Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 628-632
ตอนที่ 628 อำนาจอันไร้รูปร่าง
โดย
ProjectZyphon
“ตกลง”
หลินสวินตกปากรับคำอย่างยินดี
ชิงอวิ๋นหยางหาได้ลังเลอีก นำทางไปก่อน
ระหว่างทางหลินสวินเองจึงได้เข้าใจ ที่แท้การชุมนุมประมูลสมบัติครานี้ ขณะที่คนใหญ่คนโตของขุมอำนาจเผ่าพันธุ์มากมายกำลังมา ก็มีคนรุ่นเยาว์ผู้เป็นหน้าเป็นตาเฉกเช่นชิงอวิ๋นหยางมากมายติดตามมาด้วย
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ไม่ขาดแคลนบุคคลชั้นยอดระดับบุตรเทพ แต่ละคนฐานะไม่ธรรมดา
ชิงอวิ๋นหยางก็ได้รับเทียบเชิญฉบับหนึ่ง จึงมาเข้าร่วมงานชุมนุมระหว่างเหล่าชนรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าครานี้
หนึ่งเค่อผ่านไป ณ หอวาโยเมามาย
ที่นี่ถูกเหมาไว้หมดแล้ว นอกหอมีผู้แข็งแกร่งอาวุธพร้อมสรรพคอยเฝ้าระวัง หากไร้เทียบเชิญก็ไม่อาจเข้าไปข้างในได้เด็ดขาด
“เจ้าห้ามก่อเรื่องให้ข้าเด็ดขาด”
เมื่อมาถึงที่นี่ ชิงอวิ๋นหยางกำชับอีกครั้ง เหมือนยังคงไม่วางใจหลินสวิน
นี่ก็เป็นปกติ หากหลินสวินคือเด็กหนุ่มเทพมารนั่นจริง ก่อเรื่องเพียงครั้งเดียว ผลที่ตามมาคงรุนแรงหาใดเปรียบเป็นแน่!
นี่คืองานชุมนุมคนรุ่นเยาว์แต่ละเผ่า ถ้าหากว่าเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้นใครจะแบกรับไหว
และจากที่ชิงอวิ๋นหยางเห็น หลินสวินคือบุคคลอันตรายและป่าเถื่อน เกรงว่าพอเขาฟังไม่เข้าหูแล้วจะฆ่าสังหารทั่วทิศ ดังนั้นจึงทำการกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินสวินขบขันอยู่บ้าง เขาเป็นคนชอบหาเรื่องเช่นนั้นเสียที่ไหน
กระทั่งเพื่อไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คน ตั้งแต่ก่อนเหยียบเข้าเกาะโจมเมฆา เขาก็แต่งกายปลอมตัวอยู่ครู่หนึ่ง แม้แต่บุคลิกยังเปลี่ยนเป็นราบเรียบและธรรมดายิ่งกว่าเดิม ไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คน
ช่วยไม่ได้ ถ้าหากฐานะของเขาถูกเปิดเผย ผลที่ตามมาคงสาหัสเอาการ
ดังนั้นไม่ต้องให้ชิงอวิ๋นหยางกล่าวเตือน หลินสวินก็ไม่คิดเป็นฝ่ายหาเรื่องเองอยู่แล้ว
ทว่าแม้คิดเช่นนี้ หลินสวินยังคงตกปากรับคำชิงอวิ๋นหยางอย่างจริงจัง
“ที่แท้เป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว เชิญ!”
ผ่านการตรวจสอบของยามอารักษ์ หลินสวินและชิงอวิ๋นหยางเข้าสู่หอวาโยเมามายอย่างราบรื่น
…
ชั้นสูงสุดหอวาโยเมามายคือโถงกว้างขวางโอ่อ่ายิ่งแห่งหนึ่ง เพียงพอบรรจุคนนับร้อย เรืองรองทองอร่าม
จากที่นี่ถึงขั้นสามารถมองเห็นเกาะโจมเมฆากว่าครึ่งเกาะ
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง โถงใหญ่แห่งนี้มีผู้ฝึกปราณนั่งเต็มอยู่ก่อนแล้ว ล้วนแต่เป็นบุคคลผู้ปรีชาสามารถรุ่นเยาว์จากแต่ละเผ่า
บุรุษหล่อเหลาสตรีงดงาม เสื้อผ้าอาภรณ์แม้ต่างกันออกไป แต่กลิ่นอายแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แทบทั้งหมดต่างเป็นระดับหยั่งสัจจะ!
นี่ทำให้หลินสวินแอบทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่
ในจักรวรรดิจื่อเย่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเช่นเหยาทั่วไห่ต่างสามารถครองความเป็นใหญ่เหนือมณฑล ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน
แต่ในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณนี่ ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะกลับพบเห็นได้โดยทั่วไป ทั้งล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ หารุ่นอาวุโสไม่เจอสักคน
แค่เพียงกระบวนรบและจำนวนเช่นนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่แวดวงผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิจื่อเย่าทัดเทียมได้แล้ว!
“คุณชายอวิ๋นหยาง เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้”
ทันทีที่มาถึงทางเข้าโถง ก็มีชายหนุ่มคิ้วขมวดที่ผมม่วงทั้งศีรษะ สีหน้าท่าทางหยิ่งทะนงคนหนึ่ง ดูเหมือนไม่พอใจยิ่งที่ชิงอวิ๋นหยางโอ้เอ้ล่าช้า
ที่เหนือความคาดหมายหลินสวินคือ ชิงอวิ๋นหยางผู้หยิ่งทะนงหาใดเปรียบในอดีตที่ผ่าน เหมือนค่อนข้างหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นี้ เผยความอักอ่วนวูบหนึ่ง ก่อนกล่าวอธิบาย “ขออภัย ข้า…”
“อย่าพูดมากไร้สาระ รีบเข้ามานั่งที่!”
ชายหนุ่มผมม่วงตัดบทอย่างหงุดหงิด ไม่มองชิงอวิ๋นหยางอีก ถอนสายตากลับไป
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก คล้ายมีโทสะอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดยังอดกลั้นไว้ พาหลินสวินไปนั่งตรงมุมของโถงใหญ่
เวลานี้เหลือแค่ตำแหน่งตรงมุมที่ว่างอยู่
หลินสวินเห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา ใคร่ครวญบางสิ่งอย่างอดไม่อยู่ เขาไม่ได้ถามมากความ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะที่จะถามมากมาย
ในโถงใหญ่ครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง ชนรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าผู้ปรีชาสามารถรวมตัวอยู่ภายในแน่นขนัด ชายหล่อเหลาหญิงงดงามต่างร่ำสุราเจรจาพาที
“พูดถึงชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ ข้อกำหนดแม้เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่และเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สามารถเข้าร่วมล้วนเป็นคนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโส ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรามากเท่าใดนัก”
ทันใดนั้นบุรุษหนุ่มชุดดำคนหนึ่งซึ่งนั่งตรงที่นั่งหลักเอ่ยพูดเสียงดัง พลันดึงดูดสายตาทั้งหมดในโถงใหญ่
หลินสวินสังเกตเห็นอย่างฉับไว สายตาที่มองไปยังบุรุษหนุ่มชุดดำเหล่านั้น บ้างมากบ้างน้อยล้วนเคลือบความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นความเคารพนับถือ
เห็นชัดว่าฐานะของบุรุษหนุ่มชุดดำคนนี้พิเศษยิ่งนัก โดดเด่นเหนือกว่าคนรุ่นเยาว์เผ่าอื่นๆ ณ ที่นั้นอยู่บ้าง
‘เขาคือลั่วหยา บุตรเทพเผ่าหงส์ทมิฬ ในหมู่บุคคลระดับบุตรเทพแต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ ความแกร่งด้านพลังต่อสู้อยู่ในสามสิบอันดับแรก’
ชิงอวิ๋นหยางสื่อจิต บอกฐานะคนผู้นี้แก่หลินสวิน น้ำเสียงเคลือบความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เสี้ยวหนึ่ง
‘อ้อ เทียบกับหนิวทุนเทียนเผ่าวัวมารทรงพลังแล้วเป็นอย่างไร’ หลินสวินถาม
ชิงอวิ๋นหยางมุมปากกระตุกรุนแรงวูบหนึ่ง แทบจะกลอกตา เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้าคนข้างกายนี่เป็นพวกดุดันป่าเถื่อนหาใดเปรียบคนหนึ่ง
‘ไม่อาจเทียบ หนิวทุนเทียนจัดเป็นบุตรเทพชั้นยอด ความแกร่งด้านพลังต่อสู้เพียงพอให้อยู่ในสามอันดับแรก’
ชิงอวิ๋นหยางอดทนอธิบายประโยคหนึ่ง ในใจขมขื่นอยู่บ้าง การอธิบายนี้ของตนเกินความจำเป็นโดยสิ้นเชิง ในสายตาเจ้าหมอนี่เกรงว่าคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้แต่แรกกระมัง
‘อย่างนั้นหรือ’ หลินสวินกล่าวมึนงง ‘หากพูดเช่นนี้ล่ะก็ เจ้าหมอนี่น่าจะระดับเดียวกับข่งซิ่วบุตรเทพเผ่าโห่วเมฆาสินะ’
หน้าผากชิงอวิ๋นหยางปรากฏเส้นเลือดดำ หน้าตาหมดคำจะพูด ‘ความแกร่งด้านพลังต่อสู้ของข่งซิ่วจัดอยู่ในสิบอันดับแรก ลั่วหยาไหนเลยจะเทียบข่งซิ่วได้’
‘ไม่หรอกมั้ง งั้นเปรียบกับบุตรเทพเผ่ากวางหยกเป็นอย่างไร’ หลินสวินถาม
ชิงอวิ๋นหยางแทบพังทลาย อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก บุตรเทพที่เจ้าหมอนี่พูดถึงแต่ละคนล้วนแข็งแกร่ง จะมาเปรียบเทียบกับลั่วหยาได้อย่างไร
ที่น่าโมโหที่สุดคือพูดเปรียบเทียบกันแล้ว เขาชิงอวิ๋นหยางแม้แต่ลั่วหยายังเทียบไม่ได้ นี่มิใช่แสดงว่าเขาชิงอวิ๋นหยางไม่เอาไหนหรอกรึ
เห็นชิงอวิ๋นหยางไม่พูด หลินสวินยิ่งสงสัยกว่าเดิม ‘หรือว่า… แม้แต่ธิดาเทพหลินหลางเผ่าสิงห์โลหิตก็เทียบไม่ได้?’
ชิงอวิ๋นหยางจะร้องไห้อยู่แล้ว พี่ใหญ่เจ้าน่ะอย่าถามอีกเลย ละเว้นข้าได้หรือไม่
‘ที่แท้ก็ไม่เท่าไร’
หลินสวินสรุปออกมาคร่าวๆ อดไม่ได้ที่จะตลกอยู่บ้าง เดิมทีเขาคิดว่างานชุมนุมครานี้จะมีเอกบุคคลอหังการมาเข้าร่วม
ใครเล่าจะคาดคิด ตนประเมินพวกเขาสูงเกินไปแล้ว
‘ก็ถูก แวดวงที่เจ้าคบค้าย่อมมีศักยภาพไม่ต่างจากเจ้านัก ก่อนหน้านี้เป็นข้าเข้าใจผิดไปเอง’
หลินสวินเหมือนครุ่นคิดอะไรได้ แต่การพูดความจริงประโยคนี้ของเขาราวดาบเล่มหนึ่งก็ไม่ปาน เสียบแทงทะลุหัวใจของชิงอวิ๋นหยาง ทำเอาเขาคับแค้นและอับอายหาใดเปรียบ
เจ้าหมอนี่… ช่างรู้จักทรมานผู้คนเกินไปแล้ว!
“ชุมนุมประมูลสมบัติแม้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แต่งานชุมนุมครั้งนี้ข้ากลับมีเรื่องสำคัญหนึ่งต้องเจรจากับทุกคน”
บนที่นั่งประธาน ลั่วหยาสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง แววตาผงาดผยอง รับการจับตามองจากผู้คน
“ไม่ทราบว่าเรื่องสำคัญระดับใดกัน ถึงทำให้พี่ใหญ่ลั่วตื่นตระหนกได้”
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยถาม
ลั่วหยากล่าวเสียงแข็ง “คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องของเด็กหนุ่มเทพมารนั่นมาแล้ว ที่ข้าต้องการพูดคุยครั้งนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลนี้!”
เด็กหนุ่มเทพมาร!
สมญานามนี้ราวกับเวทมนตร์ก็ไม่ปาน แค่เพียงพริบตา ทำให้ดวงตาของหนุ่มสาวทุกคนหดรัด สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบงันไปไม่น้อย
เห็นชัดว่าพวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องราวอันป่าเถื่อนที่ ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ กระทำ ด้วยเหตุนี้จึงตื่นตระหนก
ชิงอวิ๋นหยางยิ่งแข็งทื่อไปทั้งตัว มือพลันสั่นระริก จอกสุราที่เพิ่งยกขึ้นเกือบร่วงหล่นลง
เด็กหนุ่มเทพมาร!
ที่งานชุมนุมครั้งนี้หมายวิพากษ์หารือ เกี่ยวข้องกับเจ้าคนข้างตัวนี่เองรึ
ชั่วขณะเดียวหัวใจชิงอวิ๋นหยางพลันบีบรัดขึ้นมา เขาอดไม่ได้เหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่ง กลับเห็นฝ่ายหลังสีหน้าไม่สะทกสะท้าน กำลังกินขนมหนึ่งอย่างออกรสออกชาติ ราวกับไม่มีเรื่องอะไร สบายใจจนทำให้รู้สึกหมั่นไส้
‘เจ้าหมอนี่… ช่างสงบนิ่งซะจริง…’
ชิงอวิ๋นหยางพลันมีแรงกระตุ้นรุนแรง แทบอยากจะเคาะกบาลหลินสวินออกมาดูว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
ไม่กังวลใจสักนิดเชียวรึ
ไม่ตื่นเต้นหรือ
หากถูกมองฐานะออกจะทำอย่างไร
ชิงอวิ๋นหยางจิตใจสับสนดั่งด้ายพันกัน
‘อย่าคิดฟุ้งซ่าน ยิ่งเจ้าเป็นอย่างนี้ก็เห็นชัดว่ายิ่งผิดปกติ ถูกคนจับพิรุธออกได้โดยง่าย’
หลินสวินเหลือบมองเขาวูบหนึ่งพลางเอ่ยปากสื่อจิต
ชิงอวิ๋นหยางในใจกระตุกวูบอย่างแรง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เขาตระหนักได้ว่าตนเสียอาการอยู่บ้าง
……………..
ตอนที่ 629 อัปยศอดสูและข่มขู่
โดย
ProjectZyphon
“ทำไมทุกท่านดูเหมือนถูกเด็กหนุ่มเทพมารนั่นทำให้กลัวล่ะ”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดราวป่าช้า ลั่วหยาขมวดคิ้วเอ่ย คำพูดเพียงประโยคเดียวทำเอาสีหน้าหนุ่มสาว ณ ที่นั้นต่างดูกระอักกระอ่วน
“สหายยุทธ์ลั่วหยา ใช่ว่าพวกเราจิตใจหวาดกลัว แต่เป็นเพราะเล่าลือกันว่าเด็กหนุ่มเทพมารนี่น่ากลัวเกินไปจริงๆ ประหนึ่งเทพสังหารโดยสิ้นเชิง สำหรับคนเยี่ยงนี้พวกเราไม่กล้าดูถูกเป็นธรรมดา”
มีคนออกปาก พยายามผ่อนคลายบรรยากาศลงสักหน่อย
“ใช่แล้ว ในน่านสมุทรทะเลใต้ทุกวันนี้ ขอแค่เป็นพวกหูไวตาไวต่างกำลังกระจายข่าวเด็กหนุ่มเทพมารนี่ไปทั่ว ว่าแม้แต่บุตรเทพแห่งยุคอย่างหนิวทุนเทียนยังเคยปราชัยในมือคนผู้นี้ ใครยังจะกล้ามองข้ามพลานุภาพร้ายกาจของคนผู้นี้เล่า”
“ไม่เพียงแค่หนิวทุนเทียน แม้แต่พวกเมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่ว เสวียนหลัวจื่อร่วมมือกัน ต่างถูกเด็กหนุ่มเทพมารนั่นคนเดียวกำราบลง ณ ที่นั้น ช่างเหี้ยมโหดป่าเถื่อนถึงขีดสุดซะจริง!”
คนอื่นที่อยู่ในโถงต่างเปิดปากพูดกันไม่หยุด
เวลานี้ชิงอวิ๋นหยางสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อยแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดหวาดหวั่นที่ทุกคนมีต่อหลินสวิน แววตายังคงแปลกพิกลอยู่บ้าง
เขาแอบกล่าวอยู่ในใจ ‘หากให้พวกเจ้ารู้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารนั่นอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงทำพวกเจ้าตกใจตะลึงงันเป็นแน่…’
เขาเหล่ตามองหลินสวิน กลับเห็นหลินสวินเสมือนไม่รับรู้อะไรเหมือนเดิม กำลังลิ้มสุราเลิศทีละอึกๆ เห็นชัดว่าสบายใจและอิสระยิ่ง
‘ช่างเป็นสัตว์ประหลาดตนหนึ่งซะจริง’ ชิงอวิ๋นหยางแอบแขวะ
“ที่ทุกท่านกล่าวมาล้วนไม่ผิด ผลการรบของเด็กหนุ่มเทพมารนี่เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งทั่ว แน่นอนว่าข้าเองก็จะไม่ประเมินคนผู้นี้ต่ำไป”
ลั่วหยาเอ่ยคำพูดราบเรียบต่ำลึก “แต่ว่าต่อให้เขาร้ายการแค่ไหนก็เป็นแค่เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง น่านสมุทรทะเลใต้แห่งนี้คืออาณาเขตของพวกเรา ไยจะทนให้เผ่ามนุษย์คนหนึ่งมาลำพองได้”
พูดถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงเขาพลันดังขึ้นอย่างน่ายำเกรง มีพลังอำนาจข่มขู่ผู้คน!
มีคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “หรือว่าสหายยุทธ์ลั่วหยาเรียกชุมนุมครั้งนี้ ก็เพื่อปรึกษาหารือว่าจะรับมือกับเด็กหนุ่มเทพมารนั่นอย่างไร?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา คนทั้งหมดล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“ไม่ผิด”
ลั่วหยากลับไม่ปฏิเสธ “ตามที่นักบวชอาวุโสเผ่าหงส์ทมิฬของข้าผู้หนึ่งคาดการณ์ สามารถมั่นใจได้ว่า ตอนนี้เด็กหนุ่มเทพมารนั่นยังไม่ไปจากน่านสมุทรทะเลใต้นี้ นี่แหละคือโอกาสอันดีที่สุดที่พวกเราจะจัดการมัน!”
คำพูดเขาแม้กึงก้องกังวาน แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แต่ละเผ่า ณ ที่นั้นกลับไม่ขานรับ
ตรงกันข้าม เมื่อได้ยินคำพูดนี้เกือบทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยนแปร ไม่คิดว่าอีกฝ่ายหมายจัดการเด็กหนุ่มเทพมารนั่นจริงๆ
นี่มัน…
แต่ละคนล้วนลังเล นั่นน่ะคือเด็กหนุ่มเทพมารนะ! สังหารจนเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่ากระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวน ดูราวไม่อาจรบชนะได้ ไปจัดการเขาหรือ นั่นมันต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
ต้องรู้ว่าตอนนั้นที่นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ยังมีคนใหญ่คนโตจ้องตะครุบดุจพญาเสือ แต่ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มเทพมารนั่นยังหนีไปได้อย่างปลอดภัย!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ให้คนอย่างพวกเขาไปประมือเด็กหนุ่มเทพมารนั่น ช่างเป็นการล้อเล่นชัดๆ!
“สหายยุทธ์ลั่วหยา ทำเช่นนี้เกรงว่าไม่เหมาะกระมัง”
มีคนคิ้วขมวด
“ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว”
ลั่วหยายิ้มเล็กน้อย เผชิญสายตาตั้งคำถามของทุกคน เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจยิ่งนัก “บางทีพวกเราอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มเทพมารนั่น แต่อย่าลืมว่าเบื้องหลังพวกเรายังมีคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าอยู่!”
“แต่พวกเราและเด็กหนุ่มเทพมารนั่นหาใช่ศัตรูคู่อาฆาต เหตุใดต้องจัดการเขาด้วยเล่า”
มีคนแค่นเสียง
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา พลันก่อเกิดเสียงคล้อยตามมากมายทันที
“พวกเจ้าผิดแล้ว!”
ลั่วหยาสูดหายใจลึก น้ำเสียงลุ่มลึก “ตามข่าวกรองที่ข้าได้รับ ในแต่ละขุมอำนาจใหญ่ที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ เห็นจะมีเพียงเด็กหนุ่มเทพมารนี่กลายเป็นผู้ชนะมากที่สุด บนตัวเขาครอบครองมหาศุภโชคเหนือจินตนาการ!”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาเขาปรากฏความบ้าคลั่งวูบหนึ่ง “ทุกท่าน นั่นคือมหาศุภโชคที่เกี่ยวข้องกับอริยมรรค! อีกทั้งเด็กนั่นยังสังหารบุตรเทพและผู้แข็งแกร่งมากขนาดนั้น กวาดทรัพย์หลังศึกไม่รู้เท่าไหร่ หากสามารถจับเขาได้…”
พูดไม่ทันจบผู้คนโถงใหญ่พลันใจสั่นสะท้าน นัยน์ตาส่องประกายแวววับไม่หยุด
ท้ายที่สุดพวกเขาก็เข้าใจเจตนาของลั่วหยา ที่แท้ทำเพื่อช่วงชิงศุภโชคและสมบัติติดตัวของเด็กหนุ่มเทพมารนั่น!
ดังคำกล่าวที่ว่าทรัพย์สมบัติเย้ายวนใจผู้คน นับประสาอะไรกับศุภโชคยิ่งใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับอริยมรรค ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งมากมายต่างใจเต้นระรัว
ลั่วหยาเห็นทุกอย่างนี้ในสายตา สีหน้ามั่นใจยิ่งกว่าเดิม กล่าวว่า “พูดได้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารนั่นคือมหาศุภโชคที่มีชีวิต! หากสามารถจับเขาได้ ต้องได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการเป็นแน่!”
เขาหยุดไปชั่วขณะพลางกล่าวต่อ “อีกทั้งการเคลื่อนไหวของพวกเราครานี้ ขอแค่ค้นหาและสืบเสาะร่องรอยของเด็กหนุ่มเทพมารนั่นก็เพียงพอแล้ว ถึงคราวลงมือจริงคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าต้องมาถึงแต่พริบตาแรกแน่นอน”
“ข้าว่าเป็นไปได้!”
ทันใดนั้นมีคนเห็นด้วยขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“ก็ถูก น่านสมุทรทะเลใต้นี้คืออาณาเขตของพวกเรา! หากให้เด็กหนุ่มเทพมารนั่นหนีไป ก็เท่ากับขุมอำนาจแต่ละเผ่าอย่างพวกเราไร้สามารถเกินไปแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งอื่นๆ ต่างคล้อยตาม ถึงอย่างไรก็มิใช่พวกเขาลงมือเอง แค่สืบเสาะข่าวสารและร่องรอยเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาหวังเห็นสิ่งนั้นกลายเป็นจริง
‘หากว่าข้าแพร่ข่าวออกไป…’
ชิงอวิ๋นหยางได้ยินก็ใจเต้นไม่หยุด เหลือบมองหลินสวินที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่อาจหักห้าม
กลับเห็นฝ่ายหลังมองมาอย่างเงียบงันไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาดูเหมือนราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความหนาวเยือกเย็นชา
นี่ทำเอาชิงอวิ๋นหยางสั่นกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นั่นมันดวงตาเยียบเย็นระดับใดกัน ประดุจเทพสังหารตนหนึ่งกำลังเหลือบมองโลกหล้าจากเบื้องบน เห็นสรรพสิ่งเป็นมดปลวก นักฆ่ามือสังหารฆ่าคน ยังมีใจนึกหวาดกลัว แต่หากเทพสังหารผู้หนึ่งเหยียบมดปลวกตาย ไยจะต้องใส่ใจ
ทันใดนั้นชิงอวิ๋นหยางดับความคิดลง หนาวสะท้านไปทั้งตัว
เวลานี้ในที่สุดเขาสงบสติลงอย่างสมบูรณ์ นึกขึ้นได้ว่าหลินสวินไม่เพียงมีศุภโชคยิ่งใหญ่ ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียวของตน ถึงแม้คนอื่นล้วนอยากฆ่าสังหารหลินสวิน เขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เด็ดขาด!
‘เจ้าอย่าคิดมาก ข้าไม่เหมือนกับพวกเขา’
ชิงอวิ๋นหยางสื่อจิตอธิบาย
‘ข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดมากต่างหาก’
หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดกับชิงอวิ๋นหยางประโยคหนึ่งก็เก็บสายตากลับไป
“ชิงอวิ๋นหยาง! เจ้าหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ส่งเสียงสักคำ หรือมีความเห็นไม่ตรงกับสหายยุทธ์ลั่วหยาเสนอขึ้นมางั้นรึ”
ทันใดนั้นมีคนตวาดลั่น เป็นชายหนุ่มผมม่วงที่อยู่ด้านข้างกำลังมองชิงอวิ๋นหยางอย่างเย็นชา
หลินสวินเลิกคิ้วขึ้นทันใด ก่อนหน้านี้ตอนพวกเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ ชิงอวิ๋นหยางก็ถูกเด็กหนุ่มผมม่วงนี่ตำหนิอย่างหนักหน่วงประโยคหนึ่ง
และตอนนี้ เจ้าหมอนี้เห็นชัดว่าเริ่มหาเรื่องชิงอวิ๋นหยางอีกครั้ง
“ข้า…”
ชิงอวิ๋นหยางพลันหน้าเปลี่ยนสี พริบตาก็สังเกตเห็นว่าสายตามากมายในโถงใหญ่ต่างพุ่งมองมาที่ตน โดยเฉพาะลั่วหยายิ่งคิ้วขมวดเป็นปม นัยน์ตาเคลือบแฝงความเย็นชาเสี้ยวหนึ่ง
ชิงอวิ๋นหยางพลันแข็งทื่อตื่นตระหนกอยู่บ้าง เพียงแต่เขาเพิ่งคิดอยากอธิบายก็ถูกบุรุษหนุ่มผมม่วงนั่นตัดบท
“ทำไม แม้แต่จะพูดยังพูดไม่ออกหรือ คนอย่างเจ้ายังสามารถกลายเป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวได้ ดูท่าเผ่าตะพาบเขียวของพวกเจ้าคงเสื่อมโทรมจนไม่เหลือชิ้นดีจริงๆ”
ชายหนุ่มผมม่วงเยาะหยัน
ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ณ ที่นั้นต่างหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ราวเห็นเรื่องสนุกฉากหนึ่ง แววตาหยอกล้อและเพลิดเพลิน
‘ดูท่า สถานะชิงอวิ๋นหยางในหมู่คนกลุ่มนี้คงเต็มกลืนอยู่บ้าง…’ หลินสวินเห็นทุกอย่างนี้ในสายตา
ปึง!
เวลานี้ชิงอวิ๋นหยางเองก็มีโทสะ ใบหน้าแดงก่ำตบโต๊ะลุกขึ้น มองชายหนุ่มผมม่วงนั่นอย่างโกรธแค้นพลางกล่าว “เว่ยซาง เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
“หึ ข้าทำเกินไปแล้วอย่างไร”
บุรุษหนุ่มผมม่วงที่ถูกเรียกว่าเว่ยซางทำหน้าดูถูก “ลืมบอกเจ้าไป ประเดี๋ยวสหายยุทธ์หลันเทียนฉีก็มาแล้ว เจ้าอย่าได้ถูกแยกจากไปก่อนล่ะ!”
หลันเทียนฉี!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ บรรยากาศทั่วโถงใหญ่พลันสงบลงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนเป็นเงียบสงัด บนหน้าทุกคนตรงนั้นต่างเคลือบความประหลาดใจสงสัยและหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง
แม้แต่ลั่วหยาซึ่งนั่งตรงที่นั่งประธานยังดูไหวหวั่นเล็กน้อย นี่ออกจะเกินคาดหมายอยู่บ้าง
ทำให้หลินสวินประหลาดใจขึ้นมา เหล่าหนุ่มสาวรุ่นเยาว์ ณ ที่นี้ต่างเป็นบุคคลมากสามารถของแต่ละเผ่า แต่หลันเทียนฉีนี่กลับสามารถทำให้พวกเขาให้ความสำคัญและหวาดกลัวเช่นนี้ได้ เห็นชัดว่าน่าจะเป็นบุคคลร้ายกาจผู้หนึ่ง
สายตาเขามองไปยังชิงอวิ๋นหยาง สีหน้าฝ่ายหลังเวลานี้ไม่น่าดูผิดปกติ กัดฟันแน่น ไม่รู้ว่าคับแค้นหรือหวาดกลัวกันแน่
“ฮ่าๆๆ ดูสิดู เจ้าหมอนี่ขวัญกระเจิงแล้ว เผ่าตะพาบเขียวไม่มีใครแล้วรึไง ถึงให้คนเยี่ยงเจ้าเป็นบุตรเทพ!”
เว่ยซางหัวเราะร่า ไม่อำพรางแววเหน็บแนมแม้แต่น้อย
ผู้แข็งแกร่งในงานแม้จะมาก แต่ตอนนี้เวลานี้กลับไม่มีสักคนเปล่งเสียงไกล่เกลี่ย ตรงกันข้ามต่างล้วนเก็บมือเฝ้ามองเรื่องสนุก
นี่ทำให้หลินสวินสรุปได้ชัดยิ่งกว่าเดิม ในแวดวงคนพวกนี้ ชิงอวิ๋นหยางไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างยิ่ง มิฉะนั้นไหนเลยจะถูกคนยั่วยุและเย้ยหยันต่อหน้าเช่นนี้
“เรื่องของเผ่าตะพาบเขียวข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าอึมครึมหาใดเปรียบ ดวงตาปูดโปนแทบถลนออกมา
แต่ท้ายที่สุดเขาราวอดกลั้นเอาไว้ หันกลับไปหาหลินสวินแล้วกล่าว “ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเรา ไปเถอะ”
ขณะพูดเขาก็สื่อจิต ‘เจ้าอย่าได้ยุ่งเรื่องของข้าเด็ดขาด เพื่อเลี่ยงการเปิดเผยฐานะเจ้า หากเป็นเช่นนั้น แม้ผู้อาวุโสตระกูลข้ามาเองก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้!’
หลินสวินชะงักงัน คิดไม่ถึงว่าชิงอวิ๋นหยางไม่เพียงแต่สามารถอดทนอดกลั้น ยังถึงขั้นคิดเผื่อตน
“คิดหนี? ไหนเลยจะง่ายขนาดนั้น!”
เว่ยซางสีหน้าพลันอึมครึม นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น “หากเจ้ากล้าจากไปตอนนี้ ข้าก็กล้ากดกำราบเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ บีบบังคับเจ้าคุกเข่าลงที่นี่ รอหลันเทียนฉีมาถึงค่อยให้เขาจัดการกับเจ้า!”
คำพูดประโยคนี้ข่มขู่เหี้ยมเกรียมยิ่งนัก เต็มไปด้วยรสชาติความอัปยศอดสู
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว แข็งทื่อไปทั้งตัว เส้นเลือดดำตรงหน้าผากปรินูน เห็นชัดว่าโกรธถึงขีดสุด
เขาบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวผู้สง่าผ่าเผย กลับถูกหยามหน้าและข่มขู่ต่อหน้าธารกำนัล นี่มันน่าอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง! ถ้าหากแพร่งพรายออกไป นั่นคงอับอายขายหน้าไปถึงเผ่าพงศ์
“เว่ยซาง เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”
เวลานี้ชิงอวิ๋นหยางดวงตาแดงไปหมด ราวสัตว์อสูรที่ถูกยั่วโทสะถึงที่สุด น้ำเสียงเจือความแหบพร่าเสี้ยวหนึ่ง
“ข้ารังแกเจ้าแล้วอย่างไร อย่าหวังพึ่งใบบุญผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียวของเจ้ามาช่วยเลย ว่าไปแล้วนี่มันเรื่องของคนหนุ่มรุ่นหลังอย่างพวกเรา ถึงแม้คบบ้านเจ้าจะรู้ เกรงว่าคงวางศักดิ์ศรีมาช่วยเจ้าไม่ลง”
เว่ยซางยิ้มเยาะ “ไม่แน่ว่าหลังจากที่เจ้าถูกข้าคว่ำแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลเจ้าอาจรู้สึกว่าเจ้าไม่เอาไหนเกินไป และปลดบุตรเทพอย่างเจ้าออกจากตำแหน่งก็ได้”
คำพูดนี้ของเขาก็ไม่ผิด ในแต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ สำหรับบุญคุณความแค้นระหว่างชนรุ่นเยาว์ คนใหญ่คนโตพวกนั้นล้วนแต่หลับตาข้างลืมตาข้าง ทำเช่นนี้ก็เพื่อขัดเกลาชนรุ่นหลัง
หากวันนี้ชิงอวิ๋นหยางประสบกับการกำราบและหยามหน้าภายใต้สายตาผู้คนมากมาย ไม่เพียงแค่เสียหน้าอย่างเดียว ยิ่งอาจหลุดจากตำแหน่งบุตรเทพด้วยเหตุนี้ได้!
ชิงอวิ๋นหยางแข็งทื่อโดยสมบูรณ์อยู่ตรงนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด
แต่หลินสวินกลับกำลังคิด เป็นความแค้นบาดหมางใหญ่หลวงอะไรกันแน่ ถึงกับทำให้เว่ยซางเหยียบย่ำชิงอวิ๋นหยางเช่นนี้? ฆ่าคนต้องรู้จักพอ ทำเช่นนี้มันออกจะเกินไปหน่อยแล้ว
……………
ตอนที่ 630 เห็นเหล่าผู้กล้าราวสิ่งไร้ค่า
โดย
ProjectZyphon
เห็นชิงอวิ๋นหยางท่าทางอึดอัดและคับแค้น ในโถงนั้นพลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีก
“ดูสิ เพียงประโยคเดียวของเว่ยซาง ก็ขู่จนบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวของพวกเราไม่กล้าไปซะแล้ว”
“โธ่ คนรุ่นเยาว์เผ่าตะพาบเขียวนับวันยิ่งย่ำแย่ลงแล้ว”
“นี่ก็มีเหตุผล พันปีก่อนผู้อาวุโสชิงเลี่ยเผ่าตะพาบเขียวหายตัวไปกะทันหัน สาบสูญไร้ร่องรอย ไม่มีราชันระดับสังสารวัฏเช่นนั้นสักคนปกครองแล้ว อิทธิพลเผ่าตะพาบเขียวก็เสมือนสายน้ำไหลสู่ที่ต่ำ แม้ว่าทุกวันนี้ผู้อาวุโสชิงเลี่ยจะหวนกลับมา แต่เผ่าตะพาบเขียวคิดอยากฟื้นคืนพลานุภาพดังก่อน ภายในเวลาอันสั้นคงไม่อาจทำได้”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดชิงอวิ๋นหยางก็เหลือทนเกินไปแล้ว ในฐานะบุคคลระดับบุตรเทพ เผชิญความอัปยศอดสูและข่มขู่ กลับทำได้แค่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำไม่กล้าขัดขืน ช่าง… อับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว”
ในโถงใหญ่เสียงนานัปการดังก้องขึ้น มีทั้งเหน็บแนม ทั้งถอนหายใจ ทำเอาสีหน้าชิงอวิ๋นหยางบิดเบี้ยวและอึมครึมยิ่งกว่าเดิม
เขากำสองหมัดแน่น ขบฟันแน่นกรอด ท่าทางอึดอัดและอดทนอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น กลับไม่ได้รับความเห็นใจใดๆ
ในทางกลับกัน ยิ่งเขาเป็นอย่างนั้นยิ่งทำให้คำยั่วยุและวิจารณ์โจมตีพวกนั้นกำเริบเสิบสานกว่าเดิม
หลินสวินมองดูจนคิ้วขมวดพักหนึ่ง เจ้าหมอนี่ช่างอดทนอดกลั้นจริงๆ
“ไปเถอะ” ท้ายที่สุดหลินสวินไม่อาจทนดูต่อไป ถอนหายใจมองไปยังชิงอวิ๋นหยาง
คนรุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นแต่ละเผ่าในโถงใหญ่ต่างชะงักงัน เจ้าหมอนี่เป็นใคร จู่ๆ ถึงกล้าเข้ามายุ่งในเวลาเช่นนี้
สายตามากมายล้วนมองไปยังหลินสวิน แฝงความเคลือบแคลงสงสัย
พวกเขาไม่รู้จักหลินสวิน และไม่ใส่ใจสักนิด แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาพร้อมชิงอวิ๋นหยางเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นพวกร้ายกาจอะไรได้
“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน กล้าเข้ามาจุ้นเรื่องชิงอวิ๋นหยางหรือ ข้าขอเตือนเจ้าให้นั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย หากยังกล้าพูดมากอีก ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนเป็นคนแรก!”
เว่ยซางนัยน์ตาเย็นเยียบ กวาดมองหลินสวินราวมีดดาบ
เขามีโทสะอยู่บ้าง กับแค่เด็กหนุ่มข้างกายชิงอวิ๋นหยางคนหนึ่ง กลับกล้ากระโดดออกมาเวลานี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังยั่วยุความน่าเกรงขามของเขาอยู่
ชิงอวิ๋นหยางหน้าพลันเปลี่ยนสี รีบร้อนสื่อจิต ‘หลินสวิน เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า หากทำให้พวกเขารู้ฐานะของเจ้า วันนี้พวกเราคงออกไปไม่ได้จริงๆ!’
หลินสวินกล่าวราบ้รียบ ‘คิดจะรู้ฐานะข้า ก็ต้องลองถามพวกเขาก่อนว่ามีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่’
พูดถึงตรงนี้เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนกล่าวเตือน ‘จำไว้ เมื่ออดทนอดกลั้น มีแต่จะทำให้ศัตรูได้คืบเอาศอก ยิ่งไปกว่านั้น จิตใจเช่นนี้ของเจ้าหากไม่เปลี่ยนแปลง ชั่วชีวิตนี้อย่าหวังจะก้าวสู่กลุ่มผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!’
‘หากเจ้าเห็นด้วยก็ไปกับข้าซะตอนนี้ มิฉะนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะและหยามหน้าเถอะ!’
พูดจบหลินสวินไม่มองชิงอวิ๋นหยางอีก สองมือไพล่หลัง หันเดินกลับไปนอกโถงใหญ่
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาถึงขั้นไม่แลมองใครในโถงใหญ่นี่สักคน ท่าทางหยิ่งยโสไม่เห็นใครในสายตาเช่นนั้น ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายล้วนสีหน้าอึมครึม
‘ข้า…’
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ในใจดิ้นรนอย่างรุนแรง
แต่ยังไม่รอให้เขาตัดสินใจ เว่ยซางนั่นอดรนทนไม่ไหวเสียก่อนแล้ว เขาพูดออกมาชัดเจนขนาดนี้แล้ว แต่เจ้าเด็กนี่กลับไม่ใส่ใจคำข่มขู่ของเขาสักนิด ท่าทางราวมองเขาเป็นสิ่งไร้ค่า
นี่ทำให้เว่ยซางถูกยั่วโทสะทันใด
“ไอ้หนู นี่เจ้ารนหาที่ตายใช่ไหม!”
เขาส่งเสียงเย็นชา ขณะพูดเงาร่างวูบไหว ยกฝ่ามือหนึ่งทะยานฟันใส่หลินสวิน พละกำลังยิ่งใหญ่ พลังฝ่ามือแรงกล้า ส่งเสียงกัมปนาทประหนึ่งอสนีบาตออกมา
ตูม!
ฝ่ามือนี้เด็ดขาดป่าเถื่อนและอำมหิตยิ่งยวด ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย หมายมุ่งปลิดชีพหลินสวิน สังหารคนรักษาอำนาจ
ในโถงพลันตื่นเต้นดีใจทันที หนุ่มสาวรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าต่างเผยสีหน้าสนุกสนานออกมา
สำหรับพวกเขา หลินสวินเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามชิงอวิ๋นหยาง ตำแหน่งและฐานะต้องไม่มีค่าพอให้พูดถึงแน่
แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้ดันมีความกล้าและทะนงตัวกว่าชิงอวิ๋นหยางเสียอีก ท่าทางไม่รู้ดีชั่ว ยังเลือกที่จะจากไป
นี่เห็นชัดว่ากำลังยั่วยุเว่ยซาง!
และตอนนี้เว่ยซางอดกลั้นไม่ไหวดังคาด ชิงลงมือก่อน คราวนี้ก็มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว
“เจ้ากล้า!”
ชิงอวิ๋นหยางส่งเสียงคำราม ในที่สุดก็ไม่อดกลั้นอีก พริบตาที่เว่ยซางลงมือนั้น เขาพุ่งตัวมาอยู่หน้าหลินสวิน โจมตีอย่างเกรี้ยวกราด!
ตูม!
ทั่วร่างเขามีแสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน ขวางอยู่ตรงหน้าหลินสวิน ฝืนปะทะเว่ยซางกระบวนหนึ่ง เสียงปะทะสั่นสะเทือนโสตประสาทแผ่กระจายตามมา
ตึงๆๆ!
ชิงอวิ๋นหยางถูกสะเทือนจนถอยหลัง สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว เลือดลมม้วนตลบ
ณ ที่นั้นพลันหัวเราะเกรียวกราว สีหน้าคนหมู่มากสัพยอกยิ่งกว่าเดิม เจ้าชิงอวิ๋นหยางนี่ถึงกับกล้าลงมือ! นี่ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกแปลกใหม่ยิ่ง
“เหอะๆ เจ้ากล้าลงมือกับข้าจริงๆ งั้นรึ” เว่ยซางแสร้งยิ้ม นัยน์ตากลับเยียบเย็นถึงขีดสุด ไอสังหารพลุ่งพล่าน
เขาเองคาดไม่ถึง ในเวลาเช่นนี้ชิงอวิ๋นหยางซึ่งประหนึ่งที่ระบายอารมณ์ ถึงขั้นกล้ายืนออกมาขัดขวางตน
“นี่คือสหายที่ข้าพามา ตัวข้าเป็นที่รองรับอารมณ์ก็ไม่เป็นไร แต่หากพวกเจ้าคิดจัดการเขา ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน!”
ชิงอวิ๋นหยางตะเบ็งเสียงลั่น เส้นเลือดดำตรงลำคอปรากฏเด่นชัด สีหน้าเหี้ยมโหดอยู่บ้าง ท่าทีกลับสะบั้นเยื่อใยสิ้นเชิง ชัดเจนว่าทุ่มสุดตัวแล้ว
ได้ยินคำพูดรุนแรงเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ทำให้ทุกคนสำรวมขึ้น กลับยังหัวเราะร่าขึ้นมา ปรามาสและไม่ใส่ใจอย่างยิ่ง
แต่หลินสวินเห็นดังนั้นก็ยิ้มออก นัยน์ตาฉายแววชื่นชมวูบหนึ่ง ชิงอวิ๋นหยางทำเช่นนี้จึงจะถูก แต่…
ยังห่างไกลจากคำว่าพอ!
“ในฐานะผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ไม่เพียงต้องเรียนรู้ที่จะต่อต้าน ยิ่งต้องรู้จักจู่โจมกลับ ถึงแม้ศักยภาพไม่สู้ฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเจ้าไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย!”
หลินสวินพลันหันหลังกลับ นัยน์ตาเฉยเมยเย็นชา ประดุจหุบเหวลึกชวนให้รู้สึกใจสั่นระรัว มองไปยังเว่ยซาง น้ำเสียงไร้อารมณ์และราบเรียบ พูดให้ชิงอวิ๋นหยางฟัง
แต่พร้อมกันนั้น คำพูดครู่นี้ก็ถูกทุกคนในโถงใหญ่ได้ยินเช่นกัน พวกเขาต่างมีสีหน้างงงัน แทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง
เด็กหนุ่มนี่บ้าไปแล้วกระมัง
เมื่อครู่หากไม่ใช่ชิงอวิ๋นหยางช่วยเขาสกัดการจู่โจมของเว่ยซาง เกรงว่าเขาคงตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังมีโอกาสมาวิพากษ์วิจารณ์
โดยเฉพาะเว่ยซางยิ่งโกรธจัด ถูกเด็กหนุ่มนี่ยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเห็นว่าเขาเว่ยซางไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ รึไง
“ไอ้หนู วันนี้เจ้าอย่าคิดจากไปอย่างมีลมหายใจเลย!” เว่ยซางสีหน้าเคร่งขรึม ชี้หลินสวินด้วยท่าทีเย่อหยิ่งและเลือดเย็น
หลินสวินหาได้ใส่ใจเขา ยังคงพูดกับชิงอวิ๋นหยาง “การต่อสู้มหามรรค ผู้กล้าย่อมมาก่อน หากไร้ซึ่งสภาพจิตใจเช่นนี้ ต่อให้วันนี้เจ้าโชคดีมีชีวิตรอดไปได้ แต่หลังจากนั้นล่ะ ทุกครั้งล้วนอดทนอดกลั้นและยอมถอย ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่งที่ถูกกำจัดออกจากหนทางแห่งมหามรรคอย่างไร้ปรานี!”
ชิงอวิ๋นหยางยืนอยู่ตรงนั้น หน้าอกกระเพื่อมไหวฮวบฮาบ เงียบงันไม่กล่าววาจา
“เร็วเข้า รีบฆ่าเจ้านี่ซะ ข้าไม่อยากฟังมันเอะอะเอ็ดตะโรแล้ว!” มีคนตะโกน
“ให้ตาย สั่งสอนชิงอวิ๋นหยางต่อหน้าพวกเรา แสร้งวางมาดอะไร เว่ยซาง หากเจ้าไม่ลงมืออีก ข้าจะลงมือแล้วนะ!”
ผู้แข็งแกร่งมากมายในโถงใหญ่โหวกเหวกขึ้นมา
สีหน้าเว่ยซางอึมครึมหาใดเปรียบ กล่าวอย่างเย็นชา “ทุกท่านวางใจ ข้านี่แหละจะฆ่ามันทิ้งซะ เอาเลือดสดๆ ของมันใส่เหล้า ดื่มด่ำกับทุกท่าน!”
ตูม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาบุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ พลังฝ่ามือราวอสนีบาต หอบหมอกแสงซ้อนสลับนับหมื่น พลังท่วงทำนองแห่งมรรคหนาแน่นห้อทะยาน
ไม่อาจไม่พูดถึง ความสามารถที่แท้จริงของเว่ยซางไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งเห็นชัดว่ามากด้วยประสบการณ์การต่อสู้
การจู่โจมนี้ของเขารวดเร็วดั่งอสนีบาต เหี้ยมโหดไม่ธรรมดา คนปกติทั่วไปไม่อาจแสดงพลานุภาพเช่นนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
นี่ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายในโถงใหญ่ดวงตาแวววาว ตระหนักรู้ว่าเว่ยซางหมายใช้อำนาจแห่งสายฟ้ามหาศาลพิฆาตหลินสวิน
ชิงอวิ๋นหยางเห็นดังนั้น ขณะกำลังจะเคลื่อนไหว กลับเห็นว่าคราวนี้หลินสวินชิงขวางหน้าเขา ก้าวย่างออกมา ฝ่ามือผลักออกไปตามใจ เบาสบายราบเรียบ
มุมปากเว่ยซางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอำมหิตวูบหนึ่ง เจ้าหมอนี่ถึงขั้นกล้าฝืนปะทะกับเขา ดูท่าคงอยากรนหาที่ตายจนทนไม่ไหว…
แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น รัศมีโค้งตรงมุมปากเขาพลันชะงักค้าง นัยน์ตาบีบหดรัดตัว ในใจพลันรู้สึกถึงอันตรายที่ยากจะเอ่ย ทำเอาเขาหนาวสั่นไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
นี่มัน…
เว่ยซางยังไม่ทันได้เข้าใจก็พลันรู้สึกเจ็บปวดที่แขนขวา เกิดเสียงเปรี๊ยะๆ ปริแตก เลือดเนื้อและกระดูกแตกระเบิดปลิวว่อนชั่วพริบตา!
“อ๊าก…”
เสียงร้องทุรนทุรายหลุดออกจากปากเขา เขาคิดถอยหลบตามจิตใต้สำนึก กลับเห็นมือขาวเรียวยาวข้างหนึ่งตบลงบนบ่าเขา
ปึง!
เสมือนภูเขาเทพเหนือฟากฟ้ากดอัดลงบนร่าง เว่ยซางไม่ทันได้ดิ้นรนก็ถูกกำราบคุกเข่าลงกับพื้น กระดูกเข่าแหลกละเอียด ทั่วร่างกระตุก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดสาหัส เสียงร้องโหยหวนอเนจอนาถเหลือแสน
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ฝ่ามือเดียวก็ตัดทึ้งแขนขวาออกไป กำราบให้คุกเข่าลงบนพื้นไร้แรงดิ้นรน!
ทุกคนในโถงใหญ่ต่างตื่นตระหนก ทั่วร่างแข็งทื่อ สีหน้าที่เดิมตื่นเต้นฮึกเหิมและสัพยอกล้วนแข็งทื่อ ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ผลลัพธ์นี้ทำเอาสมองพวกเขาต่างหมุนกลับมาไม่ทันอยู่บ้าง
ฝ่ามือเดียวเนี่ยนะ!
เว่ยซางถึงกับคุกเข่าลงไปแล้ว?
ใครจะกล้าเชื่อ!?
พลังที่แท้จริงของเว่ยซางแม้ไม่ใช่ระดับสูงสุดในหมู่หนุ่มสาวรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าในโถงใหญ่แห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็จัดอยู่ในสิบอันดับแรก
ใครเล่าจะคาดคิด ไม่นึกเลยว่าเขาจะปราชัยในมือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งยังพ่ายแพ้ในคราเดียว
แม้แต่ลั่วหยาบุตรเทพเผ่าหงส์ทมิฬซึ่งนั่งตรงที่นั่งประธาน ยังอดใจสั่นระรัวพรั่นพรึงไม่ได้ ตระหนักว่าพวกเขาล้วนดูผิดไปแล้ว เด็กหนุ่มที่ติดตามข้างกายชิงอวิ๋นหยางนั่นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง!
แม้แต่ชิงอวิ๋นหยางซึ่งรู้ฐานะหลินสวิน เวลานี้ยังอึ้งงัน เขาจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารอย่างหลินสวินคนนี้แข็งแกร่งยิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งเหนือธรรมดาเช่นนี้
การโจมตีเดียวเท่านั้น! เว่ยซางถึงกับคุกเข่า!
หากแพร่งพรายออกไป ในหมู่คนรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ต้องปั่นป่วนโกลาหลเป็นแน่
เปรี้ยง!
หลินสวินเวลานี้ยังคงนิ่งสงบดังเดิม ดูคล้ายรังเกียจว่าเสียงร้องทุรนทุรายของเว่ยซางเสียดหูเกินไป จึงดีดนิ้วผ่านอากาศ ทำให้อีกฝ่ายสลบไป
หลังจากนั้นเขาถึงกล่าวกับชิงอวิ๋นหยาง “ตอนนี้เจ้าคงเห็นแล้วว่า เจ้าหมอนี่ก็ไม่เท่าไร”
ท่าทางสงบนิ่งราบเรียบนั่น ทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าในโถงใหญ่ต่างโกรธเกรี้ยวและประหลาดใจ เด็กหนุ่มนี่เป็นใครกันแน่ เหตุใดไม่เคยเห็นเขามาก่อน
เห็นจะมีเพียงชิงอวิ๋นหยางที่ความรู้สึกซับซ้อน หากเขามีพลังเฉกเช่นหลินสวิน แน่นอนว่าจะไม่อดกลั้นและหวาดกลัว
“ปัญหาของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของพลัง แต่เป็นปัญหาของจิตใจ” หลินสวินมองชิงอวิ๋นหยางวูบหนึ่ง ดูเหมือนอ่านความคิดเขาออก
“ข้าเข้าใจแล้ว” ชิงอวิ๋นหยางพยักหน้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินทำการชี้แนะบางอย่างแก่ชิงอวิ๋นหยางโดยตลอด มองหมู่คนในโถงใหญ่ราวสิ่งไร้ค่า ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ถึงขั้นแม้แต่เว่ยซางที่ศิโรราบคุกเข่าอยู่กับพื้น ในสายตาเขาก็เหมือนแค่ตัวอย่างหนึ่งซึ่งถูกนำมาพิสูจน์ให้ชิงอวิ๋นหยางเห็น
ท่าทีทำอะไรตามใจไม่ใส่ใจผู้อื่น หยิ่งยโสไม่เห็นใครในสายตาเช่นนี้ ทำเอาทุกคนรวมทั้งลั่วหยาต่างเกิดความรู้สึกถูกมองข้ามและหยามหน้า
………………..
ตอนที่ 631 บุคลิกแห่งผู้แข็งแกร่ง
โดย
ProjectZyphon
“บังอาจ! เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าทำตัวชั่วช้าที่นี่ เห็นพวกข้าไร้ตัวตน ช่างไม่มีขื่อมีแปแล้วจริงๆ!?”
บางคนทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นอย่างหุนหัน ด่าทอหลินสวิน
คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าไม่เป็นมิตร แววตาทอประกายวาม
หลินสวินดูเหมือนไม่รู้ตัว สายตามองไปที่ชิงอวิ๋นหยาง กล่าวว่า “ถ้าเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคนหนึ่ง จะสนใจเสียงแหกปากของแมลงวันตัวเดียวหรือไม่”
ชิงอวิ๋นหยางมุมปากกระตุก เขาอยากพูดเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหมอนั่นหาใช่แมลงวัน และมีนามว่าไล่อวิ๋นเซิน แม้ความแข็งแกร่งจะไม่เข้าขั้นน่ากลัว ทว่าเผ่าวิหคเพลิงคะนองที่อยู่เบื้องหลังเขากลับเป็นเจ้าเหนือหัวฝ่ายหนึ่งในหมู่ชนเผ่าแห่งน่านสมุทรทะเลใต้ ผู้ใดล้วนไม่กล้ายั่วโทสะเอาง่ายๆ
ทว่ายามเผชิญหน้ากับสายตาลึกล้ำเยือกเย็นคู่นั้นของหลินสวิน ท้ายที่สุดชิงอวิ๋นหยางก็ยังกัดฟัน ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา ซ้ำยังพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ไม่สนใจ!”
หลินสวินพยักหน้า “นี่สิถูกต้อง”
ส่วนไล่อวิ๋นเซินที่ถูกหลินสวินมองว่าเป็น ‘แมลงวัน’ แหกปากนั้นโกรธจนหน้าเป็นสีแดงก่ำ ปอดแทบระเบิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาคือบุคคลสูงศักดิ์ของเผ่าวิหคเพลิงคะนอง มีหรือจะเคยถูกคนหยาบหยามเยี่ยงนี้
ไม่มี!
ทว่าตอนนี้ ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้ชน เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับไม่เกรงใจสักนิด เห็นเขาเป็นสิ่งต่ำต้อยและอัปลักษณ์เฉกเช่นแมลงวัน แล้วเช่นนี้จะให้ไล่อวิ๋นเซินอดกลั้นไหวได้อย่างไร
“เหอะๆ คิดว่าสยบเว่ยซางแล้ว จะดูหมิ่นดูแคลนทุกสิ่ง ทำเกะกะระรานได้จริงๆ หรือ”
เสียงของไล่อวิ๋นเซินเย็นเยียบหาใดเปรียบ “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้หากเจ้าไม่คุกเข่าขอโทษข้า ไม่เพียงแต่เจ้า ญาติสนิทมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกับเจ้าจะต้องชดใช้ด้วยความตายทั้งหมด!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวไร้ความปรานี
ผู้คนในโถงใหญ่ต่างผุดรอยยิ้มโหดร้ายออกมาเสี้ยวหนึ่ง ในความคิดของพวกเขา ไล่อวิ๋นเซินมีคุณสมบัติจะกล่าวเช่นนี้! เพราะเขาเป็นทายาทแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนอง!
ลำพังแค่ฐานะนี้ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงได้แล้ว!
เจ้าเด็กนี่จบเห่แล้ว!
นี่คือความคิดของทุกคน
“สหายท่านนี้ บางทีเจ้าอาจจะแข็งแกร่งยิ่ง มีต้นทุนที่จะภาคภูมิใจ แต่อยู่ต่อหน้าพวกข้า กลับไม่พ้นเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้เจ้าคุกเข่าขอโทษแต่โดยดี บางทียังพอจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
เด็กสาวแรกแย้มนางหนึ่งเอ่ยปาก น้ำเสียงฉายความหยิ่งทระนง
“ไม่ คุกเข่าขอโทษอย่างเดียวยังไม่พอ เขาทำร้ายเว่ยซาง ซ้ำยังเมินพวกเรา จะต้องมอบบทลงโทษที่สลักลึกในความทรงจำจึงจะระบายความเกลียดชังในใจของพวกข้าได้”
“เฮอะ ก็ไม่รู้เด็กบ้านป่าจากที่ไหนโผล่มา พลังแกร่งกล้าแล้วอย่างไร คิดจริงๆ หรือว่ามีพลังนิดหน่อยก็จะทำตัวไม่สนขื่อสนแปได้”
คนอื่นๆ ก็พากันแค่นหัวเราะ
ภาพที่หลินสวินเอาชนะเว่ยซางได้อาจทำให้พวกเขาประหวั่นและประหลาดใจ ทว่าในมุมมองของพวกเขา ต่อให้หลินสวินเก่งกาจมากเพียงใด ท้ายที่สุดก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่ไม่ได้มีเส้นสายอะไรคนหนึ่งเท่านั้น
จากการที่เขากลายเป็นเพื่อนกับคนอย่างชิงอวิ๋นหยางได้ สิ่งนี้ก็เพียงพอจะมองออกถึงข้อบ่งชี้บางประการ เพราะถึงอย่างไรคนที่มีอำนาจอิทธิพลอย่างแท้จริงใครเล่าจะผูกมิตรกับชิงอวิ๋นหยาง
จากการตัดสินเช่นนี้ พวกเขาถึงได้ไม่กังวลใจ เต็มด้วยความรู้สึกเหนือกว่า
ทว่าการตอบสนองของหลินสวินอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขาอีกครั้ง
เขายังคงเยือกเย็นมากเช่นเดิม มองไปทางชิงอวิ๋นหยางแล้วกล่าว “ตอนนี้เจ้ารู้สึกอะไรอยู่”
สีหน้าชิงอวิ๋นหยางฉายแววซับซ้อนยากอธิบาย เขาดูคล้ายจะมองทะลุได้โดยสิ้นเชิง และกระจ่างแจ้งแล้ว สูดหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก กล่าวว่า “ข้าพบว่าเมื่อก่อนตัวเองน่าขันยิ่งนัก ถึงขั้นเกลือกกลั้วอยู่กับคนพวกนี้ได้ ข้านี่มันตาบอดชัดๆ”
ทุกคนล้วนมีสีหน้าอึมครึม ถ้อยคำนี้ไม่มีปกปิดแม้แต่น้อย ตรงไปตรงมา เท่ากับด่าพวกเขาตรงๆ ว่าไร้สามารถ!
“ชิงอวิ๋นหยาง เจ้ารู้ชัดถึงผลลัพธ์ของประโยคที่พูดออกมาหรือไม่!”
ไล่อวิ๋นเซินเดือดดาล กลิ่นอายคุกคามเต็มเปี่ยม
คนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีเย็นชา คิดจะฉีกหน้าพวกเขาหรือ แต่เจ้าชิงอวิ๋นหยางมีคุณสมบัติหรือไม่ รนหาที่ตายเองชัดๆ!
“แค่กลุ่มตัวตลกที่ได้แต่พึ่งพาอิทธิพลของเผ่าวางอำนาจบาตรใหญ่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น เสียแรงที่เมื่อก่อนข้ายังเห็นพวกเจ้าเป็นคนร่วมวิถี ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ในสายตาของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง พวกเจ้ามันก็แค่แมลงวันกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ความสูงลิ่วแห่งท้องนภา ความลุ่มลึกอันยิ่งใหญ่ น่าขันยิ่งนัก!”
ชิงอวิ๋นหยางเริ่มเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ บนดวงหน้าเปี่ยมด้วยแววมาดมั่น น้ำเสียงราบเรียบแน่วแน่ ดุจว่าเปลี่ยนเป็นอีกคน
เขาถอดคราบแล้ว!
อย่างน้อยในแง่สภาพจิตใจ ก็เกิดการแปรสภาพจากเมื่อก่อนแล้วเสี้ยวหนึ่ง!
หลินสวินตระหนักถึงจุดนี้อย่างฉับไว คำพูดที่ชิงอวิ๋นหยางกล่าวไม่สำคัญ สำคัญที่ทัศนคติเบื้องหลังถ้อยวาจาของเขาต่างหาก
นี่จึงจะเป็นสิ่งสำคัญ
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง หากไร้สภาพจิตใจประเภทนี้ ชั่วชีวิตย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรได้!
ตัวตลก… แมลงวัน…
ครั้นได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ทั้งยังเปล่งออกมาจากปากชิงอวิ๋นหยางที่มักจะก้มหัวมือกุมต่ำให้พวกเขาเรื่อยมา ทั่วทั้งโถงต่างปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง ยากจะทำใจเชื่อ
ฉับพลันนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนจากอับอายกลายเป็นโกรธ เศษสวะพรรค์นี้อย่างชิงอวิ๋นหยาง กล้ามองว่าพวกเขาเป็นตัวตลกกับแมลงวันหรือ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกทิ่มแทงและลบหลู่อย่างไม่เคยมีมาก่อน!
“ชิงอวิ๋นหยาง ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย คุกเข่าลงตอนนี้ กล่าวขอโทษพวกเรา ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น มิเช่นนั้น…”
เสียงของไล่อวิ๋นเซินคล้ายเค้นลอดไรฟัน ยื่นมือชี้ไปที่หลินสวิน “มิเช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นเหมือนกับเขา วันนี้เลิกคิดหนีได้เลย!”
“งั้นหรือ”
หลินสวินเงยหน้า นัยน์ตาลุ่มลึกประดุจเหวลึก มองไล่อวิ๋นเซินอย่างเย็นเยียบ
ชั่วขณะนั้นไล่อวิ๋นเซินพลันแข็งทื่อไปทั้งร่างอย่างน่าประหลาด ภายในใจสั่นเทิ้ม รับรู้ถึงความหนาวสะท้านที่ไม่เคยมีมาก่อน รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกเทพสังหารที่ยืนตระหง่านอยู่บนเก้าชั้นฟ้าจับจ้องอยู่
นี่…
เพียงแค่แววตาเท่านั้น ไฉนจึงสยดสยองได้ถึงเพียงนี้
ตูม!
ไม่รอให้ทำความเข้าใจ เขารู้สึกแค่ว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน หลินสวินได้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าแล้ว รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าก็คุกเข่าลงด้วยสิ”
น้ำเสียงราบเรียบเยือกเย็นดังขึ้นข้างหู ทว่าเวลานี้กลับเป็นเหมือนคำบัญชาเด็ดขาด ทำเอาจิตวิญญาณของไล่อวิ๋นเซินสั่นสะท้านไปหมด
“ไม่…!”
เขาเพิ่งจะแผดเสียงร้อง ก็รู้สึกว่ามือข้างหนึ่งตบลงมาบนบ่า จากนั้นพลันปวดร้าวไปทั่วร่าง
เสียงโครมดังขึ้นหนึ่งหน ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตระหนกของผู้คน หลินสวินทำเพียงตบเบาๆ หนึ่งทีเท่านั้น ไล่อวิ๋นเซินก็ถูกกำราบลงกับพื้นเหมือนเส้นฟาง แผ่นพื้นถูกสะเทือนจนสั่นไหว พื้นผิวเกิดรอยแตกขึ้นจำนวนมาก
ทั่วโถงเงียบกริบ ไร้สุ้มเสียง
นั่นคือไล่อวิ๋นเซินเชียวนะ ทายาทสูงส่งแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนอง ทอดสายตาไปทั่วน่านสมุทรทะเลใต้ เกรงว่าต่อให้ผู้แข็งแกร่งสูงสุดในขุมอำนาจใหญ่มาเยือน ก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้ง่ายๆ!
ทว่าตอนนี้เจ้าเด็กนั่นแทบจะไม่พูดร่ำไรอันใดเลย ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ตรงไปกำราบให้ไล่อวิ๋นเซินคุกเข่าลงกับพื้น
นี่ถือเป็นการหยามเกียรติอย่างที่สุด!
หากแพร่งพรายออกไป ชั่วชีวิตนี้ไล่อวิ๋นเซินอย่าได้คิดจะเงยหน้าขึ้นมาเลย!
สิ่งที่ทำให้ผู้คนหนังศีรษะชาที่สุดคือ ความเร็วของหลินสวินนั้นรวดเร็วเหลือแสน ดูคล้ายเบาสบาย แต่กลับน่ากลัวไร้เทียมทาน และเหนือจินตนาการ
ไม่ว่าจะเป็นเว่ยซางเมื่อตอนก่อนหน้า หรือไล่อวิ๋นเซินในยามนี้ แทบจะถูกหลินสวินกำราบเพียงแค่เงื้อฝ่ามือเดียวเท่านั้น แม้แต่ความสามารถที่จะต้านทานยังไม่มี
นี่มันสยองเกินไปแล้ว
ในที่แห่งนี้แม้จะเป็นบุคคลวัยหนุ่มสาวทั้งสิ้น ทว่าก็เป็นผู้ปรีชาสามารถจากบรรดาคนหนุ่มสาวของแต่ละเผ่า อาจจะวางโตอวดศักดาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีผู้อ่อนแอเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งยังแกร่งกล้ายิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งทั่วไปด้วย
นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้เกิดทิฐิและความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา
ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถจินตนาการได้เลยสักนิด ต้องมีพลังน่าหวาดกลัวระดับไหนกันแน่ จึงสามารถเป็นเหมือนกับเด็กหนุ่มคนนั้น ระหว่างโบกมือก็ปิดครอบจักรวาลเอาไว้!
ท่วงท่าที่ทั้งเอกเทศและโดดเด่นเช่นนั้น มีแค่บุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดเท่านั้นจึงจะครอบครองได้ ทว่าตอนนี้กลับปรากฏบนกายของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่จะไม่ให้พวกเขาสะทกสะท้านอย่างไรไหว
ต่อให้เป็นชิงอวิ๋นหยาง เวลานี้ก็รู้สึกสั่นสะท้านเช่นกัน แต่ต่อมานัยน์ตาเขาก็ปรากฏแววบ้าดีเดือดและมุ่งมาดปรารถนาออกมาเสี้ยวหนึ่ง
ถ้าหาก… ถ้าหากข้าเองก็ครอบครองพลังระดับนี้เหมือนกัน ใครยังจะกล้าเพิกเฉย?
ชั่วขณะนี้เขากระหายหมายจะแข็งแกร่งมากขึ้นอีก!
เขามองเห็นอำนาจแห่งผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงบนตัวหลินสวิน ตระหนักได้ว่ามีเพียงเจ้าตัวแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จึงจะได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้อื่น จึงจะทำให้ศัตรูกริ่งเกรงและหวาดกลัว!
มิเช่นนั้นถ้าไร้ซึ่งพลังอันเป็นรากฐาน สิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์และแวดวงทั้งปวง ล้วนเป็นได้แค่บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี[1] วิมานบนอากาศ!
ก็เปรียบได้กับผู้คนในโถงใหญ่แห่งนี้ เมื่อก่อนหยิ่งผยองลำพองตนเพียงใด ทว่ายามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มเทพมารอย่างหลินสวินผู้นี้ ยังจะต่างอะไรกับตัวตลกที่น่าขันยิ่งยวดกัน
พลัง!
นัยน์ตาชิงอวิ๋นหยางมุ่งมั่นขึ้นทุกที
“สหายท่านนี้ เจ้าทำเกินไปหน่อยแล้ว!”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ลั่วหยาซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งประธานเอ่ยปาก นัยน์ตาของเขาลุ่มลึกราวกับแสงวิญญาณ มีประกายวาววับน่าสะพรึงว่ายเวียน
ในสายตาของผู้คน ลั่วหยาเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่มีพลังเพียงพอจะไต่เต้าสู่สามสิบอันดับแรกของคนหนุ่มสาวในน่านสมุทรทะเลใต้
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
“เจ้าไม่ยอมจำนน?”
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ แต่สำหรับทุกคนแล้ว กลับเห็นชัดว่าทรงพลังยิ่ง
“โปรดชี้แนะด้วย!”
ลั่วหยาสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก ทั่วสรรพางค์กายปรากฏแสงเรืองรองโชติช่วง อานุภาพแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงขุดขีดทันใด
“เจ้าไม่ไหว ยังมีใครไม่จำนนอีกก็เข้ามาพร้อมกันเถอะ”
นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินลึกล้ำ กวาดมองทั่วโถง ใครก็ตามที่ถูกสายตาของเขากวาดมอง ต่างก็สั่นระริกไปทั้งตัว สีหน้าเหยเกตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าสบสายตาเขา
‘นี่ก็คืออานุภาพของผู้แข็งแกร่งกระมัง’
ชิงอวิ๋นหยางพึมพำในใจ สายตาที่มองไปทางหลินสวินเพิ่มแววเลื่อมใสขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
“เฮอะ!”
ลั่วหยาแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ไม่อาจฝืนทนได้แล้ว พุ่งโจมตีออกไปอย่างเปิดเผย
ตูม!
เขากลับไม่ได้ถูกเพลิงโทสะสุมหัว รู้ชัดถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ฉะนั้นทันทีที่เริ่มลงมือก็เรียกทวนกนกที่แสงวิญญาณเจิดจรัสเล่มหนึ่งออกมา ทลายอากาศพุ่งสังหารเข้ามา
เสียงหวีดก้องดังขึ้นในโถงใหญ่แห่งนั้น ห้วงอากาศแปรปรวน เสียงหวีดแหลมบาดหูนั้นราวกับลมมรสุม ทำให้ผู้คนในโถงแห่งนี้หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ เลือดลมพลุ่งพล่าน
ไม่ต้องกังขาเลยแม้แต่น้อย ลั่วหยาโคจรใช้พลังทั้งหมดแล้ว!
เห็นชัดว่าเขามองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจ ไม่มีการออมชอมใดๆ
ทวนเล่มนี้ของลั่วหยาเรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างสิ้นเชิง ในบรรดาระดับเดียวกันเรียกว่ายอดเยี่ยม หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงแต่ว่าจะไม่กล้ารับปะทะกับเขาแม้แต่น้อย
แต่การตอบสนองของหลินสวินกลับผิดคาดอีกหน
เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้แต่เศษเสี้ยว เงาร่างสูงโปร่งดุจดั่งภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง เพียงแค่ยื่นมือเรียวยาวขาวกระจ่างออกมาข้างหนึ่ง ก็คว้าทวนกนกที่พุ่งตรงมาสังหารเล่มนั้นไว้ได้อย่างแน่นหนา!
นี่คือทวนที่เพียงพอจะผ่าภูเขาเผาหยินหยางให้เป็นผุยผง พลังน่ากลัวเพียงใด ทว่าพริบตาที่ถูกหลินสวินคว้าหมับเอาไว้ ก็ไม่สามารถเดินหน้าได้แม้แต่คืบเดียวอีก!
ไม่เพียงเท่านี้ ทวนกนกบังเกิดเสียงหวีดร้อง คล้ายกับรับไม่ไหวอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ทั้งโถงต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย
นี่เป็นถึงการโจมตีสุดกำลังของลั่วหยา กลับถูกกดข่มหมดหนทางง่ายๆ แบบนี้?
ตูม!
หลินสวินขยับข้อมือ ชั่วพริบตาก็ชิงเอาทวนกนกมาไว้ในมือ วาดทวนตามขวาง พลันได้ยินเสียงคำรามสนั่น ลั่วหยาถูกซัดลอยออกไป กระแทกจนผนังที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเกิดเป็นรู ฝุ่นควันคละคลุ้ง
การโจมตีเดียว!
ยอดฝีมือในสายตาผู้คนอย่างลั่วหยาคนนี้ กระดูกทั่วร่างไม่รู้ว่าแตกสลายไปกี่ชิ้น พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถคาที่ เละเทะไม่เหลือสภาพ!
ส่วนหลินสวินยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ไม่เคยหวั่นไหวสักเสี้ยว ในมือมีทวนกนกเพิ่มขึ้นมา เงาร่างสันโดษ นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึกเย็นชา พลานุภาพสะท้านทั่วโถง!
——
[1] บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี ใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องเพ้อฝัน
ตอนที่ 632 หลันเทียนฉีผู้ถูกเมิน
โดย
ProjectZyphon
ลั่วหยานั่งแหมะลงกับพื้น ผมเผ้ากระเซิง กระอักเลือดไม่หยุด
เขาเกร็งกระตุกเจ็บปวดไปทั่วร่าง แต่กลับฝืนอย่างดึงดัน เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดนี้ ความหวาดกลัวในใจของเขารุนแรงยิ่งกว่า
ลั่วหยาก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าตนจะไม่สามารถต้านการโจมตีเดียวของเด็กหนุ่มคนนั้นได้เช่นเดียวกับเว่ยซางและไล่อวิ๋นเซิน!
น่ากลัวเกินไปแล้ว
ครั้นนึกถึงสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นยามประมือกัน ลั่วหยาก็รู้สึกเหมือนภาพฝันที่ไม่เป็นความจริง เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นตนก็พ่ายแพ้ทันใด!
‘ต่อให้เป็นพวกหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงลงมือ เกรงว่าคงไม่สามารถทำให้ตนพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชในกระบวนท่าเดียวเช่นนี้กระมัง…’
สภาพจิตใจของลั่วหยาว้าวุ่น อารมณ์สูญเสียการควบคุม รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่ง เจ้าหมอนั่น… เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ใดกันแน่
ในโถงใหญ่เงียบสงัดมากขึ้นเรื่อยๆ บุคคลมากสามารถวัยหนุ่มสาวของแต่ละเผ่าเหล่านี้ ในที่สุดก็รู้สึกถึงความกดดันบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชั่วขณะนี้นี่เอง
มองดูเด็กหนุ่มที่ยืนอย่างสันโดษห่างออกไปคนนั้น ท่าทีของพวกเขาล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและเคลือบแคลง กระทั่งเจือความกริ่งเกรงอันลุ่มลึกด้วยเสี้ยวหนึ่ง
เว่ยซางแพ้แล้ว…
ไล่อวิ๋นเซินแพ้แล้ว…
ขณะนี้แม้แต่ลั่วหยาเองก็พ่ายแพ้เช่นกัน…
ทั้งยังแพ้ภายใต้การโจมตีครั้งเดียว!
นี่ย่อมเห็นได้ชัดว่าน่าหวาดกลัวและพาให้สะพรึงเกินไป ในบรรดาระดับหยั่งสัจจะ ลั่วหยาเรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในหมู่คนชั้นยอด แม้แต่เขายังไม่อาจตั้งรับกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ ถ้าเช่นนั้นพลังการต่อสู้ของอีกฝ่ายจะน่าหวาดกลัวถึงระดับไหนกันเล่า
“ยังมีใครไม่จำนน ถือโอกาสนี้ลุกออกมาได้เลย”
หลินสวินส่งเสียง นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึกเย็นชาและสงบนิ่ง เสียงไม่ดังแต่กลับเป็นความมั่นใจในตัวเองและถือดีอย่างหนึ่ง ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างสะท้านใจ ไม่กล้าเอ่ยวาจา
ก่อนหน้านี้พวกเขาภาคภูมิใจทระนงตน ถือตนว่าสูงส่ง คิดว่าในเมื่อหลินสวินและชิงอวิ๋นหยางเป็นสหายกัน จะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ควรค่าให้ชายตาแลคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ฉะนั้นพวกเขาจึงปรามาสและเหยียดหยามหลินสวินตลอดมา
ทว่าตอนนี้พวกเขาหวาดหวั่นแล้ว รู้สึกถึงความหวาดกลัวและภัยคุกคาม ตระหนักได้ว่าบุคคลที่ ‘ไม่ควรค่าชายตาแล’ ในสายตาของพวกเขานั้น เป็นคนชั้นยอดที่ซ่อนคมในฝักอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง!
บุคคลเช่นนี้ เหยียบย่างสู่ปลายยอดแห่งมหามรรคหยั่งสัจจะแล้ว เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน เป็นผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับบุคคลระดับบุตรเทพไร้เทียมทานได้ทีเดียว
ต่อให้เขาไร้ซึ่งอิทธิพลคับฟ้าให้พึ่งพิง แต่ก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปยุ่มย่ามด้วยได้!
ทั้งโถงเงียบกริบ เนิ่นนานต่างมิกล้าเอ่ยคำ!
ชิงอวิ๋นหยาเห็นทุกอย่างแก่สายตา ภายในใจก็เหิมฮึกไม่รู้จบ อะไรที่เรียกว่าผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ก็นี่อย่างไร!
บุคคลเช่นนี้แบกผืนฟ้าทะยานผ่านเมฆา สยายปีกโผบินด้วยกำลังของตน!
ในทางกลับกัน เหล่าผู้ปรีชาสามารถแต่ละเผ่าที่เรียกกันในที่นี้ ก็ไม่พ้นเป็นแค่มดตามพื้น ได้แต่แหงนมองและยำเกรงเท่านั้น
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังก้องขึ้นนอกโถงใหญ่ ยิ่งฟังดูเด่นชัดเป็นพิเศษท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ณ ที่แห่งนี้
“หืม? เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
พลันเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ล่ำสันดุดันผู้หนึ่งสาวเท้าเข้ามา
เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด โครงร่างหยาบใหญ่ หัวโล้นมันวาว นัยน์ตาคู่นั้นมีแสงยะเยือกว่ายเวียน ทั้งตัวดุจดั่งสัตว์อสูรมิปาน มีกลิ่นอายแห่งความดุร้ายข่มขู่อย่างหนึ่ง
หลันเทียนฉี!
ผู้คนในโถงแววตาทอประกายระยับระลอกหนึ่ง จดจำฐานะของผู้มาใหม่ได้ทันใด
คนผู้นี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจยิ่งกว่าลั่วหยา ความแข็งแกร่งแห่งพลังต่อสู้เพียงพอจะไต่เต้าสู่สิบอันดับแรกของคนรุ่นเยาว์ในน่านสมุทรทะเลใต้!
เช่นเดียวกัน เขาก็เป็นบุคคลระดับบุตรเทพไร้เทียมทานคนหนึ่ง พฤติกรรมเหี้ยมโหดดุร้ายยิ่งยวด มีชื่อเสียงดุร้ายในหมู่คนรุ่นเยาว์
ก่อนหน้านี้ที่เว่ยซางขัดขวางไม่ให้ชิงอวิ๋นหยางออกไป ก็เพื่อรอหลันเทียนฉีมา!
ทุกคนต่างรู้กันหมด ระหว่างหลันเทียนฉีและชิงอวิ๋นหยางมีความเคียดแค้นบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ เล่าลือว่าอุบัติขึ้นเพราะสตรีนางหนึ่ง
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งน่านสมุทรทะเลใต้ต่างรู้ชัดแจ้ง ว่าขอเพียงถูกหลันเทียนฉีบังเอิญพบเข้า ชิงอวิ๋นหยางจะต้องได้รับความอัปยศและการต่อยตียกหนึ่งเป็นแน่!
ส่วนสาเหตุเป็นรูปธรรม บางทีคงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้แก่ใจ
ตอนนี้หลันเทียนฉีมาถึงแล้ว อีกทั้งชิงอวิ๋นหยางก็ยังอยู่ในโถง จะยังเกิดเรื่องคล้ายกับที่ผ่านมาอีกหรือไม่
สายตาของฝูงชนอดมองไปทางเด็กหนุ่มคนนั้นที่อยู่ในโถงไม่ได้ ยามเห็นนัยน์ตาลึกล้ำเย็นยะเยือกคู่นั้นของเขา พวกเขาต่างสั่นเทิ้มไปทั่วกาย ยิ่งเงียบกริบมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่เวลามาชมเรื่องสนุก!
“เหตุใดถึงไม่มีใครพูด”
หลันเทียนฉีมุ่นคิ้ว สายตากวาดมองทั่วโถงใหญ่ สัมผัสได้ว่าบรรยากาศชักจะทะแม่งๆ
“ไปเถอะ”
หลินสวินคำนวณเวลา ยามนี้ชุมนุมประมูลสมบัติใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงเรียกชิงอวิ๋นหยางแล้วสาวเท้าเดินออกไปทางด้านนอกโถงใหญ่ทันที
สิ่งนี้ทำให้ผู้คน ณ ที่นั้นต่างนิ่งงัน จะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ
ทันใดนั้นพวกเขาต่างลอบถอนหายใจโล่งอก ไปแล้วก็ดี ถ้าเจ้าหมอนี่ยังสู้ต่อไปอีก กลัวแต่ว่าพวกเขาทั้งหมดคงต้องประสบเภทภัยแล้ว
หลันเทียนฉีเห็นดังนี้สีหน้าพลันขรึมลง ที่ผ่านมาเขาเดินไปที่ไหนล้วนต้องถูกผู้คนทักทายปราศรัยปานดาวล้อมเดือน
ทว่าวันนี้กลับผิดปกติเหลือแสน นับตั้งแต่เดินเข้าสู่โถงใหญ่ ทั้งที่มีคนคุ้นหน้าคุ้นตามากมายขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับเหมือนเป็นใบ้กันหมด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสนใจเขาเลย!
สิ่งที่ทำให้หลันเทียนฉีไม่อาจทนได้มากที่สุดก็คือ เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งกลับเรียกชิงอวิ๋นหยางคำเดียว แล้วยกเท้าจะจากไป
เขาถูกคนเมินโต้งๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!
สิ่งนี้ทำให้นัยน์ตาหลันเทียนฉีฉายประกายดุดันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ร้องตะโกน “ชิงอวิ๋นหยาง เจ้าหยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงดั่งอสนีบาต วิญญาณหลุดขวัญกระเจิง
หากเป็นยามปกติ ชิงอวิ๋นหยางถูกระบุตัวเช่นนี้จะต้องตกใจจนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับแน่
ทว่าคราวนี้หลันเทียนฉีกลับต้องผิดคาดอีกครั้ง ชิงอวิ๋นหยางหมุนกายเดินไปประหนึ่งไม่ได้ยิน ไม่ได้มองเขาแม้แต่ปราดเดียวด้วยซ้ำ
“เจ้า…รนหาที่ตาย!”
หลันเทียนฉีระเบิดโทสะโดยสิ้นเชิงแล้ว เขานิสัยดุร้ายและโหดเหี้ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คราวนี้มาถูกผู้คนในโถงใหญ่ หลินสวิน รวมถึงชิงอวิ๋นหยางพร้อมใจกันเมินเฉย ประหนึ่งว่าเขาเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น มีหรือจะไม่เดือดดาล
ตูม!
หลันเทียนฉียื่นมือออกมา เสียงระเบิดกึกก้อง
ระเบิดสายฟ้าสว่างไสวกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น กลายเป็นมือใหญ่พุ่งคว้าชิงอวิ๋นหยางอย่างดุดัน
ในฐานะผู้กล้าที่สามารถไต่เต้าไปอยู่ในระดับบุตรเทพไร้เทียมทานคนหนึ่ง การโจมตีครั้งนี้ของหลันเทียนฉีย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
อีกทั้งเขายังโจมตีด้วยความเดือดดาล พลังจึงน่ากลัวยิ่งขึ้น!
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลันเทียนฉีประหลาดใจคือ ทั้งที่สัมผัสได้ว่าตนลงมือแล้ว การตอบสนองของคนอื่นๆ ในที่แห่งนี้กลับต่างไปจากที่ผ่านมา
ไม่ได้เหิมฮึกโห่ร้อง ไม่ได้ตั้งตาคอยและตื่นเต้น กลับมีกลิ่นอายซับซ้อนแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เหมือนกับว่า…ไม่ทนข่มใจยิ่ง…
วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่รอให้เข้าใจ หลันเทียนฉีก็ตระหนักได้ว่าขณะที่ตนลงมือนั้น เด็กหนุ่มซึ่งกำลังเดินไปนอกโถงใหญ่พลันหมุนกายกลับมาทันควัน
ตูม!
หลังจากนั้น ฝ่ามือเรียวยาวขาวกระจ่างข้างหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศ บิดเบาๆ ก็ทำลายมือใหญ่อสนีเลือนลั่นข้างนั้นที่เขาปลดปล่อยออกไปเป็นผุยผง!
‘หืม? หรือทุกอย่างนี้เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนี้’
ดวงตาของหลันเทียนฉีพลันหรี่ลง เขาหาใช่คนโง่เง่า ชั่วขณะเดียวก็ตระหนักถึงกุญแจสำคัญได้อย่างว่องไว
“ข้าจะพาเขาออกไป เจ้ามีความเห็นอื่นหรือ” หลินสวินเปล่งเสียง
เขาไม่รู้จักหลันเทียนฉี และไม่รู้ถึงความบาดหมางระหว่างหลันเทียนฉีกับชิงอวิ๋นหยาง แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้
อีกเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับจักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว เวลานี้ย่อมไม่สนใจว่าจะผิดใจใคร
“ฮ่าๆ ไอ้เด็กบ้านป่าโผล่มาจากไหนกัน ถึงได้กล้าพูดกับข้าอย่างนี้”
หลันเทียนฉีเดือดดาลในใจ สีหน้าบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาปรากฏแววสังหารดุดัน ทรงพลังข่มขู่ผู้คน
ตูม!
ไม่อาจไม่พูด หลันเทียนฉีเผด็จการยิ่งยวดจริงๆ เพิ่งกล่าวหนึ่งประโยคก็ลงมือแล้ว ฝ่ามือหนึ่งพุ่งตบไปทางหลินสวินทันที
กลับเห็นว่าเงาร่างของหลินสวินไหววูบ เบี่ยงหลบง่ายๆ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ที่นี่ไม่เหมาะจะต่อสู้ ไม่สู้พวกเราดวลกันสามการโจมตี ใช้สิ่งนี้ตัดสินแพ้ชนะ หากข้าแพ้ เชิญเจ้าจัดการตามสบาย ถ้าเจ้าแพ้ละก็…”
เอ่ยถึงตรงนี้ สายตาของหลินสวินมองไปทางชิงอวิ๋นหยาง กล่าวต่อไปว่า “ถ้าเจ้าแพ้ ให้คุกเข่าโขกศีรษะให้เขาสามครั้งเป็นอย่างไร”
ทันทีที่ถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา นัยน์ตาหลันเทียนฉีก็อดหรี่ลงไม่ได้ เริ่มต้นมองสำรวจหลินสวินอย่างถี่ถ้วน
เด็กหนุ่มคนนี้มั่นใจในตัวเองเกินไป ทั้งทำให้เขามองไม่เห็นความตื้นลึกหนาบาง สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“พี่หลัน เมื่อครู่คนผู้นี้เอาชนะสหายยุทธ์เว่ยซาง ไล่อวิ๋นเซินและลั่วหยาสามคน ทั้งยังตัดสินแพ้ชนะภายในการโจมตีเดียวอีกด้วย ท่าน…จะต้องระวังให้ดี!”
ในที่สุดก็มีคนข่มความกริ่งเกรงภายในใจเอาไว้ เอ่ยเตือนเสียงกระซิบ
หลันเทียนฉีสะท้านในใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เว่ยซางและไล่อวิ๋นเซินไม่นับเป็นอะไรเลย สิ่งที่ทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริงคือ แม้แต่คนระดับลั่วหยาก็ยังพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว สิ่งนี้ทำให้เขาไม่อาจไม่หวั่นไหว ไม่กล้าดูแคลนอีก
“หึๆ ข้ายังนึกว่าเจ้าชิงอวิ๋นหยางมีความสามารถอะไร ที่แท้ก็ไปหายอดฝีมือคนหนึ่งมาช่วยเหลือนี่เอง”
หลันเทียนฉีหัวเราะเย็นชา นัยน์ตาดุจมีดกวาดมองชิงอวิ๋นหยาง เปี่ยมด้วยแววหยามเหยียดและเย็นชา
กลับเห็นท่าทีของชิงอวิ๋นหยางสงบนิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ครั้งนี้ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า สิบปีให้หลัง ข้าจะสังหารเจ้าด้วยตัวเองอย่างแน่นอน!”
“หืม?”
หลันฉีเทียนมุ่นคิ้ว แปลกพิสดารเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ชิงอวิ๋นหยางเหมือนเต่าหดหัวตัวหนึ่งชัดๆ ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน อ่อนแอหาใดเปรียบ
ทว่าวันนี้เขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!
หรือว่าเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนั้น
หลันเทียนฉีไม่ได้สนใจ ‘สัญญารบสิบปี’ ของชิงอวิ๋นหยาง เขาเหยียดหยามเรื่องนี้ยิ่ง เด็กหนุ่มคนนั้นต่างหากที่ทำให้เขาให้ความสำคัญอย่างแท้จริง!
“สามการโจมตี? เจ้าแน่ใจ?”
นัยน์ตาหลันเทียนฉีวาววับ ลำแสงเย็นเยียบพลุ่งพล่าน จับจ้องหลินสวิน
“ต้องถามเจ้าว่ากล้าหรือไม่”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ
“ดี!”
เสียงตะโกนก้องหนึ่งดังขึ้นดุจอสนีฟาดฟัน ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน ชั่วขณะนี้หลันเทียนฉีพุ่งโจมตีอย่างเปิดเผยเป็นที่เรียบร้อย
โครม!
ลำแสงอสนีน่าสะพรึงแปลบปลาบทั่วร่างของเขา นัยน์ตากร้าวด้วยอสนี ปลดปล่อยอานุภาพทั้งหมดของบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดออกมา
ชั่วพริบตาดุจดั่งมีสัตว์ปีศาจไร้เทียมทานตื่นขึ้นในร่างของเขา กลิ่นอายรุนแรงนั้นทำให้ทั้งโถงสั่นสะเทือน ผู้คนหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
แข็งแกร่งยิ่ง!
เห็นได้ชัดเจนว่าหลันเทียนฉีเองก็ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ไม่กล้าเลินเล่อ หมายใช้พลังทั้งหมดสยบหลินสวินในการโจมตีสามครั้งนี้ให้จงได้
กลับเห็นหลินสวินยังคงสงบนิ่งสบายอารมณ์ดังเดิม ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น เดียวดายเป็นเอกเทศ ต่างจากคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คน การดวลครั้งนี้เริ่มเปิดม่านแล้ว
ตูม!
การโจมตีครั้งแรก หลันเทียนฉีสำแดงวิชาลับ อานุภาพแกร่งกล้า ทันทีที่ฝ่ามือนี้ซัดโจมตีออกมา คนทั้งโถงต่างตกตะลึง มองออกว่านี่คือวิชาลับชั้นยอดอย่างหนึ่ง น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต
ทว่าหลินสวินสามารถสลายทุกสิ่งนี้ได้เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น ง่ายดายและเยือกเย็น ยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ไม่เคยขยับเขยื้อนเลยสักเสี้ยว
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนสะท้านในใจเช่นเดียวกัน การโจมตีสุดพลังของบุตรเทพชั้นยอด ถูกทำลายลงทั้งอย่างนี้หรือ
ดังคาด เมื่อครู่พวกลั่วหยาพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ ด้วย เพราะเจ้าหมอนี่ครอบครองพลังที่เทียบเคียงกับบุตรเทพชั้นยอดอย่างเห็นได้ชัด!
____
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น