Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 672-673

 ตอนที่ 672 โอบดารานิทราบุหลัน

โดย

ProjectZyphon

อำนาจทั่วนครหลวงหรือ


อวดอ้างยิ่งนัก!


เมื่อได้ยินความเห็นเช่นนี้ นครต้องห้ามก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นอีก ผู้ฝึกปราณบางคนดูแคลนการแสดงออกเช่นนี้ คิดว่าพูดจาเกินจริง หลินสวินเด็กหนุ่มน้อยๆ คนหนึ่ง จะคู่ควรกับคำสรรเสริญใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไรกัน


แต่การดูแคลนเช่นนี้กลับถูกผู้อื่นเย้ยหยัน คิดว่าพวกเขาอิจฉาริษยา เป็นพวกองุ่นเปรี้ยว


ผู้ฝึกปราณส่วนมากก็ยังยอมรับความเห็นเช่นนี้


ตั้งแต่หลินสวินเข้ามายังนครต้องห้าม กระทั่งตอนนี้ก็แค่สามปีเท่านั้น แต่กลับสร้างปาฏิหาริย์ไม่รู้ตั้งเท่าไร ประสบความสำเร็จดึงดูดสายตาไม่รู้กี่ครั้ง


เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณ


อาจารย์สำนักศึกษามฤคมรกต


เจ้าแห่งภูเขาชำระจิต


…เหนือหัวของเขาปกคลุมไปด้วยรัศมีมากมาย กระทั่งตอนนี้ เขาใช้ทวนเล่มเดียวมอบความตายให้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคน ทำให้ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉินสองตระกูลปราชัยกลับไป ผู้กล้ารุ่นเยาว์เช่นนี้ จะไม่คู่ควรกับคำสรรเสริญเช่นนี้หรือ


คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง!


หลินสวิน… คู่ควร!


เมื่อมีคนยินดีก็ต้องมีคนเศร้าใจ ณ ตระกูลจั่วและฉินกลับเงียบเหงาอึมครึม ตามข่าวซุบซิบ เมื่อฉินชางเจี่ยกลับถึงตระกูล ก็ทำลายถ้วยชาล้ำค่าไปไม่รู้เท่าไร ทำให้ทั้งตระกูลฉินล้วนเงียบเชียบราวจิ้งหรีดเหมันต์


และก็มีข่าวซุบซิบว่า ยามผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลจั่วปิดด่านเก็บตัว เกือบโมโหจนธาตุไฟเข้าแทรก ทำให้เบื้องบนตระกูลจั่วตกใจกระเจิดกระเจิงไปหมด


แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความวุ่นวายครั้งนี้ ก็เริ่มพัฒนาและปรากฏอานุภาพ กำลังกระจายจากนครต้องห้ามไปยังทั้งจักรวรรดิและทั่วใต้หล้าแล้ว!


……


และขณะเดียวกันกับที่คลื่นมหึมาเดือดพล่านครึกโครมนี้กำลังดำเนินไป พวกหลินสวิน หลินจงกลับถูกจ้าวไท่ไหลพามายังสถานที่เงียบเชียบห่างไกลถึงที่สุดแห่งหนึ่ง


ที่แห่งนี้มีนามว่า เรือนโอบดารานิทราบุหลัน


ชื่ออันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหนือธรรมดาไม่ยึดติดกับโลกนี้เป็นชื่อของ…ร้านอาหาร


โอบดารา นิทราบุหลัน เกรงว่านี่จะมีเพียงเซียนถึงสามารถเป็นอิสระและไม่ยึดติดเช่นนี้ได้ แต่ที่นี่กลับเป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง


เถ้าแก่ร้านอาหารเป็นผู้อาวุโสตัวเล็กที่เส้นผมบางตา ร่างผอมกะหร่อง ทั้งยังขี้โมโห ไม่เกี่ยวข้องกับเซียนเลยแม้แต่น้อย


เขาถูกจ้าวไท่ไหลเรียกว่า ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’


พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตาเฒ่าที่โดดเดี่ยวไม่สุงสิงกับใครผู้หนึ่ง


เมื่อเห็นพวกจ้าวไท่ไหล เฒ่าโดดเดี่ยวก็กลอกตา แสดงสีหน้าชิงชัง ตะคอกด่าา “คนติดหนี้มากินข้าวโดยไม่เสียเงินอีกแล้วหรือ”


จ้าวไท่ไหลหัวเราะคิกคัก ตบหน้าอกอย่างลำพองแล้วเอ่ยว่า “ครั้งนี้มีคนจ่าย ยกอาหารที่เจ้าถนัดที่สุดมาให้พวกเราโต๊ะหนึ่ง”


เฒ่าโดดเดี่ยวร้องหึหยันแล้วมุดเข้าไปในครัว ทำกับข้าวเสียงดังเคร้งๆ


‘เจ้าหนูเจ้าจำเขาไว้นะ’


จ้าวไท่ไหลยิ้มอย่างมีเลศนัย สื่อจิตบอกหลินสวิน ‘นี่เป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ละทิ้งมหามรรค มาฝึกตนเองตามลำพังที่ข้าแนะนำเชียวนะ อย่ามองว่าเขาไม่มีพลังปราณเลยสักนิด ในโลกชั้นล่างนี้ไม่มีใครฆ่าเขาได้’


หลินสวินตระหนก เดิมทีเขาไม่สนใจเฒ่าโดดเดี่ยวนัก แต่คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหล กลับทำให้เขารับรู้ได้ว่านี่เป็นคนยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง


ละทิ้งมหามรรค ฝึกตนเองตามลำพัง!


เพียงจุดนี้ก็ทำให้หลินสวินตื่นตะลึงได้แล้ว


เขาอดใจถามไม่ได้ว่า ‘อริยะก็ไม่ได้หรือ’


จ้าวไท่ไหลส่ายหัว ‘ไม่แน่ใจ แต่ที่ข้าบอกเจ้าได้ก็คือ ตาแก่นี่เคยเผลอพูดว่า อริยมรรคที่พูดถึงในโลกปัจจุบัน ยังไม่เท่าวิชา ‘ฝึกตนเอง’ ของเขา แน่ล่ะ เขาอาจจะโม้ก็ได้’


หลินสวินอึ้งไป


ไม่นานนักสำรับอาหารก็ถูกยกขึ้นมาเต็มโต๊ะ หน้าตาพูดไม่ได้ว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ ทว่ากลับล้วนเป็นอาหารที่หลินสวินไม่เคยเห็นมาก่อน


ก็เห็นว่าจ้าวไท่ไหลสองตาเปล่งประกาย พอได้จับตะเกียบก็กินอย่างตะกละตะกลาม กินไปเอ่ยไปอย่างตื่นเต้นว่า “เร็วเข้าๆๆ รีบกินสิ ทั้งชีวิตข้าเพิ่งได้กินสำรับที่ตาแก่นี่เป็นคนปรุงเป็นครั้งที่สาม”


เมื่อเห็นว่าเขาพูดอย่างอวดอ้างและจริงจังเช่นนี้ ทันใดนั้นพวกหลินสวิน หลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน หลิวไหวหย่วนก็ลงมืออย่างไม่ลังเล


เพียงคำเดียวก็ทำให้หลินสวินดวงตาแข็งทื่อ จิตใจสั่นระรัว ปลายลิ้นเหมือนปลดปล่อยต่อมรับรสทั้งหมด รสชาติเลอเลิศบอกไม่ถูกปะทุไปทั่วร่าง


อร่อยยิ่งนัก!


เดิมทีหลินสวินคิดจะถามว่าสำรับบนโต๊ะนี้มีชื่อว่าอะไร อีกทั้งใช้เครื่องปรุงและวัตถุดิบอะไรกันแน่


แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้ได้ ก้มหน้าก้มตากินอย่างบ้าคลั่งเหมือนจ้าวไท่ไหล


หลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน และหลินไหวหย่วนที่อยู่ข้างกันก็เป็นเช่นนี้ แต่ละคนก้มหน้าก้มตากินเหมือนคนหิวโซ


ในชั่วขณะหนึ่ง ห้องนั้นก็เหลือเพียงเสียงเคี้ยวอาหาร ดูแปลกประหลาดนัก


ที่ต้องรู้ก็คือ ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นไม่มีใครไม่เคยเปิดหูเปิดตารู้เรื่องราวในโลก ทั้งในด้านการฝึกปราณยังทะลวงถึงระดับสูงยิ่งนานแล้ว ไม่กินอาหารก็อยู่ได้


แต่ตอนนี้ แต่ละคนกลับกินอย่างตะกละตะกลาม พาให้คนตกตะลึง


ครู่หนึ่งผ่านไป


สำรับอาหารทั้งโต๊ะถูกกินจนหมดเกลี้ยง จ้าวไท่ไหลเม้มปาก รู้สึกว่ายังไม่หนำใจ ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้กินอาหารรสเลิศเช่นนี้อีก”


“ง่ายมาก ขอเพียงเจ้าคืนหนี้ทั้งหมดมา ก็กินตามใจเจ้าเลย”


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เฒ่าโดดเดี่ยวมายืนอยู่หน้าประตู ดวงตาขุ่นมัวทั้งสองจดจ้องมายังจ้าวไท่ไหลอย่างเยียบเย็นเหมือนวิญญาณเงียบเชียบ


หลินไหวหย่วนอดไม่ได้กล่าวว่า “เถ้าแก่ สำรับโต๊ะนี้เท่าไรหรือ ข้าจะจ่ายให้”


กลับเห็นว่าเฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมาแล้วพูดว่า “อวดเบ่งจังนะ เจ้ารู้ไหมว่าราคาของสำรับโต๊ะนี้เท่าไร ถึงได้กล้าเอ่ยปากอย่างจองหอง”


หลินไหวหย่วนอึดอัดใจในทันใด ในหัวสับสน หรือว่ายังมีรายละเอียดอื่นอีก


จ้าวไท่ไหลหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “บัญชีแต่ก่อน มีเพียงข้าที่คืนได้ แต่ค่าอาหารวันนี้ จะต้องให้เจ้าหนูนี่จ่าย” เขาชี้ไปที่หลินสวิน


หลินสวินอึ้งไป เขารู้สึกได้รางๆ ว่าที่จ้าวไท่ไหลพาตนมาพบกับเฒ่าโดดเดี่ยวลึกลับคนนี้ ทั้งกินอาหารเลิศรสยากบรรยายไปสำรับหนึ่ง ต้องมีสาเหตุแน่


แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ที่จ้าวไท่ไหลพาเขามาก็เพียงเพราะจะให้ตนจ่ายค่าอาหาร…


สายตาเฒ่าโดดเดี่ยวมองมายังหลินสวิน ชั่วพริบตานั้นหลินสวินพลันมีความรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปถึงความลับภายในจิตใจทุกสิ่ง กระวนกระวายขึ้นมาทั้งตัวระลอกหนึ่ง


นี่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน เขามั่นใจว่าเฒ่าโดดเดี่ยวคนนี้ไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปเลย แต่สายตาของเขากลับประหนึ่งสามารถมองทะลุปริศนาของเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน มองตรงไปถึงจิตใจคน ดูน่าพิศวงถึงที่สุด


เฒ่าโดดเดี่ยวชักสายตากลับมา เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ขนยังไม่ทันขึ้นครบเลย แม้จะไปสมรภูมิกระหายเลือด ก็จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ของข้าไม่ได้!”


สมรภูมิกระหายเลือด!


ในที่สุดทุกคนในที่นี้รวมถึงหลินสวินก็รับรู้ได้ว่า ที่แท้ค่าอาหารหนึ่งมื้อนี้มีรายละเอียดใหญ่โตดังคาด


เพียงแต่สมรภูมิกระหายเลือดคือที่ใดกัน


“ข้าวก็กินไปแล้ว ติดหนี้ก็ติดไปแล้ว จะคืนได้หรือไม่ก็ต้องลองสักตั้ง” จ้าวไท่ไหลสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา”


“หึ!” เฒ่าโดดเดี่ยวเงียบไปครู่หนึ่งก็ร้องหึหยัน หันกายจากไป


กระทั่งออกจาก ‘เรือนโอบดารานิทราบุหลัน’ นี้ หลินสวินก็ยังงุนงงดังเดิม ถามจ้าวไท่ไหล เขาก็ไม่พูดอะไร


นี่ทำให้หลินสวินไม่พอใจนัก กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ถูกท่านหลอกเอาครั้งหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ ขนาดเหตุผลท่านก็ยังไม่บอกเลยหรือ”


จ้าวไท่ไหลพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าหนู ข้าช่วยเจ้าไล่ฉินชางเจี่ยเลยนะ นี่ก็เป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้ เจ้ายังกล้าพูดแบบนี้หรือ”


จ้าวไท่ไหลในเวลานี้มีท่าทางเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์หาใดเทียบที่หลินสวินรู้จักดังเดิม แตกต่างจากยามเผชิญหน้ากับฉินชางเจี่ยที่มีท่าทีดูแคลนผู้คนทั้งใต้หล้า จิตสังหารทะลุเมฆา


หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งหรือ นี่เป็นถึงสิ่งที่จักรพรรดิจัดแจงต่างหาก ท่านเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ยังกล้าอ้างความดีความชอบหรือ อีกอย่างท่านคิดว่าข้าไม่สามารถรับมือฉินชางเจี่ยได้หรือ”


เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ทำให้พวกหลินจงล้วนตื่นตระหนก หรือว่าตอนนั้นนายน้อยจะยังมีวิธีการบางอย่างที่สามารถต้านทานราชันระดับสังสารวัฏได้?


หากนี่เป็นเรื่องจริง ก็น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว


จ้าวไท่ไหลกลับเหมือนรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด นิ้วมือของเขาวาดไปในอากาศ พลันปรากฏจอภาพจอหนึ่ง


สิ่งที่จอภาพฉายออกมานั้นคือภาพยามที่ฉินชางเจี่ยปรากฏตัว หมายจะสังหารหลินสวิน!


“สิ่งที่เจ้าพึงพา ก็คือสมบัติที่อยู่กลางฝ่ามือชิ้นนี้กระมัง” เขาถาม


เมื่อดูโดยละเอียด ก็เห็นว่าในฝ่ามือข้างซ้ายของหลินสวินมีแสงสีเงินราวภาพนิมิต เรียวเล็กยิ่งนัก


“ไม่ผิด”


หลินสวินไม่ได้อธิบาย นั่นคือยานขนส่งอวกาศ แม้ไม่อาจต้านทานราชันระดับสังสารวัฏ แต่สามารถหลบหนีการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้


ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความจริงข้อนี้ก็ยังทำให้ในใจพวกหลินจงไหวหวั่น


ดังคาด แม้นายน้อยเผชิญหน้ากับราชันระดับสังสารวัฏ ก็ยังมีวิธีป้องกันตัวเอง!


นี่อาจจะเป็นที่พึ่งพาที่ใหญ่ที่สุดของเขากระมัง


“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ภายหลังเจ้าก็ยังต้องขอบคุณคนเหล่านี้ เพราะตอนนั้นต่อให้ข้าไม่ลงมือ พวกเขาก็จะไปช่วยเจ้าสลายเคราะห์นี้อยู่ดี”


ยามจ้าวไท่ไหลเอ่ยปาก นิ้วมือก็วาดขึ้นอีกครั้ง จอภาพหมุนวน ปรากฏภาพต่างๆ ได้แก่ภาพชายอ้วนที่รูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ชายชราสายตาแหลมคมประหนึ่งอัสนีบาต ไอเลือดเหล็กทะลุเมฆาผู้หนึ่ง รวมถึงชายวัยกลางคนผอมแห้งที่สวมหมวกสีดำผู้หนึ่ง


พวกเขาสามคนยืนอยู่ต่างที่กัน แต่เมื่อฉินชางเจี่ยปรากฏตัว แต่ละคนล้วนเผยจิตต่อสู้ นั่นเป็นเค้าลางว่ากำลังจะลงมือ!


ตอนนี้หลินสวินนิ่งงันโดยสิ้นเชิง เขาจำสามคนนี้ได้ เป็นเทพเศรษฐีสือไฉเสินแห่งอัครการค้า หนิงปู้กุยราชันเลือดเหล็ก และกงปู้พั่วผู้อาวุโสตระกูลกง!


“ที่แท้ ตอนนั้นพวกเขาก็กำลัง…” ในใจหลินสวินบังเกิดกระแสอบอุ่นบอกไม่ถูกขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง!


ส่วนพวกหลินจง กลับจิตใจสั่นสะท้านถึงที่สุด ใครจะคาดคิดได้ว่า ตอนนั้นยังมีราชันระดับสังสารวัฏสามคนระวังหลังให้หลินสวินอย่างลับๆ


หากข่าวนี้แพร่ออกไป นครต้องห้ามจะเกิดคลื่นลมลูกใหญ่ขนาดไหน


“เจ้าดูสิ แม้ว่าศัตรูเจ้าจะมีมาก ทว่าคนที่ให้ความสำคัญกับเจ้าก็มีไม่น้อย แต่ผ่านศึกนี้ไป นครต้องห้ามในภายหลังเกรงว่าจะไม่มีใครเป็นฝ่ายหาเรื่องเจ้าแล้ว” จ้าวไท่ไหลกล่าว ความนัยลึกล้ำ


หลินสวินนิ่งอึ้งไป ชำเลืองมองจ้าวไท่ไหลอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่ายิ่งท่านพูดแบบนี้ก็ยิ่งไม่มีเจตนาดีเล่า”


จ้าวไท่ไหลหัวเราะร่า จากนั้นก็ตำหนิอย่างดุดันว่า “เพ้อเจ้อ!”


ระหว่างทางจ้าวไท่ไหลก็นวยนาดจากไป ก่อนจากไปยังพูดว่า อีกสักพักจะไปเยือนภูเขาชำระจิตอีก


หลินสวินรู้ว่าเมื่อ ‘อีกสักพัก’ ที่ว่านั้นมาถึง จ้าวไท่ไหลอาจจะบอกจุดประสงค์ที่ให้ตนติดหนี้ค่าอาหารมื้อนั้นกับเฒ่าโดดเดี่ยว


เมื่อพวกหลินสวินกลับมาถึงภูเขาชำระจิต ก็เห็นว่าคนในตระกูลรองทั้งสี่ แสงอุดร ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ รวมถึงเหล่าชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น ล้วนมารออยู่ตรงนั้น…


เพื่อต้อนรับการกลับมาของพวกเขา!


——


ตอนที่ 673 ตระกูลหลินในปัจจุบัน

โดย

ProjectZyphon

เมื่อพวกหลินสวินกลับมาก็ได้รับการต้อนรับจากทุกคนบนภูเขาชำระจิต ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน


มองไปยังใบหน้าแต่ละหน้าที่บ้างเคารพเทิดทูน บ้างรื่นเริง บ้างฮึกเหิม บ้างตื่นเต้น มองไปยังทุกเงาร่างที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า


ในใจหลินสวินก็มีความรู้สึกที่ยากบรรยาย สามปีผ่านไป ศึกภายในของตระกูลหลินก็คลี่คลายลงได้ในที่สุด


ส่วนศัตรูภายนอกเหล่านั้น ต่อแต่นี้ไปก็จะไม่กล้ามาล่วงเกินอย่างง่ายดายอีก


เมื่อนึกถึงประสบการณ์สามปีมานี้ หลินสวินก็ประกาศขึ้นตรงนั้นว่า อีกสามวันจะจัดการประชุมตระกูลครั้งแรกหลังจากตระกูลหลินรวมเป็นหนึ่ง!


ตั้งแต่กลับนครต้องห้ามมาเมื่อวานมาถึงวันนี้ ในคืนเดียวเกิดเรื่องขึ้นมากมายนัก หลินสวินเองก็ต้องการเวลามาจัดการเสียหน่อย


เพิ่งรวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่งได้ จำเป็นต้องใช้เวลาปรับให้เข้ากัน รวมถึงกำหนดระเบียบและการจัดการเสียใหม่


……


เวลาสามวันชั่วพริบตาเดียวก็หายไป


เช้าตรู่ ณ ภูเขาชำระจิต ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสี่ยวเหยียนก็แต่งตัวเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว ผลักประตูออกมา


“คารวะผู้ดูแล”


“ผู้ดูแลเสี่ยวเหยียน ต่อไปเจ้าต้องดูแลพวกเราพี่น้องในอดีตมากๆ นะ”


“เสี่ยวเหยียน คืนนี้มาดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าสั่งอาหารชั้นเลิศโต๊ะหนึ่งจากร้านหอทรงสมบัติ คืนนี้จะรอเจ้าให้เกียรติมาเยี่ยมเยียน”


ตลอดทาง ข้ารับใช้บางคนได้พบเสี่ยวเหยียน ทุกคนต่างทักทายเขาอย่างแข็งขัน มีสีหน้าประจบสอพลอไม่มากก็น้อย


เสี่ยวเหยียนเพียงแต่ร้องอืมตอบรับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้สนใจมากนักแล้วเดินห่างออกมา


แท้จริงแล้วในใจเขาทั้งตื่นเต้นและดีใจอยู่บ้าง ไม่กี่เดือนก่อนเขายังเป็นข้ารับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทำแต่งานจิปาถะอย่างรินชาเทน้ำ รดน้ำต้นไม่ถอนหญ้า


แต่เมื่อวานนี้เขาถูกเจ้านายท่านหนึ่งเลือกออกมา แล้วยกให้เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง รับผิดชอบดูแลข้ารับใช้ชายหญิงสามสิบคน


สำหรับเสี่ยวเหยียนแล้ว นี่ก็เท่ากับหนึ่งก้าวทะยานฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย


‘จะตื่นเต้นไม่ได้ ต้องหนักแน่นเข้าไว้ ตอนนี้จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด…’ เสี่ยวเหยียนเตือนตัวเองในใจ


“ถุย! เด็กน้อยที่ขนยังขึ้นไม่หมดคนหนึ่ง เพียงแค่ตอนทำงานเมื่อวานถูกใจผู้ดูแลใหญ่หม่าหย่งเท่านั้น ถึงได้ทำให้เขาก้าวกระโดดไปอยู่ระดับผู้ดูแลแล้ว โชคดีเสียจริงโว้ย”


เมื่อเสี่ยวเหยียนจากไป ข้ารับใช้บางส่วนก็บ่นอย่างไม่พอใจ สีหน้าอิจฉาริษยาไม่อาจปกปิดได้


ทั้งยังมีข้ารับใช้ที่แต่ก่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเสี่ยวเหยียนกำลังครุ่นคิดว่า ภายหลังจะต้องปฏิบัติกับเสี่ยวเหยียนอย่างดี ไม่แนว่าอาจจะอาศัยโอกาสนี้ลืมตาอ้าปาก!


ทั้งหมดนี้เสี่ยวเหยียนไม่ล่วงรู้เลย เวลานี้เขามาถึงหน้าห้องของผู้ดูแลใหญ่หม่าหย่ง


เขาจัดเสื้อผ้าอย่างถี่ถ้วน จากนั้นสูดหายใจลึก โค้งคำนับอยู่หน้าประตู รอคอยอย่างเงียบเชียบ


ไม่นานนักประตูห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างผอมบางของผู้ดูแลใหญ่หม่าหย่ง


“เสี่ยวเหยียน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”


หม่าหย่งประหลาดใจ เขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่าบนปลายผมเสี่ยวเหยียนเปื้อนน้ำค้างอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ารออยู่นานแล้ว


“เมื่อวานข้าดีใจที่ได้รับความกรุณาจากผู้ดูแล ใจข้าน้อยเคารพและเกรงกลัวยิ่ง ไม่รู้ว่าจะขอบคุณและทดแทน…”


ไม่ทันพูดจบหม่าหย่งก็ร้องอ้อ แล้วตัดบทว่า “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าเลื่อนขั้นเจ้า ก็เพราะเจ้าเป็นคนฉลาดคล่องแคล่ว มีศักยภาพมาก แข็งแรงกว่าผู้อื่นไม่น้อย”


เสี่ยวเหยียนรีบนำถุงเก็บของที่เตรียมไว้นานแล้วถุงหนึ่งออกมา ใช้สองมือส่งให้อย่างเคารพ “ผู้ดูแล นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากเสี่ยวเหยียน ขอท่านรับไว้ด้วย”


ภายในถุงนี้ใส่เงินไว้หนึ่งพันเหรียญทอง เป็นเงินที่เขาสะสมเหรียญแล้วเหรียญเล่าอย่างลำบากยากเย็นในช่วงหลายปีนี้ ตอนนี้ยามนำทรัพย์สินเหล่านี้ออกมา ใจเขาก็เจ็บปวดอยู่รางๆ


แต่เขาไม่สนใจแล้ว เพื่อฐานะที่ดียิ่งขึ้นในภูเขาชำระจิตในภายภาคหน้า สิ่งที่จ่ายออกไปนี้ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย


แต่กลับเห็นว่าหม่าหย่งสีหน้าถมึงทึง ฝ่ามือข้างหนึ่งตบถุงเก็บของตกไปที่พื้น ตวาดเสียงแข็งว่า “เจ้าหนู นี่เจ้ากำลังทำร้ายข้า!”


เสี่ยวเหยียนจิตใจสั่นระรัว สีหน้าซีดเผือด ทำตัวไม่ถูก เขาจะคิดได้ที่ไหนว่า มอบของขวัญให้กับผู้ดูแลใหญ่ครั้งแรกก็พบกับเรื่องแบบนี้


หม่าหย่งสูดหายใจลึก ตักเตือนอย่างเย็นชาว่า “จำไว้! ที่นี่คือตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ข้าถูกใจศักยภาพของเจ้า ไม่ได้ทำเพื่อให้เจ้ามามอบของเล่นพรรค์นี้! หากเจ้าซาบซึ้งข้าจริง ก็ใช้ความสามารถทั้งหมดของเจ้าทำงานเพื่อตระกูลหลินของพวกเราอย่างเต็มกำลัง หากกล้าทำตัวเจ้าเล่ห์เช่นนี้อีก ข้าจะไล่เจ้าออกจากภูเขาชำระจิตทันที!”


เสี่ยวเหยียนตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ยิ่งกระสับกระส่ายและหวาดผวาแล้ว รีบร้อนร้องออกมาว่า “เสี่ยวเหยียนไม่กล้าแล้วขอรับ ขอผู้ดูแลละเว้นข้าสักครั้ง!”


หม่าหย่งสีหน้าอ่อนลง ตบไหล่เสี่ยวเหยียนแล้วพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าก็รู้ว่านครต้องห้ามในตอนนี้ มีคนอยากจะเข้ามาเป็นข้ารับใช้ในตระกูลหลินของพวกเรามายมายเท่าไร มากเสียจนนับไม่ถ้วน! ทุกวันมีคนต่อแถวไกลไปสิบลี้!”


“เพราะตระกูลหลินของพวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีผู้นำตระกูลอยู่ ขนาดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงยังไม่กล้าล่วงเกินพวกเรา นี่แข็งแกร่งขนาดไหน พูดอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิดว่า ต่อไปตระกูลหลินของพวกเราก็มีแต่จะดียิ่งขึ้นไป จะกลับไปอยู่ระดับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงวันไหนก็ไม่รู้ได้! ตอนนี้ หากข้ารับเงินน้อยนิดที่เจ้ามอบให้ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับตัดหนทางข้างหน้าของตัวเองเล่า”


ตอนนี้เสี่ยวเหยียนถึงมั่นใจในที่สุดว่า สาเหตุที่ผู้ดูแลหม่าหย่งไม่รับเงิน ที่แท้ก็คิดเหมือนกับตน คือเพื่อให้ยืนอยู่ในตระกูลหลินในอนาคตได้อย่างสูงและมั่นคงยิ่งขึ้น!


“ไปเถอะ วันนี้เป็นวันที่ผู้นำตระกูลเรียกประชุมตระกูล ในเวลาเช่นนี้ พวกเราเหล่าคนชั้นล่างและข้ารับใช้จะเกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวไม่ได้เด็ดขาด หากวันนี้เจ้าแสดงความสามารถจนทำให้ข้าพอใจได้ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ข้าก็จะปล่อยให้แล้วกันไป”


ยามหม่าหย่งเอ่ยก็เดินไปข้างหน้าอย่างรีบเร่ง


เสี่ยวเหยียนรีบร้อนตามไป


“อ๊ะ หัวหน้าพ่อบ้านหลินจง ท่านมาก่อนแล้วหรือ”


ไม่นานนักเสี่ยวเหยียนก็อึ้งไป ก็เห็นว่าผู้ดูแลหม่าหย่งที่ตนนับถือที่สุด เวลานี้กลับวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง ใบหน้าระบายรอยยิ้มกระตือรือร้นและถ่อมตัว โค้งกายคารวะชายชราผู้หนึ่ง เคารพยำเกรงอย่างบอกไม่ถูก


‘ผู้ดูแลเขา..’ เสี่ยวเหยียนงงงวยแล้ว


ในใจเขา หม่าหย่งก็เหมือนเทพเจ้าในหมู่ข้ารับใช้ อำนาจยิ่งใหญ่ ฐานะสูงส่ง


เสี่ยวเหยียนลอบปลุกปลอบใจตนเสอมมาว่า ชีวิตนี้หากได้ขึ้นถึงตำแหน่งนั้นของผู้ดูแลหม่าหย่ง ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว


แต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางอ่อนน้อมเช่นนี้ของหม่าหย่ง กลับนำความหวั่นไหวและกระทบกระเทือนอย่างบอกไม่ถูกมาสู่จิตใจของเสี่ยวเหยียน


“ยังมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบมาคารวะหัวหน้าพ่อบ้านหลินจงสิ!” หม่าหย่งหันหน้ามาตวาดใส่เสี่ยวเหยียน


เสี่ยวเหยียนรีบร้อนมาคารวะ ในใจกลับเหมือนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ในที่สุดก็นึกออกว่าหัวหน้าพ่อบ้านหลินจงเป็นใครแล้ว


คนผู้นี้เป็นถึงบุคคลยิ่งใหญ่ที่ปรนนิบัติข้างกายผู้นำตระกูล! ลือกันว่าหัวหน้าพ่อบ้านหลินจงยังเคยรับใช้ผู้นำตระกูลรุ่นก่อน สถานะในภูเขาชำระจิตสูงส่งจนน่าตกใจ!


ในใจของข้ารับใช้ในภูเขาชำระจิตเหล่านั้น หลินจงช่างเหมือนบุคคลบนฟ้า!


หลินจงชำเลืองมองหม่าหย่งกับเสี่ยวเหยียนปราดหนึ่ง ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้ต้องกระฉับกระเฉง ทำงานดีๆ นะ”


พูดจบก็หันกายจากไป


หม่าหย่งรีบค้อมกายส่ง กระทั่งหลินจงเดินไปไกล เวลานี้หม่าหย่งถึงได้ยืดตัวขึ้นมา พูดอย่างทอดถอนใจว่า “เสี่ยวเหยียน เห็นหรือยัง หัวหน้าพ่อบ้านหลินจงจึงจะเป็นเป้าหมายที่ข้าต่อสู้ดิ้นรน หากชีวิตนี้สามารถเก่งได้สักสามส่วนของเขา ข้าตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว”


เสี่ยวเหยียนตกตะลึง ในใจปั่นป่วน เขาไม่ได้บอกหม่าหย่งว่าตั้งแต่นี้ไป เขาก็มองหลินจงเป็นจุดสูงสุดที่เขาปรารถนาจะไปถึงในชีวิตนี้แล้ว!


เมื่อหม่าหย่งพาเสี่ยวเหยียนมาถึงยอดเขาชำระจิต แม้ว่าฟ้าเพิ่งสว่าง แต่บนที่ราบเหนือภูเขากว้างใหญ่หาใดเทียบนั้นมีเงาร่างยืนเต็มไปหมดอยู่ก่อนแล้ว


คนในตระกูลหลินสายรองสี่สาย แสงอุดร ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุล้วนรออยู่ที่นั่นอย่างเป็นระเบียบนานแล้ว


ทุกคนสีหน้าเคร่งขรึม ไม่กล้าพูดจาเหิมเกริม รออยู่เงียบๆ มีเพียงเสียงหวีดหวิวของลมภูเขายามเช้าตรู่ดังก้อง


นอกจากนี้เหล่าชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น รวมถึงผู้เฒ่าเตียว หยางหลิง และชื่อเซวี่ยก็ล้วนมาถึงยอดเขา เงาร่างแน่นขนัด กลับไม่มีเสียงอึกทึกหรือความวุ่นวาย บรรยากาศดูน่าเกรงขามยิ่ง


เสี่ยวเหยียนจิตใจกระตุกวูบ เขามีฐานะเป็นข้ารับใช้มาตลอด จึงเพิ่งเคยเห็นคนใหญ่คนโตมากมายขนาดนี้ครั้งแรก ทำให้เขาตื่นเต้นจนหายใจไม่สะดวก


เขากับหม่าหย่งยืนอยู่บริเวณสุดชายขอบของฝูงชน ขณะเดียวกันในบริเวณนี้ยังมีสาวใช้ ผู้ดูแลและข้ารับใช้บางส่วนรวมตัวอยู่


ที่ทำให้เสี่ยวเหยียนดวงตาแข็งทื่อก็คือ เวลานี้ด้านหน้าสุดของที่นั้น ขนาดเหล่าบุคคลชั้นสูงของภูเขาชำระจิตอย่างพวกหัวหน้าพ่อบ้านหลินจง หลินไหวหย่วนแห่งแสงอุดร และเสี่ยวเคอก็มาก่อนแล้ว ไม่สายเลยสักคน ทั้งไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบ


ส่วนหม่าหย่งที่อยู่ข้างเสี่ยวเหยียนก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เพราะเขาได้เห็นผู้อาวุโสแห่งแสงอุดรหลินเป่ยกวง ผู้อาวุโสแห่งธารประจิมหลินซีซี รวมถึงผู้อาวุโสแห่งคานเมฆาหลินอวิ๋นเหิง คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสเหล่านี้ก็ปรากฏตัวแล้ว!


ด้วยฐานะของพวกเขาล้วนสามารถเข้าโถงมาอย่างผ่าเผย และนั่งร่วมประชุมตระกูลครั้งนี้ได้ แต่เวลานี้พวกเขากลับยืนรออยู่ตรงนั้นเหมือนคนอื่น!


‘อำนาจของผู้นำตระกูล แค่ดูจากสิ่งนี้ก็รู้แล้ว!’


หม่าหย่งลอบทอดถอนใจ ในสมองอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ประหนึ่งตำนานของผู้นำตระกูลของตนไม่ได้ ในใจมีความเคารพเทิดทูนท่วมท้นขึ้นมา


แกร๊ง!


เมื่อแสงอุษายามเช้าตรู่ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า สาดส่องใต้หล้า เสียงระฆังทรงพลังเสียงหนึ่งก็ดังเนิบนาบขึ้นบนยอดเขาชำระจิต


ทุกคนในที่นั้นจิตใจสั่นสะท้าน สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม แต่สายตาของพวกเขากลับพากันมองไปยังบันไดตรงตำหนักชำระจิตนั้น


บรรยากาศในเวลานี้ถึงกับมีความรู้สึกหนักแน่นศักดิ์สิทธิ์น่ายำเกรง


เงาร่างสูงโปร่งอาบแสงยามเช้า เดินออกมาจากตำหนักภายใต้สายตาของฝูงชน


เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ทั้งตัว ผมดำปลิวไสว คิ้วตรงแน่วดั่งกระบี่ ใบหน้าหล่อเหลาหนักแน่นเรียบเฉยและสงบนิ่ง เงาร่างสันโดษเหนือโลกา บังเกิดเป็นภาพราวนิมิตใต้แสงอุษา


ระวห่างที่กำลังเหม่อลอย ทำให้คนนึกว่าเขาเป็นเทพจุติองค์หนึ่ง เดินออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ มีความน่าเกรงขามไร้รูปร่างที่สามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณ


“คารวะผู้นำตระกูล!”


เวลานี้ทุกคนในที่นั้นล้วนพากันคารวะโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นราวกลองใหญ่ที่สั่นสะเทือนฟ้าดิน


หลินสวินในตอนนี้กกวาดสายไปทั่วทั้งที่นั้น ในใจกลับกำลังคิดว่าหากบิดาและมารดาที่ตนไม่เคยพบหน้ามาก่อนได้เห็นภาพนี้ จะรู้สึกยินดีหรือไม่


โดยไม่ได้ตั้งใจ หลินสวินสังเกตเห็นว่าที่หางตาของลุงจงมีหยดน้ำตาที่ไม่อาจสังเกตได้ง่าย สีหน้าเขาเหม่อลอยทั้งหวั่นไหว อาจจะเป็นเหมือนตน กำลังนึกถึงบิดามารดาของตนอยู่กระมัง


นิ่งเงียบครู่ใหญ่ เวลานี้หลินสวินถึงได้สูดหายใจลึก ดวงตาหันไปทางตะวันยามเช้าตรู่ กวาดมองไปทั่วทั้งที่นั้นแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนี้ตระกูลหลิน… ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว!”


ในเสียงนั้นมีทั้งความยินดีและความภาคภูมิที่เห็นได้ยาก ราวอสนีบาตเก้าชั้นฟ้าดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน ไหวกระเพื่อมภายในจิตใจของทุกคน


__

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)