Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 625-627
ตอนที่ 625 ทั้งหมดล้วนฉงน
โดย
ProjectZyphon
พลังฝ่ามือเรียบง่าย เหลือบแสงท่วงทำนองแห่งมรรคสีเขียว พละกำลังไม่อาจต้าน พลานุภาพยากทัดเทียม
สีหน้าชิงอวิ๋นหยางปรวนแปรไม่หยุด สำแดงวิชาลับเต็มกำลังมาคลี่คลาย
แต่ที่ทำให้เขาหวาดผวาคือ พลังฝ่ามือนั่นควบแน่นไม่แตกแยก ราวสิงขรสูงชันยากสั่นคลอน เคลื่อนขวางเข้ามาตลอดทาง ไม่ว่าเขาจะจู่โจมอย่างไรล้วนไม่อาจต้านทาน
เขาถูกบีบจนไม่ถอยไม่ได้!
ทุกคน ณ ที่นั้นส่งเสียงอื้ออึงตื่นตระหนก ลูกตาแทบถลนออกมา ชิงอวิ๋นหยางเป็นถึงบุตรเทพผู้สง่าผ่าเผยของพวกเขาเผ่าตะพาบเขียว กลับรับไม่ไหวแม้แต่ฝ่ามือเดียว?
หนึ่งก้าว
สองก้าว
สามก้าว
ตามพลังฝ่ามือบีบอัดกึกก้อง ชิงอวิ๋นหยางอึดอัดจนวงหน้าแดงก่ำ ต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง แต่ท้ายที่สุดยังคงถูกบีบจนถอยร่นไม่หยุด
นี่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม สีหน้าผิดแปลกหาใดเปรียบจนเกือบจะคลุ้มคลั่ง
แค่พลังฝ่ามือเดียว! ตนถึงกับไม่อาจขจัดคลี่คลาย?
ตูม!
ไม่ทันได้คิดมากความ พลังฝ่ามือที่ดูเหมือนกลมเกลี้ยงและเรียบง่ายนั้น กลับอัดแน่นไปด้วยความน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด บดอัดอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนเชื่องช้า แท้จริงกลับรวดเร็วถึงที่สุด แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ชิงอวิ๋นหยางก็ถูกบีบจนถอยร่นไปสิบกว่าก้าว
เห็นว่าพลังฝ่ามือนั่นกำลังครอบคลุมกดอัดลงบนร่างในไม่ช้า ท้ายที่สุดชิงอวิ๋นหยางไม่อาจอดกลั้นความหวาดกลัวภายในใจ พุ่งหลบไปอีกฝั่ง ไม่กล้าฝืนปะทะซึ่งหน้าอีก
ซ่า!
แต่ในเวลาเดียวกับที่เขาหลีกหลบ พลังฝ่ามือนั่นประดุจเกลียวคลื่น สะท้านไหวแผ่วเบา ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ออมมือแล้ว”
พร้อมกันนั้นหลินสวินออกปากส่งเสียง สีหน้านิ่งสงบ
เห็นชัดว่าในช่วงสุดท้ายเขาหยุดมือ เป็นฝ่ายเก็บพลังฝ่ามือเอง
การควบคุมพลังดั่งใจนึกเช่นนั้น ทำให้ทหารอารักขาซึ่งอยู่ใกล้เคียงพลันหวาดผวา
พวกเขางุนงงอีกครา และตระหนักได้ว่าหลินสวินไม่ใช่คนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง มิฉะนั้นไหนเลยจะอาศัยแค่ฝ่ามือเดียวก็บีบจนบุตรเทพของพวกเขาไม่อาจไม่ถอยร่น
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เขาเป็นใครกันแน่
ทุกคนล้วนเงียบสงัด เงียบกริบเป็นเป่าสาก
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าอึมครึม ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ในใจรู้สึกอัดอั้นเหลือจะเอ่ย
เขาไม่มีทางยอมรับผลเช่นนี้แน่!
เจ้าคางคกที่เฝ้าดูมาตลอดแท้จริงแล้วอยากบอกยิ่งนัก ว่าเด็กน้อยเจ้าน่ะรู้จักพอเถอะ ตอนอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ ไม่รู้มีบุตรเทพกี่คนถูกหลินสวินสังหาร นับประสาอะไรกับเจ้า
แต่ท้ายที่สุดเจ้าคางคกยังคงอดกลั้นเอาไว้ ไม่อยากยั่วชิงอวิ๋นหยาง เลี่ยงไม่ให้เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปซะก่อน ไม่งั้นสถานการณ์คงย่ำแย่ขึ้น
แปะๆๆ!
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดราวป่าช้า เสียงปรบมือพลันดังขึ้น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งเดินออกมาจากหอหยกขาวนพนภานั่น เดินไปปรบมือไป ก้าวย่างเนิบช้า นิ่งสงบเหลือจะเอ่ย
เจ้าคางคกม่านตาหดรัดชั่วขณะ ในใจสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบจากร่างเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้
ราวเผชิญหน้ากับราชันผู้หนึ่งซึ่งทัศนาสรรพสิ่งจากเบื้องบนก็ไม่ปาน
ไม่จำเป็นต้องคาดเดา เด็กหนุ่มชุดเขียวคนนี้ต้องเป็นราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
“ผู้อาวุโส!”
เวลานี้ผู้ดูแลใหญ่และทหารอารักขาทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน รู้ฐานะของผู้มาเยือนจึงโค้งคำนับอย่างเป็นระเบียบ
ในใจพวกเขาลอบอุทานว่าแย่แน่ ทั้งตื่นตระหนกอยู่ในใจ การเคลื่อนไหวที่นี่ถึงกับทำให้ผู้อาวุโสออกหน้าด้วยตนเอง ผลที่ตามมาต้องร้ายแรงยิ่งเป็นแน่
หากกล่าวโทษลงมา พวกเขาคงขว้างงูไม่พ้นคอ!
“คำนับผู้อาวุโส!”
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้ากลัดกลุ้มและอึมครึม เข้าไปทำความเคารพ “หลานละอายใจยิ่งนัก ทำให้ผู้อาวุโสต้องเห็นเรื่องน่าขัน”
“จบกันๆ คราวนี้จบเห่จริงๆ แล้ว…”
เจ้าคางคกพึมพำ ราชันระดับสังสารวัฏถูกปลุกให้ตื่น นี่มันรุนแรงเกินไปแล้ว
“เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษบุตรเทพ ล้วนเป็นเพราะความโง่งมของข้าน้อย ไม่รู้ว่าเจ้าคนเถื่อนสองคนนี่เตรียมการมาก่อน จนกระทั่งรบกวนผู้อาวุโส ขอผู้อาวุโสโปรดลงโทษ!”
ผู้ดูแลใหญ่ก้าวไปเบื้องหน้า คุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าตื่นตระหนก
ส่วนอูยั่งตกใจจนหมอบคลานลงกับพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เหงื่อกาฬไหลซึมอาภรณ์ หน้าขมวดกันเป็นปม อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
ครั้งนี้เป็นเขาที่นำพวกหลินสวินมา หากกล่าวโทษลงมาเขาต้องรับผิดชอบทั้งหมดอย่างแน่นอน ผลที่ตามมานั้นคงไม่อาจจะคาดคิด
แต่สิ่งที่แปลกคือ เวลานี้เด็กหนุ่มชุดเขียวกลับไม่ใส่ใจพวกเขาโดยสิ้นเชิง สายตากลับมองไปยังหลินสวิน พลางกล่าวขุ่นเคือง “เหตุใดจึงหยุดมือลงกลางคัน”
ชิงอวิ๋นหยางชะงักงัน ผู้อาวุโสนี่มันหมายความว่าอะไร กำลังพูดกลับกันหรือเปล่า
ผู้ดูแลใหญ่ซึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นกลับอวดฉลาด กระวีกระวาดประจบสอพลอ “มีผู้อาวุโสอยู่ โจรชั่วเยี่ยงนี้ไหนเลยจะกล้ากระทำการชั่วร้าย”
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสอานุภาพยิ่งใหญ่อัศจรรย์เหนือพิภพ ประหนึ่งเทพมังกรแห่งสรวงสวรรค์ เจ้าโจรชั่วนั่นไยจะกล้าผลีผลามอีก”
ทหารอารักขาคนอื่นรีบเอ่ยรับ
ทันใดนั้นสีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น กล่าวว่า “พี่ใหญ่ หากข้ายังสู้ต่อ นั่นคงกลายเป็นว่ามาหาเรื่องจริงๆแล้ว หากเป็นเช่นนั้นท่านจะยินดีจริงหรือ”
พี่ใหญ่?
ได้ยินคำเรียกขานนี้ชิงอวิ๋นหยางดวงตาเบิกกว้าง เจ้าหมอนี่กล้าเรียกผู้อาวุโสของพวกเขาเช่นนี้ตามอำเภอใจรึ
มีโทษสมควรตายซะจริง!
แต่ผู้ดูแลใหญ่นั่นยิ่งโกรธจนแทบบ้า ตวาดเสียงกร้าว “บังอาจ! ถึงกับกล้าดูหมิ่นผู้อาวุโสเผ่าข้า! โจรระยำเยี่ยงเจ้าต้องลงโทษด้วยความตาย!”
เห็นจะมีเพียงเจ้าคางคกที่รู้สึกประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง ลูกตาหมุนติ้วไปมาระหว่างร่างเด็กหนุ่มชุดเขียวและหลินสวินไม่หยุด
“ไสหัวไปให้พ้น! โจรระยำอะไรกัน เจ้าสุนัขรับใช้นี่มีตาหามีแววไม่!”
กลับเห็นเด็กหนุ่มชุดเขียวดูเหมือนรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง ขาข้างหนึ่งพลันถีบลงบนตัวผู้ดูแลใหญ่นั่น
เพียงตูมเดียวผู้ดูแลใหญ่ก็ถูกเตะลอยละล่อง ร่างกายราวกระสอบทรายแตก ตกลงสู่ห้วงน้ำห่างไปนับร้อยจั้ง ร้องโอดโอยทุรนทุรายไม่หยุด
ภาพเหตุการณ์ที่เห็นกับตานี้ทำเอาชิงอวิ๋นหยางตะลึงงัน ทหารอารักขาเหล่านั้นก็ต่างนิ่งอึ้งกันเป็นแถบ มึนงงไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน
ทำไมจู่ๆ ผู้อาวุโสถึงลงมือกับคนของตนเอง
“ผู้อาวุโส นี่ท่าน?” ชิงอวิ๋นหยางร้อนอกร้อนใจอยู่บ้าง
“หึ! เจ้าคนไม่เอาอ่าว ประเดี๋ยวค่อยจัดการกับเจ้า!”
เด็กหนุ่มชุดเขียวถลึงตามองเขาคราหนึ่ง ขู่จนฝ่ายหลังแข็งทื่อไปทั้งตัว ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นี่… นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!?
แต่ขณะนี้เด็กหนุ่มชุดเขียวหาได้ใส่ใจเขาอีก ยิ้มร่าก้าวไปเบื้องหน้า มือข้างหนึ่งตบลงบนบ่าหลินสวินพลางกล่าว “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน ทำเอาข้าผิดคาดยิ่งนัก”
กระดูกไหล่หลินสวินแทบหัก กล่าวแยกเขี้ยวยิงฟัน “พี่ใหญ่ เบาหน่อย!”
เด็กหนุ่มชุดเขียวพลันหัวเราะตัวโยนทันที “วางใจเถอะ ไม่ทำเจ้าตายหรอก ไปๆๆ รีบตามข้ามา ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุยสะดวกนัก”
เขาพูดพลางเกี่ยวบ่าหลินสวินไว้ ไม่อธิบายอะไรก็มุ่งเดินไปยังหอหยกขาวนพนภาที่ห่างไป
“เด็กๆ จัดเตรียมงานเลี้ยง วันนี้ข้าจะต้อนรับน้องร่วมสาบานของข้า จริงสิ นำเหล้า ‘เมฆาจรัสเพลิง’ ที่ข้าเก็บรักษาไว้ออกมาด้วย!”
ขณะหัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ เด็กหนุ่มชุดเขียวและหลินสวินก็หายไปในตำหนักนั้น
ส่วนในบริเวณนั้น พวกชิงอวิ๋นหยางต่างตะลึงงันอยู่กับที่ อ้าปากค้างราวกับเห็นผี
แม้แต่เจ้าคางคกยังตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง ยืนงงชะงักงันอยู่ตรงนั้น
“หรือว่า… เขา… เขาคือเพื่อนเก่าของผู้อาวุโสจริงๆ”
ครู่ใหญ่ค่อยมีคนเอ่ยปากเสียงสั่นเครือ
เพียะ!
ทันทีที่หลุดจากปาก ฝ่ามือด้านข้างก็ฟาดปะทะ “เจ้าโง่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ ผู้อาวุโสบอกกับปากตัวเอง เด็กหนุ่มนั่น… ไม่สิ ผู้อาวุโสท่านนั้นคือน้องร่วมสาบานของผู้อาวุโส”
“สวรรค์!”
ทหารอารักขาทั้งหมดมองหน้ากันเลิกลั่ก หน้าตื่นถึงขีดสุด ที่แท้เด็กหนุ่มนั่นไม่ได้โกหก เขามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย!
ตึง!
กลับเห็นอูยั่งพังพาบไปกับพื้น ตาเหลือกลน น้ำลายฟูมปาก ถึงกับตกใจจนเป็นลมไปแล้ว
นี่ทำเอาผู้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
แต่อูยั่งกลับไม่คิดเช่นนั้น เขานึกถึง ‘คำสารภาพ’ อันไร้ความทระนงที่ตนทำไปเมื่อครู่ ถึงได้ทำให้ทุกคนมองพวกหลินสวินเป็นโจรชั่ว ในใจจึงเกิดความคิดอยากตายอย่างหนึ่ง
นั่นเป็นถึงน้องร่วมสาบานของผู้อาวุโสเชียวนะ!
กลับถูกตน ‘หักหลัง’ ซะได้…
พอนึกถึงว่าเรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลร้ายแรงนานัปการตามมา อูยั่งซึ่งเดิมทีขี้ขลาดอยู่แล้วจึงพังทลายโดยสมบูรณ์ เลือกที่จะหมดสติไป
“นึกไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง…”
เวลานี้ชิงอวิ๋นหยางก็ค่อยๆ ได้สติ สีหน้าแข็งทื่อไม่น่าดู
“พวกเจ้า… เหตุใดเมื่อครู่ไม่รีบบอกแต่แรก”
สายตาเขามองไปยังเจ้าคางคกที่อยู่ห่างไป
“ไร้สาระ พวกเราบอกไปไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่ประเด็นคือพวกเจ้าไม่เชื่อน่ะสิ!”
เจ้าคางคกกลอกตาใส่ หันหลังเดินอาดๆ จิตใจฮึกเหิม ทิ้งให้ชิงอวิ๋นหยางมองตาปริบๆ อยู่ตรงนั้น
เวลานี้ในที่สุดเจ้าคางคกก็เข้าใจแล้วว่าหลินสวินเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่แท้ก็เป็นน้องร่วมสาบานของผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียว!
ไอ้หมอนี่มันโคตรเจ๋ง!
…
ชั้นเก้าหอหยกขาวนพนภา ในโถงกว้างขวางและสง่างามแห่งหนึ่ง
“ข้าจำได้ ตั้งแต่ออกจากโบราณสถานบรรพกาลจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งสองปีกระมัง น้องชายเจ้าถึงกับเปลี่ยนแปลงก้าวกระโดด จากผู้ฝึกปราณน้อยคนหนึ่งกลายเป็นมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะ ทำให้ข้าเกินคาดหมายทีเดียว”
เด็กหนุ่มชุดเขียวนั่งขัดสมาธิบนที่นั่งประธาน หน้าตาอัศจรรย์ใจ
แน่นอนว่าเขาคือ ‘ราชาตะพาบเขียว’ ผู้นั้น!
ในตอนนั้น ระหว่างทางที่หลินสวินมายังนครต้องห้ามเป็นครั้งแรก เขาจับพลัดจับผลูถูกม้วนเข้าสู่วังน้ำวนลวงตาแห่งหนึ่ง และไปปรากฏตัวอยู่ในโบราณสถานบรรพกาลแห่งหนึ่งในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณอย่างน่าอัศจรรย์
และเป็นที่นั่น ที่หลินสวินได้พบกับราชาตะพาบเขียวผู้ซึ่งติดอยู่ในนั้นเป็นเวลานานกว่าพันปี
ท้ายที่สุดด้วยมุกนักบุญอมตะในมือหลินสวิน ทำให้ราชาตะพาบเขียวที่ถูกกักขังมีโอกาสหลุดพ้นออกมาได้
“ข้าเองก็คาดไม่ถึง ไม่นึกเลยว่าพี่ใหญ่จะกลายเป็นผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียว”
หลินสวินเองก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่
ตอนแรกในโบราณสถานบรรพกาลนั่น ผู้อาวุโสตะพาบเขียวเคยบอกกับปากตัวเองว่าเขาอายุสองพันหกร้อยกว่าปี แต่ในเผ่าพันธุ์ตะพาบเขียว อายุสองพันปีถือเป็นช่วงกำลังโตเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์
และด้วยประการฉะนี้ หลินสวินจึงนับอีกฝ่ายเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างยินดีแต่ต้น
กลับคาดไม่ถึงว่าการพบเจอกันครานี้ อีกฝ่ายจะเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสคนหนึ่งแล้ว…
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียว” เด็กหนุ่มชุดเขียวหัวเราะร่า
หลินสวินยิ้มรับ เล่าเรื่องราวที่เค้นถามอูยั่งออกมาจนหมดเปลือก
หลังจากนั้นกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าเองก็แคลงใจว่าจะใช่พี่ใหญ่หรือไม่กันแน่ ด้วยเหตุนี้จึงลองมาดู คิดไม่ถึงว่าข้าจะเดาถูก”
“นี่แหละคือวาสนา!” เด็กหนุ่มชุดเขียวยิ้ม
ต่อจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกัน ร่ำสุราไปด้วยคุยถึงเรื่องเก่าไปด้วย บรรยากาศกลมเกลียว
นี่ทำให้หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอก
พูดกันตามตรง ไม่เจอกันสองปี ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยังจดจำมิตรภาพเก่าก่อนได้หรือไม่
แต่ดูท่าตอนนี้เขาคงไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป
ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ เด็กหนุ่มชุดเขียวนาม ‘ชิงเลี่ย’ ผู้ขนานนามตนเองว่า ‘ราชาตะพาบเขียว’ จิตใจกว้างขวางอิสระเสรี หยิ่งทะนงฮึกเหิม แตกต่างจากพวกคร่ำครึโบราณทั่วไปยิ่ง ดูไม่ต่างอะไรกับพวกเด็กหนุ่ม
บางทีคงเพราะนิสัยอิสระไม่ยึดติดของเขา ในครั้งแรกที่พบกันจึงระลึกถึงบุญคุณที่หลินสวินช่วยชีวิตไว้ ถึงขั้นร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับหลินสวิน
ไม่เมินเฉยเพราะพลังปราณอันต้อยต่ำของหลินสวิน
ตอนที่ 626 เกาะโจมเมฆา
โดย
ProjectZyphon
จ๊อกๆๆ
สุราสีฟ้ากระจ่างรสฉ่ำหวานไหลรินสู่จอกหยกขาวบริสุทธิ์ ก้นจอกปรากฏฟองอากาศสีแดงสดดั่งเปลวเพลิง
แต่ละฟองราวเมฆหมอกลอยล่องพลิ้วไสว กลายเป็นภาพโครงร่างงามตระการดุจภาพฝัน
นี่ก็คือยอดเมรัย ‘เมฆาจรัสเพลิง’
เป็นเหล้าบ่มชั้นยอดที่ชิงเลี่ยถนอมรักษา รวบรวมสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ร้อยสามสิบหกชนิดอัดลงใน ‘หยกวิญญาณน้ำแข็งหมอกอัคนี’
หลินสวินยกจอกเหล้า กระดกดื่มรวดเดียวหมด
ทันใดนั้นต่อมรับรสที่ปลายลิ้นราวระเบิดออก ได้รสหวานฉ่ำถึงขีดสุดและรสสัมผัสปะทุระอุดุจเพลิงผลาญ ปะทะปะปนพัลวันโหมกระหน่ำในโพรงปาก
เมื่อไหลสู่ลำคอ รสสัมผัสเพลิงน้ำแข็งถึงขีดสุดนั่นพลันกลายเป็นรสเข้มนุ่มนวล แผ่กระจายทั่วร่างกายในชั่วพริบตา
ชั่วขณะเดียวหลินสวินสั่นสะท้านทั่วสรรพางค์กาย รูขุมขนเปิดกว้างทั่วทั้งตัว สิ่งที่เข้าออกจากจมูกปากคือรสชาติล้ำลึกเหลือจะเอ่ย เสมือนช่วงชีวิตหลากรูปแบบ รสชาตินานัปการห้อมล้อมกรุ่นสัมผัส
“เหล้าดี!” หลินสวินอัศจรรย์ใจ
เหล้าชนิดนี้แฝงรสแห่งสัจวิถีที่บอกไม่ถูก ทันทีที่ดื่มลงไป ประหนึ่งทัศนาโลกโลกีย์หลากรูปแบบ ลิ้มรสแห่งโลกหล้า เลิศล้ำเกินบรรยาย
“หึๆ ความอัศจรรย์ของเหล้านี้คือสามารถขัดเกลาจิตใจขจัดภัยพาล เพียงดื่มจอกเดียว ขณะเลื่อนขั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายจากธาตุไฟเข้าแทรก”
ชิงเลี่ยกระหยิ่มยิ้มย่อง “ข้าเห็นว่าเจ้าเหมือนจะเพิ่งก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ ดื่มเหล้าชนิดนี้ เหมาะสมกับการทำให้จิตใจมั่นคงเป็นที่สุด”
“พี่ใหญ่ ข้าขออีกจอกได้หรือไม่” เจ้าคางคกที่อยู่ข้างๆ ยิ้มประจบสอพลอยิ่ง
ชิงเลี่ยรีบเก็บน้ำเต้าสุรา แค่นเสียงกล่าว “รู้จักพอเถอะ เหล้านี่มีจำกัด มูลค่าจอกหนึ่งพอๆ กับโอสถวิญญาณชั้นยอดเม็ดหนึ่ง”
บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยอาหารเลิศรสหลายหลาก ล้วนเป็นเอกลักษณ์แห่งท้องทะเล รสชาติพิเศษและหาได้ยาก
ไม่ต้องพูดถึงจักรวรรดิจื่อเย่า แค่ในทะเลกลืนวิญญาณก็ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถลิ้มรสได้
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าชิงเลี่ยต้อนรับพวกหลินสวินด้วยใจจริงๆ
“พี่ใหญ่ ท่านเองก็จะไปตลาดนัดโจมเมฆาหรือ”
ขณะพูดคุย เมื่อรู้จุดหมายครานี้ของชิงเลี่ย หลินสวินอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง “ช่างบังเอิญจริงๆ”
“ทำไม เจ้าหนูเจ้าเองก็จะไปร่วมสนุกด้วยรึ” ชิงเลี่ยถาม
หลินสวินจึงบอกเล่าเรื่องราวที่ตนอยากประมูล ‘ยานขนส่งอวกาศ’ ออกมา
“เจ้าบอกว่าจะโดยสารยานนี้กลับจักรวรรดิจื่อเย่า? เพราะเหตุใดกัน” ชิงเลี่ยกล่าวประหลาดใจ
หลินสวินจนปัญญา ได้แต่เล่าเรื่องราวของตนใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ โดยคร่าวๆ รอบหนึ่ง
ใครเล่าจะคาดคิด เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดชิงเลี่ยถึงกับอ้าปากค้าง ถลึงตามองหลินสวินพลางกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือเด็กหนุ่มเทพมารเผ่ามนุษย์นั่น”
“เอ้อ…” หลินสวินชะงักงัน “พี่ใหญ่… ท่านเองก็เคยได้ยินมาก่อนหรือ”
ชิงเลี่ยแววตาแปลกประหลาด ท่าทางเหมือนเพิ่งได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้ง “ให้ตาย ตอนนี้ในหมู่ขุมอำนาจในน่านสมุทรทะเลใต้ ข่าวเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ แพร่สะพัดอย่างบ้าคลั่ง ข้าไม่ใช่คนหูหนวกก็ต้องรู้เป็นธรรมดา”
พูดถึงตรงนี้เขายังคงยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เพียงแต่ ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนทำงั้นรึ เจ้าหนูเจ้าดุดันเกินไปหน่อยกระมัง”
“ไม่เพียงแค่ดุดัน เจ้าหมอนีวิปริตชัดๆ!” เจ้าคางคกที่กำลังก้มหน้าก้มตาสวาปามกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
“ข้าเองก็ถูกบีบบังคับ ข้าไม่ได้อยากหาเรื่องคนอื่น แต่พี่ใหญ่ท่านเองก็รู้ การช่วงชิงวาสนาเช่นนี้ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่า”
หลินสวินจนปัญญาอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าตนเองบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ชิงเลี่ยตะลึงงัน หลุดหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่ ชี้หลินสวินพลางกล่าว “เจ้าหนู เจ้านี่ได้รับประโยชน์แล้วยังมาตีหน้าใสซื่อ ข้าได้ยินมาว่าการเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะครานี้ ผู้ที่เก็บเกี่ยวได้มากที่สุดก็คือเจ้า!”
ต่อมา ชิงเลี่ยอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนลับอสูรมารอริยะ
นอกจากเรื่องส่วนตัวยิ่งส่วนหนึ่งแล้ว หลินสวินก็มิได้ปกปิดอะไร บอกเล่าทีละเรื่อง
“ถ้าเช่นนั้น ท่านย่าเทพสังหารเผ่าวาฬมังกรถูกวานรเฒ่าผู้อยู่ในระดับอริยะตนหนึ่งสังหารจริงดังคาด…”
ชิงเลี่ยเหมือนครุ่นคิดอะไรได้ เขาตื่นตะลึงอยู่ในใจ กี่ปีแล้วที่ทะเลกลืนวิญญาณไร้อริยะปรากฏกาย
แต่ในแดนลับอสูรมารอริยะนั่นกลับมีอริยะซึ่งยังมีลมหายใจปรากฏตัว ข่าวนี้ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว ทำให้ชิงเลี่ยไม่อาจไม่ให้ความสนใจ
เนิ่นนานเขาจึงพึมพำกับตนเอง “บางทีพิบัติซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน คงใกล้มาเยือนจริงๆ แล้ว…”
พิบัติมหามรรค!
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินสวินหนังตาพลันกระตุกอย่างอดไม่อยู่ นึกถึงทุกสิ่งที่จ้าวจิ่งเซวียนเคยบอก มากสุดร้อยปี มหาสงครามที่แท้จริง หรือมหากลียุคที่แท้จริงจะมาเยือน!
และทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจาก ‘พิบัติมหามรรค’!
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ชิงเลี่ยถอนหายใจพลางกล่าว “น่าเสียดาย ช่วงเวลาอันใกล้นี้ข้าไม่อาจจากไปไกล มิฉะนั้นคงสามารถส่งเจ้ากลับจักรวรรดิจื่อเย่าด้วยตนเอง”
เขาเปลี่ยนประเด็นทันที “แต่ว่า ข้าสามารถช่วยประมูลยานขนส่งอวกาศนั่นมาให้เจ้าได้”
หลินสวินเพิ่งคิดจะบอกปัดก็ได้ยินชิงเลี่ยเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ ชุมนุมประมูลสมบัติครานี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมล้วนเป็นคนใหญ่คนโตจากแต่ละเผ่า เป็นราชันระดับสังสารวัฏเช่นข้าก็มีจำนวนไม่น้อย ตอนนี้ศัตรูที่เจ้ามีเรื่องด้วยมีมากเกินไป ไม่ควรปรากฏตัวเปิดเผยฐานะ ให้ข้าช่วยเจ้าจะปลอดภัยที่สุด”
หลินสวินในใจสั่นสะท้าน แค่ชุมนุมประมูลสมบัติงานหนึ่ง ถึงกับดึงดูดราชันระดับสังสารวัฏมากมายมาเข้าร่วม นี่เห็นได้ว่าไม่ธรรมดายิ่ง
“เช่นนั้นต้องลำบากพี่ใหญ่แล้ว” หลินสวินสีหน้าจริงจัง
“เรื่องขี้ปะติ๋ว” ชิงเลี่ยพลันยิ้มปราศจากกังวล
…
หลังจากนั้นทั้งสองคุยถึง ‘โบราณสถานบรรพกาล’ ในคราแรกที่พบกัน
ชิงเลี่ยบอกกับหลินสวินว่า โบราณสถานแห่งนั้นก็อยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันอย่างคาดไม่ถึง ถึงแม้ต่างจากแดนลับอสูรมารอริยะโดยสิ้นเชิง แต่หากกล่าวถึงความล่อแหลมอันตรายและความเร้นลับ ก็ไม่ด้อยไปกว่าแดนลับอสูรมารอริยะเลย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในโบราณสถานบรรพกาลนั่นมีวาสนายิ่งใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน!
น่าเสียดายทางเข้าไม่อาจเสาะหาพบ เหมือนกับจู่ๆ ก็หายไป ทำให้ชิงเลี่ยเองเสียดายพอควร
เขาเคยถูกขังอยู่ในชั้นแรกของโบราณสถานบรรพกาลนั่นนานกว่าพันปี จากที่เขาคาดเดา โบราณสถานแห่งนั้นยังมีชั้นที่สอง ชั้นที่สาม… ถึงขั้นมีสถานที่ซึ่งลี้ลับยิ่งกว่า!
“บางทีเมื่อพิบัติมหามรรคที่แท้จริงมาเยือน ความลับของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏบนโลกาพิภพอีกครั้ง!”
นี่คือการสันนิษฐานของชิงเลี่ย
กระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลง จู่ๆ สายตาชิงเลี่ยก็มองไปยังเจ้าคางคกพลางกล่าว “น้องชาย รอเมื่อถึงตลาดนัดโจมเมฆา ให้น้องชายตัวน้อยเผ่าพันธุ์คางคกทองสามขาคนนี้เดินเล่นกับข้าสักรอบได้หรือไม่”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง!”
ไม่รอให้หลินสวินตอบรับ เจ้าคางคกรับคำอย่างร้อนรนทนไม่ไหว ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
ชุมนุมประมูลสมบัติครานี้สามารถดึงดูดราชันระดับสังสารวัฏจำนวนมาก จะต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมายมาเปิดประมูลเป็นแน่
สำหรับเจ้าคางคกซึ่งรักทรัพย์ยิ่งชีพแล้ว นี่คือสิ่งล่อใจอันยากต้านทานประการหนึ่งอย่างแท้จริง!
“ฮ่าๆๆ มีน้องชายตัวน้อยไปเป็นเพื่อน ชุมนุมประมูลสมบัติครานี้ไม่แน่ว่าอาจทำให้ข้าค้นพบสมบัติชั้นดีอยู่บ้าง!”
ตะพาบเขียวหัวเราะร่า เขารู้ชัดถึงความชำนาญของคางคกทองสามขา มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านการแยกแยะสรรพสมบัติล้ำค่าทั่วฟ้าดิน ความสามารถพิเศษโดดเด่นเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า!
“แหะๆ”
เจ้าคางคกกระหยิ่มยิ้มย่อง สายตาเหล่มองหลินสวินคล้ายกำลังบอกว่า ดูสิ ท่านนี้สิจึงจะเป็นผู้มีสายตาเฉียบคมอย่างแท้จริง ไหนเลยจะเหมือนเจ้าหนูอย่างเจ้าที่มีตาหามีแววไม่!
หลินสวินลอบกัดฟันกรอด เจ้าคางคกเรื้อนนี่นับวันยิ่งกวนบาทาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…
…
หลังผ่านไปหลายชั่วยาม
ห่างออกไป เกาะแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนผืนน้ำที่อยู่ไกลห่าง ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ เป็นดินแดนซึ่งทอดยาวติดต่อกันกว่าพันลี้
บนเกาะนั้นแสงสมบัติงามแปลกตาพุ่งทะยานสว่างไสว สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
นามเกาะ ‘โจมเมฆา’
ตลาดนัดโจมเมฆาตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้
จากคำพูดของชิงเลี่ย ตลาดนัดโจมเมฆาดำรงอยู่ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จุดประสงค์เพื่อให้สรรพชีวิตแต่ละเผ่าทำการค้าขายแลกเปลี่ยนที่นี่ เป็นการเสริมสิ่งที่ขาดของกันและกัน
กระทั่งจวบจนปัจจุบัน เมื่อเผ่าใหญ่แต่ละเผ่าในทะเลกลืนวิญญาณจะทำกิจการค้า มักจะเลือกเปิดกิจการที่ตลาดนัดโจมเมฆาอยู่บ่อยครั้ง
พูดได้ว่าตลาดนัดโจมเมฆานี้เป็นเสมือนศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งของส่วนลึกในทะเลกลืนวิญญาณ ไหลเวียนหมุนวนสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ในใต้หล้า แต่ละวันไม่รู้มีสมบัติและสิ่งล้ำค่าเท่าไหร่ทำการค้าขาย ณ ที่นี้ เจริญรุ่งเรืองคึกคักถึงขีดสุด
ยามมาถึงน่านน้ำผืนนี้ ระหว่างทางเริ่มปรากฏเงาร่างต่างๆ มากมาย
มีทั้งขบวนใหญ่โต และมีผู้ฝึกปราณแต่ละเผ่าที่เกาะกลุ่มเล็กๆ มากมายแน่นขนัด เสียงกึกก้องดังจากทั่วทุกสารทิศ โอ่อ่ายิ่งใหญ่นัก
เป้าหมายของพวกเขาเหมือนกับกองกำลังเผ่าตะพาบเขียวขบวนนี้ ล้วนรีบเร่งมุ่งไปยังตลาดนัดโจมเมฆา คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
“อวิ๋นหยาง เมื่อถึงตลาดนัดโจมเมฆา ให้เจ้ารับผิดชอบดูแลน้องชายข้าคนนี้ รอข้าเสร็จธุระค่อยมาหาพวกเจ้า หากกล้าละเลย ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่!”
ชิงเลี่ยเรียกชิงอวิ๋นหยางมาและกำชับ
ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าแข็งทื่อ แต่ยังตกปากรับคำอย่างนอบน้อม ในใจยังคงอึดอัดอยู่บ้าง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขา กลับกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานของผู้อาวุโส นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนจู่โจมหนัก ไม่อาจก้มหน้ายอมรับ
“ทำไม เจ้าไม่พอใจรึ”
ชิงเลี่ยสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที ราวกับมองความคิดของชิงอวิ๋นหยางออก
“ไม่กล้าขอรับ”
ชิงอวิ๋นหยางรีบร้อนส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นก็ขอรบกวนด้วย”
หลินสวินยิ้มประสานมือคารวะ
ชิงอวิ๋นหยางมุมปากกระตุกเล็กน้อย พยักหน้ารับอย่างยากลำบาก ในใจอัดอั้นถึงขีดสุด
เขาบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวผู้องอาจผ่าเผย กลับกลายเป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง อีกทั้งคนที่ต้องดูแลยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่จะไม่ให้เขาอัดอั้นได้อย่างไร
แต่ก็อับจนหนทาง กลุ้มใจไปเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับ ใครใช้ให้เจ้าหมอนี่เป็นน้องร่วมสาบานของผู้อาวุโสพวกเขาล่ะ
หากคำนวณตามลำดับความอาวุโส อีกฝ่ายรุ่นราวคราวปู่เขาเลยทีเดียว เช่นนั้นเขาก็เป็นแค่ ‘หลานชาย’ ไม่ใช่รึ
นึกถึงตรงนี้ชิงอวิ๋นหยางนอกจากหดหู่แล้ว ในใจรู้สึกหนาวสะท้านอย่างอดไม่อยู่ อึดอัดไปทั้งตัว
‘วางใจเถอะ พวกเราต่างฝ่ายต่างทำตามหน้าที่ ขอแค่เจ้าร่วมมือเป็นอย่างดี ข้าเองก็ไม่คิดสร้างความลำบากให้เจ้า’
ริมหูได้ยินเสียงสื่อจิตของหลินสวิน นี่ทำเอาชิงอวิ๋นหยางชะงัก ถัดจากนั้นก็แอบเป่าปากโล่งอก เช่นนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
แต่ชิงเลี่ยกลับดูไม่วางใจอยู่บ้าง หลังกองกำลังมาถึงเกาะโจมเมฆา ยังเรียกชิงอวิ๋นหยางไปอีกด้านเพื่อพูดคุยตามลำพัง
ไม่รู้สนทนาอะไรกัน สรุปคือเมื่อชิงอวิ๋นหยางเผชิญหน้าหลินสวินอีกครั้ง หลินสวินก็สังเกตเห็นในทันทีว่าหมอนี่เปลี่ยนไป!
สายตาที่มองมายังตนเคลือบความซับซ้อนยากอธิบาย มีหวาดกลัว แคลงใจ และความตระหนกที่บอกไม่ถูก
หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อย พอจะเดาอะไรบางอย่างออกอยู่เลือนราง
ตอนที่ 627 ปฏิบัติการกว้านซื้อ
โดย
ProjectZyphon
เกาะโจมเมฆา
เจริญรุ่งเรืองดั่งวารี สิ่งปลูกสร้างหลากรูปแบบพิเศษโดดเด่นเรียงราย บ้างโอ่อ่าโอ่โถง บ้างทองอร่ามเรืองรอง บ้างมีกลิ่นอายโบราณ มีมากมายนานัปการ
ที่นี่คือศูนย์กลางการค้าของแต่ละเผ่าพันธุ์แห่งน่านสมุทรทะเลใต้ เผ่าทั้งหลายลงหลักปักฐาน ทำให้ลักษณะอาคารบนท้องถนนเต็มไปด้วยรูปแบบเด่นชัดเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่า
ยกตัวอย่างเช่นร้านค้าที่เผ่าวัวมารทรงพลังเปิดกิจการ รูปแบบสิ่งปลูกสร้างจะดิบเถื่อนดุดันยิ่งยวด ป้ายหน้าร้านประทับเงามายาวัวมารทรงพลังตนหนึ่ง มองปราดเดียวก็เข้าใจ
หรืออย่างอาคารใหญ่มหึมาทองอร่ามที่มีลักษณะราวรังนกหลังหนึ่ง ก็เป็นร้านค้าซึ่งเผ่าหงส์หิรัณย์ควบคุมดูแล
เวลานี้เป็นยามเช้า แสงจากฟากฟ้ากระจ่างวิจิตรตระการตา บนเกาะโจมเมฆาครึกครื้นเป็นพิเศษ ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าสวนกันไปมา ขวักไขว่คับคั่งแน่นขนัด
เสียงร้องคึกคักดังกึกก้องทั่วทุกบริเวณ
ที่นี่ไม่เพียงมีร้านค้าสารพัดสารพัน ยังมีแผงลอยกระจายตัวอยู่มากมาย ยิ่งไม่ขาดสถานที่เริงรมย์อาทิหอสุรา ลานประลองเป็นต้น
เดินอยู่ในนี้เสมือนเข้าสู่โลกอัศจรรย์พิลึกกึกกือแห่งหนึ่ง สามารถเห็นสิ่งชีวิตหลากเผ่าได้ทุกที่ มีวาฬมังกร วานรนที หอยกาบทะเล งูปาเสอ และสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นแห่งห้วงสมุทร ทั้งยังมีกลุ่มเผ่าที่ลงหลักปักฐานบนเกาะเช่นสิงห์โลหิต เหยี่ยวมรกต หงส์หิรัณย์ คชามารเป็นต้น
ถึงขั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งแปลกประหลาดพิสดารส่วนหนึ่ง เช่นเผ่ามดสำริดที่ลักษณะคล้ายมดแต่กลับสูงราวหนึ่งจั้ง เผ่าวิญญาณอินทรีเหล็กที่เกิดมามีปีกดำสนิท ร่างเป็นคนศีรษะเป็นอินทรีต่างๆ นานา
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ใด ส่วนใหญ่ล้วนแปลงกลายเป็นผู้ฝึกปราณ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเผยร่างเดิม
“ช่างครึกครื้นยิ่งนัก…”
บนท้องถนนอันอึกทึกครึกโครม หลินสวินสองมือไพล่หลังก้าวย่างเนิบช้า ประหนึ่งขี่อาชาชมบุปผชาติ มองไปโดยรอบ รู้สึกแปลกใหม่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
สรรพชีวิตหลากเผ่าที่นี่มีมากเหลือเกิน ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์
ที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือ ตลอดทางที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ หลินสวินยังไม่เจอผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์แม้แต่คนเดียว
นี่ทำให้เขาแอบคาดเดา ในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณนี้เกรงว่าคงไม่มีอาณาเขตของเผ่ามนุษย์แต่แรก
“ลองมาดูลองมาชม ซาลาเปาเนื้อไส้เดือนคางคกจากก้นทะเลลึก เนื้อสดชุ่มฉ่ำ! หนึ่งชิ้นราคาเพียงสิบผลึกสมุทรเท่านั้น!”
“คุณชายท่านนี้ อยากลิ้มลอง ‘สุราน้ำค้างหยกนภารัญจวน’ ที่เผ่าผึ้งมรกตของข้าบ่มเป็นพิเศษดูหรือไม่ นี่น่ะรวบรวมจากเกสรบุปผาวิญญาณกว่าร้อยชนิด หลอมโดยนักบ่มสุราเผ่าข้าด้วยตนเอง ราคายุติธรรม ไม่ลวงหลอกแม้กับเด็กและคนชรา!”
“ลดราคาครั้งใหญ่! ลดแหลกแหกกระเจิง! ถุงหนังร้อยทรัพย์เครื่องสานงานฝีมือจำเพาะเผ่าวิญญาณโลหิต ภายในเป็นที่นาวิญญาณชั้นเลิศหนึ่งหมู่ บ่อเก็บทรัพย์ขนาดแปดร้อยฉื่อสามแห่ง เป็นภาชนะศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านพึงมีเมื่อออกเดินทางไกลอย่างแน่นอน!”
…
เสียงร้องเร่ขายสินค้านานัปการดังก้องต่อเนื่องเป็นระลอก
ทำให้ชั่วขณะที่หลินสวินมึนงง ยังนึกว่ากลับมายังเมืองที่วุ่นวายแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว กลิ่นอายโลกีย์พุ่งปะทะใบหน้า
“เจ้ามีผลึกสมุทรหรือไม่” หลินสวินหยุดเดิน หันกลับไปถามชิงอวิ๋นหยางที่อยู่ด้านข้าง
ชิงอวิ๋นหยางมุมปากพลันกระตุก โยนถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาพลางกล่าว “ในนี้มีหนึ่งหมื่นผลึกสมุทร เพียงพอให้เจ้าใช้สอย”
“ขอบคุณมาก” หลินสวินยิ้มพลางรับมา
ต่อจากนั้น เขาเริ่มปฏิบัติการกว้านซื้อสินค้าเฉพาะถิ่น แปดเซียนเคลือบน้ำตาลของเผ่ารุ้งหมอกชาด ซาลาเปานึ่งเนื้อไส้เดือนคางคกเผ่างูคาดทอง สุราน้ำค้างหยกนภารัญจวนของเผ่าผึ้งมรกต…
อาหารเลิศรส อาหารน่าอร่อย สุรา อาหารว่าง ของกินเล่นแปลกประหลาดพิสดารทุกชนิด… ล้วนถูกหลินสวินซื้อกองพะเนินอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
หรือพูดได้ว่าตลอดทางขอเพียงเป็นของแปลกที่ถูกหลินสวินมองเห็น ล้วนถูกเขากว้านซื้อเรียบ
ของพวกนี้ต่างเป็นสินค้าเฉพาะถิ่นของแต่ละเผ่าแห่งทะเลกลืนวิญญาณ ไม่มีทางพบเห็นได้ในจักรวรรดิจื่อเย่าโดยสิ้นเชิง มูลค่าไม่ถึงขั้นสูงมาก แต่กลับสดใหม่และแปลกพิสดารเพียงพอ
หลินสวินเองไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้ยังมีโอกาสมาเยือนทะเลกลืนวิญญาณอีกหรือไม่ ฉะนั้นเขาจึงคิดฉวยโอกาสนี้รวบรวมอย่างบ้าคลั่งสักหน
แน่นอน ส่วนมากเขาซื้อไปให้พวกเพื่อนสนิทอย่างซย่าจื้อ เสี่ยวเคอพวกนี้
“คุณชาย นี่คือน้ำโป่งรากสนชะลอวัยของเผ่าคีรีพิสุทธิ์ของข้า เด็กหญิงใช้แล้วใบหน้าอ่อนเยาว์ตลอดกาลชั่วชีวิต หากท่านไม่ใช้ก็สามารถตระเตรียมให้แก่คนรักศรีภรรยาที่บ้านสักชุด”
“ซื้อ!”
“เท่าไหร่”
“เอามาก่อนร้อยขวด!”
“ตกลง!”
เหตุการณ์คล้ายคลึงกันเปิดฉากอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา
‘เจ้าหมอนี่ ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ…’
ชิงอวิ๋นหยางติดตามอยู่เบื้องหลังตลอดทาง เมื่อเห็นทุกฉากเหตุการณ์ สายตาเขาเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่นและสับสนยิ่งกว่าเดิม
ตั้งแต่เข้าสู่ตลาดนัดโจมเมฆาเขาก็พูดน้อยมาก
โดยเฉพาะท่าทีที่ปฏิบัติต่อหลินสวิน ยิ่งเห็นได้ว่าผิดปกติยิ่ง ไม่ขัดแย้ง และไม่กลัดกลุ้มหรือคับข้องอีก
แต่ขณะเดียวกันในใจเขากลับมีความรู้สึกประหลาดใจสงสัย งุนงง ตื่นตระหนกและหวาดกลัวพวยพุ่ง
‘ที่ผู้อาวุโสกล่าวมาเป็นจริงหรือไม่กันแน่ เจ้าหมอนี่คือเด็กหนุ่มเทพมารนั่นจริงรึ’
ความสงสัยนี้เสมือนสายฟ้าน่าตะลึงสายหนึ่ง กระหน่ำใส่ส่วนลึกในจิตใจชิงอวิ๋นหยางไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาไม่อาจนิ่งสงบ
ในฐานะที่เป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว แน่นอนว่าเขาเข้าใจเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ได้ตั้งแต่แรก
เพียงแต่เขาจนปัญญาจะนำหลินสวินและ ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ นั่นมาเชื่อมโยงกันโดยสิ้นเชิง!
เด็กหนุ่มเทพมารในข่าวสารเด็ดขาดผงาดผยอง ดุดันน่าประหวั่น เคยสังหารเหล่าผู้กล้าแต่ละเผ่าตลอดทาง ซัดกวาดวีรชนคนกล้าเหลือคณานับ สังหารจนเลือดหลั่งรินดั่งกระแสธารา ทรงพลังไร้เทียมทาน
ถึงขั้นที่ในศึกสุดท้าย เขาต่อสู้หนึ่งต่อสี่ กำราบบุตรเทพชั้นยอดสี่คนอย่างแข็งกร้าว พลานุภาพดุจเทพเซียน องอาจกล้าหาญ!
บุคคลระดับนี้ประดุจดั่งตำนานผู้หนึ่งอย่างแท้จริง เต็มไปด้วยสีสันซึ่งเพียงพอให้คนรุ่นราวคราวเดียวกันต่างเคารพยำเกรงและหวาดกลัว
แม้แต่ตอนแรกที่ชิงอวิ๋นหยางได้ยินข่าวนี้ก็ตื่นตระหนกจนในใจสั่นสะท้าน แทบไม่กล้าเชื่อทุกอย่างนี่
แต่ไม่ว่าอย่างไรชิงอวิ๋นหยางก็จดจำเด็กหนุ่มเทพมารนี้ไว้มั่น ถึงขั้นที่ในใจเห็นอีกฝ่ายเป็นผู้กล้าในตำนานซึ่งไม่อาจเอาชนะได้คนหนึ่ง
แต่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทางสงบนิ่งดั่งวารี บุคลิกแม้ไม่ธรรมดา แต่ห่างไกลจากคำว่าเด็ดขาดและดุดันอยู่โข เหมือนเด็กหนุ่มข้างบ้านที่สุภาพเรียบร้อยคนหนึ่ง ไม่เห็นถึงสีสันแห่งตำนานแม้กระผีก
ที่ทำให้ชิงอวิ๋นหยางหมดคำพูดที่สุดคือ เจ้าหมอนี่ตั้งแต่เข้าสู่ตลาดนัดโจมเมฆาก็ราวกับคนบ้านนอกเข้าเมืองก็ไม่ปาน เดี๋ยวมองซ้ายเดี๋ยวมองขวา เห็นอะไรล้วนออกอาการตะลึงพรึงเพริดไปซะหมด เหมือนกับไม่เคยเห็นโลกกว้าง น่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าคนพรรค์นี้จะเป็นเด็กหนุ่มเทพมารผู้ป่าเถื่อนดุดันหาใครเปรียบนั่นได้อย่างไร
ชิงอวิ๋นหยางยิ่งคิดก็ยิ่งคลางแคลงอยู่ในใจ
“ยังมีผลึกสมุทรอีกหรือไม่”
ทันใดนั้นเสียงของหลินสวินดังขึ้นข้างหู ปลุกชิงอวิ๋นหยางให้ตื่นจากความคิดฟุ้งซ่าน
“นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง หนึ่งหมื่นผลึกสมุทรใช้หมดแล้วรึ” ชิงอวิ๋นหยางงงงัน
“เอ่อ ตลาดนัดโจมเมฆานี่สมคำร่ำลือจริงดังว่า สิ่งดีงามมากเหลือเกิน ข้าเลยควบคุมมือตนเองไม่อยู่น่ะสิ!” หลินสวินทอดถอนใจ
ชิงอวิ๋นหยางแทบจะกลอกตาใส่ ดูของเล่นพวกนั้นที่เจ้าซื้อเข้าสิ ยังเรียกว่าสิ่งดีงามหรือ ไปหลอกเด็กซะยังดีกว่า!
ทว่าท้ายที่สุดชิงอวิ๋นหยางยังคงอดกลั้นคำพูดค่อนแคะ มอบอีกหมื่นผลึกสมุทรแก่หลินสวิน ไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวหลินสวิน แต่เกรงจะถูกผู้อาวุโสชิงเลี่ยตำหนิต่อว่า
“เจ้านี่ไม่เลวเลยทีเดียว ขอบคุณมาก หากมีโอกาสข้าจะทดแทนบุญคุณเจ้าสักครา”
หลินสวินยิ้มระรื่นมองชิงอวิ๋นหยางปราดหนึ่ง แล้วเริ่มหนทางแห่งการ ‘กว้านซื้อ’ อย่างต่อเนื่อง
บุญคุณ?
ขอแค่เจ้าไม่ก่อเรื่องข้าก็จุดธูปบูชาแล้ว!
ชิงอวิ๋นหยางแอบบ่นพึมพำอยู่ในใจ
เพียงแต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ หลินสวินไม่ได้ก่อเรื่องอะไรจริงๆ แต่กลับใช้จ่ายราวน้ำไหล
แค่เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หลินสวินก็ขอผลึกสมุทรจากเขาสามครั้งติดต่อกัน ไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย
อีกทั้งเรื่องราวเช่นนี้ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง…
ถึงแม้ชิงอวิ๋นหยางเป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว ฐานะมั่งคั่ง แต่เขาก็ไม่ได้พกผลึกสมุทรติดตัวมากเท่าใดนัก เมื่อสังเกตเห็นความเร็วในการใช้จ่ายอันน่ากลัวของหลินสวินเช่นนี้แล้ว เขาพลันรับไม่ไหวอยู่บ้าง
“นี่มัน…”
ในที่สุดชิงอวิ๋นหยางก็เอ่ยปากอย่างอดไม่อยู่
“หืม? ทำไมรึ”
หลินสวินกำลังต่อราคากับอาแปะเผ่าเจียวแดงผู้หนึ่งอย่างคึกคัก หมายจะซื้อปิ่นมุกสมบัติคู่หนึ่ง ได้ยินดังนั้นจึงหันกลับมาอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร” เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของหลินสวิน ชิงอวิ๋นหยางอดกลั้นไว้อีกครั้ง แท้จริงแล้วยากมากที่เขาจะเปิดปากขัดขวาง
เขาบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวผู้สง่าผ่าเผย ยังต้องคิดเล็กคิดน้อยกับผลึกสมุทรส่วนหนึ่งเชียวรึ หากแพร่งพรายออกไปก็น่าขายหน้าเกินไปแล้ว
เพียงแต่ ในใจเขาเจ็บปวดอยู่บ้างน่ะสิ!
ที่ทำให้เขาหมดคำจะพูดที่สุดคือ หลินสวินใช้ผลึกสมุทรมากขนาดนี้ ของที่ซื้อมาล้วนเป็นของปกติธรรมดา ไม่มีสักชิ้นที่เพียงพอจะเข้าตา ราวกับกำลังสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์
‘เจ้าหมอนี่ ดูท่าจะเห็นข้าเป็นแกะอ้วนซะแล้ว…’
ชิงอวิ๋นหยางหดหู่ยิ่งนัก เงียบเชียบตลอดทางยิ่งกว่าเดิม
“อืม น่าจะพอแล้วกระมัง”
ไม่นานนักในที่สุดหลินสวินก็ยุติปฏิบัติการกว้านซื้อลง
ชิงอวิ๋นหยางก็ลอบเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่อยู่ เมื่อคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพียงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หลินสวินถึงกับใช้ไปเกือบแปดหมื่นผลึกสมุทร!
นี่ทำเอาเขาตกใจ แปดหมื่นผลึกสมุทรเชียวนะ สามารถซื้อสมบัติล้ำค่าระดับสวรรค์ชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว!
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณมาก”
หลินสวินหน้าตาพึงใจ ยิ้มแย้มออกปาก “ต่อจากนี้พวกเราไปไหนกันดี”
“ข้ากำลังบอกเจ้าพอดี ประเดี๋ยวข้าจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมหนึ่ง หากเจ้าไม่อยากไปก็สามารถรอข้าอยู่ละแวกใกล้เคียง”
ชิงอวิ๋นหยางกล่าวรวดเร็ว ตลอดทางเขาเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่งที่คอยเดินตามอยู่ด้านหลัง แท้จริงแล้วเบื่อหน่ายห่อเหี่ยวถึงที่สุด
หากสามารถสลัดหลินสวินทิ้งไปได้ แน่นอนว่านั่นคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
“ความคิดนี้ก็ไม่เลว” หลินสวินลูบคางกล่าวเสียงเบา
ชิงอวิ๋นหยางกระปรี้กระเปร่าทันใด “เจ้าตกลงรึ”
หลินสวินกลับส่ายศีรษะพลางกล่าว “แม้ความคิดดี แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับผู้คนที่นี่ ไม่รู้เรื่องราวสถานการณ์โดยรอบ หากว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นก็เห็นจะท่าไม่ดี ดังนั้นข้าไปกับเจ้าก็แล้วกัน”
ชิงอวิ๋นหยางมุมปากกระตุกเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น สีหน้าแข็งทื่อ ฝืนยิ้มซึ่งไม่น่าดูยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก พลางกล่าว “ก็ได้ ก็ได้…”
“งั้นก็ดี เวลาไม่คอยท่า พวกเราเร่งออกเดินทางกันเถอะ” หลินสวินยิ้มกล่าว ราวกับไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของชิงอวิ๋นหยางสักนิด
“ตามข้ามา”
ชิงอวิ๋นหยางหมุนตัวกลับ สีหน้าปรากฏความหนักอึ้งวูบหนึ่งอย่างระงับไม่อยู่ ในใจกลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครั้ง
“จริงสิ คราวนี้เป็นงานชุมนุมอะไร” หลินสวินถาม
“เป็นงานชุมนุมครั้งหนึ่งระหว่างลูกหลานคนสำคัญของแต่ละเผ่า ผู้ที่สามารถเข้าร่วมไม่มีสักคนที่เป็นบุคคลธรรมดา”
ชิงอวิ๋นหยางตอบอย่างมีใจแต่ไร้พลัง
แต่ไม่ช้าเขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังหาใดเปรียบ จ้องมองหลินสวินก่อนกล่าว “ประเดี๋ยวถึงงานชุมนุมเจ้าอย่าได้ก่อเรื่องเชียว และไม่อาจเปิดเผยฐานะของตนเองเด็ดขาด หากเจ้าไม่รับปาก ถึงแม้ผู้อาวุโสคาดโทษลงมา ข้าก็จะไม่พาเจ้าไปเข้าร่วม!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น