Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 646-653
ตอนที่ 646 ฟ้าดินผิดปกติ สัตว์อสูรมารปรากฏ
โดย
ProjectZyphon
ตายแล้ว?
เย่หลิงถงอึ้ง หรือหลินสวินที่ตนเห็น ไม่ใช่คนเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสพูดถึง?
ทว่าหลังจากนางอธิบายรูปลักษณ์ของหลินสวิน คำตอบของเย่ฉิงเทียนทำให้นางตระหนักได้ว่า ที่แท้หลินสวินทั้งสองคนนี้ก็คือคนเดียวกันดังคาด
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรอดกลับมาจากส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณจริงๆ…”
แม้ว่าเย่ฉิงเทียนจะเป็นราชันระดับสังสารวัฏ แต่ตอนนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ ในใจก็ยังเกิดคลื่นระลอกใหญ่อย่างควบคุมไม่อยู่
ในข่าวที่เขาได้ยินมากล่าวว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลินสวินถูกตามฆ่าในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ คนที่ลงมือเป็นถึงกลุ่มสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับสังสารวัฏ!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แทบไม่มีใครเชื่อว่าหลินสวินจะยังสามารถรอดกลับมาได้ ตอนที่เย่ฉิงเทียนรู้ข่าวนี้ก็เคยถอนหายใจอย่างเสียดาย
เรียกได้ว่าในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวของจักรวรรดิ ถ้าพูดถึงบุคคลระดับผู้กล้าที่สะดุดตาและโดดเด่นที่สุด หลินสวินคือที่หนึ่ง!
ปาฏิหาริย์และเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ที่เกิดขึ้นในตัวเขายิ่งมากจนนับไม่ถ้วน
ถ้าเด็กหนุ่มผู้กล้าระดับนี้ตายไป ถือว่าเป็นความสูญเสียอันหนักหน่วงสำหรับจักรวรรดิ
แต่ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่า หลินสวินที่ลือกันว่าตายไปแล้วกลับรอดกลับมา! น่าทึ่งเกินไปแล้ว
ถูกราชันระดับสังสารวัฏตามฆ่าเชียวนะ! ถ้าเย่ฉิงเทียนเป็นหลินสวินยังรู้สึกหนังหัวชาวาบ
สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ เขาตัวคนเดียวกลับสามารถรอดชีวิตจากส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณที่เต็มไปด้วยอันตรายได้ นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจริงๆ
ถึงอย่างไรเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ฝึกปราณที่สามารถเข้าไปในทะเลกลืนวิญญาณได้ อย่างน้อยๆ ต้องมีพลังปราณระดับราชันสังสารวัฏ
หากผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ บุกเข้าไปโดยพลการ เก้าในสิบส่วนจะต้องมอดม้วยอย่างแน่นอน
แต่หลินสวินกลับรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย!
กลุ่มราชันระดับสังสารวัฏยังไม่สามารถพรากชีวิตเขาไปได้ แม้แต่ทะเลกลืนวิญญาณอันโหดร้ายก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าที่จะกลับจักรวรรดิจื่อเย่าได้
ในสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ให้เย่ฉิงเทียนตะลึงได้อย่างไร
แน่นอนว่าเขาเป็นราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่ง เรื่องธรรมดาย่อมไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอะไรได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลินสวินเหลือเชื่อมากจริงๆ ทำให้เย่ฉิงเทียนไม่สามารถนิ่งเฉยไว้ได้
บรรยากาศค่อนข้างเงียบ
เย่หลิงถงสัมผัสได้อย่างมีไหวพริบว่า หลังจากมั่นใจในฐานะของหลินสวินแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสเองก็ดูเหมือนจะตะลึง
ทำให้นางยิ่งสงสัยว่าหลินสวินคนนั้น… เป็นใครกันแน่ เขาดูเหมือนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่พลังต่อสู้เก่งกาจมากก็เท่านั้น ทว่าชนชั้นนำตระกูลเย่ทุกคนที่พูดถึงชื่อของเขา เหตุใดสีหน้าถึงล้วนเปลี่ยนไป
เย่หลิงถงแอบตัดสินใจ ว่าต่อไปจะรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับหลินสวิน เพื่อไปทำความเข้าใจว่าเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความลึกลับคนนี้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากไหนกันแน่
“ตั้งแต่เขาหายตัวไปจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีเต็มแล้ว และตอนที่ข่าวการตายของเขาได้รับการยืนยัน นครต้องห้ามยิ่งเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อย แต่ตอนนี้…”
สายตาของเย่ฉิงเทียนลึกล้ำ หว่างคิ้วเผยแววประหลาด “ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว! เมื่อเขาหวนกลับนครต้องห้ามอีกครั้ง จะต้องเกิดมรสุมใหญ่โตแน่!”
……
ฟิ้ว!
ยานขนส่งอวกาศเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดกลางอากาศ ราวกับสายฟ้าแลบที่ไหววาบและหายไปที่ปลายขอบฟ้า
ในที่สุดเขาก็กลับมาที่จักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว ทำให้หลินสวินรู้สึกผ่อนคลายและดีใจเหมือนนกที่ได้กลับเข้ารัง
ด้วยระดับพลังปราณของเขาในตอนนี้บวกกับยานขนส่งอวกาศ แม้ราชันระดับสังสารวัฏมาเอง เกรงว่าก็คงหยุดเขาไม่ได้
เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ใช่การปะทะกันซึ่งๆ หน้า ระดับที่ต่ำกว่าราชันระดับสังสารวัฏ ไม่มีใครสามารถข่มขวัญหลินสวินได้อีกแล้ว!
ดังนั้นระหว่างทางกลับไปนครต้องห้าม หลินสวินจึงไม่อำพรางและไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมายขึ้น
‘ลองนับดูแล้ว ครั้งนี้ข้าจากไปครึ่งปีเต็มแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกซย่าจื้อ ลุงจง เสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซานจะเป็นอย่างไรบ้าง…’
ระหว่างทางความคิดของหลินสวินกำลังโลดแล่น คิดถึงญาติพี่น้องและสหายเก่ามากมาย จิตใจอดล่องลอยไม่ได้ ไม่ได้เจอกันครึ่งปี ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
“หืม?”
ทันใดนั้นคลื่นสงครามระลอกหนึ่งพลันกระจายออกมาจากระยะไกล ทำให้หลินสวินตื่นจากห้วงความคิด
นี่เป็นเทือกเขาสลับทับซ้อนและรกร้าง รอบๆ ไม่มีบ้านเมือง ดูเก่าแก่และดั้งเดิมอย่างมาก
และตอนนี้ มีศึกหนึ่งกำลังระเบิดขึ้นที่นั่น!
ขบวนพ่อค้าประมาณสามสี่สิบคน ถูกสัตว์อสูรมารจำนวนนับไม่ถ้วนปิดล้อมอยู่ในหุบเขาและกำลังเข่นฆ่ากันอย่างรุนแรง
“ในอาณาเขตจักรวรรดิจื่อเย่ามีสัตว์อสูรมารมากมายเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หลินสวินแปลกใจไม่น้อย พลันชะลอความเร็ว
สิ่งที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูรมารนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่เปิดสติปัญญา รู้จักการบำเพ็ญตน หรือสามารถเรียกอย่างกว้างๆ ว่าเป็นอสูรมารบำเพ็ญ
สัตว์อสูรมารระดับนี้ ความสามารถนั้นมากกว่าสัตว์ปีศาจทั่วไป เหล่าสัตว์อสูรมารระดับราชัน ถึงขั้นสามารถเทียบกับมหายุทธ์ชาวมนุษย์ได้ เรียกลมเรียกฝน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
เพียงแต่เท่าที่หลินสวินรู้ เมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่กระจายอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่ามากที่สุดเป็นเพียงสัตว์ปีศาจธรรมดา น้อยมากที่จะเห็นสัตว์อสูรมาร
แต่ตอนนี้สัตว์อสูรมารในหุบเขากลับหนาแน่นราวกับกระแสน้ำ มีทั้งสัตว์ปีกสีทองอร่ามและมีสัตว์บกที่วิ่งเหมือนสายฟ้า รูปร่างแปลกประหลาด มีกลิ่นอายดุร้าย
เสียงคำรามนั่นราวกับเสียงร่ำไห้ของผีสาง ก้องกังวานอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น
ดูผิดปกติมาก!
“หรือเพราะพิบัติมหามรรคที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ฟ้าดินผืนนี้จึงค่อยๆ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดบางอย่างขึ้น”
หลินสวินขมวดคิ้ว
ไม่นานเขาก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าขบวนพ่อค้าที่ถูกสัตว์อสูรมารจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมโจมตีอยู่นั้น มีธงของอัครการค้าแขวนอยู่!
หลินสวินหยุดนิ่งทันใด และเก็บยานขนส่งอวกาศอย่างไม่ลังเล เคลื่อนไหวลงจากอากาศและเข้าไปใกล้หุบเขา
……
“คุณหนูหวั่นซู ครั้งนี้เราคงวินาศกันทั้งกองทัพ…”
หวังหลินพูดอย่างขมขื่น สีหน้าดูสิ้นหวังไม่น้อย เขาเป็นนักประเมินทรัพย์ ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ แต่เขากลับเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คุ้มกันที่มากับพวกเขากำลังล้มลงทีละคน
สัตว์อสูรมารเหล่านั้นน่าสยดสยองและกระหายเลือด มีจำนวนมากมายหนาแน่น ล้อมหุบเขาแห่งนี้แน่นขนัดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวยังไม่อาจไหลออกไปได้
หากสถานการณ์เลวร้ายนี้ดำเนินต่อไป พวกเขาทั้งหมดจะต้องตายในปากของสัตว์อสูรมารอย่างไม่ต้องสงสัย
โครม!
หวังหลินพูดจบ แสงเลือดสายหนึ่งพุ่งเข้ามาและเฉียดหวังหลินไปอย่างหวุดหวิด และทำให้ผืนดินระเบิดเป็นหลุมยักษ์ ดินโคลนสาดกระเซ็น
หวังหลินตกใจจนหน้าซีด สั่นเทิ้มไปทั้งตัว หากถูกการโจมตีนี้จะไม่ตายไปแล้วหรอกหรือ
“น่าชังนัก! หมู่นี้พวกสัตว์อสูรมารขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นในทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ แต่ละตนมีความแข็งแกร่งเทียบได้กับมหายุทธ์เผ่ามนุษย์ ทำลายผืนป่า ยึดครองภูเขา สังหารคนที่พบเห็น ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดไม่รู้เท่าไร แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พวกเรากลับมาเจอเข้า…”
มู่หวั่นซูที่อยู่ข้างๆ กัดฟัน นางสวมชุดสีดำ ใบหน้ายังคงงามเพริศแพร้วดังเดิม ราวกับดอกกุหลาบสีดำที่มีเสน่ห์เย้ายวน
เพียงแต่สีหน้าในตอนนี้ของนางกลับเขียวคล้ำ แม้ว่านางจะนิ่งสงบและเข้มแข็งแค่ไหน เมื่อเผชิญกับภาพนี้ก็อดรู้สึกไร้แรงไม่ได้
“หรือว่าฟ้าดินนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่เล่าลือกันจริงๆ”
มู่หวั่นซูรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติ นับเป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกปราณ หากเกิดภัยธรรมชาติขึ้นครั้งหนึ่ง อาจถึงขั้นเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่ไม่อาจคาดเดาได้!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังแว่วขึ้นจากระยะไกล ทำให้มู่หวั่นซูตกใจตื่นจากภวังค์ ทันใดนั้นใบหน้างามของนางก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียว
กลุ่มผู้คุ้มกันชั้นยอดที่มากับนางครั้งนี้ถูกฆ่าตายหมดในชั่วขณะเดียว ซากศพในแอ่งเลือดล้วนถูกสัตว์อสูรมารฉีกทึ้งเหยียบย่ำ น่าอนาถจนทนดูไม่ได้
“โฮก!”
สัตว์อสูรมารพวกนั้นพุ่งเข้ามาแล้ว ส่งเสียงคำรามเขย่าฟ้า แต่ละตัวดวงตาเย็นเยียบ กระหายเลือดและเหี้ยมโหดชวนหวาดหวั่น
ทำให้มู่หวั่นซูและหวังหลินต่างหมดหวังอย่างสิ้นเชิง
เผชิญกับกองทัพสัตว์อสูรมารที่ราวกับกระแสน้ำในผืนป่าอันห่างไกลรกร้างและเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ จะมีโอกาสรอดได้อย่างไร
“มนุษย์ ภูเขานี้ถูกข้าราชันอินทรีแดงยึดครองไว้แล้ว หากพวกเจ้าไม่อยากตาย ก็ยอมจำนนต่อข้าเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นอินทรีสีแดงยาวราวสิบจั้ง ทั้งตัวราวกับสร้างขึ้นจากหินหนืด ปีกแผดเผาราวกับแสงเพลิงพุ่งเข้ามา
มันกระพือปีกเพียงเบาๆ แสงเพลิงก็แผ่กระจายออกมาเผายอดเขาที่อยู่ด้านข้างในฉับพลัน น่ากลัวอย่างที่สุด
ส่วนสัตว์อสูรมารที่ราวกับกระแสน้ำหลากเหล่านั้น ตอนนี้ต่างตัวสั่นเทาหมอบคลานอยู่บนพื้น ราวกับว่าต้อนรับการมาถึงของราชัน
ยิ่งทำให้ราชันอินทรีแดงองอาจน่าสะพรึงกลัว
“ยอมจำนนหรือ”
มู่หวั่นซูแปลกใจ
“ใช่แล้ว ข้าเพิ่งตื่นจากการหลับใหล ต้องการเข้าใจโลกนี้ใหม่ และพวกเจ้าก็คือคนที่ข้าเลือก”
ราชันอินทรีแดงน้ำเสียงเรียบเฉย แฝงกลิ่นอายที่ไม่เปิดโอกาสให้สงสัย
“เจ้าให้มนุษย์อย่างข้ายอมจำนนต่อสัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้างั้นหรือ”
มู่หวั่นซูหนาวเยือกอย่างสิ้นเชิง ราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง “ช่างเถอะ ตายก็ตาย แต่ก่อนตายข้าขอเอาสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ไปลงนรกด้วย!”
เห็นว่ามู่หวั่นซูจะเข้าไปสู้สุดชีวิต หวังหลินก็ตาแทบถลน อดส่งเสียงตะโกนอย่างเศร้าโศกไม่ได้ “คุณหนูหวั่นซู…!”
“รนหาที่ตาย!”
ราชันอินทรีแดงเหินขึ้นกลางอากาศ กระพือปีกเกิดเป็นเปลวไฟสูงพันจั้ง เดือดดาลพลุ่งพล่าน ราวกับสามารถหลอมสรรพสิ่งได้
มันโดดเด่นมาก สติปัญญาและพลังนั้นไม่ต่างอะไรกับมหายุทธ์มนุษย์เลยสักนิด
ตอนนี้หวังหลินหมดหวังอย่างสิ้นเชิง ราชันอินทรีแดงนั่นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ คุณหนูหวั่นซูจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร
ฉัวะ!
ทันใดนั้นแสงดาบสีเงินปรากฏขึ้น สว่างไสวอย่างหาที่เปรียบมิได้ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
นั่นอะไร หวังหลินตกใจทันที
“หืม?”
ยามนี้ราชันอินทรีแดงเองก็หวาดหวั่น มันปล่อยมู่หวั่นซู แล้วเปลี่ยนทิศทางหมายจะหนีการโจมตีนี้
แต่แสงดาบนั่นว่องไวและรุนแรงเกินไป รวดเร็วจนเหลือเชื่อ ราวกับธารดาราที่โคจรย้อนกลับ หลั่งไหลเข้ามาในโลก
พลันได้ยินเสียงฟุ่บหนึ่ง ราชันอินทรีแดงไม่สามารถหลบได้ ปีกที่ราวกับสร้างขึ้นด้วยหินหนืดของมันถูกผ่าแหวกเป็นรอยแตก เลือดไหลทะลัก
“สวรรค์! มีมหายุทธ์ชั้นยอดลงมือช่วยหรือ”
หวังหลินอุทานด้วยความตกใจ เกือบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง การรอดพ้นจากความตายทำให้ความสิ้นหวังและโศกเศร้าในใจเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง ตื่นเต้นอย่างหาที่สุดไม่ได้
ด้านมู่หวั่นซูเองก็ตกใจ ทีแรกนางหมดกำลังใจ หมายจะทุ่มเดิมพันทั้งหมดในการวัดดวงครั้งสุดท้าย คิดไม่ถึงว่าแสงดาบที่ราวกับมาจากนอกโลกกลับเปลี่ยนทุกอย่าง
ราชันอินทรีแดงนั่นแข็งแกร่งเพียงใด กลับยังไม่สามารถหลบไปได้ เหลือเชื่อมากจริงๆ ราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น
ใครกันที่มาช่วยไว้ได้ทันเวลา
ราวกับได้ยินเสียงจากหัวใจของมู่หวั่นซู เงาร่างสง่างามได้ลอยพลิ้วลงมาสะท้อนอยู่ในสายตาของนางแทบจะในขณะเดียวกัน
คนผู้นั้นสายตาลุ่มลึก ผมดำแผ่สยาย ชุดสีขาวพระจันทร์ทั้งตัว รูปร่างสง่างามเหยียดตรงราวกับต้นสน แฝงกลิ่นอายโดดเด่น
……………….
ตอนที่ 647 ลบล้างข่าวลือ
โดย
ProjectZyphon
หลินสวิน!
มู่หวั่นซูนัยน์ตาหดรัดลงทันที แทบจะไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง
เขา…
ยังมีชีวิตอยู่?
ไหนบอกว่าเขาเสียชีวิตในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณแล้ว?
มู่หวั่นซูแทบจะนึกว่าเกิดภาพลวงตาแล้ว แต่สัญชาตญาณของนางบอกนางว่า เด็กหนุ่มคนนี้คือหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!
แม้ว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน บุคลิกของหลินสวินจะเปลี่ยนไปมาก มีกลิ่นอายโดดเด่นที่อธิบายไม่ถูก แต่รูปลักษณ์ของเขาแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!
นอกจากความตะลึง ความดีใจก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจมู่หวั่นซูอย่างควบคุมไม่อยู่ ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังและไร้ที่พึ่งที่สุด หลินสวินเข้ามาราวกับเทพจากสวรรค์ ทำให้ราชันอินทรีแดงนั่นบาดเจ็บภายในดาบเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้าง
“นี่…นี่คือเรื่องจริงหรือ เจ้ายังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ” อีกด้านหวังหลินเองก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“ข้ายังมีชีวิตอยู่แล้วมีปัญหาอะไรหรือ”
หลินสวินอึ้ง เขามาถึงก็เจอกับภาพอันแปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องแปลกใจอย่างที่สุด
เพียงแต่ไม่รอให้เขาได้ถามให้รู้เรื่อง ราชันอินทรีแดงที่อยู่ตรงข้ามก็ส่งเสียงน่าสะพรึง “เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ คนหนึ่งถึงกลับก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ อีกทั้งยังสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ทำข้าตะลึงมากจริงๆ”
ในขณะที่พูดมันก็กางปีก เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบร่างกายราวกับอาบด้วยแสงเพลิง พลังน่าพรั่นพรึงทะลวงฟ้า
“ระวัง! อินทรีตัวนี้เป็นสัตว์อสูรมารที่ตื่นจากการหลับใหล พลังน่าสะพรึงกลัว มหายุทธ์ธรรมดามิอาจรับมือได้”
สีหน้าของมู่หวั่นซูเปลี่ยนไป อดเตือนไม่ได้
“ก็แค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น พี่หวั่นซูไม่ต้องตื่นเต้น” หลินสวินยิ้มอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าสุภาพหล่อเหลาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
มู่หวั่นซูเหม่อลอย รู้สึกเหมือนกลับไปเมื่อครั้งอยู่ในเมืองตงหลินอีกครั้ง ตอนนั้นหลินสวินเป็นเพียงเด็กหนุ่มระดับกำลังภายในเท่านั้น และสภาพก็ยากแค้นแสนเข็ญ
แต่เขาในตอนนี้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนครต้องห้าม ราวกับผู้กล้าไร้เทียมทาน ทำให้นางยังชื่นชมและประหลาดใจไม่ได้
เพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง
เด็กหนุ่มที่ยากแค้นและอ่อนแอในวันนั้น ผงาดง้ำขึ้นมาในจักรวรรดิแล้ว ตอนนี้แม้เผชิญกับสัตว์อสูรมารดุร้ายอย่างราชันอินทรีแดง ยังสามารถผ่อนคลายไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“สัตว์เดรัจฉาน…”
ดวงตาของราชันอินทรีแดงสาดประกายไฟ เห็นได้ชัดว่าถูกยั่วโทสะด้วยคำเรียกที่แฝงความเย้ยหยันนี้ บำเพ็ญมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยเจอเด็กหนุ่มที่บ้าระห่ำขนาดนี้มาก่อนเลย
“เจ้าหนู เห็นแก่ที่เจ้าฝึกปราณมาไม่ได้ง่ายๆ หากยอมจำนนตอนนี้ บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า มิฉะนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่าอย่างไรเรียกว่าตายดีกว่าอยู่อย่างแท้จริง!”
เสียงของราชันอินทรีแดงน่าสะพรึง เผยการข่มขู่
กลุ่มสัตว์อสูรมารที่อยู่บนบริเวณนั้นต่างก็คำรามอย่างเดือดดาล ใจร้อนอยากลงมือ ข่มขู่หลินสวิน
“อย่างเจ้าน่ะ ข้าฆ่ามาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยังจะกล้าอ้างตนว่าเป็นราชัน?” หลินสวินหัวเราะออกมาทันที
ราชันอินทรีแดงแข็งแกร่งมากจริงๆ มีพลังที่สามารถเทียบเคียงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะชั้นยอด นับเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่อสูรมารบำเพ็ญอย่างแน่นอน
แต่ในสายตาของหลินสวิน ความสามารถของมันยังไม่พอ ด้อยยิ่งกว่าหนิวทุนเทียนแห่งเผ่าวัวมารทรงพลังเสียอีก
ได้ยินเช่นนี้ราชันอินทรีแดงยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด “เป็นเจ้ารนหาที่ตายเอง!”
ตูม!
มันกางปีกออก เปลวไฟพวยพุ่งพันจั้ง ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ราวกับพยับเมฆที่ลุกไหม้ สว่างไสวสะดุดตา เผาผลาญภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ จนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
แม้แต่สัตว์อสูรมารหลายตัวบริเวณนั้นยังหนีไม่ทัน ถูกเผาจนมอดไหม้ไปด้วย ทำให้เห็นถึงความดุร้ายของราชันอินทรีแดงที่ไม่สนใจชีวิตของลูกน้อง เป็นผู้เหี้ยมโหดกระหายเลือดและเลือดเย็นอย่างไม่ต้องสงสัย
“น่ารำคาญ!”
หลินสวินไม่เสียเวลาพูดพร่ำอีก ทั้งตัวส่องประกาย ทะยานตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดาบไร้เทียมทานที่ถูกชักออกจากฝัก
สวบ!
เท้าเขาใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างราวกับภาพมายา เปล่งประกายน่าสะพรึงกลัว ไอพลังทะลวงขึ้นเก้าชั้นฟ้า
แข็งแกร่งมาก!
มู่หวั่นซูและหวังหลินต่างตะลึง ไม่ได้เจอกันแค่เดี๋ยวเดียว หลินสวินแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ทั้งยังก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ กลายเป็นมหายุทธ์ที่แท้จริง!
นี่ทำให้คนยากจะเชื่อจริงๆ
ต้องรู้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อนหลินสวินยังอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่มหายุทธ์ที่อานุภาพสะเทือนฝั่งหนึ่งของจักรวรรดิได้แล้ว!
ตูม โครม!
ราชันอินทรีแดงสำแดงฤทธิ์ รูปร่างของมันใหญ่โต ร่างกายราวกับเพลิงลุกโหม แดงเข้มราวกับหมอก แต่ตอนนี้ขนสีแดงทุกเส้นของมันแทบจะลุกซู่ขึ้นทั้งหมด
เพราะมันสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงอันตราย
มันยื่นกรงเล็บแหลมคมอย่างที่สุดออกมาพร้อมกับคลื่นเพลิงนับหมื่นพัน จู่โจมสังหารหลินสวินกลางอากาศ
แต่แล้วภาพอันน่าหวาดหวั่นก็ปรากฏขึ้น หลินสวินปล่อยหมัดออกไปเพียงหมัดเดียวเท่านั้น กรงเล็กของอีกฝ่ายก็แหลกละเอียดทันที
พรวด!
แสงเลือดสาดกระเซ็น ราชันอินทรีแดงถอยกลับอย่างเจ็บปวด ปีกสีแดงเพลิงระเบิดออก มันทั้งตกใจทั้งเดือดดาล ความหนาวเยือกพวยพุ่งขึ้นในใจ
เพียงการโจมตีเดียวเท่านั้นก็ทำให้กรงเล็บของมันบาดเจ็บและเกือบจะสูญเสียไปทั้งหมด ทำให้มันตระหนักได้อย่างเต็มที่ ว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่มีพลังแกร่งกล้า ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างสิ้นเชิง
เงาร่างของหลินสวินราวกับภาพมายา ปราดเปรียวว่องไวอย่างมาก หลังจากลงมือก็ไม่ลังเล ตามไปโจมตีอย่างเด็ดขาด แรงหมัดแข็งแกร่งหนักอึ้ง แฝงพลังอันยิ่งใหญ่ กดข่มอากาศจนทรุดทลาย
ราชันอินทรีแดงตะเบ็งเสียงกราดเกรี้ยว มันเดือดดาลแล้ว ตั้งแต่ตื่นจากการหลับใหลจนถึงตอนนี้ เดิมทีมันนึกว่าจะสามารถเหยียดหยัดทุกสิ่งได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวเท่านั้นก็ทำให้มันประสบความพ่ายแพ้
โครม ตูม!
มันเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง แสงสีแดงไหลเวียน สาดฝนเพลิงนับพันหมื่นเข้าปกคลุมหลินสวิน
ฟุ่บ!
เพียงแต่หลินสวินเคลื่อนไหวไวมาก แวบเดียวเท่านั้นก็หลบการโจมตีมาอยู่ข้างๆ ตัวราชันอินทรีแดง พร้อมปล่อยหมัดสังหาร
เสียงปังดังสนั่นราวกับสายฟ้าระเบิดตัว ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของมู่หวั่นซูและหวังหลิน ราชันอินทรีแดงที่ดุดันไร้เทียมทาน กลับร่วงหล่นจากกลางอากาศด้วยหมัดเดียวของหลินสวิน กระแทกพื้นจนเป็นหลุมใหญ่ ขนหลุดร่วง กรีดร้องโหยหวน
เมื่อมองไปที่หลินสวิน ท่าทางดูสงบนิ่งตั้งแต่แรกจนจบ ชุดสีขาวพระจันทร์โบกสะบัดไปตามสายลมจนเกิดเสียงดัง โดดเด่นราวกับเซียน
กลุ่มสัตว์อสูรมารที่อยู่รอบๆ ต่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ราวกับแมวที่ตกใจอย่างรุนแรง หมอบคลานตัวสั่นอยู่กับพื้น
พวกมันไม่กล้าคำรามอีกต่อไป ต่างรู้สึกถึงความน่ากลัวที่ยากบรรยายจากตัวหลินสวิน พาให้พวกมันอกสั่นขวัญแขวน ตกตะลึงกันทั่วหน้า
แม้แต่ราชันอินทรีแดงยังถูกกำราบอย่างรวดเร็วและง่ายดาย แล้วนับประสาอะไรกับพวกมันเล่า
ฟุ่บ!
พลันเห็นเงาร่างของหลินสวินไหววูบ กระโดดลงมาราวกับดาวหางพร้อมหมัดที่เจือแสงสีเขียวอ่อน พุ่งเข้าหาราชันอินทรีแดง!
สิ่งที่เหนือความคาดหมายพลันเกิดขึ้น ด้วยเห็นราชันอินทรีแดงนั่นกรีดร้องรุนแรง “คุณชายโปรดไว้ชีวิตด้วย! ข้ายอมจำนน ถวายชีวิตให้คุณชาย!”
ฉึก!
หมัดของหลินสวินหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากศีรษะของราชันอินทรีแดงสามชุ่น เพราะแรงหมัดน่าสะพรึงกลัวเกินไป แม้แต่อากาศยังถูกเสียดสีจนเกิดเสียงแสบหู
สิ่งนี้ทำเอาราชันอินทรีแดงตกใจจนเหงื่อท่วมตัว จิตวิญญาณล่องลอย ในใจยิ่งหวาดหวั่น เด็กหนุ่มคนนี้น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว อายุเพิ่งจะสิบกว่าปีเท่านั้น เหตุใดจึงมีพลังต่อสู้ที่เก่งกาจเพียงนี้
หรือเขาเป็นลูกหลานผู้สืบทอดแก่นแท้ของสำนักโบราณที่ไหนสักแห่ง?
พอในใจคิดเช่นนี้ สีหน้าของมันก็ยิ่งทวีความเคารพรนับถือ เก็บปีกกลับคืนไป ความดุดันทั่วทั้งร่างจางหาย หมอบคลานอยู่บนพื้น คำนับพร้อมเอ่ยเสียงสั่น “สวรรค์มีเมตตาต่อสรรพชีวิต คุณชายโปรดเมตตากรุณา ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
กลุ่มสัตว์อสูรมารที่อยู่บริเวณนั้นมองหน้ากัน ลูกตาแทบจะหลุดออกมา นั่น ‘ราชัน’ ของพวกเขานะ! แต่ตอนนี้กลับหมอบคลานอยู่ใต้เท้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง อ้อนวอนขอชีวิต การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้พวกมันต่างมึนงงไม่น้อย
ส่วนมู่หวั่นซูกับหวังหลินก็อึ้งค้างอยู่กับที่นานแล้ว ก่อนหน้านี้ราชันอินทรีแดงไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ เพียงแค่กลุ่มลูกน้องของมันก็สังหารจนพวกเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว
แต่ตอนนี้สัตว์อสูรมารระดับราชันผู้พิชิตตัวนี้ กลับหมอบคลานร้องขอชีวิตอยู่ใต้เท้าหลินสวิน ทั้งหมดนี้ดูไม่สมจริงเลยสักนิด
และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลินสวินมากขึ้น ไม่เจอกันเพียงครึ่งปีเท่านั้น ความสามารถของเขาก็น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
……
ฟิ้ว!
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นยานขนส่งอวกาศก็เคลื่อนตัว พาหลินสวิน มู่หวั่นซูและหวังหลินพุ่งหน้าไปทางนครต้องห้าม
ราชันอินทรีแดงเองก็อยู่ด้วย มันอำพรางรูปร่างที่แท้จริง แปลงเป็นอินทรีแดงตัวเล็กยาวสองฉื่อ ยืนอยู่ข้างเท้าของหลินสวินราวกับข้ารับใช้ที่จงรักภักดี
หลินสวินไว้ชีวิตมันจริงๆ ทั้งยังกำราบเขาอย่างสิ้นเชิง และให้มาอยู่ข้างกาย
ความสามารถของราชันอินทรีแดงแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยๆ ในระดับหยั่งสัจจะ ก็แข็งแกร่งกว่าบุคคลระดับบุตรเทพของเผ่าต่างๆ ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณไปหนึ่งระดับ
ส่วนในจักรวรรดิจื่อเย่า เมื่อเทียบกับมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเผ่ามนุษย์ ราชันอินทรีแดงจัดอยู่ในระดับสูง อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้แล้ว
ร่างเดิมของราชันอินทรีแดงเป็นสายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์ประหลาดบรรพกาล ‘อินทรีโลหิตเพลิงวิญญาณ’ ควบคุมท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟแต่กำเนิด และนับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในระดับชั้นยอดของอสูรมารบำเพ็ญ สัตว์อสูรมารธรรมดาไม่สามารถเทียบได้
สำหรับการยอมจำนนของอสูรมารบำเพ็ญระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าหลินสวินต้องยินดีอยู่แล้ว
เขาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ต่อไปจะให้ราชันอินทรีแดงเป็นผู้คุ้มกันของภูเขาชำระจิต เช่นนี้ภายภาคหน้า แม้ตนจะจากไป เดินทางไปยังดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงญาติมิตรเหล่านั้นมากเกินไป
หลินสวินถึงขั้นกำลังคิดว่า ก่อนไปดินแดนรกร้างโบราณจะจับสัตว์อสูรมารที่แข็งแกร่งมาเพิ่มอีกหน่อย เพื่อให้มาเป็นสัตว์คุ้มกันของภูเขาชำระจิต
“หลินสวิน ในข่าวลือบอกว่าเจ้า…ประสบเคราะห์ไปแล้วมิใช่หรือ เจ้าประสบเหตุการณ์อันใดในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณกันแน่”
ลังเลอยู่นาน สุดท้ายมู่หวั่นซูก็อดถามไม่ได้
“ประสบเคราะห์หรือ ใครบอก”
หลินสวินอึ้ง
“เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ข่าวนี้ถูกเผยแพร่อย่างบ้าคลั่งตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อนแล้ว ล้วนบอกว่าเจ้าตายในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว… เอ้อ จริงสิ เจ้าเพิ่งกลับมา จะรู้ข่าวนี้ได้อย่างไร”
คำพูดของมู่หวั่นซูทำให้หลินสินขมวดคิ้ว ประกายเย็นเยียบแวบผ่านเข้ามาในดวงตา ใครเป็นคนเผยแพร่ข่าวชั่วร้ายเช่นนี้
น่าเสียดายที่มู่หวั่นซูไม่รู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวกันแน่ นางเองก็ได้ยินมาอีกที
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กำหนดเป้าหมาย ต้องเป็นพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิงที่คิดไม่ซื่อ ปล่อยข่าวเท็จแบบนี้เป็นแน่
และก็มีเพียงพวกเขาที่รู้ทุกสิ่งที่ตนประสบในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ!
‘อยากจะใช้วิธีเช่นนี้ใส่ความและโจมตีข้างั้นหรือ ดูท่าความสามารถของพวกเจ้าช่างน้อยนิด!’
หลินสวินยิ้มเยาะในใจ
ตอนนั้นเขาปรากฏตัวในฐานะ ‘หลินเสวียน’ แต่ถ้ามีใจอยากสืบก็จะรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาได้ ไม่สามารถปิดบังเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้อย่างแท้จริง
เพียงแต่สิ่งที่หลินสวินไม่เข้าใจคือ เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์อันใด หรือเพียงเพื่อใส่ความและรังแกตน?
มันไม่ง่ายขนาดนั้นแน่!
คิดถึงตรงนี้จู่ๆ หลินสวินก็อยากรีบกลับนครต้องห้ามอย่างเร็วที่สุด
ตนจากมาเพียงครึ่งปีเท่านั้น กลับถูกปล่อยข่าวลือว่าตายในทะเลกลืนวิญญาณ ถ้าพวกศัตรูรู้เข้าคงจะอดใจไม่ไหว จ้องจะลงมือกับภูเขาชำระจิตใช่หรือไม่?
………………………
ตอนที่ 648 หวนกลับนครต้องห้าม
โดย
ProjectZyphon
“พี่หวั่นซู ท่านรู้หรือไม่ว่าครึ่งปีมานี้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตเป็นอย่างไรบ้าง” สุดท้ายหลินสวินก็อดถามไม่ได้
เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่ง
ข่าวลือว่าเขาสิ้นชีพถูกเผยแพร่ในนครต้องห้ามตั้งแต่สองสามเดือนก่อน ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบและแรงการโจมตีมากที่สุด ก็คือตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงอย่างไรพูดอย่างเคร่งครัด ตอนนี้หลินสวินเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของภูเขาชำระจิต ถ้ารู้ว่าเขาตายไปแล้ว พวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอและจูเหล่าซานจะยังทุ่มเทเพื่อภูเขาชำระจิตอีกหรือไม่
ในทำนองเดียวกัน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรที่ย้ายเข้าไปอยู่ในภูเขาชำระจิตแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องภายในของภูเขาชำระจิต ตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ รวมทั้งตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและตระกูลฉิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ขยับตัว
“เอ่อ…” สีหน้าของมู่หวั่นซูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป
“พูดมาเถอะ ข้าก็พอจะเดาได้รางๆ” ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจหลินสวินทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
นัยน์ตาดำของเขาลุ่มลึกดุจเหว ไอสังหารแท้จริงถาโถมออกมา
ทันใดนั้นราชันอินทรีแดงที่อยู่ข้างๆ ขนลุกซู่ขึ้นมา ในใจยิ่งหวาดกลัวและกริ่งเกรง
ในฐานะอสูรมารบำเพ็ญชั้นยอด ราชันอินทรีแดงสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าไอสังหารที่คล้ายมีแต่ไม่มีของหลินสวินน่าสะพรึงกลัวมาก นั่นเป็นกลิ่นอายที่บ่มเพาะจากการฆ่าฟันมานานและอาบเลือดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน!
มันไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่อายุเพียงสิบกว่าปีคนนี้ กลับเหมือนฆาตกรที่ฆ่าคนมาแล้วมากมาย ประหนึ่งเทพสังหารที่เดินออกจากภูเขาศพทะเลเลือดอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตในตอนนี้แม้จะไม่มั่นคง แต่ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ระยะหนึ่ง”
มู่หวั่นซูสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว จะต้องคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน”
หลินสวินส่ายหน้า “พี่หวั่นซู พี่ไม่ต้องปลอบใจข้า”
“นี่……”
มู่หวั่นซูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ พูดไปตามความจริง “เมื่อก่อนตอนที่เจ้ายังอยู่ในนครต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ หรือจะเป็นเหล่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่ว ฉินและฉือ ย่อมไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า”
“แต่ปัญหาคือเจ้าหายตัวไปครึ่งปีเต็มๆ แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่กี่เดือนก่อนในนครต้องห้ามยังมีข่าวลือว่าเจ้าตายแล้ว เพราะฉะนั้น…”
ไม่ต้องพูดจนจบ แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่นั้นชัดเจนมากแล้ว
เวลาครึ่งปีอาจจะดูสั้น แต่สำหรับเหล่าขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลในนครต้องห้ามแล้ว การหายตัวไปของหลินสวินดึงดูดความสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุผลก็ง่ายมาก ในนครต้องห้าม หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่มีชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้า เป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ยิ่งเป็นผู้กล้าที่แข็งแกร่งและโดดเด่นที่สุดแห่งยุค
ผู้กล้าที่สะดุดตาไร้ที่เปรียบราวกับปีศาจอสูรเช่นนี้ จู่ๆ ก็หายไปนานครึ่งปีเต็ม ทั้งยังมีข่าวที่เชื่อถือได้อ้างว่าเขาตายในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ
ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมกระตุ้นความสงสัยและปฏิกิริยาตอบสนองจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับพวกศัตรู แน่นอนว่าต้องกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาเพราะเหตุนี้
นี่ก็คือใจคน!
หลินสวินยกยิ้มเย็นเยียบตรงมุมปาก นัยน์ตาดำยิ่งดูลึกล้ำ
เขารู้ดีว่าตราบใดที่ตนยังอยู่ในนครต้องห้าม ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต แม้แต่พวกตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงก็ไม่กล้าแตกหักกับเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณอย่างตน!
ยิ่งไปกว่านั้น ราชวงศ์ก็คงไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างแน่นอน เพราะผู้ยิ่งใหญ่ลึกลับในราชวงศ์ท่านนั้นได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะให้การสนับสนุนหลินสวินเงียบๆ
ตามเหตุผลแล้วตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำใจ
แต่หากหลินสวินตายไปแล้ว ทุกอย่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง คนจากไปชาก็เย็น น้ำใจที่มนุษย์มีต่อกันก็มีเพียงเท่านี้
เหตุใดสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจึงปรากฏตัวน้อยมาก
เหตุผลแรกเพราะต้องปิดด่านฝึกปราณ แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าคือ การมีสัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้ควบคุมสถานการณ์ จึงจะสามารถสยบรอบทิศ เป็นเสาหลักของตระกูล
คำว่าบ้านขาดเจ้าของไม่ได้ แคว้นขาดกษัตริย์ไม่ได้ก็เป็นเช่นนี้
มู่หวั่นซูไม่ได้พูดถึงรายละเอียดอะไรมาก แต่หลินสวินก็เข้าใจว่าสถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตในตอนนี้ไม่ดีนัก
“ลองนับเวลาดูแล้ว ก็ได้เวลาจัดการภัยเงียบที่มีอยู่ของตระกูลหลินแล้ว…”
หลินสวินยืนอยู่บนดาดฟ้า เสื้อผ้าโบกสะบัดไปตามสายลมจนเกิดเสียงดัง สีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาดำไม่ยินดียินร้าย
มู่หวั่นซูที่อยู่ข้างๆ รู้สึกหายใจไม่ออกอย่างไม่ทราบสาเหตุ แน่นหน้าอกเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นบีบคั้น
นี่ทำให้นางหัวใจกระเพื่อมไหว ตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มที่หายไปจากภูเขาชำระจิตครึ่งปีเต็มตรงหน้าคนนี้โกรธจริงๆ แล้ว
นครต้องห้าม…
จะต้องเกิดคลื่นลมที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแน่นอน!
……
ครึ่งวันหลังจากนั้น หน้าประตูใหญ่ฝั่งตะวันออกของนครต้องห้าม
ยานสำเภาลำหนึ่งเคลื่อนตัวลงจากฟ้า หลินสวินในชุดสีขาวพระจันทร์เงยหน้าขึ้นมองประตูเมืองเก่าแก่สูงตระหง่านที่จากมาครึ่งปี พลันอดสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้
ผ่านไปครึ่งปี เขาหลินสวินกลับมาแล้ว!
หลินสวินเก็บสายตา เอามือไพล่หลังแล้วเดินเข้านครต้องห้ามไป ราชันอินทรีแดงเกาะอยู่บนไหล่เขา เงยหน้ามองไปรอบด้าน นัยน์ตาเพลิงสาดแสง
ทหารยามที่เฝ้าหน้าประตูเมืองนั่งหาวอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างประตู ตอนที่สายตาเหลือบไปเห็นเงาร่างของหลินสวิน เขาพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว
“เอ๊ะ เด็กหนุ่มคนนั้นดูคุ้นๆ… เดี๋ยวนะ เขาคือหลินสวินที่มีข่าวลือว่าตายในทะเลกลืนวิญญาณตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนที่แล้วไม่ใช่หรือ”
หัวหน้าทหารยามลุกพรวดขึ้น ใบหน้าเผยความตะลึง
เมื่อครึ่งปีก่อนผู้ครอบครองภูเขาชำระจิต เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณสะดุดตาเพียงใด สร้างปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความฮือฮาไปทั้งนครต้องห้าม ชื่อเสียงก้องไกลไปทั่ว หัวหน้าทหารยามจะไม่รู้จักผู้กล้ารุ่นเยาว์ผู้นี้ได้อย่างไร
“เขา… เขา… เขายังมีชีวิตอยู่หรือ!?”
หัวหน้าทหารยามท่าทางเหมือนเห็นผี ตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก
พวกทหารยามที่อยู่บริเวณนั้นต่างอึ้งงัน ใครกันที่ทำให้หัวหน้าตกใจขนาดนี้
“หลินสวิน! ต้องเป็นเขาแน่ ตอนนั้นเขาเคยพาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมานครต้องห้าม ข้าเคยคุยกับเขาด้วยตัวเอง ไม่ผิดแน่!”
หัวหน้าทหารพึมพำ ในใจเกิดคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ในฐานะหนึ่งในเจ้าถิ่นของนครต้องห้าม เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในครึ่งปีมานี้เป็นอย่างดี
ไม่กี่เดือนที่แล้วในนครต้องห้ามมีข่าวการตายของหลินสวิน สร้างความฮือฮาไปชั่วขณะ ตอนนั้นหัวหน้าทหารยังอดสะเทือนใจไม่ได้
คราแรกหลายคนในนครต้องห้ามก็ไม่เชื่อ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ข้อมูลและข่าวลือแพร่กระจายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลินสวินก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที หลายคนต่างตระหนักได้ว่าต้องมีปัญหาแล้ว
จนมาถึงตอนนี้ แทบไม่มีใครคิดว่าหลินสวินจะรอดกลับมาได้!
หลินสวินตายแล้ว!
ดังนั้นตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตจึงเริ่มพบเจอความยากลำบากไปโดยปริยาย แนวโน้มที่เฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรก ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อานุภาพตกฮวบฮาบ
ตั้งแต่หลินสวินรับช่วงต่อภูเขาชำระจิต ตระกูลหลินซึ่งล่มสลายไปนานแล้วกลับเข้าสู่สายตาของผู้คนในนครต้องห้ามอีกครั้ง อีกทั้งแนวโน้มที่จะผงาดขึ้นใหม่ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ดึงดูดสายตาไม่รู้เท่าไร
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะมีหลินสวินเป็นผู้คุมบังเหียน เขาเป็นผู้ครอบครองภูเขาชำระจิต ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่เรียกได้ว่าเป็นตำนาน เป็นที่รู้จักของคนทั้งนคร ทุกคนต่างคิดว่าตราบใดที่ยังมีหลินสวินอยู่ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตระกูลหลินจะฟื้นฟูความรุ่งเรืองในอดีต และกลับสู่ฐานะตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
แต่เมื่อข่าวการเสียชีวิตของหลินสวินได้รับการยืนยัน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ก่อนอื่นเป็นขุมอำนาจตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุที่เริ่มลงมือ โวยวายจะเข้าไปยึดครองภูเขาชำระจิต เข้ายึดอำนาจของตระกูลหลินทั้งหมด
เบื้องหลังพวกเขามีตระกูลจั่วและฉินคอยสนับสนุน จึงดูไม่เกรงกลัวสิ่งใด หยิ่งผยองอย่างยิ่ง
ส่วนขุมอำนาจที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับภูเขาชำระจิตในอดีต ต่างก็เลือกจะเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ตัดการติดต่อกับตระกูลหลิน
ถึงขั้นที่มีบางส่วนฉวยโอกาสซ้ำเติม คิดว่าตระกูลหลินสายตรงจะต้องถูกกำจัดออกโดยสิ้นเชิง ภูเขาชำระจิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
ครึ่งปีที่ผ่านมาหัวหน้าทหารยามได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตระกูลหลินประสบแทบจะทั้งหมด แน่นอนว่าต้องรู้สึกสะเทือนใจมาก
ในระหว่างที่ตระกูลหลินเจริญรุ่งเรืองขึ้น ได้ล่วงเกินตระกูลทรงอิทธิพลมากมาย เช่นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ตระกูลฉือ ตระกูลฉิน และตระกูลจั่ว
นอกจากนี้ยังมีตระกูลฉู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ หรือแม้แต่ราชวงศ์ก็ยังถูกหลินสวินล่วงเกินไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
แต่พอไม่มีหลินสวินแล้ว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ถูกตระกูลอิทธิพลจำนวนไม่น้อยจับจ้องทันที ถูกต่อต้านและกดดันจนสะบักสะบอม
แต่หัวหน้าทหารยามคิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านไปครึ่งปี ผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ได้รับการยืนยันว่าตายไปตั้งนานแล้ว จะกลับมาอีกครั้ง!
“คราวนี้นครต้องห้ามต้องเกิดความฮือฮาและคลื่นลูกใหญ่อีกครั้งแล้ว!”
หัวหน้าทหารยามพึมพำ
และยามนี้หลินสวินมาถึงหน้าภูเขาชำระจิตแล้ว คลายค่ายกลคุ้มกันภูเขาอย่างเงียบๆ แล้วเดินขึ้นยอดภูเขาชำระจิตไป
เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ระหว่างทาง ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากโถงประชุมบนยอดเขา ทำให้เขาหรี่ตาลง
……
“ขนาดนี้แล้ว หลินจงเจ้ายังจะปล่อยให้ตระกูลล่มสลายโดยที่ไม่ทำอะไรเลยอีกหรือ ตอนนี้ได้รับการยืนยันว่าหลินสวินตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรเลือกผู้สืบทอดเพื่อรับช่วงต่อภูเขาชำระจิต!”
“ใช่แล้ว ช่วงนี้คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้าไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะอะไรกัน เหตุผลก็เพราะหลินสวินล่วงเกินตระกูลทรงอิทธิพลไว้มากมาย! ตอนนี้เราเป็นเหมือนหนูข้างถนนที่ใครๆ ก็รังเกียจ ไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แล้ว”
“ฝูงมังกรไร้หัว บังเกิดศึกทั้งภายนอกและภายใน ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของพวกเราก็ไม่ควรเข้ามาอยู่ในภูเขาชำระจิต พอไอ้หนูนั่นตาย ทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนไปด้วย ถูกทุกฝ่ายมองเป็นศัตรูและกดดัน ต่อไปจะให้พวกเรามีที่ยืนในนครต้องห้ามได้อย่างไร”
“หลินจง เจ้าในฐานะคนเก่าแก่ของตระกูลหลิน ทั้งยังครอบครองอาวุธสังหารอย่าง ‘อาสัญสลาย’ ขอเพียงแค่เจ้าพยักหน้าให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้าครอบครองภูเขาชำระจิต บางทีอาจเปลี่ยนสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้ได้ มิฉะนั้นกลัวว่าจะรักษาภูเขาชำระจิตไว้ไม่ได้!”
ภายในโถงประชุม กลุ่มคนใหญ่คนโตเบื้องบนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างส่งเสียง บ้างก็กล่าวโทษ บ้างก็ข่มขู่ บ้างก็ขึ้งโกรธ โดยพุ่งเป้าไปที่หลินจงคนเดียว
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหลินไหวหย่วนเองก็อยู่ด้วย เพียงแต่ตอนนี้สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ ท่าทีดูคลุมเครือ
“ทุกท่าน ก่อนที่คุณหนูซย่าจื้อจะปิดด่านเคยพูดไว้แล้วว่านายน้องยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดพวกท่านต้องบีบบังคับกันเช่นนี้”
หลินจงสีหน้าอึมครึม แฝงความเดือดดาลที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ “ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างที่นายน้อยทำในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็เพื่อตระกูลหลินของพวกเรามิใช่หรือ พวกท่านลองถามตัวเองดูว่าตอนที่นายน้อยยังอยู่ ใครบ้างไม่ได้รับผลประโยชน์จากภูเขาชำระจิต ตอนนี้นายน้อยเพียงหายตัวไประยะหนึ่ง พวกท่านก็นั่งไม่ติด หวังจะช่วงชิงอำนาจในภูเขาชำระจิต นี่ไม่ใช่ใจร้อนเกินไปหรือ”
——
ตอนที่ 649 การแย่งชิงอำนาจที่เผยความน่าเกลียด
โดย
ProjectZyphon
คำพูดของหลินจงดูเดือดดาลและแฝงการย้อนถาม
สีหน้าของคนใหญ่คนโตหลายคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา หากถามใจตัวเองดู ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับหลินสวิน พวกเขาก็ได้รับผลประโยชน์จากภูเขาชำระจิตมากมายจริงๆ
ต่อให้เป็นในนครต้องห้าม หากพูดว่าพวกเขาเป็นคนในตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ก็จะได้รับความเคารพถึงสามส่วน
แต่ตอนนี้หลินสวินตายไปแล้ว!
ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตมีศัตรูล้อมอยู่ทั่วทุกสารทิศ ไม่รู้ว่าถูกอิทธิพลมากมายเท่าไหร่จับจ้องอยู่ แทบจะล่มสลายอยู่แล้ว
ในเวลานี้พวกเบื้องบนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะนั่งติดได้อย่างไร
“น่าขัน! ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้า หลินสวินคนเดียวจะค้ำจุนทั้งภูเขาชำระจิตได้อย่างไร จำไว้ว่าพวกเราไม่ได้ติดค้างหลินสวิน!”
มีคนดูถูก
“หยุดพูดไร้สาระสักที ภูเขาชำระจิตในตอนนี้จะต้องเลือกผู้นำคนใหม่ ไม่ว่าเจ้าหลินจงจะยินยอมหรือไม่ วันนี้ก็ต้องให้คำตอบที่แน่ชัด!”
มีคนบีบบังคับเพื่อยึดอำนาจ
“หลินจง เจ้าก็ถือเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลหลินแล้ว มีความจงรักภักดีเสมอมา พวกข้าเองก็ชื่นชม แต่ตอนนี้หลินสวินตายไปแล้ว ตระกูลหลินของพวกเราก็เผชิญกับความยากลำบากครั้งใหญ่ มาถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หากไม่ทำการเปลี่ยนแปลง กลัวว่าภูเขาชำระจิตจะหลุดมือพวกเราไป หวังว่าเจ้าจะใคร่ครวญให้รอบคอบ”
และมีคนช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอย่างหวังดี
“ข้าบอกแล้วว่านายน้อยยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก!”
หลินจงยืนกราน ไม่หวั่นไหวกับคำพูดพวกนี้
เห็นเช่นนี้มีคนอารมณ์เสียขึ้นมา อดด่าไม่ได้ “ตาแก่อย่างเจ้านี่ดื้อดึงจริงๆ เจ้ายังจะหวังว่าไอ้หนูนั่นจะกลับมาอีกหรือ นานขนาดนี้แล้ว เขาต้องตายในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณแล้วแน่ ถูกกลุ่มราชันระดับสังสารวัฏตามฆ่านะ เขาเป็นแค่ผู้ฝึกปราณตัวเล็กๆ ถ้าสามารถรอดกลับมาได้ให้ข้าปาดคอตัวเองก็ยังได้!”
“ท่าน…” หลินจงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขาเป็นคนอารมณ์เย็นมากมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขาถูกยั่วโทสะเข้าแล้วจริงๆ หน้าเขียวอย่างที่สุด
“ทุกท่าน พวกท่านออกจะทำเกินไปแล้ว!”
เสี่ยวเคอที่อยู่ในฝั่งหนึ่งของห้องโถงมาโดยตลอดขมวดคิ้ว สุดท้ายก็อดพูดเสียงเย็นไม่ได้
“เจ้าเป็นแค่คนนอก มีสิทธิ์อะไรมาแทรกแซงเรื่องภายในตระกูลหลินของข้า ยังควรรู้จักสำรวมตน หุบปากไปเสียดีๆ!”
ผู้อาวุโสตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนหนึ่งผรุสวาท เขาชื่อหลินไหวถัง เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลินไหวหย่วน
“ใช่ เรื่องภายในของตระกูลหลิน ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะมายุ่งได้!”
คนใหญ่คนโตอื่นๆ ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างกล่าวโทษเสี่ยวเคอ
เสี่ยวเคอสายตาเย็นเยียบ นางถูกหลินสวินเชิญมาช่วยเหลือภูเขาชำระจิต ไม่ใช่ข้ารับใช้อะไร ตอนนี้กลับถูกปฏิเสธและตำหนิ ทำให้นางขัดเคืองใจขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
และในเวลานี้เอง พญาแร้งได้ห้ามเสี่ยวเคอไว้ ถอนหายใจพูด “ก่อนไปหลินสวินมอบสิทธิ์จัดการภูเขาชำระจิตให้ข้า เพราะฉะนั้นข้าจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้ ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านทำอะไรต้องอยู่ในขอบเขต อย่าทำเกินไป…”
ไม่รอให้พูดจบก็ถูกตัดบทอย่างหยาบคาย “ไอ้แก่พิการที่ถูกทำลายพลังปราณอย่างเจ้า ยังจะกล้ามาสั่งสอนพวกเราอย่างไม่ละอายใจหรือ คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำภูเขาชำระจิตจริงๆ งั้นสิ นี่คือที่ของตระกูลหลินของข้า ไม่ใช่ที่ที่คนนอกอย่างเจ้าจะมาทำอวดดีได้ จำไว้!”
คำพูดนี้ไม่เพียงแค่ไม่เกรงใจ แต่เจือความเย้ยหยันและโจมตีอย่างไม่ปกปิดสักนิด
ถ้าเป็นตอนที่หลินสวินยังอยู่ พวกเขาอาจจะเกรงใจพญาแร้งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ใครจะไปสนคนพิการคนหนึ่งเล่า
ชิ้ง!
เสี่ยวเคอเดือดดาลอย่างสิ้นเชิง ชักดาบยาวออกมา ดวงตาคู่ใสเต็มไปด้วยไอสังหาร
“ทำไม เจ้าคิดจะลงมือในอาณาเขตของตระกูลหลินหรือ” พวกคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหัวเราะเยาะ แต่ละคนต่างไม่เกรงกลัว
พวกเขาอยากกำจัดคนนอกพวกนี้ออกไปตั้งนานแล้ว เหตุผลง่ายมาก เพราะก่อนไปหลินสวินได้มอบอำนาจทั้งหมดให้พวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอ แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเขาไม่พอใจมาก
ตอนนี้ในเมื่อหลินสวินตายไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่สามารถทนให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปได้
“เสี่ยวเคอ เก็บดาบ”
พญาแร้งโบกมือ สีหน้าเยือกเย็นเงียบนิ่ง แต่กลับแฝงความน่าเกรงขามที่ไม่เปิดโอกาสให้สงสัย
พูดจบสายตาของพญาแร้งก็มองไปทางหลินไหวหย่วนที่เงียบมาโดยตลอด พร้อมพูดว่า “สหาย ดูเหมือนว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ล้วนผ่านการอนุญาตจากท่านแล้วใช่หรือไม่”
หลินไหวหย่วนสายตาวูบไหว พักใหญ่จึงถอนหายใจพูด “ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วงนี้ตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุต่างเคลื่อนไหวกันอย่างผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งสารมาให้พวกเรา ว่าจะใช้ไม้แข็งยึดครองภูเขาชำระจิต สืบทอดอำนาจตระกูลหลิน ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะจนปัญญาจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านคิดว่ามีเพียงให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรครอบครองภูเขาชำระจิต จึงจะคลี่คลายภัยพิบัติครั้งนี้ได้งั้นหรือ” พญาแร้งถาม
หลินไหวหย่วนเงียบไปครู่หนึ่งค่อยถามกลับว่า “เช่นนั้นท่านพญาแร้งคิดว่า ควรคลี่คลายสถานการณ์อันยากลำบากที่ไม่เคยพบเจอนี้อย่างไร”
“รอ” พญาแร้งตอบง่ายๆ เพียงคำเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำให้พวกคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรพอใจได้
“หึ! ข้าว่าตอนนี้เราเหลือเพียงทางเลือกเดียว”
จู่ๆ หลินไหวถังน้องชายของหลินไหวหย่วนก็พูดด้วยเสียงสงบเยือกเย็น
“ทางเลือกอันใด”
พญาแร้งคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม ราวกับอ่านใจอีกฝ่ายออก
“ไปก้มหัวให้ตระกูลรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ พวกเราสี่ตระกูลควบคุมภูเขาชำระจิตร่วมกัน!”
หลินไหวถังพูดจบก็ราวกับฟ้าผ่า ทำให้บรรยากาศในห้องโถงเงียบลงไปทันที
“ไม่มีทาง!”
หลินจงเดือดดาล ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แม้แต่หลินไหวหย่วนยังดูเหมือนแปลกใจอยู่บ้าง อึ้งงันไปก่อนจะขมวดคิ้วพูด “ไหวถัง เจ้าคิดว่าพวกเราก้มหัวให้พวกเขาแล้ว อีกฝ่ายจะยอมหยุดงั้นหรือ เบื้องหลังพวกเขามีตระกูลจั่วและฉิน ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีทางปล่อยพวกเราไว้แน่”
“พี่ใหญ่ ท่านผิดแล้ว”
หลินไหวถังสีหน้ามาดมั่น พูดเรียบๆ ว่า “หากย้อนไปถึงรากเหง้า พวกเราล้วนเป็นตระกูลเดียวกัน พวกเรากับพวกเขาไม่เคยมีความแค้นต่อกัน คนที่พวกเขาจะไม่ยอมให้อภัยมีเพียงหลินสวินสายเลือดนี้เท่านั้น!”
“ตอนนี้หลินสวินตายไปแล้ว พวกเราเพียงแค่ต้องขับไล่คนนอกพวกนี้ออกไป แล้วเปิดภูเขาชำระจิต รับตระกูลหลินสายรองอื่นๆ เข้ามาอยู่ ภัยพิบัติที่อยู่ตรงหน้าก็จะสามารถคลี่คลายไปได้อย่างง่ายดาย”
บรรยากาศภายในห้องโถงเงียบกว่าเดิม หลายคนสายตาวูบไหว ในใจล้วนมีความคิดที่แตกต่างกัน
คำพูดนี้เรียกได้ว่าเป็นคำพูดจากใจ ความหมายก็คือจะตัดขาดกับหลินสวินอย่างสิ้นเชิง แล้วก้มหัวให้กับอิทธิพลฝ่ายศัตรูเพื่อแลกกับความปลอดภัยและความมั่งคั่ง
“พวกท่าน…โฉดชั่วเสมือนหมาป่าไม่มีผิด!”
หลินจงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตระกูลหลินเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้น สายเลือดของเจ้านายข้า นอกจากนายน้อยก็ถูกฆ่าแทบทั้งหมด นั่นเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดที่ตระกูลหลินประสบพบเจอ แต่พวกท่านในตอนนั้นก็เลือกจะทรยศ สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูภายนอก แบ่งสมบัติของตระกูลหลิน ไม่เคยคิดจะไปแก้แค้นให้กับคนในตระกูลที่ตายไป!”
“ตระกูลหลินตกอยู่ในวิกฤตอีกครั้ง หรือพวกท่านยังอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว”
“นายน้อยไม่ถือสาเรื่องก่อนเก่า คิดถึงสถานการณ์ในภาพรวมของตระกูลหลิน สุดท้ายตอบตกลงให้พวกท่านเข้ามาอยู่บนภูเขาชำระจิต ทั้งยังให้ผลประโยชน์กับพวกท่านมากมาย แต่พวกท่านล่ะ…จะตอบแทนนายน้อยเช่นนี้หรือ”
“พวกท่าน…อำมหิตนัก!”
หลินจงโมโหจนเบ้าตาแทบถลน โกรธจนหน้าเขียว เสียงเดือดดาลราวกับอสนีบาตสั่นสะเทือนห้องโถง ทำให้สีหน้าของหลายคนต่างเปลี่ยนไป
“ที่พวกเราทำก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลิน หรือเจ้าจะปล่อยให้ภูเขาชำระจิตล่มจมไปทั้งอย่างนี้ จนถึงขั้นถูกศัตรูยึดครอง?”
ใบหน้าของหลินไหวถังไร้อารมณ์ นัยน์ตาเย็นชา
“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”
กลับเห็นหลินไหวหย่วนถอนหายใจยาวพลันพูดว่า “ในอดีตพวกเราทำผิดไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้จะผิดซ้ำสองไม่ได้เด็ดขาด”
หลินไหวถังระบายยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
แต่ในใจเขากลับรู้ดีว่า คำพูดนี้ของตนทำให้หลายคนหวั่นไหวแล้ว รอให้ถึงวันที่ภูเขาชำระจิตถูกบีบจนสุดทาง จะต้องมีผู้คนมากมายที่สนับสนุนให้ทำอย่างที่เขาพูดแน่นอน
“พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านไม่เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นท่านคิดว่าตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร อำนาจของภูเขาชำระจิตตกอยู่ในมือของคนนอกพวกนั้น แม้พวกเราอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้นะ”
หลินไหวถังถอนหายใจพูด เสียงแม้จะแผ่วเบาแต่กลับซ่อนความแหลมคมและบีบบังคับรุนแรง ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดก็คือ อย่างไรก็ต้องฉวยโอกาสนี้ช่วงชิงอำนาจของภูเขาชำระจิต
“ไม้ล้มวานรเตลิด ครั้งแรกที่เข้ามาในภูเขาชำระจิต ข้าก็เคยได้ยินหลินสวินพูดถึงปัญหานี้ ไม่คิดเลยว่าเพิ่งผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็พิสูจน์ให้เห็นดังคาด”
พญาแร้งถอนหายใจเบาๆ สำหรับอำนาจของตระกูล การมีคนนอกเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้อย่างไรก็เป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ฝูงมังกรไร้หัวเช่นนี้ สักวันก็ต้องเกิดศึกภายใน
เขาเคยเตือนหลินสวินและเตรียมใจกับเรื่องนี้มามากพอแล้ว เสียดายที่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต สุดท้ายเรื่องแบบนี้ก็ยังต้องเกิดขึ้น
“หึ! ท่านพญาแร้ง ท่านกำลังด่าว่าพวกเราไร้น้ำใจไร้คุณธรรมหรือ น่าขัน พวกท่านเป็นเพียงแค่คนนอก กลับยึดอำนาจของตระกูลหลินไม่ยอมปล่อย จะให้พวกข้าทำอย่างไร”
เหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างไม่พอใจ รู้สึกว่าคำพูดนี้ของพญาแร้งด่าเหมารวมพวกเขาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
มีเพียงหลินไหวหย่วนที่นั่งเงียบไม่พูดจา ขมวดคิ้วแน่น
ความจริงเขาก็ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ข่าวเกี่ยวกับการตายของหลินสวินแพร่สะพัดออกไปตั้งนานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ภูเขาชำระจิตมีทั้งศึกในศึกนอก คลื่นลมโหมกระหน่ำ ราวกับหอคอยที่กำลังจะถล่ม ทำให้หลินไหวหย่วนปวดหัวอย่างที่สุด
จะทำอย่างไรดี
แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างจริงๆ!
“พี่ใหญ่ มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะลังเลอะไร ภูเขาชำระจิตไม่มีผู้นำไม่ได้ ตอนนี้การที่ท่านออกคำสั่งในสถานการณ์คับขัน ครอบครองอำนาจภูเขาชำระจิต ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ตระกูลหลินของพวกเรายอมให้คนนอกเข้ามาแทรกแซงไม่ได้อีกแล้ว!”
หลินไหวถังสนับสนุนอยู่ข้างๆ
คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนอื่นๆ เองก็ร้องรับ
“นี่…”
หลินไหวหย่วนสีหน้าอึมครึมไม่สงบ
ทว่าในใจพวกหลินจง เสี่ยวเคอต่างหนาวเหน็บ สีหน้าย่ำแย่ มีเพียงพญาแร้งเท่านั้นที่ไม่สะทกสะท้าน ดูนิ่งสงบอย่างมาก เรื่องพวกนี้อยู่ในการคาดเดาของเขาแต่แรกแล้ว แม้จะเหนือความคาดหมายอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ตกตะลึง
เพียงแต่ในใจเขากลับมีความกังวลเสี้ยวหนึ่ง หากไม่สามารถคลี่คลายพิบัติภัยนี้ได้ แม้ว่าในอนาคตหลินสวินจะกลับมา ก็สายไปแล้ว!
ตึกๆๆ
ตอนนี้เองจู่ๆ ประตูห้องโถงที่ปิดสนิทก็ถูกเคาะจากด้านนอก
หืม?
ทันใดนั้นทุกคนต่างขมวดคิ้ว นี่มันโถงประชุมบนยอดภูเขาชำระจิตเชียวนะ และพวกเขาก็กำลังจัดการประชุมที่สำคัญที่สุดอยู่
คนคุ้มกันคนไหนไม่รู้จักกาลเทศะ กล้ามาเคาะประตูตอนนี้
——
ตอนที่ 650 เขารอดกลับมาแล้ว
โดย
ProjectZyphon
ภูเขาชำระจิตมีค่ายกลคุ้มกันภูเขา หากไม่ได้รับการอนุญาต คนนอกไม่สามารถเข้ามาได้
เพราะฉะนั้นทุกคนในห้องโถงจึงคิดไปตามสัญชาตญาณว่า ต้องเป็นคนคุ้มกันสักคนที่ไม่รู้กาลเทศะมารบกวนตอนนี้
“พวกเจ้าประชุมกันต่อ ข้าไปดูเอง”
เสี่ยวเคอฉวยโอกาสนี้ไปเปิดประตู นางไม่อยากอยู่ตั้งนานแล้ว หน้าตาของทุกคนในห้องโถงน่าเกลียดเกินไป ทำให้นางรู้สึกขยะแขยง
แกร๊ก แอ๊ด
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทถูกเปิดออก
“มีอะไร”
เสี่ยวเคอเงยสายตาขึ้นมอง แต่ทันใดนั้นนางก็ปิดปาก ความไม่อยากเชื่อแวบผ่านเข้ามาในดวงตาคู่ใส
“ทำไมหรือ ครูฝึก จำลูกศิษย์ไม่ได้แล้วหรือ”
นอกห้องโถง ใบหน้าของหลินสวินแฝงรอยยิ้มอ่อนโยน จ้องมองครูฝึกเสี่ยวเคอที่มีใบหน้าสว่างใสแฝงความงามตรงหน้า
“เอ้อ… เจ้า…”
มองใบหน้าอันคุ้นเคยที่สะอาดสะอ้านหล่อเหลาตรงหน้า เสี่ยวเคอกลับตะลึงงัน ในใจเกิดความรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าหมอนี่รอดกลับมาแล้ว!
ในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เสี่ยวเคอดูเหมือนจะเข้มแข็ง แต่การอยู่บนภูเขาชำระจิตที่มีทั้งศึกในและศึกนอกนี้ จะให้นางไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลินสวินได้อย่างไร
ช่วงนี้นางแทบจะวิตกกังวลจนจิตใจไม่สงบ ไม่มีวันไหนเลยที่หว่างคิ้วจะผ่อนคลายลง แต่วันนี้ จู่ๆ เห็นหลินสวินปรากฏตัว นางเกือบจะคิดว่าตัวเองฝันไป
หลินสวินเดินขึ้นหน้า กอดเสี่ยวเคอเบาๆ พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “ครูฝึก ช่วงที่ผ่านมาลำบากพวกท่านแล้ว เรื่องต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ท่านคอยดูเถอะ ลูกศิษย์ของท่านไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
เสียงอันทุ่มต่ำและอ่อนโยนราวกับธารน้ำพุใส รวมถึงไหล่ของเด็กหนุ่มที่หนาขึ้นและสามารถพึ่งพิงได้แล้ว ทำให้ความอัดอั้น เป็นห่วงและวิตกกังวลในใจเสี่ยวเคอหายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางขานรับว่าอืมคำหนึ่ง
หลินสวินยิ้มแล้วเดินผ่านข้างตัวเสี่ยวเคอไป ชั่วขณะที่ก้าวเข้าห้องโถง รอยยิ้มของเขาถูกความเรียบเฉยที่แทบจะไร้อารมณ์เข้ามาแทนที่ นัยน์ตาดำขลับเย็นชาและลึกล้ำ
“พี่ใหญ่! จะลังเลต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลินสวินล่วงเกินขุมอำนาจไว้มากมายเกินไป พวกเราจะตกอยู่ในสภาพลำบากขนาดนี้ได้อย่างไร สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดคือ เขาอายุน้อยไม่รู้ความ แม้ตายไปแล้วยังให้พวกคนนอกครอบครองอำนาจภูเขาชำระจิต นี่มันหายนะชัดๆ!”
ภายในห้องโถง หลินไหวถังยังคงพูดฉอดๆ ด้วยถ้อยคำคมคาย “หากท่านยังไม่ออกหน้าอีก เกรงแต่ว่าภูเขาชำระจิตแห่งตระกูลหลินของพวกเราคงจะไม่สามารถใช้แซ่ ‘หลิน’ ได้อีกต่อไปแล้ว!”
เขาพูดพลางกวาดสายตามองคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรที่อยู่รอบๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขาช่วยกันเกลี้ยกล่อม บีบให้พวกของหลินจงส่งมอบอำนาจตระกูล
เพียงแต่ตอนที่สายตาของเขากวาดผ่านบริเวณประตูทางเข้าห้องโถง กลับตัวแข็งทื่อไปทันที สีหน้าแห่งความย่ามใจและตื่นเต้นในตอนแรกค้างอยู่อย่างนั้น ท่าทางราวกับถูกฟ้าผ่า อึ้งจนพูดไม่ออก
“เจ้าๆๆ…”
ลูกตาของเขาแทบหลุดออกมา ตกใจจนพูดไม่ออก
“เจ้าอะไรของเจ้า เป็นอะไรไป”
หลินไหวหย่วนมุ่นคิ้วเหลือบมองไป ตอนที่เห็นหลินสวิน เขาเองก็ตัวสั่นไปคราหนึ่ง ถ้วยชาที่เดิมถืออยู่ในมือหลุดร่วงลงเสียงดังเพล้ง น้ำชาร้อนสาดกระเซ็นเต็มชุด แต่เขากลับไม่รู้ตัว ยังคงจ้องตำแหน่งนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้คนอื่นๆ ในห้องโถงก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ต่างมองมาด้วยความแปลกใจ ตอนที่เห็นหลินสวิน ไม่มีใครเลยที่ไม่ตะลึง ท่าทางราวกับตื่นตกใจ
บรรยากาศที่เสียงดังไม่หยุดในตอนแรกก็เงียบไปด้วย มีเพียงเสียงเพล้งดังขึ้นระลอกหนึ่ง
นั่นเป็นเสียงที่ถ้วยชาหลายใบตกแตกบนพื้น ในเวลาเช่นนี้ฟังดูแสบหูมากเป็นพิเศษ ราวกับเป็นเสียงหัวเราะเยาะและโจมตีอ้อมๆ ทำให้สีหน้าของหลายคนแปรเปลี่ยนหลากสีสัน
พลั่ก!
คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรราวกับไฟลนก้น เซล้มจากเก้าอี้มานั่งอยู่บนพื้น ดูสะบักสะบอมและน่าอาย
คนใหญ่คนโตคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร จึงไม่อาจห่วงใยท่าทางอันน่าเกลียดและน่าอับอายของเขา
หลินสวิน!
เด็กหนุ่มที่หายตัวไปเป็นเวลาครึ่งปีเต็ม ได้รับการยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของภูเขาชำระจิต ยิ่งถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในนครต้องห้ามยกให้เป็นผู้กล้าไร้เทียมทาน เขาถึงกับรอดชีวิตกลับมาแล้ว!
แต่… ว่ากันว่าเขาตายในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณแล้วมิใช่หรือ
นี่เป็นข่าวที่ได้รับการยืนยันจากขุมอำนาจใหญ่มากมายในนครต้องห้าม บอกว่าหลินสวินก่อความผิดใหญ่หลวงในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ถูกกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ระดับสังสารวัฏตามฆ่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนล้วนคิดว่าหลินสวินตายไปตั้งนานแล้ว ใครจะคิดว่าสุดท้ายเขากลับรอดกลับมา!
ทุกคนอึ้งค้างเหมือนรูปปั้น หัวสมองว่างเปล่า
คนคนหนึ่งที่ได้รับการยืนยันว่าตายไปแล้ว จู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแบบนี้ แรงสะเทือนและผลกระทบนั้นสุดจะพรรณนาจริงๆ
สิ่งที่ทำให้คนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหวั่นใจที่สุดคือ เมื่อครู่นี้พวกเขายัง ‘บีบบังคับให้สละราชบัลลังก์’ หมายจะช่วงชิงอำนาจตระกูลหลินอยู่เลย
แต่ตอนนี้ผู้นำภูเขาชำระจิตอย่างหลินสวิน ผู้ครอบครองอำนาจตระกูลหลินกลับมาแล้ว…
ภายในห้องโถงเงียบกริบ บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“ท่านพญาแร้ง ลุงจง ข้ากลับมาแล้ว”
หลินสวินไม่สนใจคนพวกนี้ เขาเดินเข้าไปพยักหน้าให้พญาแร้ง เคลื่อนสายตาไปมองหลินจง ในส่วนลึกของดวงตาเผยความปวดใจเสี้ยวหนึ่ง
แต่เดิมลุงจงก็ดูชราอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขามีผมหงอกเยอะขึ้น หว่างคิ้วขมวดแน่น เบ้าตาลึกโหล ผอมแห้งจนไม่เหลือสภาพแล้ว
แค่คิดก็จะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ ผู้เฒ่าที่จงรักภักดีคนนี้แบกรับความกดดันใหญ่หลวงเพียงใดกับศึกภายในของตระกูลหลิน
“ดี! ดี! ดี! กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
หลินจงตื่นเต้นจนพูดสะเปะสะปะแล้ว ริมฝีปากสั่นเทา น้ำตาสีขุ่นไหลลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น
นายน้อยกลับมาแล้ว!
คุณหนูซย่าจื้อพูดถูก นายน้อยจะตายได้อย่างไร
ช่วงที่ผ่านมาหลินจงแบกรับแรงกดดันที่ยากจะจินตนาการจริงๆ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเงาร่างของหลินสวิน เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้คุ้มค่าแล้ว!
ทั่นฮวาม้าขาวผู้สง่างาม บุคคลระดับหยั่งสัจจะที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนครต้องห้ามในยุคนั้น แต่ตอนนี้กลับน้ำตาอาบหน้า ผมหงอกประปราย ทำให้ในใจหลินสวินมีความปวดใจและละอายใจอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งเป็นเช่นนี้หลินสวินก็ยิ่งมีความชิงชังและจิตสังหารพลุ่งพล่านขึ้นมา
ตนจากไปเพิ่งจะครึ่งปี ก็เกิดเรื่องน่าเกลียดมากมายขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาตนใจดีและใจอ่อนเกินไปแล้ว!
“ผู้นำตระกูล ท่าน…เป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง สามารถรอดกลับมาได้ ทำให้ข้าดีใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่ากันว่าท่านประสบเคราะห์ใหญ่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมิใช่หรือ หรือนั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือ”
ท่ามกลางความเงียบ หลินไหวหย่วนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามฝืนยิ้มที่ดูน่าเกลียด เอ่ยถามออกมา
“ใช่! ถูกราชันระดับสังสารวัฏตามฆ่ายังรอดกลับมาได้ ถือว่า…” หลินไหวถังที่อยู่ข้างๆ เองก็พลั้งปาก ทันใดนั้นเขาก็รู้ตัวว่าเสียอาการ จึงรีบหุบปากไป
ทุกคนที่อยู่รอบข้างแม้ไม่เคยเอ่ยปาก แต่ในใจต่างแปลกใจอย่างที่สุด ข่าวการตายของหลินสวินได้รับการยืนยันมาหลายต่อหลายครั้ง ตอนแรกพวกเขาเองก็ไม่เชื่อ
ทว่าจนกระทั่งตอนหลังขุมอำนาจต่างๆ เริ่มจับจ้องตระกูลหลินมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ในที่สุดพวกเขาก็มั่นใจแล้วว่า หลินสวินจะต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับรอดชีวิตกลับมา นี่พาให้คนตะลึงเกินไปแล้ว
“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากัน”
หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ พูดเพียงสั้นๆ แต่ราวกับมีอานุภาพที่มองไม่เห็นทำให้ทุกคนในห้องโถงหัวใจสะท้าน ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ไม่สู้ดี
ตามคาด ครู่ต่อมาสายตาของหลินสวินก็หยุดอยู่ที่หลินไหวถัง อีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนไป หัวใจเต้นระทึกอย่างควบคุมไม่อยู่
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องโถงเมื่อครู่นี้ข้าได้ยินหมดแล้ว จะมีเหตุผลหรือไม่ข้าไม่สนใจ เพียงอยากถามเจ้าคำหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาดำพลันสาดประกายเย็นเยียบ อานุภาพที่มองไม่เห็นแผ่ขยาย บีบคั้นทุกคนในห้องโถงให้สีหน้าเปลี่ยนไป
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
แม้แต่พวกหลินจง หลินไหวหย่วน เสี่ยวเคอ ตอนนี้ยังเกร็งไปทั้งตัว รู้สึกถึงแรงกดดันอันยากจะอธิบายเป็นคำพูด
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เจอกันครึ่งปี หลินสวินเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่า!
เขาเมื่อครึ่งปีที่แล้วยังอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณอยู่เลย ตอนนี้แม้แต่พวกหลินจงยังไม่สามารถดูความตื้นลึกของหลินสวินออก แต่เขาจะต้องก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
โดยเฉพาะหลินไหวถังที่ถูกระบุชื่อ เขาถูกหลินสวินจับจ้อง รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับภูเขาใหญ่สูงตระหง่าน ทำให้รู้สึกไปเองว่าตนนั้นช่างตัวเล็กจ้อย
“บอกข้ามา ว่าสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้สมรู้ร่วมคิดกับขุมอำนาจภายนอกใช่หรือไม่”
หลินสวินพูดออกมาทีละคำ แต่ละคำล้วนราวกับสายฟ้าที่ระเบิดออกข้างหูหลินไหวถัง เขาตกใจจนสั่นไปทั้งตัว สีหน้าพลันเปลี่ยนไปนับครั้งไม่ถ้วน แทบไม่กล้าสบตาหลินสวินอยู่แล้ว
ส่วนคนในห้องโถงต่างสูดหายใจด้วยความตกใจ คำพูดนี้ของหลินสวิน เป็นการถามหลินไหวถังว่าทรยศภูเขาชำระจิตไปแล้วใช่หรือไม่อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ข้า…”
หลินไหวถังเพิ่งอยากจะอ้าปาก กลับเห็นหลินสวินพูดเรียบๆ ว่า “มีโอกาสตอบเพียงครั้งเดียว หากเจ้าไม่รักษาเอาไว้ ก็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วยตัวเอง”
บรรยากาศในห้องโถงกดดันขึ้นทันที
หลินไหวถังเย็นวาบไปทั้งตัว รู้สึกว่าผิวหนังทุกส่วนล้วนแข็งทื่อไปหมดแล้ว เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก อยากอ้าปากพูด
แต่เมื่อเขาสบกับนัยน์ตาดำเย็นชาของหลินสวิน เขาก็สั่นสะท้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พลันตระหนักได้ว่า หากคำตอบของเขาไม่สามารถทำให้หลินสวินพอใจได้ อีกฝ่ายจะต้องฆ่าตนอย่างไม่ลังเลแน่นอน!
สัญชาตญาณอันแรงกล้านี้ทำให้หลินไหวถังเกือบทรุด เขาไม่เคยคิดเลยว่า ยามเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มคนนี้ เหตุใดจึงสร้างความตะลึงและแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวให้ตนได้
ทุกคนต่างสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหลินไหวถังดูขาวซีด เหงื่อซึมหน้าผาก เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป ท่าทางดูดิ้นรนสับสน
ทำให้พวกเขาต่างหัวใจสั่นไหว ประโยคเดียวของหลินสวินก็สร้างอานุภาพเพียงนี้แล้วหรือ ไม่เจอกันเพียงครึ่งปีเท่านั้น เด็กหนุ่มคนนั้นมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้แล้วหรือ
“ผู้นำตระกูล ยามนี้ภูเขาชำระจิตของเรามีทั้งศึกในและศึกนอก คลื่นลมโหมกระหน่ำ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พูดถึงเรื่องนี้ตอนนี้ กลัวว่าทุกคนจะเสียความสามัคคีปรองดอง”
คนใหญ่คนโตอีกคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรพูดขึ้น ดูเหมือนไม่พอใจอย่างมากที่เห็นหลินไหวถังถูกกล่าวโทษ
“เสียความสามัคคีปรองดอง?”
หลินสวินยิ้มเยาะตรงมุมปาก “ข้าว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของพวกเจ้าต่างหากที่ไม่มีความสามัคคีปรองดอง!”
พูดจบเบื้องบนทุกคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร รวมทั้งหลินไหวหย่วนต่างรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“ความอดทนของข้ามีจำกัด ขืนเจ้ายังไม่ตอบอีก ก็รับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง!”
ไอสังหารเยียบเย็นในนัยน์ตาดำของหลินสวินราวกับสายฟ้า จับจ้องหลินไหวถัง วันนี้เขาไม่คิดจะใจอ่อนอีกแม้แต่นิดเดียว!
——
ตอนที่ 651 รายนามอันน่าตะลึง
โดย
ProjectZyphon
คำถามของหลินสวินทำเอาหลินไหวถังแข็งทื่อไปทั้งร่าง สีหน้าผิดแปลกหาใดเปรียบ
เขาก่อนหน้านี้ยังยุยงให้หลินไหวหย่วนยึดอำนาจของภูเขาชำระจิต ตวาดเสี่ยวเคอ ด่าว่าพญาแร้งเป็นคนพิการที่ถูกทำลายปราณ ยิ่งไม่เห็นหลินจงในสายตา เห็นได้ว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใด คิดใช้อำนาจบาตรใหญ่
แต่ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับนัยน์ตาเย็นชานั่นของหลินสวิน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงพลังกดดันอันน่าหวาดกลัวที่ถาโถมเข้าใส่
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ในใจเขามีสัญญาณอันตรายหนึ่ง
แต่ทว่าเรื่องราวพัฒนาไปในทางที่ผิดจากที่หลินสวินคาดอีกครั้ง ไม่รอให้หลินไหวถังเอ่ยปาก ก็มีคนโกรธจนลุกขึ้นตวาดลั่น “หลินสวิน เจ้าผู้น้อยคนหนึ่งมาพูดจาเช่นนี้กับท่านอาท่านลุงรึ ยังมีกฎเกณฑ์ตระกูลอยู่หรือไม่”
เมื่อมีคนนำหน้า ก็พาให้พวกเบื้องบนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคนอื่นใจกล้าขึ้นทันควัน เปิดปากพูดกันเซ็งแซ่
“ใช่แล้ว ตามลำดับอาวุโสนั่นคือท่านลุงเจ้า ตัวเองเป็นผู้น้อย เจ้าตำหนิเช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพ”
“หึ! แม้แต่ตอนที่บิดาเจ้ามีชีวิตอยู่ยังไม่กล้าพูดจาเช่นนี้กับพวกเรา หลินสวิน เจ้าน่ะทำเกินไปแล้ว!”
“นี่มันใช้ได้ที่ไหน ทันทีที่เจ้ากลับมาก็ไม่ไต่ถามผิดถูก ยกตนข่มท่าน ชักสีหน้าใส่ผู้อาวุโสทั้งหมด ยังมีกฎมีเกณฑ์อยู่หรือไม่”
เห็นดังนี้หลินไหวถังที่เดิมใกล้จะพังทลายแอบเป่าปากโล่งอกทันที มุมปากปรากฏรัศมีกระหยิ่มยิ้มย่องวูบหนึ่ง
ต่อให้เจ้าหลินสวินจะกำเริบเสิบสานแค่ไหน ท้ายที่สุดก็แค่เด็กรุ่นหลังตระกูลหลินเท่านั้น แม้เจ้าจะครอบครองภูเขาชำระจิต เป็นผู้สืบทอดตระกูลโดยชอบธรรม แต่เจ้าจะกล้าไม่สนกฎเกณฑ์ตระกูล เผ็นผู้น้อยละเมิดผู้ใหญ่ได้เชียวรึ
ไร้เดียงสา!
ถูกทุกคนต่อว่า หลินสวินสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่นัยน์ตาดำขลับเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม มุมปากเขาปรากฏแววเย้ยหยันวูบหนึ่ง “อ้างกฎเกณฑ์? นำลำดับอาวุโสมาบีบข้า? ดูเหมือนก่อนหน้านี้ข้าคงผ่อนปรนพวกเจ้าเกินไป ทำให้พวกเจ้าไม่เห็นข้าหลินสวินอยู่ในสายตาตั้งแต่ต้นจนจบสินะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลินไหวถังเวลานี้ก็มีความกล้าเพิ่มขึ้นมาก ตวาดเสียงกร้าว “หรือเจ้าคิดว่าที่ผู้อาวุโสเหล่านี้พูดมันผิดงั้นรึ”
“ดูท่า พวกเจ้ายังไม่เห็นว่าตนเองผิด”
หลินสวินพลันถอนหายใจ สีหน้าปรากฏแววหน่ายใจวูบหนึ่ง
ภายใต้สายตาจับจ้องอย่างไม่เข้าใจ เขาโบกมืออย่างเงียบๆ
ฟึ่บ!
ก็เห็นรุ้งเทพแดงเข้มสายหนึ่งพุ่งทะยานจากนอกโถงมาถึง แปลงเป็นอินทรีแดงที่ราวกับเกิดจากการอาบไล้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่ง
ปีกของมันปล่อยละอองแสงเปลวไฟ ดูเหมือนสูงแค่สองฉื่อแต่กลับมีพลังอำนาจผงาดผยองน่าหวาดกลัว ชั่วขณะเดียวอุณหภูมิในโถงใหญ่พลันปะทุขึ้นประหนึ่งอยู่ในเตาหลอม
เป็นราชันอินทรีแดงนี่เอง
ทันใดนั้นทุกคนอึ้งงัน คาดคะเนไม่ออกอยู่บ้างว่าหลินสวินต้องการทำอะไร
“เจ้า… นี่ต้องการจะทำอะไร”
หลินไหวถังเดือดดาล “หรือเจ้าคิดจะลงมือที่นี่งั้นรึ ช่างเนรคุณจริงๆ!”
แต่หลินไหวหย่วนเหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ในใจกลับตระหนกวูบหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุม เขาหน้าพลันเปลี่ยนสี กล่าวเสียงหลง “ไม่นะ…”
แต่สายไปแล้ว!
พรึ่บ!
ก็เห็นราชันอินทรีแดงยิงแสงอัคคีน่าหวาดกลัวออกจากนัยน์ตา ปีกดั่งปลายดาบสยายแหวกอากาศแผ่วเบา เปลวเพลิงหนึ่งพลันปรากฏโหมออกไป
ดุดันดุจคมศาสตรา เผาผลาญห้วงอากาศ!
“นี่…”
ทุกคนต่างตื่นตะลึง หลินสวินถึงกับกล้าทำเช่นนี้จริงๆ!
ฟิ้ว!
เร็วเกินไปแล้ว ต่อให้ความสามารถของหลินไหวถังจะแข็งแกร่งพอควร จัดอยู่ในกลุ่มบุคคลสำคัญเบื้องบนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แต่ที่เขาเผชิญหน้าด้วยคือการโจมตีของราชันอินทรีแดง อสูรมารบำเพ็ญที่อยู่ปลายยอดระดับหยั่งสัจจะ
ซ้ำยังเป็นการจู่โจมฉับพลัน ชั่วขณะเขาก็ถูกเปลวเพลิงนั่นกวาดซัด ทั่วสรรพางค์ลุกโหมมอดไหม้
“เจ้ากล้าทำจริงๆ…” หลินไหวถังตาถลน สีหน้ายากจะเชื่อและหวาดกลัวพูดไม่ออกถึงขีดสุด
ตูม!
เพลิงอัคคีปกคลุม เกิดพลังเผาผลาญน่าพรั่นพรึง แค่ชั่วพริบตาทั้งตัวหลินไหวถังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือซาก
กระทั่งตายไปแล้วเขายังไม่อาจเชื่อว่าหลินสวินจะลงมือเช่นนี้!
ไม่สนกฎเกณฑ์และมูลเหตุอะไร ไม่สนใจสายตาของผู้อาวุโสทุกคนตรงนั้น ทำอะไรตามใจ เห็นต่างคนละทางก็ลงมือฆ่าสังหาร เห็นชัดว่าทำเอาผู้คนคาดไม่ถึงยิ่งนัก
หลินไหวถังตายแล้ว!
โถงใหญ่เงียบสงัดราวป่าช้า ไร้ซึ่งสรรพเสียง
น้องชายแท้ๆ ของหลินไหวหย่วนคนนี้ บุคคลสำคัญเบื้องบนซึ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ถูกหลินสวินสังหารทั้งอย่างนี้!
กล่าวถึงลำดับอาวุโสและความเกี่ยวพันทางสายเลือด หลินไหวถังคือลุงของหลินสวิน แต่กลับสิ้นชีพลงเช่นนี้!
อีกทั้งไม่ได้ตายด้วยน้ำมือหลินสวิน แต่ดับชีวาภายใต้การโจมตีของสัตว์สงครามตัวหนึ่งข้างกายหลินสวิน วิธีการตายเช่นนี้เป็นการลบหลู่และดูถูกอย่างหยาบคายที่สุดโดยมิต้องสงสัย
ไม่ยอมรับหรือ
เช่นนั้นก็ฆ่าทิ้งซะ!
อะไรผิดอะไรถูกข้ารู้อยู่แก่ใจ สนรึว่าเจ้าเป็นใคร อีกทั้งไยต้องสนใจด้วยว่าเจ้าเป็นใคร
มีผิดไม่รับ มีโทษไม่ไถ่ เช่นนั้นก็สังหารซะให้จบ
นี่ก็คือทัศนคติของหลินสวิน!
“เรื่องราวทำไม… ทำไมจึงพัฒนาถึงขั้นนี้ได้…”
หลินไหวหย่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเหม่อลอย หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความปวดร้าวและหดหู่ ราวกับชั่วขณะเดียวก็แก่ชราลงหลายปี
หลินไหวถังคือน้องชายแท้ๆ ของเขา แต่กลับถูกสังหารเช่นนี้… นี่… เป็นความผิดใครกันแน่
บุคคลสำคัญคนอื่นๆ ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรล้วนหน้าเขียวคล้ำ ในใจสั่นสะท้านตื่นตระหนก การตายของหลินไหวถังเคาะสัญญาณเตือนแก่พวกเขา ทำให้พวกเขาต่างหวาดกลัวและโกรธแค้น ตระหนักรู้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้านี้ไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาประเมินได้โดยสิ้นเชิง
เขาไม่สนใจว่าอะไรคือคุณธรรมต่อตระกูล ในสายตาเขาก็ไม่มีการแบ่งลำดับอาวุโสใดอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดล้วนถูกเขามองข้าม!
เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งข้อห้ามปฏิบัติ ทั้งอำมหิตและแข็งแกร่งเช่นนี้ ใครยังจะกล้าพูดเพ้อเจ้ออีก
เวลานี้แม้แต่หลินจงยังไม่คาดคิด ดวงตาเบิกโพลง นอกจากตกตะลึงแล้วจิตใจยังสับสนอย่างเลี่ยงไม่ได้ นายน้อยท่าน… จากนี้ไปเกรงว่าต้องแบกรับชื่อเสียว่า ‘สังหารเครือญาติ’ แล้ว
แต่หากนายน้อยไม่ทำเช่นนี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์คับขันตรงหน้าได้อย่างไร
‘อาการสาหัสก็ต้องใช้ยาแรง ไม่ฆ่าไม่อาจคงอำนาจ ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าสงครามแก่งแย่งบัลลังก์ของแว่นแคว้นหนึ่ง หรือการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในตระกูล ล้วนมิอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอันนำมาซึ่งการหลั่งเลือด เหตุการณ์ที่บิดาบุตรฆ่าฟันกันเอง พี่น้องแตกหักกันเห็นบ่อยจนชินตา หากครานี้หลินสวินถอยอีก อดทนอดกลั้นต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันอีกครั้ง’
พญาแร้งสื่อจิต ปลอมประโลมความรู้สึกของหลินจง ‘นี่ก็คือความโหดร้ายแห่งศึกชิงอำนาจ ไม่อยู่จุดนั้นก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า การครอบครองตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพียงใด’
ราชันอินทรีแดงเก็บปีก เกาะอยู่บนไหล่หลินสวิน เชิดหน้ามองไปโดยรอบ นัยน์ตาดุจสายฟ้าเพลิง คล้ายกำลังเสาะหาเป้าหมายจู่โจมสังหารต่อไป ทำคนมากมายต่างไม่กล้าสบตามัน
“ข้าเคยให้โอกาสเขาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตัวเขากลับไม่เห็นคุณค่า”
หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ สายตากลับมองไปยังพญาแร้ง “พญาแร้ง ท่านคิดว่าที่แห่งนี้มีผู้ทรยศกี่คนกันแน่ ทั้งมีใครบ้างที่ช่วงนี้คิดไม่ซื่อ หมายมาดวางแผนที่ไม่ควรคิด”
ทุกคนในที่นั้นประหวั่นพรั่นพรึง พลันหน้าเปลี่ยนสี สังหารหลินไหวถังแล้วยังไม่พอ นี่เขาคิดทำการกวาดล้างอย่างหมดจดหรือนี่!
“ผู้นำตระกูล!”
หลินไหวหย่วนลุกยืนขึ้นอย่างเจ็บปวด ในใจหลั่งเลือด “เรื่องในวันนี้ทุกอย่างล้วนผิดที่ข้า หวังว่าท่านจะใจกว้าง อย่าได้สืบสาวราวเรื่องต่ออีกเลย!”
เขาไม่อาจสงบใจได้อีก หากสะสางบัญชี เช่นนั้นตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของเขาจะต้องประสบกับการโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงขั้นหลั่งโลหิตไม่หยุดหย่อน นี่คือสิ่งที่เขาไม่อาจทนเห็นได้อย่างสิ้นเชิง
หลินสวินกลับใบหน้าไร้ความรู้สึก “ภัยแฝงไม่กำจัดใจข้ายากสงบ หวังว่าท่านลุงเองอย่าทำให้ข้าลำบากใจ”
บางทีความผิดในวันนี้ หลินไหวหย่วนอาจไม่ใช่ตัวการหลัก แต่หลินสวินกลับไม่อาจทนให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว!
หากไม่จับแกะดำพวกนั้นออกมาให้หมด มอบบทลงโทษอย่างสาสม หลังจากนี้เมื่อเขาหลินสวินมุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณ บนภูเขาชำระจิตจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้อีกเป็นแน่
“นี่คือรายนามฉบับหนึ่ง”
เวลานี้พญาแร้งก้าวมาเบื้องหน้า นำม้วนตำราทอหยกม้วนหนึ่งมอบแก่หลินสวิน
ทุกคนตรงนั้นในใจหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เดิมทีพวกเขาเห็นพญาแร้งเป็นเฒ่าพิการไม่มีประโยชน์สักอย่าง ใครเล่าจะคิดว่าเจ้าหมอนี่กลับแอบอยู่ในเงามืด ค้นหารวบรวมข่าวกรองนานัปการเพื่อรอลงมือในเวลานี้
ไม่ต้องมองพวกเขาก็รู้ ในม้วนตำราทอหยกนั่นต้องบันทึกสถานการณ์และข้อมูลทั้งหมดของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นแน่!
หลินสวินกลับนิ่งสงบยิ่ง พญาแร้งแม้ถูกทำลายปราณ แต่กลับสติปัญญาดุจห้วงสมุทร กลวิธีเป็นเลิศ หากไม่เป็นเช่นนั้นหลินสวินคงไม่มอบอำนาจบนภูเขาชำระจิตให้พญาแร้งควบคุมดูแล
เห็นชัดว่าพญาแร้งไม่ทำให้เขาผิดหวัง รายนามฉบับนี้คือเครื่องพิสูจน์อย่างดีเยี่ยม
หลินสวินเปิดม้วนตำราทอหยกนี้ออก แต่ไม่นานสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมา ถึงขนาดที่ว่ากลางนัยน์ตาดำปรากฏไอสังหารที่ไม่อาจปกปิดแม้แต่น้อย
รายชื่อที่เรียงอยู่บนม้วนตำรานี้น่าตกตะลึงนัก! ไล่เรียงตามการเคลื่อนไหวที่คิดไม่ซื่อของบุคคลสำคัญส่วนหนึ่งในตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ในช่วงเวลาที่หลินสวินหายไปโดยละเอียด
มีทั้งคนคบคิดศัตรูภายนอก!
มีทั้งคนลอบสร้างพันธมิตร วางแผนร่วมกันหมายชิงอำนาจปกครองภูเขาชำระจิต!
ถึงขั้นยังมีคนบางส่วนที่ดูเหมือนไม่กระทำการ ไม่มีการเคลื่อนไหวนอกลู่นอกทางอะไร แต่พวกเขากลับเลือกนิ่งดูดาย ไม่แยแสทุกการกระทำของพวกที่สมคบศัตรูภายนอกพวกนั้น!
บรรยากาศในโถงเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม
บุคคลสำคัญส่วนหนึ่งตรงนั้นราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม ในใจหวาดกลัวถึงขีดสุด มีคนเหงื่อแตกพลั่ก มีคนดวงตาไร้แวว และมีคนสีหน้าหดหู่ ลักษณะท่าทางนานัปการ ล้วนสะท้อนถึงความลุกลนภายในใจพวกเขาออกมา
“พวกเจ้า… ช่างสามารถจริงๆ!”
หลินสวินเก็บรายชื่อฉบับนี้ นัยน์ตาดำกวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ทั่วร่างแผ่ไอสังหารเยียบเย็นไร้รูปราวกระแสวารีโถมทะลึกออกมา
สิบกว่าปีก่อนตระกูลหลินเกิดเหตุการณ์นองเลือด คนตระกูลหลักเกือบทั้งหมดถูกฆ่าสังหาร
เวลานั้นในตระกูลสายรองทั้งสี่ก็เกิดเหตุการณ์ต่ำช้าที่สมคบศัตรูภายนอก แบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สินตระกูลหลินเช่นเดียวกัน
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า จวบจนวันนี้เรื่องราวเช่นนี้เกือบจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง!
ดังเช่นหลินไหวถัง เจ้าหมอนี่สมควรถูกสับเป็นหมื่นชิ้นพันชิ้น เขาแอบติดต่อสามตระกูลรองอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ ขณะเดียวกันก็ปลุกระดมร่วมมือกับคนสำคัญส่วนหนึ่งของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ลอบโหมกระพือจุดชนวน วางแผนบีบให้หลินจงสละบัลลังก์ ยึดอำนาจภูเขาชำระจิต!
นี่คือแผน ‘นอกในตีประสาน’ เมื่อชิงอำนาจปกครองภูเขาชำระจิต หลินไหวถังกับสามตระกูลรองที่เหลือก็จะครอบครองภูเขาชำระจิตร่วมกัน กระโจนขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่แห่งตระกูลหลิน!
หลินสวินไม่กล้าคิด หากตนกลับมาช้ากว่านี้เล็กน้อย ผลที่ตามมาคงสุดจะทานทน ถึงเวลานั้นภูเขาชำระจิตทั้งหมดล้วนเปลี่ยนผู้ปกครอง ต่อให้หลินสวินคิดช่วยก็สายเกินไปแล้ว!
ไอสังหารในใจหลินสวินซัดสาดถาโถม แทบเกิดเค้าลางควบคุมไม่อยู่ แต่หลังจากเห็นรายชื่อฉบับนี้ แรงโจมตีที่เกิดขึ้นกับเขามันยิ่งใหญ่นัก
…………………….
ตอนที่ 652 สารลับ
โดย
ProjectZyphon
บนภูเขาชำระจิตทั้งสี่ฤดูดุจฤดูวสันต์ อากาศเย็นสบาย
แต่เวลานี้ทุกคนในโถงกลับประหนึ่งร่วงหล่นสู่ถ้ำน้ำแข็ง ทั่วสรรพางค์ถูกความเย็นเยียบบุกจู่โจม รู้สึกถึงไอสังหารเสียดแทงกระดูก ทำเอาพวกเขาจิตวิญญาณสั่นสะท้าน
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลินสวินเวลานี้แม้เงียบสงบไม่พูดจา แต่กลิ่นอายเขากลับประหนึ่งเทพสังหารที่โผล่ออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด น่าหวาดกลัวชวนตระหนก
พวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดี รายชื่อฉบับนี้ต้องมีผลกระทบอย่างยิ่งยวด ทำให้หลินสวินแทบไม่อาจควบคุมไอสังหารภายในใจ
ตึง!
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดตึงเครียดหาใดเปรียบนี้ ในฐานะหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลินไหวหย่วนถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นโขกศีรษะกล่าว “ขอผู้นำตระกูลให้โอกาสสุดท้ายแก่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้า!”
ทุกคนตื่นตระหนก หลินไหวหย่วนคุกเข่าครานี้ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย!
ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส เป็นลุงของหลินสวิน ในนครต้องห้ามถือเป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่าต่อหน้าหลานชายตัวเอง!
หากแพร่งพรายออกไป หลินไหวหย่วนต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น แต่หลินสวินเองก็ต้องติดร่างแหเช่นเดียวกัน
ถึงอย่างไรในฐานะผู้น้อย กลับบีบจนผู้อาวุโสท่านหนึ่งไม่อาจไม่คุกเข่าร้องขอความเมตตา นี่มันเห็นได้ว่าเนรคุณเกินไปแล้ว!
“หัวหน้าตระกูล!”
“หัวหน้าตระกูล! ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”
คนสำคัญของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเหล่านั้นต่างลนลานรีบห้ามปราม แต่หลินไหวหย่วนกลับไม่สนใจ โขกศีรษะกับพื้นนิ่งไม่ไหวติง
แม้แต่พวกพญาแร้ง หลินจงล้วนรู้สึกเกินคาดหมาย การคุกเข่านี้ของหลินไหวหย่วนมีความนัยไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว หลินสวินจะรับมืออย่างไร
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงกล่าวราบเรียบ “ข้าสามารถให้โอกาสตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แต่ผู้คิดคดวางแผนครั้งนี้ต้องรับโทษมหันต์!”
พูดถึงตรงนี้เขาไม่เหลือบและหลินไหวหย่วนบนพื้นอีกแม้เพียงวูบ นัยน์ตาดำขลับราวอสนี กวาดผ่านใบหน้าคนใหญ่คนโตตระกูลหลินแห่งแสงอุดรพวกนั้นในโถงทีละคน ทำเอาพวกเขาพลันรู้สึกอึดอัด
“ตอนนี้คือเวลาไถ่บาปของพวกเจ้า ผู้สำนึกผิดยอมรับด้วยตนเองจะลงโทษสถานเบา ผู้โง่เขลาดึงดันสังหารไม่ละเว้น!”
หลินสวินเน้นย้ำทีละคำ เสียงกึกก้องสะท้านปฐพี
“ขอบคุณผู้นำตระกูลที่ใจกว้างเมตตา!”
หลินไหวหย่วนที่อยู่บนพื้นรู้ดี นี่คือผลลัพธ์ดีที่สุดซึ่งเขาสามารถไขว่คว้าไว้ได้
เขาลุกขึ้นจากพื้นพลางกล่าว “ผู้นำตระกูล เรื่องนี้แม้มิได้เกิดจากข้า แต่กลับเพราะการวางเฉยของข้าจึงก่อให้เกิดผลอันน่าขมขื่นเช่นวันนี้ ข้าหวังว่าจะสามารถชดเชยด้วยตนเอง”
“ท่านคิดจะชดเชยอย่างไร” หลินสวินถาม
หลินไหวหย่วนกัดฟัน สีหน้าปรากฏความทรหดวูบหนึ่ง “ที่ควรฆ่าก็ฆ่า ที่ควรลงโทษก็ลงโทษ ยอมฆ่าผิดลงโทษผิด ดีกว่าปล่อยให้หลุดรอดไปแม้สักคน!”
“ดี งั้นข้าจะให้โอกาสท่านครั้งหนึ่ง”
หลินสวินจ้องมองหลินไหวหย่วนครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงพยักหน้ารับ
แต่เหล่าคนเบื้องบนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในโถง แต่ละคนต่างราวสูญพ่อสิ้นแม่ นิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์ ให้อย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า ท้ายที่สุดคนที่ยกดาบสังหารจะเป็นหลินไหวหย่วน…
…
สองชั่วยามหลังจากหลินสวินกลับมายังภูเขาชำระจิต
ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ผู้ดููและอาวุโสสี่คนถูกลอบสำเร็จโทษ ผู้อาวุโสในตระกูลสิบสามคนถูกเพิกถอนตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด กักขังไว้ในเขตหวงห้ามในภูเขาชำระจิต ให้ปิดด่านคิดทบทวน
ยังมีเก้าผู้ดูแลต่างสกุล เจ็ดผู้ดูแลอาวุโสต่างสกุล ลูกหลานตระกูลสิบเก้าคน ผู้คุ้มกันอารักขาตระกูลหกสิบสามคน… ล้วนประสบบทลงโทษระดับต่างกันไป
ครั้งนี้ดูเหมือนเพื่อแสดงออกถึงท่าทีของตน และเพื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจของหลินสวินคืนมา หลินไหวหย่วนจึงลงมือกวาดล้างดุจอสนีบาต ฆ่าสังหารเด็ดขาด ใช้วิธีแข็งกร้าวที่อำมหิตและรวดเร็วรุนแรง
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ชั่วขณะหลินไหวหย่วนประหนึ่งสูญเสียกำลังทั้งหมด ทรุดลงบนเก้าอี้ สีหน้ามืดมนและผิดหวัง
ผ่านการสะสางบัญชีครานี้ พูดได้ว่าพวกเขาตระกูลหลินแห่งแสงอุดรบาดเจ็บสาหัส กล้ามเนื้อทลายกระดูกเคลื่อน คิดอยากฟื้นคืนกลับมาเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น
แต่นี่คือผลลัพธ์ซึ่งดีที่สุดแล้ว!
อย่างน้อยที่สุด ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรยังมีต้นกล้ารุ่นเยาว์มากมาย ขอแค่พวกเขายังอยู่ จากนี้ก็มีหวังที่จะเติบใหญ่เข้มแข็งใหม่อีกครั้ง
แต่หากครานี้ให้หลินสวินลงมือ…
ผลลัพธ์นั้นมิกล้าจะจินตนา!
“หลินเหวินจิ้งเอ๋ยหลินเหวินจิ้ง เจ้าน่ะให้กำเนิดบุตรชายที่ดีคนหนึ่งจริงๆ… ตระกูลหลินมีผู้สืบทอดเช่นนี้นำพา หลังจากนี้คิดอยากฟื้นคืนเกียรติยศเมื่อห้าร้อยปีก่อน ก้าวเข้าสู่อันดับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงใหม่อีกครั้ง บางทีอาจไม่ใช่เป็นไปไม่ได้…”
หลินไหวหย่วนพึมพำ หว่างคิ้วปรากฏความอ่อนเพลียและทอดถอนใจสุดซึ้งวูบหนึ่ง
“หัวหน้าตระกูลขอรับ!”
เวลานี้ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินเข้ามา และนำสารลับออกมาฉบับหนึ่ง กล่าวว่ามีคนเพิ่งส่งมาถึง ระบุว่ามอบแก่หลินไหวถัง
หลินไหวหยวนมุมปากกระตุกเล็กน้อย ในใจพรั่งพรูความเจ็บปวดรวดร้าวยากจะเอ่ยวูบหนึ่ง
หลินไหวถังเป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของเขา ถูกอินทรีแดงตัวหนึ่งข้างกายหลินสวินสังหารไปนานแล้ว!
“ไม่ถูกสิ!”
ขณะรับสารลับและกำลังเปิดออก หลินไหวหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายตระหนักถึงอะไรได้ ท้ายที่สุดจึงเก็บสารลับอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาผุดลุกขึ้นและจากไปอย่างรีบเร่ง มุ่งสู่ตำหนักชำระจิต
…
“ก็ประมาณนี้แหละนะ”
ในโถงใหญ่บนตำหนักชำระจิตเวลานี้ หลินสวินเล่าประสบการณ์บางส่วนของตนในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณออกมาอย่างกระชับ
ทว่าแม้เขาพูดอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้พวกเสี่ยวเคอ หลินจง พญาแร้งยังคงตื่นตระหนกอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานไม่อาจนิ่งสงบได้
ในแดนลับอสูรมารอริยะ เขาเคลื่อนกวาดสังหารเหล่าวีรชนแต่ละเผ่า ฆ่าจนบุตรเทพทั้งมวลไม่กล้าหันปลายกระบี่เข้าใส่!
กระทั่งต่อมา เขายิ่งเอาชนะบุตรเทพชั้นยอดสี่คนด้วยตัวคนเดียวเอาชนะ กลายเป็นผู้มีชัยที่สุดในแดนลับอสูรมารอริยะ เหลือบแลแต่ละเผ่าอย่างหยิ่งทระนง!
แม้ว่าจะแตกหักกลายเป็นอริกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แม้จะถูกราชันระดับสังสารวัฏจากแต่ละเผ่าโอบล้อมในตอนท้ายสุด แต่หลินสวินยังคงหลบหนีมาได้อย่างลอยนวล หนีจากสภาพสิ้นหวังไปได้!
จากนั้นเขาผ่านน่านสมุทรทะเลใต้ แม้ถูกล้อมที่ตลาดนัดโจมเมฆาอีกครั้ง แต่กลับอาศัยยานขนส่งอวกาศมุ่งสู่ภายในสุสานสมุทรฝังมรรค รอดพ้นจากความยากลำบากอีกครา ก่อนจากมาอย่างเสรี
และในกระบวนการนี้ กลับมีสัตว์ประหลาดเฒ่าถึงแก่ความตายไม่ใช่แค่คนเดียว!
ทั้งหมดนี้ฟังแล้วเหมือนนิทานปรัมปรา เห็นได้ว่าชวนระทึกขวัญและเหลือเชื่อ หากไม่ใช่หลินสวินพูดออกมากับปากเอง อย่าว่าแต่พวกหลินจง เสี่ยวเคอเลย แม้แต่พญาแร้งผู้สติปัญญายิ่งใหญ่เสมอเกรงว่าก็ยังไม่กล้าเชื่อ
แต่เมื่อรู้ว่าตอนนี้หลินสวินได้ครอบครองพลังปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นกลางสัมบูรณ์ ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันแทบไร้คู่ต่อกร พวกหลินจงก็ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นโดยสมบูรณ์ สีหน้าหลากหลายหาใดเปรียบ
นี่สิถึงจะเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่แท้จริง!
เวลาสั้นๆ ครึ่งปี เขาได้กระโดดจากระดับมหาสมุทรวิญญาณเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งสูงสุดในตำนาน อหังการเหนือคนรุ่นเดียวกัน ประดุจดั่งราชันผงาดเหนือเหล่าวีรชน สยบข่มอริราชศัตรูในขอบเขตระดับเดียวกัน!
หากแพร่งพรายออกไป เกรงว่านครต้องห้ามคงตกอยู่ในความสั่นสะเทือนล้นฟ้าเป็นแน่
ใครเล่าจะกล้าจินตนาการ ว่าเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณเมื่อครึ่งปีก่อน มาวันนี้เมื่อกลับมาอีกครั้ง ได้ก้าวเข้าสู่ขบวนมหายุทธ์ ทั้งยังเป็นบุคคลระดับราชันสูงสุดในขอบเขต
‘มิน่าเจ้าหมอนี่ถึงได้วิปริตเช่นนี้ ที่แท้… ที่แท้แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏล้วนสังหารเขาไม่ตาย… น่ากลัวเกินไปแล้ว ในโบราณกาลมาเกรงว่าคงหาสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าเช่นเขาไม่เจอ…’
ในใจราชันอินทรีแดงมีคลื่นซัดสาด ท้ายที่สุดก็เข้าใจความน่ากลัวของหลินสวิน นี่ทำให้เวลาที่มันเผชิญหน้าหลินสวิน ก็เปลี่ยนเป็นถ่อมตนและกริ่งเกรงยิ่งกว่าเดิม
‘เขาเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เยาว์วัยเช่นนี้ก็กลายเป็นมกุฎราชันระดับหยั่งสัจจะ อีกทั้งยังซ่อนมหาศุภโชคที่ได้มาจากแดนลับอสูรมารอริยะ… ติดตามข้างกายผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเช่นนี้อย่างถวายชีวิต ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก…’
ราชันอินทรีแดงพลันตระหนักได้ มันรู้ชัดว่าหากสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ได้ ติดตามข้างกายหลินสวินไปตลอด เช่นนั้นจากนี้เมื่อหลินสวินเข้าถึงมรรค จะต้องนำมาซึ่งประโยชน์อันยากจินตนาแก่มันเป็นแน่!
ขณะนี้ราชันอินทรีแดงถูกกำราบโดยสมบูรณ์แล้ว มันเห็นถึงมหาศุภโชคจากตัวหลินสวิน หากสามารถติดตามรับใช้ จะต้องได้ผลประโยชน์อเนกอนันต์
ดังคำที่เรียกว่า หนึ่งคนบรรลุเซียน สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน!
ท่วงท่าสง่างามของหลินสวิน ทำให้ราชันอินทรีแดงมุ่งหวังว่าจะมีวันเช่นนั้นมาเยือน
“จริงสิ ครั้งนี้ต่อให้ข้าไม่กลับมา ด้วยสติปัญญาของท่านพญาแร้ง เกรงว่าก็คงจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นวันนี้สืบเนื่องต่อไปกระมัง”
ทันใดนั้นสายตาหลินสวินมองไปยังพญาแร้ง
พญาแร้งพลันยิ้มเล็กน้อย ผงกศีรษะกล่าว “ข้าซ่อนหมากตาท้ายเอาไว้จริงๆ สั่งให้จูเหล่าซานรอรับคำสั่งในที่มืด เพียงแต่ถ้าไม่ถูกบีบจนถึงที่สุด ข้าก็ไม่อยากเปิดฉากเข่นฆ่า เพราะไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในตระกูลหลินของพวกเจ้า ให้ข้าคนนอกผู้หนึ่งเข้ามายุ่ง ท้ายที่สุดยังคงหลงเหลือภัยแฝงมากเกินไป”
“ยังดีที่เจ้ากลับมาทันเวลา เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกเป็นมั่นเหมาะ”
หลินจงและเสี่ยวเคอมึนงง เวลานี้พวกเขาถึงได้ตระหนักว่า ที่แท้พญาแร้งแอบเตรียมการมากมายเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว
“นี่คือดอกหลอมวิญญาณสมุทร นำมันไปหลอม ก็สามารถขจัด ‘มารพบเคราะห์’ ในร่างท่านได้”
หลินสวินนำกล่องหยกที่ผนึกไว้ใบหนึ่งส่งให้พญาแร้ง ยิ้มน้อยๆ กล่าว “ข้าเฝ้ารอเวลาที่พลังปราณของท่านฟื้นคืนมาอย่างยิ่ง”
พริบตานั้นเอง พญาแร้งผู้เงียบสงบและสุขุมเยือกเย็นเป็นนิจถึงกับเสียอาการอย่างยากจะเห็นอยู่บ้าง ม่านตาเขาหดรัด มุมปากสั่นเทิ้ม รับกล่องหยกใบนั้นด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ว่าในใจเขาตื่นเต้นและสั่นไหวเพียงใด
เขาในปีนั้นคือมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะ เชาวน์ปัญญาไม่เป็นสองรองใคร มีมาดสง่างามภาคภูมิ ฉลาดล้ำคิดแผนวางอุบาย มีหน้ามีตาและเจิดจรัสระดับไหน มีอนาคตที่งดงามชวนให้ผู้คนอิจฉาและมุ่งหวัง
แต่หลังจากต้องพิษมารพบเคราะห์ พลังปราณถูกทำลาย ทั้งหมดนี้ล้วนหายไป!
เขากลายเป็นคนพิการที่ได้แต่นั่งบนรถเข็น ได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ ปลอบประโลมตนเองผ่านวันเวลา เดิมคิดว่าชาตินี้คงถูกผูกมัดจมดิ่งอยู่เช่นนี้ ใครเล่าจะคาดคิด หลินสวินกลับนำ ‘ชีวิตใหม่’ มอบให้แก่เขา!
สำหรับพญาแร้ง ดอกหลอมวิญญาณสมุทรต้นหนึ่งเปรียบได้กับการให้ชีวิตใหม่กับเขาอย่างแท้จริง เป็นการมอบชีวิตที่สามารถบุกตะลุยมหามรรคครั้งที่สองแก่เขา!
“ราชาปฏิบัติต่อข้าดุจเสาหลักบ้านเมือง ข้าก็จะเป็นเสนาเสาหลักบ้านเมืองตอบแทน!”
พญาแร้งปิดด่านแล้ว นี่คือคำพูดประโยคหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ก่อนจากไป ในความเคร่งขรึมจริงจังและนิ่งสงบแฝงความเด็ดเดี่ยวประการหนึ่ง
“หลินสวิน ขอบคุณเจ้ามาก” เสี่ยวเคอก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ พญาแร้งเสมือนดั่งบิดานาง นางรู้ดีว่าหลายปีนี้พญาแร้งผ่านความยากลำบากมามาก และหลินสวินสามารถมอบความหวังในการฝึกปราณใหม่อีกครั้งแก่พญาแร้ง มีหรือจะไม่ทำให้เสี่ยวเคอปิติยินดีและตื้นตันใจ
“ครูฝึก นี่คือสิ่งที่ตระเตรียมไว้แก่ท่าน”
หลินสวินหยิบกล่องหยกอีกใบออกมาเช่นเดียวกัน ภายในผนึกดาบหยกมรกตเล่มหนึ่ง เป็นสมบัติโบราณทรงอานุภาพชิ้นหนึ่งจากมือบุตรเทพเผ่ากวางหยก
ขณะเดียวกันหลินสวินยังเตรียมของขวัญสำหรับหลินจง จูเหล่าซาน และซย่าจื้อแยกกันด้วย ล้วนแต่เป็นทรัพย์หลังศึกที่เขาตักตวงกลับมาจากส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ แต่ละชิ้นต่างเป็นของล้ำค่าที่หลินสวินคัดสรรเลือกเฟ้น มูลค่ามหาศาลไม่อาจประเมิน
“จริงสิ ทำไมซย่าจื้อถึงปิดด่านอีกแล้ว” หลินสวินกล่าวถาม
“หนึ่งเดือนก่อน คุณหนูซย่าจื้อจู่ๆ ก็กล่าวว่านางจะปิดด่าน หลังจากนั้นก็เสมือนหลับใหลไป กระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมาขอรับ” หลินจงกล่าวอธิบาย
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่ง ชั่วขณะก็เข้าใจ ซย่าจื้อได้เริ่ม ‘จุติกำเนิดใหม่’ ครั้งที่สองแล้ว
ที่นางฝึกคือ ‘คัมภีร์จุตินพชาติ’ นี่เป็นวิชายุทธ์ซึ่งมีที่มาเร้นลับและน่าหวาดกลัว ดับสูญครั้งหนึ่งเสมือนตัดรากมรรควิถีทั้งปวงในอดีต ให้สิ่งนี้วิวัฒน์เป็นพลังแฝงอันยิ่งใหญ่ในร่างตัวเอง และเริ่มฝึกปราณใหม่ตั้งแต่ต้น
นี่ก็เหมือนการฝึกปราณข้ามชาติภพ อัศจรรย์และไม่อาจจินตนาการ
‘ก็ไม่รู้ว่านางจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่สองนี้ จะละทิ้งความทรงจำทั้งหมดอีกหรือไม่…’ หลินสวินผุดลุกขึ้น คิดจะไปดูซย่าจื้อ
บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้หลินสวินระลึกถึงนั้นมีไม่มาก แต่ซย่าจื้อคือคนหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อนึกถึงว่าแต่ละครั้งที่นางจุติจะตัดทิ้งซึ่งอดีต เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ในใจหลินสวินก็กังวลอยู่บ้าง ไม่อาจสงบใจได้
แต่ยังไม่รอให้หลินสวินจากไป หลินไหวหย่วนก็รีบเร่งเข้ามา นำสารลับฉบับหนึ่งซึ่งยังไม่เปิดผนึกส่งมอบแก่หลินสวิน
หลินสวินรับมาดูในมือ นัยน์ตาดำขลับพลันฉายแววไอสังหารทันที
เนื้อความสารลับเรียบง่ายยิ่ง หัวหน้าสามตระกูลรอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุร่วมกันส่งเทียบเชิญ ให้หลินไหวถังไปเยือนตระกูลหลินแห่งธารประจิมในวันนี้ยามสายัณห์ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการครอบครองภูเขาชำระจิตด้วยกัน!
เห็นชัดว่าพวกเขาล้วนคิดว่าวันนี้หลินไหวถังต้องเคลื่อนไหว ทำการชิงอำนาจ ‘บีบให้สละบัลลังก์’ ได้สำเร็จเป็นแน่ ดังนั้นค่ำนี้จึงเตรียมหารือและวางแผน ว่าต่อจากนี้จะครอบครองภูเขาชำระจิตร่วมกันอย่างไร
ที่น่าเสียดายคือ พวกเขาต่างไม่รู้ว่าหลินสวินกลับมาแล้ว และหลินไหวถังไม่มีโอกาสรับเทียบเชิญฉบับนี้นานแล้ว…
“เดิมทียังคิดหลีกทางให้พวกเจ้าดิ้นรนสักสองวัน แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ก็สะสางมันซะให้จบเถอะ!”
ฟึ่บ!
สารลับมอดไหม้ในมือหลินสวิน กลายเป็นเถ้าถ่านละลิ่วพลิ้วลอย
………………….
ตอนที่ 653 เหยียบประตูใหญ่ตระกูลหลินแห่งธารประจิม
โดย
ProjectZyphon
“อะไรนะ! คืนนี้ท่าน… จะไปร่วมงานเลี้ยงตระกูลหลินแห่งธารประจิม?”
หลินไหวหย่วนใจสั่นสะท้าน รีบห้ามปราม “ผู้นำตระกูล ไม่ได้เด็ดขาด คืนนี้ตระกูลหลินแห่งธารประจิมรวมตัวคนใหญ่คนโตของสามตระกูลรอง เรียกได้ว่าเป็นถ้ำพยัคฆ์วังมังกร ท่านเพิ่งจะกลับมานครต้องห้าม ยังไม่รู้สถานการณ์ภายในชัดเจน จะไปเสี่ยงด้วยตัวเองได้อย่างไร”
หลินจงเองก็กล่าวว่า “นายน้อย เรื่องนี้ควรคิดการณ์ไกลให้รอบคอบ”
กลับเห็นหลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าวราบเรียบ “คนใหญ่คนโตสามตระกูลล้วนรวมตัวพร้อมกันหรือ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องไปคิดบัญชีพวกมันทีละคน!”
น้ำเสียงเจือไอสังหารเย็นยะเยียบ
ปีแรกที่เข้าสู่นครต้องห้าม เขาเคยรับปากต่อหน้าธารกำนัล ให้โอกาสสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุพิจารณาครั้งหนึ่งโดยกำหนดเวลาสามปี ภายในสามปีนี้จะไม่ลงมือกับพวกเขา
เดิมทีหลินสวินคิดว่าเงื่อนไขที่ตนเสนอให้ถือว่ายอมถอยและใจกว้างมากพอแล้ว แต่บัดนี้ผ่านไปสามปี อีกฝ่ายได้เริ่มวางแผนช่วงชิงอำนาจในภูเขาชำระจิต นี่แสดงออกชัดเจนว่าพวกเขาตัดสินใจแล้วโดยมิต้องสงสัย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินสวินไหนเลยจะสามารถอดทนต่อไปอีก
หลินไหวหย่วนกล่าวลังเล “ผู้นำตระกูล ใช่ว่าข้าปากมาก เพียงแต่ท่านน่าจะทราบดี เบื้องหลังสามตระกูลนั่น… ยังมีขุมอำนาจสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน…”
ไม่รอให้พูดจบ หลินสวินก็เอ่ยเสียงเยาะหยัน “ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอะไร ก็แค่ยิ่งใหญ่คับแผ่นดินนครต้องห้ามเล็กๆ นี้เท่านั้น”
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลแทนข้า รอเมื่อข้าเหยียบประตูใหญ่ของตระกูลหลินแห่งธารประจิม ดูซิว่าพวกเขายังจะทำอะไรข้าได้! หากพวกเขาไม่ให้คำอธิบายที่น่าพึงใจแก่ข้า ก็อย่าหาว่าข้าขจัดญาติผดุงความเป็นธรรมเลย!”
แม้น้ำเสียงหลินสวินจะเป็นปกติ แต่พวกหลินไหวหย่วน หลินจง เสี่ยวเคอกลับฟังออกถึงความอาจหาญเหยียดหยันใต้หล้าจากปากเขา
สองตระกูลจั่ว ฉินซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลแห่งจักรวรรดิ เวลานี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาหลินสวิน แค่จุดนี้ก็น่าอัศจรรย์แล้ว
แต่นี่ก็เป็นความจริง หากสุ่มเลือกเผ่าใดเผ่าหนึ่งในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณออกมา ล้วนเพียงพอที่จะบดขยี้อำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงใดๆ ก็ได้ตระกูลหนึ่งอย่างสบายๆ และในตอนนั้นหลินสวินยังสังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่าเยี่ยวหดตดหาย แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏล้วนไม่อาจทำอะไรเขาได้
ดังนั้นต่อให้สองตระกูลจั่วและฉินแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จะแกร่งกว่าขุมอำนาจพวกนั้นได้หรือ
กล่าวได้ว่าผ่านประสบการณ์ในทะเลกลืนวิญญาณครั้งนี้ ทำหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์จริงๆ
เขาก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังอ่อนแอกระจ้อยร่อย ได้แต่อาศัยกลวิธีบางอย่างมาป้องกันตนเองขณะเผชิญหน้าความอัปยศอดสู การโจมตีและการแก้แค้น ที่ควรอดกลั้นก็ได้แต่อดทน
เขาในเวลานั้นไม่ว่าจะเสียใจ ผิดหวังหรือเป็นทุกข์ มุมปากยังคงแขวนประดับรอยยิ้มสดใสอำพรางความรู้สึกภายในใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองกระอักกระอ่วนเกินไป
แต่หลินสวินในตอนนี้ผ่านการเคี่ยวกรำอันตรายนานัปการ หลังก้าวสู่มรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง มุมมองและวิสัยทัศน์ได้ต่างไปจากอดีตที่ผ่านโดยสมบูรณ์!
นครต้องห้ามก่อนหน้านี้ แต่ละตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงประดุจสิ่งใหญ่โตมหึมา ทำเอาหลินสวินล้วนไม่กล้าแข็งขืนปะทะอย่างจริงจัง
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่หวั่นเกรงอะไรแล้ว
‘นายน้อยเปลี่ยนไปแล้ว เสมือนดั่งคนใหญ่คนโตที่แท้จริง สายตากว้างขวาง หยิ่งทระนงไม่แยแส ราวกับกระบี่วิเศษที่ผ่านพันค้อนร้อยหลอม และเผยความคมกริบไร้เทียมทานแก่โลกหล้าในยามนี้!’
หลินจงใจลอย ตั้งแต่วันแรกที่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม กระทั่งปัจจุบันก็ผ่านไปประมาณสามปี
ในสามปีหลินจงแทบจะมองดูว่าหลินสวินผงาดขึ้นทีละก้าวอย่างไร ทั้งเปลี่ยนเป็นทรงพลังยิ่งขึ้นทีละก้าวเช่นไร
มาบัดนี้ บางทีหลินสวินอาจเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดคนหนึ่ง แต่ประสบการณ์และความจัดเจนของเขา พลังที่สามารถควบคุมได้ ล้วนเพียงพอที่จะเรียกอย่างภาคภูมิว่า ‘มหายุทธ์’! เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่แท้จริงคนหนึ่ง สามารถเหยียดหยันคนในระดับขอบเขตเดียวกัน อหังการทะนงตัว!
อย่างน้อยที่สุดในนครต้องห้ามตอนนี้ หลินสวินเหนือกว่าคนวัยเดียวกันอยู่โข ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตบางส่วน ก็เกรงว่ายังยากจะมีชัยได้
“ที่นายท่านกล่าวมาทั้งหมดคือที่สุด การฝึกปราณของพวกเรา จิตใจเปรียบดั่งเหล็ก อิทธิพลที่เรียกทั้งหมด ไม่ว่าจะเงินทองและความมั่งคั่ง ท้ายที่สุดล้วนแต่ว่างเปล่า มีเพียงพลังแห่งตนซึ่งยึดกุมไว้มั่น จึงจะเป็นรากฐานแห่งความยิ่งใหญ่นิรันดร์อย่างแท้จริง!”
ราชันอินทรีแดงที่อยู่อีกฟากกล่าวชื่นชม “ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านสู้ศึกในทะเลกลืนวิญญาณนานครึ่งปีด้วยตัวคนเดียว สังหารจนวีรชนคนกล้าแต่ละเผ่าถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี ราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งไม่อาจทำอะไรได้ พลังเช่นนี้มีหรือจะให้พวกมีอิทธิพลทางโลกพวกนั้นมาสบประมาทและดูหมิ่นได้”
พูดถึงตรงนี้ มหายุทธ์ชั้นยอดในหมู่อสูรมารบำเพ็ญตนนี้ถึงกับตื่นเต้นไม่หยุด กล่าวเสียงมีพลังกึกก้อง “สมัยบรรพกาล อัครบุคคลผู้หนึ่งเพียงขยับมือก็สามารถทำลายล้างผืนพิภพฟากหนึ่งได้ แค่ดีดนิ้วสามารถทำให้สุริยันจันทราจมดิ่ง สิ่งที่พึ่งพาล้วนเป็นพลังแห่งตน! ส่วนอิทธิพล ความมั่งคั่งและฐานะพวกนั้น สำหรับพวกเราก็แค่เพียงม่านหมอกผ่านตาเท่านั้น”
คำพูดพวกนี้ทำเอาหลินสวินเองยังอดประหลาดใจไม่ได้ ราชันอินทรีแดงครอบครองพลังปราณสูงสุดในระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ไม่ธรรมดาจริงๆ ดังคาด อย่างน้อยที่สุดในด้านมุมมองความรู้ความเข้าใจก็เหนือธรรมดา
พวกหลินไหวหย่วน หลินจงต่างเงียบงัน พวกเขาล้วนตระหนักได้ว่า หลังหายไปครึ่งปี หลินสวินต่างจากที่ผ่านโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว
“ผู้นำตระกูล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ข้าจะไปเยือนพร้อมกับท่าน!”
หลินไหวหย่วนสูดหายใจลึก อาสาต้านศึกด้วยตนเอง
“นายน้อย พาข้าไปด้วยเถอะ”
หลินจงเองก็มองไปยังหลินสวิน
เห็นว่าเสี่ยวเคอเองหมายเอ่ยปาก หลินสวินกล่าวในบัดดล “ไม่จำเป็น ราชันอินทรีแดงไปกับข้าก็เพียงพอแล้ว คนไปมากกลับทำให้พวกเขาดูถูกข้าหลินสวิน!”
อันที่จริงหลินสวินตัดสินใจเช่นนี้ เพราะกังวลว่าหากหลินไหวหย่วนและหลินจงไปด้วยแล้ว จะไม่อาจฝืนทนเห็นการนองเลือดที่เกิดขึ้นอย่างน่าสังเวชได้ และเอ่ยปากห้ามปรามเขา
ถึงอย่างไรสำหรับผู้อาวุโสเช่นพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ ก็ยังมีสายเลือดตระกูลหลินไหลเวียน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทนเห็นเหตุการณ์น่าอนาถฆ่าฟันกันเองจำพวกนี้เกิดขึ้น
แต่หลินสวินกลับจำเป็นต้องทำเช่นนี้!
ภัยแฝงนี้เสมือนเนื้อร้าย หากไม่ขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก วันหน้าจะต้องปะทุภัยพิบัตินานัปการไม่อาจคาดเดา
หลังจากนั้นหลินสวินยังถามถึงท่านปู่ห้าหลินเป่ยกวง หรือก็คือบิดาของหลินไหวหย่วน
จากนั้นเขาจึงได้รู้ว่าที่แท้หลินเป่ยกวงออกเดินทางไกลไปแล้ว และนานมากแล้วที่ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมา
…
เย็นย่ำ ยามสายัณห์มาเยือน
ณ ตระกูลหลินแห่งธารประจิม โถงใหญ่ของตระกูลแสงโคมสุกสว่างเรืองรอง บุคคลสำคัญชั้นแนวหน้าของสามตระกูลรอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุมารวมตัวกัน ร่ำสุราพูดคุยสัพเพเหระอย่างปราศจากกังวล รื่นเริงสนุกสนาน แต่ละคนสบายอกสบายใจ ความรู้สึกปิติยินดีสุดจะบรรยาย
“ทุกท่าน ครึ่งปีก่อนพวกเรากระสับกระส่ายหวาดผวา ถูกเจ้าลูกหมาหลินสวินนั่นบีบถึงขั้นยากแค้น เกือบตกต่ำดั่งสุนัขไร้เจ้าของ ตอนนี้พวกเราผงาดขึ้นใหม่ ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จวนเจียนจะได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานบนภูเขาชำระจิต ส่วนเจ้าลูกหมาหลินสวินนี่ไม่รู้ไปตายที่ไหนในทะเลกลืนวิญญาณ นี่มันช่างน่าสะใจยิ่งนัก! มาๆๆ ทุกท่าน พวกเราร่วมยกจอกสุรา ดื่มให้หมดจอก!”
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งยอดวายุหลินผิงตู้ชูจอกสุรา เปล่งเสียงหัวเราะลั่น
ทุกคนตอบรับสนั่นหวั่นไหว พากันยกจอกสุราขึ้นมา
“ที่ผิงตู้กล่าวมาไม่เลว แต่เหตุการณ์ยังขาดก้าวย่างสุดท้าย พวกเราไม่อาจประมาทเด็ดขาด รอหลินไหวถังมาแล้ว พวกเราค่อยยกจอกสุรายินดีก็ยังไม่สาย”
ในฐานะหัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิม หลินเทียนหลงยังรักษาสติ เพียงแต่แม้จะกล่าวเช่นนั้น ส่วนลึกในนัยน์ตาเขาก็ยังมีความได้ใจไม่อาจปกปิดไหววูบอยู่
ทุกวันนี้บนภูเขาชำระจิตอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ศึกนอกศึกในเข้าปะทะ ล่อแหลมอันตราย และทั้งหมดนี้ล้วนมาจากน้ำมือของพวกเขา!
ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังพวกเขายังมีสองตระกูลจั่ว ฉินสนับสนุน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การยึดภูเขาชำระจิตก็ง่ายดายเหมือนดั่งล้วงของในถุงหนัง
ด้วยประการฉะนี้ ในใจหลินเทียนหลงมีหรือจะไม่เกิดความกระหยิ่มยิ้มย่องและปิติยินดี
ช่วงที่หลินสวินยังอยู่นครต้องห้าม กดจนพวกเขาสามตระกูลต่างหายใจไม่สะดวก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ดาวหายนะอย่างหลินสวินนี่ในที่สุดก็สิ้นชีพ ส่วนพวกเขาก็หวนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง!
“พี่ใหญ่เทียนหลง ตอนข้าเดินทางมาร่วมงานเลี้ยง ได้ยินทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองคนหนึ่งพูดว่า มีคนเห็นเงาร่างของหลินสวินปรากฏตัว”
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งคานเมฆาหลินเนี่ยนซานพลันเอ่ยปาก ทำเอาผู้คนมากมายหนังตากระตุกอย่างอดไม่อยู่ บรรยากาศที่เดิมเบิกบานปรองดองปรากฏความเงียบชั่วขณะ
“เป็นไปไม่ได้ เนี่ยนซานเจ้าดื่มเยอะไปแล้ว อย่าไปฟังทหารยามชั้นต่ำพวกนั้นพูดเหลวไหล ข่าวลือในจักรวรรดิแปดเก้าส่วนล้วนเป็นพวกมันปล่อยออกไปเอง คำพูดของพวกมันจะเชื่อถือได้อย่างไร”
หลินเทียนหลงยิ้มเยาะ “ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวที่ว่าเจ้าลูกหมาหลินสวินสิ้นชีพในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ ได้รับการยืนยันจากราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ! ตัวหายนะอย่างเขาหากสามารถรอดชีวิตจากการไล่สังหารของราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งกลับมา ให้ข้าปาดคอฆ่าตัวตายยังได้!”
ทุกคนพลันหัวเราะลั่นทันที
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าเด็กหลินสวินนั่นหายไปครึ่งปีเต็ม สองสามเดือนก่อนถูกยืนยันว่าตายในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ ไหนเลยจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้
แต่ในเวลานี้ น้ำเสียงนิ่งสงบเย็นชาหนึ่งดังมาจากทางเข้าโถง
“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นเจ้าก็ปาดคอฆ่าตัวตายซะเถอะ!”
ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงแข็งค้าง คนใหญ่คนโตทั้งหมดต่างขมวดคิ้ว ประหลาดใจอยู่บ้าง
ในโถงใหญ่ครานี้รวมตัวคนใหญ่คนโตชั้นแนวหน้าของสามตระกูลรองธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ ใครถึงกับกล้ากระทำการยั่วยุในเวลาเช่นนี้
ภายใต้สายตาที่จับจ้อง หลินสวินในชุดสีขาวพระจันทร์ รูปร่างสูงสง่า สองมือไพล่หลังพลันปรากฏตัวที่ทางเข้าโถง
บนบ่าเขายังมีอินทรีแดงตัวหนึ่งยืนเกาะอย่างหยิ่งผยอง เชิดศีรษะมองโดยรอบ
พริบตานั้นพวกหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน หลินเฟยเฟิงต่างแข็งทื่อไปทั้งร่าง ราวอสนีบาตฟาดผ่าก็ไม่ปาน ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
หลินสวิน?
เขา เขา… นึกไม่ถึงเลยว่ายังมีชีวิตอยู่?
นี่เห็นได้ชัดว่ากะทันหันเกินไป ประหนึ่งเป็นการล้อเล่นใหญ่โตโดยสิ้นเชิง ทั้งราวถูกคนฟาดกระบองใส่อย่างหนักหน่วง ทำเอาพวกเขาต่างงุนงง
แต่พวกคนที่ไม่รู้จักหน้าตาหลินสวินเหล่านั้นล้วนสีหน้าอึมครึม เด็กหนุ่มคนหนึ่งถึงกับกล้ามายั่วยุถึงถิ่นในเวลาเช่นนี้ รนหาที่ตายจริงๆ!
“ผู้คุ้มกันล่ะ! พวกเจ้าตาบอดใช้การไม่ได้รึไง ทำไมให้คนนอกบุกเข้ามาตามใจชอบ? ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!”
ผู้อาวุโสแห่งธารประจิมคนหนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้น เปล่งเสียงตวาดลั่น
แต่ที่เกินคาดหมายคือด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีคนคุ้มกันสักคนตอบกลับ
นี่ทำให้เขาบันดาลโทสะยิ่งกว่าเดิม ตัดสินใจลงมือด้วยตนเอง สายตาเย็นเยียบจ้องมองหลินสวินพลางกล่าว “ไอ้หนู เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ใด ใช่ที่ที่เจ้าสามารถมาโอหังได้รึ? รีบไสหัวไปให้ข้าซะเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น…”
ฟึ่บ!
ไม่รอให้เขาพูดจบ ภายใต้สายตาจับจ้องอย่างตื่นตะลึงของทุกคน อินทรีแดงซึ่งอยู่บนบ่าเด็กหนุ่มนั่นพลันขยับ ประดุจสายฟ้าสีชาดแดงวูบผ่าน พุ่งทะยานออกมาชั่วพริบตา
………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น