Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 660-661
ตอนที่ 660 หากกล้าขัดขวางก็สังหารทิ้งซะ
โดย
ProjectZyphon
ไม่เพียงแต่อัครการค้า สำนักศึกษามฤคมรกต อาณาเขตตระกูลหนิง ราชันแห่งทะเลตะวันออกตระกูลเย่ ตุ๊กตาล้มลุกตระกูลกงในนครต้องห้าม รวมถึงขุมอำนาจเล็กใหญ่ต่างๆ นานา วันนี้ล้วนสั่นสะเทือนไม่หยุด
ส่วนภูเขาชำระจิตวันนี้ก็เห็นชัดว่าคึกคักเป็นพิเศษ
ช่วงครึ่งปีก่อนที่หลินสวินจะหวนกลับมา นอกจากอัครการค้า สำนักศึกษามฤคมรกต ตระกูลเย่ ตระกูลหนิง ตระกูลกง ขุมอำนาจบางตาพวกนี้ แทบไม่มีขุมอำนาจใดยินดีเหยียบย่างประตูใหญ่ภูเขาชำระจิตอีก
อย่างไรเสียหลินสวินก็ตายไปแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่าไม้ล้มวานรเตลิด บนภูเขาชำระจิตไม่มีพวกที่จะพอให้ความสำคัญได้อีก จะเกิดเหตุการณ์ที่คนค่อยๆ เมินเฉยไม่ใยดีบ้างก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากสามตระกูลรองของตระกูลหลินซึ่งมีตระกูลจั่วและฉินคอยสนับสนุนเริ่มกดดันภูเขาชำระจิต ภูเขาชำระจิตราวตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยว ศัตรูล้อมทั่วจตุรทิศ สถานการณ์ง่อนแง่น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ แทบอยากจะดูเรื่องสนุก มีสุขบนทุกข์ของผู้อื่น มีหรือจะมาเชื่อมสัมพันธ์อะไรกับภูเขาชำระจิตอีก
แม้แต่อัครการค้า สำนักศึกษามฤคมรกต ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ขุมอำนาจเหล่านี้ก็ต่างทำได้แค่แอบให้ความช่วยเหลือภูเขาชำระจิต
สาเหตุนั้นง่ายดายมาก ที่พวกเขาให้ความสำคัญมีเพียงหลินสวินคนเดียวเท่านั้น แต่หลินสวินตายไปแล้ว ใครเล่าจะใส่ใจว่าภูเขาชำระจิตจะมีโชคหรือเกิดพิบัติ
นี่ใช่ว่าพวกเขาเห็นแก่ตัว ว่ากันตามจริงภูเขาชำระจิตที่สุดแล้วก็แตกต่างจากขุมอำนาจอื่น เติบใหญ่เข้มแข็งเพราะหลินสวินเพียงคนเดียว และประสบทุกข์ติดพันเพราะหลินสวินเพียงคนเดียว
พูดได้ว่าหลินสวินเปรียบเสมือนจิตวิญญาณแห่งภูเขาชำระจิต สภาพร้ายดีของเขาเกี่ยวข้องกับความเป็นตายของภูเขาชำระจิตโดยตรง!
ความเป็นจริงก็โหดร้ายเช่นนี้ หากคิดว่าสามารถพึ่งพิงความช่วยเหลือจากขุมอำนาจอื่น นั่นก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ทว่าภูเขาชำระจิตวันนี้วาดกวาดความซึมเซาและโดดเดี่ยวในครึ่งปีออกไปหมด ปรากฏความครึกครื้นหาใดเปรียบ
ตั้งแต่เช้าตรู่ก็ทยอยมีขุมอำนาจบางส่วนส่งตัวแทนมาเยี่ยมเยียน
บ้างเป็นหุ้นส่วนทางการค้าของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก่อนหน้านี้ บ้างเป็นผู้มาสืบเสาะยืนยันข่าวคราวของหลินสวิน
กระทั่งขุมอำนาจมากมายจำนวนหนึ่งซึ่งครึ่งปีมานี้แอบโลภโมโทสันต่อตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ปรารถนากัดกร่อนทรัพย์สมบัติตระกูลหลิน บัดนี้ต่างตื่นตระหนกและจิตใจไม่อาจสงบ หอบหิ้วของกำนัลราคาแพงนานัปการมาขอขมาและขออภัย เกรงแต่เมื่อหลินสวินยกดาบเพชฌฆาตขึ้นอีกครา ปลายดาบจะหันจ่อมาทางพวกเขา
แต่ทว่าตระกูลหลินเวลานี้ ไหนเลยจะใส่ใจพวกเขา
หลินจงออกคำสั่งตรงไปตรงมา ช่วงเวลานี้ตระกูลหลินมีเรื่องภายในต้องจัดการ ปฏิเสธไม่พบแขก ปิดประตูปฏิเสธตัวแทนแต่ละขุมอำนาจด้วยท่าทีเย็นชา
ยิ่งภูเขาชำระจิตเป็นแบบนี้ กลับยิ่งทำให้ขุมอำนาจอื่นมั่นใจในความคิด
“หลินสวินต้องกลับมาแล้วแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นตระกูลหลินมีหรือจะแข็งกร้าวเช่นนี้”
ขุมอำนาจบางส่วนซึ่งครึ่งปีมานี้เคยล่วงเกินภูเขาชำระจิตหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าเดิม
แต่บรรดาขุมอำนาจซึ่งหาใช่ศัตรูกับภูเขาชำระจิตต่างแอบยินดี ยังดีที่ครึ่งปีมานี้พวกเขาหาได้ทำสิ่งที่เกินพอดี ไม่เช่นนั้นล่ะก็วันนี้คงลำบากแล้ว
“ไม่รู้ว่าตระกูลจั่วและตระกูลฉินจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
นี่คือสิ่งที่ขุมอำนาจมากมายต่างให้ความสนใจยิ่ง
ถึงอย่างไรพวกเขาต่างรู้ชัด ว่าระหว่างตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งสองและภูเขาชำระจิตมีความแค้นมิอาจคลายต่อกันเนิ่นนานก่อนหน้านี้
ช่วงที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดเมื่อสิบปีก่อน ตระกูลจั่วและฉินแอบแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สินตระกูลหลินไปไม่น้อย
แม้เป็นยามปัจจุบัน ท่าทีของตระกูลจั่วและฉินก็ชัดเจนมาตลอด ว่าสนับสนุนให้ตระกูลรองของตระกูลหลินไปแย่งชิงอำนาจปกครองภูเขาชำระจิต
นี่เป็นการไล่พยัคฆ์กลืนหมาป่าโดยมิต้องสงสัย หมายกลืนกินภูเขาชำระจิตอย่างสมบูรณ์
แต่เห็นชัดว่านับจากหลินสวินหวนกลับเมื่อวาน ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป การเข่นฆ่านองเลือดของหลินสวิน ทำให้ตระกูลรองสวามิภักดิ์อย่างสิ้นเชิง ถูกรวบเข้าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลจั่วและฉินจะทำเช่นไรอีก
นี่คือประเด็นหลักที่ขุมอำนาจทั้งมวลต่างติดตาม
…
ภูเขาชำระจิต ในตำหนักชำระจิต
หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน สีหน้านิ่งสงบไร้อารมณ์
เขาไม่ได้นอนทั้งคืน คอยจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสามตระกูลรองมาตลอด
“นายน้อย อิทธิพลของสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ ล้วนถูกกำลังของพวกเรารับช่วงต่อในเบื้องต้นแล้ว เพียงแต่หากคิดผนวกรวมและย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ยังต้องการเวลาอีกพักหนึ่ง”
“นอกจากนี้ กิจการส่วนหนึ่งที่สามตระกูลรองควบคุมดูแลยังอยู่ระหว่างการทำบันทึก พวกเรากำลังคนไม่พอ ได้แต่รับช่วงดูแลทีละก้าว”
“กระทั่งถึงตอนนี้ การดำเนินงานของพวกเรายังไม่พบอุปสรรคใด เห็นชัดว่าหลังผ่านเหตุการณ์ในคืนก่อน สามตระกูลนี้ไม่มีการขัดขืนใดๆ ส่วนเรื่องที่ว่ายังมีใจคิดคดทรยศอยู่หรือไม่ ยังต้องตรวจสอบเข้าไปอีกขั้น”
หลินจงยืนอยู่ข้างๆ ทยอยสรุปข่าวสารที่ได้รับในมือ จากนั้นจึงบอกกล่าวแก่หลินสวิน
หว่างคิ้วเขาเผยความปิติยินดียากปกปิด แต่สายตาที่มองยังหลินสวินซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานกลับเจือความยำเกรงวูบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
หลินสวินก่อนหน้านี้ถูกเขามองเป็นคนรุ่นหลังที่ต้องดูแลและประคับประคองมาตลอด
บัดนี้ล้วนต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พลังและอานุภาพซึ่งหลินสวินมีทั้งมวลปรากฏให้เห็นในการเข่นฆ่าสังหารเมื่อคืนอย่างถึงแก่น
แม้แต่หลินจงเมื่อทราบว่าหลินซีซียังถูกหลินสวินเอาชนะ ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังสั่นสะท้านความคิดจิตใจก็แปรเปลี่ยนไป
เขารับรู้ว่านายน้อยได้กลายเป็นมหายุทธ์ที่สามารถแบกรับทุกสิ่งอย่างแท้จริงคนหนึ่งแล้ว สติปัญญาและวิธีการของเขา เทียบกับนายท่านในปีนั้นยังน่าตกตะลึงและโดดเด่นยิ่งกว่า
หลังจากนี้เป็นต้นไป นายน้อยก็คือผู้นำตระกูลหลินที่แท้จริง! เป็นบุคคลที่สามารถเทียบเคียงกับคนใหญ่คนโตใดก็ตามในนครต้องห้าม!
“เรื่องพวกนี้ต้องรบกวนลุงจงชั่วคราวแล้ว ข้ามีเพียงเงื่อนไขเดียว สำหรับคนบางส่วนซึ่งทรยศตระกูลในปีนั้น อย่าได้ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว! ไม่ว่าผู้ทรยศเป็นใคร และไม่ว่าใครวอนขอความเมตตา เรื่องนี้ไม่อาจให้เจรจาต่อรอง”
นัยน์ตาหลินสวินล้ำลึก นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างง่ายๆ แต่กลับแฝงความน่าเกรงขามไร้รูปร่างสายหนึ่ง
หลินจงผงะในใจก่อนพยักหน้ารับ จากนั้นเอ่ยว่า “นายน้อย เกี่ยวกับหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน หลินผิงตู้สามคนนี้ ท่านคิดจะจัดการเช่นไร”
สามคนนี้คือหัวหน้าของสามตระกูลรอง และเป็นผู้ทรยศตัวฉกาจที่สุด สิบกว่าปีก่อนเคยสมคบคิดกับตระกูลจั่วและฉิน แบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สินตระกูลหลินด้วยกัน
“ให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อ คุมขังอยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลินให้ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน กักบริเวณอยู่ที่นั่นชั่วชีวิตเพื่อไถ่บาปการทรยศของตนเอง”
หลินสวินกล่าวนิ่งสงบ “ข้าอยากให้ทุกคนในตระกูลจดจำขึ้นใจทุกเวลา ว่าสามคนนี้ได้รับโทษจากการทรยศ เป็นคนบาปแห่งตระกูลหลิน พวกเขานำความอัปยศอดสูและอันตรายมาให้แก่ตระกูลหลิน จำเป็นต้องสำนึกผิดตลอดชีวิต คิดอยากตายก็ไม่ได้!”
หลินจงใจไหวสะท้าน ตระหนักรู้ว่าบทลงโทษเช่นนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าสังหารพวกเขาเสียอีก!
“แน่นอน ต้องปฏิบัติต่อเหล่าผู้ไร้ความผิดของสามตระกูลนั้นทุกคนอย่างเสมอภาค มอบสิ่งตอบแทนแก่พวกเขาเช่นเดียวกับตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หากมีผู้ประพฤติตนโดดเด่นยิ่งต้องตบรางวัล”
หลินสวินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้าไม่หวังจะเห็นตระกูลหลินวุ่นวายเรื่องภายในไม่หยุดอีก ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไร จะต้องให้พวกเขาบิดเกลียวเป็นเชือกเส้นเดียว และไม่ต่างคนต่างปกครอง ต่างฝ่ายต่างบ่อนทำลายและต่อสู้กันภายในเหมือนก่อนหน้านี้”
หลินจงผงกศีรษะด้วยความเคารพ “ก่อนที่ท่านพญาแร้งจะปิดด่าน ได้กำหนดแผนการและโครงร่างไว้มากมาย เชื่อว่าเพียงพอจะแก้ไขปัญหาภายในตระกูลหลินเราโดยสมบูรณ์ หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์ หนึ่งร่วงล้วนร่วง ไม่แบ่งแยกจากกันอีก จากนี้จะไม่ปรากฏเค้าลางแตกแยกกระเส็นกระสายอีกต่อไป”
มุมปากหลินสวินปรากฏแววชื่นชมวูบหนึ่ง สติปัญญาและกลยุทธ์ของพญาแร้ง ทำให้เขารู้สึกเคารพนับถือและตกตะลึงมาจนถึงบัดนี้
ในเมื่ออีกฝ่ายเตรียมการไว้หมดแล้ว เช่นนั้นหลินสวินก็วางใจได้อย่างสมบูรณ์
“จริงสิ อย่าลืมพวกชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้น”
หลินสวินพลันกล่าว “หลังจากนี้หากพวกเราตระกูลหลินต้องการผงาดขึ้นมา จำเป็นต้องดึงตัวผู้มีความสามารถและเพิ่มกำลังให้มากยิ่งขึ้น และชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้นจึงจะเป็นตัวเลือกที่เชื่อถือได้ที่สุดของพวกเรา ไม่อาจปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างอยุติธรรมโดยเด็ดขาด”
หลินจงยิ้มกล่าว “นายน้อยโปรดวางใจ นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว”
เวลานี้จู่ๆ หลินไหวหย่วนก็รีบเร่งเข้ามา นำข่าวใหม่ล่าสุดส่วนหนึ่งกลับมาด้วย
หลินไหวหย่วนทุกวันนี้ประหนึ่งฟื้นคืนจากความเจ็บปวดของการสูญเสียน้องชาย หว่างคิ้วเจือความปิติยินดีที่ไม่อาจปกปิด
ไม่แปลกที่เขาจะดีอกดีใจ หลินสวินเพิ่งจะกลับมาวันเดียว สถานการณ์บนภูเขาชำระจิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน
บรรดาขุมอำนาจใหญ่ในเมืองทยอยกันมาเยี่ยมเยียน ขุมอำนาจบางส่วนซึ่งเคยทำให้ภูเขาชำระจิตลำบากใจในช่วงก่อนหน้านี้ ต่างตระหนกจนกระวีกระวาดมาขออภัยและขอขมา
กระทั่งถึงตอนนี้ นอกประตูใหญ่ภูเขาชำระจิตยังมีตัวแทนที่ขุมอำนาจใหญ่ส่งมาเยี่ยมเยียนต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เปรียบเทียบกับแต่ก่อนซึ่งเงียบเหงาไร้ผู้คน ซบเซาอ้างว้าง ภูเขาชำระจิตในทุกวันนี้แทบราวกับกวาดเคราะห์ร้าย ส่องประกายใหม่อีกครั้ง
นี่ทำให้หลินไหวหย่วนไม่อาจไม่ปิติยินดี ภูเขาชำระจิตยิ่งทรงพลังเฟื่องฟู ฐานะของเขาก็จะลอยสูงตามไปด้วย ต่อไปในนครต้องห้ามนี้ สามารถเสพสุขกับความเคารพและการดูแลเป็นพิเศษได้
ความรู้สึกเช่นนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าการถูกบีบให้ก้มหัว ถูกบีบให้สละอำนาจจากภูเขาชำระจิตมากนัก
เพียงแต่…
เมื่อสายตามองไปยังหลินสวินซึ่งอยู่บนที่นั่งประธาน หลินไหวหย่วนผงะในใจชั่วขณะ เกิดความยำเกรงเหลือจะเอ่ยอย่างหนึ่ง
การเข่นฆ่าสามตระกูลรองที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้หลินไหวหย่วนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง
เมื่อทราบว่าชนชั้นแนวหน้าของสามตระกูลรองนั้นเกือบถูกสังหารหมู่จนเกลี้ยง แม้แต่หลินซีซียังถูกหลินสวินกำราบ หลินไหวหย่วนก็ตกใจจนแทบร่วงลงไปกองกับพื้น
เปรียบเทียบกันแล้ว พวกเขาตระกูลหลินแห่งแสงอุดรกลับได้รับการโจมตีน้อยกว่ามาก
ที่ทำให้หลินไหวหย่วนดีใจที่สุดคือ ยังดีที่ตอนต้นเขาคุกเข่าต่อหน้าหลินสวินร้องขอการให้อภัยโดยไม่ลังเล ทั้งยังใช้การกระทำมายืนยันความแน่วแน่ จึงป้องกันการเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็นได้บางส่วน
เพียงแต่หลังผ่านเหตุการณ์นี้ หลินไหวหย่วนไม่กล้าปฏิบัติต่อหลินสวินเหมือนก่อนหน้าอีก ถึงขั้นเมื่อเผชิญหน้าหลินสวินยังมีความเคารพยำเกรงเฉกเช่นขุนนางเข้าเฝ้าจักรพรรดิ ในใจไม่กล้าคิดทรยศอีกแม้เพียงเสี้ยว
นี่ก็คืออานุภาพที่แผ่ออกมา
บางทีตามลำดับอาวุโส หลินสวินยังคงเป็นแค่ผู้น้อย แต่บัดนี้เขาได้ครอบครองภูเขาชำระจิต นั่งบนตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิน เช่นนั้นเขาก็คือนายเหนือหัวแห่งตระกูลหลิน! ไม่ว่าลำดับอาวุโสเจ้าจะสูงกว่าอีกเท่าไหร่ก็ต้องแสดงออกถึงความสวามิภักดิ์!
รายงานข่าวสารอย่างเคารพนบนอบเสร็จ หลินสวินไม่เอ่ยวาจาแค่พยักหน้าเบาๆ นี่ทำให้หลินไหวหย่วนทอดถอนใจยิ่งกว่าเดิม อานุภาพหลานชายคนนี้ของตนนับวันยิ่งอุดมขึ้นเรื่อยๆ!
“จริงสิ ยังมีอีกเรื่องต้องรบกวนผู้นำตระกูลชี้แนะ”
ทันใดนั้นหลินไหวหย่วนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวว่า “ในทรัพย์สินที่สามตระกูลรองเราควบคุมดูแล มีส่วนหนึ่งถูกตระกูลจั่วและฉินยึดครองนานแล้ว ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลคิดอ่านประการใด”
หลินสวินหลุบตาลง “ตั้งแต่เมื่อคืนถึงตอนนี้ ตระกูลจั่วและฉินมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรบ้าง”
หลินไหวหย่วนและหลินจงซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายศีรษะโดยพร้อมเพรียง สองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงนี้ไม่รู้ว่ามั่นใจเกินไปหรือไม่หวาดกลัวสิ่งกันแน่ กระทั่งถึงตอนนี้ต่างไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร ดูแล้วน่าแปลกยิ่งนัก
หลินสวินได้ยินดังนั้นพลันหัวเราะแผ่วเบา นัยน์ตาดำขลับเย็นชาและนิ่งสงบยิ่งกว่าเดิม “ดูท่าพวกเขาคิดจะคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ น่าเสียดาย ข้าหลินสวินครานี้ไม่มีทางอดกลั้นยอมถอยอีกต่อไปแล้ว!”
“ลุงจง ท่านไปแจ้งจูเหล่าซาน นำคนไปชิงทรัพย์สินพวกนั้นซึ่งถูกสองตระกูลนี่ยึดครองคืนกลับมา หากพวกเขากล้าขัดขวาง ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น ให้ฆ่าได้ทันที!”
คำบัญชาหนึ่งหลุดออกจากปาก กลับเต็มไปด้วยไอสังหารข่มขู่ผู้คน
หลินไหวหย่วนและหลินจงใจสั่นสะท้าน นี่เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉินโดยตรงน่ะสิ!
………………
ตอนที่ 661 ท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
โดย
ProjectZyphon
นครต้องห้าม ร้านสมประสงค์
จั่วเป่าหลินนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักสูงซึ่งสร้างจากไม้จันทน์เมฆาทั้งแผ่น ปากกำลังคาบปล้องยาสูบที่แกะสลักจากหยกดำพลางพ่นควันออกมา
ด้านหลังเขายังมีสาวน้อยแรกแย้มสวยน่ารัก สวมอาภรณ์เผยเนื้อหนังนางหนึ่งกำลังช่วยนวดไหล่บ่าให้เขา
อีกฟากหนึ่งนักดนตรีผู้หนึ่งกำลังบรรเลงพิณ ทำนองเพลงขับขานไม่รู้จบ เรียบง่ายสง่างาม ทั่วห้องอุดมไปด้วยกลิ่นอายสงบดั่งบทกวีและภาพวาด
จั่วเป่าหลินเป็นเถ้าแก่ร้านสมประสงค์ เขาเป็นคนตระกูลรองของตระกูลจั่ว หนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
เขาไม่มีพรสวรรค์ด้านฝึกปราณเท่าไรนัก ถึงขั้นเห็นชัดว่าธรรมดาสามัญยิ่ง ในตระกูลเองไม่มีฐานะอะไร แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนตระกูลจั่ว
อาศัยแค่ฐานะระดับนี้ก็ทำให้เขากลายเป็นเถ้าแก่ร้านสมประสงค์แล้ว คนร่วมอาชีพพบเจอยังต้องเคารพนับถือถึงสามส่วน
แต่ละวันเขาแค่อาศัยกิจการค้า เงินทองก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำแล้ว ด้วยเหตุนี้ชีวิตจึงผ่านไปอย่างมีรสมีชาติ ถึงขั้นเรียกได้ว่าสุรุ่ยสุร่าย
ปึง!
ประตูห้องพลันถูกกระแทกเปิดออก ชายชราท่าทางราวผู้ดูแลคนหนึ่งพุ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา ท่าทีราวกับไฟลนก้น
ทันใดนั้นบรรยากาศไพเราะเงียบสงบภายในห้องถูกทำลาย แม้แต่จั่วเป่าหลินยังถูกทำให้ตกใจ มือพลันสั่นระริก สะเก็ดยาสูบในปล้องสูบร่วงใส่ริมฝีปาก เจ็บจนเขาแยกเขี้ยวตะโกนเสียงกร้าว “ไอ้เวร! ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ ชิงไปตายรึไง!”
“นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” ผู้ดูแลสีหน้าร้อนรนตะโกนลั่น
“หึ! เรื่องใหญ่อะไรกัน ฟ้าจะถล่มลงมารึไง”
จั่วเป่าหลินสูดหายใจลึก โบกมือไล่สาวน้อยแรกแย้มที่นวดไหล่และชายชราดีดพิณนั่นออกไป จากนั้นจึงขมวดคิ้วกล่าว “เหลาหม่า ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า แต่หากบุตรสาวเจ้าไม่ใช่อนุภรรยาข้า อาศัยนิสัยใจร้อนอย่างเจ้า ข้าคงเฉดหัวเจ้าออกไปนานแล้ว!”
เหลาหม่าพลันเหงื่อออกเต็มหน้า ร่ำไห้โอดครวญ “นายท่าน มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ นี่ข้าเป็นห่วงแทนท่านหรอกหนา”
“อ้อ ลองบอกมาให้ละเอียดสิ”
จั่วเป่าหลินสงบใจยิ่ง เขาอิจฉาบรรดาคนใหญ่คนโตที่สุขุมมั่นคงและไม่แสดงอารมณ์มาตลอด
ดังคำว่า ‘ใจมีฟ้าร้องแต่ใบหน้าดุจทะเลสาบราบเรียบ’ นี่สิถึงจะเป็นบุคลิกของบรรดาคนใหญ่คนโต หากทันทีที่ประสบกับเรื่องเล็กน้อยก็ตระหนกตกใจเกินเหตุ นั่นคงเสียหน้าเกินไปแล้ว
“คือ… คนของตระกูลหลินมาอีกแล้ว หมายริบเอาร้านสมประสงค์ของพวกเราไป!” ผู้ดูแลเหลาหม่ามิอาจสงบใจ เอ่ยด้วยใบหน้าร่ำไห้คร่ำครวญ
“หึ! ตระกูลหลินนี่ไม่รู้จักดีชั่วซะจริง คิดหรือว่าหลังจากหลินสวินนั่นกลับมาจะสามารถทำตัวอันธพาลตามอำเภอใจ วางอำนาจบาตรใหญ่ได้”
จั่วเป่าหลินแค่นเสียงปรามาส เขาสงบใจยิ่งกว่าเดิม “นครต้องห้ามนี้ เขาตระกูลหลินเทียบกับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่างยังไม่ได้ กับตระกูลจั่วของข้ายิ่งเป็นแค่เจ้าตัวเล็กๆ ไม่ควรค่าให้เหลือบแลสักนิด อาศัยพวกเขาคิดอยากชิงร้านสมประสงค์กลับคืน? ฝันเฟื่องสิ้นดี!”
“นายท่าน ท่าน… มิสู้ท่านออกไปลองดูหน่อยเถอะ ครานี้เห็นชัดว่าพวกเขาคิดเอาจริงแล้ว” เหลาหม่ายังคงตัวสั่นระริก ท่าทางหวาดกลัวสุดขีด
“เหลาหม่า เจ้านี่มันสงบใจหน่อยได้หรือไม่ หืม? แม้เป็นหลินสวินนั่นมาด้วยตนเองแล้วอย่างไร ต่อให้เขาจะร้ายกาจแค่ไหน มีหรือจะกล้าเปิดฉากเป็นศัตรูกับพวกเราตระกูลจั่ว”
จั่วเป่าหลินดูถูกเหลาหม่ายิ่งกว่าเดิม แทบอยากจะเฉดหัวไอ้แก่ไม่ได้เรื่องนี่ออกไป ล้วนเก็บอาการไม่อยู่สักนิด ช่างอับอายขายหน้าจริงๆ
“แต่ว่า…”
เหลาหม่ายังจะอธิบายอะไรก็ถูกจั่วเป่าหลินตัดบทอย่างหงุดหงิด “เหลาหม่า เจ้าเป็นทึ่มทื่อสายตาตื้นเขิน ไม่เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสักนิด ในนครต้องห้ามแม้แต่ราชวงศ์ยังไม่กล้าล่วงเกินพวกเราโดยง่าย นับประสาอะไรกับหลินสวินเพียงคนเดียว”
พูดถึงตอนท้ายสุด เขาตวาดอย่างไม่ได้ดั่งใจ “จำไว้ นายท่านของเจ้าคือคนตระกูลจั่ว ในนครต้องห้ามมีไม่กี่คนที่กล้าหาเรื่องข้า!”
ตูม!
แต่เวลานี้เองข้างนอกพลันเกิดเสียงระเบิดอึกทึกสนั่นหู แม้ห่างออกไปไกล แต่ยังคงสะเทือนจนถ้วยชาในห้องนี้โงนเงน โต๊ะเก้าอี้สั่นระรัว
“หืม?”
จั่วเป่าหลินสีหน้าอึมครึมชั่วขณะ พลันผุดลุกขึ้น “หรือว่า… พวกเขากล้าลงมือจริงๆ งั้นรึ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!”
เพียะ!
พูดถึงตอนท้ายสุด เขาฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่หน้าเหลาหม่าก่อนด่าว่า “ไอ้แก่เวรนี่ไม่เอาอ่าวซะจริง เกิดเรื่องใหญ่ระดับนี้ทำไมเจ้าไม่รีบบอก”
เหลาหม่ากุมใบหน้าอย่างน้อยใจ แทบร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เข้ามาข้าก็บอกแล้วว่าเกิดเรื่องใหญ่ แต่เจ้าไม่เชื่อก็ช่างเถอะ ทำไมโยนความผิดให้ข้าซะอย่างนั้น
“ประเดี๋ยวค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า!”
เวลานี้จั่วเป่าหลินไม่อาจเงียบสงบ และไม่อาจเรียนรู้ความสงบแบบ ‘ใจมีฟ้าร้องแต่ใบหน้าดุจทะเลสาบราบเรียบ’ ดังเช่นบรรดาคนใหญ่คนโตอีกต่อไป
เขาราวไฟลนก้นเหมือนเหลาหม่าเมื่อครู่ รีบเร่งพุ่งออกไปพลางตะโกนลั่น “มารดามันเถอะ ข้าอยากดูนักว่าไอ้ตัวไหนไม่แหกตามอง ถึงกับกล้าวิ่งมาลำพองยังอาณาเขตของข้า เด็กๆ! จัดการเจ้าพวกนี้ให้ข้า! วันนี้… เอ้อ…”
เพียงแต่เขาราวกับเป็ดที่ถูกหนีบคอก็มิปาน เสียงพลันหยุดชะงักลง
ในครรลองสายตาเขา ในโถงใหญ่ร้านสมประสงค์ที่ใหญ่ยิ่ง บัดนี้ถึงกับเกลื่อนกลาดระเนระนาดไปทั่ว ทั้งโต๊ะเก้าอี้ โต๊ะคิดเงิน เครื่องประดับตกแต่ง กระทั่งบนผนังบนเสาหินล้วนเสียหายอย่างยากจินตนา
และบนพื้นดินมีแอ่งโลหิตนอง ร่างไร้วิญญาณมากมายก่ายกองยุ่งเหยิงอยู่ในนั้น ชวนประหวั่นตกตะลึง
เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้คุ้มกันร้านสมประสงค์ ตอนนี้กลับตายหมดแล้ว!
“ถึงกับ… ถึงกับมีคนกล้าลงมือกับกิจการตระกูลจั่วของพวกเขา! พวกมันตระกูลหลินไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม!”
จั่วเป่าหลินสีหน้าเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวหาใดเปรียบ โมโหจนควันออกหู ความนิ่งสงบสุขุมอะไรถูกปัดหายไปนานแล้ว
สายตาเขาพลันมองเห็นมือสังหาร
ฝ่ายตรงข้ามสะดุดตายิ่งนัก รูปร่างราวภูผาสูงตระหง่าน ผ่าเผยเย้ยฟ้าท้าดิน สีหน้าเย็นเยียบเฉยชา ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ มีกลิ่นอายกดดันพาให้ผู้คนหายใจลำบาก
ในมือเขาถือดาบศึกสีโลหิตที่ยังโชกเลือดเล่มหนึ่ง มุกโลหิตร่วงหล่นสู่พื้นและกระเซ็นแตกตัว สีแดงสดบาดตา
“จะ เจ้า… เจ้ากล้ามากนักนะ! เจ้ารู้ถึงผลของการกระทำเช่นนี้หรือไม่ เจ้ารู้ไหมว่าล่วงเกินตระกูลจั่วของข้าแล้วต้องจ่ายค่าตอบแทนสาหัสระดับใด”
จั่วเป่าหลินกรีดร้องอย่างโกรธแค้น แท้จริงในใจหวาดผวาเหลือจะเอ่ย
คนเหี้ยมโหดคนหนึ่งเยี่ยงนี้ ถึงกับบุกสังหารร้านสมประสงค์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สังหารจนเลือดนองท่วมแผ่นดิน น่าสยดสยองเกินไปแล้ว
สิ่งที่ตอบกลับเขาคือแสงดาบวูบหนึ่ง
หมดจดชัดเจนราวเชือดไก่ฆ่าลิง เพียงผลุบเดียวจั่วเป่าหลินก็ศีรษะแยกกับร่าง ต่อให้ตายไปแล้วเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดจึงมีคนที่ไม่หวั่นเกรงอะไรถึงเพียงนี้ บทจะลงมือก็ลงมือ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยวาจาสักคำ
เพราะคำพูดมีค่าดั่งทอง หรือเป็นการปรามาสอย่างหนึ่งกันแน่
จั่วเป่าหลินไม่รู้ ว่าเขาได้ตายไปแล้ว
ส่วนเหลาหม่าซึ่งตามออกมายิ่งตกใจจนแผดเสียงคำหนึ่ง อ่อนแรงลมจับล้มลงกับพื้น
“ดาบดี!”
กระทั่งจากไปจูเหล่าซานจึงเช็ดคราบเลือดบนดาบศึกออก นัยน์ตาฉายแววชอบใจเสี้ยวหนึ่ง
ดาบศึกเล่มนี้คือสิ่งที่หลินสวินมอบให้แก่เขา นามว่า ‘ผลาญสวรรค์’ ได้ยินว่าเป็นสมบัติโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งตกทอดมาจาก ‘เผ่าคชามาร’ แห่งส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ กลิ่นอายสังหารแผ่กระจาย ต้องเป็นอาวุธดุดันอย่างหนึ่งแน่นอน
…
เหตุการณ์อย่างเดียวกันทยอยเกิดขึ้นหลายที่ในนครต้องห้าม
ร้านสมบัติขุมเจริญ
โรงยาสุวรรณมงคล
หอสุราสวนสำราญ
… กิจการตระกูลหลินซึ่งถูกสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉินยึดครองเหล่านี้ วันนี้ต่างล้วนต้อนรับการนองเลือด!
แต่ละขุมอำนาจที่เดิมกำลังสนใจการเคลื่อนไหวสองตระกูลจั่วและฉิน ไหนเลยจะคิดว่าผู้ที่ชิงลงมือก่อนจะเป็นตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต
ทันใดนั้นพวกเขาต่างตื่นตะลึง ฮือฮากันยกใหญ่
เมื่อคืนหลินสวินบุกสังหารสามตระกูลรองของตระกูลหลิน เหตุการณ์นองเลือดชวนตระหนกก่อนหน้ายังพอเข้าใจได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องภายในตระกูลหลินของพวกเขา
แต่ใครเล่าจะคาดคิด เพิ่งผ่านไปคืนเดียว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ออกจู่โจมอย่างแข็งกร้าวอีกครั้ง ลงมือกับกิจการซึ่งตระกูลจั่วและฉินครอบครอง
ทั้งยังลงมืออย่างแข็งกร้าว ใครเห็นต่างก็สังหารยกใหญ่ ไม่อ้อมค้อมและเจรจาแต่แรก!
“ตระกูลหลินนี่ยังไง บ้าไปแล้วรึ นั่นน่ะเป็นสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเชียวนะ พวกเขาถึงกับกล้าลงมือเช่นนี้เชียวรึ”
ผู้คนมากมายตื่นตระหนก ต่างไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
โดยเฉพาะขุมอำนาจใหญ่บางส่วนยิ่งตกอยู่ในความอึกทึกครึกโครม พวกเขาไม่คิดว่าคนอย่างหลินสวินจะบ้าไปแล้ว ในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ จะเป็นเพราะมีที่พึ่งอยู่หรือไม่
“เจ้าหมอนี่หายไปครึ่งปี ความเหี้ยมโหดยังไม่ลดลงจากปีนั้น ถึงขั้นดูเหมือนจะโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่า ฉีกหน้าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงโดยตรง ตลอดเวลาที่ผ่านในจักรวรรดิ น้อยนักจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!”
ผู้ฝึกปราณมากมายทอดถอนใจ ถูกความแข็งกร้าวของหลินสวินทำเอาหวาดหวั่น
หลินสวินในปีนั้นกล้าบีบบังคับหลิงเทียนโหวให้คุกเข่า กล้าตบหน้าองค์หญิงหลิงหวงต่อหน้าธารกำนัล
เขาในเวลานี้ยิ่งไปกันใหญ่แล้ว เพิ่งหวนคืนนครต้องห้ามก็ท้าท้ายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เห็นชัดว่าป่าเถื่อนดุดันเกินไปแล้ว!
“เจ้าเด็กนี่เกรงว่าครานี้คงจะสะดุดล้มครั้งใหญ่แล้ว ไม่ต้องพูดว่าเขาเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง และไม่ต้องพูดถึงว่าพลังต่อสู้เขาเก่งกาจเพียงใด ท้ายที่สุดเขาก็แค่คนคนหนึ่ง มีความมั่นใจอะไรไปท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง”
“ขนาดราชันระดับสังสารวัฏยังล้วนไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อว่าจะไปท้ารบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงหนึ่งเลย!”
“ดูท่า สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเด็กเกินไป คิดว่าประสบความสำเร็จบางส่วนก็สามารถแผลงฤทธิ์ในนครต้องห้ามได้ กลับไม่รู้ว่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสามารถยืนหยัดในจักรวรรดิเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน ที่อาศัยไม่ใช่เพียงพลังอันผิวเผินพวกนั้น สำหรับขุมอำนาจใหญ่เช่นนี้ การฆ่าหลินสวินคนเดียวไม่ใช่เรื่องยากอะไรแต่แรก”
และมีขุมอำนาจใหญ่บางส่วนสังเกตการณ์อย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของหลินสวิน คิดว่าเขาดีใจกับชัยชนะจนเสียสติ นึกหรือว่าเพื่อแก้ปัญหาภายในตระกูลแล้ว ก็สามารถไปท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้
นี่ช่างน่าขันเกินไปแล้ว!
อะไรคือตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
นั่นคือสิ่งที่ต่อให้กวาดตามองทั่วนครต้องห้าม ยังเรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหญ่โตมหึมา อิทธิพลแผ่ทั่วใต้หล้า ไม่ว่าเหนือวัดวาอารามหรือท่ามกลางสามัญชน ต่างมีพลังของพวกเขาดำรงอยู่!
กล่าวอย่างไม่โอ้อวดแม้แต่น้อย ในจักรวรรดิทุกวันนี้นอกจากขุมอำนาจอย่างราชวงศ์ สำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเหล่านี้ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงก็นับว่าสูงสุด!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินกลับท้าทายสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลจั่วและฉินอย่างแข็งกร้าว สำหรับคนภายนอกแล้วย่อมเป็นการไม่ประมาณตนเองอยู่บ้าง
และเพราะความปั่นป่วนโกลาหลซึ่งโหมกระพือจากเรื่องนี้ การไม่ยอมรับและเย้ยหยันต่อการกระทำของหลินสวินยิ่งมีมากขึ้น
เจ้า หลินสวิน เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ซึ่งพบเห็นได้ยาก ครองอำนาจเหนือผู้คนระดับเดียวกัน มีฐานะเจิดจรัสมากมาย พาให้ใครๆ ต่างจับจ้องจริงดังว่า แต่หากคิดว่าอาศัยเพียงสิ่งเหล่านี้ก็สามารถท้ารบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้ นั่นก็น่าขันเกินไปแล้ว
…………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น