Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 662-667
ตอนที่ 662 เข้าใจผิดใหญ่แล้ว
โดย
ProjectZyphon
ภูเขาชำระจิต
ขณะที่โลกภายนอกสถานการณ์ปรวนแปร หลินสวินกำลังรับรองแขกคนสำคัญผู้หนึ่ง…
เถ้าแก่หลังม่านสังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล!
“ผ่านไปครึ่งปีพบกันอีกครา บุคลิกสหายน้อยยิ่งสง่างามกว่าแต่ก่อน ทำให้ข้ามีความรู้สึกเหมือนเจ้าพัฒนาไปไกลจนต้องมองกันใหม่แล้ว”
จ้าวไท่ไหลรู้สึกทอดถอนใจ
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
หลินสวินยิ้มถ่อมตนยิ่ง เขารู้ดีว่าคนที่นั่งตรงหน้าคือจิ้งจอกเฒ่าผู้ลื่นเหมือนปลาไหล ไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อมา ครั้งนี้ต้องมีเรื่องมาแน่
ประจวบเหมาะกับที่เขาเองก็มีเรื่องอยากถามอีกฝ่ายพอดี
“ชมเกินไป? เหอะๆ สหายน้อยเจ้าอย่าได้ถ่อมตน คนอื่นไม่รู้วีรกรรมสหายน้อยที่ส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ แต่ข้าน่ะพอรู้อยู่บ้าง”
จ้าวไท่ไหลยิ้มกริ่ม “ได้ยินว่าสหายน้อยบุกฝ่าตะลุยเดี่ยวตัวคนเดียว สังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่าพ่ายแพ้กระเจิดกระเจิง ไร้ผู้ขัดขวาง วีรกรรมเช่นนี้ปัจจุบันมีสักกี่คนที่ทำได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าสหายน้อยยังได้รับมหาศุภโชคจาก ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ นั่นไม่น้อย วาสนาเช่นนี้ทำให้พวกข้าอิจฉาจริงๆ”
หลินสวินนัยน์ตาหรี่ลงอย่างยากสังเกต สีหน้าสำรวมกล่าว “ดูท่า สิ่งที่ผู้อาวุโสทราบจะไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนั้นไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาครานี้ด้วยเหตุอันใด”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะดังลั่น “รับการไหว้วานจากผู้อื่นให้มาเยี่ยมสหายน้อยสักรอบ นอกจากนี้เชื่อว่าในใจสหายน้อยคงมีข้อสงสัยหมายหาคำตอบไม่น้อยเป็นแน่ ข้าน่ะยินดีชี้แจงแถลงไขแก่สหายน้อยแน่นอน”
หลินสวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กล่าวถามตามตรง “ได้รับการไหว้วานมาจากผู้ใด”
จ้าวไท่ไหลชูสามนิ้ว ยิ้มอย่างลึกลับยิ่ง “รวมแล้วมีผู้สูงศักดิ์สามท่าน เจ้าลองเดาสิว่าเป็นใคร”
“แม่นางจิ่งเซวียนต้องเป็นหนึ่งในนั้น” หลินสวินกล่าวโดยไม่ลังเล
“ฉลาด!”
จ้าวไท่ไหลกล่าวชมเชย “ก่อนที่องค์หญิงจิ่งเซวียนจะจากไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเคยกำชับข้า ขอแค่ทราบข่าวคราวของสหายน้อย ก็ให้ดำเนินการช่วยเหลือสหายน้อยเท่าที่สามารถทำได้”
“นาง… ได้พูดอย่างอื่นอีกหรือไม่”
หลินสวินนึกถึงหญิงสาวงดงามที่บริสุทธิ์ผุดผ่องคนนั้นขึ้นมา ในใจปรากฏความรู้สึกอบอุ่นไหลเวียนวูบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ ก่อนนางจะไปยังไม่ลืมข้า ช่างล้ำค่าหาได้ยากจริงๆ
“สหายน้อยยังอยากรู้อะไรล่ะ”
จ้าวไท่ไหลยิ้มราวพังพอนเหลืองลักลูกไก่ สายตาที่มองหลินสวินเจือแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง ทำให้หลินสวินอึดอัดไปทั้งตัวอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส ท่านอย่ายิ้มอย่างนั้นได้ไหม…”
“สัปดนหรือ”
“ดูท่าผู้อาวุโสรู้จักตนเองดีนะ”
“โธ่ อย่ามองข้าอย่างนั้นสิ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าอันที่จริงเจ้าน่ะน่าจะบอกข้ามากกว่า เจ้ากับจิ่งเซวียนตอนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”
จ้าวไท่ไหลแววตาเป็นประกาย ยิ้มคลุมเครือยิ่งกว่าเดิม ทำให้หลินสวินยิ่งอึดอัด รู้สึกว่าตาแก่นี่เข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปอย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินกล่าวอย่างระวัง “ผู้อาวุโส ท่านอย่าคิดมาก ข้ากับแม่นางจิ่งเซวียนหาได้มีความสัมพันธ์อื่นใดไม่”
จ้าวไท่ไหลพลันหลุดขำออกมา “ในเมื่อไม่มีความสัมพันธ์อื่นใด ทำไมเจ้าต้องอธิบายด้วย ข้าถามเจ้าหรือ อีกอย่างในเมื่ออธิบายแล้วไยต้องปกปิด ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง ก็แค่พูดเฉยๆ เท่านั้น ทำไมต้องประหม่าเช่นนี้ด้วย”
หลินสวินถูกการย้อนถามติดต่อกันทำเอาเวียนศีรษะไปชั่วขณะ เขาตะลึงงันครู่ใหญ่ถึงค่อยถอนหายใจออกมา หน้าตาอมทุกข์กล่าว “เฮ้อ ผู้อาวุโส ทุกวันนี้ภูเขาชำระจิตของข้ายังมีเรื่องมากมาย ข้าไหนเลยจะมีความคิดสนทนากับท่านเรื่องอื่นอีก”
จ้าวไท่ไหลกลอกตาใส่ กล่าวไม่สบอารมณ์ “เปลี่ยนเรื่องสินะ ได้ ข้าก็จะบอกเจ้าหนูอย่างเจ้า ประเดี๋ยวอย่าได้คิดหาคำตอบอะไรจากปากข้า”
พูดพลางเขายกถ้วยชาขึ้นละเมียดลิ้มรสจิบหนึ่ง ถึงกับเริ่มหลับตาบำรุงจิต
‘เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ช่างเซ้าซี้จริงเชียว’
หลินสวินหมดคำจะพูดไปพักหนึ่ง แอบค่อนขอดอยู่ในใจ เขาพลันผุดลุกขึ้นพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผู้อาวุโสก็ดื่มชาพักผ่อนก่อนสักหน่อย รอข้าจัดการเรื่องราวในมือเสร็จค่อยปรึกษาหารือกับผู้อาวุโส”
หลินสวินหันขวับจะจากไป
แรกเริ่มจ้าวไท่ไหลยังค่อนข้างสงบนิ่ง แต่เมื่อเห็นเงาหลังหลินสวินกำลังจะหายไปในประตูทางเข้า ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีร่องรอยลังเลหันหลังกลับเพียงเสี้ยว เขาพลันนั่งไม่ติดทันที
“ไอ้เด็กเวร เจ้าคิดให้ข้าติดแหง็กอยู่ตรงนี้จริงรึ ทำให้ข้าเสียเวลาน่ะไม่เป็นไร แต่หากชะลอเวลาที่ข้ากลับไปรายงาน ต่อให้จิ่งเซวียนมาก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
จ้าวไท่ไหลเอ่ยอย่างไม่พอใจยิ่ง ทันใดนั้นเขาก็กวักมือยิ้มทั่วใบหน้าอีกครั้ง “มาๆๆ รีบกลับมา ครั้งนี้พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ”
“ก็ได้ ทว่าผู้อาวุโสต้องตอบข้าอย่างเปิดเผยจริงใจ พูดกระจ่างให้หมด” หลินสวินเหมือนไม่เกรงกลัวสิ่งใดยิ่งนัก
นี่ทำให้จ้าวไท่ไหลโกรธจนกัดฟันกรอด แอบพึมพำอยู่ในใจ หรือเจ้าเด็กนี่จะเดาอะไรออกจึงกล้ามั่นใจเช่นนี้?
“เจ้า… เดาอะไรออกใช่หรือไม่” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
หลินสวินพลันยิ้มทันที ก่อนหันกลับมาอย่างเนิบช้า นั่งลงบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้งพลางกล่าว “เมื่อวานข้าเพิ่งกลับมา ผู้อาวุโสก็วิ่งมาพบข้าราวไฟลนก้น เห็นชัดว่ามีเรื่องต้องเจรจา หากข้าไม่ระแคะระคายบ้างคงโง่เกินไปแล้ว”
“เจ้าจิ้งจอกน้อยนี่!”
จ้าวไท่ไหลว่าพลางหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เพิ่งไม่เจอกันครึ่งปี เจ้าเด็กตรงหน้านี่นับวันยิ่งหลอกยากขึ้นเรื่อยๆ
ในไม่ช้าสีหน้าเขาพลันจริงจัง ก่อนกล่าวจุดประสงค์การมาครานี้
แท้จริงแล้ว จ้าวไท่ไหลมาคราวนี้เพราะได้รับการฝากฝังจากจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ต่างแยกกันมอบคำพูดประโยคหนึ่งให้หลินสวิน
‘เด็กน้อย ในที่สุดเจ้าก็ก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อรับปากเจ้าไว้แล้ว ก็ต้องปกป้องเจ้าแน่อย่าได้กังวล!’
นี่คือคำพูดของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ถูกจ้าวไท่ไหลถ่ายทอดออกมาอย่างไม่มีการปรุงแต่ง
แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในใจหลินสวินพลันสั่นสะท้าน กล่าวเสียงหลง “ที่แท้คนใหญ่คนโตแห่งส่วนลึกในราชวังนั่น ถึงกับเป็น… จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน?!”
เขาไม่อาจไม่ตกตะลึง ในปีที่เข้าสู่นครต้องห้ามเป็นครั้งแรก เขาเคยได้รับสารลับฉบับหนึ่งบอกเขาว่า ในนครต้องห้ามนี้ เขาสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้เต็มที่!
ตอนนั้นเขายังแปลกใจ ใครกันที่พูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ถึงกับกล้าบอกอย่างอาจหาญมั่นใจเพียงนี้ ถึงขั้นเป็นคำพูดที่หยิ่งผยองเหลือประมาณ
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ที่แท้คนใหญ่คนโตแห่งส่วนลึกของราชวังผู้นี้คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ผู้กุมอำนาจปกครองสูงสุดแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า!
“แต่ว่า เพราะอะไร”
หลินสวินตะลึงงัน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิองค์ปัจจุบันถึงดูแลเขาเป็นพิเศษเช่นนี้
“ง่ายมาก เพราะเจ้าคือทายาทสายตรงของ ‘ท่านเต้าเฉิน’ และเพราะเจ้าคือศิษย์ที่ลู่ป๋อหยาสอนสั่งมาด้วยตนเอง ไม่ว่าฐานะไหน ต่อให้เจ้าเป็นแค่พวกไร้ประโยชน์ อย่างน้อยฝ่าบาทก็ต้องดูแลเจ้า”
จ้าวไท่ไหลเผยคำตอบ
ท่านเต้าเฉินคือหลินเต้าเฉิน ปู่ทวดของหลินสวิน ราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริงผู้หนึ่ง เคยทำสงครามเพื่อจักรวรรดิ สร้างผลงานอันรุ่งโรจน์ ต่อให้ตัวตายก็ไม่ทำให้จักรวรรดิลืมคุณงามความดีที่เขาเคยกระทำ
ส่วนลู่ป๋อหยา แน่นอนว่าคือท่านลู่ ชายชราปริศนาผู้หนึ่ง หลินสวินในวัยเด็กถูกท่านลู่ช่วยเหลือ ทั้งยังเลี้ยงดูไว้ข้างกาย ถ่ายทอดวิชาความรู้อันลึกซึ้งของการสลักวิญญาณทั้งหมดแก่หลินสวิน
เพียงแต่หลินสวินเข้าใจมานานแล้ว ว่าที่มาของท่านลู่ลึกลับและน่าอัศจรรย์ยิ่งยวด ไม่ว่าราชินีแห่งรัตติกาลผู้นั้นหรือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ต่างกำลังเสาะหาร่องรอยและเบาะแสของท่านลู่
ตอนนี้คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหล ยิ่งยืนยันว่าแม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังรับรู้ถึงการมีอยู่ของท่านลู่!
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…”
หลินสวินพึมพำ การถูกให้ความสำคัญจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เพียงพอให้ผู้ใดก็ตามตื่นเต้นและฮึกเหิม แต่หลังหลินสวินรู้ความจริงกลับไม่อาจพูดได้ว่าดีใจ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าไม่ยินดี
สรุปคือเขานึกถึงเรื่องในอดีตมากมาย นึกถึงตำนานเล่าขานส่วนหนึ่งเกี่ยวกับปู่ทวด ‘ท่านเต้าเฉิน’ และนึกถึงท่านลู่ผู้เลี้ยงดูตนแต่เล็กจนเติบใหญ่
‘หากมีเวลาว่างก็มาพูดคุยกันในราชวัง แต่นี้เป็นต้นไปเจ้าเองก็ไม่ใช่คนนอก’
นี่คือประโยคที่จักรพรรดินีมอบให้ ทำให้หลินสวินชะงักไปอีกครั้ง คำพูดนี้มีไมตรีจิตอย่างชัดแจ้ง ถึงขั้นไม่ปกปิดเลยสักนิด
“นี่มัน…” หลินสวินมองไปยังจ้าวไท่ไหล
“เจ้าถามข้า ข้าเนี่ยสิต้องถามเจ้า”
จ้าวไท่ไหลหน้าตาพิลึกพิลั่น “แต่ว่าข้าพอจะเดาออกได้คร่าวๆ ต้องเป็นเพราะเจ้าหนูอย่างเจ้ามีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนบางอย่างกับจิ่งเซวียนแน่ มิฉะนั้นด้วยนิสัยของจักรพรรดินี คงคร้านจะใส่ใจเด็กอย่างเจ้า”
“มีความสัมพันธ์กับแม่นางจิ่งเซวียน?” หลินสวินยังคงอึ้งงัน ข่าวสารที่จ้าวไท่ไหลนำมามีแรงสะเทือนมากเกินไปแล้ว ทำให้เขาไม่อาจย่อยความไปชั่วขณะ
“ไร้สาระ!”
จ้าวไท่ไหลกล่าวไม่สบอารมณ์ “ทายาทของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแม้มีมาก แต่จิ่งเซวียนกลับเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิและจักรพรรดินี นี่น่ะเป็นไข่มุกงามที่โปรดปราณบนฝ่ามือ ก่อนนางจากไปยังไม่ลืมว่าต้องคอยดูแลเจ้า ใครยังจะคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าทั้งสองเป็นปกติ?”
“แต่… นี่มันเข้าใจผิด ข้ากับแม่นางจิ่งเซวียนหาได้มีอะไรไม่”
หลินสวินหน้าตางงงัน
“เข้าใจผิด? เหอะๆ ได้ เจ้าไปอธิบายกับจักรพรรดิและจักรพรรดินีด้วยตัวเอง ดูซิว่าพวกเขาจะเชื่อหรือไม่”
จ้าวไท่ไหลเหล่มองเขาคราหนึ่ง ท่าทางราวกับบอกว่า เจ้าหนูอย่างเจ้าอย่ามาทำใสซื่อทั้งที่ได้ประโยชน์ไปง่ายๆ
“ไม่ไป”
หลินสวินปฏิเสธหนักแน่น ล้อเล่นรึ ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งไม่อาจไปพบคู่สามีภรรยาที่ครองอำนาจสูงสุดแห่งจักรวรรดิ
ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อตนอย่างไร
ทั้งจะเห็นตนเป็นพวกที่คิดไม่ซื่อกับบุตรสาวพวกเขาหรือไม่
ยิ่งคิดหลินสวินก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว เพิ่งแยกจากจ้าวจิ่งเซวียนไม่นานเท่าไหร่ ทำไมเรื่องราวถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้
ที่ทำให้หลินสวินกลุ้มใจที่สุดคือ จ้าวจิ่งเซวียนเดินทางไปดินแดนรกร้างโบราณแล้ว เวลานี้ต่อให้เขาอธิบายอย่างไร เกรงแต่ว่าจะไม่มีคนเชื่อว่านี่เป็นเรื่อง ‘เข้าใจผิด’!
ดูจากท่าทางปรามาสนั่นของจ้าวไท่ไหล หลินสวินก็เข้าใจดี เรื่องเข้าใจผิดนี้ยิ่งอธิบายยิ่งแย่ ยิ่งพูดยิ่งยุ่งยาก
“ยุ่งยากจริงๆ…” หลินสวินทอดถอนใจ
จ้าวไท่ไหลพลันโวยทันที “เจ้าหนู เจ้าว่าอะไรนะ ยุ่งยาก? เจ้ารู้ไหมว่าหากให้จักรพรรดิและจักรพรรดินีทราบว่าเจ้ากล่าวเช่นนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร”
“เข้าใจผิด ข้าบอกแล้วว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
หลินสวินหน้าตาไร้เรี่ยวแรง เรื่องระหว่างเขากับจ้าวจิ่งเซวียนเดิมทีไม่มีอะไร แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนเป็นยากควบคุม นี่ทำให้หลินสวินที่เพิ่งเคยประสบเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกโดยไม่ทันตั้งตัวเก็บอาการไม่ได้อยู่บ้าง
จ้าวไท่ไหลแค่นเสียงกล่าว “หึ เจ้าหนู เจ้าน่ะตัวอยู่ในความสุขแต่กลับไม่รู้จักคุณค่า หากคนอื่นเป็นเหมือนเจ้า รู้ว่าได้รับการโปรดปรานเช่นนี้ เกรงว่าคงตื่นเต้นจนขอบคุณฟ้าดินแล้ว แต่เจ้ากลับทำท่าประหนึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก ข้าควรบอกว่าเจ้าดัดจริตหรือกวนบาทาดีล่ะเนี่ย”
ดัดจริต?
กวนบาทา?
สีหน้าหลินสวินพลันมืดทะมึน หมายจะพูดอะไร แต่เสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ระลอกหนึ่งดังขึ้นจากนอกโถง
ก็เห็นหลินไหวหย่วนรีบเร่งมารายงาน “ผู้นำตระกูล ปฏิบัติการของพวกหลินจงพบเจออุปสรรค เหตุการณ์ร้ายแรงอยู่บ้าง ขอท่านตัดสินใจด้วยตนเอง!”
“อุปสรรคอะไร” หลินสวินคิ้วขมวด
หลินไหวหย่วนรีบร้อนกล่าว “กิจการแห่งหนึ่งของพวกเราตระกูลหลิน ถูกคนตระกูลฉินนามว่าฉินจื่่อหมิงยึดครอง หากแค่จัดการกับคนผู้นี้คงไม่เป็นอะไร แต่ภรรยาเขากลับเป็นทายาทของท่านอ๋องคนหนึ่งแห่งราชวงศ์ บัดนี้ฉินจื่อหมิงและภรรยาต่างบัญชาการอยู่ที่นั่นด้วยตนเอง นี่… นี่คงยากจะจัดการแล้ว…”
เชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิ?
มิน่าพวกลุงจงถึงรู้สึกยากจัดการ หากล่วงเกินราชวงศ์อีกเพราะเรื่องตระกูลจั่วและตระกูลฉิน คงเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
แต่ว่า…
หลินสวินนึกถึงตรงนี้ สายตามองไปยังจ้าวไท่ไหลพลางยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส คำที่ฝ่าบาทฝากท่านมา ท่านคงยังจำได้กระมัง”
……………………
ตอนที่ 663 คลื่นใต้น้ำซัดสาด วิกฤติปรากฏ
โดย
ProjectZyphon
ทันใดนั้นจ้าวไท่ไหลพลันอยากตะบันหน้ายิ้มแย้มนั่นของหลินสวินสักหมัด
รอยยิ้มนี้ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ท่าทางเหมือนจับตนเองไว้อยู่หมัด ทำให้จ้าวไท่ไหลแม้คิดปฏิเสธก็ยังหาข้ออ้างใดไม่พบ
ช่วยไม่ได้ เจ้าเด็กนี่นำคำพูดของจักรพรรดิออกมา เขากล้าไม่แยแสได้ไหมเล่า
“เรื่องนี้…”
จ้าวไท่ไหลไม่สมัครใจนัก เจตนาจะยืดเวลาออกไปอีกหน่อย
กลับเห็นหลินสวินแย้มยิ้มทั่วใบหน้ากล่าว “ทำไม คำของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีตรงไหนที่ยากไปสำหรับผู้อาวุโสหรือ”
“เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ช่างรู้จักทำให้คนรังเกียจจริงๆ!”
จ้าวไท่ไหลแค้นจนขบฟันกรอด ท้ายที่สุดเขาสูดหายใจลึก ลุกขึ้นอย่างทอดถอนใจ หว่างคิ้วเจือความอหังการหยิ่งผยองวูบหนึ่งแล้วกล่าว “ไป ไปดูพร้อมข้า ข้าอยากรู้ว่าเป็นบุตรของท่านอ๋องแห่งราชวงศ์คนไหนกันแน่ ถึงกล้าแส่หาเรื่องข้าเวลานี้!”
เห็นชัดว่าเขาทำอะไรหลินสวินไม่ได้ จึงคิดนำความคับแค้นและเพลิงโทสะทั่วท้องระบายลงหัวคนอื่น
“ผู้อาวุโสท่านอาจหาญยิ่งนัก! สมกับเป็นต้นแบบของพวกเรา อาศัยพลานุภาพดุดันเสียดฟ้าเช่นนี้ ผู้น้อยสู้ไม่ได้จริงๆ!”
หลินสวินเลียแข้งเลียขาหน้าระรื่น
“ไสหัวไป! ไอ้เด็กนี่ทุเรศให้มันน้อยๆ หน่อย”
จ้าวไท่ไหลด่าว่าพลางหัวเราะ ท่าทีเช่นนี้ของหลินสวินอันที่จริงทำให้ในใจเขาชื่นชอบพอควร
เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ต่อหน้าคนนอกป่าเถื่อนและแข็งกร้าวเพียงใด สามารถทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติต่อตนเช่นนี้ได้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว
จากนั้นหลินสวินและจ้าวไท่ไหล รวมทั้งหลินไหวหย่วนก็จากภูเขาชำระจิตไปพร้อมกัน
หลินไหวหย่วนเป็นขิงแก่มากประสบการณ์ มองออกนานแล้วว่าฐานะของจ้าวไท่ไหลไม่ธรรมดายิ่ง ระหว่างทางจึงคว้าโอกาสกล่าวถาม “ผู้นำตระกูล ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”
“จิ้งจอกเฒ่าที่ทำงานให้คนใหญ่คนโตของราชวังตัวหนึ่ง เป็นพวกเหี้ยมโหดกินคนไม่คายกระดูก ท่านน่ะระวังไว้หน่อย” หลินสวินกล่าวง่ายๆ
“หา?” หลินไหวหย่วนมึนงง
“เจ้าเด็กนี่พูดจาส่งเดช ข้าน่ะคือคนอาภัพที่ต้องคอยทำงานเบ็ดเตล็ด กินคนไม่คายกระดูกเสียที่ไหน” จ้าวไท่ไหลกลอกตาใส่
หลินไหวหย่วนพลันก้าวไปข้างหน้ากล่าวว่า “ผู้อาวุโส ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากที่ยื่นมือช่วยเหลือ แต่ก่อนหน้านั้นข้าคงต้องบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องของภรรยาฉินจื่่อหมิงนั่น…”
“ไยต้องสนว่านางเป็นใคร สำคัญด้วยรึ ไม่ต้องพูดแล้ว” จ้าวไท่ไหลอหังการยิ่งนัก มือใหญ่โบกปัด ปฏิเสธความหวังดีของหลินไหวหย่วน
“ผู้อาวุโสท่านนี้อาจหาญยิ่งดังคาด!” หลินไหวหย่วนชื่นชม
เขาอายุปูนนี้แล้ว เวลานี้กลับใช้ท่าทางของผู้น้อยประจบสอพลอ ดูจริงใจและจริงจังยิ่งนัก เสมือนกลั่นมาจากใจ ดูไม่ออกว่าเป็นการเสแสร้งทำพอเป็นพิธีสักนิด
หลินสวินที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วมุมปากกระตุก
จริงดังว่า พวกคนแก่ไม่มีสักคนที่ธรรมดา รู้ว่าเวลาไหนควรปั้นหน้า เวลาไหนควรอ่อนน้อมถ่อมตน
เขารู้ว่าหลินไหวหย่วนกำลังช่วยเขา แต่เขาไม่หวังให้หลินไหวหย่วนถูกจ้าวไท่ไหลดูแคลนด้วยเหตุนี้
ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดหลินไหวหย่วนก็คือคนตระกูลหลินของเขา!
“ท่านลุง ท่านพูดมาก็ไม่เห็นเป็นไร” หลินสวินพูดลอยๆ
คำเรียกขานว่า ‘ท่านลุง’ คำเดียว ทำให้จ้าวไท่ไหลใคร่ครวญไปชั่วขณะ เข้าใจทันทีว่าหลินสวินไม่พอใจกับท่าทีของตนที่ปฏิบัติต่อหลินไหวหย่วนอยู่บ้าง
เขายิ้มน้อยๆ กล่าว “ก็ดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เช่นนั้นต้องลำบากสหายยุทธ์ท่านนี้แล้ว”
หลินไหวหย่วนเองเข้าใจความตั้งใจของหลินสวิน ‘การปกป้อง’ อย่างไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ เวลานี้กลับดุจกระแสความอบอุ่น สะกิดใจหลินไหวหย่วนอย่างหนักหน่วง เบ้าตาต่างแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนเริ่มคัดจมูก
หลังจากเมื่อวานที่หลินสวินกลับมา ก็ประหนึ่งเทพมารกวาดล้างสรรพสิ่ง ทำให้หลินไหวหย่วนยังหวาดกลัวหาใดเปรียบ ว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง เคารพยำเกรงหลินสวินยิ่งกว่าเดิม
ทว่าท้ายที่สุดนั่นก็คือความยำเกรง ถูกวิธีและพลังของหลินสวินทำเอาหวั่นตระหนก
บัดนี้การกระทำโดยไม่ตั้งใจหนึ่งของหลินสวิน กลับทำให้เขาพลันตระหนักได้ว่า หลานชายคนนี้ของตนหาใช่พวกเลือดเย็นอำมหิตเยี่ยงนั้นไม่ อย่างน้อยที่สุดต่อหน้าคนนอก เขายังคงรู้จักปกป้องศักดิ์ศรีผู้อาวุโสอย่างตนคนนี้ นี่…
ช่างหาได้ยากเกินไปแล้ว!
หลินสวินไม่คาดคิดสักนิดว่าการกระทำเล็กๆ นี้ของเขากลับทำให้ใจหลินไหวหย่วนเลื่อมใสโดยสมบูรณ์ถึงเพียงนี้
ยอมสวามิภักดิ์กับเลื่อมใส นี่เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน
…
หอสมบัติตะวันมงคล
ร้านที่มีชื่อเสียงประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งแห่งหนึ่งในนครต้องห้าม มาตรฐานหรูหราคุณภาพดี ได้รับความชื่นชอบจากผู้ฝึกปราณตระกูลสูงและเชื้อพระวงศ์ที่มีฐานะส่วนหนึ่งเป็นอันมาก
เดิมทีร้านค้าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการตระกูลหลิน แต่หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดของตระกูลหลินเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ถูกตระกูลฉินยึดครองและควบคุมดูแล
ปัจจุบันผู้ที่รับช่วงต่อหอสมบัติตะวันมงคลคือคนตระกูลฉินสายตรงผู้หนึ่งนามว่าฉินจื่่อหมิง เขายังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือบุตรเขยของจวนอวิ๋นยงอ๋อง
กล่าวได้ว่าอาศัยเพียงยศศักดิ์ ‘ตระกูลฉินสายตรง’ ก็เพียงพอให้ฉินจื่อหมิงอยู่ในนครต้องห้ามอย่างสบายแล้ว
เมื่อยิ่งเสริมฐานะ ‘บุตรเขย’ จวนอวิ๋นยงอ๋องเข้าไป ยิ่งทำให้เขาประดุจปลาได้น้ำในหมู่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งนครต้องห้ามยิ่งกว่าเดิม
หอสมบัติตะวันมงคลวันนี้ต่างจากอดีตที่ผ่าน เห็นได้ว่าเงียบเหงาหาใดเปรียบ
กระทั่งท้องถนนซึ่งหอสมบัติตะวันมงคลตั้งอยู่ล้วนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา แทบไม่เห็นเงาร่างคนสัญจร
ฉินจื่อหมิงนั่งในโถงใหญ่หอสมบัติตะวันมงคล สีหน้าอึมครึม หัวคิ้วขมวดเป็นปม
ภรรยาของเขาจ้าวอวิ๋นจือกลับนิ่งสงบและมีอิริยาบถงามสง่ายิ่ง นางสวมชุดฝ่ายในลายเมฆาของราชวงศ์ ผมยาวเกล้าสูง หว่างคิ้วเจือความหยิ่งทะนงที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ข้ารับใช้ของตระกูลฉินจำนวนหนึ่งเฝ้าคุ้มกันจากทั่วทิศ แต่ละคนประจำการพร้อมรับมือ คมศาสตราแม้ไม่เผยออกจากฝัก ไอสังหารบนร่างกลับแผ่อบอวลออกมา ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดกดดัน
“ตระกูลหลินนี่คิดจะพลิกฟ้าจริงๆ รึ”
ฉินจื่อหมิงไม่เข้าใจยิ่งนัก ต่อให้เขาผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ออก อาศัยเพียงหลินสวินคนเดียว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตนั่นกล้าท้าทายพวกเขาตระกูลฉินและตระกูลจั่ว นี่มันไม่รู้จักกลัวตายเกินไปแล้ว
ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเปรียบดั่งภูผาสูงตระหง่านแห่งจักรวรรดิ ใช่สิ่งที่ใครสามารถสั่นคลอนได้เสียที่ไหน
จากมุมมองฉินจื่อหมิง การกระทำนี้ของตระกูลหลินไม่ต่างอะไรกับมดเขย่าไม้ใหญ่
แต่เหตุการณ์บ้าระห่ำและน่าขันเยี่ยงนี้ วันนี้ดันเกิดขึ้นจริงอย่างคาดไม่ถึงซะอย่างนั้น
กระทั่งถึงตอนนี้ ตามข่าวสารที่ฉินจื่อหมิงได้รับ กิจการสิบสามแห่งในนครต้องห้ามซึ่งถูกพวกเขาตระกูลฉินและจั่วยึดครอง ต่างล้วนพบเจอการแย่งชิงนองเลือดของตระกูลหลิน อีกทั้งพวกเขายังทำสำเร็จอีกด้วย!
นี่หาใช่ตระกูลจั่วและฉินไร้น้ำยาเกินไป แต่เป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้เคลื่อนกำลังที่แท้จริง ถึงได้ทำให้ตระกูลหลินดำเนินการสำเร็จ
“ไม่รู้ว่าในตระกูลกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงป่านนี้ยังไม่เห็นตอบสนองสักนิด หรือพวกเขาจะเบิกตามองเจ้าเห็บหมัดตระกูลหลินนี่กระโดดโลดเต้นเหยียบจมูกขึ้นหน้าจริงๆ”
ความไม่พอใจในใจฉินจื่อหมิงก่อตัวรุนแรง เรื่องวันนี้ถูกขุมอำนาจนับไม่ถ้วนในเมืองให้ความสนใจ หากพวกเขาตระกูลฉินยังไม่ทำอะไรเสียบ้าง นั่นก็คงอับอายขายขี้หน้าทั้งตระกูล
“จื่อหมิง ไม่ต้องกังวลมากนัก มีข้าอยู่ ต่อให้พวกเขาตระกูลหลินโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่านี้ มอบความกล้าแก่พวกเขาอีกเป็นร้อย ก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าหอสมบัติตะวันมงคลของเราแม้เพียงก้าวเป็นอันขาด!”
จ้าวอวิ๋นจือซึ่งอยู่ด้านข้างสีหน้าสง่างาม น้ำเสียงเคลือบความหยิ่งทะนง ชั่วดีอย่างไรนางก็เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิ อาศัยแค่ฐานะนี้ ในนครต้องห้ามก็แทบไม่มีใครกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บ
ขณะพูดสายตานางเหลือบมองนอกโถงใหญ่อย่างปรามาสวูบหนึ่ง
ด้านนอกโถงใหญ่คือถนนหลักกว้างขวางอันโดดเดี่ยวเงียบเหงา เวลานี้มีเพียงหลินจง จูเหล่าซานและเสี่ยวเคอยืนอยู่ตรงนั้น
เหลือแค่ชิงหอสมบัติตะวันมงคล กิจการทั้งหมดซึ่งเดิมถูกรุกล้ำยึดครองของพวกเขาตระกูลหลิน ก็เท่ากับได้รับการกู้คืนโดยสมบูรณ์แล้ว
แต่ที่จนปัญญาคือหอสมบัติตะวันมงคลเป็นกระดูกซึ่งยากจะกัด พวกหลินจงหาได้หวาดกลัวฉินจื่อหมิง แต่กลับไม่อาจไม่หวั่นเกรงจ้าวอวิ๋นจือผู้มีชาติกำเนิดจากราชวงศ์คนนั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงมือโดยตรงอย่างก่อนหน้า แต่กำลังเฝ้ารอ รอคอยหลินสวินตัดสินใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน
“ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าผลีผลามลงมือ แต่ไม่ได้หมายความว่าอีกเดี๋ยวจะไม่กล้า”
ฉินจื่อหมิงขมวดคิ้ว เขาไม่อาจผ่อนคลายแม้แต่น้อย กล่าวว่า “อย่าลืมสิ หลินสวินนั่นในงานเลี้ยงครบรอบสามร้อยปีองค์จักรพรรดินี ก็กล้าบีบบังคับหลิงเทียนโหวให้คุกเข่าต่อหน้าธารกำนัล ยามอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ยิ่งกล้าตบหน้าองค์หญิงหลิงหวงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่า… คนอย่างเขาจะหวาดกลัวฐานะ ‘ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ’ คนหนึ่งเชียวรึ”
จ้าวอวิ๋นจือไม่พอใจอยู่บ้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู “แม้กล่าวเช่นนั้น แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เขาฉีกหน้าตระกูลฉิน ตระกูลจั่วถึงที่สุด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขายังจะกล้าล่วงเกินราชวงศ์ต่อไปอีกหรือ”
ฉินจื่อหมิงคิดไปคิดมาก็กล่าวอย่างปวดหัว “บางทีเจ้าเด็กนี่อาจมีปัญหามากมายจนไม่ใส่ใจแล้วก็เป็นได้ มีแค่ผีเท่านั้นจึงจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ จนถึงตอนนี้ข้าไม่เข้าใจยิ่งนัก เขาเอาความกล้าโหญ่โตเช่นนี้มาจากไหน ถึงได้กล้าเป็นศัตรูกับพวกเราตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง”
จ้าวอวิ๋นจือแสยะยิ้ม “บางทีไม่แน่ว่าเขาอาจหาเรื่องใส่หัวตนเองอยู่ จื่อหมิง เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย เมื่อครู่ข้าได้สั่งคนไปเชิญท่านพ่อข้ามาแล้ว เชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน ผู้อาวุโสเช่นเขาก็จะมาบัญชาการด้วยตนเอง!”
“อะไรนะ ท่านพ่อตาก็จะมา?”
ฉินจื่อหมิงลิงโลดดีใจทันใด สีหน้าผ่อนคลายลง นั่นเป็นถึง ‘อวิ๋นยงอ๋อง’ แห่งจักรวรรดิ! ชนชั้นสูงผู้หนึ่ง มีเขานั่งบัญชาการ หอสมบัติตะวันมงคลก็ไร้กังวลแล้ว!
จ้าวอวิ๋นจือกล่าวกระหยิ่มยิ้มย่อง “ไม่ผิด ถึงเวลานั้นต่อให้หลินสวินนั่นมาเอง เขาก็ต้องม้วนหางเผ่นแน่บจากไป!”
เวลานี้คนคุ้มกันผู้หนึ่งรีบเร่งมารายงาน “ใต้เท้า ผู้อาวุโสตระกูลเราออกคำสั่งลงมาให้ท่านยืนหยัดต่อไป ใช้เวลาอีกไม่นาน กำลังพลชั้นยอดของพวกเราตระกูลฉินและจั่วก็จะมาช่วยเสริมแล้ว!”
ฉินจื่อหมิงพลันรีบผุดลุกขึ้น ตื่นเต้นจนวงหน้าแดงระเรื่อ “ดีเหลือเกิน! พวกเราสองตระกูลฉินจั่วในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว คราวนี้พวกมันตระกูลหลินต้องจ่ายค่าตอบแทนสาหัสสากรรจ์!”
อวิ๋นยงอ๋องกำลังจะมาบัญชาการ อีกทั้งสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงฉินและจั่วก็ส่งยอดฝีมือมาช่วยเสริม นี่สำหรับฉินจื่อหมิงเป็นเรื่องน่ายินดีที่ฟ้าประทานมาชัดๆ
ความกังวลและความว้าวุ่นทั้งมวลในใจเขาพลันหายไป คิ้วตาท่าทางมีราศีจับไปทั้งตัว ถึงขั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยู่บ้าง แทบอยากฆ่าพวกหลินจงที่ปิดทางอยู่นอกประตูสักรอบ!
“คิกๆ ในที่สุดก็กรรมตามสนองแล้ว เจ้าเด็กนั่นตั้งแต่เมื่อคืนก็ก่อเรื่องจนนครต้องห้ามอึกทึกครึกโครมไม่อาจสงบ ช่างเป็นดาวมารอุบัติบนโลกชัดๆ ต้องฉวยโอกาสนี้โจมตีเขาอย่างยากลืมเลือนชั่วชีวิต!”
จ้าวอวิ๋นจือน้ำเสียงเย็นเยียบ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความยโสโอหังอวดดี
แม้แต่ข้ารับใช้ทั้งหมดในโถงใหญ่ แต่ละคนต่างราวยกภูเขาออกจากอก ท่าทางฮึกเหิมยินดี
สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว!
ในที่สุดตระกูลจั่วและฉินก็แยกเขี้ยวเคลื่อนพล ต้องเป็นอานุภาพดุจอสนีบาตหมื่นสาย มอบการโจมตีอันคาดไม่ถึงแก่ตระกูลหลินเป็นแน่
มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถชะล้างความอัปยศ พิทักษ์ความน่าเกรงขามอันเป็นของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้!
………………..
ตอนที่ 664 ละครโหมโรง
โดย
ProjectZyphon
บนถนนสายหลักที่เงียบเหงาประหนึ่งร้างผู้คน แท้จริงแล้วสายสืบจากแต่ละขุมอำนาจแห่งนครต้องห้ามแอบกระจายตัวติดตามทั้งหมดนี้อย่างแน่นหนาอยู่ก่อนแล้ว
ตั้งแต่หลินสวินหวนกลับนครต้องห้ามเมื่อคืน กระทั่งบุกสังหารตระกูลรองของตระกูลหลินตัวคนเดียวยามรัตติกาล อีกทั้งยามนี้ยังห้าวหาญฉีกหน้าสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลจั่วและฉิน ทั่วทั้งนครต้องห้ามครึกโครมไม่รู้เท่าไหร่
ความวุ่นวายฉากนี้กำลังโหมกระหน่ำ สั่นคลอนประสาทของทุกขุมอำนาจ แต่ละฝ่ายต่างให้ความสนใจว่าหลินสวินจะก่อเรื่องถึงขั้นไหนกันแน่
และเมื่อเผชิญกับการยั่วยุและท้าทายของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตซึ่งหลินสวินเป็นผู้นำ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินจะใช้วิธีเช่นไรมารับมือตอบโต้
เหตุการณ์บานปลายถึงบัดนี้ ใกล้ถึงเวลาเผยคำตอบแล้ว!
เพราะวันนี้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตราวพายุลูกโต ใช้วิธีนองเลือดอย่างแข็งกร้าว ช่วงชิงกิจการซึ่งเดิมเป็นของตระกูลหลินกลับคืนจากมือตระกูลจั่วและฉินแห่งแล้วแห่งเล่า
กระทั่งถึงตอนนี้เหลือเพียง ‘หอสมบัติตะวันมงคล’ แห่งเดียวแล้ว
หากแม้แต่ที่นี่ยังถูกตระกูลหลินยึดคืน เช่นนั้นในการชิงชัยนี้ ความน่าเกรงขามของตระกูลจั่วและฉินคงเท่ากับถูกโจมตีอย่างรุนแรง
แต่ความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือ
แน่นอนว่าไม่มีทาง!
ในฐานะที่ตระกูลจั่วและฉินเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแห่งนครต้องห้าม แน่นอนว่าไม่มีทางอดทนให้เหตุการณ์อัปยศอดสูเช่นนี้เกิดขึ้น
และถ้าพวกเขาดำเนินการจู่โจมกลับชะล้างความอัปยศก่อนหน้า คงไม่มีทางปล่อยให้หอสมบัติตะวันมงคลถูกหลินสวินชิงไปอีกเด็ดขาด!
“ตระกูลจั่วและฉินสองตระกูลนี้ช่างสงบจิตสงบใจจริง เริ่มตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนบัดนี้ต่างไม่ทำการอันใด คล้ายไม่ไยดีต่อการยั่วยุของหลินสวิน”
ในที่ลับมีสายสืบส่วนหนึ่งจากแต่ละขุมอำนาจกำลังพูดคุย
“บางทีพวกเขาอาจแค่กำลังรวบรวมพลจึงยังไม่ลงมือก็เท่านั้น ทันทีที่ลงมือจะต้องเอาให้ถึงตายในคราเดียวประหนึ่งสายฟ้าฟาดแน่!”
นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่
อย่างไรเสียนั่นก็คือตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง อำนาจล้นฟ้าสะเทือนจักรวรรดิ ไม่มีใครเชื่อว่าเมื่อพวกเขาพบเจอการยั่วยุ จะอดทนอดกลั้นและไม่เคลื่อนไหว
“ตระกูลหลินนี่บ้าระห่ำเกินไปแล้ว ถึงแม้รีบเร่งคิดอยากแก้แค้นแค่ไหน แต่อาศัยพลังของพวกเขาตอนนี้ ไหนเลยจะสามารถเป็นคู่ต่อกรของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้”
“ควรพูดว่าหลินสวินนั่นบ้าระห่ำเกินไป เมื่อคืนเพิ่งจะจัดการปัญหาภายในตระกูลหลิน ยังไม่ทันรวมกันอย่างสมบูรณ์ ก็บุ่มบ่ามไปท้าทายตระกูลจั่วและตระกูลฉิน คนยที่กล้าทำเช่นนี้ คงมีแค่หลินสวินผู้ได้ชื่อว่า ‘ป่าเถื่อนไม่เกรงกลัวสิ่งใด’ นั่นคนเดียวเท่านั้น”
คนไม่น้อยต่างทอดถอนใจ ความกล้าของหลินสวินถือว่าขึ้นชื่อในนครต้องห้าม ใครต่างไม่อาจจินตนาการ ว่าเขาอาศัยอะไรมากล้าทำเช่นนี้กันแน่
บรรดาขุมอำนาจส่วนหนึ่งถึงขั้นมอบฉายา ‘เจ้ากล้าหลิน’ แก่หลินสวิน!
เพราะการกระทำของหลินสวินกำเริบเสิบสานยิ่ง ตั้งแต่ก่อนหน้าจนปัจจุบัน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนตัวเขาต้องทำให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างยากจะเชื่อ
กระทั่งถึงตอนนี้ เมื่อตระกูลหลินท้าทายตระกูลจั่วและฉินโดยตรง ฉายา ‘เจ้ากล้าหลิน’ นี้นับวันยิ่งถูกคนรู้จักคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่างใจกล้าเหลือเกินจริงๆ!
กระทั่งสามารถใช้คำว่าบ้าคลั่งมาพรรณนา บางทีเรียกว่า ‘เจ้าบ้าหลิน’ ก็คงไม่มีคนค้านเป็นแน่
ถึงอย่างไรในหลายพันปีที่ผ่านมา จักรวรรดิยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ตระกูลหลินซึ่งไม่ได้เป็นแม้แต่ตระกูลทรงอิทธิพล ภายใต้การนำของเด็กหนุ่มใจกล้าคับฟ้าคนหนึ่ง กลับพุ่งไปท้าทายอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง นี่เกรงว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้แต่ละขุมอำนาจหมดคำพูดและตระหนกที่สุดคือ ผู้ที่หลินสวินท้าทายไม่ใช่แค่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลเดียว!
“นี่ไม่ใช่ว่าหาเหาใส่หัวรึ”
“ครานี้เจ้ากล้าหลินต้องล้มหัวกระแทกเลือดอาบแน่ ถึงขั้นจะทำให้พวกเขาตระกูลหลินสิ้นชื่อไม่เหลือซาก! ทันทีที่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแสดงอานุภาพ ใช่สิ่งที่พวกเขาตระกูลหลินสามารถแบกรับไหวหรือ”
“น่าเสียดาย เจ้ากล้าหลินนี่หากสามารถแก้ไขนิสัย ‘ป่าเถื่อนขวางโลก’ นั่นของเขาได้ อาศัยตำแหน่งเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเขา หลังจากนี้ต้องประสบความสำเร็จเป็นที่จับตามองทั่วหล้าแน่ แต่ว่าเสียดาย ครั้งนี้เขาคงประสบภัยเพราะความใจกล้าของตัวเองซะแล้ว”
เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับหลินสวินถาโถมขึ้นในนครต้องห้ามอย่างลับๆ
และสายตาทั้งของเมืองต่างกำลังรวมอยู่ที่ ‘หอสมบัติตะวันมงคล’ ทั้งสิ้น ติดตามทุกการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นที่นี่อย่างเหนียวแน่น
พวกเขาต่างรู้ดีว่าที่แห่งนี้ใกล้จะเกิดมรสุมแล้ว ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ ล้วนสะเทือนทั้งนครต้องห้าม กระทั่งสะเทือนทั้งจักรวรรดิ
“มาแล้ว!”
“โอ้ เจ้ากล้าหลินมาด้วยตัวเองเลย! นี่เขากะทุ่มสุดตัวรึ”
“คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”
สายตานับไม่ถ้วนในเวลานี้ ต่างแอบมองไปยังสุดถนนอันเปลี่ยวดายอ้างว้างนั่น
…
“ดูท่าที่นี่คงไม่อ้างว้างอย่างที่เห็นภายนอกนะ”
ทันทีที่เหยียบเข้าถนนสายนี้ พลังจิตวิญญาณไพศาลของหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ในมุมลับตามากมายซุ่มซ่อมด้วยสายสืบเต็มไปหมด
“ไม่ต้องสนใจ ก็แค่พวกหนูตัวเล็กๆ ที่แต่ละขุมอำนาจส่งมาเท่านั้น” จ้าวไท่ไหลไม่ใส่ใจ
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนพายุฝนกำลังมา…” หลินไหวหย่วนประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง เขารับรู้ถึงบรรยากาศกดดันบีบอัดที่บอกไม่ถูกสายหนึ่ง
หลินสวินยิ้มรับไม่ออกความเห็น
ช่วงเวลาที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับตระกูลจั่วและฉินอย่างสมบูรณ์ เขาก็รู้ว่าต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงไม่ประหม่าเพราะเหตุนี้
ส่วนจ้าวไท่ไหลไม่รู้ว่าตระหนักถึงอะไร ถลึงตามองหลินสวินอย่างไม่สบอารมณ์วูบหนึ่ง “ดูท่า วันนี้ภารกิจช่วยตามเช็ดก้นเจ้าหนูอย่างเจ้า ข้าคงหนีไม่พ้นแล้ว…”
“ผู้อาวุโส นี่เรียกว่าคนเก่งย่อมทำงานหนักกว่าผู้อื่น” หลินสวินยิ้ม
สีหน้าทั้งสามสงบนิ่ง เดินบนท้องถนนอ้างว้างอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับเดินเล่นในสวนบ้านอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สายสืบมากมายที่แอบสังเกตการณ์ทั้งหมดนี้ต่างผิดคาดอยู่บ้าง
“เถ้าแก่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล? ว่ากันว่าคนผู้นี้ก็เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิคนหนึ่ง หรือหลินสวินคิดให้เขาช่วยเหลือ ใช้วิธีละมุนละม่อมอย่างหนึ่งนำหอสมบัติตะวันมงคลกลับคืน?”
สายสืบมากมายคาดเดา
สิ่งที่พวกเขารู้ต่อจ้าวไท่ไหลเลือนรางยิ่ง รู้แค่ว่าเขาเป็นเถ้าแก่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ เป็นคนในราชวงศ์คนหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอื่นอีก
“ดูท่า เจ้ากล้าหลินนี่สังเกตเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงไม่กล้าฝืนทำต่อแล้ว”
สายสืบบางส่วนผิดหวัง พวกเขายังนึกว่าหลินสวินจะสามารถแข็งกร้าวไปได้ถึงไหน ใครเล่าจะคาดคิด ครั้งนี้เขากลับเชิญผู้ช่วยมาคนหนึ่ง
“หึ! จ้าวไท่ไหลนั่นนับเป็นอะไร เมื่อกำลังพลตระกูลจั่วและตระกูลฉินมาถึง นอกเสียจากเป็นคนชนชั้นสูงมียศศักดิ์ระดับอ๋องระดับโหวมาเยือน ไม่อย่างนั้นใครมาก็เปล่าประโยชน์”
สายสืบอีกมากต่างยิ้มเยาะ แน่ใจยิ่งกว่าเดิม ว่าภายใต้การกดดันของอำนาจสองตระกูลจั่วและฉิน หลินสวินคงยืนหยัดไว้ไม่ไหวแล้ว
ไม่ว่าคิดอ่านอย่างไร สายตาพวกเขาก็ยังคงจับจ้องทุกสิ่งนี้ไม่ให้คลาดสายตา เกรงแต่จะพลาดรายละเอียดอะไรไป
พวกเขาต่างรู้ดีว่ามรสุมที่ม้วนปกคลุมนครต้องห้ามอย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้ จะปะทุขึ้นที่หอสมบัติตะวันมงคลนี่อย่างแน่นอน!
“นายน้อย ท่านมาได้อย่างไร”
เมื่อเห็นพวกหลินสวินมาเยือน ทำให้หลินจง จูเหล่าซาน เสี่ยวเคอล้วนเกินคาดหมายอยู่บ้าง ต่างคิดไม่ถึงว่าหลินสวินถึงกับมาด้วยตนเอง
“ข้ามาดูหน่อยน่ะ”
หลินสวินกล่าวตอบเสียงเรียบ สายตามองไปในโถงใหญ่หอสมบัติตะวันมงคล เห็นฉินจื่อหมิงและจ้าวอวิ๋นจือที่นั่งอยู่ภายใน
“หลินสวิน?”
ในเวลาเดียวกัน ฉินจื่อหมิงและจ้าวอวิ๋นจือเองก็เห็นหลินสวิน จึงอดประหลาดใจไม่ได้อยู่บ้าง จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววตื่นเต้นโดยพร้อมเพรียง เจ้าเด็กนี่ถึงกับมารนหาที่ตายด้วยตนเอง!
“เจ้าก็คือหลินสวิน? กล้ามากนะ ทำเหมือนนครต้องห้ามนี้เป็นของประดับ สามารถให้เจ้าทำตัวอันธพาลอย่างไรก็ได้งั้นรึ”
จ้าวอวิ๋นจือชิงออกปากก่อน นางวางท่างามสง่า คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ดูเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนง “ก่อนหน้านี้ไม่มีคนจัดการเจ้า ก็แค่เพราะไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ค่าเยี่ยงเจ้า แต่บัดนี้เจ้าถึงกับกล้าท้าทายราชวงศ์และตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เช่นนั้นก็รอถูกฆ่าซะเถอะ!”
กำลังพลที่ตระกูลจั่วและฉินส่งมาใกล้มาถึง อีกทั้งบิดาของนางอวิ๋นยงอ๋องเองก็จะมาตามนัดหมาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จ้าวอวิ๋นจือจึงมั่นใจมากเป็นธรรมดา ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ในคำพูดเจืออาการสูงส่งเหนือคนอื่น
“ข้าหลงนึกว่าเป็นคนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ที่แท้ก็แค่พวกของที่เหมือนหลิงเทียนโหว องค์หญิงหลิงหวง”
หลินสวินยิ้ม ยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ สายตากลับมองไปยังจ้าวไท่ไหล กล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็น “จริงสิผู้อาวุโส ผู้หญิงคนนี้มีบทบาทอะไรในราชวงศ์ ทำไมข้ารู้สึกว่านางเทียบไม่ได้แม้แต่หลิงเทียนโหวกับองค์หญิงหลิงหวง”
“ความรู้สึกเจ้าไม่ผิด” จ้าวไท่ไหลผงกศีรษะ
หลินสวินพลันยิ้มระรื่นยิ่งกว่าเดิมทันที
และคำพูดนี้ของเขาเมื่อรวมเข้ากับรอยยิ้มเจือแววหยันเยาะ ช่างเสมือนดาบเล่มหนึ่งก็มิปาน แทงทะลุใจของจ้าวอวิ๋นจืออย่างหนักหน่วง ทำให้นางไม่อาจสงบนิ่งอีก โทสะพวยพุ่งขึ้นมาอยู่บ้าง
“เจ้า เจ้า… จนป่านนี้แล้วยังกล้าปากคอเราะราย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!”
จ้าวอวิ๋นจือโกรธจนกรีดร้องแหลม “เจ้ารอก่อนเถอะ ประเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องร้องขอความเมตตา!”
“หลินสวิน เจ้าอาจยังไม่รู้สถานการณ์ ทุกอย่างที่พวกเจ้าตระกูลหลินทำวันนี้ ได้ยั่วโทสะตระกูลฉินของข้าและตระกูลจั่วอย่างถึงที่สุดแล้ว ยามนี้ล้วนส่งกองกำลังมา ถึงเวลานี้แล้วเจ้ายังมีอะไรให้หยิ่งยโสได้อีก”
ฉินจื่อหมิงมุ่นคิ้ว ตวาดอย่างรุนแรงไปเบื้องหน้า การข่มขู่นี้เห็นชัดว่าหยาบคายยิ่ง ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว
แต่ยามได้ยินทุกอย่างนี้ ยังทำให้พวกสายสืบที่แอบซ่อนตัวอย่างลับๆ จิตใจฮึกเหิม ตระหนักรู้ว่าพวกเขาคาดเดาไม่ผิด ตระกูลจั่วและฉินรวบรวมกำลังพลดังคาด คิดมอบการโจมตีดุจสายฟ้าฟาดแก่หลินสวิน!
แม้แต่พวกหลินจง หลินไหวหย่วนเวลานี้ต่างลอบตกตะลึง รับรู้ได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นมาแล้ว
เห็นจะมีเพียงหลินสวินที่นิ่งสงบยิ่ง หรือพูดได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขามีทีท่าไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง งั้นก็ดียิ่ง ข้าอยากเรียนรู้วิธีการของตระกูลจั่วและฉินมาตั้งนานแล้ว”
บ้าคลั่ง!
ได้ยินดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฉินจื่อหมิง จ้าวอวิ๋นจือ หรือสายสืบทั้งหมดที่แอบอยู่ ต่างเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หลินสวินนี่บ้าระห่ำและโอหังเหมือนข่าวลือจริงดังว่า!
อาศัยคนอย่างเขา ยังกล้าพูดเหลวไหลว่าอยากเรียนรู้วิธีการของตระกูลจั่วและฉิน?
มีชีวิตจนเบื่อแล้วจริงๆ กระมัง!
หลินสวินเหมือนกับไม่สังเกตเห็นทุกอย่างนี้ พูดกล่าวเอาเอง “แต่ว่าก่อนหน้านั้น ข้าในฐานะตัวแทนตระกูลหลิน จะทวงสิ่งที่เดิมเป็นของตระกูลหลินของข้า!”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง จ้าวอวิ๋นจือก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องเสียงแหลม “เจ้ากล้า! หอสมบัติตะวันมงคลกลายเป็นของตระกูลหลินของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถ้าเจ้ากล้าขยับก็ลองดู!”
“ในที่สุดก็จะเริ่มแล้ว!”
พวกสายสืบที่แอบอยู่แต่ละคนในใจตื่นเต้น เบิกตากว้าง รู้ว่าละครฉากนี้กำลังจะเปิดม่าน ณ บัดนี้แล้ว
ตอนที่ 665 อำนาจของจ้าวไท่ไหล
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินอึ้งไป ไม่ใช่เพราะตกใจกับถ้อยคำโหดเหี้ยมของจ้าวอวิ๋นจือ แต่เพราะค้นพบในทันใดว่าจ้าวอวิ๋นจือเหมือนจะไม่รู้จักจ้าวไท่ไหล
ไม่เช่นนั้นนางจะกล้าแสดงออกอย่างจองหองอวดดีเช่นนี้หรือ
“หึ ทำไมไม่กล้าแล้ว หรือเจ้า หลินสวินก็มีเวลาที่หวาดกลัวด้วยหรือ”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินนิ่งอึ้ง ริมฝีปากของจ้าวอวิ๋นจือก็ปรากฏความดูถูกอย่างอดไม่ได้ เดิมทีนางยังนึกว่าหลินสวินจะร้ายกาจสักแค่ไหน ที่แท้ก็ไม่เท่าไร
นี่ทำให้นางยิ่งลำพองใจและไม่สะทกสะท้านยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มผู้กล้าที่ทำให้นครต้องห้ามปวดหัวคนหนึ่ง ตอนนี้กลับถูกนางทำให้หวาดผวา หากข่าวกระจายออกไป นั่นคงเป็นเรื่องที่มีสีสันมากเรื่องหนึ่ง
ริมฝีปากแดงของนางยกขึ้นเบาๆ มองหลินสวินอย่างดูแคลนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อกลัวแล้ว ก็รีบคุกเข่าสำนึกผิดเสีย ไม่แน่ข้าอาจจะให้เจ้า…”
เผียะ!
ไม่ทันพูดจบ ฝ่ามือไร้รูปก็ตบไปที่ใบหน้าขาวสะอาดนั้นอย่างรุนแรงจนร่างของนางโซซัดโซเซ ก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น มือกุมแก้มที่บวมแดงร้องเสียงแหลมอย่างเจ็บปวด
นางมีสีหน้ายากจะเชื่อ ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะถูกผู้อื่นตบอย่างแรงจนล้มลงพื้นเช่นนี้
ผู้ที่ลงมือไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นจ้าวไท่ไหล
เขาส่ายหัวถอนใจแล้วกล่าว “ขายขี้หน้า ข้าทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว”
หลินสวินห้ามใจไม่ให้ยิ้มไม่ได้ จ้าวไท่ไหลมีฐานะเป็นผู้มีอำนาจในราชวงศ์ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของจ้าวอวิ๋นจือ ต้องรู้สึกแย่มากแน่
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ทุกคนในที่นั้นก็พากันตกตะลึง ขนาดพวกหลินจง หลินไหวหย่วนยังประหลาดใจอยู่บ้าง แม้จ้าวอวิ๋นจือผู้นั้นออกจะน่าชิงชัง แต่อย่างไรก็มีฐานะเป็นราชนิกูล
หาไม่แล้ว พวกเขาก็คงไม่ละล้าละลัง ไม่ได้ลงมือกับหอสมบัติตะวันมงคลจนตอนนี้
แต่พวกเขากลับไม่คิดว่า ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนที่หลินสวินพามาคนนี้กลับไม่ไว้หน้าแบบนี้ ลงมือตบออกไปฉาดหนึ่งตรงๆ ช่างอหังการไปแล้ว
“เจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าตบคนอื่น!”
ฉินจื่อหมิงเดือดดาล ถลึงจ้องจ้าวไท่ไหล
“ฮือ ถึงกับกล้าตบข้า ไม่ว่าเป็นใคร ครั้งนี้ข้าจะฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
จ้าวอวิ๋นจือที่อยู่บนพื้นหวีดร้องเสียงแหลม ภายใต้การจับจ้องของดวงตามากมาย นางที่เป็นถึงบุตรสาวท่านอ๋องกลับถูกผู้อื่นตบหน้า นี่ช่างเป็นความอับอายครั้งใหญ่
“อ้อ จะฆ่าข้าหรือ”
จ้าวไท่ไหลยิ้มแล้ว ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด กลับดูน่ากลัวหาใดเทียบ พาให้ผู้อื่นหวาดหวั่นใจ
“เจ้า…คิดจะทำอะไร ข้าจะบอกให้ อีกเดี๋ยวอวิ๋นยงอ๋องก็จะมาเยือนด้วยตัวเองแล้ว!”
ฉินจื่อหมิงตกใจระคนโมโห ตอนนี้ยอดฝีมือของตระกูลจั่วและฉินยังไม่มา นี่ก็ทำให้เขาร้อนรนไปชั่วขณะ
“อวิ๋นยงอ๋องหรือ”
จ้าวไท่ไหลยิ่งยิ้มน่ากลัวยิ่งขึ้น
นี่ทำให้ในใจฉินจื่อหมิงยิ่งรู้สึกไม่สู้ดี เจ้าคนที่หลินสวินเชิญมานี้ เหตุใดถึงดูใจกล้าและน่ากลัวกว่าหลินสวินเสียอีก
เขาเป็นใครกันแน่
หลินสวินที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็อดส่ายหัวไม่ได้ ฉินจื่อหมิงกับจ้าวอวิ๋นจือเป็นเพียงพวกอวดเบ่งข่มเหงผู้อื่นคู่หนึ่ง ไม่มีคุณค่าใด
เขาสั่งการไปตรงๆ “ลุงจง พวกท่านลงมือได้เลย หากใครกล้าขัดขวางก็ฆ่าเสีย ส่วนเรื่องอื่นให้ข้าจัดการเอง”
เพียงประโยคเดียว หลินจง จูเหล่าซาน เสี่ยวเคอ หลินไหวหย่วนที่เตรียมพร้อมต่อสู้อยู่ก่อนแล้วล้วนรับคำสั่ง มองไปยังภายในหอสมบัติตะวันมงคลด้วยไอสังหารพวยพุ่ง
“พวกเจ้ากล้าหรือ!”
ฉินจื่อหมิงคำรามเดือดดาล หน้าเปลี่ยนสีถึงที่สุด
ขนาดจ้าวอวิ๋นจือก็ตกใจเสียแล้ว ร้องเสียงหลงผมเผ้ายุ่งเหยิง จะมีความสง่างามและหยิ่งทะนงอย่างเมื่อครู่นี้เสียที่ไหน กลับเหมือนหญิงขี้โมโหที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“บังอาจ! มีข้าอยู่ ใครกล้าเหิมเกริมที่นี่”
และในตอนนี้เอง เสียงตะคอกดังขึ้นราวอัสนีบาต สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
ที่มาพร้อมกับเสียงนี้เป็นชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามที่สวมเกี้ยวสีทองม่วงบนศีรษะ แต่งกายด้วยชุดคลุมพญางูแขนกว้าง สวมรองเท้าลายเมฆ สองมือไพล่หลังเดินเข้ามาแต่ไกล
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่!
สายสืบที่จดจ้องทุกสิ่งนี้ล้วนจิตใจสั่นระรัวอย่างรุนแรง ไม่คิดเลยว่ากำลังของตระกูลฉินและจั่วยังมาไม่ถึง เชื้อพระวงศ์ผู้มีอำนาจในราชวงศ์ผู้นี้ก็มาถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว
คนนี้เป็นถึงบุคคลร้ายกาจผู้หนึ่ง เคยกุมอำนาจใหญ่ของหน่วยราชองครักษ์แห่งนครต้องห้าม ทั้งยังเคยนำทหารออกรบในชายแดนรกร้าง เก่งกาจการศึก กล้าหาญและเจ้าเล่ห์
เพียงแต่เขาอารมณ์รุนแรง นิสัยใจคอเย่อหยิ่งเจ้ายศเจ้าอย่าง พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็เปิดฉากสังหารใหญ่ ถูกผู้คนในใต้หล้ามอบฉายา ‘แม่ทัพผู้โอหัง’ ให้
และตอนนี้ บุคคลร้ายกาจที่มีอำนาจเช่นนี้มาถึง แค่คิดก็รู้ว่าจะก่อให้เกิดแรงสะเทือนใหญ่โตเพียงใด สายสืบเหล่านั้นล้วนอดมีความสุขที่ได้เห็นผู้อื่นประสบเคราะห์ไม่ได้ จิตใจคึกคัก อยากดูว่าหลินสวินจะสลายวิกฤตนี้อย่างไร
พวกหลินจงหวาดหวั่นในใจ ต่างหยุดฝีเท้า พวกเขาก็เคยได้ยินชื่อของอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ เพียงแต่ไม่คิดว่าด้วยฐานะของเขา จะถึงกับมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง พลันทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นรับมือได้ยากและรุนแรงเสียแล้ว
และเวลานี้จ้าวอวิ๋นจือก็ตื่นเต้นจนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา เหมือนหาผู้ช่วยเหลือพบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและขัดเคือง ร้องออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านมาได้เวลาพอดี เจ้าพวกนี้จะเข้ายึดหอสมบัติตะวันมงคลของพวกเรา ใครกล้าขัดขวาง พวกมันก็จะฆ่า ขนาดข้า… ข้ายังถูกพวกมันเหยียดหยาม!”
“ท่านพ่อตา ขอให้ท่านออกหน้าแทนพวกเราด้วยขอรับ!”
ฉินจื่อหมิงก็สีหน้าหดหู่
“พวกเจ้าไม่ต้องพูด ข้าเข้าใจแล้ว สาเหตุที่ข้ามาก็เพื่อต้องการดูว่าไอ้สารเลวคนไหนมันไม่รู้เหนือรู้ใต้มาเหิมเกริมที่นี่ คิดว่าข้าล่วงเกินได้ง่ายหรือ”
ใบหน้าอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่เต็มไปด้วยไอสังหาร เสียงพูดดังกังวาน ท่าทางรุนแรง ยามพูดจาก็เดินมาถึงหน้าโถงใหญ่
เขาเป็นคนใหญ่คนโตในราชวงศ์ อีกทั้งยังครอบครองอำนาจแท้จริง เก่งกาจการศึก และตัวเขายังเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นบุตรสาวและบุตรเขยของตนถึงกับถูกผู้อื่นรังแกในนครต้องห้าม นี่ก็เหมือนตบหน้าเขาจ้าวซวี่!
บรรยากาศในโถงใหญ่พลันเย็นยะเยือกหาใดเทียบ ขนาดเหล่าสายสืบที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดล้วนอดตื่นตะลึงไม่ได้
แม่ทัพผู้โอหังคนนี้สมคำร่ำลือดังคาด เพิ่งมาถึงที่นี่ก็แสดงท่าทางแข็งกร้าวและอหังการ์ พาให้ผู้อื่นตื่นตระหนก
ทีนี้ดูซิว่าหลินสวินคนนั้นจะสะสางอย่างไร!
นี่ไม่ใช่กำลังของตระกูลจั่วและฉิน แต่เป็นตัวจ้าวซวี่ที่อยู่ตรงนั้น ผลลัพธ์ของการล่วงเกินเขาจะต้องร้ายแรงขึ้นไปอีก!
พวกหลินจงออกจะหนักใจ พวกเขาวางแผนมากมาย ก็ยังคาดการณ์ไม่ถึงว่าจ้าวซวี่ผู้เป็นถึงชนชั้นสูงระดับบรรดาศักดิ์จะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ นี่ทำให้พวกเขาตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง
“เหอะๆ”
แต่ท่ามกลางบรรยากาศกดดันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ จ้าวไท่ไหลกลับหัวเราะ เขามองจ้าวซวี่ที่เพิ่งมาถึงก็พูดจาข่มขู่ใหญ่โตอย่างนึกสนุก แล้วกล่าวว่า “เจ้าว่า… ใครเป็นไอ้สารเลวไม่รู้เหนือรู้ใต้นะ”
เดิมทีจ้าวไท่ไหลหันหลังให้ถนน ทำให้จ้าวซวี่ไม่ได้สังเกต เวลานี้ได้ยินเสียงคนหัวเราะขึ้นมา เขาก็ขัดเคืองอยู่บ้าง บังเกิดจิตสังหารในใจ คิดว่านี่เป็นการท้าทายยกใหญ่อย่างหนึ่ง
แต่เมื่อชำเลืองไปเห็นจ้าวไท่ไหล นัยน์ตาเขาพลันหดรัดทันใด เหมือนทำใจเชื่อได้ยาก ถึงกับนิ่งอิ้งอยู่เช่นนั้น
แต่จ้าวอวิ๋นจือกลับไม่ได้สังเกตเห็น เมื่อครู่นางถูกตบหน้าฉาดหนึ่ง เต็มไปด้วยไฟโทสะอยู่ก่อนแล้ว
เวลานี้เมื่อเห็นว่าบิดาของตนก็มาแล้ว เจ้าแก่นั่นยังคงกำเริบเสิบสานเช่นนี้เหมือนเดิม นางก็พลันทนไม่ไหว กรีดเสียงแหลมว่า “ท่านพ่อ เมื่อกี้ก็เป็นไอ้แก่นี่ล่ะที่ลงมือ! เขายังพูดว่าตัวข้าซึ่งเป็นคนในราชวงศ์กลับทำขายขี้หน้า นี่เขากำลังเหยียดหยามข้าชัดๆ!”
เพียงแต่นางกระจองอแงอยู่นาน ก็ไม่เห็นว่าจ้าวซวี่จะเคลื่อนไหวอะไร นี่ทำให้นางอดร้อนรนไม่ได้ ร้องออกมาว่า “ท่านพ่อ ไอ้สารเลวเฒ่าเช่นนี้ หากไม่ฆ่าก็ไม่สามารถปกป้องศักดิ์ศรีของราชวงศ์ได้นะเจ้าคะ!”
ฉินจื่อหมิงเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก้าวขึ้นมาจะเอ่ยห้ามจ้าวอวิ๋นจือ แต่กลับถูกฝ่ายหลังผลักออกไปแล้วด่าทอว่า “มีท่านพ่อข้าอยู่ เจ้ายังจะกลัวอะไร”
นางพูดพลางมองไปยังหลินสวิน “ยังมีเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณบ้าบออะไร กล้ามาก่อเรื่องที่หอสมบัติตะวันมงคลของพวกเรา วันนี้เจ้าอย่าคิดจะรอดออกไปเลย!”
หลินสวินอดลอบถอนใจไม่ได้ เขามองผิดไปแน่แล้ว ความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้ หลิงเทียนโหวกับองค์หญิงหลิงหวงก็ไม่มีทางเทียบได้
ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบ จ้าวไท่ไหลล้วนไม่สนใจความเหิมเกริมของจ้าวอวิ๋นจือ เพียงแต่มองไปยังอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ แล้วกล่าวว่า “นางเป็นลูกสาวเจ้าหรือ”
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ส่งเสียงอืม สีหน้าตอนนี้แปลกประหลาดถึงที่สุด ดูแข็งทื่อนัก หากสังเกตโดยละเอียด ยังมีสีหน้าตื่นตระหนกที่บอกไม่ถูก เหมือนดั่งทหารเลวผู้หนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับแม่ทัพ ดูใจฝ่อ แข็งทื่อและตื่นเต้น
เวลานี้ ขนาดกลุ่มสายลับที่อยู่ในความมืดก็สังเกตได้ว่าเหตุการณ์ชักแปลกชอบกล ภาพนี้จะประหลาดไปแล้ว
เมื่อครู่จ้าวซวี่อหังการและแข็งกร้าวปานไหน แต่ตอนนี้เหตุใดถึงได้เงียบเชียบโดยพลันเสียเล่า
และในตอนนี้เอง จ้าวไท่ไหลเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว เอ่ยว่า “ให้นางหุบปากเสีย”
“ได้!”
ภาพที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างเกิดขึ้นแล้ว อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ผู้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงในจักรวรรดิ หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ถึงกับเข้าตบหน้าบุตรสาวของตนฉาดหนึ่งโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
เผียะ!
เสียงตบดังกังวานนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนรู้สึกหวาดผวา เห็นได้ว่าแรงตบนี้ของเขามากมายแค่ไหน
ก็เห็นว่าจ้าวอวิ๋นจือที่กำลังเดือดดาลโวยวายไม่หยุด พลันเหมือนโดนตบจนงงงวย ร่างลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศ จมูกปากกบเลือด ล้มลงไปบนพื้นเสียงดังตุ้บ จากนั้นก็ตาเหลือกแล้วหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
ก่อนหมดสติ นางรับรู้เพียงอย่างเดียวว่า ‘ท่านพ่อเขา… เหตุใดถึงลงมือกับข้าได้…. ตบผิดคนแล้วหรือไม่…’
ดูเหมือนน่าขัน แต่จ้าวอวิ๋นจือคิดเช่นนี้จริง กระทั่งนางหมดสติไปก็ยังไม่รับรู้ว่าบรรยากาศในโถงใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่างขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงใหญ่ก็เงียบเชียบลงอีกครั้ง
พวกหลินจงตื่นตะลึงอยู่เช่นนั้น ฉินจื่อหมิงก็มึนงง ส่วนสายลับที่ลอบสังเกตในมุมมืดเหล่านั้นล้วนงงงวย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดการณ์ได้ ทำให้พวกเขาเกือบคิดว่าตาฝาดไปแล้ว
อวิ๋นยงอ๋องมาด้วยท่าทางฮึกเหิม กลับลงมือตบหน้าบุตรสาวของตนในทันใด นี่ช่างน่าเหลือเชื่อไปแล้ว
ขนาดหลินสวินยังลอบตกใจ เขาพอจะรู้อยู่ก่อนว่าฐานะของจ้าวไท่ไหลไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฐานะของอีกฝ่ายเหมือนจะทรงอำนาจกว่าที่ตนเคยคาดไว้อยู่บ้าง
ทำให้จ้าวซวี่ ชนชั้นบรรดาศักดิ์ที่โอหังเช่นนี้ก้มหัวให้ ไม่กล้าแตะแม้แต่ปลายเล็บ ถึงกับไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวไท่ไหล!
เพียงแค่จุดนี้ก็รู้ว่าฐานะจ้าวไท่ไหลน่ากลัวเพียงใดแล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำให้ท่านอ๋องผู้หนึ่งเชื่องชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร
จ้าวไท่ไหลนิ่วหน้า ในที่สุดก็เหมือนเก็บกลั้นอะไรบางอย่างไว้ จากนั้นจึงโบกมือเหมือนไล่แมลงวัน กล่าวว่า “หมดเรื่องเจ้าแล้ว หลีกไปเสีย”
กลับเห็นว่าจ้าวซวี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก โค้งกายคำนับต่ำ ประสานหมัดแล้วหันกายเดินไปอยู่ด้านข้าง
เฮือก!
ตอนนี้ทุกคนในที่นั้นล้วนสูดหายใจเยียบเย็น ในที่สุดก็รับรู้ได้ถึงจุดที่มีปัญหา ยามมองดูจ้าวไท่ไหลอีกครั้ง สายตาพวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ความเงียบมีชัยเหนือสรรพเสียงใด!
ตอนที่ 666 คนใหญ่คนโตของสองตระกูลจั่วและฉิน
โดย
ProjectZyphon
จ้าวไท่ไหลต้องไม่ได้ธรรมดาเพียงแค่เจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์แน่!
นี่เป็นความเห็นเอกฉันท์ของทุกคน
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ บุคคลร้ายกาจในหมู่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับเชื่อฟังและโอนอ่อนเหมือนเป็นลูกหลาน คนทั่วไปจะมีอานุภาพเช่นนี้ได้หรือ
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจ้าวไท่ไหลต้องเป็นคนใหญ่คนโตในราชวัง หรือราชวงศ์ก็ต้องการยื่นมือเข้าไปสนับสนุนตระกูลหลินในการชิงความเป็นใหญ่ครั้งนี้?”
สายลับเหล่านั้นล้วนหวาดหวั่น คาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป
เดิมทีตระกูลหลินด้อยอำนาจ เทียบไม่ได้แม้แต่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่าง ไม่ได้รับการยอมรับจากขุมอำนาจใหญ่ คิดว่าการที่ตระกูลหลินท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เป็นการรนหาที่ตายไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว
แต่หากตระกูลหลินได้ราชวงศ์สนับสนุน เช่นนั้นสถานการณ์ก็ต่างออกไปแล้ว!
“สถานการณ์เปลี่ยนไป รีบส่งข่าว!”
“เร็วเข้า แจ้งให้คนใหญ่คนโตในตระกูลทราบว่าในเหตุการณ์นี้มีคนของราชวงศ์ปรากฏตัว ตอนนี้รูปการณ์เริ่มมีคลื่นการเปลี่ยนแปลง!”
สายลับเหล่านั้นพากันเคลื่อนไหวไปส่งข่าวให้ขุมอำนาจของตน
การปรากฏตัวของจ้าวไท่ไหลมีนัยไม่ธรรมดาแล้ว!
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าหลินสวินช่างเป็น ‘เจ้ากล้าหลิน’ เสียจริง ไปท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงโดยไม่สนใจสิ่งใด จะต่างอะไรกับหาที่ตาย
แต่ตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า พวกเขาดูเบาความสามารถและเส้นสายที่หลินสวินซุกซ่อนไว้ไป!
……
“ดำเนินการต่อไป”
ในโถงใหญ่ หลินสวินดูสุขุมเยือกเย็นมาก สั่งให้พวกหลินจงไปชิงหอสมบัติตะวันมงคล
ยามเขากับจ้าวไท่ไหลพูดคุยกัน ก็รู้ว่าจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันล้วนกำลังจับตามองตนอยู่ ดังนั้นการแสดงออกของจ้าวไท่ไหลแม้ทำให้เขาตกใจ แต่กลับไม่เหนือความคาดหมาย
หากสะสางเรื่องนี้ไม่ได้ เช่นนั้นผู้ที่เสียหน้าจะไม่ได้มีแค่จ้าวไท่ไหลคนเดียว!
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”
ฉินจื่อหมิงตกตะลึงพรึงเพริด สุดท้ายก็พูดประโยคนี้ซ้ำๆ เขาถูกภาพเมื่อครู่กระทบกระเทือนจิตใจจนแทบพังทลาย
ฐานะ ‘ราชนิกูล’ ของภรรยาที่เขาพึ่งพาไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนที่ปราบพวกเขาก็คืออวิ๋นยงอ๋องที่พวกเขาพึ่งพิง!
นี่จะไม่ทำให้ฉินจื่อหมิงเข้าใจได้อย่างไร ว่าครั้งนี้หลินสวินเชิญคนใหญ่คนโตชั้นสูงผู้หนึ่งมา ขนาดอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ยังทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาฟังคำสั่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะกล้าต่อต้านอีกได้อย่างไร
และพวกหลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน หลินไหวหย่วนก็เดินเข้ามายังหอสมบัติตะวันมงคลอย่างผ่าเผย ต่อหน้าต่อตาเขา
นี่มีความหมายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีกไม่นาน ที่นี่ก็จะมีนาม ‘ตระกูลหลิน’ ครอบทับอีกครั้ง!
ทั้งหมดนี้ดำเนินการอย่างเรียบร้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ
นี่ทำให้สายลับที่สังเกตการณ์ทุกอย่างนี้ในที่ลับล้วนกระวนกระวายใจ นี่มันเวลาใดแล้ว เหตุใดกองกำลังที่ตระกูลจั่วกับฉินส่งออกมายังไม่ปรากฏตัว
หรือว่าการช่วงชิงความเป็นใหญ่ราวพายุครั้งนี้ จะถูกหลินสวินจัดการอยู่หมัดอย่างง่ายดายเช่นนี้
ราวกับได้ยินเสียงในใจพวกเขา ในห้วงอากาศไกลออกไปพลันมีเสียงระเบิดแสบแก้วหูดังขึ้นระลอกหนึ่ง
ก็เห็นว่าชายชราเคราขาวพลิ้วไหว สวมอาภรณ์สีนิล ท่าทางเหนือธรรมดาราวเทพเซียน เหยียบย่างรุ้งทองเจิดจ้าสายหนึ่งข้ามผ่านท้องฟ้ามา
เมื่อมองไปช่างเหมือนเซียนปรากฏตัวบนโลก สง่างามอย่างบอกไม่ถูก มีท่าทางน่าเลื่อมใสเหนือคนทั่วไป
ชั่วพริบตาเขาก็มาถึง และก้าวไปอยู่ข้างกายฉินจื่อหมิง ก็เห็นว่ายามเขากะพริบตาราวมีสายฟ้าไหววูบแผ่ออกมา น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
“มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติของตระกูลฉิน ฉินเสวียนตู้!”
สายลับที่ซ่อนตัวอยู่ใจสั่นรุนแรงครู่หนึ่ง คนคนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลในระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง มีชื่ออย่างยิ่งในนครต้องห้าม พลังปราณแก่กล้าทรงพลัง ไม่อาจเทียบกับคนทั่วไปได้
“ตระกูลฉินมาแล้ว การช่วงชิงความเป็นใหญ่ครั้งนี้จะเกิดคลื่นลมเปลี่ยนแปลงเช่นไรอีกนะ”
ทุกคนที่ซุ่มอยู่ในที่มืดล้วนตาเบิกกว้าง
“ท่านผู้เฒ่า ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
เวลานี้ฉินจื่อหมิงเหมือนคว้าฟางเส้นหนึ่งได้กลางมหาสมุทร เกือบร้องไห้ด้วยความยินดียิ่ง การมาถึงของฉินเสวียนตู้ทำให้เขาหาที่พึ่งได้ในที่สุด
“จิตใจไม่มั่นคง พลังปั่นป่วน เด็กหนุ่มตัวจ้อยตระกูลหลินคนหนึ่งทำให้เจ้าลำบากจนเป็นแบบนี้เชียวหรือ”
ฉินเสวียนตู้หน้านิ่วคิ้วขมวด สั่งสอนฉินจื่อหมิงประโยคหนึ่ง ฝ่ายหลังอดสูใจยิ่ง กำลังจะเอ่ยปากอธิบาย ก็เห็นชายชรากล่าวขึ้นอย่างตกใจอยู่บ้างว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็อยู่ด้วย”
อวิ๋นยงอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าไร้อารมณ์ เหมือนไม่ได้ยินคำทักทายของเขาเลย ไม่พูดไม่จา ไม่ไหวติงราวกับสมณะเฒ่าเข้าฌาน
นี่ทำให้สีหน้าของฉินเสวียนตู้บังเกิดความกระอีกกระอ่วน ทันใดนั้นก็ส่งเสียงหึหยัน ฐานะของอวิ๋นยงอ๋องแม้พิเศษ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้พวกเขาตระกูลฉินหวาดหวั่น
“เจ้าก็คือหลินสวินหรือ” ฉินเสวียนตู้กวาดสายตาแล้วจ้องมองงที่หลินสวิน
ส่วนจ้าวไท่ไหลก็ถูกเขาเมินไปเลย เขาจำอีกฝ่ายได้ เป็นเพียงเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์เท่านั้น แม้เป็นราชนิกูลแต่ก็ไม่มีอำนาจเท่าไร
“ใช่แล้ว ข้าเอง” หลินสวินสีหน้าสุขุมเรียบเฉย
“วันนี้เจ้าส่งคนมาฆ่าคนตระกูลฉินของข้ามากมายขนาดนั้น ทั้งยังช่วงชิงกิจการมากมายของตระกูลเราไปอีก เจ้ารู้ความผิดดีใช่ไหม”
ชายชราสีหน้าน่าเกรงขาม ท่าทางโอหัง
หลินสวินพลันยิ้มแล้วพูดว่า “เลิกพูดไร้สาระ หากจะลงมือก็พูดมาเลย แต่หากอาศัยแค่เจ้าคนเดียว เกรงว่าจะยังไม่พอไปสักหน่อย”
สายลับที่ซ่อนอยู่ล้วนใจกระตุกวูบ เจ้ากล้าหลินมันบ้าระห่ำอย่างที่คิดไว้ คร้านจะพูดพร่ำทำเพลง จะเข้าเรื่องเลย อีกทั้งยังกล่าวว่าฉินเสวียนตู้คนเดียวไม่พอ…
ทอดตามองไปทั่วนครต้องห้าม นอกจากราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นแล้ว ใครจะกล้าท้าทายฉินเสวียนตู้เช่นนี้
กลับเห็นว่าฉินเสวียนตู้ไม่หวั่นไหวสักนิด เอ่ยว่า “พ่อหนุ่ม เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพวกเรารู้ดี พูดตามจริงข้าก็สงสัย ว่าด้วยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะของเจ้านั้นสามารถเอาชนะหลินซีซีได้หรือไม่กันแน่”
“แต่ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้า และเพื่อความปลอดภัย ผู้ลงมือคราวนี้ย่อมไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มบางๆ ดวงตาฉายสายฟ้าโชติช่วงเย็นเยียบออกมา “สามารถตายไปท่ามกลางความเคารพของพวกเรา เจ้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายแล้ว”
ภายนอกเขาดูสง่างามราวเซียน แต่เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา กลับเผยจิตสังหารออกมาจนสิ้น พลังน่าหวาดหวั่นพุ่งทะลุเมฆา ปั่นป่วนสภาพอากาศ!
ชั่วขณะเดียวในโถงใหญ่เงียบเชียบ บรรยากาศตึงเครียด เต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้ผู้อื่นแทบหายใจไม่ออก
“น่ากลัวนัก!” สายลับที่อยู่ในความมืดล้วนลอบตื่นตะลึง
“พูดเช่นนี้ พวกเจ้าตระกูลฉินได้ตัดสินใจแล้วว่าคราวนี้จะฆ่าข้าหรือ” หลินสวินดูสงบนิ่งมาก
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็พยามยามถึงที่สุดที่จะจับเป็นเจ้า”
ชายชรายิ้มให้ “อย่างไรเสียจะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง หากตายไปก็เสียของอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่สู้มาทำงานชดใช้ความผิดที่ตระกูลฉินของข้าตลอดชีวิต อย่างน้อยก็ยังมีคุณค่าบ้าง”
พูดจาส่งเดช เห็นได้ชัดว่ามองว่าหลินสวินเป็นเนื้อบนเขียง
ดวงตาสีดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย เพียงแต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ฉินเสวียนตู้พลันยิ้มเหี้ยมเกรียมพูดว่า “แน่นอนว่าหากตอนนี้เจ้าแปรพักตร์เข้าตระกูลฉินของข้า ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสของตระกูลข้าทันที สถานะและค่าตอบแทนไม่ด้อยไปกว่าข้า ทั้งยังจะคุ้มครองตระกูลหลินของเจ้า ถึงกับสามารถเชิญราชันระดับสังสารวัฏมาชี้แนะเจ้าฝึกปราณด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ภายนอกก็พลันโกลาหล
ตระกูลฉินเป็นถึงตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ในจักรวรรดิเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณชั้นยอดมากมายแค่ไหนที่หมายจะเข้าตระกูลฉิน เป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่ทำคุณประโยชน์ให้พวกเขา
แต่ตอนนี้เงื่อนไขที่ชายชราให้หลินสวินก็ยิ่งน่าตกใจ ไม่เพียงสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งสูงกับเขา ยังจะคุ้มครองตระกูลหลิน ถึงขั้นยินดีเชิญราชันระดับสังสารวัฏมาชี้แนะเขาเมื่อฝึกปราณ นี่เป็นเงื่อนไขน่าเย้ายวนข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้ได้
“ให้ตายสิ เทียบกันแล้วน่าโมโหชะมัด หากเปลี่ยนเป็นข้าคงรับปากไปแล้ว ได้ติดตามตระกูลฉิน ทั้งมีระดับสังสารวัฏมาชี้แนะการฝึกปราณ ภายหลังจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้หรือ”
สายลับบางคนตีอกชกหัว อิจฉาตาร้อน
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ใช่หลินสวิน หลินสวินก็ไม่ใช่พวกเขา เมื่อได้ยินดังนี้เขาก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว เอ่ยว่า “ราชันสังสารวัฏชี้แนะหรือ มหามรรคของข้าพวกเขาชี้แนะได้หรือ ถ้าข้าชี้แนะพวกเขายังพอไหว”
ทุกคนล้วนคิดว่าที่หลินสวินพูดเป็นเพราะโกรธ
แต่มีเพียงตัวหลินสวินที่รู้ดีว่า ด้วย ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ที่เขาครอบครองกับ ‘เคล็ดวิชาแสงอริยะนพนภา’ ที่สืบทอดมาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ หากไปชี้แนะราชันระดับสังสารวัฏ พวกเขาต้องดีใจเหมือนคนบ้าแน่!
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงวิชาตกทอดอริยมรรคเชียวนะ!
อริยมรรค แค่เพียงคำนี้ก็เพียงพอจะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏนับถือแล้ว
“เหอะๆ เป็นเด็กน้อยไม่รู้ความตามคาด ช่างเถอะๆๆ ในเมื่อเจ้าโง่เขลา ก็จะโทษว่าพวกเราตระกูลฉินลงมืออย่างไร้ปรานีไม่ได้นะ”
ฉินเสวียนตู้ถอนใจเบาๆ อย่างเสียดาย เหมือนเห็นใจหลินสวิน
“เจ้าดูสิ พูดพล่ามมากมายเช่นนี้ สุดท้ายก็ต้องใช้การต่อสู้มาสะสาง แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าต้องพูดจาไร้สาระมากมายขนาดนั้นด้วยเล่า”
หลินสวินยักไหล่ เหมือนเริ่มหมดความอดทนแล้ว “รีบเรียกผู้ช่วยเจ้าออกมาเถอะ เวลามีค่า พวกเรารีบหน่อยดีไหม”
ต่อให้ฉินเสวียนตู้สุขุมและเยือกเย็นแค่ไหน เวลานี้ก็อดหน้าตึงขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาฉายรังสีเยียบเย็นน่าหวาดหวั่น
เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ได้ยินว่าบนภูเขาชำระจิตก็มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ไม่สู้เรียกออกมาด้วยเล่า”
เห็นได้ชัดว่า เขาคิดว่าที่หลินสวินไม่เกรงกลัวเช่นนี้เพราะมีคนช่วย
“ไม่ต้องหรอก ต่อกรกับพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” หลินสวินเอ่ย
“ดี! ดีมาก! ด้วยคำพูดนี้ของเจ้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าบางครั้งกำเริบเสิบสานเกินไป ก็อยู่ไม่ห่างจากความตายนักหรอก!”
ฉินเสวียนตู้ยิ้มหยัน
เวลานี้เสียงหัวเราะแว่วมาจากที่ไกลออกไป “ข้าก็เคยพูดไว้แล้วไงว่าเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้กำเริบไม่รู้จักกลัว ไม่ต้องพูดมากความไป จับมันฆ่าทิ้งก็ได้แล้ว”
ตู้ม! ตู้ม!
พร้อมกับเสียงหัวเราะร่า พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับมีคชสารมังกรบรรพกาลตัวหนึ่งตะบึงมาแต่ไกล ในจินตการของทุกคน ผู้มาเยือนต้องมีอานุภาพหาใดเทียบ พละกำลังราวบรรพตนที
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้มาเยือนกลับเป็นสตรีนางหนึ่ง นางรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรยิ่งยวด ใบหน้างดงามสะดุดตา ทรวดทรงองค์เอวแบบบาง โอบรอบได้ด้วยมือเดียว มีเสน่ห์ถึงที่สุด
แต่ยามเท้าของนางเหยียบย่างลงมา กลับเหมือนมหาบรรพตกระแทกพสุธา เกิดเป็นเสียงระเบิดสะเทือนหูแทบดับ ราวกับภายในร่างแบบบางของนางนั้นเก็บกักพลังน่ากลัวราวภูเขาไฟปะทุไว้อยู่ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกขัดแย้งยิ่งนัก
“มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติจั่วเป่าอิ๋ง!”
สายลับที่ซ่อนตัวล้วนสูดหายใจเย็นเยียบ สตรีนางนี้ไม่ด้อยไปกว่าฉินเสวียนตู้ เป็นนางยักษ์ที่มีชื่อ ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน สองมือเปื้อนเลือด เป็นตัวร้ายเต็มขั้น
“มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสองคนเชียวนะ! คราวนี้เจ้าเด็กนั่นยากพ้นเคราะห์แล้ว แต่ว่า สองตระกูลจั่วและฉินก็โหดเหี้ยมจริง ไม่ลงมือยังพอว่า แต่พอลงมือก็ส่งมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติออกมาสองคน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะให้หลินสวินมีทางรอดแล้ว!”
ผู้คนบ้างสะท้านขวัญ บ้างเร้าใจ บ้างยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น รูปการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ขนาดพวกเขายังคิดไม่ถึง
ตอนที่ 667 เข้ามาหาที่ตาย
โดย
ProjectZyphon
การมาถึงของจั่วเป่าอิ๋งทำให้แทบทุกคนตระหนกตกใจ ขนาดพวกหลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซานยังตื่นตระหนก เดินออกไปจากหอสมบัติตะวันมงคลด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
เมื่อเทียบกับหลินซีซี ไม่ว่าจะเป็นฉินเสวียนตู้หรือจั่วเป่าอิ๋งก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นผู้มีอิทธิพลในระดับกระบวนแปรจุติ
หากอยู่ในที่อื่นของจักรวรรดิ บุคคลระดับนี้ล้วนเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่คับฟ้า ประกาศศักดาเป็นเจ้าครองดินแดนฝั่งหนึ่งได้!
ทว่าตอนนี้ มหายุทธ์เช่นนี้สองคนมาด้วยกันเพื่อต่อกรหลินสวินโดยเฉพาะ เพียงคิดก็รู้ว่าครั้งนี้สองตระกูลฉินและจั่วไม่คิดจะปล่อยให้รอดอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรเรียกว่าการโจมตีราวอสนีบาต
ก็เช่นนี้อย่างไรเล่า ไม่ลงมือก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อลงมือก็ทำลายล้างผลาญ!
พลังและความน่ากลัวของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสำแดงออกมาอย่างหมดจดในตอนนี้
เพียงแต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ปฏิกิริยาของบางคนกลับแปลกประหลาด
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ยังคงเหมือนไม่รับรู้ทุกอย่างโดยสิ้นเชิง สำรวมจิตนิ่งราวสมณะเฒ่าเข้าฌาน
จ้าวไท่ไหลกลับเอามือไพล่หลัง สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าไกลออกไป สีหน้าดูสงบเยือกเย็น ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดตั้งแต่เริ่มจนจบ
ส่วนหลินสวินก็ดูเรียบเฉยอย่างมาก นัยน์ตาดำของเขาลุ่มลึก มองดูฉินเสวียนตู้ที่ท่างทางสง่างามราวเซียน แล้วก็หันมองจั่วเป่าอิ๋งที่รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรงดงามทรงเสน่ห์ สุดท้ายก็ยิ้มหยันเอ่ยว่า “มีแค่พวกเจ้าสองคนหรือ ก็ยังน้อยไปอยู่ดีล่ะ”
สายสืบที่ซ่อนอยู่ในที่มืดตกละตึง เจ้ากล้าหลินนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ผู้มีอิทธิพลระดับกระบวนแปรจุติเชียวนะ สองคนอีกต่างหาก!
ทำไมในสายตาของเขา กลับน้อยไปเล่า
เขาจะกำเริบเสิบสานไปถึงไหน ถึงได้กล้าเอ่ยวาจาน่าตกตะลึงเช่นนี้
ฉินเสวียนตู้นิ่วหน้า สายตากวาดมองที่พวกจ้าวไท่ไหล จูเหล่าซาน หลินจงทีละคน เวลานี้ถึงเอ่ยว่า “หากเพียงเพื่อรับมือเจ้าคนเดียว ข้าคนเดียวก็พอแล้ว แต่หากจะรับมือพวกเจ้าทุกคน พวกข้าสองคนก็ต้องลำบากหน่อย”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าวางใจได้ หากตระกูลฉินของข้ากับตระกูลจั่วทำได้เพียงเท่านี้ล่ะก็ เช่นนั้นก็คงเสียชื่อตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแล้ว!”
“เหอะๆ” จั่วเป่าอิ๋งก็หัวเราะอย่างลุ่มลึกยากหยั่งถึง
คนอื่นๆ ล้วนสะท้านขวัญ หรือกำลังคนที่สองตระกูลจั่วและฉินส่งมา ไม่ได้มีเพียงเท่านี้
ดังคาด ต่อมาก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศระลอกหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล เงาร่างเงาแล้วเงาเล่ามาอย่างต่อเนื่องราวรุ้งสายยาวสะดุดตาทั่วฟ้า
มีทั้งบุรุษและสตรี แม้รูปลักษณ์ต่างกัน แต่พลังของแต่ละคนกลับเหมือนเชื่อมต่อกับเวิ้งฟ้า ดูทรงพลังอย่างโดดเด่นยิ่ง
“หนึ่งคน สองคน สามคน… สวรรค์! มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติมาเพิ่มอีกสี่คน!”
สายสืบที่ซ่อนตัวในที่มืดสูดหายใจเยียบเย็น ขนลุกขนพอง เวลานี้ถึงรับรู้ได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาประเมินกำลังของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงต่ำไปแล้ว
ต่อให้เป็นพวกหลินจง เวลานี้ก็ไม่อาจสงบใจได้อีก ล้วนหน้าเปลี่ยนสีไม่ว่างเว้น เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เลยเถิดไปกว่าที่พวกเขาคาดไว้ แปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงเกินไปแล้ว
เวลานี้ฉินเสวียนตู้หัวเราะแล้วพูดว่า “เดิมทีเพียงแค่จัดการพวกเจ้า ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังเช่นนี้ แต่ว่าพวกเราต้องทำแบบนี้”
“อ้อ นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
“ง่ายมาก เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์!”
หว่างคิ้วชายชราฉายแววยโส “ผ่านไปกี่ปีแล้ว ผู้คนในใต้หล้าเหมือนจะหลงลืมความร้ายกาจของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของข้าไปแล้ว ครั้งนี้ก็ควรปลุกทุกคนให้ตื่นเสียหน่อย ให้พวกมันรู้ว่าในโลกนี้ก็มีบางคนที่ไม่อาจดูหมิ่นและท้าทายได้โดยง่าย!”
พูดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็กลับมามองที่หลินสวินอีกครั้ง ยิ้มบางพลางเอ่ยว่า “นี่ก็คือสาเหตุที่พวกเราระดมกำลัง หากใช้ความตายของเจ้ามาทำให้ผู้คนในโลกสะเทือนขวัญ ทำให้ทุกคนรู้จักเคารพยำเกรงตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้ง เช่นนั้นการตายของเจ้าก็คุ้มค่าแล้ว”
วาจานี้พูดออกมาอย่างอาจหาญ เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้า แต่กลับทำให้ใจของพวกหลินจงหนักอึ้งถึงที่สุด พวกเขารับรู้ได้ว่าเป้าหมาย ‘เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์’ ที่สองตระกูลจั่วและฉินหมายจะทำ ก็เท่ากับจะฆ่าหลินสวินให้ได้โดยไม่สนราคาที่ต้องจ่ายทั้งปวง!
เพราะเพียงหลินสวินตายเท่านั้น ถึงจะทำให้ผู้คนในโลกสะเทือนขวัญได้!
สายลับที่มาจากขุมอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มล้วนหนาวสะท้านไปทั้งตัว ในใจหวาดหวั่น กระทั่งตอนนี้พวกเขาจึงรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบและตึงเครียด หลายคนล้วนหวาดผวา แต่จ้าวไท่ไหลกลับเหมือนหมดความอดทนอยู่บ้างแล้ว เบือนหน้ามาถามหลินสวิน “ฟังพวกมันพูดจาเพ้อเจ้อทำไม หากเจ้าจัดการไม่ได้ เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นข้าช่วยเป็นไง”
ฮือ!
ทั่วบริเวณล้วนประหลาดใจ คนคนนี้ดูความน่ากลัวของสถานการณ์ตรงหน้าไม่ออกหรือ ถึงได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้!
ฉินเสวียนตู้มุมปากกระตุกเบาๆ อย่างอดไม่ได้ นิ่วหน้าเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่าเพียงเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ผู้หนึ่ง เหตุใดถึงกล้ามองข้ามผู้อื่นเช่นนี้
เพราะเขามีชาติกำเนิดเป็นราชนิกูล จึงกล้าเพิกเฉยอานุภาพของตระกูลฉินกับจั่วหรือ
“นายน้อย!”
สายตาของพวกหลินจง จูเหล่าซานก็มองมาอย่างแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังบอกหลินสวินว่าพวกเขาสามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ได้
“ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ให้ข้าจัดการคนเดียวก็ได้ พวกเขาคิดฆ่าข้าเพื่อเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ สาเหตุที่ข้าทำเช่นนี้ในวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะจะให้ทุกคนได้รู้ว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ไม่ยอมรับการดูหมิ่นใดๆ ไม่ว่าใครลบหลู่ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเลือด!”
เกินความคาดหมายของทุกคน เวลานี้หลินสวินปฏิเสธความช่วยเหลือทั้งปวง สีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งปรากฏความโอหังและแน่วแน่ที่ไม่มีมาก่อน
นี่…
สายลับที่อยู่ในความมืดอึ้งงัน ยิ่งรู้สึกว่าเจ้ากล้าหลินคนนี้บ้าไปแล้ว จนป่านนี้ยังกล้าแข็งกร้าวขนาดนี้หรือ
พวกหลินจงก็กังวลยิ่ง มีเพียงจ้าวไท่ไหลที่กลั้นไม่ให้หัวเราะร่าออกมาไม่ได้ “ดี วันนี้ข้าจะดูว่าครึ่งปีมานี้เจ้าเก่งกล้าสามารถขึ้นเพียงไหนกันแน่!”
ฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋ง รวมถึงมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสี่คนที่ตามมาทีหลัง ตอนนี้ล้วนรู้สึกว่าน่าขัน ทั้งยังโมโห
ดูท่าคนสมัยนี้จะลืมความน่ากลัวของพวกเขาตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไปแล้วจริงๆ พวกคนโง่เง่าล้วนกล้าเย้ยหยันพวกเขาเสียแล้ว!
“ลุงจง เอาอาสัญสลายออกมา ทวนนี้ต้องได้ดื่มเลือดศัตรูให้อิ่ม ถึงจะเป็นอาวุธประจำตระกูลของตระกูลหลินได้ เช่นนี้จะได้สมชื่อ!”
สีหน้าหลินสวินพลันบังเกิดแววเยียบเย็น ส่วนลึกในดวงตาสีดำเหมือนมีหุบเหวน้ำลึกหลั่งไหลคลุมเครือ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตานี้
ราวกับกระบี่สมบัติที่ซ่อนอยู่ในหุบเหวลึก เผยคมประกายไร้เทียมทานออกมาในเวลานี้!
“นายน้อย รับทวน!”
ในใจหลินจงสั่นสะท้าน มอบอาสัญสลายให้หลินสวินตามจิตใต้สำนึก
และเป็นตอนนี้เอง ที่ทุกคน ณ ที่นั้นรับรู้ว่าสิ่งที่หลินสวินพูดเมื่อกี้ไม่ได้ล้อเล่น แต่พูดจริง!
เขาต้องการจะต่อสู้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนด้วยตัวคนเดียว กับทวนเล่มหนึ่ง!
สายลับที่ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ เหล่านั้นล้วนงงงวย ทั้งร่างสั่นระริก ในใจรู้สึกฮึกเหิมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เพียงแค่จิตวิญญาณที่หลินสวินแสดงออกมาในตอนนี้ก็ทำให้พวกเขาสั่นไหวแล้ว
ส่วนฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งล้วนเดือดดาลจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ นี่มันน่าขันปานไหน หลินสวินเพียงคนเดียว ถึงกับกล้าคุยโวไม่ละอาย ช่างบ้าระห่ำจนไม่รู้ดีชั่วแล้ว
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย พวกข้าก็จะสงเคราะห์ให้ ใช้เลือดของเจ้าเตือนสติผู้คนบนโลก!”
ฉินเสวียนตู้น้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉย ไอสังหารปรากฏ บุคลิกสง่างามราวเซียนของเขาถูกท่าทางแข็งกร้าวเหี้ยมเกรียมเข้ามาแทนที่
ตู้ม!
พลังทั้งร่างเขาส่งเสียงกึกก้องราวอสนีบาตคลั่ง นัยน์ตาปะทุสายฟ้าเย็นเยียบ ราวกับเทพองค์หนึ่งคืนชีพ พลานุภาพสะเทือนทั่วบริเวณ
ชุดของหลินสวินพลิ้วไหว เงาร่างหายวับและมาอยู่บนห้วงอากาศ ผมดำของเขาปลิวว่อน มองเหยียดหยัดพวกฉินเสวียนตู้ ชี้อาสัญสลายที่อยู่ในมือออกไป แล้วพูดเสียงเรียบว่า “เข้ามาหาที่ตาย!”
เด็กหนุ่มยืนถือทวนอยู่กลางอากาศ เรือนร่างสูงโปร่งตรงแน่ว ท่าทางเหนือธรรมดาราวเทพเซียน ความสง่างามเช่นนั้นทำให้พวกหลินจงล้วนดวงตาเปล่งประกาย
ขนาดอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ที่นิ่งเหมือนสมณะเข้าฌานมาตลอดยังขยับเปลือกตามองปราดหนึ่ง
“หึ!”
ฉินเสวียนตู้ขุ่นเคืองแล้ว ส่งเสียงหยันออกมาแล้วลอยขึ้นไปยังท้องฟ้า ราวราชสีห์ตัวหนึ่ง พลังสามารถกลืนกินภูผาธารา ทำให้ชั้นเมฆแหลกสลาย
สวบๆๆ!
ในเวลาเดียวกัน จั่วเป่าอิ๋งรวมถึงมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสี่คนก็ล้วนกระโจนขึ้นฟ้า ปิดล้อมบริเวณหนึ่ง เพื่อกันไม่ให้หลินสวินถือโอกาสหนี
ชิ้ง!
กลางห้วงอากาศ ตัวทวนอาสัญสลายที่มีสีเทาเข้มคลุมเครือส่งเสียงกังวาน ไอสังหารไหลเอ่อ รอยสลักวิญญาณพร่าเลือนหนาแน่นปรากฏ แปรสภาพเป็นชุดศึกปกคลุมหลินสวินไปทั้งร่างชั้นหนึ่ง
นี่ก็คือชุดศึกสลักวิญญาณ ต่างจากสมบัติโบราณ เป็นอาวุธศึกสำคัญที่ทำให้ทั้งโลกตื่นตาชิ้นหนึ่ง ไม่เพียงอานุภาพแข็งแกร่งจนสามาถทำให้สมบัติโบราณมากมายอับแสง แม้แต่คุณประโยชน์ที่มีก็ยังโดดเด่น!
“สมบัติดีนี่!”
เวลานี้หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนแสดงความตื่นตาตื่นใจ ชุดศึกสลักวิญญาณ แม้แต่ในตระกูลผู้ทรงอิทธิพลชั้นสูงยังมีจำนวนจำกัดยิ่งนัก ทุกชิ้นล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นสมบัติสูงสุดประจำตระกูล
จุดที่น่ากลัวที่สุดของสมบัติชิ้นนี้ก็คือ ยามต่อสู้ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณครอบครองอานุภาพต่อสู้ข้ามระดับได้!
“เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง มือถืออาสัญสลาย เจ้าคิดว่าเขาจะสามารถรับฉินเสวียนตู้ได้กี่กระบวนท่า”
จั่วเป่าอิ๋งกอดอกเอ่ยเสียงเบา
“อย่างมากภายในสิบกระบวนท่าก็ชี้เป็นชี้ตายได้”
“ไม่ ข้าว่าสามกระบวนท่าก็พอแล้ว พี่เสวียนตู้คร่ำหวอดในระดับกระบวนแปรจุติมานานปี พลังของเขาไม่ใช่ธรรมดา”
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีกสี่คนพากันเอ่ยปาก พวกเขาสีหน้าเรียบเฉย แต่ละคนยึดพื้นที่ด้านหนึ่ง ไม่ได้คิดจะลงมือ และดูแคลนการรุมโจมตีเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง หากแพร่งพรายออกไป สุดท้ายต้องขายหน้ามากอยู่ดี
“ข้ากลับรู้สึกว่า ภายในห้าสิบกระบวนท่ายังชี้เป็นชี้ตายไม่ได้” จั่วเป่าอิ๋งพูดพลางยิ้มบางๆ
เมื่อนางพูดเช่นนี้ออกมา พลันทำให้ผู้อื่นขมวดคิ้ว คิดว่านางประเมินหลินสวินสูงไป เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง แม้จะร้ายกาจกว่านี้ จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้หรือ
ในมุมมืด กลุ่มสายลับกำลังประเมินว่ายามการต่อสู้นี้ปะทุขึ้น หลินสวินจะยืนหยัดได้นานแค่ไหน
ไม่ว่าใคร เหมือนจะรับรู้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าหลินสวินต้องแพ้ศึกนี้ ไม่มีความหวังจะได้รับชัยชนะ เพียงดูว่าเขาจะทนได้กี่กระบวนท่า
“อย่าพูดพร่ำทำเพลงอีกเลย…”
จ้าวไท่ไหลลอบพึมพำ เขารออย่างกระวนกระวาย อยากเห็นเต็มแก่ว่าในช่วงเวลาครึ่งปีที่หลินสวินอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ จะแข็งแกร่งขึ้นถึงขั้นไหนกันแน่
ทว่าพวกหลินจงต่างเป็นกังวล สายตาจดจ้องไปในห้วงอากาศ ขอเพียงหลินสวินเกิดเหตุร้ายแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็จะเข้าไปช่วยโดยไม่สนใจสิ่งใด
ตูม!
คราวนี้หลินสวินไม่พูดพร่ำดังคาด มือกระชับทวนยาว พุ่งแหวกอากาศออกไปโดยไม่ร่ำไรแต่อย่างใด
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น