี่ตาลงอย่างยากสังเกต แววตาที่มองไปยังจ้าวจิ่งเจินเย็นเยียบอยู่บ้าง เรื่องที่เขาฆ่ากงหยางอวี่เกิดขึ้นในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ เจ้าหมอนี่รู้ได้อย่างไร


นอกเสียจากว่า… ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณบอกเขาด้วยตัวเอง!


แต่เรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้ ปกติแล้วใครเล่าจะบอกด้วยตนเอง


แต่จ้าวจิ่งเจินกลับรู้อย่างประจักษ์ชัดแจ้งยิ่ง เห็นชัดว่าระหว่างเขาและแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณน่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่าง!


“เรื่องนี้เป็นความจริงรึ”


เยวี่ยซิวเองก็คาดไม่ถึงอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะถามหลินสวิน


หลินสวินผงกศีรษะยอมรับอย่างใจเย็นยิ่ง เรื่องนี้ไม่อาจปกปิด ต่อให้เขาไม่ยอมรับ จ้าวจิ่งเจินนั่นคงจะนำหลักฐานบางอย่างมาพิสูจน์แน่!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง จากมุมมองหลินสวิน จ้าวจิ่งเจินคนนี้ ในเมื่อหมายเปิดเผยเรื่องนี้จะต้องเตรียมตัวมาก่อนแน่


เยวี่ยซิวเงียบงันไปครู่หนึ่ง


ศิษย์อาจารย์ทั้งหมดตรงนั้นกลับตกอกตกใจอยู่บ้าง พวกเขาสัมผัสได้ว่าองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินมาเพื่อขัดขวางเรื่องดีของหลินสวิน หมายทำลายโอกาสเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของเขา!


“ผู้อาวุโส ข้าเข้าใจมาตลอดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์และแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล้วนเป็นสองสำนักใหญ่แห่งดินแดนรกร้างโบราณ มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเสมอมา เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หากท่านรับหลินสวิน เช่นนั้น… แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจะรู้สึกเช่นไร”


จ้าวจิ่งเจินยังคงสีหน้าสำรวม พูดจาฉะฉาน ไม่ต้อยต่ำแต่ก็ไม่สูงส่ง ดูสุขุมยิ่งนัก ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มองหลินสวินแม้แต่คราเดียว


แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้คนหนาวเหน็บในใจ ผู้มาคิดไม่ดี ถ้าคิดดีคงไม่มา เช่นนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่จ้าวจิ่งเจินถึงมุ่งเป้าไปที่หลินสวินเช่นนี้


หลินสวินเองก็แปลกใจยิ่ง ความสัมพันธ์ของเขาและจ้าวจิ่งเซวียนไม่เลวนัก ปฏิสัมพันธ์กับจ้าวไท่ไหลก็ไม่แย่ ถึงขั้นแม้แต่จักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันต่างเคยแอบดูแลเขา


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ องค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินคนนี้กลับกระโดดออกมามุ่งเป้าต่อต้านตน นี่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงอยู่บ้าง


“เรื่องระหว่างพวกเราสองสำนัก มีหรือจะเป็นสิ่งที่เจ้าเข้าใจ หากแค่เพียงสิ่งเหล่านี้ก็คิดเปลี่ยนท่าทีข้า ไม่น่าขันเกินไปหน่อยรึ”


เยวี่ยซิวแค่นเสียง สายตาที่มองจ้าวจิ่งเจินเย็นชาและขับไล่อยู่บ้าง


กลับเห็นจ้าวจิ่งเจินไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ท่าทีเคารพนบนอบยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ผู้อาวุโสอย่าได้เร่งร้อน แน่นอนว่าความจริงหาได้มีเพียงเท่านี้”


คำพูดนี้หมายความว่าอะไร


หรือบนตัวหลินสวินยังมีเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่าการฆ่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ?


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นในใจพลันตระหนก ประหลาดใจสงสัยไม่หยุด


ตอนที่ 681 ภายในมีความลึกลับซ่อนอยู่

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินมองอย่างเยียบเย็น การกระทำของจ้าวจิ่งเจินทำให้เขายิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ


“ว่ามา!”


เยวี่ยซิวใบหน้าไร้อารมณ์ รอยยิ้มได้หายไปแล้ว สายตาแฝงอาการหมดความอดทน


เป็นแค่องค์ชายโลกชั้นล่าง กลับขัดขวางเขาเชิญชวนอัจฉริยะที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็ได้กระตุ้นความระแวงของเขาแล้ว


หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้า เขาคงตบอีกฝ่ายกระเด็นไปนานแล้ว


จ้าวจิ่งเจินเองก็เหมือนสัมผัสได้ถึงความเหลืออดของเยวี่ยซิวแล้ว จึงพูดไปตามตรงว่า “ผู้อาวุโส ท่านคงเคยได้ยินชื่ออวิ๋นชิ่งไป๋ใช่หรือไม่”


อวิ๋นชิ่งไป๋!


หลินสวินหัวใจสั่นสะท้าน ดวงตาดำขลับเผยประกายอันเย็นเยียบที่ยากจะสังเกตเห็น เขาพอรู้แล้วว่าจ้าวจิ่งเจินจะพูดอะไร


กลับเห็นเยวี่ยซิวเองก็หวั่นไหวอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด “อวิ๋นชิ่งไป๋หรือ ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าน่ะหรือ”


“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสอวิ๋นชิ่งไป๋ผู้ได้รับขนานนามว่าเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งดินแดนรกร้างโบราณ’ คนนั้น”


สีหน้าของจ้าวจิ่งเจินพลันแฝงความลึกลับ “แล้วผู้อาวุโสท่านรู้หรือไม่ว่า หลินสวินคนนี้คือศัตรูของผู้อาวุโสอวิ๋นชิ่งไป๋?”


“อะไรนะ”


ตอนนี้เยวี่ยซิวเองก็ตกใจ ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ


อวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ฝึกปราณสายกระบี่ระดับตำนานคนหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งมรรค ก็กวาดล้างโลกาโดยที่แทบไม่มีใครเทียบได้


จนถึงตอนนี้ คนคนนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่บุคคลระดับต่ำกว่าราชันระดับสังสารวัฏไม่สามารถเทียบได้!


แม้แต่เยวี่ยซิวยังต้องยอมรับ ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นบุคคลไร้เทียมทานที่หายาก เกิดมาพร้อมพรแห่งฟ้าดิน คุณสมบัติโดดเด่นแทบไม่มีใครเทียบได้!


เพียงแต่เยวี่ยซิวคิดไม่ถึงเลยว่า บุคคลระดับอวิ๋นชิ่งไป๋ มีความแค้นกับเด็กหนุ่มโลกชั้นล่างคนหนึ่งได้อย่างไร เรื่องนี้ดูแปลกมาก


เขามองไปทางหลินสวิน


หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยสบตาเยวี่ยซิวอย่างตรงไปตรงมาพร้อมพูดว่า “เรื่องนี้เป็นความจริง”


“เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”


เยวี่ยซิวขมวดคิ้ว จ้องจ้าวจิ่งเจิน


เหล่าอาจารย์และศิษย์ ณ ที่นั้นต่างก็ประหลาดใจ จับต้นชนปลายไม่ได้ พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับตระหนักได้ว่า ราชันระดับสังสารวัฏอย่างเยวี่ยซิวดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับคนที่ชื่อว่าอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างมาก


“สิบกว่าปีที่แล้ว ผู้อาวุโสอวิ๋นชิ่งไป๋เคยมาเยือนโลกชั้นล่าง…”


จ้าวจิ่นเจินเล่าเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นบนภูเขาชำระจิตในตอนนั้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงความผิดถูกของเรื่อง


เฮือก!


เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ สีหน้าของอาจารย์และลูกศิษย์หลายคนเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงเลยว่า ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตจะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


อาจารย์รุ่นอาวุโสบางคนลอบถอนหายใจ เหตุการณ์นองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พวกเขาเองก็เคยได้ยิน


“นี่มัน…” เยวี่ยซิวเงียบไปนาน ค่อยมองหลินสวินด้วยสายตาแปลกๆ “นี่คือเรื่องจริงหรือ”


ยามนี้หลินสวินดูนิ่งสงบอย่างที่สุด เอ่ยว่า “ไม่ผิด เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ฆ่าทุกคนในตระกูลหลินสายตรง รวมทั้งบิดามารดาของข้า”


จ้าวจิ่งเจินอึ้ง ไม่เคยคิดเลยว่าหลินสวินจะยอมรับออกมาเอง และท่าทางยังนิ่งสงบเช่นนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสอดคล้องกันอยู่บ้าง


“เพราะอะไร” เยวี่ยซิวขมวดคิ้วแน่น


“ใช่แล้ว เพราะอะไร ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน” หลินสวินสายตาราบเรียบ หันมองจ้าวจิ่งเจินที่อยู่ห่างออกไป


“ข้าก็ไม่รู้”


จ้าวจิ่งเจินส่ายหัว “แต่คิดว่าการที่ผู้อาวุโสอวิ๋นชิ่งไป๋ทำเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผล มิฉะนั้นด้วยตำแหน่งฐานะของเขา จะฆ่าคนโดยใช่เหตุได้อย่างไร”


คำพูดนี้เท่ากับกำลังแก้ตัวแทนอวิ๋นชิ่งไป๋!


สายตาของหลินสวินเย็นเยียบขึ้นมาทันที “พูดเช่นนี้ แปลว่าเจ้าคิดว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ทำอะไรก็ถูก ส่วนคนตระกูลหลินพวกนั้นของข้า… ล้วนสมควรตาย?”


เสียงเย็นยะเยือกแฝงไอสังหาร


จ้าวจิ่งเจินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พลันแค่นเสียงเย็น “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ทุกอย่างย่อมต้องมีเหตุผล เจ้ากล้ารับประกันหรือไม่ว่า คนตระกูลหลินพวกนั้นของเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด”


ตอนนี้ทุกคนรับรู้ได้ว่า บนร่างหลินสวินมีจิตสังหารที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด พาให้คนใจสั่นไหว


บรรยากาศเงียบสงัด กดดันจนหายใจไม่ออก


เพียงแต่ไม่นานก็เห็นหลินสวินเก็บอาการทั้งหมด มองจ้าวจิ่งเจินด้วยสายตาเรียบเฉยพร้อมเอ่ย “เจ้าจำคำพูดวันนี้ให้ดี”


จ้าวจิ่งเจินหัวใจสะท้าน แต่ปากกลับแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ “ข้าเป็นถึงองค์ชายแห่งจักรวรรดิ ย่อมรับผิดชอบต่อคำพูดของตนอยู่แล้ว!”


หลินสวินไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น สีหน้ายิ่งทวีความนิ่งสงบ


ไม่ต้องเดาทุกคนก็รู้ ว่าการกระทำทั้งหมดของจ้าวจิ่งเจินได้กระตุ้นความโกรธของหลินสวินอย่างสิ้นเชิงแล้ว!


“ผู้อาวุโส นี่ก็คือความจริงที่ข้าอยากบอก”


จ้าวจิ่งเจินประสานมือพูดจบก็เหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง มุมปากโค้งขึ้นเหมือนดูถูก


เยวี่ยซิวเงียบ


แค่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอาจจะไม่สามารถทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันอะไรได้ แต่พอมีอวิ๋นชิ่งไป๋เพิ่มเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เขาจำต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบ


ถึงอย่างไรอวิ๋นชิ่งไป๋คนนี้ก็โดดเด่นและไร้เทียมทานเกินไป ไม่เร็วก็ช้าย่อมต้องก้าวสู่ระดับที่เหนือกว่าสังสารวัฏ ความสำเร็จไร้ขีดจำกัด


อีกอย่างเบื้องหลังของคนคนนี้ยังมีสำนักกระบี่เทียมฟ้า นั่นก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ด้อยไปกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


ถ้าเพราะหลินสวินคนเดียว ทำให้ต้องรับแรงกดดันจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้าและอวิ๋นชิ่งไป๋ทั้งสามด้าน สิ่งที่ต้องแลกก็ถือว่ารุนแรงไป


แม้แต่เยวี่ยซิวยังต้องพิจารณาผลที่ตามมา


เหล่าอาจารย์และศิษย์ ณ ที่นั้นหัวใจเย็นเยียบขึ้นมา เดือดดาลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มีหรือที่พวกเขาจะดูไม่ออก ว่าเยวี่ยซิวที่เมื่อครู่นี้ชื่นชมหลินสวินอย่างมาก ท่าทางค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว


ถึงขั้นที่อาจจะทำให้หลินสวินสูญเสียโอกาสไปฝึกปราณยังสำนักโบราณแห่งดินแดนรกร้างโบราณเพราะเรื่องนี้!


โอกาสแบบนี้ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณในโลกชั้นล่างคนหนึ่งประหนึ่งก้าวเดียวทะยานฟ้า แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเลือนรางขึ้นมา และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะจ้าวจิ่งเจิน!


จะไม่ให้เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์เดือดดาลได้อย่างไร


หันกลับไปมองจ้าวจิ่วเจิน มุมปากเหยียดขึ้นอย่างย่ามใจ ไม่สะทกสะท้านและไม่เกรงกลัวสายตาแห่งความขึ้งโกรธของทุกคนเลยสักนิด


เขาถึงขั้นถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ประสานหมัดพูดกับหลินสวิน “ต้องขออภัย แต่ในฐานะองค์ชายแห่งจักรวรรดิ ความจริงบางอย่างก็จำเป็นต้องพูดออกไป มิฉะนั้นหากวันใดเหล่าผู้อาวุโสในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องลำบากเพราะเจ้า ใครจะรับผิดชอบเล่า”


น่าขยะแขยง!


ลูกศิษย์หลายคนลอบก่นด่าในใจ น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว เป็นถึงองค์ชายแห่งจักรวรรดิ แต่กลับทำเหมือนหวังดีกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ในเวลาแบบนี้ เสแสร้งเกินไปแล้ว


หลินสวินเงียบไปครู่ก็พูดขึ้น โดยมองจ้าวจิ่งเจินอย่างนิ่งสงบ “เจ้ามาคราวนี้ ก็เพียงแค่อยากขัดขวางการเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของข้า น่าเสียดายที่เจ้าเข้าใจบางอย่างผิด ในเมื่อข้ากล้าฆ่าผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เจ้าคิดว่า ข้ายังจะสนใจโอกาสที่จะเข้าไปฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อีกหรือ”


หากแม้คำพูดนี้จะเสียดหูสำหรับเยวี่ยซิว แต่ถ้าลองคิดดูก็จะรู้ว่า ด้วยรากฐานและศักยภาพที่หลินสวินมี สักวันก็ต้องสามารถเข้าไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณได้!


ส่วนเรื่องที่ว่าจะเข้าร่วมในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หรือไม่ สำหรับอัจฉริยะระดับเขาแล้ว ไม่ถึงกับเสียดายอะไร


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เยวี่ยซิวแค้นเคืองจ้าวจิ่งเจิน ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เขายื่นปากแทรกเข้ามา เรื่องราวก็คงไม่มาถึงจุดนี้


คราวนี้สายตาที่เขามองจ้าวจิ่นเจินแฝงความโกรธและไม่พอใจสายหนึ่ง


จ้าวจิ่งเจินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องวันนี้ทำให้เขาได้ใจอย่างมาก คิดไปเองว่าได้ตัดโอกาสที่จะทะยานสู่ฟ้าของหลินสวินอย่างสิ้นเชิงแล้ว


ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจเลยตั้งแต่ต้นจนจบ!


นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกว่างเปล่าและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่ทำให้เขาหวาดหวั่นที่สุดคือ แม้แต่เยวี่ยซิวผู้อาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ท่านนี้ ก็เหมือนจะไม่พอใจเขาแล้ว…


“สหายน้อย ถ้าหาก…”


เยวี่ยซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วอ้าปาก เขาตั้งใจจะเชิญชวนหลินสวินอีกครั้ง อัจฉริยะที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาแบบนี้ หากปล่อยไปเพียงเพราะมูลเหตุและแรงกดดันบางอย่าง เห็นจะน่าเสียดายเกินไป


เพียงแต่ไม่รอให้เขาพูดจบ เสียงหัวเราะเบิกบานก็ดังขึ้น “สหายยุทธ์ เรื่องนี้ดูเหมือนจะยุ่งยากเล็กน้อย ไม่สู้รอคิดให้ถี่ถ้วนอีกหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจดีหรือไม่”


เงาร่างผอมแห้งปรากฏขึ้นพร้อมเสียง รูปลักษณ์ของเขาเรียบง่าย ไม่ได้ดูโดดเด่นมากนัก แต่พอเขาปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นเหล่าอาจารย์ ลูกศิษย์ หรือหลินสวิน หรือแม้แต่จ้าวจิ่งเจินยังแสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน


“คารวะเจ้าสำนัก!”


เห็นได้ชัดว่าคนชราผอมแห้งคนนี้ คือเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต!


“เฮ้อ ก็คงได้แต่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว”


เยวี่ยซิวถอนหายใจ ในใจอึดอัดอย่างที่สุด


“จะดีจะเลวล้วนไม่มีใครเดาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคนอื่นๆ ในแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์รู้เรื่องนี้ ก็คงคิดให้รอบคอบก่อนค่อยลงมือ”


เจ้าสำนักพูดอย่างเรียบเฉย แต่กลับกำลังเตือนเยวี่ยซิวว่า การตัดสินใจนี้ไม่ง่าย หากดันทุรังทำไป อาจโดนวิพากษ์วิจารณ์ได้มาก


นี่ทำให้อาจารย์และลูกศิษย์ทุกคนต่างอึ้ง ดูจากสถานการณ์ เจ้าสำนักก็ไม่อยากให้หลินสวินเข้าร่วมกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์งั้นหรือ


“ช่างเถอะ เรื่องนี้ค่อยว่ากันในอนาคต” เยวี่ยซิวส่ายหน้า จากไปอย่างหมดความสนใจ


“หลินสวิน ต่อไปถ้ามีโอกาสก็ต้องกลับสำนักศึกษามฤคมรกตบ่อยๆ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาเรา คนที่มีความสามารถอย่างเจ้า ข้าก็ไม่อยากให้ถูกใครดึงไป


เจ้าสำนักมองหลินสวินอย่างลึกซึ้งคราหนึ่งก่อนจากไป มาไวไปก็ไว แต่การปรากฏตัวของเขากลับควรแก่การระมัดระวัง


จ้าวจิ่งเจินอึ้งค้างอยู่กับที่ เขาเองก็อ่านสถานการณ์ไม่ค่อยออก รู้สึกว่าเรื่องวันนี้ดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก


‘ดูเหมือนว่า เจ้าสำนักจะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้…’


หลินสวินใคร่ครวญ


ไม่นานจ้าวจิ่งเจินก็อยู่ต่อไม่ไหวแล้ว เพราะเขารับรู้ได้ว่า อาจารย์และลูกศิษย์ในที่นั้นต่างจ้องเขาด้วยสีหน้าไม่หวังดี มีทั้งเกลียดชัง รังเกียจและปฏิเสธ


ต่อให้เขาเจ้าแผนการขนาดไหนก็เริ่มรับไม่ไหวอยู่บ้าง หมุนตัวจะเดินออกไป


เพียงแต่เขาเพิ่งจะก้าวออกจากลานแสดงยุทธ์ ก็ถูกเงาร่างหนึ่งขวางเอาไว้ “องค์ชายเก้า บทบาทที่แสดงในวันนี้เหนือความคาดหมายจริงๆ ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”


“ท่านอาเล็ก? ท่าน… มาได้อย่างไร”


สีหน้าของจ้าวจิ่งเจินเปลี่ยนไป เสียอาการทันที


และตอนนี้หลินสวินเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เงาร่างที่ขวางจ้าวจิ่งเจินไว้ ก็คือจ้าวไท่ไหลที่ช่วงนี้ประหนึ่งหายตัวไป


“หากข้าไม่มา องค์ชายเก้าคงจะก่อเรื่องใหญ่”


สีหน้าของจ้าวไท่ไหลเย็นชามาก ในขณะที่พูดเขาก็โบกมือ “เด็กๆ พาองค์ชายเก้ากลับวัง ปรนนิบัติอย่างดี หากระหว่างทางเกิดอะไรผิดพลาด ข้าจะเอาความพวกเจ้า!”


ทันใดนั้นกลุ่มคนชุดดำท่าทางนิ่งขรึมเดินออกมา และเข้าไปโอบล้อมองค์ชายเก้าเงียบๆ ก่อนจะพาตัวเขาออกไปทั้งอย่างนั้น


“ท่านอาเล็ก ท่านหมายความว่าอย่างไร ใครให้ท่านพา ‘ราชองครักษ์’ มา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


องค์ชายเก้าลนลานอย่างสิ้นเชิง ดิ้นรนตะเบ็งเสียง


แต่สุดท้ายจ้าวไท่ไหลก็ไม่ได้สนใจ ส่วนองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินก็ถูกยัดเข้าไปในเกี้ยวสมบัติที่เตรียมเอาไว้แล้ว ก่อนจะถูกพาตัวออกไปอย่างรวดเร็ว


ในลานแสดงยุทธ์ เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์เผยสีหน้าตะลึง หัวสมองทื่อไปหมด


วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เรื่องแล้วเรื่องเล่า และพวกผู้ยิ่งใหญ่ก็ปรากฏตัวคนแล้วคนเล่าเช่นกัน จนถึงตอนนี้ แม้แต่องค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินยังถูก ‘พาตัวออกไป’…


ขอเพียงแค่ไม่โง่ ไม่ว่าใครก็สามารถเดาออกว่า เรื่องนี้มีเลศนัยและความลึกลับมากมายซ่อนอยู่!


“คราวนี้จะให้คำอธิบายกับข้าได้หรือยัง” หลินสวินเดินขึ้นหน้า มองจ้าวไท่ไหลแล้วถามตรงๆ


——

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)