Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 670-671
ตอนที่ 670 บุรุษผู้ถูกขนานนามว่าราชันกระหายเลือดผู้หนึ่ง
โดย
ProjectZyphon
“หลินสวิน เจ้าจะต้องชดใช้สิ่งที่เจ้าทำวันนี้!”
“พวกเจ้าตระกูลหลินจะสิ้นชื่อเพราะสิ่งนี้!”
ฉินเสวียนตู้ถูกบีบให้จนมุม ทำให้เขาพังทลายอย่างหมดสิ้น ร้องคำรามข่มขู่อย่างไม่ปิดบังราวเสียสติ
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด ใครก็ไม่อาจสงบใจได้
ไม่แน่บางทีสิ่งที่ฉินเสวียนตู้พูดอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้อง วันนี้มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติตายไปมากมายขนาดนั้น แม้จะเป็นสองตระกูลจั่วและฉิน ก็ยังเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงหาใดเทียบ
เช่นเดียวกัน นี่ก็เป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง!
ไม่ว่าจะเป็นเพราะล้างแค้น หรือเพราะต้องการลบคำสบประมาท ตระกูลจั่วและฉินย่อมไม่อาจรามือแต่โดยดี หาไม่แล้ว นี่จะทำให้พวกเขายืนหยัดในนครต้องห้ามในภายหลังได้อย่างไร
เป็นถึงตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ยักษ์ใหญ่อันเป็นที่ยำเกรงในใต้หล้า กลับพบเจอการโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้ จะกล้ำกลืนฝืนทนได้อย่างไร
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ การข่มขู่เช่นนี้อาจทำให้ผู้คนในใต้หล้าใจสั่นระรัวและหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้ผลกับหลินสวิน
เหนือเวิ้งฟ้า หลินสวินยืนอย่างสันโดษ อาภรณ์ปลิวไสว ทวนสีเทาเข้มในมือยังคงหลั่งเลือดแดงฉานบาดตา
“ความตายมาเยือนแล้วยังกล้าข่มขู่ข้า เมื่อกี้เกราะหัวใจช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าจะยังรอดไปไหม!”
ท่ามกลางเสียงเรียบเฉย อาสัญแหลกสลายพุ่งแทงออกไป บดขยี้ห้วงอากาศ!
ตูม!
ห้วงอากาศระเบิดกระจุยด้วยพลานุภาพของคมทวน พุ่งตรงแน่วแน่ไม่อาจต้านทาน!
เพียงแค่การโจมตีด้วยทวนเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทุกคนรับรู้อย่างลึกซึ้งว่า แม้เผชิญหน้ากับการคุกคามดังกล่าว หลินสวินก็ไม่เคยสนใจสักนิด หาไม่แล้ว การโจมตีนี้จะแน่วแน่ ดุดัน และทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจ้า…”
ดวงตาโกรธแค้นของฉินเสวียนตู้เบิกโพลง หมายจะสู้ถวายชีวิต แต่เมื่อถึงเวลาชี้เป็นชี้ตาย เขากลับถอยไปอย่างหมดรูปและคับแค้นใจ
เขารู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน แต่ก็ไม่อยากตายด้วย จึงทำได้เพียงหลบหนีเช่นนี้
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่ลือชื่อทั่วนครต้องห้ามผู้หนึ่ง กลับถูกบีบคั้นจนหมดสภาพเช่นนี้ นี่ทำให้ผู้ที่ติดตามศึกนี้หลายคนปวดใจ
ก่อนหน้านี้ฉินเสวียนตู้มีท่าทางโอหังสูงส่งเกินธรรมดา สง่างามราวเซียน มองหลินสวินเป็นเพียงเนื้อบนเขียง
แต่ตอนนี้ พรรคพวกข้างกายเขาถูกฆ่าตายไปก่อนแล้ว มีเพียงเขาผู้เดียวที่ถูกบีบจนต้องหลบหนีอย่างหมดรูป ความแตกต่างนี้มากเกินไปแล้ว ทั้งยังพาให้คนหวาดหวั่น
“ตาย!”
ฉึก! ทวนสีเทาเข้มวาดรัศมีโค้งดุดัน พุ่งใส่คอหอยของฉินเสวียนตู้ราวแสงส่อง
ฉินเสวียนตู้ใบหน้าซีดขาว ไม่อาจหลบหนีได้แล้ว การโจมตีนี้ปิดตายทางหลบหนีของเขาไว้รอบทิศไว้ก่อนแล้ว ทำให้เขาจะหนีก็หนีไม่ได้!
เพียงแต่กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ว่าต่อให้พลังต่อสู้ของหลินสวินสามารถสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่เขาไม่กังวลถึงการล้างแค้นโหดเหี้ยมจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจริงหรือ
หรือบนโลกนี้จะไม่มีเรื่องที่เขาหวาดกลัวจริงๆ
“เจ้าเด็กนี่ช่างกล้า!”
และในช่วงชี้เป็นชี้ตายของวิกฤตินี้ เสียงที่เต็มไปด้วยความเยียบเย็นเฉยชาเสียงหนึ่งดังกึกก้อง เพียงแค่เสียงก็ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ห้วงอากาศปั่นป่วน
สายสืบมากมายที่กระจายอยู่ในมุมมืดยิ่งสั่นเทาไปทั้งตัว ดวงตาพร่ามัว เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด
สัทครรลองมหามรรค ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง
ทุกคนตกตะลึง
“ผู้อาวุโสนี่!”
มีเพียงฉินเสวียนตู้เท่านั้นที่รู้สึกว่าเสียงนี้ช่างไพเราะราวเสียงสวรรค์ ทำให้เขาดีใจแทบคลั่ง เห็นความหวังท่ามกลางสถานการณ์คับขัน
เพียงแต่…
ฉินเสวียนตู้พลันได้ยินเสียงอู้อี้แปลกประหลาดเสียงหนึ่ง พร้อมกับเสียงกรอบแกรบของกระดูกแตกสลาย ทันใดนั้นความปรีดาและความหวังที่บังเกิดขึ้นในนัยน์ตาของเขาก็แข็งทื่อในชั่วพริบตานั้น
พรูด!
โลหิตพุ่งสาดออกมา แดงฉานร้อนระอุดูงดงาม ย้อมโลกตรงหน้าให้เป็นสีแดง
ฉินเสวียนตู้ก้มหัว คราวนี้ถึงเห็นว่าทวนยาวสีเทาเข้มแทงเข้ามาที่คอของเขาแล้ว ส่วนโลหิตที่พุ่งกระจายออกมานั้นก็มาจากตนเอง…
“เจ้า… เจ้า… เหตุใดถึงกล้า…”
ฉินเสวียนตู้อ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คอหอยแหลกละเอียด ทำให้เขาพูดไม่ได้อีกแล้ว เพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดำมืด แล้วสิ้นสติไป
ฉึก!
หลินสวินถอนทวนยาวออกมา ศพของฉินเสวียนตู้ตกลงจากท้องฟ้า
กระทั่งตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติหกคนที่สองตระกูลจั่วและฉินส่งมาล้วนถูกหลินสวินคนเดียวปลิดชีพ ไม่รอดชีวิตสักคน!
นี่เป็นผลการต่อสู้ที่สามารถสะเทือนทั้งใต้หล้าได้ ปาฏิหาริย์ที่เหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นเหนือเวิ้งฟ้านครต้องห้าม
ไม่ว่าใครได้เห็นการต่อสู้นี้ เกรงว่าจะจิตใจสั่นระรัวและตื่นตะลึง
เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่ทันได้ประหลาดใจแล้ว สายตาของพวกเขาต่างฉายแววสะเทือนขวัญ มองไปทางเดียวกัน
บนห้วงอากาศนั้น ชายชราสวมชุดนักปราชญ์ มวยผมปักดาบโบราณขนาดเล็กกะทัดรัดผู้หนึ่งไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร
ชายชราเงาร่างผอมบาง แต่ยืนตระหง่านตรงนั้นกลับทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน มีอานุภาพน่าหวาดหวั่นยากบรรยาย เหมือนราชันองค์หนึ่งกำลังก้มมองโลกหล้าจากบนเก้าชั้นฟ้า!
ฉินชางเจี่ย!
ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องขุมอำนาจใหญ่ในนครต้องห้าม แทบจะจำได้ในทันทีว่า ชายชราผู้นี้ก็คือสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งของตระกูลฉิน ผู้อาวุโสที่ครอบครองพลังปราณราชันระดับสังสารวัฏ!
เขามีนามว่าฉินชางเจี่ย หลายร้อยปีก่อนก็มีชื่อในโลกหล้า อานุภาพคับฟ้า ชื่อเสียงสั่นสะเทือนสี่น่านน้ำ เพียงแต่หลายปีนี้ปิดด่านเก็บตัวโดยตลอด ออกมาให้เห็นหน้าน้อยนัก
เพียงแต่ใครก็ไม่คาดคิดว่า ในวันนี้เอง การเคลื่อนไหวที่พุ่งเป้าไปยังหลินสวิน จะถึงกับดึงให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งออกมาได้!
นี่น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!
เพราะทุกคนต่างรู้ว่าบุคคลอย่างราชันระดับสังสารวัฏ สำหรับผู้ฝึกปราณในโลกแล้วช่างประหนึ่งทวยเทพ เรื่องทั่วไปไม่อาจทำให้พวกเขาปรากฏตัวได้เลย
แต่ตอนนี้ ฉินชางเจี่ยกลับมาแล้ว!
ทั้งที่นั้นต่างเงียบเชียบ
เวลานี้แม้แต่คนใหญ่คนโตบางส่วนซึ่งจับตามองเหตุการณ์ที่นี่จากที่ต่างๆ ในนครต้องห้าม ก็ล้วนอดไม่ได้ลอบตื่นตระหนก ด้วยฐานะของฉินชางเจี่ย เขาถึงกับมาด้วยตัวเอง!?
ในนครต้องห้ามไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว
“เด็กนี่มีภัยแล้ว!”
นี่เป็นความคิดร่วมกันของทุกคน
เมื่อราชันระดับสังสารวัฏปรากฏกาย ผลการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของหลินสวินจะเลอเลิศสะดุดตาเพียงใดก็ต้องถูกฆ่าทิ้ง ที่รอคอยเขาอยู่อาจมีเพียงความตาย
เวลานี้หลินสวินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย การปรากฏตัวของฉินชางเจี่ยทำให้เขารู้สึกเกินคาดเป็นครั้งแรก ทั้งยังทำให้จิตสังหารในใจเขายิ่งรุนแรง
พวกหลินจงเกร็งไปทั้งตัว มือเท้าเย็นเฉียบ ทำอย่างไรดี ราชันระดับสังสารวัฏปรากฏตัวแล้ว หรือเคราะห์ในวันนี้จะไม่มีทางสลายได้แล้ว
ฉินจื่อหมิงที่คุกเข่ากับพื้นทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ความรู้สึกเขาแปรปรวนขึ้นลงยิ่งนัก จิตใจกระทบกระเทือนจนสิ้นหวังไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นฉินชางเจี่ย เขาก็ร้องไห้ออกมา ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
‘หลินสวิน! คราวนี้เจ้าต้องตายแน่!’ เขาคำรามอย่างแค้นเคืองอยู่ในใจ
หลังจากฉินชางเจี่ยปรากฏตัว ก็กวาดสายตามองไปยังร่างมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนอย่างฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋ง แล้วก็มองมายังหลินสวิน
เขาสีหน้าสงบนิ่ง สงบนิ่งจนถึงขึ้นเรียบเฉยเย็นชา สายตาที่มองมายังหลินสวินก็เหมือนกำลังมองคนตายคนหนึ่งอยู่ ไม่มีคลื่นอารมณ์อื่นใดเช่นกัน
แต่อานุภาพไร้รูปนั้นกลับกดทับจนทั้งที่นั้นหายใจไม่ออก
“กากเดนตระกูลหลินน้อยๆ คนหนึ่ง กลับกล้าก่อความวุ่นวายในนครต้องห้าม วันนี้จะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!”
ฉินชางเจี่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ถามที่มาที่ไป พูดเพียงเท่านี้ประหนึ่งตัดสินนักโทษ มีพลังที่ไม่อาจท้าทายได้ง่าย
นี่ก็คือพลานุภาพแห่งราชัน โอหังต่อทุกอย่างในโลก ยืนอยู่บนยอดหมู่ภูเขา ยามบุคคลระดับนี้คิดจะฆ่าใครสักคน ก็ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ เลย
พวกหลินจงพลันหน้าเปลี่ยนสีในทันใด
ผู้แข็งแกร่งมากมายที่กระจายตัวอยู่ในมุมมืดก็ลอบถอนใจ หลินสวินจะเย้ยฟ้ากว่านี้แล้วอย่างไรเล่า ชั่วขณะที่ราชันระดับสังสารวัฏปรากฏตัวขึ้น ที่รอเขาอยู่ก็มีเพียงความตาย!
ตูม!
ฉินชางเจี่ยลงมือแล้ว ตรงไปตรงมายิ่งนัก นี่เป็นความแข็งกร้าวที่กระทำตามวิถีตน จะสนไปไยว่าเจ้าเป็นใคร ทั้งไม่สนว่าเจ้าจะคิดอย่างไรด้วย ฆ่าก่อนค่อยว่ากัน!
มือใหญ่มือหนึ่งที่ขาวสะอาดราวหยกบดบังฟ้าดิน โอบล้อมด้วยรัศมีมหามรรคที่ยากหยั่งถึง ปกคลุมลงมาจากฟากฟ้า
โครม!
ห้วงอากาศพังทลายโดยสิ้นเชิง ภายใต้การปกคลุมของมือใหญ่นี้ ทำให้ทั้งที่นั้นรู้สึกสิ้นหวังและกระวนกระวาย
ส่วนหลินสวินที่เป็นผู้รับเคราะห์กลับสงบนิ่งไม่ตระหนก ในฝ่ามือของเขามีแสงสีเงินราวภาพนิมิตเพิ่มขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ในสายตาถึงกับมีแววเย้ยหยันเลือนราง
“เหอะ อานุภาพมากมายนัก!”
แต่หลินสวินยังไม่ทันเคลื่อนไหว เสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกก็ดังขึ้นราวอสนีบาต
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ฟ้าดินราวพลิกกลับ ปั่นป่วนครึกโครม มีจิตสังหารรุนแรงราวพายุเพิ่มขึ้นมา
เมื่อเสียงนี้เงียบลง ก็เห็นว่ามือใหญ่บดบังฟ้าที่ขาวสะอาดราวหยกนั้น แหลกสลายสะเทือนเลือนลั่นเหมือนกระจกแผ่นหนึ่ง มลายหายไปจากที่นั้น
นี่….
ทั่วบริเวณตกตะลึง รู้สึกว่าเหมือนสมองใช้การไม่ได้แล้ว ประโยคเดียวก็ทำลายการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้หรือ
ใครเคยเห็นกัน
มีเพียงอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ที่ดูสงบนิ่งนัก เขาเหมือนจะคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ชั่วขณะที่ฉินชางเจี่ยปรากฏกาย ตัวเขากลับเห็นใจ ต่างจากผู้อื่นที่ตื่นตะลึง
เพราะเขารู้ว่า มีคนที่จะไม่ยอมให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น!
“หืม?”
นัยน์ตาฉินชางเจี่ยหดรัด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผยอารมณ์นับตั้งแต่ที่ปรากฏตัว สายตามองไปทางจ้าวไท่ไหล
“เจ้าเป็นใครถึงกล้าขวางข้าไม่ให้ฆ่าคน” เขาเอ่ยเสียงเรียบเฉย
ทุกคนพากันอึ้งงัน ประโยคเมื่อกี้ประโยคเดียวก็สลายการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้ ทั้งยังเป็นจ้าวไท่ไหล เจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ผู้นี้!?
พวกหลินจงต่างตาเบิกกว้าง
เหล่าสายสืบที่อยู่ในมุมมืดยิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง
ขนาดหลินสวินยังอึ้งไปเล็กน้อย ในใจลอบเอ่ยว่า ‘ดูท่า ก่อนหน้านี้จะประเมินความสามารถของจิ้งจอกเฒ่านี่ต่ำไปสินะ…’
เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินสงสัยคือ คนระดับฉินชางเจี่ย เหตุใดถึงไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของจ้าวไทไหล
“ดูท่าหลายปีมานี้ข้าจะทำตัวเงียบเชียบเกินไป ในนครต้องห้ามนี้ไม่มีใครจำข้าได้แล้ว”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะหยันตัวเอง จากนั้นเขาก็เงยหน้าโดยพลัน ในดวงตาราวสะท้อนทิวทัศน์น่าหวาดหวั่นของภูเขาศพทะเลเลือด จิตสังหารราวภูเขาไฟพุ่งทะลุเวิ้งฟ้า สั่นคลอนธารดารา!
ชั่วพริบตา ทุกคนราวกับเห็นเทพสังหารที่เดินออกมาจากนรกใต้โลกา ฟ้าดินปกคลุมไปด้วยจิตสังหารและการนองเลือดน่ากลัว
ผู้ที่พลังค่อนข้างอ่อนบางคนยิ่งตกใจจนเข่าอ่อน ทรุดลงไปกับพื้น สั่นระริกไปทั้งร่าง
แม้เป็นพวกหลินจงก็ยังหายใจติดขัด หน้าซีดขาว จิตสังหารนี้เข้มข้นเกินไปแล้ว สองมือต้องย้อมเลือดมามากแค่ไหน ถึงได้มีพลานุภาพน่าตื่นตะลึงเช่นนี้
เวลานี้จ้าวไท่ไหลเปลี่ยนไปแล้ว รูปร่างที่อ้วนพีแต่เดิมกลับแปรเปลี่ยนเป็นกำยำผ่าเผย ราวยอดเขาโดดเดี่ยวที่แทรกตัวเข้าไปในเมฆาอย่างองอาจ คิ้วราวกระบี่ ดวงตาเปล่งรังสีเทพ พลานุภาพรุ่งโรจน์จนทำให้ฟ้าดินร้องระงม!
“ราชันกระหายเลือด!”
ก็เห็นว่าสีหน้าของฉินชางเจี่ยพลันเปลี่ยนไป ถึงกับเผยความตื่นตระหนกที่ยากพบเห็น เอ่ยเสียงหลงว่า “เหตุใด… ถึงเป็นท่าน!”
ราชันกระหายเลือด!
เมื่อได้ยินฉายานี้ หลายคนก็อึ้งไป รู้สึกแปลกหูหาใดเทียบ
แต่คนใหญ่คนโตบางส่วนที่จับจ้องสถานที่นี้จากแต่ละที่ในนครต้องห้าม เมื่อได้ยินฉายานี้ก็ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ ในใจบังเกิดความหนาวเยือกที่ไม่อาจควบคุมได้
เหตุใดถึงเป็นเขา!?
พวกเขานึกไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปีจะได้ยินฉายานี้อีกครั้ง ทั้งยังได้เห็นเทพสังหารท่านนี้กับตาตัวเอง!
“ตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์ขวางเจ้าหรือไม่”
ในที่นั้นจ้าวไท่ไหลเอ่ยปาก เขาต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง เมื่อลืมตาจิตสังการพุ่งทะลวงเมฆา วาจาสงบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังกดดัน
‘ราชันกระหายเลือด… เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่เหตุใดถึงมีฉายานี้ได้…’ หลินสวินออกจะงงงัน เขานึกถึงช่วงเวลาที่ฝึกปราณในค่ายกระหายเลือด ทั้งนึกถึงประโยคที่สลักไว้หน้าประตูใหญ่ของค่ายกระหายเลือด…
ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!
ราชันกระหายเลือด ค่ายกระหายเลือด…
สองอย่างนี้จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่
กลับเห็นว่าเวลานี้ฉินชางเจี่ยสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ไม่เรียบเฉยและสุขุมเหมือนก่อนหน้านี้ เขาเป็นถึงราชันระดับสังสารวัฏเชียวนะ!
แต่ตอนนี้กลับเหมือนหวาดกลัวจ้าวไท่ไหลอย่างหาใดเทียบ นี่ทำให้ทุกคนต่างยิ่งตกตะลึงแล้ว ต่อให้ไม่รู้ว่าฐานะ ‘ราชันกระหายเลือด’ นี้หมายถึงอะไร แต่พวกเขาก็รับรู้ได้ว่า นี่เป็นคนที่สามารถทำให้ราชันสังสารวัฏหวาดหวั่นได้!
“คิดไม่ถึงว่าที่เด็กคนนี้เหิมเกริมไม่หวั่นกลัวเช่นนี้ได้ เพราะมีที่พึ่งพิงนี่เอง ช่างเถอะๆๆ เรื่องวันนี้ข้าจะไม่ถือสาอีก”
นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ฉินชางเจี่ยพลันถอนหายใจ หันกายจะจากไป
“เมื่อเทียบกับพี่ชายเจ้า เรื่องความกล้า เจ้าต่างกับเขามาก”
จ้าวไท่ไหลส่งเสียงหึหยัน
ฉินชางเจี่ยเงียบงันไม่พูดสักคำ แล้วลอยล่องจากไป
จะจากไปเช่นนี้หรือ
ทุกคนไม่อาจสงบใจได้ เดิมทีฉินชางเจี่ยมาด้วยท่าทีรุนแรง ไม่ถามที่มาที่ไปก็จะปลิดชีพหลินสวินเสียตรงนั้น ไม่ว่าใครก็คิดว่าหลินสวินต้องพบเคราะห์
แต่ใครจะคิดว่าชั่วพริบตา ราชันระดับสังสารวัฏอย่างฉินชางเจี่ยผู้นี้กลับข่มอารมณ์กลืนคำพูด ยอมแพ้แล้วจากไป กระทั่งไม่กล้าไปสงสัยหรือดิ้นรน
นี่ช่างดูเหลือเชื่อไปแล้ว
ราชันกระหายเลือดหรือ
ฐานะนี้มีพลังคุกคามน่ากลัวเช่นนี้จริงหรือ
……
พายุลูกหนึ่งที่เกิดขึ้น ณ หอสมบัติตะวันมงคล หลังจากฉินชางเจี่ยจากไปก็ปิดฉากลง
แต่การผลกระทบจากช่วงชิงความเป็นใหญ่ครั้งนี้กลับเพิ่งเริ่มขึ้น!
ตั้งแต่เมื่อคืน หลินสวินกลับมายังนครต้องห้ามอย่างปลอดภัย ตัวเขาคนเดียวก็บุกสังหารคนตระกูลหลินสายรอง ฟันหัวคนจนเลือดไหลรินเกลื่อนพื้น ใช้วิธีแข็งกร้าวประกาศการกลับมาของตน ทั้งใช้เวลาหนึ่งคืนรวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่ง
และวันนี้ ขุมอำนาจตระกูลหลินที่มีหลินสวินเป็นผู้นำออกโจมตีอย่างแข็งกร้าว ชิงกิจการสิบกว่าแห่งที่ถูกสองตระกูลฉินและจั่วยึดครองในตอนนั้น เปิดฉากสังหารนองเลือด
กระทั่งตอนนี้ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน ที่เหนือเวิ้งฟ้าของนครต้องห้าม หลินสวินใช้พลังระดับหยั่งสัจจะ มือถืออาวุธสำคัญประจำตระกูลหลิน ‘อาสัญสลาย’ โจมตีสังหารมหายุทธ์ผู้มีอิทธิพลในระดับกระบวนแปรจุติหกคนกลางวงล้อม สะท้านขวัญไปทั้งที่นั้น
แม้ว่าราชันระดับสังสารวัฏฉินชางเจี่ยมาเยือนด้วยตัวเอง ก็ถูกบีบให้ยอมจำนนแล้วจากไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งที่ถูกมอบฉายาว่า ‘ราชันกระหายเลือด’
ไม่ว่าใครก็รับรู้ได้ว่า การปิดฉากของพายุครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ผลกระทบที่มันสร้างขึ้นต้องทำให้นครต้องห้ามอึกทึกครึกโครม ทำให้ใต้หล้าหันมามองเป็นแน่!
ตอนที่ 671 อำนาจทั่วนครหลวง
โดย
ProjectZyphon
ตระกูลฉือ
พฤกษาพลิ้วไหว หมู่ไผ่ปกคลุมหนาแน่น
เหนือภูเขาจำลองศาลาไม้ บนทิวเขาและยอดเขาด้านหนึ่ง น้ำตกไหลรินลงมาราวมังกรขาว ฟองน้ำสาดกระเซ็นออกมาดุจไข่มุกล้ำค่า
ผู้นำตระกูลฉือฉือหลิงเซียวแต่งกายด้วยชุดขาวทั้งตัว นั่งหลังตรงกลางศาลาไม้ มือถือคัมภีร์ม้วนหนึ่ง กำลังอ่านอย่างสบายใจ
ฉือฉางเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“สองตระกูลฉินและจั่วนี่มือเติบเสียจริง ไม่ลงมือก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อลงมือก็ใช้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติถึงหกคน ทุกคนล้วนเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียงมานานปี ไม่มีใครธรรมดาเลยสักคน ดูท่าหลินสวินผู้นั้นคงไม่มีหวังจะรอดชีวิตอีกแล้ว”
ฉือฉางเหมยพึมพำ เมื่อได้ข่าวนางก็ตระหนกอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าตระกูลจั่วและฉินจะถึงกับโหดเหี้ยมปานนี้
“ท่านพ่อ เหตุใดสองตระกูลจั่วและฉินถึงระดมคนมามากเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ” นางอดเอ่ยถามไม่ได้
สายตาฉือหลิงเซียวจดจ้องคัมภีร์ในมือแล้วกล่าวว่า “ต้องเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ข่มขวัญผู้คนในใต้หล้า หน้าตาของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งจะท้าทายลบหลู่ได้ตามอำเภอใจ”
ฉือฉางเหมยร้องอ้อ แล้วจมสู่ความเงียบงัน
เท่าที่นางรู้ นครต้องห้ามในวันนี้ ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ล้วนส่งสายสืบออกมาราวกระแสน้ำ ต่างติดตามความปั่นป่วนครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
กระทั่งว่าแม้แต่พวกเขาตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลฉือ ซ่ง ฮวา และเซี่ย ก็ล้วนให้ความสนใจทุกอย่างนี้
อย่างไรเสียนครต้องห้ามก็ไม่เคยเกิดเรื่องราวเช่นนี้มานานหลายปี ดุพายุเหิมเกริม ดึงดูดให้ทั้งโลกจับจ้อง
ฝ่ายหนึ่งเป็นตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ตระกูลตกต่ำที่ยังเทียบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่างไม่ได้ มีเพียงหลินสวินผู้เดียวที่มีชื่อเสียงน่าตื่นตายิ่ง เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ความสามารถสมชื่อ โดดเด่นเกินใครในรุ่นเดียวกัน มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้า
อีกด้านหนึ่งกลับเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลจั่วและฉิน อำนาจล้นฟ้า มีอิทธิพลทั่วจักรวรรดิ ราวกับยักษ์ใหญ่ที่ยึดครองผืนเมฆาสูงส่ง ยืนหยัดผ่านลมฝนนานปีไม่ล้มลง น่าเกรงขามราวมหาสมุทร
และตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายปะทุขึ้นในนครต้องห้าม นี่ช่างเหมือนแผ่นดินไหวสะเทือนครั้งใหญ่ ไม่ว่าเป็นใคร น่ากลัวจะไม่อาจเพิกเฉยได้แล้ว
“น่าเสียดายนะ เด็กนี่ใจร้อนเกินไป ด้วยความสามารถและพลังของเขา ขอเพียงรอไม่กี่สิบกี่ร้อยปี ก็สามารถครอบครองอำนาจมหาศาลที่สามารถสู้กับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงให้รู้ดำรู้แดงได้อย่างแท้จริงแล้ว”
เท่าที่ฉือฉางเหมยดู การเคลื่อนไหวนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“เมื่อก่อนข้ายังนึกว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลไร้เทียมทานที่ยิ่งใหญ่หาได้ยากทั้งในอดีตและปัจจุบันผู้หนึ่งแน่ แต่ดูท่าตอนนี้ ข้อบกพร่องบนตัวเขาชัดเจนเกินไปแล้ว เพียงแค่ข้อเสีย ‘ก้าวร้าวไม่หวั่นกลัว ใจกล้าบ้าระห่ำ’ ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้!”
นี่ก็คือการรับรู้และประเมินที่นางมีต่อหลินสวิน ข้อดีชัดเจนนัก แต่ข้อเสียก็ร้ายแรงถึงชีวิตอย่างยิ่งเช่นกัน
“คำนวณเวลาดู ความวุ่นวายครั้งนี้ก็ควรจะจบลงแล้ว” ทันใดนั้นฉือหลิงเซียวที่กำลังอ่านคัมภีร์อยู่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าครุ่นคิด
“ท่านพ่อ ท่านว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรเจ้าคะ” ฉือฉางเหมยรีบร้อนเอ่ยถาม
“หึๆ” ฉือหลิงเซียวหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ได้มีคำตอบอยู่ในใจก่อนแล้วหรือ นางหนู เจ้าจำไว้นะ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเช่นนี้ไม่อาจลบหลู่ได้ ไม่ว่าใครที่ลบหลู่พวกเขาก็ต้องตาย”
ในใจฉือฉางเหมยบังเกิดความเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก
นางเห็นหลินสวินเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด อีกทั้งเป็นคู่แข่งที่นางหวาดหวั่นที่สุด ขนาดตระกูลฉือของพวกนางยังเคยต่อกรกับหลินสวิน แต่ก็ถูกเขาคลี่คลาย รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้
แม้แต่ฉือฉางเฟิงน้องชายของนาง เมื่อคราวงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี ก็เกือบตายด้วยน้ำมือของหลินสวิน
ไม่มีเวลาใดที่นางไม่คิดว่าจะเอาชนะคู่แข่งคนนี้ได้อย่างไร แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ในวันนี้เอง คู่แข่งเช่นนี้จะตายด้วยการสังหารของสองตระกูลจั่วและฉิน
นี่ทำให้นางออกจะผิดหวังและเสียใจ
“น่าเสียดาย จักรวรรดิในหลายปีมานี้ไม่ได้หาปีศาจเช่นนี้ได้ง่ายๆ กลับต้องสิ้นชื่อในวันนี้เสียแล้ว…”
ฉือฉางเหมยทอดถอนใจเบาๆ
“เจ้านี่นะ ไม่เข้าใจอะไรเลย ตั้งแต่เมื่อก่อนถึงตอนนี้ มีปีศาจไร้เทียมทานมากมายเพียงไหน แต่หลายคนในนั้นต่างอายุสั้น ราวกับดาวตกบนขอบฟ้า แม้เปล่งประกายแต่วูบเดียวก็หายไป”
ฉือหลิงเซียวหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ “แต่บนโลกกว้างใหญ่ใบนี้ มีเพียงพวกเราตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่ดำรงอยู่ยาวนาน ยืนหยัดผ่านลมฝนไม่ล้มลงไปได้! รอภายหน้าเจ้าก็จะเข้าใจว่าปีศาจกับผู้กล้าอะไรนี่ ในสายตาของพวกเราขุมอำนาจตระกูลใหญ่ สุดท้ายก็ไม่มีคุณค่า”
“หลิงเซียว ผู้อาวุโสเรียกพบ รีบมาที่หอบรรพชน!”
ทันใดนั้นเสียงทรงพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ฉือหลิงเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสออกจากการปิดด่านแล้วหรือ มีเรื่องอะไรทำให้ท่านผู้เฒ่าตื่นตระหนก”
“เกี่ยวข้องกับหลินสวิน!”
เมื่อได้ยินคำนี้เขาก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว ดวงตาฉายแววฉงน หรือเด็กนี่จะไม่ตายในความวุ่นวายนี้
ฉือหลิงเซียวไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบร้อนหายตัวไป
เหลือเพียงฉือฉางเหมยยืนตรงนั้นเพียงผู้เดียว ใบหน้างามเต็มไปด้วยเมฆหมอกแห่งความสงสัยเช่นกัน “เกี่ยวกับหลินสวินหรือ แต่ด้วยเรื่องความเป็นความตายของเขาคนเดียว เหตุใดขนาดผู้อาวุโสยังตระหนกเล่า”
ผู้อาวุโสตระกูลฉือ เป็นคนระดับปูชนียบุคคล ปิดด่านเก็บตัวบำเพ็ญตนมานานเกือบพันปีแล้ว แต่วันนี้กลับเรียกพบคนใหญ่คนโตในตระกูลเพราะหลินสวิน ความนัยในนี้น่าตระหนกเกินไปแล้ว
“รายงาน…!”
ไม่นานนักสายสืบคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลุกลี้ลุกลน เอ่ยอย่างร้อนรนและเร่งรีบว่า “คุณหนู แย่แล้วขอรับ หลินสวินเขา… เขายังไม่ตายขอรับ!”
“อะไรนะ”
ฉือฉางเหมยนิ่งอึ้งอย่างสิ้นเชิงอยู่ตรงนั้น ยังไม่ตายหรือ มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนยังฆ่าเขาไม่ได้หรือ หรือว่ามีคนยื่นมือช่วยชีวิตเขา
ต้องเป็นเช่นนี้แน่!
หาไม่แล้ว อาศัยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะของเขา จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
“เป็นใครลงมือช่วยเขา”
ฉือฉางเหมยถาม นางสูดหายใจลึก พยามยามสงบใจของตัวเอง
สายสืบนิ่งไป รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้วจึงรีบร้อนแจกแจง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอสมบัติตะวันมงคลออกมาเป็นฉากๆ
เมื่อรู้ว่าหลินสวินที่ตัวคนเดียวกับทวนหนึ่งเล่ม ถึงกับสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอย่างฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งได้ถึงหกคน สมองนางก็แทบระเบิดออกราวถูกสายฟ้าฟาด ไม่อาจสงบใจได้อีก
“เขา… เหตุใดเขาถึงได้แข็งแกร่งปานนี้”
ฉือฉางเหมยร้องตกใจเสียงหลง นางรู้ว่าตนเสียอาการแล้ว แต่เวลานี้ไม่อาจสนใจเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้
เมื่อคิดถึงผลการต่อสู้ร้ายกาจที่แทบจะเย้ยฟ้าเช่นนี้ของหลินสวิน ก็พาให้นางกระวนกระวายมาก สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
“อะไรนะ ผู้อาวุโสตระกูลฉินฉินชางเจี่ยก็เคลื่อนไหวแล้วหรือ นี่…”
เมื่อได้รู้เรื่องนี้นางกลับสูดลมหายใจเย็นเยียบ รับรู้ได้ในที่สุดว่าเหตุใดผู้อาวุโสตระกูลตนถึงตื่นตระหนก ทั้งเหตุใดจึงรีบเรียกบิดาของตนไปรวมตัว
ที่แท้ ในคลื่นพายุนี้ถึงกับมีราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่งปรากฏตัว!
นี่ช่างน่าตื่นตะลึงไปแล้ว!
ในนครต้องห้ามหลายปีมานี้ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ทันใดนั้นฉือฉางเหมยก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยถามว่า “พูดเช่นนี้ มีฉินชางเจี่ยลงมือแล้ว เช่นนั้นหลินสวินก็ตายแล้วกระมัง”
กลับเห็นว่าสายสืบส่ายหัว เอ่ยอย่างขมขื่นและคับข้องใจว่า “เปล่าขอรับ ฉินชางเจี่ยตกใจจนยอมรามือ รีบร้อนหนีไปเลย ไม่แม้แต่จะต่อต้าน คุณหนู จนตอนนี้ข้าน้อยก็ยังไม่เข้าใจ พวกเขาตระกูลฉินมีมหายุทธ์สิ้นชีพไปสามคน ฉินชางเจี่ยกลับยอมรามือเสียได้ นี่ยังเป็นราชันระดับสังสารวัฏจริงหรือ”
“ตกใจจนถอยหนีแล้ว…” ฉือฉางเหมยสับสนไปหมดแล้ว ในนครต้องห้ามนี้ จะมีใครมีอานุภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้อีก สามารถทำให้ฉินชางเจี่ยยอมจำนนแล้วจากไปได้ด้วยหรือ
นางขนหัวลุกไปหมด ข่าวนี้สร้างความตกใจแก่ผู้ที่ได้ยิน ทำให้นางไม่อาจยอมรับได้ชั่วขณะ
“เป็นใครกัน”
“จ้าวไท่ไหล เจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ขอรับ”
“เลอะเทอะ! เจ้าอ้วนนั่นก็แค่คนเจ้าเล่ห์ที่กะล่อนเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนในราชวงศ์คนหนึ่ง จะไปมีความสามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏตื่นตระหนกได้อย่างไร”
“แต่ว่า… นี่เป็นเรื่องจริงขอรับ ไม่เพียงแต่ข้าน้อย สายสืบจากตระกูลอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเห็นกับตา ไม่มีทางผิดแน่นอน ใช่แล้ว จ้าวไท่ไหลผู้นี้เหมือนมีอีกฐานะหนึ่งขอรับ”
“อะไรหรือ”
“ราชันกระหายเลือด!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉือฉางเหมยก็งงงันอย่างสิ้นเชิงแล้ว นางก็ไม่คุ้นชื่อนี้เช่นกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่สัญชาตญาณบอกนางว่า ราชันกระหายเลือดผู้นี้น่ากลัวถึงที่สุด บางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของเขา จึงสร้างความตระหนกให้ผู้อาวุโสของนาง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของนางก็สับสนและหวาดวิตก พึมพำว่า “หลินสวินคนนั้น… ที่แท้ก็ฆ่าไม่ตายจริงๆ หรือ”
“ท่านพ่อคิดผิดแล้ว เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ดาวตกที่เจิดจ้าวูบเดียวก็ดับไป เขาก็ไม่ได้ใจกล้าบ้าระห่ำ แต่มีที่พึ่งพิงตั้งแต่เริ่มจนจบต่างหากเล่า!”
เวลานี้ในใจฉือฉางเหมยบังเกิดความไม่พอใจอย่างแรงกล้า หลินสวิน! นี่เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่
ก็ในวันนั้นเอง เบื้องบนของตระกูลฉือรวมตัวกันเต็มหอบรรพชน ตัดสินใจว่าตั้งแต่วันนี้ไป ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน!
เมื่อได้รู้ข่าวนี้ ฉือฉางเหมยพลันอกสั่นขวัญแขวน นางรู้ว่าหากแม้แต่ตระกูลตนยังตัดสินใจเช่นนี้ จักรวรรดิในภายภาคหน้า เกรงว่าจะไม่มีใครฉุดรั้งความรุ่งเรืองของหลินสวินได้แล้ว!
……
เป็นอย่างที่ฉือฉางเหมยคาดเดาไว้ วันนั้นไม่เพียงตระกูลฉือ เหล่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง และตระกูลเซี่ย ล้วนเรียกประชุมเร่งด่วน ตัดสินใจเรื่องนี้ในทำนองเดียวกัน!
เนื้อหาที่ตัดสินใจลงไปนั้นช่างน่าครุ่นคิด ห้ามไม่ให้หาเรื่องหลินสวิน แต่ก็ไม่ต้องกลัวมีเรื่อง!
แท้จริงแล้ว นี่เท่ากับยอมรับสถานะในนครต้องห้ามของหลินสวินอยู่กลายๆ
ส่วนขุมอำนาจใหญ่น้อยอื่นบางกลุ่มในนครต้องห้าม เมื่อได้รู้ข่าวคราวทั้งหมดก็ฮือฮาตกตะลึงไม่ว่างเว้น
พวกเขาตื่นตระหนกต่อความเย้ยฟ้าในพลังต่อสู้ของหลินสวิน และตกใจกับราชันกระหายเลือดที่ทำให้ฉินชางเจี่ยตกใจถอยหนีไปได้ด้วยประโยคเดียว!
“ตั้งแต่วันนี้ไปในนครต้องห้าม ใครจะยังกล้าหาเรื่องตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตอีก”
“หลินสวินคนเดียวก็สามารถเทียบกับตระกูลทรงอิทธิพลได้! ขอเพียงเขาไม่ตาย ตระกูลหลินในภายภาคหน้าต้องกลับไปอยู่ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้งแน่!”
“มีชีวิตอยู่ในนครต้องห้ามมานานขนาดนี้ ข้าไม่เคยเห็นปีศาจเย้ยฟ้าเช่นหลินสวินมาก่อน!”
วันนี้นครต้องห้ามเซ็งแซ่อึกทึกครึกโครมโดยสมบูรณ์แล้ว ข่าวต่างๆ ปรากฏบนโต๊ะของขุมอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มราวกระแสน้ำมืดฟ้ามัวดิน
บริเวณใจกลางนครต้องห้าม บนจอภาพวิญญาณขนาดมหึมาหาใดเทียบนั้น ก็เริ่มฉายข่าวการต่อสู้ที่ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่ยักษ์ทั่วนครคราวนี้
อีกทั้งยามฉายข่าว ยังเชิญมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่งมาเป็นแขกวิพากษ์วิจารณ์
เพียงแต่แขกผู้นี้เหมือนจะตื่นเต้นและตระหนกเกินไป นิ่งไปนาน สีหน้าแดงก่ำขึ้นแล้ว ถึงได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง!”
__
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น