Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 633-639

 ตอนที่ 633 ล้วนเป็นหมัดเดียวที่มอบให้

โดย

ProjectZyphon

เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งยิ่ง!


หลันเทียนฉีมีความสามารถพอจะกลายเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดได้ ประสบการณ์ในการต่อสู้ย่อมมีล้นเหลือ เพียงการโจมตีครั้งเดียวก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ค่อนข้างยากต่อกร


เพียงแต่คิดหัวแทบระเบิดเขาก็คิดไม่ออก ในบรรดาขุมอำนาจแต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ มีบุคคลเก่งกาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นเมื่อไรกัน


ไฉนก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน


แต่หลันเทียนฉีไม่มีเวลาคิดมาก ในการโจมตีครั้งที่สอง เขาเรียกอาวุธของตนออกมา เป็นดาบศึกที่รายล้อมด้วยรัศมีสายฟ้าสีเงินโชติช่วงเล่มหนึ่ง


ดาบกลืนอสนี!


สมบัติเก่าแก่อันแกร่งกล้าชิ้นหนึ่ง ประทับด้วยพลังแห่งอสนีศึกวิญญาณสีเงิน เปี่ยมด้วยพลังแห่งการทำล้ายล้าง ต่อให้เป็นในน่านสมุทรทะเลใต้ ดาบเล่มนี้ก็ยังเลื่องชื่อลือชา


เพราะนี่คืออาวุธบรรพบุรุษชิ้นหนึ่งในเผ่าของหลันเทียนฉี เล่าลือว่าในยุคบรรพกาล ดาบนี้ยังเคยย้อมด้วยโลหิตแห่งอริยะที่แท้จริง อานุภาพมิอาจวัดได้


“หลันเทียนฉีถึงกับงัดสมบัติลับออกมาใช้!”


ผู้คนในโถงใหญ่ต่างตกตะลึง ยิ่งตระหนักได้ว่าหลันเทียนฉีทำเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่ารับรู้ถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นศัตรูตัวฉกาจ


สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ แม้จะเป็นดังนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังคงตั้งรับมือเปล่า!


เขามั่นใจในว่าสามารถต่อกรกับหลันเทียนฉีได้โดยไม่ต้องพึ่งสมบัติใดๆ หรือ


ผู้คนสะท้านใจ


พวกเขาไม่รู้ว่ายามอยู่ในอาศรมเก่าแก่ของแดนลับอสูรมารอริยะ ยามที่เอาชนะพวกหนิวทุนเทียนนั้น หลินสวินสู้สี่รุมหนึ่งด้วยการใช้มือเปล่าเช่นเดียวกัน!


หลินสวินในตอนนั้นยังอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นเท่านั้น ส่วนเขาในตอนนี้ ได้เหยียบย่างสู่หยั่งสัจจะขั้นกลางแล้ว ความแข็งแกร่งทั่วกายบังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ไม่เหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป


“ฟ้าคำรามพิฆาต!”


หลันเทียนฉีตะโกนลั่น เปล่งเสียงกึกก้อง พลันเห็นลำแสงดาบแล่นปราดผ่านอากาศดังฟึ่บ ห้วงอากาศถูกทลายแหลก แสงดาบสว่างจ้าพราวตาสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศบางเบา


ชั่วขณะเดียวประดุจเคราะห์อสนีฟาดลงมาจากฟากฟ้า หมายทำลายล้างพิภพ!


กลิ่นอายน่าหวาดกลัวนั้นทำให้ฝูงชนหนังศีรษะชาวาบ แทบหยุดหายใจ น่ากลัวเกินไปแล้ว การโจมตีครั้งนี้หากใช้กับพวกเขา พวกเขาต่างไม่รู้ว่าควรหลบเลี่ยงอย่างไร


แม้ว่าจะเป็นชิงอวิ๋นหยางที่มั่นใจในตัวหลินสวินยิ่งยวด เวลานี้ก็ยังหวั่นไหว เขารู้จักหลันเทียนฉีดี คนผู้นี้ถึงแม้ดุร้ายโหดเหี้ยม ทว่าพลังการต่อสู้กลับเรียกได้ว่าน่ากลัวดุดันอย่างแท้จริง


อีกทั้งในฐานะบุตรเทพชั้นยอดผู้หนึ่ง ในน่านสมุทรทะเลใต้ คนคนนี้พวกเหี้ยมโหดที่ทำให้คนในรุ่นเดียวกันต้องหลบเลี่ยงเพียงได้ยิน


และตอนนี้เขาจู่โจมด้วยพลังทั้งหมด เรียกสมบัติลับออกมา สำแดงวิชาลับ ท่าทางเผด็จการไร้ขอบเขตเช่นนั้น ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อาจสงบลงได้


แล้วหลินสวินเขา…จะสามารถสกัดกั้นได้หรือ


ปัง!


กลับเห็นเรือนผมสีดำของหลินสวินแผ่วพลิ้ว สีหน้าเรียบเฉย สงบนิ่งไม่ไหวติง เผชิญหน้ากับการจู่โจมแสนสะพรึงระดับนี้ เขาไม่แม้แต่จะขยับมือ เพียงสาวเท้าไปหนึ่งก้าวเท่านั้น


ก้าวเดียว!


กลับมีเสียงมังกรคำรามกึกก้องขึ้น ชือน้ำแข็งขาวหิมะปรากฏขึ้นประหนึ่งมีชีวิต แหงนเงยขึ้นเวหา ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งบรรพกาลที่ยากจะพรรณนา


ภาพนี้กลับเป็นเหมือนสัตว์เทพบรรพกาลอย่างแท้จริงตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้น พร่างพราวตาเสมือนหิมะน้ำแข็ง ทั้งยังมีกลิ่นอายเฉยชาสง่างามที่หมิ่นแคลนทุกสรรพชีวิต


ชั่วขณะนั้นทั้งโถงต่างมีสีหน้าขาวซีด จิตใจประหวั่นไม่สงบ ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนกกับกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากเงามายาชือน้ำแข็งตัวนั้น


ฮูม!


เสียงคำรามกึกก้อง ชือน้ำแข็งทะยานฟ้า ร่างม้วนเกลียวอาจองดั่งหิมะน้ำแข็ง บดขยี้เงาดาบแสงอสนีทั่วฟ้าให้เป็นผุยผงอย่างง่ายดาย กลายเป็นละอองแสงสาดกระเซ็น


ตูม!


ในขณะเดียวกัน ฝั่งหลันเทียนฉีเองก็ราวกับถูกอสนีบาต ร่างกายสั่นสะท้าน ง่ามนิ้วหัวแม่มือสั่นเทา ดาบกลืนอสนีร้องโหยหวนไม่ขาดสาย เกือบจะหลุดลอยออกจากไปมือ


ชั่วขณะนั้นสีหน้าหลันเทียนฉีพลันเปลี่ยนไป เคร่งเครียดเป็นประวัติการณ์ นี่คือศัตรูตัวฉกาจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรุ่นเดียวกัน!


นับตั้งแต่ฝึกปราณจวบจนบัดนี้ เขาเองก็เคยแลกเปลี่ยนเรียรู้ซึ่งกันและกันกับบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดไม่น้อย แต่ยังไม่เคยพานพบคนที่น่ากลัวเฉกเช่นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นเลยสักคน!


เจ้าหมอนั่นก็เหมือนกับหุบเหว ลึกสุดหยั่ง คาดเดามิได้ ทำให้ผู้คนพรั่นใจ


เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ดุจดั่งเผชิญหน้ากับผู้เป็นราชัน แม้พลังอำนาจของเขาจะราบเรียบ ความแข็งแกร่งแห่งพลังกลับมิอาจวัดได้!


เมื่อมองไปยังคนอื่นๆ ในโถง ทุกคนล้วนแน่นิ่งประหนึ่งเป็นรูปปั้นดินเหนียว แม้แต่ลั่วหยา เว่ยซางและไล่อวิ๋นเซินที่เคยพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของหลินสวินต่างก็สั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น ภายในใจมีความหวาดกลัวใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง!


จวบจนบัดนี้พวกเขาถึงได้รู้ การปะทะกับเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนหน้านี้ แม้พวกเขาจะถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว แต่อีกฝ่ายก็เก็บงำพลังที่แท้จริงเอาไว้อยู่อีกโข!


หากตอนนั้นอีกฝ่ายมิได้ออมมือละก็…


เมื่อนึกถึงตรงนี้พวกเขาต่างสั่นไปทั้งร่าง ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงเกินไป ทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดต่อไปอีก


‘มิน่าเล่า ไม่ว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นหรือบุคคลโดดเด่นรุ่นเยาว์พวกนั้น ต่างก็เรียกขานเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มเทพมาร…’


ชิงอวิ๋นหยางลอบกำหมัดแน่น ภายในใจสั่นสะท้านและฮึกเหิม ผู้แข็งแกร่ง! นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง! ไม่ว่าเจ้าจะมีวิชานับพัน มรดกลับนับหมื่น ข้าจะทำลายมันด้วยพลังแห่งข้าเอง!


“ยังเหลือการโจมตีครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่ออมมืออีกแล้ว!”


หลันเทียนฉีสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและบ้าคลั่ง


อานุภาพของเขาแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ประดุจพายุก็ไม่ปาน หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แกร่งขึ้นเรื่อยๆ น่าสะพรึงขึ้นทุกขณะ ทั่วสรรพางค์พรุ่งพรูแสงอสนีที่ประหนึ่งของเหลวชุ่มฉ่ำ พร่างพราวเจิดจ้า ทำให้ผู้คนมิกล้าฝืนมอง


ตูม!


หลังจากเสียงดังกระหึ่ม ผู้คนก็ตระหนักได้ทันใดว่าหลันเทียนฉีบรรลุขั้นแล้ว!


เขาถึงกับกระโดดจากระดับหยั่งสัจจะขั้นกลาง ย่างกรายสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงในเวลานี้ ความแข็งแกร่งทั่วกายเกิดการเลื่อนชั้นขึ้นทั้งหมด!


“ข้าหลันเทียนฉีฝึกปราณมาจนบัดนี้ ทุกวันล้วนเคี่ยวเข็ญฐานมรรคแห่งตน ควบคุมขอบเขต ล้วนทำเพื่อชิงหนทางแห่งมหามรรคอันสมบูรณ์แบบในการต่อสู้มหามรรคหลังจากนี้ และวันนี้เจ้าโชคดียิ่งนัก ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ครั้งหนึ่งบนเส้นทางสายนี้ของข้าด้วยตาตัวเอง”


หลันเทียนฉีท่วงท่าน่าเกรงขามและเย็นชา นัยน์ตาพรั่งพรูด้วยพายุสายฟ้า พลานุภาพสั่นสะเทือนโถงใหญ่ ทำให้ทุกผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันและอึดอัด


“แต่ว่า เจ้าเองก็เคราะห์ร้ายเช่นเดียวกัน การโจมตีครั้งที่สามนี้จะตัดสินแพ้ชนะ และเจ้า… ถูกลิขิตให้วางวายภายใต้มรรคาแห่งข้า!”


น้ำเสียงเย็นชาเปี่ยมด้วยกลิ่นอายเข่นฆ่ากึกก้องทั่วโถง สีหน้าของหลันเทียนฉีเยือกเย็นอย่างหาได้ยาก แต่กลับมีความถือดีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเสี้ยวหนึ่ง


นี่คือบุคลิกแห่งบุตรเทพชั้นยอด เป็นความเชื่อมั่นศรัทธาหาต่อมรรคาแห่งตนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นี่ก็เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงพึงมีอย่างหนึ่งเช่นกัน


บางทีอุปนิสัยของพวกเขาไม่เหมือนกัน บุคลิกพฤติกรรมแตกต่างกัน แต่พวกเขาต่างมีความมั่นใจและยึดมั่นที่เหนือกว่าปกติต่อมรรคาของตัวเอง


ผู้คนหัวใจสั่นสะท้าน ไม่มีใครไม่ถูกบำราบให้สั่นสะเทือน


“หากเจ้าสามารถสกัดการโจมตีครั้งนี้ของข้าได้ ค่อยว่ากันอีกทีก็ยังไม่สาย”


นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ จวบจนขณะนี้ เขาถึงได้เกิดความสนใจจะต่อสู้ ค่อยๆ โคจรวิชาอริยะยุทธ์


ตูม!


ครั้งนี้หลินสวินเป็นฝ่ายลงมือก่อน ซัดหมัดโจมตีออกไปทันที


เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ธรรมดาสามัญ ทว่ากลับทรงพลังแสนบีบเค้นหัวใจผู้คน ดุจดั่งสามารถข้ามผ่านกาลเวลา สั่นคลอนทุคติ!


นี่คือความเร้นลับอันเป็นเนื้อแท้แห่งการต่อสู้ หลอมรวมเข้ากับแก่นอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ใช้ได้อย่างคล่องมือประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แก่นแท้ที่อยู่ในนั้นบรรลุถึงระดับหวนคืนสู่รากฐานเดิมซึ่งเป็นขั้นสูงสุดอย่างหนึ่ง


เสียงดังไซร้ไร้สรรพเสียง สัณฐานพลันไร้ลักษณ์


หมัดนี้ก็เช่นกัน ปราศจากภาพอันโชติช่วงชัชวาลที่รุนแรง และไม่มีการเคลื่อนไหวสนั่นโลก


ทว่าทันทีที่หมัดนี้ซัดออกไป ห้วงอากาศราวกับกระดาษที่ถูกทึ้งอย่างดุดัน ทัศนียภาพทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าทุกคนล้วนราวกับกำลังพังพินาศยับเยิน จมลงภายใต้การผลาญทำลาย มีเพียงหมัดเดียวที่เหมือนดั่งนิรันดร์กาล เปี่ยมล้นเต็มนัยน์ตา!


“นี่…”


หัวใจของทุกผู้คนแทบจะร่วงหล่น จมไปกับพลังอำนาจของหมัดนี้อย่างสมบูรณ์ มองไม่เห็นสรรพสิ่งอีกเลย รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายอันรุนแรงอย่างหนึ่ง


ควรรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงผู้ชมข้างๆ เท่านั้น เป้าหมายของหมัดนี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเขาแม้แต่น้อย ทว่ายังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพวกเขาเยี่ยงนี้


แค่คิดก็รู้ว่าหมัดนี้น่ากลัวมากเพียงใด


หลันเทียนฉีเองก็หน้าเปลี่ยนสี จิตใจสั่นคลอน เดิมทีคิดว่าหลังจากตนบรรลุขั้นแล้ว ก็เพียงพอจะสยบอีกฝ่ายลงได้อย่างเด็ดขาด


ทว่ายามที่เผชิญหน้ากับหมัดนี้ เขาถึงพบว่าตัวเองผิดไปแล้ว ผิดถนัด!


เขาขนลุกขนชันไปทั้งร่าง นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง เป็นความรู้สึกตอบสนองต่ออันตราย กระทั่งจิตวิญญาณ จิตต่อสู้ สภาพจิตใจของเขา ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น


เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถึงกับมีแรงกระตุ้นรุนแรงให้หลบเลี่ยง ไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับหมัดนี้!


นี่ยังเป็นพลังที่ระดับหยั่งสัจจะสามารถสำแดงออกมาได้อยู่อีกหรือ


ทุกสิ่งนี้ว่าไปแล้วเหมือนเชื่องช้า ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นไวมาก ไวเสียจนทำให้หลันเทียนฉีไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านแม้แต่น้อย


นี่เป็นการโจมตีครั้งที่สาม!


ตามข้อตกลง เป็นสิ่งที่ใช้ตัดสินผลแพ้ชนะ มีหรือจะถอยหลีกได้


“ฆ่า!”


หลันเทียนฉีคำรามอย่างเดือดดาล พลังทั่วร่างถูกเร่งเร้า ใช้วิธีที่แทบจะเป็นการทำลายตัวเองรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในหนึ่งดาบ พุ่งฟันสังหารออกมาอย่างรุนแรง


พริบตานั้นหลันเทียนฉีมีความรู้สึกว่าทั่วสรรพางค์กายถูกสูบพลังจนเกลี้ยง เขารู้ดี การโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินไป ตนเพิ่งเลื่อนขั้น ต่อให้กำชัยได้ในท้ายที่สุด ก็ยังคงสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของตนอยู่ดี


ทว่า…


ขอเพียงพิชิตอีกฝ่ายได้ ทุกอย่างนี้ก็คุ้มค่า!


เพียงแต่ขณะที่การโจมตีนี้ปะทะกันอย่างแท้จริง หลันเทียนฉีกลับพบว่า ท้ายที่สุดตนเองก็ยังผิดอยู่ดี…


ตูม!


แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกระจาย หมัดสะท้านภูผาธารา ของประดับตกแต่งทั้งหมดในโถงใหญ่แห่งนี้ล้วนถูกทำลายแหลกสลาย ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้เคียงจำนวนมากหลบเลี่ยงไม่ทันยิ่งได้รับผลกระทบ ถูกซัดกระเด็นออกไปจนร้องโหยหวน


ภาพนั้นราวกับมีพายุรุนแรงอุบัติขึ้น ทำให้ทั่วทั้งโถงอลหม่าน


ตึง!


เมื่อเสียงดังสนั่นทั้งปวงหายไป ก็เห็นร่างของหลันเทียนฉีคล้ายกับภูเขาที่ไม่อาจรับน้ำหนักไหว พังครืนโดยพลัน ทรุดล้มลงกับพื้น


ริมฝีปากของเขากระอักเลือด กล้ามเนื้อทั่วร่างสั่นเทิ้ม สีหน้าขาวซีดราวกับโปร่งใส มีสัญญาณแห่งอาการบาดเจ็บปางตายไปทั้งตัว อ่อนแอถึงที่สุด


ทุกผู้คนเบิกตากว้าง กัดฟันแน่น เพียงหมัดเดียวก็สยบบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหลันเทียนฉีคนนี้เอาไว้ได้!


เมื่อมองไปที่หลินสวินอีกครั้ง ยืนอย่างสันโดษ อาภรณ์หมดจดเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นลุ่มลึกเย็นชาและราบเรียบ ท่วงท่าที่เป็นเอกเทศเช่นนั้นประดุจดั่งผู้เป็นราชัน หมิ่นแคลนสรรพสิ่ง


“ข้า… ข้าถึงกับ… แพ้แล้ว…”


หลันเทียนฉีเปล่งเสียงแหบพร่า ราวกับว่าไม่สามารถยอมรับได้ สีหน้ามึนงง ตำแหน่งที่เขาคุกเข่าลงอยู่ต่อหน้าชิงอวิ๋นหยางพอดิบพอดี


ครู่ต่อมาเบื้องหน้าสายตาเขาก็เป็นสีเทาสลัวทั้งผืน


“เจ้าเป็นใคร… เหตุใด… เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้”


เนิ่นนานให้หลัง หลันเทียนฉีพยายามขัดขืน เหลือบตาขึ้นมองไปทางอีกฝ่าย กลับพบว่าในโถงว่างเปล่าไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกับชิงอวิ๋นหยางจากไปตั้งแต่เมื่อไร


“แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้… แพ้อย่าง… น่าอนาถจริงๆ…”


หลันเทียนฉีเย้ยหยันตนเอง น้ำเสียงอู้อี้เปี่ยมด้วยความท้อแท้และสิ้นท่า


ผู้คนในโถงใหญ่เงียบกริบ สีหน้าอึมครึมไม่สงบ สภาพอารมณ์ภายในใจยังคงมิอาจสงบลงได้ พวกเขามองไปทางหลันเทียนฉี อดรู้สึกทุกข์ใจไปด้วยไม่ได้


บุตรเทพชั้นยอดผู้หนึ่ง พราวตาสง่าผ่าเผยเพียงใด ทว่ายามนี้กลับตกต่ำน่าเวทนาจนพาให้ผู้คนสะเทือนอารมณ์!


และทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะหมัดเดียวที่มอบให้!


เด็กหนุ่มคนนั้น เป็นใครกันแน่?


——


ตอนที่ 634 สถานการณ์พลิกผันได้ทุกเมื่อ

โดย

ProjectZyphon

ตลาดนัดโจมเมฆาอันรุ่งเรืองยังคงคึกคักเหนือธรรมดาเหมือนเช่นเคย


หลินสวินและชิงอวิ๋นหยางอยู่ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่าน


การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเหมือนเชื่องช้า ในความเป็นจริงกลับกำลังทะยานตัวพุ่งออกเกาะโจมเมฆาด้วยความเร็วอันว่องไวยิ่งยวดอยู่


‘เจ้าพวกนั้นถึงจะอวดภูมิไปหน่อย แต่ก็มิได้เลอะเลือน เกรงว่าอีกไม่นานคงจะคาดเดาตัวตนของข้าออกแล้ว ตอนนี้เจ้ากลัวหรือไม่’


หลินสวินรุดหน้าไปพลาง สื่อจิตถามชิงอวิ๋นหยางไปพลาง ‘หากให้พวกเขารู้ว่าเจ้ากับข้ามีความเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นที่ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดาแล้ว’


‘ไม่กลัว!’


สีหน้าชิงอวิ๋นหยางเยือกเย็น ‘เผ่าตะพาบเขียวของข้าถึงแม้จะเสื่อมถอย ทว่าก็ไม่ใช่คนที่ใครๆ จะมาข่มเหงได้ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ผู้อาวุโสชิงเลี่ยของเผ่าเราได้หวนกลับมาแล้ว มีผู้อาวุโสอย่างอยู่ทั้งคน ใครคิดจะต่อกรพวกเราคงต้องชั่งใจดูสักหน่อย’


เขาสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ‘รอหลังกลับเผ่าคราวนี้ก่อนข้าก็จะปิดด่าน ภายในสิบปี จะต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงให้จงได้!’


ชิงอวิ๋นหยางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สภาวะจิตใจของเขาต่างไปจากเมื่อก่อนเป็นที่เรียบร้อย มีความเชื่อมั่นอันแน่วแน่และยืนหยัดเพิ่มขึ้นมา


ดังคำกล่าวที่เรียกว่าผู้แข็งแกร่งมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ย่อท้อ


ครอบครองสภาวะจิตใจเช่นนี้แล้ว เชื่อว่าชิงอวิ๋นหยางจะต้องสู้ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการบนมรรคาอันแห่งตนได้อย่างแน่นอน


หลินสวินมองทุกอย่างนี้ในสายตา ลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ เวลานี้เพิ่งจะกระจ่างแจ้ง ยังไม่ถือว่าสาย


‘ตัวเจ้าล่ะ ไม่กังวลเลยหรือ’


จู่ๆ ชิงอวิ๋นหยางก็ถามขึ้น ควรรู้ว่าหลินสวินในตอนนี้เป็นบุคคลที่ทุกผู้คนในน่านสมุทรทะเลใต้ต่างตามหา หากถูกรู้ถึงตัวตนเข้า เช่นนั้นผลที่ตามมาจะต้องน่ากลัวจนไม่สามารถจินตนาการได้เป็นแน่


‘ถ้าหากเป็นไปด้วยดี วันนี้ข้าก็จะจากไปแล้ว’ หลินสวินแย้มยิ้มไม่ใส่ใจ


‘เจ้าอยู่ที่เผ่าตะพาบเขียวของข้าก็ได้ เชื่อว่ามีผู้อาวุโสชิงเลี่ยคอยคุ้มครอง อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำให้เจ้าหลบเลี่ยงเคราะห์สังหารบางประการไปได้’ ชิงอวิ๋นหยางเสนอ


‘ไม่ต้องหรอก’ หลินสวินส่ายหน้า


ระหว่างสนทนา ทั้งสองได้ออกจากเกาะโจมเมฆาเรียบร้อยแล้ว มาถึงหลังกระดองตะพาบเขียวมหึมาตัวนั้นอันเป็นที่ตั้งของผู้แข็งแกร่งเผ่าตะพาบเขียว


“เจ้าคางคก เป็นอย่างไร”


แวบแรกที่เพิ่งมาถึง หลินสวินก็มองเห็นเจ้าคางคกที่รออยู่ตรงนั้นทันที


เจ้าคางคกในวันนี้ติดตามผู้อาวุโสชิงเลี่ยรุดหน้าไปเข้าร่วมการชุมนุมประมูลสมบัติ พวกเขานัดหมายกันตั้งแต่ต้น รอเมื่อซื้อ ‘ยานขนส่งอวกาศ’ ลำนั้นได้แล้วก็จะออกเดินทางทันที ล่องน่านสมุทรทะเลใต้หวนสู่จักรวรรดิจื่อเย่าในบัดดล


กลับเห็นเจ้าคางคกทอดถอนใจทันที มุ่นคิ้วกล่าว “เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น”


อะไรนะ?


หลินสวินหรี่ตา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


“มารดามันเถอะ พูดถึงแล้วข้าก็อยากฆ่าคน!”


เจ้าคางคกหน้าหดหู่ ยามพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคงโกรธจนเต้นเร่าๆ แหกปากสาปแช่งอยู่ดี


เดิมทีในการชุมนุมประมูลสมบัตินั้น เจ้าคางคกและชิงเลี่ยมุ่งมั่นว่าต้องได้ยานขนส่งอวกาศ ฝืนเสนอราคาสูงลิ่วออกไป เอาชนะคนใหญ่คนโตอื่นๆ ให้ไม่กล้าแข่งขันกับพวกเขา


ใครเลยจะคาดคิด พริบตาสุดท้ายที่ลั่นค้อน กลับมีคนยื่นมือเข้าแทรกกะทันหัน เพิ่มเป็นสองเท่าจากราคาของพวกเจ้าคางคกทั้งอย่างนั้น ประมูลเอายานขนส่งอวกาศลำนั้นไป


เป็ดที่ย่างสุกลอยหายไปต่อหน้าต่อตา ก็ไม่แปลกที่เจ้าคางคกจะโกรธจนเป็นสภาพเช่นนี้


“เดิมทีข้ากับพี่ใหญ่ชิงเลี่ยต่างโกรธกันมาก คิดจะเปิดฉากคนชิงสมบัติ ไปแย่งเอายานขนส่งอวกาศลำนั้นกลับมาให้รู้แล้วรู้รอด”


เจ้าคางคกตื่นเต้นมากอย่างเห็นได้ชัด “ใครจะไปคิด เมื่อการชุมนุมประมูลสมบัติเสร็จสิ้น เจ้าคนผู้นั้นก็หนีจากไปนานแล้ว เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอกชัดๆ!”


หลินสวินฟังจบก็จนคำพูดไปพักหนึ่ง นี่มันหักมุมสามตลบเลยจริงๆ


“แล้วพี่ใหญ่ชิงเลี่ยเล่า?” หลินสวินถาม


“ถูกพวกคนใหญ่คนโตกลุ่มหนึ่งเรียกตัวไปหารือเรื่องต่างๆ นู่นแล้ว”


เจ้าคางคกตอบอย่างสบายๆ กล่าวถึงตรงนี้เขาพลันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ตบเข้าที่หน้าผากหนึ่งฉาด กล่าวว่า “ข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย!”


“เรื่องสำคัญอะไร” หลินสวินขมวดคิ้ว


“เกี่ยวกับเจ้า”


เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วปรากฏแววกังวลขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง กล่าวว่า “การชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ถึงจะยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ดึงดูดบุคคลสำคัญมากมายของแต่ละเผ่าให้เข้าร่วมได้ แต่เจ้ารู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไรหรือไม่”


ไม่รอหลินสวินตอบคำถาม เขาก็เอ่ยทันที “เพื่อจัดการเจ้าน่ะสิ!”


หลินสวินใจสั่นไหวอย่างรุนแรง “จัดการข้า?”


“ถูกต้อง ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเฒ่าคนไหนสำแดงวิชาลับ คิดคำนวณว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ได้ออกไปจากน่านสมุทรทะเลใต้ ดังนั้นบุคคลสำคัญของแต่ละเผ่าล้วนไม่อยู่นิ่ง หลั่งไหลมาเมื่อได้ยินข่าว หมายจะร่วมมือกัน เตรียมพร้อมวางกับดักจับกุมเจ้าไปสังหาร!”


นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินพลุ่งพล่าน จมสู่ความเงียบสงัด


“เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อ น่านสมุทรทะเลใต้ในตอนนี้รู้กันเกือบหมดว่าเจ้าชิงศุภโชคอันยิ่งใหญ่ที่สุด รวมถึงมรดกอริยมรรคที่แท้จริงจากแดนลับอสูรมารอริยะไป เจ้าคิดว่าราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นจะหักใจปล่อยเจ้าไปต่อหน้าต่อตารึ”


เห็นหลินสวินไม่เอ่ยคำ เจ้าคางคกกลับเป็นฝ่ายร้อนรนแทน


หลินสวินวางสองมือไพล่หลัง กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ราชันระดับสังสารวัฏผู้ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดจะร่วมมือกันเพื่อจัดการผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะแค่คนเดียวอย่างข้า ช่างให้เกียรติข้าจริงๆ”


ก่อนหน้านี้ชนรุ่นเยาว์มากสามารถของแต่ละเผ่าอย่างพวกลั่วหยาก็รวมพลกัน หารือคิดจะต่อกรเขา หลินสวินไม่รู้สึกแปลกใจต่อเรื่องนี้เลย กระทั่งเก็บเอามาใส่ใจด้วยซ้ำ


ทว่าตอนนี้แตกต่างออกไป นี่เป็นถึงการร่วมมือกันของสัตว์ประหลาดเฒ่ากลุ่มหนึ่ง เพ่งเล็งมหาศุภโชคบนตัวเขา ไม่อาจทนปล่อยให้เขารอดชีวิตออกไปจากน่านสมุทรทะเลใต้!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้จะเป็นหลินสวิน สภาพจิตใจก็หนักอึ้งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้


สิ่งที่บัดซบที่สุดคือ แม้แต่ยานขนส่งอวกาศก็ถูกคนอื่นชิงตัดหน้าเอาไปก่อน!


‘หรือว่า วางแผนจะบีบให้ข้าข้ามทะเลกลืนวิญญาณไปตรงๆ?’ หลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิด


การย้อนกลับนครต้องห้ามจากที่นี่ จำเป็นต้องหกเหินไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ตลอดทางเต็มไปด้วยเคราะห์ภัยธรรมชาติและอันตรายที่ยากหยั่งถึง


หากปราศจากราชันระดับสังสารวัฏคอยนำทาง ต้องเอาชีวิตไม่รอดแน่นอน


เหมือนอย่างตอนแรกที่หลินสวินมาพร้อมกับพวกจ้าวจิ่งเซวียน ต้องขอบคุณผู้เฒ่าเกาหยางผู้นั้นที่เตรียมการไว้พร้อมพรัก ถึงได้แคล้วคลาดอันตรายตลอดทาง ไปถึงนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยสวัสดิภาพ


ทว่าตอนนี้กลับแตกต่างออกไป เหลือแค่หลินสวินกับเจ้าคางคกเพียงสองคน อาศัยแค่ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของพวกเขา คิดจะข้ามผ่านทะเลกลืนวิญญาณ นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายชัดๆ


“ต้องโทษไอ้สารเลวที่ฉกเอายานขนส่งอวกาศของพวกเราไป! อย่าให้ข้ารู้เชียวว่ามันเป็นใคร ข้าจะฆ่ามันทิ้งซะ!”


เจ้าคางคกกัดฟันอย่างดุเดือด


“เจ้าบอกจะฆ่าใคร?”


และในยามนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงกังวานเสนาะหูดุจกระดิ่งลมเสียงหนึ่งดังขึ้น


ที่มาพร้อมเสียงนั้นคือเงาร่างอันอรชรร่างหนึ่งซึ่งเหินข้ามระลอกคลื่นเข้ามาจากที่ห่างไกล แขนเสื้อของนางพลิ้วไสว ท่วงท่าสง่างาม ผมดำสนิทปลิวไสวท่ามกลางลมทะเล ดุจดั่งเซียนที่ก้าวออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น


“อสูรมารสาวคนนั้น!”


หลินสวินและเจ้าคางคกต่างจำได้ตั้งแต่แวบแรก ผู้มาคืออาหูนั่นเอง


นางสวมชุดกระโปรงสีเหลืองห่าน เหินข้ามผิวทะเลสีฟ้ามรกต ผิวพรรณพิสุทธิ์ผุดผ่อง นัยน์ตากลมโตมีชีวิตชีวา ทั่วสรรพางค์กายมีความงามอันแสนบริสุทธิ์ใสและเย้ายวนผสมอยู่ด้วยกันอย่างหนึ่ง รูปโฉมงดงามชวนตะลึง


“เป็นนาง!”


ในขณะนี้ชิงอวิ๋นหยางที่อยู่ด้านข้างก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยเช่นกัน ปรากฏแววซับซ้อน มีความเกลียดชัง และมีความขมขื่นระคนเศร้า


คราวนี้หลินสวินจึงนึกขึ้นได้ ในตอนแรกอูยั่งเคยบอกว่า เพราะอาหูขโมยเอา ‘ธงพันฤกษ์’ สมบัติสำคัญแห่งเผ่าตะพาบเขียวของพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไล่สังหารอาหูตลอดทาง


เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่า อาหูถึงกับมาปรากฏตัวที่นี่ ซ้ำยังเป็นฝ่ายมายังอาณาเขตของผู้แข็งแกร่งเผ่าตะพาบเขียวเสียด้วย!


สาวน้อยคนนี้ช่างอาจหาญได้ที่จริงๆ


หลินสวินเหลือบมองชิงอวิ๋นหยางปราดหนึ่ง กลับต้องพบอย่างผิดคาด เวลานี้อีกฝ่ายสงบลงแล้ว และไม่ได้กระทำการผลีผลามเกินไปเลย


เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าตะพาบเขียวที่อยู่ใกล้เคียงต่างบันดาลโทสะขึ้นมา ไอสังหารพวยพุ่ง สายตาจับจ้องไปที่ร่างอาหูตามๆ กัน


บางทีขอเพียงชิงอวิ๋นหยางสั่งการเพียงคำเดียว พวกเขาคงลงมือโดยไม่ลังเลสักนิดเป็นแน่!


ทว่าชิงอวิ๋นหยางกลับไม่ได้ทำดังนี้ ตรงข้ามกลับถอนหายใจหนึ่งเฮือก โบกมือกล่าวว่า “ไม่ต้องขยับ ปล่อยให้นางเข้ามา”


สิ่งนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าตะพาบเขียวเหล่านั้นต่างสมองตื้อ คลางแคลงไม่แน่ใจ


“คุณชายอวิ๋นหยาง พวกเราพบกันอีกแล้ว”


อาหูแย้มยิ้มพิมพ์ใจ นัยน์ตางามสุกปลั่งว่ายเวียนด้วยคลื่นใส พลิ้วตัวอย่างเบาหวิวดุจดั่งเซียนมาเยือนโลกมนุษย์ ดึงดูดสายตาทุกผู้คน


“เจ้ามาทำอะไร เอาธงพันฤกษ์ไปยังไม่สาแก่ใจ ยังคิดจะมาทำร้ายเผ่าตะพาบเขียวของข้าอีกรึ!”


ชิงอวิ๋นหยางเอ่ยปากเสียงเข้ม


อาหูมุ่นคิ้วประณีตเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เดิมทีข้าก็คิดจะออกไปจากที่นี่ เพียงแต่จนปัญญา ด้วยยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ทำไม่ได้”


“เรื่องอะไร”


ชิงอวิ๋นหยางมุ่นคิ้ว


อาหูยิ้มน้อยๆ นัยน์ตามองไปทางเจ้าคางคกแล้วกล่าวเสียงกังวาน “นี่ เมื่อครู่เป็นเจ้าหรือที่บอกจะฆ่าข้า”


เจ้าคางคกนิ่งงัน จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมา กล่าวด้วยความเดือดดาล “ที่แท้เป็นนางอสูรมารอย่างเจ้านี่เองที่ชิงเอายานขนส่งอวกาศของพวกเราไป!”


อาหูหัวเราะร่วน “อะไรที่เรียกว่าเป็นของพวกเจ้า ของสิ่งนี้เป็นสมบัติที่ข้าประมูลมาได้ เดิมทีก็เป็นของข้าอยู่แล้ว เจ้าอย่ามาอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ เชียว”


เวลานี้หลินสวินเอ่ยปากแล้ว นัยน์ตาดำสนิทจับจ้องไปที่หญิงสาวผู้มีที่มาเร้นลับ การกระทำก็เป็นปริศนาเช่นเดียวกันคนนี้ กล่าวว่า “แม่นางอาหู เจ้าคงไม่ได้มาเพื่อหาพวกเราเป็นการเฉพาะหรอกกระมัง”


แววตาของชิงอวิ๋นหยางเคร่งขรึม นาง…มาที่นี่เพื่อหลินสวิน?


ดังคาด ก็เห็นอาหูดีดนิ้วเปาะหนึ่งที ยิ้มจนดวงตาโค้ง เหมือนกับจิ้งจอกน้อยพราวเสน่ห์งดงามตัวหนึ่ง กล่าวว่า “ฉลาด! ถูกเจ้าเดาออกจนได้ เก่งกาจจริงๆ เชียว”


“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ชัดถึงเจตนาของแม่นาง แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมาคลุกคลีตีโมงกับเจ้า ไม่สู้พวกเราพูดเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า ว่าอย่างไร”


หลินสวินเองก็แย้มยิ้ม นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึก


“อย่างนี้ก็เสียเวลามากเกินไป พวกเจ้าตามข้ามาเสียเลย ระหว่างทางข้าย่อมจะพูดคุยกับพวกเจ้าดีๆ”


อาหูยิ้มอย่างสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวพรรณของนางกระจ่างใส เรียวฟันขาวราวหิมะ เรือนร่างอรชรอยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดประกายแวววาวดุจภาพฝัน งดงามเสียจนมิอาจเปรียบเปรย


“ไปกับเจ้า? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ามีรูปโฉมงดงามแล้วข้าจะหลงเสน่ห์เนื้อหนังมังสาของเจ้าจนตามืดบอด ตามเจ้าไปอย่างคนโง่งม?”


เจ้าคางคกทำหน้าเหยียดหยาม


อาหูเก็บรอยยิ้ม นัยน์ตาสุกใสวาววับกล่าวอย่างจริงจัง “ยานขนส่งอวกาศอยู่ในมือข้า ส่วนพวกเจ้าอีกเดี๋ยวก็คงเผชิญมหันตภัย หากไม่ตามข้ามา พวกเจ้ายังมีทางเลือกอื่นอยู่อีกหรือ”


ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา หลินสวินและเจ้าคางคกหรี่ต่างนัยน์ตาหดรัด ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง หญิงสาวลึกลับนามว่าอาหูผู้นี้ ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี!


นางเป็นใครกันแน่?


อาหูเม้มปากกล่าว “หากพวกเจ้ายังไม่ไปอีก เช่นนั้นข้าก็จะไปแล้ว”


“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณแม่นางยิ่งแล้ว!”


หลินสวินแทบไม่คิด พลันตอบตกลงอย่างชื่นมื่นทันใด


เจ้าคางคกกลับโกรธจนตะโกนลั่น “ระยำ เจ้าหนูเจ้าคงไม่ได้หลงใหลนางเข้าแล้วกระมัง หากนางเป็นศัตรูจะทำอย่างไร”


“เจ้ากลัว?” หลินสวินถาม


“ตลก ไยข้าต้องกลัวเด็กสาวตัวกะเปี๊ยกคนเดียวด้วย” เจ้าคางคกเหยียดหยาม


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกับนาง ยังมีอะไรต้องกลัวอีก” หลินสวินถามต่อ


ในที่สุดเจ้าคางคกก็ตระหนักได้ หลินสวินหาได้พูดล้อเล่น แต่จริงจังยิ่ง!


และในเวลานี้เอง ชิงอวิ๋นหยางที่ไม่เคยเปล่งเสียงเรื่อยมาพลันเอ่ยปากพูดว่า “ทั้งสองท่าน ถ้าหากพวกท่านเชื่อใจข้ามากพอ ข้าอยากแนะนำว่าพวกท่านไปกับนางได้เลย”


หลินสวินและเจ้าคางคกต่างอึ้งไปสักพัก คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าชิงอวิ๋นหยางจะถึงกับเอ่ยปากแทนอาหู


ก็แม้แต่อาหูเองยังค่อนข้างประหลาดใจ มองชิงอวิ๋นหยางอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ท้ายที่สุดก็กล่าวยิ้มๆ “คุณชายอวิ๋นหยาง ข้ามองท่านไม่ผิดจริงๆ ด้วย”


“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามามองข้าว่าถูกหรือผิด หวังเพียงแต่ว่าชั่วชีวิตนี้ของเจ้าอย่าได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก!” สีหน้าของชิงอวิ๋นหยางไร้ซึ่งอารมณ์


อาหูยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดมากความอีก


ท้ายที่สุดหลินสวินกับเจ้าคางคกก็พลิ้วลอยไปพร้อมกับอาหู


ก่อนจะจากไป หลินสวินได้ทิ้งถุงเก็บของใบหนึ่งเอาไว้ มอบให้ชิงอวิ๋นหยางพร้อมกับเอ่ยหนึ่งประโยค “สิ่งของด้านในนี้ หลังจากอ่านเสร็จแล้วก็ทำลายทิ้งเสีย หวังว่าจะพอช่วยเจ้าได้”


——


ตอนที่ 635 เคราะห์สังหารบังเกิด

โดย

ProjectZyphon

จวบจนมองส่งพวกหลินสวินจากไป ชิงอวิ๋นหยางถึงได้ละสายตากลับมา


นึกถึงทุกเรื่องที่ประสบมาทั้งหมดในวันนี้ เขาพลันเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ที่แท้… เขาก็เป็นเด็กหนุ่มเทพมารผู้ปลุกปั่นทั่วน่านสมุทรทะเลใต้จนโกลาหลอลหม่านจริงๆ!


สักพักภายในใจชิงอวิ๋นหยางหวนสู่ความสงบ แปรเป็นความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


จากตัวของหลินสวิน ทำให้เขามองเห็นหนทางแห่งผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ตระหนักได้ว่าการแสดงออกที่ผ่านมาของตน มันไม่เพียงพอและเหลือทนมากเกินไป


‘เสียทีที่ข้าเป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว ใครเลยจะคาดคิด ก็เป็นแค่กบในกะลาตัวหนึ่งเท่านั้น นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะพากเพียร ละทิ้งทุกสิ่ง มุ่งมั่นสู่มหามรรคแห่งตน!’


ชิงอวิ๋นหยางสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก แววตาลุ่มลึกมาดมั่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจ ทำให้บุคลิกทั้งกายของเขาเริ่มแตกต่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ผู้ติดตามเผ่าตะพาบเขียวที่อยู่ใกล้ๆ กลุ่มหนึ่งก็สัมผัสได้อย่างฉับไว บุตรเทพของพวกเขาราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน บุคลิกเคร่งขรึมและเยือกเย็น ทำให้พวกเขาต่างลอบอัศจรรย์ใจ


‘จริงด้วย ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินทิ้งสิ่งของอะไรไว้ให้ข้า’


ในใจชิงอวิ๋นหยางพลันตื่นเต้น หมุนกายเดินเข้าไปในหอหยกขาวนพนภา แล้วจึงคลี่เปิดถุงเก็บของที่หลินสวินมอบให้อย่างระมัดระวัง


จากนั้นไม่นานชิงอวิ๋นหยางราวกับถูกอสนีฟาด ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น อกกระเพื่อมขึ้นลงระลอกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปหลากสีสันถึงขีดสุด


มีทั้งตื่นตระหนก ทั้งดีใจแทบคลั่ง และยิ่งมีความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างหนึ่งด้วย


สิ่งของภายในถุงเก็บของนั้นแสนเรียบง่าย เป็นตำราคัมภีร์หลายเล่ม มี ‘คัมภีร์ยุทธจักร’ ของเผ่าสิงห์โลหิต ‘วิชาสำรอกรู้ตน’ ของเผ่าวาฬมังกร ‘วิชาสมบัติร่างค้อนอสนีแกร่ง’ ของเผ่าวัวมารทรงพลัง ‘คัมภีร์หกเกราะผนึกมาร’ ของเผ่าโห่วเมฆา…


ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มนั้นต่างเรียกได้ว่าหาที่เปรียบมิได้ มีความน่าอัศจรรย์ไร้ขอบเขต เป็นมรดกลับขั้นสูงสุดของแต่ละเผ่า ภายในบรรจุแก่นแท้อัศจรรย์แห่งมหามรรค มูลค่ายิ่งใหญ่เกินกว่าจินตนาการ


หากแพร่งพรายออกไป ทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้คงจมสู่ความสั่นสะเทือน บังเกิดลมมรสุมคับฟ้า!


‘มิน่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นถึงไม่สนศักดิ์ศรี คิดจะร่วมมือกันไล่สังหารเขา หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงไม่มีใครทนให้มรดกลับสูงสุดของเผ่าตนเองรั่วไหลออกไปได้หรอก…’


สีหน้าของชิงอวิ๋นหยางปลงอนิจจัง ยิ่งสะเทือนใจกับความน่ากลัวของหลินสวิน แข็งขืนช่วงชิงมรดกลับสูงสุดของเผ่าใหญ่ได้จำนวนมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้!


‘หากมีความสามารถมากพอจะหยั่งถึงความลับของตำราคัมภีร์พวกนี้ เช่นนั้นต่อจากนี้ไปหากข้าต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งของเผ่าสิงห์โลหิต เผ่าวาฬมังกร เผ่าวัวมารทรงพลังพวกนี้ละก็ จะครอบครองข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!’


‘เพราะความลับแก่นแท้ที่พวกเขาฝึก ล้วนถูกข้าหยั่งถึงจนหมดแล้ว’


‘บางที นี่ก็คือเป้าหมายที่หลินสวินมอบตำราคัมภีร์พวกนี้ให้ข้ากระมัง…’


หัวใจของชิงอวิ๋นหยางพองโตขึ้น ท้ายที่สุดสายตาของเขามองทะลุบานหน้าต่างไปยังผืนน้ำสีฟ้าครามซึ่งอยู่ไกลออกไป กล่าวพึมพำว่า “หลินสวิน ขอบคุณมาก! ยามเมื่อมหาสงครามที่แท้จริงมาถึง ข้าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันกับเจ้า บนหนทางแห่งการต่อสู้มหามรรค!”


……


หอวาโยเมามาย ชั้นที่เก้า


ในโถงใหญ่ทั่วพื้นระเนระนาด


หลันเทียนฉี ลั่วหยาและกลุ่มผู้มากความสามารถรุ่นใหม่ของแต่ละเผ่าต่างมีสีหน้าอึมครึม นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น


ถึงแม้หลินสวินและชิงอวิ๋นหยางจะออกไปแล้ว แต่พวกเขาเหล่านี้ต่างไม่สามารถสงบลงมาได้เลยสักคน พอนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ภายในจิตใจของพวกเขาล้วนสั่นระริกหวาดกลัว และมีความอัปยศที่ยากอธิบายประการหนึ่งด้วย


“ในบุตรเทพชั้นยอดระดับหยั่งสัจจะที่เป็นคนรุ่นเยาว์แห่งน่านสมุทรทะเลใต้ ดูเหมือนจะไม่มีบุคคลเช่นนี้อยู่กระมัง พวกเจ้าว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่”


ลั่วหยาเปล่งเสียงทุ้มต่ำ ทำลายบรรยากาศแสนเงียบสงัดนี้


ทุกคนต่างมองหน้าสบสายตากัน


“หากข้าเดาไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดตามตำนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”


สุดท้ายหลันเทียนฉีก็เอ่ยปาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก สีหน้าอึมครึม “ขอบเขตเช่นนี้ เรียกอีกอย่างว่าขอบเขตแห่งราชัน! ดุจดั่งราชันสูงสุดที่อยู่ในระดับนี้ ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างภาคภูมิ เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!”


“ผู้ที่สามารถต้านทานเขาได้ ก็มีแต่บุคคลชั้นยอดที่บรรลุถึงขอบเขตราชันเช่นเดียวกันเท่านั้น! ผู้ฝึกปราณอื่นๆ ทั้งปวง ต่างไม่สามารถเป็นปรปักษ์ได้”


“ราชัน หมิ่นแคลนทั่วทั้งระดับ ดุจดั่งมังกรเทพบนแดนสรวง ในยุคบรรพกาลรู้จักกันในนามมกุฎวีรชน สามารถกำราบทั้งระดับ กวาดล้างทุกสิ่ง!”


“บุคคลระดับนี้ แม้จะอยู่ในยุคบรรพกาลก็ยังเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน!”


ถ้อยคำนี้ เมื่อถูกคนระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหลันเทียนฉีพูดออกมา ก็ราวกับสายฟ้าน่าตะลึงสายหนึ่ง ทำให้ทั่วโถงไร้สุ้มเสียง จมสู่ความตะลึงงัน


เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั้น ถึงกับเป็นราชันสูงสุดที่ยืนมั่นอยู่ในระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง? สามารถกำราบทั่วทั้งระดับ กวาดล้างศัตรูรุ่นเดียวกันทั้งปวง?


นี่เป็นเหมือนเทพนิยายปรัมปราแสนเลือนลางเรื่องหนึ่ง เปี่ยมด้วยสีสันอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้ผู้คนแทบไม่กล้าปักใจเชื่อ


“บนโลกใบนี้… มีบุคคลไร้เทียมทานระดับนี้จริงๆ หรือ” ใครบางคนเสียงสั่น


“มี!”


หลันเทียนฉีตอบด้วยความมาดมั่นทรงพลัง นัยน์ตาทอแสงแห่งการหวนระลึก “ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ข้าเคยติดตามผู้อาวุโสในเผ่าไปเยือน ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ และที่นั่นข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับมกุฎวีรชน”


“สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ในบรรดาขุมอำนาจใหญ่ที่สืบสายมาจากยุคบรรพกาลเหล่านั้นในดินแดนรกร้างโบราณ ก็มีบุคคลไร้เทียมทานที่ราวกับปีศาจเช่นนี้อยู่!”


“อย่างเช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่มีชื่อเสียงระบือในดินแดนรกร้างโบราณ ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ยามเมื่ออยู่ในระดับหยั่งสัจจะก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชันสูงสุดที่ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน”


อวิ๋นชิ่งไป๋!


ครั้นได้ยินชื่อนี้ ผู้คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อนเช่นเดียวกัน


ท่ามกลางความตะลึงงัน สีหน้าลั่วหยาเปลี่ยนไปอย่างมาก กล่าวเสียงหลงว่า “หรือว่า… เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั่นก็เป็นราชันคนหนึ่งเช่นกัน?”


หลันเทียนฉีกล่าวเสียงขรึม “เขาสามารถพิชิตข้าได้ในการโจมตีสามครั้ง ทำให้ข้าปราศจากเรี่ยวแรงในการตอบโต้โดยสิ้นเชิง บุคคลเช่นนี้ ต่อให้ไม่ราชัน ก็มีแต่จะเหนือชั้นกว่าราชัน!”


ทุกคนต่างตระหนักสุดขีด หลันเทียนฉีเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอด แทบจะยืนมั่นอยู่บนปลายยอดของระดับหยั่งสัจจะ ทว่าเมื่อครู่เขาพ่ายแพ้อย่างเละไม่เป็นท่า ถูกเด็กหนุ่มคนนั้นกำราบในหมัดเดียว


ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ทอดสายตาไปทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้ กลัวแต่ว่าคงหาไม่พบเลยสักคน!


เช่นนั้นเด็กหนุ่มคนนี้โผล่มาจากที่ไหนกันแน่? เขาครอบครอบความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะทัดเทียมมกุฎราชันระดับหยั่งสัจจะ แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?


“ข้านึกออกแล้ว ที่แท้เป็นเขานั่นเอง!” และในขณะนี้ก็มีคนตะโกนลั่น “เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”


เด็กหนุ่มเทพมาร!


ครั้นได้ยินสมญานามนี้ ทุกคนรวมถึงหลันเทียนฉีต่างก็ตกตะลึงในใจอย่างรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง


“ใช่ จะต้องเป็นเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นแน่นอน! เมื่อครู่พวกเราต่างเดาผิด เขาไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งของน่านสมุทรทะเลใต้ของพวกเรา แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เผ่ามนุษย์ที่ติดตามแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมา!”


“ก็จริง มีแค่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นจึงจะครอบครองความแข็งแกร่งน่ากลัวปานนี้ได้ อย่างไรเสียในข่าวลือ แม้กระทั่งบุตรเทพชั้นยอดสี่คนอย่างพวกหนิวทุนเทียนร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ แค่จินตนาการก็รู้ว่าเขาดุดันมากแค่ไหน”


“ที่แท้ก็เป็นเขา… มิน่าเล่าถึงได้สามารถกำราบสหายยุทธ์เว่ยซาง ไล่อวิ๋นเซินและลั่วหยาสามคนนี้ได้ภายในการโจมตีเดียว”


ทันใดนั้นทั่วโถงต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา เดาออกถึงตัวตนของหลินสวิน แต่ละคนต่างเปลี่ยนทีท่าเป็นซับซ้อนหาใดเปรียบ


ก่อนหน้านี้พวกเขาหารือกันมาตลอด คิดจะร่วมมือกันไปสืบเสาะร่องรอยของเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเจ้าคนดุดันไร้เทียมทานคนนั้น ถึงกับอยู่ใต้จมูกของพวกเขามาโดยตลอด!


พอนึกถึงจุดนี้ พวกเขาต่างตัวสั่นงันงกไปทั่วร่าง หวาดกลัวไม่รู้จบ ถ้าหากเมื่อครู่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นเปิดฉากฆ่าล้างบาง เช่นนั้นผลที่ตามย่อมไม่สามารถจินตนาการได้เลย


“ยังนิ่งกันอยู่ทำไม รีบไปแจ้งให้ผู้อาวุโสทั้งหลายทราบเร็วเข้า ไปจู่โจมสังหารเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”


หลันเทียนฉีตวาดลั่น


ประโยคเดียวทำให้ทั้งโถงต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรง ใช่แล้ว เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นปรากฏตัวในตลาดนัดโจมเมฆา นี่เป็นโอกาสทองหายาก!


“ไป!”


“ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้!”


“เร็วเข้า รีบไปแจ้งผู้อาวุโส! มหาศุภโชคพวกนั้นอยู่ต่อหน้านี่เอง!”


ท่ามกลางเสียงฮือฮา หนุ่มสาวรุ่นใหม่เหล่านี้ราวกับบ้าคลั่ง พุ่งออกมายังนอกหอวาโยเมามายอย่างเร่งร้อน แย่งชิงกันนำหน้า ด้วยกลัวจะล่าช้าไปแม้เพียงก้าว


นั่นเป็นถึงเด็กหนุ่มเทพมารเชียว บนกายซุกซ่อนมหาศุภโชคจากแดนลับอสูรมารอริยะ ผู้ใดสามารถชิงจับกุมสังหารเขาได้ก่อน ผู้นั้นก็จะได้รับศุภโชคฉากนี้ไป!


……


ไม่นานนักทั่วทั้งตลาดนัดโจมเมฆาพลันฮือฮาปั่นป่วนอย่างสมบูรณ์


ผู้ฝึกปราณที่มาจากแต่ละเผ่าต่างค้นพบฉับพลัน คนใหญ่คนโตระดับสังสารวัฏคนแล้วคนเล่าแหวกอากาศปรากฏกายขึ้น ไอสังหารพวยพุ่ง อานุภาพเหิมฮึกคับฟ้าน่าหวาดกลัวนั้น ทำให้ฟ้าดินพลันเปลี่ยนแปลง


เกิดอะไรขึ้นกันแน่


ทุกพื้นที่ของเกาะโจมเมฆาต่างจมสู่ความตะลึงงัน ในไม่ช้าข่าวก็แพร่สะพัดออกมาราวกับลมมรสุม


“เด็กหนุ่มเทพมารปรากฏกายแล้ว!”


“เขาอยู่บนเกาะโจมเมฆานี่เอง!”


ครู่ต่อมาไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าใด ครั้นได้ยินข่าวนี้ทุกคนล้วนเหิมฮึกขึ้นมา


น่านสมุทรทะเลใต้ในตอนนี้ ใครบ้างไม่รู้จักเด็กหนุ่มเทพมารผู้มาจากเผ่ามนุษย์คนนั้น คนผู้นี้เคยสำแดงพลังยิ่งใหญ่ในแดนลับอสูรมารอริยะ จู่โจมดุเดือดไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน สังหารจนผู้กล้าแต่ละเผ่าแตกขบวน เลือดไหลเป็นสายธาร


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ แม้จะเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่ว เสวียนหลัวจื่อร่วมมือกัน ก็ยังถูกเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นพิชิตชัยด้วยตัวคนเดียว!


คนที่ชื่อเสียงดุดันคนหนึ่งเช่นนี้ ถึงกับปรากฏกายในตลาดนัดโจมเมฆา ใครจะไม่ตกตะลึง ไม่ฮือฮาบ้าง?


ควรรู้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารผู้นี้นอกจากดุดันไร้เทียมทานแล้ว บนกายยังซุกซ่อนมหาศุภโชคที่มีความเกี่ยวข้องกับอริยมรรค ลำพังแค่จุดนี้ ก็เพียงพอจะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้ใดก็ตามลงมือเต็มกำลัง ช่วงชิงชีวิตมาได้แล้ว!


“ค้น!”


“ขุดพื้นสามฉื่อ ก็ต้องหาออกมาให้ข้าจงได้!”


“ผู้ใดแจ้งเบาะแสของเด็กหนุ่มเทพมารได้ จะตบรางวัลให้สิบล้านผลึกสมุทร!”


ระหว่างฟ้าดิน ทุกหย่อมหญ้าเปี่ยมด้วยเสียงค้นหาเด็กหนุ่มเทพมารดังกึกก้อง


อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งทั่วไป แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏคนแล้วคนเล่าล้วนไม่อาจสงบนิ่ง ลงมือด้วยตัวเอง ปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณค้นหาเต็มกำลัง


ไม่นานนักก็มีผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในหอวาโยเมามายคนหนึ่งให้ข้อมูล ว่าเคยเห็นเด็กหนุ่มเทพมารนั่นจากไปพร้อมกับบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว


เวลาเพียงชั่วครู่ ความสนใจทั้งหมดล้วนพุ่งไปที่เผ่าตะพาบเขียว


ส่วนคนใหญ่คนโตระดับสังสารวัฏเหล่านั้น ต่างพุ่งไปยังสถานที่ที่หลินสวินจากไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ทราบข่าวตั้งนานแล้ว


เคราะห์สังหารมาเยือนแล้ว!


นอกเกาะโจมเมฆา ผู้อาวุโสชิงเลี่ยเอาสองมือไพล่หลัง หว่างคิ้วปรากฏแววเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง


ผืนนภาผุดไอสังหาร หมู่ดาวเคลื่อนคล้อย พื้นดินปรากฏไอสังหาร มังกรผงาด มนุษย์บังเกิดไอสังหาร พลิกฟ้าคว่ำพสุธา


และในตอนนี้ พื้นที่รอบๆ เกาะโจมเมฆาล้วนถูกปกคลุมด้วยไอสังหารอันน่าสะพรึง ราชันระดับสังสารวัฏลงมือ หมายจับกุมสังหารหลินสวิน ช่วงชิงศุภโชค


เคราะห์สังหารน่าหวาดหวั่นนี้ สำหรับเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เห็นชัดว่าน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย


“น้องชาย หวังว่าการจากไปของพวกเจ้าจะไม่ล่าช้าเกินไป…”


สายตาของผู้อาวุโสชิงเลี่ยมองไปผืนน้ำสีมรกตที่อยู่ไกลออกไป


ตอนที่ 636 ยานขนส่งอวกาศ

โดย

ProjectZyphon

สวบ!


ยานเล็กสีเงินทอประกาย รูปร่างคล้ายกระสวยแหลม มีค่ายกลกระบวนโบราณแน่นขนัดไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งลำ กำลังแหวกห้วงอากาศเป็นเส้นตรงหนึ่งสาย พริบไหวบางเบาก็ข้ามผ่านไปหลายร้อยลี้


ยามที่มันอันตรธานลับไป ในอากาศจึงมีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นระลอกหนึ่ง ซ่านกระจายบนเวิ้งนภา บดขยี้ปุยเมฆจนกลายสภาพเป็นเส้นฝอย


ความเร็วไวเกินไปแล้ว!


แทบเหมือนการเคลื่อนย้ายในพริบตา ทำให้ผู้คนยากจะจับร่องรอยของมันได้


“นี่ก็คือยานขนส่งอวกาศ สมบัติที่เลื่องระบือจากยุคบรรพกาล ทั้งยังหลอมจาก ‘ผลึกอากาศ’ ที่อริยะเก็บรวมมาจากนอกดินแดน บนนั้นปกคลุมด้วยกระบวนค่ายกลต้องห้ามหนึ่งหมื่นสามพันเก้าร้อยภาพ เมื่อเปิดใช้งาน ได้ฉายาว่า ‘พันลี้เพียงชั่วพริบตา หมื่นลี้ไร้ร้องรอย’ เมื่อเทียบกับวิชาเคลื่อนย้ายที่แท้จริงแล้วก็ต่างกันไม่เท่าไร”


ในยานเล็ก เสียงกระจ่างใสราวเสียงแห่งธรรมชาติของอาหูดังก้องขึ้น


นางสวมชุดกระโปรงสีเหลืองขนห่าน เรือนผมปลิวสยาย ดวงหน้างามงอนขาวเนียน ยืนอยู่ด้านหน้าของห้องโดยสาร รูปร่างอ้อนแอ้นสูงโปร่งมีกลิ่นอายโดดเด่นพิสุทธิ์อย่างหนึ่ง


“น่าเสียดาย พอผ่านการกัดเซาะแห่งกาลเวลา สมบัติชิ้นนี้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน กระบวนค่ายกลส่วนใหญ่ล้วนสึกกร่อนเสียหาย สูญสิ้นแสนยานุภาพ ที่พอจะสามารถใช้งานได้ในปัจจุบัน ก็หลงเหลือไม่ถึงสามพันค่ายกลต้องห้ามเท่านั้น”


อาหูถอนหายใจเนือยๆ คล้ายกับสลดใจ


หลินสวินและเจ้าคางคกที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างพิศวงเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าอาหูถึงขั้นรู้จักสมบัติชิ้นนี้เป็นอย่างดี กระทั่งยังรู้ถึงการสืบสานและต้นกำเนิดของมันด้วย ข้อนี้เห็นได้ชัดว่าดูผิดวิสัยมากเกินไปแล้ว


“แน่นอน แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะชำรุดเสียหาย ความเร็วอันน่าทึ่งของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติชิ้นอื่นๆ จะเทียบเคียงได้เลย”


อาหูช้อนสายตาขึ้น ใบหน้าดวงน้อยที่เจือกลิ่นอายงามพิสุทธิ์เรียบง่ายพลันฉายรอยยิ้มขึ้น “สิ่งสำคัญที่สุดคือ การป้องกันของมันก็ร้ายกาจมากเช่นกัน ยามที่ข้ามผ่านทะเลกลืนวิญญาณ มันมีความสามารถเพียงพอจะสลายพิบัติภัยมากมายที่เข้ามากล้ำกราย”


เจ้าคางคกแค่นเสียงเย็นชา “ต่อให้ร้ายกาจแค่ไหน ก็สกัดกั้นการจู่โจมของราชันระดับสังสารวัฏไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”


เขาไม่พอใจอาหูมาโดยตลอด คิดว่านี่คือตัวต้นเหตุคนหนึ่ง ถึงแม้จะงามน่าตะลึง ทว่ากลับเป็นนางมารคนหนึ่ง


“สกัดไม่ไหวอยู่แล้ว”


อาหูไม่ใส่ใจ กล่าวพลางหัวเราะร่วน “แต่ว่า อาศัยสมบัติชิ้นนี้ ก็เพียงพอทำให้พวกเราหลบเลี่ยงการจู่โจมของราชันระดับสังสารวัฏได้”


ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา แม้กระทั่งเจ้าคางคกก็จนคำจะตอบโต้ ตะลึงงันไปหนึ่งยก


สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้ สมบัติชิ้นนี้ก็เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าแล้ว เป็นอาวุธชั้นยอดที่หลีกหนีสิ่งที่ต้องการได้อย่างสิ้นเชิง!


“กระทั่งอยู่ในสภาพชำรุดยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าตอนที่ยังสมบูรณ์พร้อมสมบัติชิ้นนี้จะวิเศษอย่างน่าเหลือเชื่อสักแค่ไหน…”


นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินฉายประกายแห่งความประหลาดใจ


เขาเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ตั้งแต่เข้ายานขนส่งอวกาศลำนี้ ก็ถูกกระบวนแผนภาพเก่าแก่ที่ปกคลุมทั่วดึงดูดความสนใจไปสิ้น ย่อมมองออกได้ไม่ยาก กระบวนแผนภาพส่วนใหญ่ภายในนั้นล้วนสึกกร่อนและแตกหัก สูญเสียความสามารถอันทรงพลังดังเช่นที่ผ่านมาแล้ว


ทว่าแม้จะเป็นดังนี้ก็ยังทำให้หลินสวินลอบอุทานด้วยอารามตกใจ กระบวนแผนภาพโบราณเหล่านี้ ไม่มีภาพไหนเลยที่ไม่เจือร่องรอยอันเกี่ยวข้องกับมหามรรค น่าอัศจรรย์สุดหยั่งรู้


“ตอนที่สมบัตินี้สภาพสมบูรณ์ ก็เป็นถึงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่อริยะผู้หนึ่งหลอมขึ้น อานุภาพนั้นมีหรือจะปกติธรรมดา” อาหูแย้มสรวลอธิบาย


หลินสวินตระหนักได้โดยพลัน รอยสลักวิญญาณที่แฝงอยู่ในกระบวนแผนภาพโบราณเหล่านั้นเรียกไม่ได้ว่าลี้ลับมากมาย สิ่งที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงคือร่องรอยมหามรรคที่ประทับอยู่บนกระบวนแผนภาพนั่นต่างหาก!


นั่นเป็นพลังที่อริยะหลงเหลือไว้ ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินสามารถทำความเข้าใจและหยั่งถึงได้ในตอนนี้


“แม่นางอาหู เจ้าเองก็จะไปจักรวรรดิจื่อเย่าด้วยหรือ” หลินสวินถามอย่างกะทันหัน


แม้รับปากแล้วว่าจะเดินทางกับอาหู ทว่าจนบัดนี้หลินสวินก็ยังมองไม่ออกถึงเจตนาของหญิงนางนี้


อาหูยิ้มบางๆ แววตาสุกปลั่งทอประกาย เรียวฟันขาวกระจ่าง กล่าวว่า “คุณชาย รอยามที่สถานการณ์ของพวกเราปลอดภัย ข้าย่อมแถลงไขด้วยตัวเอง”


“เฮอะ! อ้ำๆ อึ้งๆ จะต้องมีเจตนาเป็นอื่นแน่” เจ้าคางคกยิ่งเขม่นอาหูมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แผนการลึกล้ำเกินไป


ตูม!


และในเวลานี้เอง การเปลี่ยนแปลงประหลาดพลันอุบัติขึ้น


พลังไร้รูปสายหนึ่งปิดฟ้าคลุมดิน ร่วงหล่นจากเวิ้งนภา บดขยี้ห้วงอากาศทั่วทั้งผืน เกิดเป็นเสียงคำรามน่ากลัว


ภายใต้อิทธิพลของพลังน่าหวาดกลัวระดับนี้ ยานขนส่งอวกาศทั้งลำพลันสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง บังเกิดเสียงดังหึ่ง โคลงเคลงอยู่ไม่ขาด


ในใจหลินสวินและเจ้าคางคกต่างสั่นเทิ้มตามๆ กัน พลังน่าสะพรึงยิ่งนัก!


“คุณชาย เคราะห์สังหารมาเยือนแล้ว”


กลับเห็นอาหูทัดผมดำไว้ข้างหู บนดวงหน้างามวิไลแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจังอย่างที่พบไม่บ่อยนัก


กล่าวไปพลาง นางบังคับยานขนส่งอวกาศไปด้วย เริ่มทำการหลบเลี่ยง


ครืนครืน~


กระบวนแผนภาพโบราณนับไม่ถ้วนปานกระแสน้ำต่างเปล่งแสง เอ่อล้นรอบยานขนส่งอวกาศ เจิดจ้าพราวตา เพียงชั่วขณะเท่านั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่าในบัดดล!


พลันเห็นว่ากลางอากาศ สมบัติชิ้นนี้ดุจดั่งแสงวาววับสายหนึ่ง ไหววูบไม่อยู่นิ่ง เหินล่องราวกับสายฟ้าแลบ รอดพ้นไปจากการปกคลุมของพลังอันน่าสะพรึงนั่นได้อย่างรวดเร็ว


และในขณะเดียวกันนั้น หลินสวินกับเจ้าคางคกตระหนักได้ว่า ในบริเวณอันไกลโพ้นปรากฏเงาร่างกำยำร่างหนึ่ง กลิ่นอายพวยพุ่งฟ้าดิน สั่นคลอนภูผาธารา ประดุจราชันอย่างแท้จริงมาเยือนโลกมนุษย์!


นั่นคือชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่ง ผมเคราดำสนิทราวกับหมึก ในดวงตาประหนึ่งมีสุริยันจันทราดาราปรากฏอยู่ในนั้น พลังอำนาจไม่อาจวัดได้


นี่ต้องเป็นราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!


การโจมตีเมื่อครู่นั้น ก็ย่อมมาจากชายกลางคนชุดคลุมม่วงด้วยเช่นกัน


“ข้าเคยพบชายคนนั้นในงานชุมนุมประมูลสมบัติ เป็นผู้อาวุโสของเผ่าวิหคเพลิงคะนอง มารดามันเถอะ แบบนี้ก็หมายความว่าพวกเขาไล่สังหารมาแล้วจริงๆ!?”


สีหน้าของเจ้าคางคกเปลี่ยนไปอย่างมาก


การไล่สังหารของราชันระดับสังสารวัฏเชียวนะ ใครไม่อกสั่นขวัญแขวนได้


เวลานี้ปราศจากการช่วยเหลือจากวานรเฒ่าลึกลับผู้นั้นแล้ว มีก็แต่ยานสมบัติลำหนึ่งเท่านั้น จะสามารถทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงเคราะห์สังหารระดับนี้ไปได้หรือไม่


เจ้าคางคกไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย


“เจ้าเดียรัจฉานน้อย สังหารทายาทของเผ่าต่างๆ มากมายในน่านสมุทรทะเลใต้ มีหรือจะปล่อยให้เจ้าหนีไปทั้งอย่างนี้ ยังไม่ยอมหยุดให้ข้าอีก!”


ฉับพลันเสียงตะโกนสนั่นปานฟ้าคำรามดังก้องขึ้นอีกครั้ง สะเทือนเก้าชั้นฟ้า


ชายชราชุดคลุมสีดำรูปร่างสูงใหญ่ นัยน์ตามีแสงม่วงพลุ่งพล่าน กลิ่นอายไพศาลไม่สามารถวัดได้ปรากฏกายขึ้น ยื่นฝ่ามือหนึ่งคว้ามาทางยานขนส่งอวกาศ


“ซวยแล้ว แม่งโผล่มาอีกคน!”


เจ้าคางคกร้องลั่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาที่เปรียบมิได้


สวบ!


ห้วงอากาศสับสนวุ่นวาย สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ภายใต้การควบคุมของอาหู ยานขนส่งอวกาศนั้นหลบไปจากมือใหญ่ของชายชราชุดคลุมดำราวกับปลาไหลโคลนที่ลื่นไถลไม่หยุด


“หืม?”


ชายชราชุดคลุมดำหน้าขรึม คล้ายกับคาดไม่ถึงว่ายานขนส่งอวกาศนี่จะน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้


เขาไม่มีเวลาคิดมาก ไล่สังหารต่อไป ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย


ผู้ที่ลงมือครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว ละแวกใกล้เคียงยังมีราชันระดับสังสารวัฏสิบกว่าคนกำลังรุดหน้ามาเต็มกำลัง


ชายชราชุดคลุมดำไม่สามารถทนให้เหยื่อที่อยู่ในเงื้อมมือถูกคนอื่นมาขอเอี่ยวด้วยเป็นอันขาด!


……


การไล่สังหารเริ่มต้นขึ้นแล้ว!


ในห้องโดยสาร เจ้าคางคกหน้าเปลี่ยนสีอย่างบ้าคลั่ง เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชอไม่หยุด ไม่สามารถสงบลงได้เลย จนถึงตอนนี้เขาพบว่าราชันระดับสังสารวัฏปรากฏกายขึ้นอย่างน้อยๆ สี่คนแล้ว


ยิ่งกว่านั้น ตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!


“ระยำ สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้ไร้ยางอายกันหมดแล้วหรือไร หน้าด้านหน้าทนถึงขีดสุดชัดๆ ข้าไม่เคยเห็นพวกเฒ่าน่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้มาก่อนเลย!”


เจ้าคางคกกังวลมาก และโกรธมากเช่นกัน ข่มเหงกันเกินไปแล้วชัดๆ สัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตยืนยาวไม่รู้กี่นานเท่าไรกลุ่มหนึ่ง กลับร่วมมือกันจู่โจมคนรุ่นหลังคนหนึ่ง ไม่กลัวถูกคนในโลกหัวเราะเยาะกันเลยรึ


“สหายน้อย เผ่าข้าไม่มีความคับแค้นใจใดๆ กับเจ้า ขอเพียงเจ้าทิ้งวาสนาบนตัวเอาไว้ ข้าจะหันหน้าจากไปในทันที ว่าอย่างไร”


สตรีรูปงามในชุดเรียบง่ายคนหนึ่งปรากฏกาย อิริยาบถสง่าผ่าเผย น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนละมุน


ทว่าการเคลื่อนไหวของนางกลับโหดเหี้ยมไร้เทียมทาน เรียกตาข่ายยักษ์ที่มีไฟรายล้อมผืนหนึ่งออกมาโดยตรง หว่านคลุมทั่วแผ่นฟ้าผืนพสุธา ปกคลุมไปยังยานขนส่งอวกาศ


เห็นได้ชัดว่านี่คือแหฟ้าตาข่ายดินอย่างแท้จริง เป็นอาวุธสังหารขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง หากติดอยู่ในนั้น จะถูกพันธนาการฉับพลันอย่างสิ้นเชิง


เวลานี้แม้แต่อาหูยังเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียด บนหน้าผากเกลี้ยงเกลาผุดเหงื่อกาฬขึ้นมาเล็กน้อย ร่างสูงโปร่งมีแสงที่ราวกับพยับหมอกพวยพุ่งออกมา


เห็นได้ชัดว่านางพยายามบังคับยานสุดกำลัง ไม่กล้าเลินเล่อแม้แต่เสี้ยวเดียว


หลินสวินยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ เฝ้าระวังสนามรบไปพลาง และจับสังเกตวิธีบังคับของอาหูไปด้วย


สมบัติระดับยานขนส่งอวกาศนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการผลึกวิญญาณระดับสูงจำนวนมหาศาลเพื่อเดินเครื่องและเปิดใช้งาน ยิ่งกว่านั้นยังต้องใช้วิธีตกทอดลึกลับอันเป็นเอกลักษณ์ในการบังคับอีกด้วย


“คนที่เก้าแล้ว ระยำเอ๊ย! เดรัจฉานเฒ่าสมควรตายพวกนี้ สักวันหนึ่งยามที่ข้าผงาดขึ้นมาได้ จะฆ่าพวกมันทั้งหมดไม่เว้นแน่!”


เจ้าคางคกยังคงคำราม


เปลี่ยนเป็นใครคนอื่น เวลานี้เกรงว่าคงไม่อาจไม่กลัดกลุ้ม นั่นเป็นถึงกลุ่มราชันระดับสังสารวัฏทั้งหมดเชียว!


การดำรงอยู่ระดับนี้ ดุจหนึ่งยักษ์ในโลกฝึกปราณที่ยืนอยู่บนปลายยอดสูงสุด สามารถผลาญทำลายอาณาเขตทั้งผืน เหยียบย่ำเมืองจนราบ พลิกเมฆาผันพิรุณ น่าสยดสยองไร้ขอบเขต!


ในตอนนี้ สัตว์ประหลาดเฒ่าน่าสะพรึงกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน แค่คิดก็รู้ว่าน่าสยองมากเพียงใด สามารถทำให้ทั่วโลกล้วนตะลึงได้


พลันเห็นว่าตลอดทางห้วงอากาศสับสนวุ่นวาย บนคลื่นสมุทรบังเกิดลมมรสุมถ้วนทั่ว สิ่งมีชีวิตบางส่วนที่หลบไม่ทันก็ถูกสังหารดับในพริบตา หยาดโลหิตย้อมทะเลมรกตเป็นสีแดง ตายอย่างที่เรียกได้ว่าหดหู่ไม่เป็นธรรมถึงขีดสุด


แต่ยานขนส่งอวกาศที่พวกหลินสวินอาศัยอยู่นั้น ดูราวกับแหนใบหนึ่งกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล สถานการณ์อันตรายหาใดเปรียบ ล้วนประสบกับการจู่โจมรอบทิศทุกเวลา!


แม้จะเป็นหลินสวิน ตลอดทางก็ยังรู้สึกเกร็งแน่นไปทั่วร่าง เคร่งเครียดเป็นประวัติการณ์


“รอเมื่อข้าเข้าสู่ระดับสังสารวัฏ จะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน เพื่อตอบแทน ‘ความเมตตา’ ที่พวกเขามอบให้ในวันนี้!”


แต่ไรมาหลินสวินมิได้เกรี้ยวกราดง่ายๆ ทว่าตอนนี้ เขาถูกยั่วโทสะเข้าให้แล้วจริงๆ


นับตั้งแต่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะจวบจนบัดนี้ เขาก็ถูกจับตามองทุกทิศทาง ถูกไล่สังหารอยู่ไม่ขาด แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้ก็ยังมีส่วนร่วมด้วยอย่างไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง


ต่อให้หลินสวินจิตใจดีแค่ไหน ก็ยังมิวายถูกยั่วยุจนไอสังหารโหมคลั่ง แค้นจนกัดฟันกรอด


รังแกกันเกินไปแล้ว!


“รอเจ้าเข้าสู่ระดับสังสารวัฏ ก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ข้าแนะนำว่าหากเจ้าบังเอิญพบคนในเผ่าของไอ้เฒ่าพวกนี้ในภายหน้า ให้ฆ่าจนสิ้นซากได้เลย การแก้แค้นเช่นนี้สามารถทำให้พวกเขาเจ็บปวดเข้ากระดูก”


ทันใดนั้นอาหูที่อยู่ด้านข้างพลันปริปาก กล่าวเสนอแนะออกมา


“เป็นหญิงที่อำมหิตยิ่งนัก!”


นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเจ้าคางคก แต่หลังจากนั้นแม้แต่เขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ นี่ช่างเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความจริงยิ่งยวด


“ข้าจะจำเอาไว้” นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึกเย็นชา สีหน้าเยือกเย็น


“ทนอีกหนึ่งเค่อ พวกเราก็จะหลุดพ้นพันธนาการแล้ว!”


ดวงตาสุกปลั่งของอาหูวาววับ คล้ายกับค้นพบอะไรบางอย่าง มุมปากแดงสดเอิบอิ่มฉายแววยินดีเสี้ยวหนึ่ง


ตอนที่ 637 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย

โดย

ProjectZyphon

เวลาหนึ่งเค่อ หากเป็นเมื่อก่อนก็เหมือนแค่ช่วงเวลาเพียงดีดนิ้ว


ทว่าตอนนี้สำหรับพวกหลินสวินแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าดูยาวนานและแสนทรมานเป็นพิเศษ


ราชันระดับสังสารวัฏรวมสิบสามคนกรีธาทัพมาพร้อมกัน สำแดงกระบวนสังหาร โจมตีจนพลิกฟ้าคว่ำดิน หมายจะพิฆาตพวกเขา


หากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คงไม่สามารถจินตนาการถึงความรู้สึกน่าสะพรึงที่ทำให้ผู้คนสิ้นหวังเช่นนั้นได้อย่างสิ้นเชิง


เจ้าคางคกที่แต่เดิมร้องลั่นด้วยความดาลเดือดไม่หยุดยังนิ่งเงียบอย่างน่าประหลาดใจ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอึมครึม เจียนจะมีน้ำไหลพรากออกมา สิ่งที่ฉายเด่นกลางนัยน์ตาคือความกังวล ยังมีความเดือดดาลและเคียดแค้นไม่รู้จบ


สถานการณ์เช่นนี้ ลางร้ายล้อมกาย ประดุจเดินอยู่บนเส้นแห่งความเป็นความตาย หากประมาทเพียงเสี้ยวเดียว ก็จะตกสู่จุดจบที่ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ตลอดกาล


หลินสวินเองก็นิ่งเงียบเช่นกัน นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึกจนน่ากลัว ราวกับก้นเหวไร้จุดสิ้นสุด


ไปๆ มาๆ แม้ในระดับหยั่งสัจจะเขาอาจกำราบศัตรูแทบทั้งปวงได้ ทว่าครั้นเผชิญหน้ากับราชันระดับสังสารวัฏ ท้ายที่สุดก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี!


ความรู้สึกที่ได้แต่เผ่นหนี ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไปต่อต้านเช่นนั้น ทำให้หลินสวินโหยหาจะครอบครองพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเป็นครั้งแรก


ใช่แล้ว พลัง!


……


ดวงหน้าพริ้มพรายของอาหูขาวซีดเล็กน้อย ถึงแม้การแสดงออกจะยังคงนิ่งสงบ ทว่าร่างกายที่สั่นน้อยๆ และหยาดเหงื่อชุ่มบนหน้าผากของนางกลับเผยให้เห็น ว่านางกำลังฝืนตนประคับประคอง จวนเจียนจะถึงขีดสุด


เวลาหนึ่งเค่อ


สำหรับนางแล้วเห็นชัดว่าทรหดและยาวนานเช่นเดียวกัน ดุจว่ากำลังดิ้นรนอยู่หน้าประตูนรก ใครก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าความตายจะมาเยือนเมื่อไรกันแน่


ได้เห็นฉากนี้ หลินสวินอยากถามอยู่หลายหนว่า ไฉนรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดเคราะห์สังหารระดับนี้ขึ้น เจ้ายังอยากช่วยพวกเราอีก


ทว่าท้ายที่สุดหลินสวินก็ไม่ได้เอ่ยปาก


เวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุดในการพูดคุยกันสักนิด สิ่งนี้จะกระทบต่ออาหู และยิ่งกระทบต่อชะตาชีวิตของพวกเขาทุกคนอีกด้วย


เพียงแต่ว่าส่วนลึกภายในจิตใจ ไม่ว่าเหตุผลใดที่ทำให้อาหูทำเช่นนี้ หลินสวินก็จดจำความเมตาอันใหญ่หลวงครั้งนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ตูม!


เสียงการจู่โจมสนั่นโลกต่างประดังพรั่งพรูอยู่ทุกเวลา ทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี สรรพสิ่งล้วนสั่นสะเทือน ระหว่างทางทั้งโขดหินและหมู่เกาะถูกทำลายราบไปไม่รู้เท่าไร


ยิ่งไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายแค่ไหน ที่ถูกทำลายในเคราะห์สังหารซึ่งมาเยือนอย่างปุบปับฉากนี้


และกับเรื่องทั้งหมดนี้ ราชันระดับสังสารวัฏที่ไล่สังหารเหล่านั้นกลับไม่ใส่ใจ


ในสายตาพวกเขามีแต่ยานขนส่งอวกาศลำนั้นเท่านั้น!


ในนั้นซุกซ่อนมหาศุภโชคที่พวกเขาปรารถนาเอาไว้ ไม่ว่าเป็นใครล้วนไม่อาจหักใจพลาดโอกาสทองหายากระดับนี้ไปทั้งนั้น


เพียงแต่เหนือความคาดหมายของพวกเขา ยานขนส่งอวกาศลำนั้นเหมือนเป็นแสงสายหนึ่งก็ไม่ปาน ไม่เพียงความเร็วที่ไวอย่างมหัศจรรย์ราวกับเคลื่อนย้าย ทั้งพิกัดยังล่องลอย แม้จะเผชิญกับการจู่โจมสังหารของพวกเขา ก็ยังสามารถหลบหนีหลุดรอดได้ทุกครั้ง!


สิ่งนี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจล้นเหลือ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


ยานสมบัติลำหนึ่งเท่านั้น บรรทุกเจ้าเด็กที่ไม่ควรค่าชายตาแลไม่กี่คนเอาไว้ ถ้าหากปล่อยให้มันหนีรอด เช่นนั้นพวกเขาคงต้องขายหน้าทั้งเผ่าแล้ว


หากแพร่ไปทั่วน่านสมุทรทะเลใต้ คงหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นตัวตลกคนหนึ่งอย่างแน่นอน


ไล่ตาม!


สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างมีโทสะ ลงมือจัดการสุดกำลัง


……


ท้ายที่สุดอาหูก็ไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงหนึ่งเค่อ ระหว่างทางนางแค่นเสียงอู้อี้ออกมาคราอย่างแรง มุมปากที่ซีดขาวไปนานแล้วผุดคราบเลือดสีแดงสดหนึ่งสาย


หนำซ้ำบริเวณหว่างคิ้วของนางยิ่งปรากฏความเหนื่อยล้าที่ยากขจัดทิ้งเสี้ยวหนึ่ง


ขาดอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น…


จะล้มเหลวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายกระนั้นหรือ


ภายในใจอาหูปรากฏความโรยแรงอันลุ่มลึกขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง นางฮึดสู้เต็มที่ รีดเร้นพลังของตนอย่างถึงที่สุด


“บอกเคล็ดวิธีบังคับกับข้า ให้ข้าจัดการเอง”


เวลานี้เสียงของหลินสวินพลันดังกระทบโสต อาหูนิ่งงัน เมื่อหันมองไปก็เห็นนัยน์ตาดำที่ทั้งเยือกเย็นและลึกล้ำคู่นั้นของหลินสวิน


นางเลือกจะเชื่อตามจิตใต้สำนึก เอ่ยขึ้นมาว่า “ได้!”


หลินสวินก้าวไปเบื้องหน้า สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ท่าทางเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและจดจ่ออย่างสิ้นเชิง ราวกับก้นสมุทรที่เมื่อถึงเวลา ไม่ว่ากระแสคลื่นจะซัดสาดอย่างไรก็ยังคงไม่ไหวติง


เดิมทีเจ้าคางคกวิตกกังวลหาใดเปรียบ อยากถามสักคำนักว่าเจ้าไหวหรือ


ทว่าท้ายที่สุดเขาก็กลั้นเอาไว้ เห็นได้ชัดแล้วว่าอาหูยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว พริบตาสถานการณ์ก็เลวร้ายและอันตรายเยี่ยงนี้ ก็ได้แต่ลองเสี่ยงดูสักตั้ง


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เจ้าคางคกและอาหูคาดไม่ถึงคือ หลังจากที่หลินสวินจับเคล็ดการบังคับได้แล้ว ถึงกับแสดงมาตรฐานที่เยี่ยมยอดหาใดเปรียบออกมา!


ภายใต้การบังคับของเขา ยานขนส่งอวกาศได้เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หลบเลี่ยงเคราะห์สังหารครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างหวุดหวิด ทักษะการบังคับอันชำนาญเช่นนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนอาหูเป็นผู้บังคับเองด้วยซ้ำ ดูไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าหลินสวินบังคับยานขนส่งอวกาศเป็นครั้งแรก


จนกระทั่งในเวลาต่อมา อาจเพราะคุ้นเคยกับการควบคุมประเภทนี้แล้ว ทักษะของหลินสวินก็เริ่มแม่นยำ ช่ำชองและแยบยลขึ้นเรื่อยๆ


เจ้าคางคกมองจนไม่วางตา กู่ร้องว่าวิปริต


ส่วนอาหูเองก็นิ่งงันไปเช่นเดียวกัน ดวงตาสุกปลั่งมองไปที่ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่มข้างกาย ก่อนปรากฏแววแปลกประหลาดที่หาได้ยาก


สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ ตลอดทางก่อนหน้านี้หลินสวินลอบจับตามองและเรียนรู้อย่างลับๆ และสันทัดจัดเจนในทักษะการบังคับของอาหูตั้งนานแล้ว


กอปรกับเขาสลักรอยสลักวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัย เดิมทีก็เป็นหนุ่มน้อยปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งอยู่แล้ว และตอนนี้เขาแค่บังคับสมบัติที่ปกคลุมด้วยกระบวนสลักวิญญาณโบราณมากมายลำหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่ยากสำหรับหลินสวินอยู่แล้ว


กระทั่งอาศัยองค์ความรู้แกร่งกล้าที่เขามีต่อกระบวนสลักวิญญาณ เมื่อบังคับยานสมบัติ ยิ่งสามารถแสดงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดออกมา


ในจุดนี้เกรงว่าแม้แต่อาหูยังไม่อาจทำได้


“หืม? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”


“สมควรตาย พลังของยานขนส่งอวกาศลำนี้ไฉนจึงน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้ ไม่ใช่บอกว่านี่เป็นสมบัติอริยะบรรพกาลที่ชำรุดชิ้นหนึ่งหรอกหรือ”


“น่าชังนัก! หากให้ข้ารู้ว่าผู้ใดใช้สมบัติชิ้นนี้ช่วยเหลือไอ้เศษเดนนั่น ข้าจะป่นกระดูกมันเป็นแน่แท้!”


ด้านนอก ราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งต่างสัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงการเปลี่ยนแปลงของยานขนส่งอวกาศ ครู่เดียวสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นอักโข


ไล่สังหารมาจนตอนนี้ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ แล้ว พวกเขาราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งกลับยืดยาดจนปัญญาต่อสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกถึงความอัปยศ ความอับอายกลายเป็นโกรธ


“แย่แล้ว เบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นสุสานสมุทรฝังมรรค!”


ฉับพลันราชันระดับสังสารวัฏจำนวนมากตระหนึกถึงความไม่ชอบมาพากล กลางนัยน์ตาฉายประกายกริ่งเกรงลุ่มลึกเสี้ยวหนึ่ง จากที่พวกเขารู้ พื้นที่ทะเลที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่พันลี้ ก็คืออาณาเขตที่ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ แผ่คลุมอยู่


นั่นเป็นดินแดนแห่งมหันตภัยแห่งหนึ่ง!


ในสมัยบรรพกาล ในนั้นเคยเป็นสนามรบเทพมาร อัครบุคคลไม่รู้ตั้งเท่าไรร่วงหล่นและคงอยู่มาจวบจบปัจจุบัน ที่นั่นกลายเป็นดินแดนพิศวงและอวมงคลผืนหนึ่ง ดุจหนึ่งแดนต้องห้าม เปี่ยมด้วยอันตรายน่าหวาดหวั่นที่ไม่สามารถจินตนาการได้


แม้จะเป็นราชันระดับสังสารวัฏ ล้วนไม่กล้าผลีผลามบุกทะลวงเข้าไปในนั้น!


“เร็ว ขวางพวกเขาไว้! จะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในนั้นไม่ได้เด็ดขาด!”


ชายชราชุดคลุมดำแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนองส่งเสียงร้องยาว


ตูม!


เพียงชั่วครู่พื้นที่บริเวณนี้ต่างสับสนวุ่นวาย สัตว์ประหลาดเฒ่าสิบกว่าคนร่วมกันโจมตีสุดกำลัง ปราศจากการออมชอมใดๆ อีกต่อไป หมายจะรั้งยานขนส่งอวกาศเอาไว้


เวลานี้เป็นช่วงอันตรายและน่าสะพรึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ขณะเดียวกัน หลินสวินในยามนี้เยือกเย็นเป็นประวัติการณ์ สมาธิแน่วแน่ ใช้พลังทั้งหมดไปกับการบังคับยานขนส่งอวกาศ


การโจมตีที่ห้ำหั่นไม่ขาดสายจากภายนอกนั้นถูกเขาสังเกตอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงบังคับยานขนส่งอวกาศด้วยวิธีอันน่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่ง


บางครั้งดูเหมือนถูกปิดผนึกและล้อมรอบแล้วแท้ๆ ทว่าหลินสวินกลับพบโอกาสเสี้ยวหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์หมดหวัง หลุดพ้นพันธนาการอย่างหวุดหวิดอยู่ร่ำไป


ทั้งหมดนี้ถูกเจ้าคางคกและอาหูมองเห็นอยู่ในสายตา ทำให้ทั้งสองต่างตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมกาย หัวใจกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ


“นั่น…นั่นคือสุสานสมุทรฝังมรรค!” ฉับพลันเจ้าคางคกร้องเสียงหลงขึ้นมา มองเห็นพื้นที่ทะเลซึ่งถูกปกคลุมด้วยพยับหมอกสีเทาผืนหนึ่ง


เวิ้งนภาตรงนั้นล้วนมืดครึ้มดุจรัตติกาลนิรันดร์ น้ำทะเลดำสนิท พยับหมอกพวยพุ่ง เร้นลับทั้งยังมืดมน ทำให้ผู้คนหวาดผวา


และตอนที่เจ้าคางคกได้สติตื่นขึ้นมานั้น ก็อาศัยอยู่ที่นั่นมาโดยตลอดเหตุใดจะจำไม่ได้กันเล่า


น้ำเสียงของเขาเพิ่งสิ้นสุดก็ได้ยินเสียงสวบดังขึ้นหนึ่งที ยานขนส่งอวกาศราวกับแสงกะพริบสีเงินเสี้ยวหนึ่ง พุ่งเข้าไปในพยับหมอกอันเวิ้งว้างโดยพลัน


แทบในเวลาเดียวกัน การโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏทั้งหมดพลันปกคลุมลงมา ทำให้พื้นที่ทะเลแถบนี้เกือบระเบิดกลายเป็นความว่างเปล่าที่พังทลาย


เฉียดฉิวไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น!


พวกหลินสวินเกือบประสบภัยเข้าให้แล้ว!


ทว่าเป็นเพราะความเฉียดฉิวนี้ ทำให้พวกเขารอดพ้นพันธนาการ พุ่งสู่พื้นที่ทะเลอันเป็นที่ตั้งของสุสานสมุทรฝังมรรค


“หยุดได้ ไม่ต้องหนีอีกแล้ว ตอนนี้พวกเราควรมาชมเรื่องบันเทิงฉากหนึ่งดีกว่า!”


ทันใดนั้นอาหูเปล่งเสียง นัยน์ตาสุกปลั่งฉายแววเกลียดชังเสี้ยวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านางเดือดดาลหาใดเปรียบต่อการถูกไล่สังหารเมื่อครู่


“ชมเรื่องบันเทิง? เจ้ายังมีแก่ใจชมเรื่องบันเทิง? ที่ระยำนี่เป็นถึงสุสานสมุทรฝังมรรคเชียวนะ น่ากลัวยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นอีก!”


เจ้าคางคกโกรธจนเต้นเร่าๆ เมื่อก่อนเขามั่วสุมอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ มีหรือจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวและอันตรายของที่นี่


และไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะหนีเอาชีวิตรอด ออกไปจากสถานที่บัดซบนี้ได้


ใครจะไปคิด วันนี้จะหนีกลับมาอีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้สภาพอารมณ์ของเขาย่ำแย่จนไม่อาจแย่ไปมากกว่านี้ได้แล้ว


อาหูหัวเราะร่วน กล่าวโดยไม่ได้อธิบายอะไร “เชื่อข้า ไม่ผิดแน่นอน พวกเจ้าไม่อยากดูว่าเจ้าเฒ่าที่ไล่สังหารพวกเราเหล่านั้นจะดวงซวยขนาดไหนหรือ”


ประโยคเดียวก็ทำให้เจ้าคางคกหัวใจกระตุกเสียแล้ว


ส่วนหลินสวินกลับมองไปที่อาหูคล้ายขบคิดใคร่ครวญ ท้ายที่สุดก็ยังรับคำ จอดยานขนส่งอวกาศอยู่ในพยับหมอกจุดหนึ่ง


เรื่องบันเทิง?


จะเป็นเรื่องบันเทิงแบบไหนกันแน่


สายตาของพวกเขามองออก ไปเบื้องหน้านอกยานขนส่งอวกาศ


……


“น่าชังนัก!”


“ดันปล่อยพวกเขาหนีเข้าไปจนได้!”


ละแวกสุสานสมุทรฝังมรรคมีเสียงตวาดเดือดดาลระลอกแล้วระลอกเล่าดังก้องขึ้น ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความขัดใจและไฟโทสะ ประดุจฟ้าคำรามปั่นป่วน พรั่งพรูไปทั่ว


ราชันระดับสังสารวัฏมาถึงคนแล้วคนเล่า เงาร่างปรากฏอยู่ละแวกใกล้เคียง ทว่าชั่วขณะนี้พวกเขาต่างลังเล คล้ายกับกริ่งเกรง ไม่กล้าผลีผลามบุกทะลวงเข้าไป


“ทำอย่างไรดี ที่แห่งนี้น่าสะพรึงนัก หากบุ่มบ่ามเข้าไปในนั้น เกรงแต่จะประสบภัยพิบัติร้ายแรงเท่านั้น!”


มีสัตว์ประหลาดเฒ่าเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ยังจะทำอย่างไรได้ บุกเข้าไป! มหาศุภโชคบนตัวของเจ้าเศษเดนนั่นมีความเกี่ยวข้องกับอริยมรรคบรรพกาล วาสนาระดับนี้จะพลาดได้อย่างไร”


มีคนแค่นเสียงเย็นอย่างแข็งกร้าวยิ่ง ทว่ากลับไม่ได้เริ่มกระทำการทันทีทันใด เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เขาจะเอ่ยคำอย่างกึกก้อง แต่ที่จริงแล้วภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น


นี่ก็คือความน่ากลัวของสุสานสมุทรฝังมรรค ดุจดั่งแดนต้องห้าม สามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏต่างหน้าถอดสี แค่คิดก็รู้ว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความพิศวงและอวมงคลมากเพียงใด


“พวกเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าก็ขอนำหน้าก้าวหนึ่งแล้ว!”


ทันใดนั้นชายชราชุดคลุมดำแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนองสาวเท้าย่างก้าวฉับๆ เงาร่างพลันหายลับไปในพยับหมอกสีเทาอันเวิ้งว้างแห่งนั้น


สิ่งนี้ทำให้ราชันระดับสังสารวัฏคนอื่นๆ ล้วนกระสับกระส่าย สายตาวูบไหว


ไม่ทันไรก็มีสัตว์ประหลาดเฒ่าห้าหกคนกัดฟันแน่น ทำการตัดสินใจ ทะยานตัวพุ่งเข้าไปทันที


ราชันระดับสังสารวัฏคนอื่นๆ ครุ่นคิดสักพัก ถึงแม้ภายในใจจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้


พวกเขาหาได้ใจเสาะไม่ แต่เป็นเพราะรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของสุสานสมุทรฝังมรรค หากผลีผลามบุกเข้าไปในนั้น ก็เป็นไปได้ว่าอาจถึงขั้นไม่มีโอกาสเดินออกมาอีกเลย!


แต่แม้จะเลือกหยุดฝีเท้า สัตว์ประหลาดเฒ่าที่เหลือเหล่านี้ก็ไม่ได้จากไป พวกเขากำลังเฝ้าสังเกต ไม่ยอมจำนนทั้งอย่างนี้


ขอเพียงมีโอกาสแม้เสี้ยวเดียวปรากฏขึ้น พวกเขาก็จะลงมือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!


ตอนที่ 638 เรื่องบันเทิงเปิดฉาก

โดย

ProjectZyphon

“เรื่องบันเทิงกำลังจะเปิดฉากแล้ว”


ในห้องโดยสาร ดวงตาสุกปลั่งของอาหูว่ายเวียนด้วยแสงวาวสุดพรรณนา ดูคล้ายค่อนข้างฮึกเหิม


พยับหมอกสีเทาคละคลุ้ง พื้นที่ทะเลแห่งนี้เงียบสงัดหาใดเปรียบ น่ากลัววังเวง แม้จะอยู่ในยานขนส่งอวกาศ ก็ยังทำให้หลินสวินรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกพิลึกได้อย่างหนึ่ง


เสมือนว่าที่แห่งนี้อาจบังเกิดเรื่องราวอวมงคลได้ทุกเมื่อ


เจ้าคางคกมีอาการหมองมัวไม่อาจสงบ นับตั้งแต่กลับมายังอาณาเขตแห่งสุสานสมุทรฝังมรรค เขาก็เปลี่ยนเป็นผิดวิสัย ลุกลี้ลุกลน สงบปากสงบคำ


ในไม่ช้าหลินสวินก็ตระหนักได้ว่ามีเงาร่างของราชันระดับสังสารวัฏห้าหกคนทะยานเข้ามาราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์


พวกเขาทรงพลังล้นหลาม ทั่วสรรพางค์กายไหลเวียนด้วยท่วงทำนองแห่งมหามรรค ส่องแสงไกลหมื่นจั้ง ดุจดังทวยเทพศักดิ์สิทธิ์


ทว่าหลังจากมาถึงพื้นที่บริเวณนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะแกร่งกล้าปานใด กลับถึงขั้นไม่สามารถปัดเป่าพยับหมอกสีเทาที่ครอบคลุมกลางฟ้าดินบนผิวทะเลที่ลอยเอื่อยได้เลย!


สิ่งนี้ทำให้ท่าทางของพวกเขาต่างเคร่งขรึม


นี่ก็คือสุสานสมุทรฝังมรรค ตามตำนาน ที่นี่ยังเป็นสนามรบแห่งหนึ่งในยุคบรรพาล ราชันอริยะที่แท้จริงเคยมอดม้วยที่นี่!


ราชันอริยะ!


นี่เป็นถึงอัครบุคคลที่เหยียบย่างสู่ปลายยอดแห่งอริยมรรค สมญานามว่าราชันในบรรดาอริยะ ผู้ฝึกปราณที่แทบจะอายุยืนนานเทียมฟ้า สว่างไสวดุจสุริยันจันทรา


ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องขมขื่นมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้ แค่คิดก็รู้ได้ว่าการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นในสมรภูมิแห่งนี้จะน่าสะพรึงและไร้เทียมทานมากเพียงใด


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้จะเป็นราชันระดับสังสารวัฏเหล่านี้ ต่างเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงและรอบคอบ ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยพลการ


“นี่ก็คือเรื่องบันเทิงที่เจ้าว่า?”


ในใจของหลินสวินหนักอึ้ง ดวงตาดำสนิทหรี่ลง ระยะห่างใกล้เกินไปแล้ว ถ้าหากยังไม่จากไปอีก ชั่วพริบตาเดียวราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นจะต้องพบตัวพวกเขาเป็นแน่


“อย่ากังวลไป เจ้าแค่คอยชมฉากบันเทิงเงียบๆ ก็พอ” นัยน์ตาของอาหูฉายแววลึกลับ


โครงหน้าของนางดั่งภาพวาด งามวิไลแช่มช้อย เวลานี้ยามได้เห็นราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นมาถึง นางไม่เพียงไม่หวาดกลัวกริ่งเกรง ตรงข้ามกลับดูคล้ายค่อนข้างผิดหวัง


“ไฉนถึงมาแค่ไม่กี่คนเอง สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ไม่ได้มากันหรือ…” นางพึมพำเสียงกระซิบ “แต่ว่าเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว”


ภายในใจของหลินสวินพลันไหววูบ อดเหลือบมองอาหูปราดหนึ่งไม่ได้ นาง…ดูคล้ายจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?


และในขณะนั้นเอง ราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นพบยานขนส่งอวกาศแล้ว แววตาต่างพราวระยับตามๆ กัน ปราดประชิดเข้ามาทางนี้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย


พวกเขาทั้งหมดหกคนล้อมเข้ามา เพียงแต่ยามนี้กลับไม่ได้ลงมือในทันที ตรงข้ามต่างตื่นตัว มีสัญญาณแห่งการประจันหน้าอยู่รางๆ


เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย หนึ่งเพราะสถานที่แห่งนี้คือสุสานสมุทรฝังมรรค อันตรายและเป็นอัปมงคลมากเกินไป ทำให้พวกเขาต่างรอบคอบและระแวดระมัง ไม่กล้ากระทำการผลีผลาม


อีกด้านหนึ่งก็เพราะว่า พวกเขาคุมเชิงและระแวงกันเอง!


บนตัวหลินสวินมีมหาศุภโชค นี่คือสิ่งที่พวกเขามั่นใจตั้งแต่ต้น แต่ไม่ว่าราชันระดับสังสารวัฏคนใด กลัวแต่ว่าคงไม่อาจปล่อยให้มหาศุภโชคฉากนี้ถูกคนอื่นแย่งเอาไปได้ทั้งนั้น


พวกเขาต่างรู้ดี หลินสวินไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงคือ ยามที่ต่อสู้แย่งชิงมหาศุภโชคนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพวกเขาอาจจะเกิดความขัดแย้งและเปิดศึกนองเลือดกันเอง!


คนพวกนี้ล้วนเป็นของเฒ่าโบราณที่มีชีวิตอยู่ไม่รู้กี่กาลเวลา ย่อมรู้ถึงจุดนี้ดี ฉะนั้นแล้วจึงไม่ได้ลงมือผลีผลาม


“ไอ้หนู ทำไมไม่หนีแล้ว? ควบคุมไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่?”


ชายชราชุดคลุมดำ ผู้อาวุโสเผ่าวิหคเพลิงคะนองผู้นั้นแค่นเสียงเย็น ไร้ซึ่งความหวาดกลัว กลางนัยน์ตาเปี่ยมด้วยลำแสงเย็นเยียบ เสมือนมองทะลุยานขนส่งอวกาศและมองเห็นหลินสวินที่อยู่ในนั้น


หลินสวินไม่ได้เอ่ยวาจา นิ่งเงียบสงบคำ


“ดูท่าเจ้าคงรู้ว่าที่นี่คือสุสานสมุทรฝังมรรค ทั้งยังเป็นสถานที่แห่งมหัตภัยนับแต่บรรพกาลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่กล้าบุกทะลวงเข้าไปอย่างผลีผลาม”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากเนิบช้าอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะถูกจับโดยละม่อมแล้ว ไม่สู้ตามพวกเราออกไปจากสถานที่นี้ก่อนว่าอย่างไร บางที เห็นแก่ที่เจ้าให้ความร่วมมือ เผลอๆ พวกข้าอาจจะมอบหนทางรอดชีวิตให้แก่เจ้าก็ได้”


ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ หัวใจกระตุกไปทันที


อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสุสานสมุทรฝังมรรค ในกาลเวลาที่ล่วงเลยมา ผู้แข็งแกร่งที่ยิ่งแกร่งกล้าก็ยิ่งไม่เต็มใจจะเสี่ยงอันตรายเข้ามา


เพราะว่าที่นี่เป็นดินแดนแห่งมหันตภัยโดยไร้ข้อกังขา สิ่งมีชีวิตที่ทั้งน่ากลัวและแปลกประหลาดอาศัยอยู่จำนวนมาก ครั้นสัมผัสได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งบุกเข้าไป ก็จะประสบกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกมัน


กระทั่งในกาลเวลาที่ล่วงเลยมา มีราชันระดับสังสารวัฏที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้ดาหน้าเข้ามาไม่น้อย แต่ล้วนมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น!


หากไม่จำเป็น พวกเขาคงไม่เลือกสถานที่แห่งนี้มาต่อสู้เข่นฆ่ากันเองเพื่อศุภโชคบนตัวของหลินสวิน


หลินสวินยังคงนิ่งเงียบ เขากำลังรอคอย รอคอยสิ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องบันเทิง’ ที่อาหูพูดถึงอยู่


ส่วนเจ้าคางคกนั้นมีสีหน้าปั้นยากสุดขีด กล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “นางอสูรมาร เจ้ากำลังเล่นสนุกอะไรอยู่กันแน่ ถ้าล้มเหลวขึ้นมา พวกเราต้องพลอยดวงซวยไปกับเจ้าด้วยนะ!”


อาหูเม้มเรียวปากเรื่อแดง คลี่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ส่งสัญญาณให้เจ้าคางคกสงบสติอารมณ์


“ไอ้หนู ยังไม่รีบออกมาอีก! อย่าบังคับให้พวกข้าลงมือจับตายเจ้าที่นี่เลย” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเริ่มหัวเสียแล้ว น้ำเสียงเปี่ยมด้วยไอสังหาร เห็นหลินสวินเป็นก้อนเนื้อบนเขียง สามารถสังหารอย่างไรก็ได้


“ในนั้นจะมีกลลวงอยู่หรือไม่”


ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเอ่ยเตือน คิดว่าพวกหลินสวินโดยสารยานขนส่งอวกาศมา แต่อยู่ดีๆ กลับจอดชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน เห็นได้ชัดว่าออกจะผิดปกติ


“เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่นี่เพิ่งจะเป็นเพียงเส้นขอบของสุสานสมุทรฝังมรรคเท่านั้น ต่อให้มีอันตรายพวกเราก็หนีออกไปตั้งแต่แวบแรกได้เช่นกัน”


ชายชราชุดคลุมดำแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนองไม่เห็นด้วย “ยิ่งกว่านั้น ภายใต้การปิดล้อมของพวกเรา อาศัยแค่เจ้าเด็กนั่นยังมีโอกาสขัดขืนได้หรือ”


ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็โล่งใจ ผุดรอยยิ้มออกมา


“ไอ้หนู ความอดทนของพวกข้ามีขีดจำกัด ขอเตือนเจ้าว่าควรให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย ออกมาเสียแต่ตอนนี้ มิเช่นนั้นรอยามที่พวกเราลงมือ ชะตากรรมของเจ้าก็จะมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย!” ผู้อาวุโสผมสีเขียวทั่วศีรษะแผ่นหลังมีปีกสีน้ำเงินคู่หนึ่งเอ่ยปากอย่างเย็นเยียบ


หลินสวินสามารถรักษาความนิ่งเงียบเอาไว้ได้ ทว่าเจ้าคางคกกลับกลั้นไม่ไหวแล้ว สาปแช่งพลางเต้นโหยงๆ “คำพูดระยำไร้สาระของพวกเจ้านี่ช่างเยอะเสียจริง ถ้ากล้าก็ลงมือเลย ไม่กล้าก็รีบไสหัวออกไป!”


“เจ้าว่าอะไรนะ!”


ฉับพลันสีหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าขรึมลง แววตาลุกโชน จนถึงป่านนี้แล้ว อีกฝ่ายถึงกับยังกล้าปลุกปั่น นี่เป็นการลบหลู่ความน่าเกรงขามของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย


“ท่านทั้งหลาย โปรดเห็นแก่หน้าข้า ข้าอยากเด็ดหัวมันผู้นี้เอากลับไปหลอมสังเวยเป็นจอกสุรา ผู้ใดก็อย่าช่วงชิงกับข้า”


เสียงผู้อาวุโสผมเขียวผู้นั้นเต็มไปด้วยไอสังหารแน่นขนัด


“แค่หัวเดียวเท่านั้น ยกให้เจ้าจะเป็นไร สิ่งที่พวกข้าสนใจยิ่งกว่า กลับเป็นศุภโชคบนตัวเจ้าเด็กนั่นต่างหาก!”


ผู้อาวุโสทั้งกลุ่มส่งเสียงราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเหยียดหยาม


“ช่างพูดเหลวไหลไม่สิ้น มาๆๆ ข้าจะดูว่าพวกเจ้าคนไหนกล้าลงมือก่อน!?”


เจ้าคางคกพูดโพล่งออกมาเต็มที่อย่างเยาะเย้ยเหยียดหยัน


“รนหาที่ตาย! ทุกท่าน พวกเราต่างมาเพื่อวาสนา ไม่สู้ปล่อยให้ข้าจับมันมาสังหาร จากนั้นพวกเราค่อยหารือถึงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของวาสนากันภายหลัง ว่าอย่างไร”


สีหน้าชายชราชุดคลุมดำแสนอึมครึม เขาถูกยั่วโมโหอย่างสิ้นเชิง ในฐานะราชันระดับสังสารวัฏ กลับถูกผู้อ่อนอาวุโสคนหนึ่งปลุกปั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่มันเป็นความอัปยศชัดๆ


“ก็ดี”


สายตาของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างลุกโชนระลอกหนึ่ง ท้ายที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง


พวกเขามากวัยวุฒิทรงพลัง ย่อมไม่อาจถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้าคางคกรบกวนจิตใจได้ สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ก็มีแต่ปัญหาในการช่วงชิงวาสนาเพียงเท่านั้น


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสายตาของพวกเขา พวกหลินสวินไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากคนที่ตายไปแล้วเลย


สิ่งที่ควรค่าให้ความสำคัญสำหรับพวกเขา ก็มีเพียงแค่อันตรายของสุสานสมุทรฝังมรรคและความขัดแย้งที่อาจปะทุขึ้นในยามที่แย่งชิงวาสนากันเองเท่านั้น


ตูม!


ชายชราชุดคลุมดำลงมือทันที ไม่มีความลังเลใดๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งซึ่งราวกับการรวมตัวของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์แหวกอากาศคว้าไปทางยานขนส่งอวกาศเต็มแรง


“มาแล้ว!” นัยน์ตาเจ้าคางคกหดรัด หัวใจกระดอนมาถึงลำคอ ช่องปากแห้งผาก เผชิญหน้ากับการสังหารของราชันระดับสังสารวัฏ เขาเองก็ไม่อาจไม่ประหม่า


นัยน์ตาดำของหลินสวินไหวเคลื่อน ทั่วสรรพางค์กายก็พลอยตึงเครียดขึ้นมา


มีอาหูเพียงคนเดียวที่กลางนัยน์ตาสุกปลั่งเจิดจ้าเปล่งประกาย สีสันแปลกประหลาดประหนึ่งระลอกคลื่น เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เรื่องบันเทิงเปิดฉากแล้ว…”


มือใหญ่ปกคลุมท้องฟ้า ราวกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์รวมตัว ทั้งเจิดจรัสและสว่างไสว แผดเผาห้วงอากาศ พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัว


นี่คือพลังที่ของราชันระดับสังสารวัฏ ฟ้าดินตะลึงภูตผีร่ำไห้อย่างแท้จริง!


ผู้อาวุโสท่านอื่นเห็นดังนี้ต่างลอบพยักหน้า รู้ว่าภายใต้การครอบคลุมของการโจมตีระดับนี้ แม้อีกฝ่ายจะบังคับยานขนส่งอวกาศลำนั้นอยู่ ก็ไม่มีโอกาสให้เผ่นหนีแม้แต่เสี้ยวเดียวอีก!


พวกเขาเริ่มครุ่นคิดปัญหาเรื่องจะแบ่งศุภโชคนี้อย่างไร หลังจากจับตัวเจ้าเด็กนั่นได้แล้ว…


เพียงแต่ในขณะเดียวกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสชุดคลุมดำที่ลงมือ หรือผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแข็งทื่อไปทั่วร่าง รู้สึกขนลุกขนชัน


ปึง!


ท่ามกลางพยับหมอกสีเทาหม่น ไม่รู้ว่ามีเงาแช่มช้อยเทียวผลุบเทียวโผล่สายหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไร กลิ่นอายน่าหวาดกลัวทำให้สรรพสิ่งต่างสั่นเทิ้มคละคลุ้งออกมา


เปรี้ยง!


มือใหญ่ปกคลุมฟ้าที่ราวกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ข้างนั้นยังไม่ทันปิดคลุมยานขนส่งอวกาศก็ระเบิดกระจุยกระจาย ถูกทำลายอยู่กลางอากาศราวกับกระดาษว่าวก็มิปาน


“คะ…คนผู้นั้นคือ…” มีผู้อาวุโสอดร้องลั่นไม่ได้ รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง หนังศีรษะชาวาบ


ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ทั้งตกใจทั้งโกรธ สีหน้าขาวซีดไม่น่ามอง ตั้งแต่แวบแรกพวกเขาก็สัมผัสถึงอันตรายสุดขีด ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่กลางขุมนรกมืดมิดในพริบตา


และสิ่งที่ทำให้เกิดทุกสิ่งนี้ ก็คือเงาแช่มช้อยสายนั้นที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางพยับหมอกเทาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้


เห็นได้ชัดว่านางเป็นสตรีนางหนึ่ง เรือนร่างอรชร เทียวผลุบเทียวโผล่ ทั่วสรรพางค์กายถูกห้อมล้อมด้วยพยับหมกสีเทาไพศาล พลุ่งพล่านด้วยพลังอันคลุมเครือและไร้รูป ทำให้ผู้คนไม่สามารถสอดส่องถึงรูปลักษณ์ของนางได้


และในสายตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้น ‘สตรีหมอก’ ผู้นี้คล้ายกับนายเหนือหัวที่หยัดยืนกลางฟ้าดิน มีกลิ่นอายที่ดูหมิ่นโลกมนุษย์และสามารถทำลายล้างสรรพสิ่งได้อย่างหนึ่ง น่าสะพรึงกลัวและพิศวงล้นเหลือ


สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต่างอกสั่นขวัญแขวน ประดุจมดเผชิญหน้ากับเทพไท้ที่แท้จริง ไม่สามารถควบคุมความกลัวและหวาดเกรงได้เลยสักนิด มันแผ่ซานไปทั่งร่างกาย


นะ…นางเป็นใคร?


หรือว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ลึกลับบางอย่างในสุสานสมุทรฝังมรรค


“เป็นนาง!”


ชั่วขณะนี้หลินสวินเองก็สั่นไปทั้งร่างเช่นกัน จดจำเงาแช่มช้อยสายนั้นได้ เป็นบุคคลน่าสะพรึงผู้นั้นที่เคยปรากฏตัวอยู่ในส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาตนั่นเอง


ตอนนั้นนางปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับเงาร่างภิกษุที่ลึกลับผู้หนึ่ง ทิ้งความประทับใจลึกซึ้งที่ยากจะลบเลือนไว้ให้แก่หลินสวิน


เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ในเวลาแบบนี้นางถึงกับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!


หรือสิ่งที่เรียกว่า ‘ที่พึ่ง’ ของอาหู ก็คือบุคคลสำคัญผู้นี้?


——


ตอนที่ 639 บุญสัมพันธ์

โดย

ProjectZyphon

“ถอยด่วน!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคำราม


ไม่ต้องพูดมากความ สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างรู้สึกถึงความน่ากลัวของ ‘สตรีหมอก’ ผู้นั้น ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นรัว หนังศีรษะชาวาบ


แต่ว่า สายไปแล้ว


หลังจากสตรีหมอกปรากฏกาย ไม่เคยเปล่งเสียงสักคำ ลึกลับและทำให้ผู้คนสะพรึงกลัว


นางโบกมือเบาๆ


มองเห็นพลังไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจาย ทำให้พื้นที่บริเวณนี้พลิกตลบ ห้วงอากาศพังครืนและจมดิ่ง


ฝั่งตรงข้ามชายชราชุดคลุมดำรับแรงกระแทกเป็นคนแรก ยังไม่ทันแม้แต่จะขัดขืนก็ถูกพลังสายนั้นครอบงำ


จากนั้นภาพชวนตะลึงก็ปรากฏขึ้น ร่างของชายชราชุดคลุมดำส่งเสียงดังปึงปัง กลายร่างเป็นปักษาเทพวิหคเพลิงคะนองตัวหนึ่ง


จากนั้นร่างนั้นของเขาหดเล็กลงหลายเท่า กลายเป็นมดขนาดเล็กร่วงลงบนมือของสตรีหมอกผู้นั้นอย่างแผ่วเบา


และเวลานี้เอง สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มถึงได้สังเกตเห็น ในมือของสตรีหมอกคนนั้นถือบาตรสีม่วงที่แหว่งมุมใบหนึ่ง ภายในนั้นมีไอคลุมเครือปั่นป่วน ทำให้ผู้คนหวาดผวา


วิหคเพลิงคะนองที่แปลงร่างมาจากชายชราชุดคลุมดำก็ถูกกำราบไว้ในบาตรสีม่วงใบนั้น และไม่ได้ส่งเสียงดังออกมาอีกเลย


“นี่…”


สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ แต่ละคนสีหน้าขาวซีด เพิ่งจะประจันหน้ากัน หนึ่งในราชันระดับสังสารวัฏของพวกเขาก็ถูกกำราบเสียแล้ว!


ไม่สิ ถูกดูดกลืนต่างหาก ถูกดูดซับเข้าไปในสมบัติของอีกฝ่ายราวกับเป็นอสูรวิญญาณยอมจำนนตัวหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน และถูกสยบเอาไว้ได้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับราชันระดับสังสารวัฏคนใดก็ตาม ถูกจับกุมด้วยวิธีเยี่ยงนี้ นั่นมันทรมานเสียยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาให้ตายชัดๆ!


อย่างไรเสียพวกเขาก็เกือบจะยืนหยัดอยู่บนตำแหน่งปลายยอดของผู้ฝึกปราณในโลก อำนาจไพศาล สั่นสะเทือนทั่วเขตแดน ตกเป็นเป้าสายตาทุกผู้คน


ทว่าตอนนี้กลับถูกคนบังคับให้ยอมจำนนและดูดกลืนเหมือนอสูรวิญญาณ เป็นเรื่องน่าอดสูอย่างยิ่ง


แต่ในขณะเดียวกัน วิธีการชั้นยอดที่คาดเดาไม่ได้และสูงล้ำของสตรีหมอกนั้น ก็ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นสั่นสะท้านด้วยความกลัว หวาดหวั่นสุดขีด


แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังเป็นประหนึ่งหมด ถูกสยบด้วยการโจมตีเดียว สตรีหมอกลึกลับผู้นี้จะน่าสะพรึงถึงขั้นไหนกันเล่า


นางเป็นใครกันแน่


ในเวลาเดียวกันหลินสวินและเจ้าคางคกก็ตกใจเช่นกัน นัยน์ตาหดรัด ภายในใจบังเกิดความตกใจที่อธิบายออก


วิธีการที่คาดเดาไม่ได้ของธิดาหมอกทำให้พวกเขานึกถึงวานรเฒ่าตัวนั้น น่าหวาดกลัวและแข็งแกร่งแบบนี้เช่นเดียวกัน เห็นราชันระดับสังสารวัฏเป็นดั่งมด มีกลิ่นอายทรงพลังสะเทือนจักรวาลอย่างหนึ่งแผ่คลุมฟ้าดิน


นางก็เป็นอริยะผู้หนึ่งเช่นกันหรือ


บนผิวทะเลพยับหมอกสีเทาขุ่น สตรีหมอกลึกลับผู้นั้นหาได้ออมมือไม่ พลังไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกจากตัวนางอีกครั้ง


“หนี!”


สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นหวาดกลัวจนใจเสาะโดยสิ้นเชิง ตาแทบถลนเบ้า แต่ละคนเข้าแทบจะบ้าคลั่ง เผ่นหนีสุดแรงเกิด


ทว่าเพียงชั่ววูบเท่านั้น พวกเขาก็พบว่าห้วงอากาศรอบบริเวณราวกับถูกปิดผนึก กลายเป็นกรงแห่งฟ้าดิน ทำเอาพวกเขาไม่สามารถทะลุผ่านไปได้!


“ไม่…!”


พวกเขาขวัญแทบบินด้วยความหวาดกลัว สีหน้าแปรเปลี่ยน หวาดหวั่นเป็นล้นพ้น นี่ก็เป็นบริเวณที่อันตรายของสุสานสมุทรฝังมรรคหรือ


ปึง!


ผู้อาวุโสคนหนึ่งประสบพิบัติ เงาร่างกลายเป็นจระเข้นอเขียวตัวหนึ่ง จากนั้นพลันหดเล็กลงมีขนาดเท่ามด ถูกเก็บเข้าไปในบาตรสีม่วงในมือสตรีหมอกคนนั้น


ภาพนี้พิศวงและน่าตกใจ สตรีหมอกลึกลับสุดหยั่งถึงผู้หนึ่ง ตั้งแต่ปรากฏกายยังไม่ได้เอ่ยเลยสักคำ แต่นางลงมือสองครั้ง กลับสยบราชันระดับสังสารวัฏสองคนได้อย่างง่ายดาย!


ท่าทางที่เป็นเอกเทศและน่าหวาดกลัวนั้น ราวกับเทพที่สามารถทำได้ทุกสิ่งในตำนาน สามารถกวาดล้างโลกได้


“ไม่…!”


สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ร้องคำราม เผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง งัดพลังสุดแรงเกิดเรียกสมบัติในก้นกรุต่างๆ นานาออกมา คล้ายกับมดในหม้อร้อนก็มิปาน


หากมีทางเลือก พวกเขาจะไม่ยอมย่างกรายเข้าสู่สุสานสมุทรฝังมรรคที่อัปมงคลและลี้ลับนี้เด็ดขาด


น่าเสียดาย มานึกเสียใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้ว


……


ด้านนอก


ยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าหกเจ็ดคนคอยสอดส่องอยู่ พวกเขาไม่เต็มใจออกไปจากที่แห่งนี้ ในใจต่างไตร่ตรอง คิดเสาะหาโอกาสแบ่งสันปันส่วนกัน


สำหรับพวกเขาแล้ว หลินสวินก็เป็นเหมือนมหาศุภโชคที่มีชีวิตอยู่ บนตัวซุกซ่อนสิ่งของมากมายที่ทำให้พวกเขาตาลุกวาวน้ำลายหก


อย่างคัมภีร์อริยมรรคที่ตกทอดมาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ


หรืออย่างตำราทองสาส์นหยกจากภูเขาเทพหมอกม่วง


ไม่ว่าจะเป็นชิ้นไหน ล้วนเชื่อมโยงถึงความลับแห่งมรดกอริยมรรคทั้งสิ้น เพียงพอจะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏคนใดก็ตามเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งได้


ยิ่งกว่านั้นบนตัวหลินสวินยังมีสมบัติที่ชิงมาจากบุตรเทพแต่ละเผ่าที่เขาสังหารมากมาย สิ่งนี้ก็แสนยั่วยวนหาใดเปรียบเช่นกัน


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดยังจะเต็มใจยอมแพ้และจากไปทั้งอย่างนี้อีกเล่า


“ทุกท่าน ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันเป็นอย่างไร ไม่ว่าใครได้รับศุภโชคนี้ไปในท้ายที่สุด ตอนที่เขากลับมาจากสุสานสมุทรฝังมรรค พวกเราก็ลงมือฆ่ามันทันที หากเป็นเช่นนี้ศุภโชคก็จะเป็นของพวกเราแล้ว”


ผู้อาวุโสคนหนึ่งเสนอความเห็น ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างสะท้านใจเป็นอย่างยิ่ง


“อ๊าก…!”


ทว่าขณะนั้นเอง เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังลอยออกมาจากส่วนลึกของสุสานสมุทรฝังมรรคสีเทาหม่น เจือความหวาดหวั่นไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ด้วย


สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างสั่นเทิ้มทั่วร่าง สีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล เป็นผู้อาวุโสของเผ่าวิหคเพลิงคะนอง! เขาประสบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอะไรในนั้นงั้นหรือ


สิ่งนี้ทำให้ในใจของพวกเขาเย็นเยียบ คลางแคลงไม่สงบนิ่ง ในใจแอบรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นไม่ได้เลือกรุดหน้าเข้าสู่สุสานสมุทรฝังมรรค


สถานที่บัดซบนั่นสยองเกินไปแล้ว พิศวงถึงขีดสุด ในกาลเวลาที่ล่วงเลยมา ไม่รู้ว่ามีบุคคลเก่งกาจตั้งเท่าใดที่มอดม้วยอยู่ในนั้น


“ไม่…!”


ไม่นานนักก็มีเสียงร้องสนั่นบ้าคลั่งระคนตกใจดังออกมา เหมือนกับเสียงตะโกนของสัตว์ที่จมสู่ความสิ้นหวัง ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว


บัดนั้นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ภายนอกต่างมองหน้าสบตากัน แต่ละคนเสียวสันหลังวาบ ในสุสานสมุทรฝังมรรคจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างที่น่าหวาดกลัวสุดขีดแน่นอน!


ทำอย่างไรดี?


ไปหรืออยู่?


ขณะที่ในใจพวกเขาต่างสงสัยอยู่นั้น บริเวณส่วนลึกของสุสานสมุทรฝังมรรคสีเทาหม่นกลับแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวลอยออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว


ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ในใจผู้คนเริ่มหวาดกลัว


ภายในนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าพวกที่รุดหน้ามาพร้อมกับพวกเขาเหล่านั้น ประสบภัยพิบัติจนมอดม้วยแล้วใช่หรือไม่


“ศุภโชคคราวนี้ยกให้ทุกท่านแล้ว ข้ายังมีธุระสำคัญ ขอตัวก่อน”


ผู้อาวุโสบางคนรั้งอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกถึงความกดดันและหวั่นหวาดที่อธิบายไม่ถูก เบือนหน้าแล้วจากไปทันที


สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ เห็นดังนี้ท่าทีก็เปลี่ยนแปลงไป เห็นชัดว่าลังเลยิ่งนัก ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ ว่าบริเวณส่วนลึกหมอกหนาคล้ายจะปรากฏเงาแช่มช้อยสายหนึ่งขึ้นรางๆ


นั่นคือ?


พวกเขาตัวแข็งทื่อ หนังศีรษะชา เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่วมท้นทั่วสรรพางค์กาย


“ไป!”


พวกเขาไหนเลยจะยังกล้าลังเลอยู่อีก พริบตาเดียวก็แตกกระเจิง หนีไวกว่าใครทั้งนั้น


และในเวลานี้เอง สัตว์ประหลาดเฒ่าที่คอยสังเกตการณ์อยู่ภายนอกพวกนี้ก็ตระหนักได้ในที่สุด ว่าสหายที่เข้าไปในสุสานสมุทรฝังมรรคเหล่านั้น น่ากลัวว่าจะออกมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…


และเมื่อนึกถึงเงาแช่มช้อยที่เทียวผลุบเทียวโผล่สายนั้น พวกเขาต่างก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง น่ากลัวเหลือเกิน นั่นก็คือ ‘มหาอสูร’ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในสุสานสมุทรฝังมรรคหรือ


……


ภายในยานขนส่งอวกาศเงียบเชียบไปทั้งแถบ


หลินสวินและเจ้าคางคกต่างตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อยู่เป็นนาน


พวกเขามองเห็นราชันระดับสังสารวัฏคนแล้วคนเล่าดุจดั่งมด ถูกสตรีหมอกลึกลับผู้นั้นทำให้สวามิภักดิ์ทีละคน กำราบเข้าไปในบาตรสีม่วง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นการต่อต้านใดๆ เลยสักเสี้ยว เห็นได้ชัดว่าง่ายดายถึงขีดสุด


ทว่าก็เพราะเป็นเช่นนี้ถึงทำให้พวกหลินสวินตกตะลึง ปากคอแห้งผาก แข็งแกร่งเกินไปแล้ว กำราบราชันระดับสังสารวัฏดุจดั่งเชือดไก่ง ต้องบำเพ็ญากลัวระดับไหนกันแน่กว่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้


ไม่อาจจินตนาการได้!


ท้ายที่สุดสัตว์ประหลาดเฒ่าหกคนที่เข้าสู่เขตแดนสุสานสมุทรฝังมรรคครั้งนี้ ล้วนถูกล้างบางจนเกลี้ยง ไม่มีสักคนที่สามารถหนีออกไปได้


และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องบันเทิง’ ของอาหูหรือ


หรือนางรู้ว่าจะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นจึงบังคับยานขนส่งอวกาศมาทางอาณาเขตของสุสานสมุทรฝังมรรคแห่งนี้


ทันใดนั้นสายตาของพวกหลินสวินที่มองไปทางอาหูก็เปลี่ยนไป สาวน้อยลึกลับผู้นี้ ไม่เพียงแต่งดงามดุจเทพเซียนผู้โดดเด่น ยังมีที่มายิ่งใหญ่ ทำให้ผู้คนไม่อาจคาดเดาได้อย่างเห็นได้ชัด


แม้กระทั่งเจ้าคางคกยังนิ่งเงียบ นับตั้งแต่เขาฟื้นตื่นคืนสติก็ใช้ชีวิตอยู่ในสุสานสมุทรฝังมรรคมาตลอด เคยเห็นราชันในกองทัพวิญญาณอาฆาต และเคยเห็นเรื่องราวอัปมงคลและแปลกพิสดารมากมาย


ทว่าเขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าในพื้นที่ลึกลับแห่งนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวหาใดเปรียบเฉกเช่นสตรีหมอกอยู่ด้วย!


แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น อาหูกลับดูเหมือนจะเข้าใจสุสานสมุทรฝังมรรคมากกว่าเขา เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว


“เรื่องบันเทิงจบแล้ว พวกท่านพอใจหรือไม่” กลับเห็นอาหูหัวเราะชอบใจ ดวงหน้าขาวกระจ่างงดงามเปี่ยมด้วยความผ่อนคลาย


“เจ้าเป็นใครกันแน่” เจ้าคางคกอดถามไม่ได้ สีหน้าเคร่งขรึม


สายตาหลินสวินเองก็ทอดมองไป เวลานี้ไออันตรายมลายไปแล้ว อีกทั้งสตรีหมอกลึกลับผู้นั้นก็อันตรธานหายลับไปแล้วเช่นกัน


ก็ถึงเวลาพูดคุยกับสาวน้อยยิ้มพรายอรชร นัยน์เนตรงามเป็นประกายผู้นี้แล้ว


“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือครั้งนี้ข้าเพียงแต่ฉุกคิดขึ้นได้ปุบปับ อยากผูกบุญสัมพันธ์กับพวกท่านก็เท่านั้นเอง”


ดวงตาของอาหูพราวระยับ มุมปากคลี่ยิ้ม มีเสน่ห์ในแบบสาวน้อย และพิสุทธิ์ใสสง่างามเหนือปกติ เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันมาก แต่กลับผสานอยู่บนตัวนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“บุญสัมพันธ์?”


“ใช่ บุญสัมพันธ์”


อาหูพยักหน้าอย่างจริงจัง วิธีการพูดเช่นนี้ดูคลุมเครือล่องลอยยิ่งนัก ทว่านางดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หว่างคิ้วเจือกลิ่นอายแห่งความเคร่งขรึมที่พบได้ยาก


“ฮ่าๆๆ เจ้าช่วยพวกข้า ก็เพียงเพราะบุญสัมพันธ์อย่างเดียว?” เจ้าคางคกรู้สึกว่าเหลวไหลยิ่งนัก จึงอดระเบิดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้


“นี่ไม่น่าขันเลย” อาหูกล่าวราบเรียบ


มองดูอาการจริงจังถึงเพียงนี้ของนาง หลินสวินกลับเชื่อถืออยู่บ้าง กล่าวคล้ายขบคิด “บุญสัมพันธ์ครั้งนี้ออกจะใหญ่ไปหน่อยแล้ว กลัวแต่ว่าภายภาคหน้าข้าคงชดใช้ไม่ไหว”


อาหูหัวเราะน้อยๆ ริมฝีปากเอิบอิ่มแดงสด เนื้อฟันขาวกระจ่าง กล่าวว่า “คืนไม่ไหวก็ช่างเถิด สิ่งที่เรียกว่าบุญสัมพันธ์ เมื่อปลูกลงไปก็เพียงพอแล้ว หากมีดอกไม้เบ่งบานนั่นก็เป็นเรื่องน่ายินดี ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องนึกเสียใจกับเรื่องนี้”


กล่าวจบอาหูก็โบกกำปั้นน้อยๆ ที่ใสกระจ่าง กล่าวพลางหัวเราะร่วน “เอาล่ะ ข้าเองก็ควรไปได้แล้ว ขอให้คุณชายทั้งสองเดินทางราบรื่น หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบปะกับพวกท่านอีกครั้ง”


เงาร่างของนางไหววูบ จากไปอย่างกะทันหัน ราวกับเงาแสงแห่งความฝัน ยังมิทันได้หยุดยั้งเลยด้วยซ้ำ


“นี่ ยานสมบัติลำนี้เจ้าไม่ต้องการแล้วหรือ” หลินสวินรีบร้องขึ้นอย่างรวดเร็ว


“เดิมทีนี่ก็เตรียมเอาไว้ให้พวกท่านอยู่แล้ว โปรดจงรับไว้ ไม่ต้องเกรงใจ” ในห้วงอากาศไกลออกไป เสียงที่ชัดกังวานเสนาะหูปานขลุ่ยสวรรค์ของอาหูดังก้องขึ้น


ไม่นานก็อันตรธานลับไป


“นางอสูรมารคนนี้ทำให้พวกเราติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ จะต้องมีอุบายยิ่งใหญ่เป็นแน่!” เจ้าคางคกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


ส่วนหลินสวินกลับจมสู่ภวังค์ความคิด เนิ่นนานกว่าจะเอื้อนเอ่ยเสียงเบา “ดูท่า ครั้งแรกที่พวกเราพบกับนางจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”


“บางทีนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา นางก็ได้ตระเตรียม ‘บุญสัมพันธ์’ ส่วนนี้เอาไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว…”


“ไม่ว่านางเป็นใคร สุดท้ายก็ได้ช่วยพวกเราเอาไว้ และไม่ว่านางมีเจตนาอะไร ต่อไปคงต้องชดใช้คืนในสักวัน!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)