Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 674-675

 ตอนที่ 674 ผลกระทบควันหลง

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินประกาศหลายเรื่องในการประชุมวันนั้น


อาทิเช่น การจัดตำแหน่งงานของคนตระกูลหลินทุกคนหลังจากรวมขุมอำนาจตระกูลหลินสายรองเข้าเป็นหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวายอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง


ผลประโยชน์ที่เกี่ยวโยงกับตระกูลหลินสายรองต้องจัดการอย่างเหมาะสม หาไม่แล้วจะเป็นการฝังปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ไว้มากมาย


หลินสวินมอบอำนาจเต็มในการจัดการเรื่องนี้แก่หลินจง ให้เขาหารือกับคนชั้นแนวหน้าของตระกูลรองอื่น


นอกจากนี้ยังมีการจัดแจงเรื่องการอบรมบ่มเพาะคนตระกูลหลินรุ่นเยาว์ การแก้ไขกฎระเบียบตระกูล ขยายและสร้างความมั่นคงให้กับแผนการบางอย่างของภูเขาชำระจิต…


และอีกมากมาย เหล่านี้เป็นเรื่องที่ตระกูลใหญ่ต้องเผชิญ หากไม่จัดการให้ดี ภายหลังไม่ช้าก็เร็วจะเกิดปัญหาได้


ยังดีที่เรื่องนี้หลินสวินเพียงต้องเตรียมกรอบใหญ่ไว้ให้กรอบหนึ่ง เรื่องที่เป็นรูปธรรมมอบให้ผู้อื่นไปทำก็พอแล้ว


และก็เป็นตอนนี้เอง ที่หลินสวินได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเท่าไรตัวเขาก็จะจากไปยาวๆ ช่วงหนึ่ง ส่วนการพัฒนาตระกูลหลินในภายภาคหน้า รวมถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิน ภายหน้าย่อมต้องมอบให้คนในตระกูลสักคนมาครอบครอง


พร้อมกันนั้นหลินสวินก็แจ้งเงื่อนไขการช่วงชิงตำแหน่ง ‘ผู้สืบทอด’ ตระกูลหลิน บ่งชี้โดยกระจ่างว่าในกำหนดเวลาสิบปี จะเลือกผู้สืบทอดที่สามารถแบกรับหน้าที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลหลินได้ จากคนตระกูลหลินสายรองทั้งสี่!


ภายในสิบปี คนในสายรองทั้งสี่สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ แต่ผลลัพธ์สุดท้าย จะต้องให้หลินจงตัดสินใจ


ส่วนหลินจง จะควบคุมอาสัญสลายอาวุธสำคัญประจำตระกูล เมื่อเลือกผู้สืบทอด เขาจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องประจำตระกูล ช่วยเหลือผู้นำตระกูลคนใหม่อย่างเต็มที่!


เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันมากมาย เป็นการตัดสินใจที่หลินสวินกับหลินจงปรึกษากันเนิ่นนานถึงชี้ขาดออกมา


ช่วยไม่ได้ หลินสวินย่อมไม่สามารถบัญชาการภูเขาชำระจิตไปตลอดชีวิต เขายังมีเรื่องมากมายต้องไปสะสาง ในสถานการณ์เช่นนี้ ใช้เวลาสิบปีมาเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่มาควบคุมสถานการณ์โดยภาพรวมของตระกูลหลิน เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


และเมื่อได้รู้ข่าวนี้ คนในตระกูลสายรองก็อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์แล้ว ทุกคนแทบจะทำใจเชื่อไม่ได้


แม้แต่หลินเป่ยกวง หลินซีซี หลินอวิ๋นเหิง คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสเหล่านี้ก็ล้วนนิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้น


ใครก็ไม่คิดว่า หลินสวินเพิ่งเข้าควบคุมตระกูลหลิน ก็เริ่มวางแผนจัดแจงเรื่องผู้สืบทอดแล้ว


นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่า ในใจหลินสวิน เขาไม่ได้มีความละโมบอยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินเลย!


นี่ทำให้คนชั้นแนวหน้าหลายคนมีสีหน้าอ่านยาก หากรู้อย่างนี้ก่อน ก่อนหน้านี้ใครจะคิดต่อต้านหลินสวินเล่า


ทั้งหมดนี้ล้วนผิดที่พวกเขาให้ความสำคัญกับการแก่งแย่งอำนาจมากเกินไป!


แต่สำหรับคนในตระกูลหลินสายรองเหล่านั้นแล้ว ทุกคนล้วนตื่นเต้น เลือดในกายพลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยปณิธานต่อสู้!


ตระกูลหลินในตอนนี้มีชื่อเสียงสะเทือนนครต้องห้ามแล้ว อานุภาพราวอาทิตย์เที่ยงวัน ขนาดขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงก็ไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ อีก


พูดได้ว่า ขอเพียงไม่เกิดภัยพิบัติร้ายแรงใด ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง ตระกูลหลินต้องขยับไปอยู่ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้งแน่!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากใครสามารถควบคุมอำนาจใหญ่ของตระกูลหลิน กลายเป็นนายแห่งภูเขาชำระจิตนี้ได้ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับหนึ่งก้าวทะยานฟ้าเล่า!


ในนครต้องห้ามแห่งนี้ ก็เป็นคนที่สามารถทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนยำเกรง สามารถทัดเทียมกับบุคคลชนชั้นสูงที่แท้จริง!


และตำแหน่งนี้ก็จะถือกำเนิดจากตระกูลสายรอง แม้เวลาสิบปีไม่ถือว่าสั้น แต่ใครจะสงบใจได้กัน


แม้แต่หลินไหวหย่วนยังจิตใจปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน


ส่วนบุคคลสำคัญอย่างหลินเป่ยกวง หลินซีซี และหลินอวิ๋นเหิง ก็เริ่มใคร่ครวญแล้วว่าในสิบปีนี้จะเคลื่อนไหวอย่างไรดี ถึงจะบ่มเพาะตัวเลือกสักคนหนึ่งจากในสายของตน ให้สามารถรับภาระใหญ่หลวงของตระกูลหลินได้


แต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าการแข่งขันนี้จะต้องยากและดุเดือดแน่


ระหว่างพวกเขาสี่สายรอง ใครก็ไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายมีผู้สืบทอดที่ควบคุมอำนาจใหญ่ทั้งตระกูลหลินปรากฏตัวขึ้น!


และนี่ ก็เป็นเป้าหมายที่หลินสวินจัดแจงเช่นนี้ เขาต้องการให้สี่สายรองแข่งกัน!


มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะเลือกผู้สืบทอดที่สามารถควบคุมอำนาจใหญ่ของตระกูลหลินได้ จากการทดสอบและคัดเลือกในทุกๆ ขั้น


แน่นอนว่า ขณะเดียวกันหลินสวินก็จัดการให้หลินจงสั่งการในภาพรวม ควบคุมตรวจสอบทุกอย่างนี้ ทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเจตนาร้าย ขัดแย้งและทำร้ายกันเอง


……


หลังจากการประชุมตระกูลจบลง หลินสวินก็ไปยังหอบรรพชนหลังเขาชำระจิตคนเดียว ยืนอยู่หน้าป้ายบรรพชนตระกูลหลินตามลำพัง หยุดยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่


บนป้ายนั้นมีชื่อของปู่ทวดเต้าเฉิน และมีชื่อของบิดามารดา ท่านปู่ รวมถึงญาติมิตรทั้งหมด


ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า


เพราะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน


แต่หลินสวินรู้ว่าเขาหลอมรวมเข้ากับตระกูลหลินนานแล้ว ในฐานะลูกหลานตระกูลหลินสายตรง เรื่องบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่ดี


อย่างเช่นแก้แค้นให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และญาติมิตร!


……


เวลาพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ยามสายัณห์สาดแสงราวอัคคี


ใกล้กับหอบรรพชนหลังเขา วิเวกวังเวงและเงียบเชียบ


ยามหลินสวินจะจากไป ก็พบหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน และหลินเฟยเฟิงที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่


หลินสวินสงบนิ่ง บอกเรื่องราวเกี่ยวกับการประชุมตระกูลแก่พวกเขา จากนั้นก็เยื้องย่างจากไป


พวกหลินเทียนหลงต่างอึ้งไปเช่นนั้น สีหน้าอ่านยากและเจ็บปวด


พวกเขาเป็นนักโทษ กระทำความผิดใหญ่หลวงหักหลังวงศ์ตระกูล และตอนนี้ถูกกักขังที่หลังภูเขา เกรงว่าทั้งชีวิตคงไม่อาจออกไปได้อีก


เดิมทีพวกเขาไม่ยินยอมและแค้นเคือง แต่เมื่อรู้ว่าหลินสวินจัดแจงเรื่องผู้สืบทอด พวกเขาก็จำนนโดยสิ้นเชิงแล้ว


ถึงกับว่าในใจยินดีปรีดาอยู่บ้าง


พวกเขารู้ว่า อย่างน้อยในสายตระกูลที่ตนอยู่ เป็นไปได้สูงมากที่จะมีคนใหญ่คนโตที่ได้ควบคุมอำนาจใหญ่ของตระกูลหลินอย่างแท้จริงในภายภาคหน้า!


สิ่งนี้ก็คือความหวัง และสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขายินดีชดใช้ความผิดที่นี่ ต่อให้จะต้องสำนึกบาปไปชั่วชีวิต อย่างน้อยก็มีความหวัง!


…..


ในช่วงเวลาต่อมา บนภูเขาชำระจิตก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นทุกวัน ทุกที่ล้วนคึกคัก สภาพการณ์ดีวันดีคืน


พญาแร้งปิดด่านอยู่ตลอด กำลังสลาย ‘มารพบเคราะห์’ ฟื้นฟูพลังปราณ


พวกหลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซานก็มีเรื่องที่แต่ละคนต้องทำ ทุกวันยุ่งจนไม่เห็นเงา


คนในสายรองเหล่านั้น ชาวหมู่บ้านเฟยอวิ๋น รวมถึงเหล่าข้ารับใช้ชายหญิงที่รับเข้ามาบนภูเขาชำระจิตก็ต่างยุ่งมาก


ทุกคนมีปณิธานที่บอกไม่ถูก ตระกูลหลินในตอนนี้สะสางศึกภายใน โจมตีศัตรูภายนอกให้ล่าถอย เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ต่างจากในอดีตจริงๆ แล้ว


อย่างน้อยในนครต้องห้ามขณะนี้ ในใต้หล้าตอนนี้ ยามกล่าวถึงตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก!


กลับเป็นหลินสวินที่เปลี่ยนเป็นว่างงาน นอกจากฝึกปราณก็ไปต้อนรับการมาเยือนของแขกคนสำคัญบางคน


ในช่วงเวลานี้หลินสวินก็เขียนจดหมายด้วยตัวเอง แล้วส่งให้อัครการค้า ตระกูลหนิงของราชันเลือดเหล็ก ตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุก ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกที่ละฉบับ ใช้สิ่งนี้แสดงความขอบคุณของตน


อย่างไรเสียตอนที่เผชิญหน้ากับฉินชางเจี่ยศัตรูผู้เป็นราชันระดับสังสารวัฏคนนี้ พวกเทพเศรษฐีก็เคยช่วยปกป้องเขาอย่างลับๆ พระคุณใหญ่หลวงนี้ตนไม่อาจลืมเลือน


ส่วนจ้าวไท่ไหลกลับยังไม่ปรากฏตัวอีกเลย ราวกับลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนโอบดารานิทราบุหลันไปนานแล้ว


เดิมทีเขายังรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่ต่อมาก็ลืมเรื่องนี้ไป


ทว่าจ้าวไท่ไหลไม่มา กลับเป็นเสิ่นทั่ว หัวหน้าอาจารย์สาขาสลักวิญญาณแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตมาเยือนกะทันหันในวันนั้น


และในวันนั้นเอง หลินสวินกับเสิ่นทั่วก็ออกจากภูเขาชำระจิตไปด้วยกัน นั่งเกี้ยวสมบัติมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษามฤคมรกต


เมื่อคำนวณดูแล้ว ตั้งแต่เขาออกจากทะเลกลืนวิญญาณกลับมายังนครต้องห้ามก็ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ตัวเขามีฐานะเป็นอาจารย์สาขาสลักวิญญาณผู้หนึ่ง แต่กลับไม่ได้มาสอนหนังสือต่อที่สำนักศึกษามฤคมรกตทันที ก็ดูไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่บ้าง


ทว่าจากคำพูดของเสิ่นทั่ว เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก ทุกคนเข้าใจได้


เมื่อเกี้ยวสมบัติผ่านใจกลางนครต้องห้าม บนจอภาพวิญญาณมหึมานั้นกำลังฉายการต่อสู้ดุเดือดครั้งหนึ่ง


เด็กหนุ่มในชุดขาวพระจันทร์คนหนึ่งมือถือทวนยาวสีเทาเข้มยืนอยู่ในห้วงอากาศ ต่อสู้ดุเดือดกับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคน แสงเทพเปล่งประกายปะทะกัน ระเบิดออกเป็นคลื่นอากาศน่าหวาดหวั่น งดงามสะดุดตา


คนสัญจรไปมาหนาแน่นหยุดอยู่หน้าจอภาพวิญญาณ พากันเงยหน้าขึ้น ดวงตาจดจ้องการประลองครั้งนี้ตาไม่กะพริบ สีหน้าแต่ละคนตื่นเต้น กลั้นลมหายใจจดจ่อ ทั้งยังมีเสียงร้องแหลมด้วยความตกใจดังขึ้นตลอด


“นี่…”


หลินสวินอึ้งไป นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ตนฟาดฟันกับพวกฉินเสวียนตู้ที่เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนหรอกหรือ


“ข่าวนี้เริ่มฉายตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว ฉายซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็ยังดึงดูดให้คนนับไม่ถ้วนมาดูได้ดังเดิม เป็นความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีมาก่อน”


เสิ่นทั่วที่อยู่ข้างๆ อธิบาย สีหน้าของเขาแฝงความตื่นเต้น ต่อให้เป็นเขา ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพจริงของการต่อสู้นี้ ก็สั่นสะท้านจนไม่อาจควบคุมได้


ส่วนในนครต้องห้ามตอนนี้ หากไม่เคยได้ยินเรื่องการประลองครั้งนี้ เช่นนั้นก็ไม่สมควรเป็นชาวนครต้องห้าม!


นี่ก็คืออิทธิพลของการต่อสู้นี้ จนกระทั่งปัจจุบัน ควันหลงก็ยังกระจายอยู่ และทำให้หลินสวินยิ่งถูกคนจำได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว


คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง!


คำสรรเสริญนี้พูดออกมาได้อย่างง่ายดายหรือ


ตอนนี้เพียงยกประโยคนี้ขึ้นมา แทบทุกคนล้วนนึกถึงชื่อหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย…หลินสวิน!


ถึงกับว่า ตอนนี้ผู้ฝึกปราณในนครต้องห้ามมากมายล้วนกำลังพร่ำบ่น คิดว่าหลินสวินโด่งดังเกินไปแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมโรงน้ำชา หรือในตรอกซอกซอย ที่ไหนๆ ก็ล้วนได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมอนี่


ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่คณิกาในหอโคมเขียวต่างเขียนเพลงเกี่ยวกับหลินสวิน แข่งกันขับร้อง ทำให้ผู้อื่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“พี่เสิ่น ครั้งนี้เรียกข้าไปที่สำนักศึกษามฤคมรกต ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”


หลินสวินชักสายตากลับมา สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้ ด้วยการร้องขออย่างแข็งขันของเสิ่นทั่ว เขาจึงเปลี่ยนวิธีเรียกขาน เริ่ม ‘เรียกพี่เรียกน้อง’ กับเสิ่นทั่ว


ในความคิดของเสิ่นทั่ว เพียงหลินสวินใช้ฐานะปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ก็สามารถเป็นที่พึ่งให้นักสลักวิญญาณคนใดๆ ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาในตอนนี้ยังเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานที่ ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ผู้หนึ่ง


หากให้หลินสวินเรียกเขาว่า ‘ผู้อาวุโส’ อีก เช่นนั้นก็เป็นการให้เกียรติเสิ่นทั่วเกินไปแล้ว เขารับไว้ไม่ไหว


ตอนที่ 675 ขานชื่อท้าทาย

โดย

ProjectZyphon

“อันที่จริง…”


เสิ่นทั่วลังเลครู่หนึ่งค่อยกล่าว “ครั้งนี้เชิญเจ้ากลับมาสำนักศึกษาก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้อยู่บ้าง คิดขอให้เจ้าช่วยหน่อย”


หลินสวินเลิกคิ้วขึ้นโดยพลัน “ยังมีเรื่องที่สำนักศึกษามฤคมรกตจัดการไม่ได้อีกหรือ”


เสิ่นทั่วยิ้มขื่น “ครั้งนี้ต่างจากแต่ก่อน สถานการณ์ไม่ธรรมดาอยู่บ้าง”


ถัดจากนั้นเสิ่นทั่วจึงอธิบายเรื่องราวความเป็นมาพักหนึ่ง


ที่แท้เมื่อวานนี้ มีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ พาบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ส่วนหนึ่งมาเยือนโลกชั้นล่าง และมายังสำนักศึกษามฤคมรกต


จุดประสงค์ของพวกเขาครานี้ คือหมายอาศัยช่วงก่อนที่โลกชั้นล่างจะเกิด ‘พิบัติมหามรรค’ คัดเลือกกล้าพันธุ์ดีที่พลังแฝงเป็นเลิศคนหนึ่งจากสำนักศึกษามฤคมรกต และพาไปฝึกปราณยังแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


เดิมทีนี่น่าจะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่ที่น่าอักอ่วนคือ ก่อนหน้านี้ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นส่วนหนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต ได้รุดหน้าไปยังดินแดนรกร้างโบราณอยู่ก่อนแล้ว


เฉกเช่นกู้อวิ๋นถิงที่เคยประชันกับหลินสวิน หรืออย่างเหล่าผู้มากสามารถรุ่นเยาว์อย่างซ่งอี้ ไป๋หลิงซี จ้าวหยิน บัดนี้ต่างไม่อยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตนานแล้ว


ปัจจุบันศิษย์ที่ยังคงอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกตแม้ไม่ขาดแคลนผู้มีความสามารถและมพรสวรรค์ แต่เปรียบเทียบกันแล้วประสิทธิภาพกลับค่อนข้างด้อยกว่าบ้าง


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างผิดหวังพอควร และเกิดการดูถูกเหยียดหยามต่อสำนักศึกษามฤคมรกต


เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


แต่ในวันนี้ ศิษย์ส่วนหนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกตกลับเกิดความขัดแย้งกับผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์


กล่าวถึงตรงนี้หว่างคิ้วเสิ่นทั่วเจือความอึมครึมวูบหนึ่ง ยิ่งมีความคับแค้นและโทสะเหลือจะเอ่ยประการหนึ่ง “เจ้าพวกนั้นกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เห็นศิษย์สำนักศึกษาเราเป็นมดปลวก คำพูดเย่อหยิ่งและสบประมาทถึงที่สุด ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย”


“หลังจากนั้นศิษย์ในสำนักศึกษาไม่พอใจ ก็เลยเกิดการปะทะกับพวกเขาหรือ” หลินสวินกล่าวถาม


“ไม่ผิด เรื่องเกี่ยวกับเกียรติยศอัปยศ ใครจะสามารถระงับอารมณ์ลงได้เล่า”


เสิ่นทั่วสีหน้าอึมครึม เขาอายุปูนนี้แล้วยังถูกทำให้โกรธจนเป็นอย่างนี้ เห็นได้ว่าความโอหังของพวกผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นกำเริบเสิบสานมากเพียงใด


หลินสวินเข้าใจโดยส่วนใหญ่แล้ว ก่อนกล่าวหยั่งเชิง “ในการปะทะครานี้ บรรดาศิษย์เหล่านั้นของสำนักศึกษาเราคงจะไม่…”


เสิ่นทั่วสีหน้าเปลี่ยนเป็นเก้กังยิ่ง พยักหน้าขมขื่น “ไม่ผิด ล้วนแพ้หมด แพ้จนยับเยินไม่เป็นท่า”


ถูกคนดูแคลนและดูถูกก่อน จากนั้นจึงถูกคนที่ดูถูกตนเองเอาชนะในการปะทะ… ความรู้สึกนี้ช่างทำให้คนอึดอัดและอับอายเกินไปแล้ว


ชั่วขณะเดียวหลินสวินก็เข้าใจอารมณ์ของเสิ่นทั่ว ก่อนตบบ่าเขากล่าวปลอบใจ “ท่านก็อย่าได้คิดมาก อย่างไรเสียนั่นก็เป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ศักยภาพของพวกเขาก็แข็งแกร่งยิ่งจริงๆ”


เขาเคยประสบพลังที่แท้จริงของพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง กงหยางอวี่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ย่อมรู้ชัดว่าผู้สืบทอดสำนักโบราณเหล่านี้ไม่มีบุคคลธรรมดาสักคน


เทียบกับบรรดาศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตเหล่านั้น ท้ายที่สุดก็ย่อมเห็นถึงความด้อยกว่าบางส่วน


นี่ใช่ว่าหลินสวินหยามน้ำหน้า แต่เป็นตัวเขาเคยรู้ซึ้งด้วยตนเอง เทียบเคียงอยู่ในใจ แล้วตัดสินออกมาเป็นความจริงเช่นนี้


แต่พอได้ยินคำพูดปลอบใจของหลินสวิน สีหน้าเสิ่นทั่วยิ่งงุ่มง่ามและคับแค้นกว่าเดิม ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ศิษย์ของสำนักศึกษาเราหากพ่ายในมือผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ นั่นก็ช่างมันเถอะ แต่ครั้งนี้ผู้ลงมือเป็นแค่ผู้ติดตามข้างกายผู้สืบทอดพวกนั้น…”


หลินสวินชะงักงัน อดไม่ได้ที่จะลอบถอนใจ ศิษย์สำนักศึกษามฤคมรกตผู้สง่าผ่าเผย คนไหนบ้างไม่ใช่ผู้พร้อมสรรพซึ่งคัดเลือกจากการทดสอบทรหดหลายชั้น อย่างการทดสอบระดับอำเภอ การทดสอบระดับจังหวัด การทดสอบระดับมณฑล การทดสอบระดับอาณาจักร


กล่าวได้ว่า บรรดาศิษย์เหล่านั้นเป็นตัวแทนกลุ่มคนรุ่นเยาว์แห่งจักรวรรดิซึ่งมีพรสวรรค์และพลังแฝงที่สุด เป็นเสาหลักในอนาคตของจักรวรรดิ


แต่บัดนี้เมื่อบรรดาศิษย์เหล่านี้เผชิญหน้ากับการยั่วยุและดูถูก กลับยังสู้ไม่ได้แม้แต่ข้ารับใช้ข้างกายของอีกฝ่าย ทั้งยังพ่ายแพ้จนยับเยินไม่เป็นท่า นี่…


เห็นได้ว่าน่าอัปยศอดสูและเสียหน้าเกินไปแล้ว!


มิน่าเล่าด้วยฐานะของเสิ่นทั่วในปัจจุบัน เขาถึงได้คับแค้นและโมโหเช่นนี้


“เจ้าก็รู้ หลายเดือนก่อนกลุ่มศิษย์ชั้นยอดที่สุดของสำนักศึกษามฤคมรกตเราต่างถูกส่งไปดินแดนรกร้างโบราณก่อนแล้ว อย่างกู้อวิ๋นถิง จ้าวจิ่งเหวิน จั่วอวี้จิง หวงหลงเซิน…”


เสิ่นทั่วกลัดกลุ้มยิ่ง “หากมีคนในบรรดาพวกเขาอยู่ เชื่อว่าการปะทะนี้คงไม่พัฒนามาถึงขั้นสุดจะทานทนเช่นนี้เป็นแน่”


หลินสวินคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าที่เสิ่นทั่วพูดก็ไม่ผิด


เท่าที่เขารู้ บน ‘กระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ’ อันลึกลับที่สุดแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต ได้จัดอันดับบุคคลผู้กล้าซึ่งเรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าแต่ละคนไว้


ตอนนั้นกู้อวิ๋นถิงเคยก้าวเข้าสู่กระดานนี้


ที่น่าเสียดายคือ โดยทั่วไปศิษย์ที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ต่างถูกส่งไปยังดินแดนรกร้างโบราณเสร็จสรรพ


แน่นอนว่านอกจากกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ สำนักศึกษามฤคมรกตยังมี ‘สาขายอดยุทธศาสตร์’ อีกหนึ่ง บรรดาศิษย์ในนั้นแต่ละคนต่างมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ ไม่มีพวกธรรมดาสักคน


แต่เช่นเดียวกัน ศิษย์เหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในสำนักศึกษานานแล้ว


เมื่อเผชิญหน้ากับการเหยียดหยันและยั่วยุของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ในเวลาเช่นนี้ สถานการณ์ของสำนักศึกษามฤคมรกตเห็นชัดว่าน่ากระอักกระอ่วนอยู่บ้างจริงๆ


ก็ไม่แปลกที่เสิ่นทั่วจะวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเขา


“แต่ว่าฐานะของข้าคืออาจารย์ ไปช่วยเหลือเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ” หลินสวินถาม เขายินดีช่วยอย่างยิ่ง


ไม่ว่าเสิ่นทั่วหรือเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตต่างเคยช่วยเหลือเขาไม่น้อย หลินสวินเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษามฤคมรกตนานแล้ว ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงเกียรติยศของสำนักศึกษาเช่นนี้ แน่นอนว่าหลินสวินย่อมไม่อาจนั่งนิ่งดูดาย


“เฮ้อ”


กลับเห็นเสิ่นทั่วถอนหายใจ สีหน้าพิลึกพิลั่นกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล เพราะว่า…”


เขาพูดต่อไม่ออกอยู่บ้าง


“เพราะว่าอะไร” หลินสวินอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม


“เพราะพวกเขาขานชื่อหมายเรียกเจ้าไปสู้โดยตรง” เสิ่นทั่วอึดอัดอยู่นาน กว่าจะบอกความจริงออกมา


หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น สังเกตเห็นอย่างฉับไวว่าคำพูดคำจาของอีกฝ่ายต้องไม่เป็นมิตรเช่นนี้แน่ จะต้องพูดอะไรไม่น่าฟังเกี่ยวกับตน เพียงแต่เสิ่นทั่วไม่สะดวกบอกก็แค่นั้น


“หึๆ อาศัยคนอย่างพวกเขา มีคุณสมบัติมาท้าทายข้ารึ” หลินสวินยิ้มแล้ว เผยฟันขาวดุจหิมะ


ใช่ว่าเขาหลงระเริง แต่ก่อนหน้านี้แม้แต่ผู้สืบทอดที่แท้จริงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เขาก็เคยสังหารมาแล้ว มีหรือจะหวาดกลัวผู้สืบทอดอีกสำนักหนึ่ง


ได้ยินหลินสวินกล่าวเช่นนี้ เสิ่นทั่วกลับร้อนรนอยู่บ้าง “น้องชาย เจ้าคงไม่ใช่ไม่เต็มใจลงมือกระมัง”


หลินสวินนิ่งเงียบ นัยน์ตาดำเปลี่ยนเป็นล้ำลึก กล่าวราบเรียบ “ธุระนี้แน่นอนว่าต้องช่วยเหลือ เกรงแต่ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถมาประลองกับข้า ขอบอกไว้ก่อน หากไม่ระวังถึงตายขึ้นมา ก็อย่าได้โยนความรับผิดชอบมาให้ข้า”


เสิ่นทั่วถึงกับอ้าปากค้าง ตะลึงงันไปครู่ใหญ่ ในใจนอกจากฮึกเหิมยินดี ยังอดไม่ได้ที่จะกังวลอยู่บ้าง เพราะเขารู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ ทันทีที่ลงมือขึ้นมาก็โหดเหี้ยมป่าเถื่อนระดับใด!


นี่คือผู้นำที่เมื่อเห็นต่างคนละทาง ก็สังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนของสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเชียวนะ!


ความดุดันป่าเถื่อนเช่นนี้แหละคือดาบแท้ทวนจริง ฝ่าฟันสังหารออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด ไม่มีการล้อเล่นไม่เอาจริงแม้แต่น้อย!


ทันใดนั้นเสิ่นทั่วพลันเฝ้าคอยอยู่บ้าง


……………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)