Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 616-624

 ตอนที่ 616 ปิดฉากวาสนา

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินเดินไปนั่งขัดสมาธิหน้าเบาะรองนั่ง


ตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้นไหลวนด้วยแสงทองศักดิ์สิทธิ์ไพศาล เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรค


เพียงแต่หลังจากได้รับความลี้ลับของ ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ในสายตาหลินสวินตอนนี้ ตำราทองสาส์นหยกเล่มนี้ก็ผิดแผกไปจากแต่ก่อน แสงสีทองที่ไหลเวียนนั้นแวววาวเปล่งประกาย ถึงกับสะท้อนภาพโลกใบน้อยอย่างคลุมเครือ


หลินสวินประหลาดใจ เขาไม่ได้ดูผิดไป ภายในแสงทองเจิดจ้าปรากฏเศษเสี้ยวภาพประทับของโลก ดุจโบราณสถานทรุดโทรมภาพหนึ่ง


ที่นั่นภูเขาเทพพังทลาย ตำหนักถล่ม สิ่งก่อสร้างโบราณทั้งมวลล้วนกลายเป็นซากปรักหักพัง ต้นไม้โบราณและหญ้ามงคลแปรสภาพเป็นเถ้าถ่านนานแล้ว


สถานที่ที่เดิมควรเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลไม่รู้ว่าผ่านภัยพิบัติเช่นไร กลับกลายเป็นโบราณสถานทรุดโทรม เศษซากกระจัดกระจาย ฝุ่นผงปกคลุมไปทั่ว


‘ดวงกมล!’


ในใจหลินสวินไหวหวั่น เห็นว่าบนเขาที่ถล่มราบคาบนั้นมีอักษรมรรคบรรพกาลคลุมเครือหลงเหลือเป็นด่างดวงอยู่


‘เสี้ยวจันทร์… สามดารา…’


ไม่นานนักเขาก็เห็นอีกว่าหน้าประตูเขาโบราณที่เอนเอียงนั้น มีป้ายหินโบราณตั้งเอียงอยู่ท่ามกลางปรักหักพัง เมื่อเพ่งมองโดยละเอียดก็พอเห็นตัวอักษรเหล่านี้รางๆ


‘หรือว่าที่นี่ก็คือสถานที่ที่เหล่าอริยะผู้บำเพ็ญธรรมต้องการแสวงหา’


หลินสวินนึกถึงอักษรปริศนามหายานที่หลงเหลืออยู่บนแท่นบูชาโบราณสี่สิบเก้าแท่นนั้น ในใจบังเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูก


ตอนนั้นเจ้าคางคกกับเขาล้วนคาดเดาว่า สาเหตุที่อริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นจดจ่อกับการตามหาคีรีดวงกมลและแดนเสี้ยวจันทร์สามดารา เป้าหมายก็เพื่อให้ได้รับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’


และที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ สุดท้ายอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นล้วนล้มเหลว ดังนั้นจึงคิดว่านี่คือการหลอกลวง คีรีดวงกลมเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริง


แต่ตอนนี้หลินสวินกลับอึ้งงันอยู่บ้าง คีรีดวงกมลและแดนเสี้ยวจันทร์สามดาราที่ว่าเหมือนจะมีอยู่จริง… ไม่ได้เป็นการหลอกลวง…


“หืม”


หลินสวินตกตะลึง ภาพทิวทัศน์เลือนรางที่เขาเห็นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง บังเกิดเป็นเงาร่างเงาหนึ่ง!


เงาร่างนั้นหยุดอยู่หน้าประตูเขาโบราณเอนเอียง มองเห็นเพียงเงาเบื้องหลัง นิ่งเงียบเหมือนกำลังนึกถึงอดีต ไม่ไหวติงราวรูปปั้น


คีรีเทพที่แยกออก ประตูเขาโบราณที่เอนเอียง อารามที่กลายเป็นซากปรักหักพัง เงาร่างเงาหนึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ภายในนั้น ถึงกับทำให้เกิดบรรยากาศสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก


และสำหรับหลินสวินแล้ว ชั่วพริบตาที่เห็นเงาร่างนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง ไพศาลราวท้องฟ้า พยศทะลุเมฆา น่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุด!


ประหนึ่งเผชิญหน้าราชันการศึก ไม่อาจต้านทานได้ กดดันจนผู้อื่นหายใจไม่ออก


เพียงแค่เงาเบื้องหลังที่รูปลักษณ์เหมือนคนเงาหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูเขา แต่กลับประหนึ่งยอดราชันยุคบรรพกาล สามารถทำให้เก้าชั้นฟ้าสิบปฐพีสั่นสะเทือนหวาดหวั่น ท่าทางพยศและทระนงนั้นน่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว


แม้ว่าห่างกันนับพันหมื่นปีในวันเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน แม้จะรู้ว่าที่เห็นทั้งหมดเป็นเพียงเศษเสี้ยวภาพประทับ แต่หลินสวินยังคงจิตใจหวาดผวาสั่นระรัว ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนมดพบเข้ากับเทพเบื้องบน


เงาร่างนี้ทรงอำนาจเกินไปแล้ว!


‘เป็นเขาใช่ไหม’


ในใจเด็กหนุ่มสั่นไหวไม่อาจสงบลงได้


เพราะเขาพอจะจำได้ว่า กลิ่นอายของเงาร่างนั้นเหมือนกับเงาร่างแข็งกร้าวที่ตนเห็นในแผนภาพลับการต่อสู้นั้นยิ่งนัก ราวกับเป็นคนเดียวกัน


ท่าทางผยองคับฟ้า แข็งกร้าวทะลุเมฆาเหมือนกัน! เหมือนสามารถผลักเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน สังหารเหนือฟ้าใต้ปฐพี โรมรันหาผู้ใดเทียบ!


ไม่นานนักเงาร่างนั้นพลันขยับตัว เขาคุกเข่าทั้งสองลงหน้าประตูเขา ไม่พูดสักคำแล้วโขกหัวลงสามครั้ง


หลังจากนั้นสองมือของเขาก็นำสาสน์หยกชิ้นหนึ่งออกมา และผนึกลงในประตูเขา


ในใจหลินสวินสั่นระรัว นั่นไม่ใช่ตำราทองสาส์นหยกหรอกหรือ


ไม่ทันคิดให้แน่ชัด หน้าประตูเขาที่เอนเอียงนั้นพลันมีอสนีพิบัตินับหมื่นพันทอดตัวลงมา!


ในเวลาเดียวกัน ประหนึ่งมารเทพทั้งสวรรค์ปรากฏตัวบดบังฟ้าดินผืนนั้น กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นตลบอบอวล


เขาไม่ถอยกลับรุก พุ่งเข้าไปในมหาอสนีพิบัตินับหมื่น ห้ำหั่นกับมารเทพทั้งสวรรค์ ท่วงท่าแข็งกร้าวและโอหังนั้นทำให้เงาร่างของเขาราวกับแสงที่ส่องสว่างไปในห้วงเวลายาวนาน!


การต่อสู้ดุเดือดครั้งหนึ่งปะทุขึ้นแล้ว


และในตอนนี้เอง ภาพแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ แต่เพียงแค่กลิ่นอายของการต่อสู้นั้น ล้วนสามารถทำให้ปวงเทพหวาดหวั่น น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว ราวกับจะทลายโลกา


สีหน้าหลินสวินพลันแปรเปลี่ยนไป ในใจแทบกระตุกอย่างรุนแรงฉับพลัน ถอนสายตาออกมาในทันใด


และในเวลานี้เอง ตำราทองสาส์นหยกก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ภาพทั้งหมดหายไปแปรเปลี่ยนเป็นแสงธรรมสีทองเจิดจ้าไหลวน


“ที่แท้ คัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นเขาที่ทิ้งไว้…”


หลินสวินพูดกับตัวเอง


ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็รู้ที่มาของตำราทองสาส์นหยกแล้ว ทั้งยังหยั่งรู้ได้ถึงคุณค่าสูงส่งหาใดเทียบของมัน แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ นั้น ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับคีรีดวงกมลและแดนเสี้ยวจันทร์สามดาราอย่างแยกไม่ออก!


หลินสวินลุกขึ้นเผชิญหน้ากับตำราทองสาส์นหยกที่อยู่บนเบาะรองนั่ง ในที่สุดก็คำนับอย่างจริงจังครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ถ่ายทอดวิชา”


ในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาได้หยั่งรู้อย่างสมบูรณ์และได้รับสืบทอดปริศนาซึ่งเป็นแก่นของวิชาอริยะยุทธ์แล้ว


ส่วนตำราทองสาส์นหยกนั้น แม้ว่าไม่ได้ครอบครองก็ไม่มีความหมายสำหรับเขา


นี่ก็เรียกได้ว่า ‘ได้แก่นลืมรูป’ เมื่อได้แก่นสารแล้วย่อมหลงลืมรูปลักษณ์ของสิ่งนั้น!


สำหรับหลินสวิน ตำราทองสาส์นหยกนั้นเป็นภาชนะและรูปลักษณ์อย่างหนึ่งเสียมากกว่า ความลี้ลับภายในนั้นประทับเข้าไปในใจเขานานแล้ว


นี่เป็นการถ่ายทอดผ่านการศึกอย่างหนึ่ง ในการต่อสู้เมื่อครู่สามารถหยั่งถึงความหมายที่แท้จริงของมันได้ หากหมายจะช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกเพียงอย่างเดียว กลับไม่สามารถพบเห็นได้


และในเวลานี้เอง ภายในอาศรมโบราณก็เกิดเสียงร้องครั่นครืนไม่อาจคาดเดาได้ ราวกับเสียงมหามรรคแผ่กระจายออกมา


เบาะรองนั่งหายไปแล้ว แปรสภาพเป็นละอองแสงปลิวละล่อง


ตำราทองสาส์นหยกก็หายไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน ราวกับไม่เคยอุบัติขึ้นมาก่อน ไม่อาจตามหาร่องรอยการมีอยู่ได้สักนิด


อาศรมโบราณหลังนี้ก็สลายไปในห้วงอากาศตามกันไป แล้วแปรสภาพเป็นกระถางหินเก่าแก่เก้าใบ ต่อมาก็คืนสู่ตำหนักโบราณที่อยู่บนยอดภูเขาเทพทั้งเก้านั้น


ส่วนหลินสวิน ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ เงาร่างก็ถูกละอองแสงมหามรรคปกคลุมจนหายไปนานแล้ว


……


ที่ตีนเขา ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าส่งเสียงฮือฮา


หายไปแล้ว!


ไม่เพียงแต่อาศรมกลางห้วงอากาศนั้น แม้แต่ภูเขาเทพทั้งเก้าตรงหน้าก็ถล่มลงมา เกิดเป็นเสียงครึกโครมปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว


เวลานี้ฟ้าดินแถบนี้ราวกับกำลังจะถล่มทลาย ทุกที่ล้วนมีเค้าลางจะพังทลายให้เห็น


“หนี!”


ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าไม่ลังเลแต่อย่างใด หันกายหลบหนีตามจิตใต้สำนึกไปทางแท่นบูชาโบราณสี่สิบเก้าแท่นข้างหน้านั้น แล้วหายไปจากบริเวณนี้


“ไป!”


เซียวหรันสูดหายใจลึก เก็บสายตากลับมาแล้วพาพวกซูซิงเฟิงจากไป


“จะไปทั้งอย่างนี้หรือ”


พวกซูซิงเฟิงไม่พอใจ


‘วาสนานี้กำลังจะปิดฉากลงแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว พวกเราแค่ต้องรออยู่นอกแดนลับอสูรมารอริยะก็พอแล้ว’


เซียวหรันเคลื่อนกายทะยานไปพลางสื่อจิต


รออะไรหรือ


แน่นอนว่ารอหลินสวินออกมา!


พวกซูซิงเฟิงดวงตาเปล่งประกาย ทันใดนั้นก็ไม่ลังเลอีก ในใจถึงกับเริ่มครุ่นคิดอย่างตื่นเต้น ครั้งนี้เจ้าหลินเสวียนชิงวาสนาชิ้นใหญ่ที่สุดไปได้ แต่เขาจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายหรือไม่


ไม่มีทาง!


อย่างน้อยยามออกจากแดนลับอสูรมารอริยะ พวกเขาที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจะเป็นกลุ่มแรกที่ไม่ปล่อยเขาไว้แน่!


“เด็กหนุ่มเทพมาร เมื่อออกมาก็จะเป็นเวลาตายของเจ้า!”


ระหว่างที่หนีตายชุลมุน มีเสียงเยียบเย็นโกรธแค้นของเมิ่งเหลียนชิงดังขึ้นมา นี่เป็นการข่มขู่อย่างหนึ่ง เผยให้เห็นจิตสังหารแน่วแน่


แม้ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าจะรู้ว่าหลินสวินอาจมีพลังต่อสู้เย้ยฟ้าเหนือเหล่าบุตรเทพ ช่วงชิงศุภโชคที่ใหญ่ที่สุดไปได้


แต่เขาสังหารผู้แข็งแกร่งมากมายเกินไป ผิดใจกับเผ่าทั้งหลาย เมื่อเขาออกจากแดนลับอสูรมารอริยะ ก็ไม่มีทางมีโอกาสรอดชีวิตไปได้แน่!


นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนตื่นเต้น และหลายคนก็ทอดถอนใจด้วยความขัดเคือง รู้สึกเศร้าโศกแทนเด็กหนุ่ม


จะเย้ยฟ้ากว่านี้แล้วอย่างไรเล่า


ต่อหน้าขุมอำนาจใหญ่ของแต่ละเผ่าย่อมไม่อาจหลบเร้น จะหลีกหนีเคราะห์ก็เป็นเรื่องยาก!


เวลานี้หลินสวินปรากฏตัวที่ตีนเขา มารวมตัวกับจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกแล้ว ย่อมได้ยินบทสนทนาเหล่านี้


ดวงตาสีดำของเขาเย็นเยียบ นิ่งสงบไม่ตื่นตระหนก สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ได้ร้อนรนแต่อย่างใด


มีได้ย่อมมีเสีย


ครั้งนี้เขากำราบเหล่ายอดบุตรเทพแห่งยุค ได้รับการถ่ายทอดวิชาอริยะยุทธ์ ถือเป็นการ ‘ได้’ ส่วนค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย ก็คือยามออกจากแดนลับอสูรมารอริยะ จะต้องเผชิญหน้ากับเภทภัยที่ไม่อาจคาดคะเนได้ ถือเป็นการ ‘เสีย’


มีได้ย่อมมีเสีย นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องเผชิญในการช่วงชิงวาสนา


“เจ้าหนู สถานการณ์ออกจะไม่สู้ดีนะ เจ้าคิดจะทำเช่นไร”


เจ้าคางคงกังวลใจนัก


พวกเขาก็กำลังหลบหนีเข้าไปในแท่นบูชาโบราณแท่นหนึ่ง กลับออกมายังยอดภูเขาเทพหมอกม่วงนั้นด้วยกัน


พวกเขาจากมาไม่ทันไร ภูเขาใหญ่ทั้งเก้า พร้อมกับฟ้าดินบริเวณที่พวกมันตั้งอยู่นั้นก็พังทลายหายไปสิ้น


“ปัญหาทุกอย่างมีทางออก ถ้าหนักหนานักครั้งนี้ก็ไม่ออกไปแล้ว เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้เหมาะกับการฝึกปราณ แทนที่จะไปถูกคนสกัดล้อมฆ่า ไม่สู้อยู่ที่นี่ฝึกปราณดีๆ สักหน่อยดีกว่า”


หลินสวินเอ่ยง่ายๆ


“ไร้สาระ! ทันทีที่วาสนานี้จบสิ้นลง แดนลับอสูรมารอริยะก็จะปิดตัวลงอีกครั้ง ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเปิดได้อีกเมื่อไร กระทั่งว่าอาจจะไม่เปิดอีกตลอดกาลก็ได้ เจ้ายินยอมหรือ”


เจ้าคางคกด่าทอด้วยความโมโหยิ่ง


“เช่นนั้นเจ้าว่าทำอย่างไรดีเล่า”


หลินสวินถามกลับ


“ข้า…”


เจ้าคางคกพลันอึ้งไปเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีแล้ว ใบหน้าหดหู่คล้ายเสียสติ “นั่นสิ จะทำอย่างไรดีนะ…”


“สวรรค์ย่อมไม่ตัดหนทางคนหรอก สุดท้ายต้องคิดวิธีออกแน่”


จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยปาก ใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาแน่วแน่ไม่หวั่นไหว


ตูม!


ทันใดนั้นภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ก็เริ่มสั่นสะเทือนโคลงเคลง หินผาแตกออก แท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นที่กระจายอยู่แต่ละที่บนยอดเขาถึงกับเกิดเค้าลางถล่มลง


“ไม่ได้การ รีบออกจากที่นี่!”


เจ้าคางคกสั่นไปทั้งตัว ร้องเสียงดัง


พวกเขาไม่กล้าร่ำไร รีบพุ่งไปยังด้านล่างของภูเขา


เวลานี้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ต่างพุ่งไปยังด้านล่างของภูเขาเทพหมอกม่วงอย่างบ้างคลั่งราวกระแสธาร


ที่นี่กำลังจะถล่มและหายไป อันตรายเกินไปแล้ว!


ในพริบตาที่ภูเขาเทพหมอกม่วงสั่นคลอนนั้น สิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นอย่างพญาเผิงปีกทอง เอกพญางู จิ้งจอกเขียว ผีเสื้อห้าสี ตะขาบหยกมรกตก็พากันเชิดสายตามองจากที่หลบซ่อน


พวกมันรอคอยเวลานี้มานานแล้ว!


………..


ตอนที่ 617 วานรเฒ่าผู้น่ากลัว

โดย

ProjectZyphon

ภูเขาเทพหมอกม่วงกำลังถล่ม เกิดเป็นคลื่นสั่นสะเทือนน่ากลัว


ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าล้วนหลบหนี ไม่กล้าหยุดอยู่ที่นั่น เพียงแต่เมื่อผู้แข็งแกร่งกลุ่มแรกมาถึงตีนเขาและจะพุ่งไปข้างหน้า ก็เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย


แสงทองแวววาวแสงหนึ่งพุ่งขึ้นมา นั่นก็คือปีกสีทองที่ปกคลุมเวิ้งฟ้าคู่หนึ่ง ท่วงทำนองแห่งมรรคน่าหวาดหวั่นไหลเอ่อ ปกคลุมมายังผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น


เห็นได้ชัดว่าเป็นพญาเผิงปีกทองตัวนั้นลงมือ!


“สมควรตาย!”


เหล่าผู้แข็งแกร่งสีหน้าเปลี่ยนไป ร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก หลบหนีพัลวัน


ตูม!


ปีกสีทองทิ้งลู่ลง ใหญ่โตเกินไปแล้ว ปกคลุมฟ้าดิน ทำให้หินผาแหลกสลาย พลังน่ากลัวม้วนกลืน หมายจะกลบทับที่นี่ให้มิด


เพียงแต่ยามใกล้จะเข้าปกคลุมผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น คลื่นพลังต้องห้ามสายหนึ่งหนึ่งก็บังเกิดขึ้นจากภูเขาเทพหมอกม่วงที่กำลังถล่มนั้น แล้วสลายทุกอย่างนี้จนสิ้น!


พญาเผิงปีกทองตัวนั้นส่งเสียงหวีดร้องราวตกใจระคนโกรธ เงาร่างถึงกับถูกกดทับจนตกลงมายังพื้นดิน!


แต่แม้ว่าเป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งหลายคนก็ยังหนีไม่ทันดังเดิม ถูกพญาเผิงปีกทองอาศัยโอกาสนี้กลืนเข้าไปในคำเดียว


“หนี!”


“บ้าเอ๊ย พื้นที่ใกล้ๆ กันก็ถูกสิ่งมีชีวิตน่ากลัวพวกนี้ปิดผนึกไว้แล้ว!”


เสียงโวยวายตื่นตระหนกดังขึ้นรอบทิศ ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าหน้าเสีย ด้วยพบว่าบริเวณใกล้เคียงภูเขาเทพหมอกม่วงมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวตัวแล้วตัวเล่ายึดครองอยู่


ทั้งพญาเผิงปีกทอง เอกพญางู จิ้งจอกเขียวลี้ลับ ผีเสื้อห้าสี รวมถึงตะขาบหยกมรกตที่ตัวยาวหนึ่งจั้งกว่า


พวกมันล้วนมีพลังน่าหวาดหวั่นไม่ด้อยไปกว่าราชันสังสารวัฏ ยึดครองแต่ละทิศ ดวงตาเต็มไปด้วยแววโหดเหี้ยม


เห็นได้ชัดว่าพวกมันรออยู่ที่นี่นานแล้ว หมายจะสังหารผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าเพื่อชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวพวกเขา!


นี่พาให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าล้วนหน้าเปลี่ยนสี ในใจพรั่นพรึง กระวนกระวายไม่อาจสงบได้


แต่ไม่นานนักพวกเขาก็สังเกตได้ว่า แม้ว่าภูเขาเทพหมอกม่วงนี้กำลังถล่ม แต่กลับมีพลังต้องห้ามไหวกระเพื่อมกดข่มให้สิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้อยู่


“พุ่งไป! หลบพวกมันไปให้ไกล!”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดนั้น ไม่สนใจสิ่งอื่นแล้วกัดฟันหลบหลีกออกจากพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นยึดครอง พุ่งตัวไปยังที่ไกลออกไป


โครม!


พื้นที่แถบนี้ยุ่งเหยิงไปหมด สิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นไม่พอใจที่ถูกกดทับ ต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง สำแดงพลานุภาพคับฟ้าออกมา


ผู้แข็งแกร่งที่หลบหนีไม่ทันบางคนประสบเคราะห์ถูกจับทั้งเป็นคาที่ในทันใด


ส่วนผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างออกมาหน่อยกลับถือโอกาสนี้หลีกหนีอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า พุ่งทะยานออกไปไกลอย่างบ้าคลั่ง ไม่กล้าหันกลับไปอีก


เสียงคำรามดังขึ้นไม่ว่างเว้น ณ ที่แห่งนี้ พญาเผิงปีกทองกระพือปีกหวีดร้องไปทั่วเก้าชั้นฟ้า


เอกพญางูม้วนร่างในห้วงอากาศ ปากพ่นกลืนพลังน่าหวาดหวั่นม้วนกลืนไปแปดทิศ


ส่วนจิ้งจอกเขียวลึกลับนั้นกลับหายตัวเคลื่อนที่ไม่ว่างเว้น ไปล่าผู้แข็งแกร่ง


ที่น่ากลัวที่สุดก็คือผีเสื้อห้าสีตัวนั้น มันมีขนาดพอกับใบลาน ปีกทั้งสองกระพือเบาๆ ก็ก่อให้เกิดพายุห้าสีทะลุฟ้า บดขยี้ท้องนภา ผู้แข็งแกร่งที่ถูกม้วนเข้าไปทุกคนไม่มีใครโชคดีรอดชีวิตสักคน!


เช่นเดียวกัน ตะขาบหยกมรกตตัวนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ขามากมายแน่นขนัดของมันกวัดไกว ประหนึ่งคมมีดนับร้อยนับพันกำลังเก็บเกี่ยวชีวิต


นี่ยังเป็นตอนที่พวกมันถูกพลังต้องห้ามกดทับ หากไม่ใช่เช่นนี้ อาศัยพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าราชันสังสารวัฏของพวกมัน คงสามารถก่อให้เกิดภัยพิบัติน่าหวาดหวั่น ไม่มีทางปล่อยให้ผู้แข็งแกร่งสักคนหนีไปได้แน่


อย่างไรเสียความแตกต่างของพลังก็มากเกินไป


“พวกเราก็รีบไป ตอนนี้พลังต้องห้ามนั่นยังอยู่ สามารถกดข่มสิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นได้ ทันทีที่ภูเขาเทพหมอกม่วงพังทลายสิ้นแล้ว ก็จะไม่อาจกำราบพวกมันได้อีก!”


เจ้าคางคกร้องเสียงดัง


“ไป!”


หลินสวินนำอยู่ข้างหน้า เวลานี้เขาเรียกดาบหักออกมา สีหน้าระแวดระวัง เคราะห์สังหารระดับนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าไปต่อกรกับพวกหนิวทุนเทียนเสียอีก ทำให้เขาต้องระวังอย่างยิ่ง


เคร้ง!


พวกเขาเพิ่งเคลื่อนไหวก็ถูกโจมตี จิ้งจอกเขียวตัวหนึ่งหายตัว กรงเล็บคมพุ่งทะลวงอากาศ ปลดปล่อยแสงสีครามน่ากลัวสายหนึ่ง ม้วนกลืนออกมาประหนึ่งน้ำตก


ตูม!


กลับเห็นว่าจ้าวจิ่งเซวียนตะคอกเสียงกังวาน เงื้อมือฟาดยันต์หยกสีดำระเบิดออกเสียงดังผัวะ เกิดเป็นสายฟ้าสีดำแล่นปราด


ทันใดนั้นการปะทะอันน่ากลัวอุบัติขึ้น แสงเทพยิงพุ่ง สั่นสะเทือนจนพวกหลินสวินแทบกระอักเลือด พลังนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้พวกเขาเองก็หวาดหวั่น


ยังโชคดีที่ยันต์หยกสีดำที่จ้าวจิ่งเซวียนฟาดออกไปนั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก ทำให้พวกเขาฝืนต้านการโจมตีนั้นได้ และฉวยจังหวะนี้หนีไปไกล


เพียงแต่เวลาต่อมาก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ที่แท้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ตามหลังพวกหลินสวินมาหนีไปไม่ได้ ถูกจิ้งจอกเขียวตัวนั้นจับทั้งเป็น


“เมื่อกี้เจ้าเอาสมบัติอะไรออกมา เหตุใดถึงทรงพลังเช่นนี้”


เมื่อหนีจากบริเวณนั้นออกมาไกลแล้ว เจ้าคางคกก็โล่งอกยิ่งนัก มองไปยังจ้าวจิ่งเซวียนด้วยสายตาประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


“วิธีป้องกันตัวที่เสด็จพ่อของข้าให้มา ยันต์อสนีนิลกาฬเทพหยิน สามารถสลายเคราะห์สังหารที่เกิดขึ้นฉับพลันได้ แต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว”


จ้าวจิ่งเซวียนแจกแจงประโยคหนึ่ง


ที่แท้ก็เป็นสมบัติที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมอบให้!


หลินสวินก็อดไม่ได้ลอบทอดถอนใจ จ้าวจิ่งเซวียนมีฐานะเป็นถึงธิดาของจักรพรรดิ เกรงว่าวิธีป้องกันตัวที่ครอบครองต้องไม่น้อยแน่


พวกเขาไม่ได้ร่ำไร หนีออกไปเต็มกำลัง


เบื้องหลังพวกเขา ภูเขาเทพหมอกม่วงกำลังถล่มต่อไป ใช้เวลาไม่นานนักต้องหายไปจากโลกแน่


เสียงร้องโหยหวนดังไม่ว่างเว้น ที่นั่นแสงเทพครั่นครืน ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่ายังคงหนีตาย


เพียงแต่คนที่สามารถหนีออกมาจากเงื้อมมือของสิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นได้มีราวครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนคนอื่นล้วนถูกจับไว้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่เพียงวาสนาที่ได้มาจะถูกชิงไป แม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็ยังต้องทิ้งไว้ที่นี่


“น่ากลัวเกินไปแล้ว สิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นสติปัญญาสูงล้ำ ทั้งพลังก็ไม่ด้อยไปกว่าราชันสังสารวัฏ หากไม่ได้พลังต้องห้ามจากภูเขาเทพหมอกม่วงลูกนั้น เกรงว่าวันนี้คงยากจะหลุดพ้น…”


เจ้าคางคกหวาดผวายิ่งนัก แม้ว่าจะหนีออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว แต่เมื่อนึกถึงสิ่งมีชีวิตที่มีพลานุภาพคับฟ้าแต่ละตัวพวกนั้น ก็ยังคงหวาดกลัว


“สหายน้อย หากไม่รีบหนีไป ถือโอกาสนี้พวกเรามาคุยกันดีๆ เถอะ”


เวลานี้จู่ๆ เสียงแก่เฒ่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท น่าตกใจจนเจ้าคางคกแทบกระโดดเหยง ทั้งยังทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนแข็งทื่อไปทั้งตัว ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเงาร่างวานรเฒ่าตัวหนึ่งปรากฏกายขวางทางอยู่ เขามีขนหนาแน่น สายตามีแววกร้านโลก ค้ำไม้เท้าสีเขียวไม้หนึ่ง ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ


เป็นวานรเฒ่าที่ดูแลสวนโอสถในเกาะอริยะปัญจธาตุตัวนั้น!


หลินสวินมองปราดเดียวก็จำอีกฝ่ายได้ เขาหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ ในใจระแวดระวังหาใดเทียบ ตั้งแต่ตอนอยู่บนเกาะอริยะปัญจธาตุเขาก็รู้แล้วว่าวานรเฒ่าตัวนี้น่ากลัว ยากหยั่งถึงยิ่งนัก


สัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้ตัวหนึ่ง พลันปรากฏกายขวางทางอยู่ที่นี่ ทำให้หลินสวินรู้สึกหนักอึ้งในใจอยู่บ้าง


“ผู้อาวุโสต้องการจะคุยเรื่องอะไร”


หลินสวินสงบใจแล้วเอ่ยถาม


“เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้หมายจะมาปองร้ายเจ้า”


ใบหน้าชราของวานรเฒ่าบังเกิดแววเมตตา


แต่หลินสวินไม่เชื่อ ตอนเขาอยู่ที่เกาะอริยะปัญจธาตุ ไม่เพียงปล้นโอสถสมบัติไร้เทียมทานอย่างโสมราชันโคมสมบัติ หญ้ากิเลน ยังชิงคัมภีร์อริยมรรคเสี้ยวหนึ่งของ ‘คุณชายน้อย’ ผู้นั้น


วานรเฒ่าที่มีฐานะเป็นผู้ดูแลเกาะอริยะปัญจธาตุ จะไม่ถือสาเรื่องพวกนี้กับตนได้อย่างไร


“อาศัยเจดีย์สมบัติในมือเจ้า ข้าจะไม่ลงมือกับเจ้า อีกทั้งเจ้ายังเคยเข้าไปในโบราณสถานดวงกมลนั้น ได้รับมหาศุภโชคมาอย่างหนึ่ง หากมีวาสนากับเผ่าเราก็ไม่ใช่ศัตรู”


วานรเฒ่าน้ำเสียงยิ่งอ่อนโยนเรียบสงบ


โบราณสถานดวงกมล!


หลินสวินจิตใจหวั่นไหว รับรู้ได้ว่าที่วานรเฒ่าพูดนั้น ต้องเป็นภูเขาเทพหมอกม่วงอย่างไม่ต้องสงสัย


เห็นได้ชัดว่าวานรเฒ่ารู้หลายเรื่อง ดูออกได้จากการที่เขาเรียกชื่อ ‘โบราณสถานดวงกมล’ ออกมา ทั้งยังรู้ว่าตนได้รับศุภโชคจากที่นั่น


ทว่าหลินสวินยังคงระวังตัวไม่ว่างเว้น เขาไม่กล้าคลายความระแวดระวัง ด้วยไม่รู้ว่าวานรเฒ่าตนนี้มีชีวิตมานานเพียงไหนแล้ว ท่าทางโชกโชน พลังลึกล้ำยากหยั่งถึง


“แย่แล้ว งูตัวนั้นมาแล้ว!”


ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องออกมาเสียงดัง


ดังคาด ห่างออกไปเอกพญางูตัวนั้นไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใดถึงได้สลัดแรงกดทับของภูเขาเทพหมอกม่วงออกได้ เคลื่อนกายพุ่งมาทางนี้


“เจ้ามนุษย์ เป็นเจ้าที่ได้รับศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโบราณสถานดวงกมลหรือ รีบส่งมาเร็วซะ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”


เอกพญางูมาถึงในชั่วพริบตา มันม้วนตัวกลางห้วงอากาศ ร่างใหญ่โตโอฬารบดบังท้องฟ้าทาบทับดวงตะวัน หัวงูประหนึ่งภูผา นัยน์ตากระหายเลือดมีขนาดเท่าทะเลสาบ เหลือบแลมายังหลินสวิน


คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้หลินสวินรู้ว่ามีคนแพร่งพรายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตน ทำให้เอกพญางูตัวนี้ทิ้งผู้แข็งแกร่งคนอื่น แล้วมาหาตนเพื่อชิงศุภโชคของตนก่อน!


“เจ้าหนอนน้อยตัวยาว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสอดปาก รีบหายไปเสีย”


เวลานี้วานรเฒ่าชำเลืองมองเอกพญางูตัวนั้นคราหนึ่ง เอ่ยส่งแขกด้วยวาจาไม่ไว้ไมตรี


“เจ้ากล้าพูดกับข้าหรือ”


เกล็ดสีเขียวทั่วตัวของเอกพญางูส่องแสงเยียบเย็นราวโลหะ นัยน์ตาสีเลือดเต็มไปด้วยจิตสังหาร


มันมีความสามารถที่มากพอให้โอหังได้ พลังเหนือกว่าผู้มีปราณระดับสังสารวัฏทั่วไปนัก เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในแดนลับแห่งนี้


“ฮ่า เงียบหายไปนาน ขนาดหนอนน้อยตัวยาวตัวหนึ่งยังกล้าท้าทายข้า น่าสนใจ”


วานรเฒ่าพลันหัวเราะ เขาในตอนนั้นไม่ใช่ผู้ที่ต่อกรได้ง่ายอะไร ที่ในแดนลับไม่มีข่าวคราว ก็เพราะเขาเก็บตัวคุ้มครองเกาะอริยะปัญจธาตุที่เจ้านายของเขาทิ้งเอาไว้มาโดยตลอด ไม่ได้ออกไปโลกภายนอกก็เท่านั้น


ตูม!


เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียว แสงธรรมแถบหนึ่งก็เคลื่อนออกมาพร้อมกับสายฟ้าสีทองน่าหวาดหวั่น เสียงดังกัมปนาทจนหูแทบดับ


เอกพญางูพลันหน้าเปลี่ยนสีในทันใด สังเกตได้ถึงอันตราย


“โฮก!” มันส่งเสียงคำรามออกมา โจมตีเต็มแรง ร่างที่ใหญ่หนาราวบรรพตเหยียดยาวปะทุรัศมีเทพ หางงูเคลื่อนกวาดไปในห้วงอากาศ


ถึงกระนั้นก็ได้ยินเสียงกระแทกดังโครม หางงูราวแส้เทพหางนั้นกลับมีแผลเหวอะหวะแล้วขาดออก เลือดสดๆ ไหลเป็นสาย


วานรเฒ่าโบกมืออย่างง่ายๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้นก็ตัดหางของเอกพญางูขาด นี่ทำให้มันหวาดหวั่น รับรู้ได้ว่าพลังของคู่ต่อสู้น่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด ก้าวข้ามขีดจำกัดที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลับนี้!


ถึงขนาดที่ว่า อาจจะเป็นอริยะที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้หนึ่ง!


“แคว้ก!”


ที่ไกลออกไปมีเสียงร้องแหลมดังขึ้น ที่แท้พญาเผิงปีกทองตัวนั้นก็พุ่งมาทางนี้ เพียงแต่เมื่อเห็นภาพนี้มันก็หวาดผวาตื่นตระหนก


พลังแท้จริงของเอกพญางูนั้นมันรู้ดีนัก แต่ตอนนี้กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีเดียว วานรเฒ่าตัวนั้นน่าพรั่นพรึงถึงขั้นไหนกันแน่


เอกพญางูกับพญาเผิงปีกทองล้วนเลือกถอยหนีโดยไม่ลังเล ไม่กล้าเข้าใกล้ที่นี่อีก


พวกหลินสวินกลับสูดหายใจเย็นเยียบ ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง วานรเฒ่าตัวนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว น่ากลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏไม่รู้กี่เท่า!


หรือว่าเขาจะเป็นอริยะที่ก้าวข้ามอมตะนพเคราะห์?


__


ตอนที่ 618 คัดลอกมรดกอริยมรรค

โดย

ProjectZyphon

“ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย” วานรเฒ่าน้ำเสียงอ่อนโยน


แต่หลินสวินจะไม่กังวลได้อย่างไร ขนาดพญาเผิงปีกทองกับเอกพญางูยังตกใจหนีกระเจิดกระเจิง แค่คิดก็รู้แล้วว่าวานรเฒ่าตัวนี้น่ากลัวขนาดไหน


เพียงแต่วานรเฒ่าต้องการจะพูดคุย กลับถูกรบกวนอยู่เรื่อย ก็เห็นว่าไม่ไกลนั้นตะขาบหยกมรกตตัวหนึ่งเคลื่อนกายมาเหมือนไม่สบอารมณ์


หรือพูดได้ว่า มันหมายจะชิงมหาศุภโชคที่อยู่กับตัวหลินสวินมาให้ได้ ถึงได้เคลื่อนตัดห้วงอากาศมาพร้อมส่งเสียงคำรามครั้งหนึ่ง


เปรี้ยง!


ร่างกายราวหยกมรกตของมันอวลไปด้วยแสงธรรมน่าหวาดหวั่น พลานุภาพสะท้านฟ้า


วานรเฒ่ามุ่นคิ้วเหมือนถูกยั่วโมโหในที่สุด ไม่ออมมืออีก


ได้ยินเสียงฟึ่บหนึ่งดังขึ้น เขายื่นมือออกไปแล้วฉีกตะขาบหยกมรกตตัวนั้นออกเป็นสองท่อนทั้งเป็น!


เลือดสดๆ สาดกระเซ็นราวน้ำตก เสียงร้องโหยหวนชวนหดหู่ดังไปทั่วฟ้าดินก่อนจะหยุดลงทันใด


ร่างสองท่อนของตะขาบหยกมรกตถูกวานรเฒ่าโยนลงบนพื้นเหมือนขยะอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกระทำเรื่องที่ธรรมดายิ่งเรื่องหนึ่ง


สิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งไม่อ่อนแอกว่าราชันระดับสังสารวัฏตัวหนึ่งจะตายเช่นนี้หรือ


ทั้งที่นั้นตื่นตะลึง อึ้งงันไร้เสียง ผู้ฝึกปราณบางคนที่จับจ้องมาจากที่ไกลๆ ล้วนเหงื่อกาฬผุดพราย พากันถอยหลังไม่หยุดหย่อน


ต่อให้เป็นผีเสื้อที่มีขนาดเท่าใบลาน รวมถึงจิ้งจอกเขียวที่เหนือธรรมดา เวลานี้ล้วนเผยให้เห็นความพรั่นพรึงอย่างลึกล้ำ ถอยหนีออกไปไกล


“เก็บตัวมานานเกินไป ไม่ได้ปลิดชีพมาหลายปีแล้วเลยควบคุมพลังให้ดีไม่ได้ เดิมทีข้าไม่ได้คิดจะเอาชีวิตมัน ถึงอย่างไรการฝึกปราณก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มาฆ่าแกงกันอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ก็ออกจะไม่มีเมตตาไปสักหน่อย”


วานรเฒ่าแจกแจงอย่างอดทน


ทุกคนพลันไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว วานรเฒ่าผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ที่สังหารเด็ดขาด ใจคอโหดเหี้ยม จะปรานีได้อย่างไร


หลินสวินไม่ได้เปิดโปง และไม่กล้าทำเช่นนี้ด้วย


วานรเฒ่าผู้นี้ยากหยั่งถึงเกินไปแล้ว เวลานี้ให้หลินสวินมีใจกล้าร้อยดวงก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามหาเรื่อง


“พวกเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ”


วานรเฒ่าไม่สนใจผู้อื่นอีก สายตาอบอุ่นมองมาทางหลินสวิน


“ผู้อาวุโสพูดถึงว่าพวกเรามีวาสนาต่อกัน”


หลินสวินเอ่ยเตือนเสียงเบา


“อ้อใช่ อายุมากแล้ว ความจำก็แย่เสียแล้ว”


วานรเฒ่าทอดถอนใจ ทำให้หลินสวินจนคำพูดอีกครั้ง มีพลังปราณน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ มีชีวิตอยู่มาจนกลายเป็นโบราณวัตถุที่หยั่งรู้สรรพสิ่งในโลกาไปนานแล้ว ความจำจะแย่ได้อย่างไร


“แม้กล่าวว่าเจ้ากับเผ่าข้ามีวาสนาต่อกัน แต่คัมภีร์มรรคมรดกลับสูงสุดของเผ่าข้าไม่สามารถให้เจ้าเอาไปได้”


วานรเฒ่าพูดเช่นนี้ออกมา หลินสวินก็พลันหวาดหวั่นใจจนขนลุกอยู่บ้าง


อย่างที่คิด วานรเฒ่าตนนี้มาเพื่อเอาคัมภีร์ไป!


“ทว่าเจ้าไม่ต้องกังวล คัมภีร์เล่มนั้นถูกเจ้าชิงไปได้ส่วนหนึ่ง ก็ถือเป็นศุภโชคส่วนหนึ่งของเจ้า ข้าจะไม่บีบบังคับเอากลับไป กลับกัน จะมอบสิ่งทดแทนให้เจ้าบางอย่าง”


ดวงตากร้านโลกและสงบนิ่งของวานรเฒ่ามองดูหลินสวิน


สัตว์ประหลาดเฒ่านี่พูดดีขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าคางคกกับจ้าวจิ่งเซวียนล้วนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง


“ทดแทนด้วยอะไรหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้


“สิ่งที่คัมภีร์เล่มนี้บันทึกไว้คือความลับแห่งการฝึกอริยมรรค สำหรับเจ้าแล้ว แม้ว่าจะได้ไปตอนนี้ก็นำมาใช้ไม่ได้เลย”


วานรเฒ่าเอ่ยด้วยวาจาสุภาพ “แต่ว่า หากให้เจ้าเป็นฝ่ายมอบออกมาเอง คิดว่าเจ้าก็คงไม่ยินยอม ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจให้เจ้าได้เห็นปริศนาทั้งหมดของคัมภีร์เล่มนี้ จำได้มากแค่ไหนก็ดูที่ปรีชาญาณของเจ้าแล้ว”


หลินสวินสั่นสะท้านในใจ รู้สึกเกินคาดหมายอย่างหาใดเปรียบ


เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการทดแทนของวานรเฒ่าจะเป็นการให้ตนได้เห็นคัมภีร์อริยมรรคทั้งหมด!


หรือพูดอีกอย่างก็คือ นี่ก็เหมือนวาสนาไร้เทียมทานที่หยิบยื่นให้ถึงมือครั้งหนึ่ง!


คัมภีร์อริยมรรคฉบับสมบูรณ์เชียวนะ!


มันบันทึกความลับในการฝึกที่เกี่ยวข้องกับอริยมรรค เกรงว่าหากเปลี่ยนเป็นอริยะที่แท้จริง คงล้วนแต่จะคลั่งไคล้และใจเต้นเพราะมันแน่!


ทั้งที่เป็นเช่นนั้น วานรเฒ่าถึงกับจะ ‘ทดแทน’ ให้ตนส่งเดชอย่างนี้ นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนบุญหล่นทับใส่หัว


“หึ เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วไปนัก คัมภีร์อริยมรรคที่สมบูรณ์ประทับด้วยพลังอริยมรรค ให้เจ้าดูรอบเดียวแล้วอย่างไรเล่า ระดับของเจ้าต่ำต้อยเกินไปนัก ไม่มีทางหยั่งรู้ปริศนาภายในนั้นได้เลย!”


เจ้าคางคกที่อยู่ด้านข้างร้องหึหยัน ดูเหมือนถากถาง แต่แท้จริงเป็นการเตือนหลินสวินไม่ให้ถูกเรื่องพรรค์นี้ทำให้หลงไป


“ไม่เสียแรงที่เป็นลูกหลานของคางคกทองสามขา”


วานรเฒ่าชำเลืองมองเจ้าคางคกครั้งหนึ่ง ดวงตาปรากฏแววแปลกประหลาด “ที่เจ้าพูดก็ถูก วิชาลับอริยมรรคคลุมเครือลึกล้ำ แฝงไว้ซึ่งแก่นอัศจรรย์แห่งอริยมรรค เว้นแต่มีพลังปราณระดับอริยะ หาไม่แล้วย่อมได้รับคุณประโยชน์จากคัมภีร์ได้ยาก”


ทันใดนั้นหลินสวินก็พอเข้าใจแล้ว


สาเหตุที่วานรเฒ่าใจป้ำเช่นนี้ ที่แท้ก็คาดการณ์ไว้อยู่ก่อนแล้วว่า แม้จะได้ดูคัมภีร์ทั้งหมด สำหรับตนในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย


“เจ้าคิดว่าอย่างไร” วานรเฒ่าถาม


“ข้า…”


หลินสวินลังเลใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างฝืนใจตนเองว่า “ผู้อาวุโส การทดแทนนี้…ดูออกจะ…”


“ไม่จริงใจหรือ”


วานรเฒ่าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นทันควันว่า “ก็ได้ เจ้าคิดว่าควรจะทดแทนอย่างไร”


หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กุมมือคารวะแล้วพูดว่า “ผู้น้อยสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตไว้ หากผู้อาวุโสสามารถส่งพวกเราออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อย่างปลอดภัย ผู้น้อยรับรองว่าจะมอบคัมภีร์ที่ได้รับมาให้แต่โดยดี”


เจ้าคางคกกับจ้าวจิ่งเซวียนล้วนดวงตาหดรัด ทั้งกังวลใจและคาดหวังอยู่บ้าง หากวานรเฒ่ารับปาก เช่นนั้นก็เท่ากับสะสางปัญหาที่พวกเขารับมือได้ยากที่สุดข้อหนึ่งได้อย่างไม่ต้องสงสัย


“ฮ่าๆๆ!”


วานรเฒ่าแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่า เสียงหัวเราะสะเทือนเก้าชั้นฟ้า สายตาเขาประหนึ่งมองทุกสิ่งออกอย่างทะลุปรุโปร่งดุจคบเพลิง มีกลิ่นอายหยั่งรู้สรรพสิ่ง


“เหตุใดผู้อาวุโสถึงหัวเราะขอรับ” หลินสวินถาม


“ข้าเพียงแต่ไม่คิดว่าคนเช่นเจ้าจะมาขอความช่วยเหลือจากข้าได้” ดวงตาวานรเฒ่าบังเกิดแววลึกล้ำยากคาดเดา


“ผู้อาวุโส นี่ไม่ได้เป็นการขอความช่วยเหลือ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมครั้งหนึ่งขอรับ” หลินสวินเอ่ยแก้ไข


วานรเฒ่าอึ้งไป จ้องมองหลินสวินครู่ใหญ่เหมือนเกินคาดไปบ้าง สีหน้าปรากฏความงงงวย


เขาราวกับนึกย้อนเรื่องราวในอดีตแล้วพึมพำขึ้นว่า “ดังคาด อาจจะมีเพียงคนเช่นเจ้า ถึงมีคุณสมบัติได้รับมรดกของโบราณสถานดวงกมลนั้นที่สุดกระมัง เฮอะ จองหองเสียจริง ต่อให้สู้จนตัวตายก็ไม่ก้มหัวให้ใครหรือ เพียงแต่…ใครจะดื้อดึงจนถึงที่สุดได้เหมือนเขา…”


พวกหลินสวินล้วนฉงน ดูท่าแล้ววานรเฒ่านี่เหมือนรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับโบราณสถานดวงกมลบางอย่าง ถึงได้ทอดถอนใจเช่นนี้หรือ


ในที่สุดวานรเฒ่าก็ยังตอบรับคำขอของพวกเขา


อีกทั้ง ดูเหมือนเขาไม่ต้องการสร้างความลำบากให้หลินสวินอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้จริงๆ ตัดสินใจแลกเปลี่ยนกับหลินสวินอย่างยุติธรรม


ดังนั้นขณะเดียวกับที่ยอมรับเงื่อนไขนี้ เขายังออกตัวเอ่ยปากว่าจะให้หลินสวินดูคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์เล่มนั้น!


หลินสวินเห็นเรื่องดีเช่นนี้ มีหรือจะไม่โอนอ่อน


เขานำคัมภีร์อริยมรรคส่วนที่ชิงมาได้จากเกาะอริยะปัญจธาตุและจากธิดาเทพหลินหลางออกมา แล้วส่งให้วานรเฒ่า


วานรเฒ่าก็นำอีกส่วนหนึ่งออกมารวมไว้ด้วยกัน หลอมรวมเป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง


ต่อมาวานรเฒ่าก็สำแดงวิชาลับ ทำให้คัมภีร์อริยมรรคฉบับสมบูรณ์เล่มนี้แสดงปริศนาที่แท้จริงภายในออกมาราวถูกกระตุ้น


“เจ้ามีโอกาสดูเพียงครั้งเดียว จำได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเจ้าแล้ว!” วานรเฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม


หลินสวินนั่งขัดสมาธิเข้าทันที โคจรพลังจิตวิญญาณทั้งมวลพินิจดู


โครม!


ชั่วพริบตา พลังอริยมรรคศักดิ์สิทธิ์หาใดเทียบบังเกิดขึ้นในห้วงนิมิต รวมเป็นบทความงดงาม ทุกตัวอักษรล้วนเปล่งปลั่งเจิดจ้า ฉายแสงธรรมลึกลับไม่อาจคาดเดาได้ออกมา


นี่เป็นอักษรปริศนาอริยมรรค แปลกประหลาดและคลุมเครือ ประหนึ่งเป็นสื่อกลางแห่งมหามรรค!


ไม่อาจหยั่งรู้!


ในชั่วพริบตา หลินสวินใจสั่นระรัว ทุกตัวอักษรดุจรวมทิวทัศน์ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล แฝงแก่นอัศจรรย์ไร้ที่สิ้นสุด อย่าว่าแต่แยกแยะ ขนาดจะดูความลึกลับยังดูไม่ออกเลยสักนิด


คลุมเครือและสูงส่งเกินไปแล้ว พาให้จิตวิญญาณของหลินสวินบังเกิดความหวาดผวา เกิดภาพลวงตาคล้ายจมน้ำหายใจไม่ออก ประหนึ่งตกอยู่ในห้วงมหาสมุทรไพศาล


นี่ก็คือพลังแห่งอริยมรรค ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินจะแตะต้องได้ด้วยระดับปราณในตอนนี้!


ฮูม!


ในเวลาชี้เป็นชี้ตาย หลินสวินโคจรเคล็ดเวทบริกรรม หมู่ดาวในห้วงนิมิตเปล่งแสงแวววาว จันทราเทพแขวนตัวสูงเหนือท้องนภา โอฬารเหลือคณา


เขาไม่ไปพินิจเพื่อหยั่งรู้อีก แต่ใช้พลังจิตวิญญาณลอกเลียน สลักคัมภีร์อริยมรรคที่ทุกตัวอักษรมีค่าราวดาราให้ฝังลึกลงไปในจิตใจ


ตอนนี้ไม่อาจพินิจและหยั่งรู้ได้ ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะทำไม่ได้!


และสิ่งที่หลินสวินต้องการจะทำตอนนี้ ก็คือประทับคัมภีร์อริยมรรคเล่มนี้ไว้ในใจ


เมื่อถึงคราก้าวเข้าสู่อริยมรรค ก็จะสามารถไขปริศนาหยั่งรู้แก่นสารของมันได้ ทำให้ตนได้ครอบครองมัน!


หลินสวินนั่งขัดสมาธิ ท่าทางน่าเกรงขาม เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างๆ ก็มองอย่างอดอิจฉาไม่ได้ คัมภีร์อริยมรรคเชียวนะ ต่อให้ตอนนี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้ แต่คุณค่าของมันก็เรียกได้ว่าประเมินค่ามิได้!


นี่เป็นมรดกที่ไร้สิ่งใดเทียบเทียม หากถูกราชันระดับสังสารวัฏที่ต้องก้าวข้ามอมตะนพเคราะห์ล่วงรู้เข้า ต้องอิจฉาตาร้อนจนบ้าคลั่งแน่


อริยมรรคหายากนัก เรียกได้ว่าสูงส่งยิ่ง หากสามารถเข้าสู่ระดับนี้ได้ และมีแรงสนับสนุนจากคัมภีร์ที่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง เช่นนั้นก็เหมือนเสือติดปีก ไม่ต้องกลัดกลุ้มกับการฝึกบำเพ็ญอีก!


“ผู้อาวุโส พวกเราสามารถหยั่งรู้สักหน่อยได้หรือไม่”


เจ้าคางคกทำหน้าหนามองไปทางวานรเฒ่าอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง


“มหามรรคมีเป็นพันหมื่น เมื่อผู้ฝึกปราณปฏิบัติตามข้อกำหนดมหามรรคแห่งตนแล้ว ก็จะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ มรดกนี้เป็นสิ่งตกทอดของเผ่าข้า ขัดกับมรดกลับแห่งสายเลือดคางคกทองสามขาของพวกเจ้า ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าได้คิดเสียดีกว่า หาไม่แล้วเมื่อแก่นมรรคยุ่งเหยิง จะมีโทษไม่มีคุณต่อเจ้า”


วานรเฒ่าชี้แนะเช่นนี้ ทำให้ฝ่ายหลังพลันหม่นหมอง พึมพำว่า “เจ้าหนูนี่มันมีดีอะไรถึงทำได้ แต่ข้าทำไม่ได้เล่า”


วานรเฒ่ายิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าก็ไม่อาจหยั่งรู้เหมือนกัน หรือเจ้าคิดว่ามรดกอริยมรรคเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็หยั่งรู้ได้หรือ”


เจ้าคางคกพลันเงียบไป นี่ไม่ใช่เรื่องเท็จ


ไม่นานนักหลินสวินก็ลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ หว่างคิ้วบังเกิดความอ่อนล้ายิ่ง


แม้ว่าเมื่อครู่เป็นการจารึกคัมภีร์นั้นไว้ในจิตใจ แต่ก็ใช้จิตวิญญาณมากเกินไป แทบจะรับไม่ไหวอยู่บ้าง


สาเหตุก็เพราะนี่เป็นถึงมรดกอริยมรรคที่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง! ภายในมีปริศนาไร้ที่สิ้นสุด คลุมเครือและสูงส่ง แม้เป็นการจารึกไว้ในใจก็เปลืองแรงถึงที่สุด


“จำได้มากขนาดไหน” เจ้าคางคกรีบร้อนเอ่ยถาม


“จำได้เกือบหมดกระมัง”


หลินสวินเอ่ยพึมพำ เวลานี้บนแท่นมรรคเก่าแก่เรียบง่ายในถ้ำสวรรค์ภายในกายเขา ประทับไปด้วยตัวอักษรคัมภีร์มรรคคลุมเครือบทหนึ่ง พร่าเลือนไม่ชัดเจน เป็นปริศนาไร้ที่สิ้นสุด


“จำได้หมดแล้วหรือ”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้วานรเฒ่าก็ไหวหวั่น แววตาเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด เดิมทีเขาคิดว่าหากเด็กหนุ่มจำอักษรในคัมภีร์ได้เพียงส่วนหนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว


ใครจะคิดว่าเขาถึงกับจารึกไว้ในจิตใจได้ทั้งหมด!


นี่ทำให้วานรเฒ่าตื่นตะลึงอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้ ชักไม่แน่ใจว่าการให้หลินสวินดูคัมภีร์มรรคสูงสุดที่ตกทอดมาในเผ่าครั้งนี้ เป็นเรื่องถูกหรือผิดกันแน่…


——


ตอนที่ 619 ออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

โดย

ProjectZyphon

“ขอเรียนถามผู้อาวุโส นี่เป็นวิชาใดหรือ”


ระหว่างที่วานรเฒ่าใจเต้นระส่ำระสายอยู่นั้น หลินสวินก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถาม


“วิชานี้มีนามว่า ‘เคล็ดวิชาแสงอริยะนพนภา’ เป็นมรดกตกทอดสูงสุดของเผ่าข้า”


สายตาที่วานรเฒ่ามองมายังหลินสวินมีแววตาอ่านยากบอกไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา “ในเมื่อถูกเจ้าจำได้หมดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นวาสนานำพา แต่ยังหวังว่าเจ้าจะไม่แพร่งพรายสู่ภายนอก หาไม่แล้วจะชักนำเวรกรรมใหญ่โตคับฟ้า”


หลินสวินหวาดหวั่นในใจ ตอบรับอย่างเคร่งขรึม


“เคล็ดวิชาแสงอริยะนพนภาหรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง”


เจ้าคางคกนิ่วหน้า น่าเสียดายที่เขาสูญเสียความทรงจำอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะครุ่นคิดอย่างแข็งขันอย่างไรก็นึกถึงร่องรอยที่มีประโยชน์ไม่ออกสักนิด


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลินสวินตื่นตระหนกไม่ว่างเว้น วิชาลับอริยมรรคที่สามารถทำให้เจ้าคางคกคุ้นหูได้ ต้องไม่มีทางเรียบง่ายแน่


“ข้าต้องเตือนเจ้าว่ายามมหาสงครามมาถึง คุณชายน้อยเผ่าข้าก็จะอุบัติขึ้นจากความเงียบงัน เจ้าเคยสร้างความแค้นกับเขา เวรกรรมครั้งนี้ต้องสะสางโดยพวกเจ้า”


ทันใดนั้นวานรเฒ่าก็เอ่ยปาก พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายน้อยที่จำศีลอยู่ใต้เกาะอริยะปัญจธาตุนั้น


‘ยามมหาสงครามมาถึงหรือ’


หลินสวินครุ่นคิด มีท่าทีสงสัยวานรเฒ่าอยู่บ้าง ว่ากันตามหลักแล้ว เขาควรมองตนเป็นศัตรูถึงจะถูก


แต่ผิดคาด ท่าทีของเขากลับผิดปกตินัก ดูประหลาดชอบกล


หรือว่าจะเกี่ยวกับเจดีย์สมบัติไร้อักษรนั้น


หรือบางทีอาจจะเกี่ยวกับศุภโชคที่ตนได้รับมาจากโบราณสถานดวงกมล


หลินสวินไม่แน่ใจอยู่บ้าง


“ไปเถอะ แดนลับนี้จะปิดตัวลงแล้ว”


วานรเฒ่าเงยหน้ามองฟ้าแล้วตัดบท


เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ สำแดงวิชาเคลื่อนย้าย นำพวกหลินสวินหายตัวไปจากที่นั่นในพริบตา


……


นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กหนุ่มเทพมารนั่นชิงศุภโชคที่ใหญ่ที่สุดในภูเขาเทพหมอกม่วง ได้รับมรดกของตำราทองสาส์นหยกนั้นไป!”


“เพียงแต่แดนลับอสูรมารอริยะกำลังจะปิดตัวลง เมื่อเขาปรากฏตัวต้องพ้นเคราะห์ได้ยากแน่!”


“เหอะๆ ชิงวาสนาได้มากกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า ท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็นการไปลำบากแทนผู้อื่น ทั้งยังต้องจ่ายค่าตอบแทนถึงชีวิตเพื่อสิ่งนี้”


โลกภายนอกเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงสนทนา ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าล้วนรอคอยอยู่


เวลานี้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นสงบนิ่งนัก สีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาของพวกเขาจดจ้องที่ทางออกตรงท้องฟ้าเหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์


พวกเขาก็กำลังรอคอย รอคอยเวลาที่เด็กหนุ่มเทพมารปรากฏตัว!


เดิมทีคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังหวั่นกลัวพลานุภาพของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณละทิ้งเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้ว มองว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นคนที่ถูกตัดหางปล่อยวัด


ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเลิกคิดจะรอดชีวิตจากไปเลย!


เมื่อเวลาดำเนินไป ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าบางคนต่างเดินออกมาจากทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะ ก่อให้เกิดเสียงครึกโครมไปทั่ว


ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าการเคลื่อนไหวช่วงชิงวาสนาครั้งนี้ถึงเวลาปิดฉากแล้ว


พวกเซียวหรันก็กลับออกมาอย่างปลอดภัย แจ้งบางเรื่องให้ผู้เฒ่าเกาหยางทราบ ฝ่ายหลังสีหน้ายิ่งแปรเปลี่ยนเป็นบูดเขียว


เป็นหลินเสวียนผู้นั้นดังคาด!


“ท่านผู้เฒ่า เด็กนั่นเก็บซ่อนวาสนามากมายไว้กับตัว ครั้งนี้ต้องจับมันมาฆ่าให้ตาย ไม่อาจปล่อยให้เผ่าอื่นได้ไปง่ายๆ!”


ซูซิงเฟิงโมโหฟันกรอด


“ใช่แล้ว ศิษย์พี่กงหยางอวี่ก็ถูกมันฆ่าตาย วันนี้หากไม่กำจัดมันให้สิ้นซาก ภายหลังไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นหนามยอกอกแน่”


เหวินเสียงกับอวิ๋นเช่อก็พากันเอ่ยปาก


“วางใจเถอะ วันนี้มันหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว!”


ผู้เฒ่าเกาหยางสีหน้าโกรธเกรี้ยวเหี้ยมเกรียม ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร


“ทุกท่าน รอเด็กนี่ปรากฏกาย ข้าขอร้องเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือให้ข้าลงมือจับมันไว้เป็นคนแรก ส่วนศุภโชคที่อยู่กับตัวมัน พวกเจ้าเอาไปได้หมดเลย!”


เวลานี้ท่านย่าเทพสังหารเผ่าวาฬมังกรเอ่ยปาก


บุตรเทพเผ่าวาฬมังกรของพวกเขา รวมถึงผู้แข็งแกร่งที่ตามเข้าไปยังแดนลับอสูรมารอริยะด้วยกัน แทบจะถูกเด็กหนุ่มคนนี้ฆ่าตาย นี่ทำให้นางชิงชังจนแทบคลั่ง


“ยายเฒ่า! เจ้ากำลังพูดถึงใคร น้ำเสียงวางโตนักนะ!”


ตรงทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะพลันมีเสียงตะคอกดูถูกเสียงหนึ่งดังขึ้น


หืม?


ดวงตาทั้งสองของท่านย่าเทพสังหารแผ่รังสีทองออกมา ชั่วพริบตาก็เห็นเงาร่างของพวกหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนเดินออกมาจากแดนลับอสูรมารอริยะ


ผู้ที่พูดจากำเริบเสิบสานและโอหังเช่นนี้ได้ย่อมเป็นเจ้าคางคก


“มันนี่ล่ะ! เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”


“สวรรค์ มันกล้าออกมาจริงๆ เกินความคาดหมายยิ่งนัก”


นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ร้อนระอุขึ้นมาในทันใด สายตาของผู้แข็งแกร่งทุกคนถูกดึงดูด รู้สึกประหลาดใจและอึกทึกครึกโครมเพราะสิ่งนี้


“ไอ้สวะ มาถึงตอนนี้พวกเจ้ายังกล้าจองหองอีกหรือ”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว โมโหจนไอสังหารพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง เด็กหนุ่มเทพมารนั่นทำให้พวกเขาเสียหน้าจนหมดสิ้น แทบอยากจะพุ่งไปฟาดฟันปลิดชีพเขาเสีย


นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ อย่างเผ่าสิงห์โลหิต เผ่าคชามาร เผ่ากาฬพฤกษ์ เผ่ากวางหยก เผ่าวานรนทีก็ล้วนสีหน้าอึมครึมเคร่งขรึม จ้องมองหลินสวิน คิดจะสังหารเขาในทันที


ขนาดขุมอำนาจที่อหังการ์อย่างเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆาเหล่านี้ก็ล้วนมีสายตาไม่เป็นมิตร จิตสังหารพุ่งทะลุเมฆา


พูดได้ว่า หลินสวินไปยืนอยู่ตรงนั้นก็เหมือนประภาคารหลังหนึ่ง ดึงความแค้นออกมาได้อย่างผิดธรรมดา กลายเป็นที่จับจ้องของเผ่าใหญ่แต่ละเผ่า ทั้งหมดล้วนเกลียดชังและมองเขาด้วยสายตาโกรธแค้น


“ข้าว่าทุกคน พวกเจ้ามาต้อนรับพวกข้าหรือ ฮ่าๆๆ วางก้ามเก่งเหลือเกินนะ เพียงแต่ทำไมพวกเจ้าถึงโมโหโทโสขนาดนั้น ทำเหมือนพวกข้าเคยฆ่ายกครัวพวกเจ้ามาก่อนก็ไม่ปาน”


เจ้าคางคกหัวเราะร่า ท่าทางเหมือนชี้แนะเรื่องใหญ่โต พูดไปเริงร่าไป


ผู้แข็งแกร่งทั้งมวลพลันสีหน้าถมึงทึง ชิงชังจนกัดฟันกรอด


“ไอ้สารเลว ความตายมาเยือนแล้วยังกล้าเล่นลิ้น!”


ท่านย่าเทพสังหารน้ำเสียงดุดัน


“หึ!”


คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าล้วนสีหน้าเหี้ยมเกรียม


“เจ้าเดรัจฉานเฒ่า เจ้าบ่นบ้าอะไรน่ะ ถ้ากล้าก็เข้ามาสิ ข้าจะตบเจ้าให้ตายก่อนเลย!”


เจ้าคางคกชำเลืองมอง ชี้ไปยังท่านย่าเทพสังหารพลางตะคอก


ท่านย่าเทพสังหารโกรธจนแข็งทื่อไปทั้งตัว เจ้าเดรัจฉานเฒ่าหรือ เด็กหนุ่มชุดเขียวคนนี้ถึงกับกล้าด่านางว่าเป็นเดรัจฉานเฒ่าหรือ ช่างน่าสับเป็นพันชิ้นนัก!


“ข้าจะไปฆ่ามัน!”


“ให้ตายสิ! รนหาที่ตาย!”


ขณะนี้ก็มีผู้แข็งแกร่งหลายคนทนไม่ไหวแล้ว มีทั้งเผ่าวาฬมังกรและกำลังจากเผ่าอื่นๆ คู่แค้นมีมากมายนัก


ขนาดซูซิงเฟิงยังตวาดอย่างเย็นชาว่า “หลินเสวียน ความตายมาเยือนพวกเจ้าแล้ว ถ้าไม่รู้จักคุกเข่าสำนึกผิด ยังคงกำเริบเสิบสานอีก วันนี้ต้องตายแน่!”


“ทุกท่าน ไม่ว่าอย่างไรเด็กนี่ก็เกี่ยวข้องกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกข้า ไม่สู้ให้พวกข้าลงมือจับมันฆ่าซะเป็นอย่างไร”


ผู้เฒ่าเกาหยางก็เอ่ยปากแล้ว ไอสังหารพลุ่งพล่าน สายตาราวสายฟ้าจับจ้องเพ่งเป้าไปยังหลินสวิน


หลินสวินสังเกตการณ์ด้วยสายตาเย็นเยียบมาตลอด กระทั่งเห็นผู้เฒ่าเกาหยางเอ่ยปากเขาก็พลันหัวเราะ ด้วยรับรู้ว่าตนเดาถูกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าเหล่านั้น หรือแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าล้วนไม่คิดจะปล่อยตนไป


“ผู้อาวุโส ต้องรบกวนท่านแล้ว” สายตาหลินสวินมองไปยังวานรเฒ่าที่อยู่อีกด้าน


“เรื่องเล็กน้อย”


วานรเฒ่าพูดอย่างสบายๆ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางงกเงิ่น หน้าตากร้านโลก ไม่สะดุดตาอย่างยิ่ง แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบกลับไม่หวั่นไหวสะทกสะท้าน เหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาสักนิด


“มอบให้พวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจัดการหรือ ข้าไม่ยอมก่อนล่ะ!”


ท่านย่าเทพสังหารหัวเราะเหี้ยมเกรียม นางอดทนมานานแล้ว เวลานี้ไม่อาจเก็บกลั้นจิตสังหารได้อีก พลันหยัดกายขึ้น ยื่นมือไปในห้วงอากาศหมายจะจับหลินสวิน


ตูม!


มือใหญ่ข้างหนึ่งบดบังท้องฟ้า มีรัศมีเทพน่าหวาดหวั่นหมุนวน น่ากลัวคับฟ้า


ทุกคนพากันหวาดผวา ไม่คิดเลยว่าท่านย่าเทพสังหารที่เป็นถึงราชันระดับสังสารวัฏ เวลานี้กลับลงมือกับผู้น้อยคนหนึ่งโดยไม่สนฐานะ!


จากจุดนี้ก็เห็นได้ว่านางโกรธแค้นถึงขั้นไหน


“ไอ้เด็กนี่มันชั่วร้ายเหิมเกริม ฆ่ามัน ต้องมีส่วนของพวกข้าเผ่าสิงห์โลหิตด้วย!”


อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตตะโกนก้อง ถึงกับลงมือในเวลาเดียวกัน


“หึ!”


ผู้เฒ่าเกาหยางสีหน้าถมึงทึง ย่อมไม่มีทางทนให้ผู้อื่นแย่งลงมือก่อน เรียกเตาเทพหมื่นปักษาออกมา ปกคลุมไปทางหลินสวินโดยไม่ลังเล


นอกจากนี้ยังมีคนใหญ่คนโตผู้อื่นลงมืออีกแทบจะในเวลาเดียวกัน!


ภาพนี้เรียกได้ว่าตะลึงโลกาอย่างไม่ต้องสงสัย


ราชันสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งกลับร่วมกันเคลื่อนไหว รีบร้อนจะแย่งกันฆ่าหลินสวินให้ได้เป็นคนแรก นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าในที่นั้นล้วนตื่นตระหนกจนแทบจะหายใจไม่ออก


แต่ขอเพียงคิดโดยถี่ถ้วน นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา หลินสวินมีมหาศุภโชคอยู่กับตัว ตัดเรื่องความแค้นออกไป แค่เพื่อช่วงชิงมหาศุภโชคชั้นนี้ ใครก็ไม่ยอมล้าหลังผู้อื่นแล้ว


โครม!


ฟ้าดินระเบิดออก เมื่อราชันระดับสังสารวัฏลงมือ พลานุภาพอัศจรรย์ชั้นนั้นเพียงพอที่จะพลิกภูผาคว่ำสมุทร ทำลายสิ้นใต้หล้าส่วนหนึ่งแล้ว


และตอนนี้ เป็นถึงราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งออกโจมตี ก็เห็นว่าห้วงอากาศยุ่งเหยิง แสงเทพพุ่งทะลุเมฆา พลังมหามรรคน่าหวาดหวั่นเกี่ยวกระหวัด สภาพการณ์น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด ช่างเหมือนจะทำลายล้างโลกา


“ฆ่า! ต้องฆ่าเจ้าเด็กนั่น!”


เวลานี้เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ถูกหลินสวินเอาชนะอย่างพวกซูซิงเฟิงจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หนิวทุนเทียนจากเผ่าวัวมารทรงพลัง เมิ่งเหลียนชิงจากเผ่าหงส์หิรัณย์ ข่งซิ่วจากเผ่าโห่วเมฆาล้วนกัดฟันกรอด สีหน้าฮึกเหิม จับจ้องอย่างใกล้ชิด


ไม่มีใครเชื่อว่าหลินสวินจะเอาชีวิตรอดไปได้ในยามนี้ ที่ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าสนใจก็คือ ใครจะสังหารหลินสวินได้เป็นคนแรก แล้วชิงวาสนาที่อยู่กับตัวเขาไป!


น่าเสียดายที่พวกเขาล้วนเมินวานรเฒ่าที่อยู่ข้างกายหลินสวิน


ตูม!


ในเวลาเดียวกับที่กลุ่มราชันระดับสังสารวัฏลงมือ วานรเฒ่าที่ไม่เปิดเผยความสามารถ ดูเหมือนเป็นผู้เฒ่างกเงิ่นมาตลอดพลันยืดหลังขึ้น เงยหน้ามองรอบด้าน ดวงตาที่ผ่านโลกมามากแผ่พุ่งแสงธรรมเปล่งประกายราวสายฟ้าสองสายออกมา ฉีกทึ้งห้วงอากาศ!


เปรี๊ยะ!


มือใหญ่ที่โจมตีกลางอากาศของท่านย่าเทพสังหารพลันแหลกสลายราวเศษกระดาษ


ตึง!


กระบี่วิญญาณที่ผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตเรียกออกมาส่งเสียงโหยหวนอับแสงลงราวกับงูตาย แทบตกลงไปในทะเล


ขณะเดียวกัน การโจมตีน่าหวาดหวั่นที่มาจากสี่ทิศแปดด้านนั้น เวลานี้กลับถูกโจมตีให้สลายกลายเป็นละอองแสงบ้าคลั่งปลิวกระจาย ราวกับอ่อนแอเหลือประมาณ


และสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแสงธรรมสองสายที่ยิงพุ่งออกมาจากดวงตาวานรเฒ่าตัวนั้นเท่านั้น


หรือพูดได้ว่า อาศัยเพียงพลังจากสายตาคู่หนึ่ง วานรเฒ่าก็สามารถสลายการโจมตีของเหล่าราชันระดับสังสารวัฏได้!


นี่ดูเหนือความคาดหมายยิ่งนัก แต่กลับเกิดขึ้นจริงตรงหน้า


คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าตื่นตระหนกหวาดผวา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาบังเกิดแสงเทพไหววูบ สายตาล้วนมองไปยังวานรเฒ่า


ข้างกายเด็กนั่นถึงกับมีผู้น่ากลัวชั้นนี้ติดตามด้วยหรือ


ในที่นั้นพากันอึ้งพูดไม่ออก ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าล้วนหวาดผวาสั่นสะท้านแล้ว ลูกตาแทบจะหลุดออกมา ไม่อาจทำใจเชื่อทุกอย่างนี้


นั่นเป็นถึงการโจมตีของเหล่าราชันระดับสังสารวัฏเชียวนะ จะถูกสลายส่งเดชเช่นนี้ได้หรือ


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


เวลานี้ความฮึกเหิมในใจพวกซูซิงเฟิง หนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงก็มลายหายไปสิ้นราวถูกราดด้วยน้ำเย็น ในสมองงุนงง เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้


——


ตอนที่ 620 ส่งเจ้าออกไป

โดย

ProjectZyphon

พวกหลินสวินก็ตื่นตระหนกแล้ว พวกเขาคาดเดาได้แต่แรกว่าวานรเฒ่าแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้!


การโจมตีของเหล่าราชันระดับสังสารวัฏถูกสลายอย่างง่ายดาย เกรงว่าวานรเฒ่าจะดำรงอยู่บนอริยมรรคนานแล้ว


ทั้งที่นั้นเงียบเชียบ ต่อให้เป็นราชันวัวมารหนิวเซี่ยวรื่อที่โหดเหี้ยมร้ายกาจเวลานี้ก็อึ้งงัน สีหน้าหนักอึ้ง มองตื้นลึกหนาบางของวานรเฒ่าไม่ออกอยู่บ้าง


ที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าคาดไม่ถึงก็คือ ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าวานรเฒ่าออกมาจากแดนลับอสูรมารอริยะกับพวกหลินสวิน


ผู้ที่น่ากลัวขนาดนี้แต่กลับไม่ได้รับแรงกดดันจากพลังของแดนลับนั้น หรือว่า… จะเป็นอสูรมารอริยะที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้หนึ่ง?


“วาสนาเป็นสิ่งที่ตนได้รับเอง เดิมทีก็เป็นการแก่งแย่งระหว่างคนรุ่นเยาว์ ทุกท่านกลับลงมือด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ใช้ความเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย จะใจแคบเกินไปแล้ว”


ท่ามกลางความเงียบเชียบ วานรเฒ่าเอ่ยเรียบเฉย เสียงไม่ดังนัก แต่กลับสั่นสะเทือนไปทั้งที่นั้น ถึงกับมีพลานุภาพคุกคาม


คนใหญ่คนโตหลายคนหน้าเปลี่ยนสี นี่กำลังด่าว่าพวกตนอยู่หรือ


“เด็กนี่ใจคอโหดเหี้ยมร้ายกาจ ก่อบาปไว้มากนัก สังหารคนเผ่าข้าไม่รู้เท่าไร ไม่ควรลงโทษมันหรือ”


ท่านย่าเทพสังหารสีหน้าเหยเก โกรธจนตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า


“ยายแก่! เจ้าหุบปากเสีย ศึกชิงวาสนาย่อมมีการบาดเจ็บล้มตาย หรือจะอนุญาตให้แค่พวกเจ้าฆ่าคน ไม่ให้ผู้อื่นฆ่าพวกเจ้า ช่างป่าเถื่อนไร้มารยาท!”


เจ้าคางคกตะคอกเสียงดัง


“เจ้ารนหาที่ตาย!”


ท่านย่าเทพสังหารโกรธจนหน้าเขียว สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง พลันมีแสงเทพนับพันหมื่นพุ่งทะลุเมฆา ยิงไปยังเจ้าคางคก


“หึ!”


วานรเฒ่านิ่วหน้า ส่งเสียงหึหยันออกมาครั้งหนึ่ง กลับโจมตีดุจอสนีบาต สลายแสงเทพนับหมื่นพันนั้นให้กลายเป็นจุณ


ทว่าท่านย่าเทพสังหารประหนึ่งถูกสายฟ้าจู่โจม จิตวิญญาณเจ็บปวด ร่างกายพลันซวนเซในทันใด ถึงกับกระอักเลือดออกมา


นี่ทำให้คนใหญ่คนโตหลายคนหนังตากระตุก ในใจพรั่นพรึง เป็นอริยะจริงๆ ใช่หรือไม่ หาไม่แล้วเหตุใดถึงได้มีพลานุภาพน่ากลัวปานนี้


เวลานี้เจ้าคางคกก็โมโหแล้ว คำรามออกมาว่า “เดรัจฉานเฒ่า เจ้าไม่เพียงหน้าไม่อายธรรมดาๆ แต่ช่างหน้าไม่อายชะมัดยาดเลย ข้าไม่เคยเห็นคนแก่ไร้ยางอายเช่นเจ้ามาก่อน!”


“เจ้า…”


ท่านย่าเทพสังหารสั่นสะท้านไปทั้งตัว โกรธจนกัดฟันกรอด ท่ามกลางสายตาฝูงชนที่จับจ้อง นางเป็นถึงผู้อาวุโสเผ่าวาฬมังกรซึ่งอยู่ในระดับสังสารวัฏผู้หนึ่ง กลับถูกเจ้าคางคกด่าทอใหญ่โตอย่างไม่ไว้หน้า การเหยียดหยามอย่างถึงที่สุดเช่นนี้นางจะเคยประสบได้อย่างไร


“เจ้าอะไรล่ะ ใบ้กินไม่ปริปากแล้วหรือ”


เจ้าคางคกได้ใจยิ่งนัก


ทุกคนล้วนดูออกแล้วว่ามีวานรเฒ่าผู้นั้นเป็นหัวเรือ พวกหลินสวินถึงได้กล้าปรากฏตัวอย่างไม่มีความหวั่นเกรงด้วยมีที่พึ่ง นี่ทำให้พวกเขาชิงชังนัก ทั้งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นอย่างหาใดเทียบ


“สหายยุทธ์ เกรงว่าท่านไม่รู้ความประพฤติของเด็กคนนี้ ถึงได้ปกป้องมัน”


เวลานี้ผู้เฒ่าเกาหยางเอ่ยปาก เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เด็กคนนี้มากับพวกเรา แต่ยามที่ชิงวาสนากลับทำร้ายพวกเดียวกัน วิธีการโหดเหี้ยม จิตใจเลวทราม เรียกได้ว่าสารเลวถึงที่สุด หวังว่าสหายยุทธ์จะไตร่ตรองให้ดี ไม่ปกป้องมันอีก”


หลินสวินสีหน้าถมึงทึง คาดไม่ถึงอยู่บ้างว่าคนอย่างผู้เฒ่าเกาหยางจะถึงขั้นกลับขาวเป็นดำ กุเรื่องเท็จขึ้นมาได้


“เจ้าเป็นใครกัน”


สายตาวานรเฒ่ามองไป


“ผู้สืบทอดรุ่นที่สามสิบหกของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เกาหยาง”


เกาหยางเอ่ยตอบ


“ไม่รู้จัก”


วานรเฒ่าชักสายตากลับมา ไม่มองเขาอีกเลย


เกาหยางพลันมีสีหน้าอับอายอย่างหาใดเทียบ ก่อนหน้านี้เพียงเขาบอกนามของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ว่าใครก็ต้องเกรงใจอยู่บ้าง


แต่ตอนนี้กลับถูกเมินเสียแล้ว!


หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็เกือบหัวเราะออกมา วานรเฒ่าผู้นี้ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่วาจาช่างตรงไปตรงมาและแข็งกร้าวนัก


“สหายยุทธ์ หรือท่านจะหมางใจกับพวกเราขุมอำนาจทั้งหมดในที่นี้ เพื่อปกป้องเด็กนี่จริงหรือ”


เกาหยางกัดฟันถามเสียงขรึม


ทันใดนั้นทุกสายตาในที่นั้นก็พากันจับจ้องไปที่ร่างของวานรเฒ่า


“ข้อแรก ข้าไม่สนิทกับพวกเจ้า อย่าเรียกข้าว่าสหายยุทธ์ วิถีของพวกเราต่างกัน ไม่อาจกระทำการร่วมกันได้”


วานรเฒ่านิ่วหน้าเอ่ยแก้ไข “ข้อสอง เท่าที่ข้าดู ไม่ใช่ข้าหมางใจกับพวกเจ้า แต่ผลลัพธ์ที่พวกเจ้าหมางใจกับข้ารังแต่จะร้ายแรงกว่า”


เมื่อพูดคำนี้ออกมาบรรยากาศในที่นั้นยิ่งเงียบเชียบ ล้วนรับรู้ได้แล้วว่าวานรเฒ่าผู้นี้กำลังคุ้มครองพวกหลินสวิน


นี่ทำให้สีหน้าพวกเขาล้วนเหยเกอึมครึมหาใดเทียบ รู้สึกไม่ยินยอมและเดือดดาลอย่างยิ่ง


“ส่วนคนใหญ่คนโตที่ว่าอย่างพวกเจ้าก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร ตอนนี้พวกเจ้ารังแกคนรุ่นหลังได้ แต่ภายหลังเมื่อมหาสงครามมาเยือน ปวงสวรรค์หมื่นพิภพถูกกำหนดแล้วว่าต้องเป็นของคนรุ่นเยาว์ ส่วนพวกเจ้า เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วต้องจ่ายค่าทดแทนเพราะสิ่งนี้!”


สายตาวานรเฒ่ากวาดมองร่างของคนใหญ่คนโตจากแต่ละเผ่าเหล่านั้นทีละคน ทำให้ฝ่ายหลังล้วนสีหน้าวิตกไม่กล้าสบตาเขา


วานรเฒ่าไม่สนใจพวกเขาอีก มองทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะนั้นรอบหนึ่งแล้วพูดว่า “เวลาไม่มากแล้ว ตอนนี้มาส่งพวกเจ้าจากไปเถอะ”


“ผู้อาวุโสโปรดรอก่อน”


ฉับพลันจ้าวจิ่งเซวียนก็เอ่ยปาก ดวงตากระจ่างมองไปยังหลินสวินแล้วพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ข้าก็ยังเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอยู่ดี ดังนั้น…”


“เจ้าจะกลับไปพร้อมกับพวกเขาหรือ”


หลินสวินเข้าใจในทันใด อดนิ่วหน้าไม่ได้ “แต่หากพวกเขา…”


“พวกเขาไม่กล้าหรอก คิดจะกลับไปยังดินแดนรกร้างโบราณก็ต้องอาศัยวิชาลับในจักรวรรดิ และวิชาลับนั้นเสด็จพ่อของข้าก็ครอบครองอย่างแน่นหนามาโดยตลอด ต่อให้พวกเขาชิงชังข้ากว่านี้ เมื่อมีเสด็จพ่ออยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรข้า”


จ้าวจิ่งเซวียนแจกแจง


หลินสวินพลันนิ่งอึ้งไปบ้าง จ้าวจิ่งเซวียนมีความคิดและความตั้งมั่นของนางเอง ไม่ต้องการหักหลังสหายร่วมสำนักเพราะเหตุนี้ หลินสวินเข้าใจเรื่องนี้ดี


ทว่าที่เขากังวลก็คือ ตอนนี้ทุกคนล้วนเห็นแล้วว่าจ้าวจิ่งเซวียนกับตนเป็นพวกเดียวกัน หากระหว่างทางกลับนางประสบเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น เช่นนั้นก็ยุ่งยากเสียแล้ว


“ถือสิ่งนี้ไว้ เมื่อพบอันตรายขอเพียงหยดลือดลงไปบนนั้นก็จะสามารถปกป้องเจ้าให้พ้นภัยได้”


ทันใดนั้นวานรเฒ่าก็เอ่ยปาก แล้วนำยันต์หยกเขียวรูปใบไม้แผ่นหนึ่งส่งให้จ้าวจิ่งเซวียน


“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”


หลินสวินพลันตื่นเต้น โค้งกายคำนับ


“เป็นสิ่งที่มอบให้แม่นางจ้าว เจ้าขอบคุณทำไม หรือเห็นว่าตนเป็นชายของผู้อื่นแล้วจริงๆ”


เจ้าคางคกหยอกเย้า


ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลินสวินตบเข้าที่ท้ายทอยของเจ้าคางคก


วานรเฒ่าไม่ร่ำไรอีก สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ห้วงอากาศถูกฉีกขาดออกเป็นอุโมงค์มิติ ต่อมาเขาก็โยนหลินสวินกับเจ้าคางคกเข้าไป


“รักษาตัวล่ะ!”


วานรเฒ่าเอ่ยวาจาเรียบง่ายแต่มากด้วยความหมาย


“ไม่…!”


ทันใดนั้นเสียงคำรามอย่างไม่ยินยอมและเดือดดาลดังขึ้นจากที่ไกลๆ ที่แท้เป็นท่านย่าเทพสังหาร นางพุ่งผ่านห้วงอากาศ โบกมือพุ่งสังหารมาทางนี้


ด้วยหมายจะทำลายอุโมงค์มิตินั้น!


เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจทนให้หลินสวินจากไปอย่างปลอดภัยเช่นนี้


“หึ!”


วานรเฒ่าเหมือนถูกยั่วโมโห ดวงตาฉายรังสีโหดเหี้ยม ยื่นมือไปจับครั้งหนึ่ง เสียงปึ้กดังทุ้มขึ้น ฟ้าดินสั่นสะเทือน


ท่านย่าเทพสังหารแข็งทื่อไปทั้งตัว จากนั้นก็ระเบิดกลางอากาศ สลายกลายเป็นฝนแสงตายคาที่!


เฮือก!


ทั้งที่นั้นสูดหายใจเย็นเยียบ หนาวสะท้านไปทั้งตัว ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งกลับถูกสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ ถูกฆ่าง่ายๆ เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู!


วานรเฒ่าผู้นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ น่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง


ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตจากแต่ละเผ่าเหล่านั้น เวลานี้ล้วนอึ้งงัน ในใจกระตุกวูบอย่างแรงกล้า รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่ไม่เคยมีมาก่อน


พวกเขารับรู้ได้ในที่สุดว่าวานรเฒ่าผู้นั้นต้องเป็นอริยะผู้หนึ่ง หาไม่แล้วจะมีฝีมือน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้อย่างไร


ฮูม!


ในห้วงอากาศแห่งนี้บังเกิดคลื่นเคลื่อนไหวพร้อมกับเสียงหวีดหวิว พาหลินสวินและเจ้าคางคกให้หายไป


“รักษาตัวด้วย”


จ้าวจิ่งเซวียนมองส่งพวกเขาจากไปอย่างนิ่งงัน ในดวงตากระจ่างบังเกิดแววผิดหวัง ในใจนางพลันมีความรู้สึกโหวงอย่างบอกไม่ถูก


“ไปเถอะ”


วานรเฒ่าสะบัดแขนเสื้อ นำจ้าวจิ่งเซวียนเคลื่อนที่ไปยังยานสำเภาที่ผู้เฒ่าเกาหยางอยู่ซึ่งอยู่ไกลออกไป


จากนั้นวานรเฒ่าก็ไพล่มือไว้ข้างหลัง หันกายเดินเข้าไปยังทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะแล้วหายลับไป


ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางอีกเลย


……


วานรเฒ่าจากไปแล้ว ทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะก็หายไปด้วย


ท้องฟ้าเหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์กลับสู่ความเงียบสงบ


เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่อยู่ตรงนั้นล้วนสีหน้าอึมครึมบูดเบี้ยว ในใจเกิดความรู้สึกไม่ยินยอมและพ่ายแพ้อย่างแรงกล้า


แววตาผู้มีอำนาจเหล่านั้นลุ่มลึก เมื่อครู่ถูกวานรเฒ่าตนนั้นทำให้หวาดผวา พาให้พวกเขาใบหน้าหม่นหมอง ยิ่งทำให้พวกเขาหวั่นกลัวและหวาดผวา คับแค้นใจจนแทบกระอักเลือด


เรื่องในวันนี้น่าตะลึงพรึงเพริดเกินไป ต้องปิดบังไม่มิดแน่ ใช้เวลาไม่นานก็จะกระจายไปทั่วส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดล่วงรู้


ส่วนหนุ่มน้อยเทพมารคนนั้น ท้าทายทุกเผ่า ล่วงเกินขุมอำนาจ สุดท้ายกลับจากไปได้อย่างปลอดภัย สำหรับทุกเผ่าแล้วเป็นการเหยียดหยามครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย


เชื่อว่าตั้งแต่วันนี้ไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหนุ่มน้อยเทพมารก็จะกลายเป็นเรื่องที่ฝูงชนจับตามอง ทำให้ทุกเผ่าไม่อาจลืมเลือนได้!


……


อุโมงค์มิติลึกลับถึงที่สุด ประทับด้วยกฎขั้นสูงสุดในห้วงอากาศและกาลเวลา เมื่อพุ่งผ่านภายในนั้นราวกับกำลังเยื้องย่างในกระแสไหลเคลื่อนนของกาลเวลา


แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย กลับกัน หากไม่ได้วานรเฒ่าลงมือเบิกทางเอง เพียงแค่พลังแห่งห้วงเวลาที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายในนั้นก็สามารถฉีกทึ้งหลินสวินกับเจ้าคางคกได้


“รีบไป!”


หลินสวินกับเจ้าคางคกตะบึงไปอย่างบ้าระห่ำ ห้วงอากาศคดเคี้ยวและลึกล้ำ พรั่งพร้อมด้วยสีสัน ดูเหมือนเสถียร แต่กลับเต็มไปด้วยพลังฉีกทึ้งและยุ่งเหยิงน่ากลัวยิ่งนัก ล่าช้าเพียงนิดเดียวอาจถูกบดขยี้


ทันใดนั้นหลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ สายตาเขาเหลือบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าในความว่างเปล่าภายนอกอุโมงค์มิตินั้น กลับมีศพที่ยาวราวพันจั้งศพหนึ่งลอยอยู่ระหว่างอุกกาบาตและกระแสไหลยุ่งเหยิง สวมชุดศึกที่ชำรุดเสียหาย ไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงมานานเท่าไรแล้ว


“อย่าดู! นี่เป็นลางเคราะห์ที่ไหลยุ่งเหยิงอยู่ท่ามกลางห้วงเวลานะ อัปมงคลถึงที่สุด เมื่อครั้งบรรพกาลมีคำเล่าขานว่ายามข้ามผ่านห้วงเวลา ที่น่าหวั่นใจที่สุดก็คือพบเข้ากับของแบบนี้”


เจ้าคางคกสีหน้ากังวล พาหลินสวินพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


จากที่เจ้าคางคกพูด กฎแห่งกาลเวลาลี้ลับที่สุดราวกับเป็นสิ่งต้องห้าม เมื่อข้ามผ่านภายในนี้ ประหนึ่งพาดผ่านความว่างเปล่าเลือนราง ไม่อาจล่วงรู้และน่าหวั่นกลัว


ภายในนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพบเข้ากับลางประหลาดและอัปมงคลนานาชนิด ทั้งศพลึกลับ ทั้งหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่ง ทั้งละอองแสงดุจร่องรอยเทพ กระทั่งเสียงเพลงราวเสียงสวรรค์ก็ยังมี


มากมายหลายอย่าง ล้วนอัปมงคลทั้งสิ้น!


เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ หลินสวินก็อดไหวหวั่นไม่ได้ อุโมงค์มิติ พาดผ่านความว่างเปล่า ปกคลุมเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ไม่อาจล่วงรู้และเป็นสิ่งต้องห้าม


หากไม่ใช่วันนี้ได้เหยียบย่างเข้ามา หลินสวินก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าภายในนี้จะยังมีสิ่งประหลาดมากมายขนาดนี้ให้ได้พบได้เห็น


ระหว่างทางต่อมาไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดฝัน อุโมงค์มิติที่พวกเขาเหยียบย่างเป็นสิ่งที่วานรเฒ่าเบิกทางให้เองกับมือ เสถียรยิ่งนัก ตามทางแทบไม่มีอันตราย ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว


ฮูม!


ไม่นานนักห้วงอากาศไหวกระเพื่อม หลินสวินกับเจ้าคางคกกระโดดออกจากห้วงอากาศแห่งหนึ่งมายังโลกภายนอกในชั่วพริบตา


…………..


ตอนที่ 621 ลงเรือล่องสมุทร

โดย

ProjectZyphon

ท้องฟ้าสีครามกระจ่างสดใสไม่แปดเปื้อนมลทิน ลมทะเลพัดโบกแผ่วเบาพากลิ่นอายสดชื่นระลอกแล้วระลอกเล่ามาด้วย กว้างใหญ่ไพศาลไพเราะเสนาะหู


น้ำในน่านน้ำนี้ใสสะอาด แสงอาทิตย์อบอุ่น ฟองคลื่นพลิ้วไหว มองไปไร้ที่สิ้นสุด กว้างใหญ่ไพศาลราวกับดินแดนเซียน


เรือเล็กลำหนึ่งลอยอยู่บนผิวน้ำ แล่นเอื่อยเฉื่อยไปทางทิศตะวันตก


ในเรือเล็กมีเสียหัวเราะแหะๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าคางคกดังขึ้นตลอด เขากำลังจัดการสิ่งที่ได้มาจากแดนลับอสูรมารอริยะ ริบฝีปากฉีกยิ้มกว้าง


ของที่ได้รับมากมายเกินไปแล้ว!


ทั้งโอสถวิญญาณและแร่ธาตุหายากแน่นขนัด ทั้งสมบัตินานาชนิดที่ปล้นจากศพของศัตรู ของล้ำค่าเต็มไปหมด แสงสมบัติไหลเวียน


นี่ทำให้เจ้าคางคกพึงพอใจอย่างยิ่ง


ที่ทำให้เขาปรีดาที่สุดก็คือ เขายังค้นพบมรดกพรสวรรค์อันเป็นของเผ่าคางคกทองสามขาของเขา ในระหว่างหยั่งรู้ในตำหนักโบราณที่ยอดเขา!


ตัวเขาในอดีตพลังการต่อสู้ไม่โดดเด่นมาโดยตลอด ถูกตามเล่นงานจนสะบักสะบอมอยู่เสมอ หากไม่ใช่ว่าหนังเหนียว พลังชีวิตแข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าตายไปกี่ครั้งแล้ว


แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน เขาเริ่มหยั่งรู้วิชามรดกพรสวรรค์ที่อยู่ในสายเลือดคางคกทองสามขาแล้ว พลังการต่อสู้จะแข็งแกร่งขึ้นก็เป็นเรื่องที่นับวันรอได้เลย!


“ให้ตายสิ นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!”


ทว่าเมื่อเจ้าคางคกเห็นหลินสวินที่กำลังจัดการทรัพย์หลังศึกอยู่อีกด้านหนึ่งก็พลันตะลึงงัน ดวงตาเหม่อลอย ความได้ใจมลายหาย แปรเปลี่ยนเป็นอิจฉาตาร้อน


ด้วยเห็นว่าบนพื้นเบื้องหน้าหลินสวินมีโอสถวิญญาณ สมบัติล้ำค่าและวัตถุดิบวิญญาณหายากกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ


ทั้งยังมีสมบัตินานาชนิดกองเป็นภูเขาลูกน้อย ของจำพวกอาวุธนั้นมีอยู่มากมายไม่ต้องพูดถึง ที่หายากที่สุดก็คือ ยังมีสมบัติโบราณมากมาย!


นอกจากนี้ก็มีตำราวิชาสิบกว่าม้วน โอสถลูกกลอนวิญญาณชั้นเลิศหลายขวดหลายไห ผลึกวิญญาณชั้นเยี่ยมหายากกองแล้วกองเล่า…


มากมายเกินไปแล้ว!


เมื่อทอดสายตามองไป แสงสมบัติงดงามเปล่งประกายเจิดจ้า พาให้คนอิจฉาจนบ้าคลั่งได้


เหล่านี้ย่อมเป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวิน!


ส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่เขาค้นพบเก็บเกี่ยวด้วยตัวเอง แต่โดยมากเป็นสิ่งที่ได้มาจากศัตรู


ดังคำกล่าวที่ว่าคนเราไม่มีความโหดเหี้ยมไม่อาจมั่งคั่ง ม้าไม่ได้หญ้ายามค่ำไม่อาจอวบอ้วน


มิเน่าเล่าในแดนลับอสูรมารอริยะ ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าถึงได้ชอบสังหารผู้อื่นแล้วชิงสมบัติ การได้มาซึ่งวาสนาโดยใช้ความรุนแรงเช่นนี้ ช่างเป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพที่สุดในการสั่งสมความมั่งคั่ง


“อ๊บ!”


เจ้าคางคกกระโจนออกไปอย่างลับๆล่อๆ ท่าทีหมายจะแบ่งเอาผลประโยชน์เข้าตัวด้วย


“ไปตายซะ!”


ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลินสวินตบลงบนท้ายทอยของเจ้าคางคก จากนั้นก็ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะเขาให้กระเด็นออกไป


“ข้าคอยระวังให้เจ้าตลอดทาง ต่อให้ไม่มีความดีก็ต้องมีความชอบนะ เจ้าหนูเจ้ายังคิดจะอมของที่ได้มาทั้งหมดไว้คนเดียวหรือ”


เจ้าคางคกสีหน้าขัดเคือง


หลินสวินเก็บทรัพย์หลังศึกทั้งหมดลงไปในคราวเดียวแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้ขาดสมบัติ ให้เจ้าก็เปลืองเปล่า”


เจ้าคางคกโกรธจนกัดฟัน “ไม่คิดเลยว่าเจ้าถึงกับพูดว่าจะฮุบทุกอย่างได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายไปแล้ว! ข้าไม่เคยพบเคยเห็นคนแล้งน้ำใจไร้ยางอายกว่าเจ้ามาก่อนเลย!”


หลินสวินกลอกตา ไม่สนใจเขาอีก แล้วนำเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา


แท้จริงแล้ว ผลเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างเข้าไปในแดนลับอสูรมารอริยะครั้งนี้ ล้วนเก็บไว้ในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติไร้อักษรนี้


เพราะสิ่งที่เก็บไว้ในนั้นคือทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากเหล่าบุคคลระดับบุตรเทพ!


อย่างหลินหลางธิดาเทพเผ่าสิงห์โลหิต อวี่เซียวเซิงบุตรเทพเผ่าวาฬมังกร


หรืออย่างบุตรเทพเผ่ากวางหยกกับกงหยางอวี่ ที่ถึงกับถูกสังหารอย่างสิ้นซาก สมบัติที่พวกเขาทิ้งไว้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างหาใดเทียบ


เช่นเดียวกัน พวกหนิวทุนเทียน ข่งซิ่ว เสวียนหลัวจื่อก็ถูกหลินสวินเอาชนะ ท้ายที่สุดแม้จิตวิญญาณหลบหนีไปได้ แต่ร่างกายกับสมบัติที่อยู่กับตัวล้วนทิ้งไว้ในที่นั้น


สิ่งเหล่านี้กลายเป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวินเพียงผู้เดียวไปโดยปริยาย


หลินสวินในตอนนี้ก็กำลังจัดระเบียบทรัพย์หลังศึกที่คุณค่าเลิศล้ำเหล่านี้


ในระหว่างที่จัดระเบียบทำให้เขารู้สึก ‘ตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น’ อยู่บ้าง สูดลมหายใจหนาวเยือกไม่หยุดหย่อน


ไม่ใช่เรื่องอื่นใด สมบัติมีมากมายหลายชนิดเกินไปแล้ว ทั้งยังล้วนเป็นของชั้นเลิศ ขนาดจะหาของทั่วไปสักชิ้นยังยาก!


โดยเฉพาะ ในนั้นยังมีทวนกระดูกมังกรเล่มหนึ่งที่อวี่เซียวเซิงทิ้งไว้ กับบรรทัดหยกสีเขียวเจิดจ้าเล่มหนึ่งที่บุตรเทพเผ่ากวางหยกทิ้งไว้


เห็นได้ชัดว่าสองชิ้นนี้เป็นอาวุธบรรพบุรุษ สมบัติลับของเผ่าพวกเขา!


ทวนกระดูกมังกรนามว่า ‘ทวนศึกผนึกฟ้า’


บรรทัดหยกสีเขียวนามว่า ‘บรรทัดทลายปั่นป่วน’


แม้จะถูกกำราบอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร สมบัติลับสองชิ้นนี้ก็ยังคงดิ้นรนอยู่ จิตวิญญาณไม่อาจสยบยอม ดูมหัศจรรย์ถึงที่สุด


หลินสวินไม่สงสัยเลยว่า ทันทีที่เอาพวกมันออกมา เพียงอาศัยพลังของตนย่อมไม่มีทางควบคุมมันได้ กลับกันจะทำให้พวกมันหนีไป!


โชคดีที่เจดีย์สมบัติไร้อักษรอัศจรรย์ยิ่ง พันธนาการพวกมันไว้ทั้งหมด แต่ในเวลาอันสั้นเกรงว่าหลินสวินจะไม่อาจนำมาใช้ได้


นอกเสียจากว่าเขามีความสามารถหลอมสมบัติลับสองชิ้นนี้ได้อย่างหมดจด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาในตอนนี้ยังทำไม่ได้อีกนาน


นอกจากนี้ สิ่งที่อยู่กับตัวบุคคลระดับบุตรเทพเหล่านี้มากที่สุดก็คือยาลูกกลอนวิญญาณและวิชาที่จำเป็นต่อการฝึกปราณนานาชนิด


อย่าง ‘คัมภีร์ยุทธจักร’ ของเผ่าสิงห์โลหิต ‘วิชาสำรอกรู้ตน’ ของเผ่าวาฬมังกร ‘วิชาสมบัติร่างค้อนอสนีแกร่งของเผ่าวัวมารทรงพลัง ‘คัมภีร์หกเกราะผนึกมาร’ ของเผ่าโห่วเมฆาเป็นต้น


วิชายุทธ์ทุกเล่มล้วนมีความมหัศจรรย์ของมันเอง เป็นมรดกลับของแต่ละเผ่า ภายในมีแก่นอัศจรรย์มหามรรค คุณค่าเหลือคณา


หากแพร่งพรายออกไปต้องก่อให้เกินความโกลาหลครั้งใหญ่ พาให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนห้ำหั่นแก่งแย่ง


ทว่าตอนนี้ มรดกลับเหล่านี้ล้วนกลายเป็นของที่อยู่ในการครอบครองของหลินสวินแล้ว


ก็ไม่แปลกที่เหล่าคนใหญ่คนโตนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์จะโกรธจนคลั่ง ชิงชังเสียจนอยากฆ่าหลินสวินให้ตาย


หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงไม่มีทางยอมให้วิชายุทธ์ที่เป็นมรดกลับของเผ่าตนถูกผู้อื่นได้ไป


‘น่าเสียดาย คัมภีร์เหล่านี้แม้มหัศจรรย์หาใดเทียบ แต่ทำได้เพียงดูเป็นแบบอย่างกับวิเคราะห์เอา ที่เหมาะกับการฝึกปราณของตนนั้นกลับน้อยยิ่งนัก…’


หลินสวินลอบถอนใจ


แม้วิชายุทธ์มีมาก แต่หากขัดกับมหามรรคของตนก็ย่อมไม่อาจเป็นสิ่งที่ตนควบคุมได้


แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่ามรดกลับเหล่านี้มีคุณค่าไม่มาก แต่เป็นเพียงปัญหาว่าเหมาะสมหรือไม่เท่านั้น


ต่อให้ไม่เหมาะสม ก็สามารถวิเคราะห์และเรียนรู้ความลี้ลับใมนนั้นมาส่งเสริมปรับปรุงมรรคาของตนได้!


……


“ในที่สุดก็หาเจอแล้ว!”


ไม่นานนักหลินสวินก็ตาเป็นประกาย ตื่นเต้นไม่หยุดหย่อน


ดอกไม้วิญญาณที่ขาวบริสุทธิ์ราวหยก กระจ่างใสราวนิมิตดอกหนึ่งสะท้อนอยู่ในดวงตา ดอกไม้บานเก้ากลีบ ทุกกลีบล้วนปกคลุมไปด้วยท่วงทำนองแห่งมรรค แสงพิสุทธิ์ไหลออกมา อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมบางเบาแห่งมรรค


ดอกหลอมวิญญาณสมุทร!


เดิมทีก็เพราะต้องการหาดอกไม้ชนิดนี้ เพื่อช่วยสลายมารพบเคราะห์บนร่างพญาแร้ง หลินสวินถึงตอบรับจ้าวจิ่งเซวียน เข้ามาสืบหาในแดนลับอสูรมารอริยะ


เพียงแต่หลังจากเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะก็เกิดเรื่องราวพลิกผันเปลี่ยนแปลงมากมาย ทำให้หลินสวินแม้จะสืบเสาะตลอดทางก็ไม่ได้อะไรเลย


ยังโชคดีที่ครั้งนี้ทรัพย์หลังศึกที่เขาได้มามีมากมายยิ่งนัก เมื่อเขาค้นหาโดยละเอียด ก็หาดอกไม้วิเศษหายากนี้พบดังคาด


‘มีสิ่งนี้ พญาแร้งก็สามารถฟื้นฟูพลังปราณที่มีมาแต่ก่อนได้…’


เขานึกถึงพญาแร้งที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าไกลออกไป ทั้งยังคิดถึงซย่าจื้อ หลินจงและเสี่ยวเคอที่อยู่บนภูเขาชำระจิต…


ตั้งแต่เดินทางไปยังแดนลับอสูรมารอริยะกระทั่งตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบสามเดือนแล้ว


ดูเหมือนไม่นาน แต่กลับทำให้หลินสวินรู้สึกผิดแปลกงุนงงเหมือนอยู่คนละโลก


“เจ้าหนู เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าแท้จริงแล้วผลเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ของเจ้าก็คือเจดีย์สมบัตินี้”


เวลานี้เจ้าคางคกพลันเอ่ยปาก ทำให้หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด


ก็เห็นว่าเจ้าคางคกจ้องเจดีย์สมบัติไร้อักษรอยู่ด้วยสายตาอิจฉา แต่สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมนัก


“เป็นเพราะมีสิ่งนี้ เจ้าถึงได้รับมรรคคาถาลี้ลับนั้น และก็เพราะมัน ถึงทำให้ท่าทีที่วานรเฒ่านั่นมีต่อเจ้าผิดแปลกนัก ไม่เพียงไม่ทำร้ายเจ้า ยังให้เจ้าดูคัมภีร์เคล็ดวิชาแสงอริยะนพนภานั้น กระทั่งสุดท้ายยังส่งพวกเราออกมาอย่างปลอดภัย!”


พูดถึงตรงนี้สีหน้าเจ้าคางคกก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นแล้ว พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ดังนั้นสามารถชี้ชัดได้ว่า ที่มาที่ไปของเจดีย์นี้ต้องยิ่งใหญ่เกินจินตนาการแน่”


หลินสวินพยักหน้า เขาก็คิดเช่นนี้ ถึงกับสันนิษฐานว่าเจดีย์สมบัติไร้อักษรกับโบราณสถานดวงกมลที่ลี้ลับหาใดเทียมนั้นต้องเกี่ยวพันกันอย่างมากแน่!


“แต่เจ้าก็ต้องระวังแล้ว ยิ่งที่มาที่ไปของเจดีย์นี้ยิ่งใหญ่ เคราะห์กรรมที่เจ้าเข้าไปพัวพันเพราะสิ่งนี้ก็ยิ่งน่ากลัว!”


เจ้าคางคกเตือน


หลินสวินจิตใจสั่นไหว สำหรับเรื่องเคราะห์กรรม ตอนนี้เขารับรู้อย่างคลุมเครือเท่านั้น


แต่ที่สามารถคาดการณ์ได้ก็คือ หากที่มาที่ไปของเจดีย์นี้เกินจินตนาอย่างยิ่งจริง เช่นนั้นในวันหน้า อาจจะนำพาเคราะห์กรรมที่ไม่อาจคาดคะเนได้มาให้จริงๆ


นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์ในห้วงนิมิต ที่มาลี้ลับของมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรนี้


ครุ่นคิดครู่ใหญ่เขาก็ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า “เคราะห์กรรมได้เสีย ล้วนมาพร้อมกับมรรคาของข้า หากเอาแต่กังวลจมจ่อมกับสิ่งนี้ กลับจะทำให้จิตใจข้ายุ่งเหยิง”


“เจ้าบรรลุแล้วหรือ” เจ้าคางคกประหลาดใจ


“บรรลุบ้านเจ้าสิ” หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ากำลังพูดว่า ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ยังจะไปสนใจภายภาคหน้าว่าจะโชคดีโชคร้ายบ้าบออะไร!”


เจ้าคางคกพลันร่าเริง หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “ใช่ๆๆ ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นข้าก็เป็นเช่นนี้”


…….


น้ำทะเลสีฟ้าคราม ราบเรียบและสงบ มีปลากระโจนออกมาตลอด ก่อให้เกิดฟองคลื่นเป็นระลอก บนเวิ้งฟ้า หงส์บินฉวัดเฉวียน นกนางนวลร้องเสียงใส ผ่อนคลายไร้ที่สิ้นสุด


นาวาน้อยบรรทุกหลินสวินและเจ้าคางคกเดินทางไปยังทิศตะวันตก ความเร็วไม่มากนัก เพราะทั้งสองคนล้วนไม่อาจชี้ชัดว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้


กระทั่งท้องฟ้าอัสดงมาเยือน ดวงอาทิตย์สีแดงคล้อยลงทางทิศตะวันตก สาดแสงสีแดงอมส้มย้อมให้น้ำทะเลสีฟ้าครามนั้นมีสีแดงราวเปลวเพลิงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง คลื่นน้ำราวเมฆยามสายัณห์ ยิ่งใหญ่ไพศาล


“งดงามจริง”


หลินสวินยืนบนหัวเรือ ผมสีดำปลิวไสว อาภรณ์สีจันทร์ขาวโบกสะบัดเกิดเสียงท่ามกลางลมทะเล


สองมือของเขาไพล่หลัง มองไปยังอาทิตย์อัสดง น้ำทะเลประหนึ่งเปลวเพลิง ในใจก็อดทอดถอนใจให้กับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติไม่ได้


“หึ พวกโลกแคบ ยุคบรรพกาลมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งนามว่า ‘หุบเขาตะวันคล้อย’ มีปักษาเทพกาทองจำแลงเป็นดวงอาทิตย์ ครอบครองภายในนั้นอยู่นานปี ปลดปล่อยแสงเทพสาดส่องไปยังเหล่าเทวะ ทิวทัศน์นั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นภาพอัศจรรย์แห่งฟ้าดิน ความวิเศษแห่งธรรมชาติ”


ข้างกันนั้นเจ้าคางคกสีหน้าดูถูก


“หุบเขาตะวันคล้อยหรือ ในเมื่อที่นั่นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล เจ้าจะไปเคยเห็นได้อย่างไร ดูท่าเจ้าคงแค่เคยได้ยินเท่านั้น”


หลินสวินมือถือน้ำเต้าสุรา ดื่มอย่างสบายใจรอบหนึ่ง ในขอบเขตสายตามองเห็นว่าบนเวิ้งฟ้าเริ่มมีหมู่ดาราส่องสะท้อน ม่านราตรีกำลังจะมาเยือนแล้ว


ยามพลบค่ำเป็นชั่วขณะที่ทิวาราตรีแทนที่กัน ขีดคั่นความสว่างและมืดมิด เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์ และน่าสะท้านจิตวิญญาณที่สุด


ก็เหมือนตอนนี้ น้ำทะเลราวเมฆยามเย็นพวยพุ่ง อาทิตย์อัสดงเคลื่อนคล้อยลงมา ฟ้ายามโพล้เพล้เต็มไปด้วยหมู่เมฆ หมู่ดาราบนท้องฟ้ามีให้เห็นอย่างคลุมเครือ เป็นเวลาที่กลางวันกำลังจะลับหาย รัตติกาลกำลังจะมาเยือนพอดี


เรือลำน้อยหยุดอยู่บนผิวน้ำ รับลมทะเลที่พัดพามาจากไกลๆ รอบทิศเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ราวกับเหลือเรือโดดเดี่ยวเพียงลำเดียวในโลก


บรรยากาศเงียบเชียบและเวิ้งว้างเช่นนั้นทำให้หลินสวินมีความรู้สึกราวหลุดพ้น


ระหว่างที่เหม่อลอย พลังปราณในกายเขาก็เริ่มตีกันยุ่งเหยิง เหมือนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ กำลังจะบรรลุขั้น!


____


ตอนที่ 622 แขกผู้มาเยือนในราตรีแสงจันทร์

โดย

ProjectZyphon

ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ พลังปราณของหลินสวินก็ทะลวงขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นแล้ว


ต่อมา เขาสร้างมรรคาของตนเองใหม่ระหว่างที่อยู่ในตำหนักโบราณ เป็นการขัดเกลาพลังปราณในตัวอย่างยิ่งยวดโดยสมบูรณ์ แปรเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์และเติมเต็ม


กระทั่งผ่านการประลองกับบุตรเทพชั้นยอดสี่คนครั้งหนึ่ง ในการต่อสู้ได้ครอบครองปริศนาแก่นแท้วิชาอริยะยุทธ์


ทำให้พลังของหลินสวินราวกับถูกเคี่ยวกรำครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


ส่วนตอนนี้ เขายืนอยู่บนนาวาน้อย จิตใจผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง รับรู้ได้ถึงความงดงามอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ การขับเคลื่อนของพลังทั่วกายพลันเกิดการสั่นสะเทือน มีเสียงโครมคราม


เค้าลางบรรลุขั้นกำลังใกล้เข้ามา


ลมทะเลพัดโบก ท้องฟ้าเข้าสู่อัสดงโพล้เพล้ ขีดคั่นความสว่างและมืดมิด คลื่นทะเลราวเพลิง หมู่ดาราปรากฏให้เห็นรางๆ บนท้องฟ้า ยิ่งใหญ่ไพศาล


หลินสวินยืนโดดเดี่ยว พลิ้วไหวราวจะหลุดพ้นจากโลกาลอยไปตามลม


เขาในตอนนี้ในใจไม่แปดเปื้อนมลทิน ว่างเปล่าโปร่งใส ดวงตาทอดมองไปไกลยังเวิ้งฟ้า ถามเสียงเบาว่า “มรรคอยู่ที่ใด”


เจ้าคางคกที่อยู่ข้างๆ อึ้งไป มองหลินสวินด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ล้อเลียนตลกขบขันอย่างหาได้ยากนัก


เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเห็นว่า ‘มรรค’ นี้เหมือนทะเลใหญ่ตรงหน้า ไหลทั่วใต้หล้า ล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดของมัน”


คิดไปคิดมาเจ้าคางคกก็พูดอีกว่า “‘มรรค’ ดุจดั่งอาทิตย์อัสดงคล้อยไปไกล เคลื่อนเร้นในราตรี สาดส่องในทิวา คืนกลับเป็นวัฏจักร หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า”


หลินสวินส่ายหน้า “หากข้าถมทะเลนี้ให้ราบเรียบ ทำลายดวงอาทิตย์ให้แหลกสลาย! มรรคจะยังคงดำรงอยู่หรือ”


เจ้าคางคกเบิกตากว้างแล้วพูดว่า “เจ้าหนูตัวดี เจ้าทนดูความหมายลึกล้ำแห่งการหยั่งรู้ของข้าไม่ได้หรือ”


หลินสวินพลันหัวเราะแล้ว “หากหยั่งถึงการดำรงอยู่ของมรรค เหตุใดจึงต้องพูดถึงทะเลและดวงอาทิตย์”


“เช่นนั้นเจ้าพูดมา มรรคอยู่ที่ใด” เจ้าคางคกไม่สบอารมณ์


หลินสวินไม่พูด เดินออกไปก้าวหนึ่ง


ทันใดนั้นกระแสพลังไร้รูปร่างพุ่งออกมาจากรอบกายหลินสวิน พวยพุ่งไปยังเมฆา ชนให้ชั้นเมฆแหลกสลาย!


บนผืนน้ำที่อยู่ไกลออกไป ฟองคลื่นนับไม่ถ้วนม้วนตลบซู่ซ่า หยดย้ำราวไข่มุกทุกหยดล้วนสะท้อนภาพนิมิตงดงามของฟ้าดิน หยดน้ำนับหมื่นพันกลายเป็นฟองคลื่น คลื่นกระเพื่อมนี้ไหววูบไม่ว่างเว้น


ปลาลายด่างมีสีสันฝูงแล้วฝูงเล่ากระโจนขึ้นมาตามฟองคลื่น วาดวงโคจรงดงามเส้นแล้วเส้นเล่า


ไม่นานนักน่านน้ำนี้พลุ่งพล่าน เหมือนกลับมามีชีวิตจากการหลับไหล ฟองคลื่นมากมาย ฝูงปลาโลดแล่น อาทิตย์อัสดงสาดสีแดงกุหลาบ คลื่นน้ำราวภาพฝัน


บนท้องฟ้าหมู่ดาราพร่างพรายระยิบระยับเหมือนลมหายใจเข้าออก


ภาพการณ์เช่นนี้ดุจม้วนภาพที่ผสานความเคลื่อนไหวและความนิ่งสงบเข้าด้วยกันอย่างลงตัว บรรจุความงดงามยิ่งใหญ่ของฟ้าดินภายในนั้น


ส่วนหลินสวินกลับเป็น ‘คนที่อยู่ในภาพ’ การขับเคลื่อนของพลังรอบกลายพวยพุ่ง ดุจตวัดพู่กันเพิ่มแสงเงาให้ภาพนี้


มัจฉากระโดดออกมาจากทะเล บุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า!


“นี่ก็คือมรรค”


หลินสวินหันหน้ามามองเจ้าคางคก ดวงตาสีดำลุ่มลึกเปล่งประกายสดใส


เจ้าคางคกอึ้งไป มองหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า ฟ้าดินราวภาพวาดที่ไกลออกไปนั้น ดุจกลายเป็นพื้นหลังที่ขับเน้นเขาให้โดดเด่น ในใจมีความหวั่นไหวที่ยากบรรยาย


“นี่เป็น… ‘มรรค’ ของข้า!”


หลินสวินหันกายไปอีก สายตาทอดมองไปไกล เวลานี้อาทิตย์อัสดงหายลับขอบฟ้า รัตติกาลมาถึงในที่สุด ดวงดาราบนท้องฟ้าเจิดจ้า ส่องสว่างราวอัญมณี


ดวงจันทร์ดวงหนึ่งลอยสูงขึ้น เปล่งรัศมีกระจ่าง สะท้อนภาพไหววูบส่องสว่าง


น่านน้ำนี้ยิ่งเงียบสงบและกว้างใหญ่ขึ้นแล้ว


เจ้าคางคกนิ่งไปครู่ใหญ่ อดไม่ได้ด่าทอออกมาว่า “ให้ตายสิ เจ้าหนูเจ้าถึงกับบรรลุขั้นไปเองตามธรรมชาติเช่นนี้แล้ว!?”


ประโยคนี้พลันทำให้เสียบรรยากาศ ทำลายทิวทัศน์อันงดงาม


หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว มุมปากกระตุกอย่างยากสังเกต


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หลุดหัวเราะ ในที่สุดก็อดแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่าไม่ได้ เต็มไปด้วยความสบายใจและเบิกบาน ดังขึ้นทั่วฟ้าดิน


จริงด้วย เขาบรรลุขั้นแล้ว เมื่อย่างก้าวออกไปก็เหยียบย่างเข้าไปในขั้นกลางของระดับหยั่งสัจจะ พร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดราวภาพวาดมัจฉากระโดดออกมาจากทะเล บุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า!


ทั้งหมดนี้เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ดุจจันทร์เต็มดวงเริ่มแหว่งเว้า ประหนึ่งน้ำเต็มไหลหลั่งออกมา


นี่ก็คือมรรคาของหลินสวิน เป็นหนทางมกุฎมรรคาหลังจากทำให้สมบูรณ์แบบถึงที่สุดแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นการฝึกปราณหรือการเลื่อนขั้น ต้องไม่เหมือนผู้ใดในใต้หล้าแน่!


……


แสงจันทร์ราววารี รัศมีกระจ่างส่องลงมายังผิวน้ำ ใสสว่างราวเงิน


บนนาวาน้อย หลินสวินนั่งอยู่หน้าโต๊ะตามใจ ลิ้มลองเนื้อเต่าทมิฬที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองมันวาวพลางดื่มสุรา


เจ้าคางคกกลับกำลังลงแรงย่างเนื้อ ดีใจจนตื่นเต้น นี่เป็นเนื้อของเสวียนหลัวจื่อบุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬ กลับถูกเขาย่างสุกเอามากิน


เดิมทีหลินสวินปฏิเสธ รู้สึกว่านี่เหมือนกินเนื้อคน


แต่เจ้าคางคกสั่งสอนเขาอย่างเคร่งครัด บอกว่าเต่าทมิฬนี้เป็นสัตว์ปีศาจในทะเล ทั้งมีรสชาติเลอเลิศหาใดเทียบ ในยุคบรรพกาล อริยะมากมายเมื่อกินแล้วล้วนชมไม่ขาดปาก


หลินสวินลังเลเล็กน้อย ฝืนชิมไปคำหนึ่ง


จากนั้น…


เขาก็สลัดทิ้งความกังวลทั้งหมด กินจนหยุดไม่ได้!


สาเหตุก็เป็นอย่างที่เจ้าคางคกพูดไว้ เนื้อของเต่าทมิฬนั้นอร่อยยิ่งนัก สดและนุ่มหาใดเทียบ เคี้ยวเพลินนัก ไม่ต้องมีเครื่องปรุงรสใดก็เรียกได้ว่าเลิศรสเหนือสิ่งใด


“เฮ้ยๆ เจ้ากินน้อยหน่อย เหลือให้ข้าบ้าง!”


เมื่อเห็นหลินสวินกินเร็วนัก เจ้าคางคกพลันโมโหแล้ว พุ่งเข้ามาแย่งกิน กินไปชมไป “สาแก่ใจจริงโว้ย ครั้งหน้าพวกเราก็เอาวัวกับโห่วเมฆาตัวนั้นมากินเถอะ ทิ้งไปก็เสียของเกินไปแล้ว…”


หลินสวินเงียบไม่พูดไม่จา สนใจแต่กินให้เต็มคราบ


เจ้าคางคกกลับยิ่งตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า อริยะยุคบรรพกาลยังเคยได้ลิ้มรสตับมังกรและไขกระดูกปักษาเพลิงของจริง ตามตำนาน นั่นเป็นของชั้นยอดเลิศรสเชียวนะ เหล่าทวยเทพล้วนน้ำลายสอ สักวันหนึ่งข้าก็จะต้องได้ลิ้มรสด้วยตัวเองให้จงได้”


“คุณชายทั้งสอง ขอบ่าวชิมบ้างได้หรือไม่”


ทันใดนั้นเสียงหัวเราะราวระฆังเสียงหนึ่งดังกังวาน น่าเคลิบเคลิ้มหาใดเทียบราวเสียงสวรรค์


บนผืนน้ำกว้างยามราตรีนี้ ก็มองเห็นละอองแสงสาดส่องลงมา แปรสภาพเป็นเงาร่างงามงดเหยียบย่างเกลียวคลื่นเข้ามา


เจ้าคางคกอึ้งไป พลันตวาดอย่างดุร้ายว่า “นางอสูรมารจากที่ใดกันถึงได้กล้าอุกอาจเข้าใกล้! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า!”


“คิกๆ คุณชายช่างปากคอเราะรายเสียจริง”


เงาร่างงดงามนั้นเข้ามาใกล้ตามเสียง แสงจันทร์ปกคลุม ส่องสัท้อนภาพเด็กสาวชุดกระโปรงเหลืองผู้หนึ่งออกมา


ใบหน้าพริ้งพรายของนางขาวเปล่งปลั่ง งดงามหมดจด คิ้วสวยโค้งมน คางเรียวแหลม ดวงตาเป็นประกายมีชีวิตชีวา มุมปากระบายรอยยิ้มซุกซน ดุจภูตพรายในทะเลตนหนึ่ง


ต่อให้เป็นหลินสวิน เวลานี้ก็อดตื่นตะลึงไม่ได้อยู่บ้าง


“หึ ข้าไม่เพียงปากคอเราะราย นิสัยใจคอก็ดุร้ายด้วย!”


เจ้าคางคกส่งเสียงหึหยัน เขาระแวดระวังนัก


“อ๊ะ ได้พบกันก็ถือว่ามีวาสนา เหตุใดต้องดุร้ายปานนี้ด้วย บ่าวเอ่ยปากเองแล้ว หรือคุณชายทั้งสองจะทนไล่ข้าไปได้”


เด็กสาวชุดกระโปรงเหลืองผู้นี้ใบหน้าสวยงามหยดย้อย พริ้งพรายหาใดเทียบ ยามพูดจาก็ก้าวลงเรือน้อย เสื้อผ้าปลิวไปตามลม ขับเน้นให้ร่างสะสวยขาวราวหิมะดูอรชรอ้อนแอ้น


“ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงที่รอฉวยโอกาสเช่นนี้ หน้าหนาเสียจริง”


เจ้าคางคกเอ่ยค่อนแคะ


เด็กสาวชุดเหลืองหัวเราะคิกคัก ไม่ถือสาอะไร นั่งอยู่หน้าโต๊ะตามใจชอบแล้วเอ่ยว่า “บ่าวมีนามว่าอาหู คารวะคุณชายทั้งสองท่าน”


นางมีความงามที่พิเศษ กริยาท่าทางไหลลื่นเรียบง่าย เหมือนเซียนบริสุทธิ์ไร้ราคีในโลกา แต่ท่วงท่ากลับเคลื่อนไหวชดช้อย เอวบางจนแขนโอบรอบได้ กริยาพริ้งเพรา ดูยั่วยวนถึงที่สุด


โดยเฉพาะยามยิ้มบางๆ ตาโตมีชีวิตชีวา ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง งามเสียจนทำให้หยุดหายใจ


ตัวนางมีทั้งคุณลักษณะอย่างเซียน ร่างกายของมารสาว มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่หลากหลาย


เจ้าคางคกกลับไม่รับไมตรี ถลึงตาใส่จะตะคอก แต่ถูกหลินสวินยั้งไว้


“ที่แท้ก็เป็นแม่นางอาหู ไม่ทราบว่ามาหาด้วยเรื่องใดหรือ”


หลินสวินยิ้มละไมเอ่ยถาม


“ขอดื่มเหล้าหนึ่งจอก จะดีที่สุดหากได้ลิ้มลองเนื้อเต่าทมิฬนี้”


ดวงตาของอาหูมีชีวิตชีวา รอยยิ้มเจิดจ้า ใบหน้าเรียวราวเมล็ดแตงไร้ราคีมีความงดงามสดใสไร้มลทิน


หลินสวินยิ้มแล้วพูดว่า “เชิญ”


เขารู้สึกสนใจ


ในน่านน้ำยามราตรีที่ไม่อาจล่วงรู้ได้แห่งนี้ กลับมีเด็กสาวผู้มีเอกลักษณ์และสะสวยผู้หนึ่งมาเยือนกะทันหัน นี่ช่างน่าสนใจไปแล้ว


อาหูก็ไม่เกรงใจ ไม่สงวนท่าทีอย่างที่เด็กสาวทั่วไปพึงมี ใช้สองมือเปล่งปลั่งขาวบริสุทธิ์หยิบกาสุรารินเหล้าให้ตัวเองเต็มจอก


เวลาเดียวกัน นางก็ลงมือฉีกเนื้อเต่าทมิฬเหลืองทองมันวาว ยัดเข้าไปในปากน้อยสีแดงสด กินเนื้อไปพลางดื่มสุราไปพลาง ดูพึงพอใจและเป็นธรรมชาติ ราวกับไม่เห็นว่าตนเป็นคนนอก


นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจขึ้นเสียแล้ว ส่วนเจ้าคางคกกลับกัดฟัน หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ แย่งกินไปด้วย เหมือนว่าไม่ยินยอมให้อาหารเลิศรสถูกเด็กสาวผู้นี้กินอยู่คนเดียว


“อือ เนื้อเต่าทมิฬนี้อร่อยนัก รสชาติเรียกได้ว่าโดดเด่นไร้เทียมทาน”


อาหูกินจนแก้มนูนขึ้น ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่งมีแต่คราบมัน ดวงตาโตและสดใสทั้งสองหรี่ลง เต็มไปด้วยแววตาดื่มด่ำและพึงพอใจ


“แม่ช่างกิน! ไม่กังวลว่าจะกินจนอ้วนกลมหรือไง!” เจ้าคางคกถากถาง


“คิกๆ ไม่กลัว”


อาหูยิ้มหวาน นางนั่งอยู่เช่นนั้น ทั้งกายอาบไล้ไปด้วยแสงจันทร์ มีชีวิตชีวาเหนือธรรมดา ร่างงามชดช้อยมีความงามบริสุทธิ์


“คุณชายทั้งสองจะไปที่ใดหรือ”


หลังจากอาหูกินไปรอบหนึ่งแล้วก็บิดขี้เกียจ ใช้มือเช็ดริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง ถามขึ้นอย่างสงสัย


“จักรวรรดิจื่อเย่า” หลินสวินเอ่ยตอบ


อาหูพูดอย่างประหลาดใจ “โห ที่นั่นห่างไกลนัก อีกทั้งหนทางก็อันตราย หากไม่มีราชันระดับสังสารวัฏนำทางต้องรอดชีวิตได้ยากแน่”


หลินสวินชำเลืองมองนางครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แม่นางก็รู้จักจักรวรรดิจื่อเย่าหรือ”


อาหูพยักหน้า ยิ้มบางแล้วพูดว่า “เคยได้ยินเจ้าค่ะ”


มือของนางลูบหน้าผากขาวเปล่งปลั่ง นิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า “อีกเจ็ดวันชุมนุมประมูลสมบัติครั้งยิ่งใหญ่จะเปิดฉากขึ้นในตลาดนัดโจมเมฆา ลือกันว่าในชุมนุมครั้งนี้จะมีการประมูล ‘ยานสมบัติอวกาศ’ ที่ตกทอดจากยุคบรรพกาลลำหนึ่ง หากได้สมบัตินี้ไป ไม่แน่ว่าจะสามารถพาคุณชายทั้งสองกลับไปยังจักรวรรดิจื่อเย่าได้อย่างปลอดภัย”


ตลาดนัดโจมเมฆา ชุมนุมประมูลสมบัติ ยานสมบัติอวกาศหรือ


หลินสวินใจเต้น ยามจะซักถามโดยละเอียด อาหูก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา ยิ้มละไมแล้วพูดว่า “ขอบพระคุณคุณชายทั้งสองท่านที่ดูแลอย่างดี เพื่อไม่นำพาความยุ่งยากมาให้ทั้งสองท่าน บ่าวขอลาก่อนเจ้าค่ะ”


ยามนางเอ่ยปากก็ลอยละล่องเดินไปบนผิวน้ำเหมือนเซียนท่านหนึ่ง มาอย่างกะทันหันและจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็หายตัวไปแล้ว


บนท้องฟ้าเหลือเพียงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ลอยละล่อง


เจ้าคางคกสีหน้าอึมครึม ไม่พอใจอาหูนัก เอ่ยพูดว่า “เห็นได้ชัดว่านี่เป็นนางอสูรมารตนหนึ่ง เจ้าอย่าถูกนางล่อลวง เชื่อคำโกหกของนางเชียว!”


“ข้ากลับรู้สึกว่าบังเอิญพบคนไม่รู้จัก ทั้งไม่มีความแค้นหรือหมางใจกัน นางคงไม่มีเจตนาร้าย และไม่น่าจะหลอกพวกเรา”


หลินสวินครุ่นคิด


เจ้าคางคกตบหน้าผาก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “จบกัน เจ้าถูกนางอสูรมารนั่นล่อลวงแล้วดังคาด คนไม่รู้จักพอ หลงใหลมัวเมาในความงามเช่นเจ้าช่างทำให้ข้าขายหน้าเสียจริง หากถูกจ้าวจิ่งเซวียนรู้เข้าคงฟันเจ้าออกเป็นสองท่อนแน่!”


หลินสวินกลอกตา พูดอย่างขัดเคืองว่า “คนแบบเจ้าจะโสดไปทั้งชีวิตก็สมควรแล้ว!”


ใครจะคิดว่าเจ้าคางคกไม่อับอาย กลับเห็นเป็นเกียรติ พูดอย่างลำพองใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าถือพรหมจรรย์ เพิกเฉยเรื่องรักๆ ใคร่ๆมาตลอด”


หลินสวินในใจเต็มไปด้วยความเห็นใจ ดังคาด เจ้าคางคกนี่เป็นโสดขั้นรุนแรง หมดทางเยียวยาแล้ว เสียดายหน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ราวปีศาจนั้นของเขาเสียจริง…


——


ตอนที่ 623 ปีศาจตะพาบ

โดย

ProjectZyphon

รัตติกาลมืดมิดราวน้ำหมึก ยิ่งใหญ่ไพศาลและเงียบสงบ นาวาน้อยแล่นเอื่อยเฉื่อย


หลินสวินครุ่นคิด ตลาดนัดโจมเมฆาหรือ นี่มันที่ไหนกัน


ยังมีชุมนุมประมูลสมบัตินั่นอีก ขุมอำนาจระดับไหนจัดขึ้นหรือ


หลินสวินพลันพบปัญหาหนึ่ง เรื่องที่ต้องทำตอนนี้คือต้องแน่ใจให้ได้ว่าน่านน้ำนี้คือที่ไหนกันแน่โดยเร็วที่สุด


หาไม่แล้วอย่าว่าแต่กลับไปยังจักรวรรดิจื่อเย่าเลย อาจต้องระเหเร่ร่อนอยู่ในผืนน้ำไร้ขอบเขตนี้ต่อก็เป็นได้


“จริงด้วย ก่อนนางอสูรมารนั่นจากไปได้พูดไว้ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการชักนำความวุ่นวายมาให้พวกเรา จึงขอลาไปก่อน นี่ออกจะชอบกลอยู่นะ”


เจ้าคางคกพลันเอ่ยปาก


หลินสวินอึ้งไปแล้วพูดว่า “ออกจะแปลกจริงด้วย”


“นางอสูรมารนั่นมาก็รีบร้อน ไปก็รีบร้อน คงไม่ได้หนีภัยอยู่ใช่ไหม”


เจ้าคางคกสันนิษฐานอย่างมีเจตนาร้าย


ก็ตอนนี้เอง บนท้องฟ้ายามราตรีไกลออกไปพลันบังเกิดแสงไหววูบเจิดจรัสหนึ่งเคลื่อนมาทางนี้ราวสายฟ้าแลบ สะดุดตาหาใดเทียบ


“เหมือนว่า…เจ้าจะเดาถูกแล้ว”


หลินสวินสังเกตได้ทันใดว่าแสงไหววูบนี้ไอสังหารพลุ่งพล่าน ดูแข็งกร้าวนัก


“พวกเจ้าเคยเห็นเด็กสาวสวมชุดกระโปรงเหลืองทั้งตัวไหม”


เสียงสวบดังขึ้น แสงไหววูบนั้นหยุดที่ห้วงอากาศไม่ไกลนัก ฉายให้เห็นร่างผอมบางร่างหนึ่ง


นัยน์ตาของเขาปรากฏแสงสีเขียว ไว้หนวดบริเวณเหนือริมฝีปาก แผ่นหลังโก่งเล็กน้อย สีผิวขาวซีดแทบโปร่งแสง ดูเหมือนอมโรค


แต่ท่าทีของเขากลับร้ายกาจ หยิ่งผยองข่มขู่ ยืนอย่างจองหองกลางห้วงอากาศ ดวงตาราวสายฟ้าเยียบเย็นเหลือบมองลงมายังหลินสวินกับเจ้าคางคกบนเรือลำน้อย เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา


หลินสวินกับเจ้าคางคกสบตาอีกฝ่าย ดังคาด ยุ่งยากแล้ว


“ไม่เคยเห็น”


เจ้าคางคกขัดเคืองอยู่บ้าง รู้สึกได้ว่าเจ้าหมอนี่ไร้มารยาทไปแล้ว เหมือนไต่สวนนักโทษ วางท่าสูงส่ง วาจาก็แข็งกร้าวนัก


“บังอาจ!”


ชายร่างผอมบางสีหน้าถมึงทึง “บนเรือที่พวกเจ้าอยู่มีกลิ่นอายที่นางอสูรมารหลงเหลือไว้ชัดๆ ยังจะกล้าพูดปดตาใสหรือ”


“แหะๆ เจ้าดูออกแล้วจะถามพวกเราทำไมอีก ป่วยหรือไร”


เจ้าคางคกยิ่งไม่ชอบใจคนผู้นี้


เดิมทีเขากำลังคิดว่าหากคนคนนี้ท่าทีดีเสียหน่อย ประนีประนอมผ่อนปรน เขาก็ไม่ขัดข้องที่จะบอกความจริงอีกฝ่าย


แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว


หลินสวินก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นสายตาที่มองไปยังชายร่างผอมบางผู้นั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้น


“กำเริบ! ที่ข้าถามพวกเจ้าก็เพื่อให้โอกาสพวกเจ้าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ เห็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าพวกเจ้าก็เป็นพวกเดียวกับนางอสูรมารนั่นล่ะสิ!”


ดวงตาของเขาเย็นชาอึมครึมเต็มไปด้วยจิตสังหาร


“เจ้าหมอนี่ทำสมองตกน้ำหรือไงนะ”


เจ้าคางคกถามหลินสวิน


“เจ้าให้เขาเขย่าหัวหน่อยสิ ดูซิว่าจะได้ยินเสียงน้ำทะเลหรือไม่ จะได้รู้ว่าสมองตกน้ำไปหรือเปล่า”


หลินสวินเอ่ยแนะนำอย่างจริงจัง


เจ้าคางคกอึ้งไป ทันใดนั้นก็อดหัวเราะท้องคัดท้องแข็งไม่ได้ “วิธีนี้ดียิ่งนัก”


พวกเขาสนทนากันราวกับไม่มีคนอื่น เยาะเย้ยถากถางชายร่างผอมบาง ทำให้ฝ่ายหลังสีหน้าเยียบเย็นหาใดเทียบ โกรธจนหนวดตรงมุมปากกระตุก


“พวกเจ้ารอก่อนเถอะ!”


ชายร่างผอมบางกัดฟัน พูดจบเขากลับสะบัดแขนเสื้อแล้วหันกายจากไป


นี่ทำให้หลินสวินกับเจ้าคางคกล้วนตะลึง เจ้าคนจองหองเช่นนี้ เพียงโยนคำขู่ที่ไม่ระคายเช่นนี้ก็ไปแล้วหรือ


พวกเขาไม่รู้ว่าชายร่างผอมดูเหมือนหยิ่งผยองข่มขู่ แข็งกร้าวถึงที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่คนโง่เลย


กลับกัน เมื่อสังเกตเห็นท่าทางไม่หวาดหวั่นของหลินสวินกับเจ้าคางคก ในใจเขาก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ออกชอบกล รับรู้ได้ถึงเค้าลางไม่ดี


ด้วยความระแวดระวัง เขาเลือกจากไปโดยไม่ลังเล ไม่กล้าบุ่มบ่ามลองเชิงอีก


“ฮ่าๆๆ ให้ตายสิ เมื่อกี้เกือบถูกมันหลอกแล้ว ที่แท้เป็นแค่เจ้าขี้ขลาดที่ดีแต่เปลือกคนหนึ่ง!”


เจ้าคางคกหัวเราะร่า


“ออกจะไม่ชอบมาพากล จับเขามาก่อนค่อยว่ากัน!”


ยามที่พูดออกมา หลินสวินก็หายไปจากเรือน้อยก่อนแล้ว เงาร่างราวภาพลวงตา ในพริบตาก็ตามชายร่างผอมบางผู้นั้นทัน


“แย่ล่ะ!”


ชายร่างผอมบางผู้นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี ตกใจจนหนีเต็มกำลัง


“สหายยุทธ์ ได้พบกันคือมีวาสนา เหตุใดต้องรีบร้อนจากไปเล่า”


หลินสวินยิ่งรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่มีปัญหาเสียแล้ว


“หึ! ข้ายังมีเรื่องสำคัญ จะมาเสียเวลากับพวกเจ้าได้หรือ รีบถอยไป อย่าขวางทางข้า หาไม่ผลลัพธ์จะเป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจแบกรับไว้ได้!”


ชายร่างผอมตะคอกเสียงดุดัน สีหน้าเย็นชาน่าเกรงขาม


เพี๊ยะ!


เพิ่งพูดจบ ฝ่ามือของหลินสวินก็หวดตีหน้าผากเขาจนร้องโหยหวน เงาร่างโซซัดโซเซ แทบจะตกลงมาจากห้วงอากาศ


“เจ้ากล้านัก! เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร เจ้าหนู เจ้าจบสิ้นแล้ว หมางใจกับข้า บนสวรรค์และใต้หล้าไม่มีช่วยเจ้าได้แล้ว!”


เขาคำรามเดือดดาล


“ยังแสร้งทำอีกหรือ ข้าจะดูว่าเจ้าจะเสแสร้งได้ถึงเมื่อไร”


หลินสวินหัวเราะเหี้ยมเกรียม พุ่งออกไปแล้วตบฉาดอย่างแรง


ชายร่างผอมบางร้องเสียงหลงไม่ว่างเว้น ถูกตีจนหน้าผากบวมแดง เดือดดาลจนแทบคลั่ง เสียงร้องน่าหดหู่นั้นดังกระเพื่อมไม่หยุดหย่อนไปทั่วผืนน้ำยามราตรี พาให้ฝูงปลาที่อยู่ในน้ำตกใจว่ายหนีด้วยความตระหนก


สุดท้ายชายร่างผอมบางผู้นั้นก็ยอมแพ้แล้ว ร้องอ้อนวอนขอชีวิต “คุณชายไว้ชีวิตด้วย คุณชายไว้ชีวิตด้วยเถอะ!”


“โธ่ เมื่อครู่ไม่ได้ผยองมากหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้กลายเป็นแบบนี้เสียล่ะ”


เจ้าคางคกก็วิ่งมาซ้ำเติม เยาะเย้ยชายร่างผอมบางผู้นั้น


ทันใดนั้นเจ้าคางคกเหมือนค้นพบอะไรเข้า พลันเผยรอยยิ้มประหลาดออกมา “ให้ตายสิ ที่แท้เจ้าหมอนี่เป็นปีศาจตะพาบตัวหนึ่ง! ทีนี้ก็จัดการง่ายแล้ว ประเดี๋ยวพวกเราต้มน้ำแกงตะพาบกินเสียหม้อหนึ่ง นี่ก็รสดีนะ”


ชายร่างผอมบางสั่นเทาไปทั้งตัว ตกใจจนน้ำตาแทบไหลออกมาแล้ว ท่าทางนั้นช่างอ่อนแอยิ่งนัก ทำให้หลินสวินได้แต่ส่ายหัว


ใครจะไปคิดว่าเจ้าคนที่เพิ่งทำตัวจองหองวางโตเมื่อกี้ จะเป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้ได้


……


บนเรือลำน้อย ไม่ทันให้หลินสวินทรมานเพื่อเค้นถาม ชายร่างผอมบางผู้นั้นก็สารภาพหมดเปลือกแล้ว


ที่แท้เขาชื่อว่าอูยั่ง เป็นเต่าพันปีตัวหนึ่งที่ฝึกปราณจนเป็นปีศาจ ตอนนี้รับหน้าที่เป็นผู้ติดตามข้างกายชิงอวิ๋นหยางบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว


เผ่าตะพาบเขียว!


เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลินสวินก็พลันนึกถึง ‘เพื่อนเก่า’ สีหน้าแปลกไปบ้าง


“ด้วยความสามารถนี้ของเจ้า ยังจะไปตามฆ่านางอสูรมารอีกหรือ ช่างน่าขำสิ้นดี!”


เจ้าคางคกเอ่ยดูถูก


“ข้าน้อยเป็นเพียงสายสืบ รับผิดชอบตามรอยนางอสูรมารผู้นั้นเท่านั้น ยามลงมือจริง ย่อมมีคนเบื้องบนออกโรงด้วยตัวเอง”


อูยั่งแจกแจงอย่างร้อนรน


หลินสวินเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “นางอสูรมารผู้นั้นไปผิดใจกับบุตรเทพของพวกเจ้าได้อย่างไร”


อูยั่งกัดฟันกรอด “ผู้หญิงคนนี้ใจกล้าคับฟ้า เมื่อหลายวันก่อนลักเอาสมบัติสำคัญเผ่าตะพาบเขียวของข้าไป หากไม่จับนางฆ่าเสีย เผ่าตะพาบเขียวของข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


“สมบัติสำคัญอะไรหรือ” เจ้าคางคกตาเป็นประกาย


อูยั่งพลันลังเล อึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูดออกมา


เจ้าคางคกหงุดหงิดแล้ว กำลังคิดจะทรมาน ใครจะคิดว่าเมื่ออูยั่งเห็นเช่นนี้ก็สารภาพออกมาอย่างขี้ขลาด ทำให้เจ้าคางคกดูถูกไม่ว่างเว้น


ที่แท้สมบัติสำคัญชิ้นนั้นมีนามว่า ‘ธงพันฤกษ์’ เป็นสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง วิธีใช้ลึกลับยากคาดเดา


เล่าลือกันว่าภายในสมบัตินี้เก็บความลึกลับอันเป็นปริศนา สามารถใช้พัฒนามรรคาของตนได้ ค้นหาข้อบกพร่อง เสริมส่วนที่ตกหล่น คลี่คลายอุปสรรคทั้งหลายยามผู้ฝึกปราณฝึกตน ไม่ให้เดินผิดทาง


“สมบัติชั้นดีนี่นา!”


เจ้าคางคกพลันน้ำลายหกไม่หยุด สมบัติโบราณชั้นนี้ต้องพิเศษและหายาก วิธีใช้ลี้ลับแน่นอน


“ก็ใช่น่ะสิ ในเผ่าตะพาบเขียวของข้า สมบัติสำคัญชั้นนี้ก็มีเพียงบุตรเทพเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง ใครจะไปคิดว่ากลับถูกนางอสูรมารนั่นลักเอาไปได้!”


อูยั่งถอนหายใจ


หลินสวินนึกถึงสาวน้อยงามงดที่นามว่าอาหูผู้นั้น ความจริงจะเป็นอย่างที่อูยั่งพูดหรือไม่


ต่อมาหลินสวินก็ถามเรื่องอื่นอีกสองสามเรื่อง อูยั่งผู้ขี้ขลาดและอ่อนแอร่วมมือเป็นอย่างดี พูดทุกเรื่องที่รู้ออกมาจนหมดสิ้นไม่หมกเม็ด


เดิมทีน่านน้ำนี้มีนามว่า ‘น่านสมุทรทะเลใต้’ ยังคงอยู่ในขอบเขตของทะเลกลืนวิญญาณ ห่างจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หลายหมื่นลี้


ในน่านสมุทรทะเลใต้มีขุมอำนาจชนเผ่ามากมายกระจายอยู่ พวกเขาหากไม่ยึดครองใต้ทะเลลึกก็พำนักอยู่บนเกาะในทะเล


เผ่าตะพาบเขียวก็เป็นหนึ่งในขุมอำนาจชนเผ่าเหล่านี้


เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ หลินสวินกับเจ้าคางคกก็มองกันเลิกลั่ก ในใจเริ่มระแวงขึ้นมา


พวกเขาผิดใจกับขุมอำนาจชนเผ่ามากมายนัก ตอนนี้แม้ว่าจะหนีออกมาจากอันตรายได้แล้ว แต่หากยังไม่ออกจากน่านสมุทรทะเลใต้นี้ สถานการณ์ของพวกเขาก็ถูกคุกคามได้ทุกเมื่อ


ต้องรีบออกไป!


หลังจากหลินสวินตัดสินใจได้ ก็ซักถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตลาดนัดโจมเมฆาต่อ


“คุณชายทั้งสอง เรื่องที่ข้าน้อยรู้ก็ล้วนพูดออกมาหมดแล้ว ยังขอให้ทั้งสองท่านเห็นแก่หน้าของเผ่าตะพาบเขียวของข้า ปล่อยให้ข้าน้อยมีชีวิตต่อไปด้วย”


สุดท้ายอูยั่งขอร้องเสียงเศร้าสร้อย “ตอนนี้บุตรเทพเผ่าข้าอยู่ใกล้ๆ หากถูกเขารู้เข้า…”


“เจ้าขู่พวกข้าหรือ” เจ้าคางคกถาม


อูยั่งตกใจจนรีบร้อนโบกมือ พูดว่า “ข้าน้อยจะกล้าได้อย่างไร เพียงแต่คุณชายทั้งสองน่าจะรู้ดีว่า ด้วยพลังของพวกท่าน เกรงว่า… เกรงว่า….”


หลินสวินจะยิ้มก็ไม่ใช่จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “เกรงว่าจะไม่อาจต่อกรกับเผ่าตะพาบเขียวของพวกเจ้าใช่หรือไม่”


อูยั่งยิ้มแหย นับเป็นการยอมรับกลายๆ


“วางใจเถอะ เมื่อได้พบกับบุตรเทพของพวกเจ้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปทันที”


หลินสวินไตร่ตรองครู่หนึ่งถึงค่อยพูดออกมา


“เจ้าต้องการพบบุตรเทพเผ่าข้าหรือ”


อูยั่งประหลาดใจไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เจ้าสองคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ จะใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่กลัวตายหรือ


……


“เจ้าคิดจะทำเช่นนี้จริงหรือ” เจ้าคางคกก็ประหลาดใจอยู่บ้าง


เวลานี้อูยั่งถูกตีให้สลบ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ยินบทสนทนาของพวกเขา


“ช่วยไม่ได้ เจ้าก็ได้ยินที่หมอนั่นพูดแล้ว คิดจะเข้าร่วมชุมนุมประมูลสมบัติที่อยู่ในตลาดโจมเมฆาก็ต้องมีคนแนะนำ หาไม่แล้ว ขนาดคุณสมบัติจะเข้าร่วมยังไม่มีเลย”


หลินสวินถอนหายใจ “ถ้าเข้าร่วมไม่ได้ ก็จะไม่ได้ยานขนส่งอวกาศที่ถูกประมูลลำนั้น ไม่มีสมบัติชิ้นนี้ อาศัยเพียงพลังของพวกเราสองคน ย่อมไม่มีทางข้ามทะเลกลืนวิญญาณได้”


เจ้าคางคกนิ่วหน้า “เจ้ายังเชื่อคำโกหกของนางอสูรมารนั่นจริงหรือ”


หลินสวินยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่ว่าจริงหรือเท็จก็ต้องลองดูถึงจะรู้”


เจ้าคางคกเอ่ยอย่างสงสัย “แต่เหตุใดเจ้าต้องไปหาบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวนั่นด้วยเล่า เจ้าคงไม่ได้เพ้อฝันจะให้อีกฝ่ายแนะนำเจ้าให้เข้าร่วมชุมนุมประมูลสมบัติหรอกนะ”


มุมปากของหลินสวินยกขึ้นอย่างมีเลศนัย “ข้าบอกแล้ว หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร”


หนึ่งวันต่อมา


เช้าตรู่ บนผิวน้ำสีครามราวอัญมณี ถูกแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมา ยิ่งใหญ่ไพศาล


หวูดๆๆ!


ไม่นานนักเสียงแตรสัญญาณระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นจากผิวน้ำที่อยู่ไกลโพ้น สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดินรอบทิศ


“มาแล้ว!”


อูยั่งฮึกเหิม ตื่นเต้นไม่ว่างเว้น


“อำนาจใหญ่โตนัก!”


หลินสวินกับเจ้าคางคกเงยหน้ามองไป ก็เห็นว่าผิวน้ำไกลออกไปปรากฏกองทัพที่เกรียงไกรหาใดเทียบ มืดฟ้ามัวดินไปแถบหนึ่ง


____


ตอนที่ 624 พบอุปสรรคเมื่อเข้าเยี่ยม

โดย

ProjectZyphon

หวูดๆๆ!


เสียงแตรสัญญาณคลุมเครือดังขึ้นเหนือผิวน้ำ กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรกองหนึ่งเคลื่อนมาแต่ไกล


นั่นคือตะพาบเขียวมหึมาหาใดเทียบตัวหนึ่ง ยาวราวพันจั้ง แล่นไปในทะเลเหมือนแผ่นดินที่ล่องลอยอยู่ผืนหนึ่ง


บนหลังตะพาบเขียวแบกตำหนักสูงเก้าชั้นตำหนักหนึ่งไว้อยู่ ทั้งตำหนักประหนึ่งสร้างขึ้นจากหยกขาว อวลไปด้วยรัศมีเจิดจ้าไพศาลใต้แสงอุษา


เสียงแตรสัญญาณระลอกแล้วระลอกเล่าก็ดังมาจากตำหนักหยกขาวนั้น


เมื่อพินิจดู ที่สองข้างของตะพาบเขียวมหึมานั้นยังมีทหารอารักขาพร้อมออกศึกสองแถว ชุดเกราะสะท้อนแสงวาววับส่องประกาย พวกเขาเดินเหยียบย่างบนคลื่น ธงศึกปลิวไสวตามลม มีกลิ่นอายน่าเกรงขาม


บนผิวน้ำสีฟ้าครามที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ กองทัพเช่นนี้กองหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน ย่อมดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ


“หอหยกขาวนพนภา! หรือว่า… หรือว่าผู้อาวุโสก็มาด้วยตัวเองแล้ว”


อูยั่งตัวสั่นเทา ในดวงตาปรากฏแววตื่นตระหนก


“ผู้อาวุโสหรือ”


ดวงตาสีดำของหลินสวินฉายประกายเจิดจ้า “หรือจะเป็นคนใหญ่คนโตที่กลับสู่เผ่าตะพาบเขียวของพวกเจ้าเมื่อหลายปีก่อนผู้นั้น”


“เหตุใดเจ้าถึงรู้”


อูยั่งประหลาดใจ


หลินสวินยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร ในใจกลับลอบทอดถอนใจ บังเอิญเสียจริง


“อูยั่ง เจ้าไม่ได้ตามหาที่อยู่ของนางอสูรมารผู้นั้นหรือ เหตุใดถึงอยู่ที่นี่เวลานี้ แล้วเจ้าสองคนนั่นเป็นใครอีก”


ไม่นานนักกองทัพใหญ่โตนั้นก็เข้าประชิด ชายวัยกลางคนมากความสามารถยืนอยู่บนหลังตะพาบเขียว เอ่ยซักถาม


“คารวะผู้ดูแลใหญ่!”


อูยั่งรีบร้อนคารวะ แล้วพูดอย่างเคารพว่า “คุณชายสองท่านนี้มาขอเข้าพบบุตรเทพของรับ”


“เข้าพบบุตรเทพหรือ”


ดวงตาราวสายฟ้าของผู้ดูแลใหญ่กวาดมองหลินสวินกับเจ้าคางคกปราดหนึ่ง นิ่วหน้าแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ พวกเจ้าขึ้นมาแล้วค่อยว่ากัน”


ทันใดนั้นหลินสวินเก็บเรือลำน้อย เหยียบย่างขึ้นไปบนตะพาบเขียวตัวนั้นกับเจ้าคางคก


จากนั้นกองทัพนี้ก็มุ่งหน้าไปในทะเลต่อ ไม่ได้ชักช้า


“ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองท่านนามว่ากระไร และมาขอเข้าพบบุตรเทพเผ่าเราด้วยเรื่องใด”


ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถาม


“ขออภัย เดิมข้าคิดจะเข้าพบบุตรเทพเผ่าท่าน แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว ต้องการเข้าพบผู้อาวุโสเผ่าท่านเสียหน่อย”


หลินสวินกุมมือคารวะพลางพูด


ใครจะคิดว่าผู้ดูแลใหญ่สีหน้าตะลึงงัน เหมือนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เอ่ยว่า “พวกเจ้า… ต้องการพบผู้อาวุโสหรือ ทั้งสองคงไม่ได้ล้อเล่นกระมัง”


เด็กหนุ่มแปลกหน้าสองคนมาเยือน และต้องการจะพบผู้อาวุโวเผ่าตะพาบเขียวโดยกะทันหัน นี่ช่างดูน่าขันไปแล้ว


“พวกเจ้า… พวกเจ้า… เหตุใดถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ”


อูยั่งก็อึ้งไป สั่นเทาไปทั้งตัว คนระดับผู้อาวุโสใครก็พบได้ส่งเดชหรือ เจ้าสองคนนี้จะบ้าบิ่นไปแล้วกระมัง


หลินสวินเอ่ย “ยังขอให้ผู้ดูแลใหญ่ไปเรียนให้ทราบ บอกว่าเพื่อนเก่ามาหา เชื่อว่าผู้อาวุโสเผ่าท่าน…”


“บังอาจ!”


ไม่ทันพูดจบผู้ดูแลใหญ่ก็สีหน้าถมึงทึง “ข้าว่าพวกเจ้ามาหาเรื่องเสียกระมัง เห็นเผ่าตะพาบเขียวเป็นอะไรกัน อย่างพวกเจ้าก็กล้าละเมอเพ้อพกเรียกผู้อาวุโสเผ่าข้าว่าเพื่อนเก่าหรือ ใครให้ความกล้ากับพวกเจ้ากัน!”


เขาหงุดหงิดเต็มทีแล้ว ผู้อาวุโสของพวกเขามีฐานะขั้นไหน จะมาเป็นเพื่อนกับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสองคนนี้ได้อย่างไร


ช่างน่าขัน!


สีหน้าของทหารอารักขาเผ่าตะพาบเขียวที่อยู่ใกล้กันบางคนเปลี่ยนเป็นไม่เป็นมิตร


“เจ้ากำลังสงสัยพวกเราหรือ” เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม


“เฮอะ! คนเสียสติเช่นพวกเจ้า หลายปีมานี้ข้าเห็นมาไม่รู้เท่าไรแล้ว ขอเตือนให้พวกเจ้ารีบออกไปเสีย หาไม่แล้วอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”


ผู้ดูแลใหญ่ตวาด ยิ่งไม่เกรงใจแล้ว


หลินสวินพลันจนใจอยู่บ้าง พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ข้าเพียงหวังว่าสหายยุทธ์จะช่วยไปเรียนเสียหน่อย…”


ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกตัดบทอีกครั้ง ผู้ดูแลใหญ่สีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงดุดันว่า “ทหาร ไล่พวกมันออกไป หากกล้าต่อต้านก็ฆ่าซะ!”


“ขอรับ!”


กลุ่มทหารอารักขาที่อยู่ใกล้กันแทบอดรนทนไม่ไหวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินก็พลันรับคำสั่ง สายตามองไปยังหลินสวินและเจ้าคางคกด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่าน


หลินสวินอดนิ่วหน้าไม่ได้ และในตอนนี้เอง เสียงต่ำลึกเสียงหนึ่งดังออกมาจากในหอหยกขาวนพนภา “ใครเอะอะกัน ไม่รู้หรือว่าผู้อาวุโสกำลังทำสมาธิ”


“ขอบุตรเทพคลายโทสะ มีคนสองคนก่อเรื่อง ประเดี๋ยวจะคลี่คลายแล้วขอรับ”


ผู้ดูแลใหญ่รีบร้อนแจกแจง


“มีคนก่อเรื่องหรือ”


เสียงสวบดังขึ้น ก็เห็นว่าเงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาจากตำหนัก สายตาราวอัสนีมองไปยังที่เกิดเหตุ


คนคนนี้สวมอาภรณ์หรูหราสีเขียวเข้ม คิ้วตรงแน่วราวกระบี่ ดวงตาราวดารา ท่วงท่าเหนือธรรมดา มีสง่าราศีโดดเด่น ดวงตาเจิดจ้าทั้งสองราวสายฟ้า


“คารวะบุตรเทพ!”


ทุกคนในที่นั้นล้วนคารวะ สีหน้าเคารพยกย่อง


เห็นได้ชัดว่าเขาก็คือชิงอวิ๋นหยางบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว!


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


ชิงอวิ๋นหยางนิ่วหน้า ดวงตาจดจ้องไปที่ร่างของหลินสวินกับเจ้าคางคก พบว่าทั้งสองคนไม่หวาดกลัวเลยสักนิด กลับดูสงบนิ่งมั่นคง นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง


ผู้ดูแลใหญ่ร้อนรนก้าวมาข้างหน้า แจกแจงเสียงเบา


“ต้องการเข้าพบผู้อาวุโสหรือ”


ชิงอวิ๋นหยางก็ประหลาดใจ ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ ยามมองไปยังพวกหลินสวินอีกครั้ง ท่าทีก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา


“อูยั่ง สองคนนี้เป็นเจ้าพากลับมา เจ้าพูดซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


ชิงอวิ๋นหยางเอ่ยถาม


เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้อง อูยั่งเหงื่อกาฬผุดพรายไปทั้งตัว ตกใจจนหน้าซีดขาว ขวัญหนีดีฝ่อ คุกเข่าเสียงดังตุ้บลงไปกับพื้น


หลินสวินหรี่ตา ลอบร้องว่าแย่แล้ว อูยั่งผู้นี้เป็นคนขี้ขลาดโดยแท้ ไม่มีความกล้าอะไรที่พอจะพูดได้เลย หากเขาเล่าเรื่องทุกอย่างจนหมดเปลือก เช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดใหญ่หลวง!


แต่เวลานี้หลินสวินขัดขวางไม่ทันแล้ว


ก็เห็นว่าอูยั่งร้องไห้ฟูมฟายแล้วร้องว่า “ท่านบุตรเทพ นี่ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยเลย ทั้งหมดเป็นเพราะถูกพวกเขาบังคับขอรับ!”


เขาเล่าเรื่องที่พบพวกหลินสวินได้อย่างไร ทั้งถูกขู่บังคับได้อย่างไรด้วยน้ำหูน้ำตานองหน้า


นี่ทำให้หลินสวินกับเจ้าคางคกล้วนหมดคำพูด ลอบปวดหัว


ส่วนสีหน้าของชิงอวิ๋นหยางก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเทียบ โมโหจนกลายเป็นยิ้ม “ช่างเป็นโจรชั่วที่ใจกล้าคับฟ้าคู่หนึ่ง! ไม่พูดถึงเรื่องขู่เข็ญผู้ติดตามข้า ยังกล้ามากำเริบเสิบสาน ช่างรนหาที่ตายนัก!”


“ขอบุตรเทพคลายความโกรธ ให้บริวารจัดการเจ้าคนเลวสองคนนี้เถิดขอรับ!”


ผู้ดูแลใหญ่ไอสังหารพลุ่งพล่าน


“เสร็จกันๆ แย่แล้วตอนนี้”


เจ้าคางคกสีหน้ากล่าวโทษ “ก็บอกเจ้าแล้วว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล แต่เจ้าก็ยังอยากจะลอง ตอนนี้ดีเสียจริง ข้าไม่ได้อยากซวยไปกับเจ้านะ”


หลินสวินเงียบเชียบไม่พูดจา เขารู้สึกว่าตนมีมารยาทมากแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ฟังเลย ถึงกับมองว่าพวกเขาเป็นโจรชั่ว ไม่มีทางพูดด้วยแล้วจริงๆ


“ยังนิ่งอึ้งหาอะไร ไปจับพวกมันสิ!” ผู้ดูแลใหญ่คำราม


ทันใดนั้นทหารอารักขากลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้กันล้วนเคลื่อนไหว เข้าไปล้อมหลินสวินกับเจ้าคางคกไว้อย่างดุดัน


“ช้าก่อน!”


หลินสวินส่งเสียงราวอัสนีบาตร เต็มไปด้วนพลังที่น่าหวาดหวั่นไปถึงขั้วหัวใจ


เพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็สะเทือนจนทหารอารักขาเหล่านั้นมีเสียงวิ้งในหัว พลังทั่วร่างแทบปั่นป่วน ร่างซวนเซ ร้องเสียงตระหนก


“หือ”


ดวงตาชิงอวิ๋นหยางมีแววเยียบเย็นพุ่งออกมา เหมือนสังเกตได้ถึงความไม่ธรรมดาของหลินสวิน ประหลาดใจอยู่บ้าง


ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ยิ้มเหี้ยมพลางพูดว่า “ที่แท้ก็มีของ แต่อย่างพวกเจ้าสองคนกล้ามาก่อเรื่องครึกโครม ต้องพูดว่าพวกเจ้าใจกล้านัก”


“ข้าบอกแล้วว่าข้ามาเยี่ยมเพื่อนเก่าผู้หนึ่ง พวกเจ้าเพียงรายงานไปก็รู้แล้วว่าจริงหรือเท็จ”


หลินสวินสูดหายใจลึก อธิบายอย่างเก็บกลั้นความรู้สึก


“เพื่อนเก่าหรือ”


ชิงอวิ๋นหยางโมโหเต็มทีแล้ว มาถึงตอนนี้ เจ้าหมอนี่ถึงกับมองผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียวของพวกเขาเป็นเพื่อนเก่า ช่างอวดดีถึงที่สุด


ผู้อาวุโสมีฐานะระดับไหน จะมีเพื่อนเก่าเช่นนี้ได้อย่างไร


“ไม่รับรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง จนตายก็ไม่เปลี่ยน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้พวกเจ้าก็อย่าคิดจะจากไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เลย!”


ดวงตาชิงอวิ๋นหยางระเบิดจิตสังหาร หยิบดาบศึกแดงเพลิงเล่มหนึ่งออกมาเสียงดังชิ้ง เงาร่ายหายวับ ถึงกับพุ่งโจมตีหลินสวินด้วยตัวเอง!


‘เพียงแค่แจ้งเรื่องไปมันยากขนาดนี้เลยหรือ’ หลินสวินลอบถอนใจ


โครม!


บริเวณนี้ถูกไอสังหารน่าหวาดหวั่นปกคลุม ปรากฏพลังต่อสู้น่าสะพรึงของชิงอวิ๋นหยาง


นี่ทำให้ผู้ดูแลใหญ่กับทหารอารักขาเหล่านั้นล้วนฮึกเหิม


“บุตรเทพถึงกับลงมือด้วยตัวเองแล้ว คราวนี้คงมีละครฉากเด็ดให้ดูกันล่ะ!”


“เจ้าชั่วสองคนนี้หากตายด้วยน้ำมือของบุตรเทพก็ถือเป็นโชคดี คนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติให้บุตรเทพลงมือเองหรอก”


ชั่วขณะเดียวชิงอวิ๋นหยางก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา ณ ที่นั้น ทหารอารักขายิ่งแสดงสีหน้าเคารพเลื่อมใส


ต่อให้เป็นพวกเขา ก็น้อยนักที่จะเห็นชิงอวิ๋นหยางลงมือ นี่เป็นโอกาสสังเกตการณ์ที่หายากสุดจะเทียบ!


เร็วอย่างเหลือเชื่อ ชิงอวิ๋นหยางออกโจมตี ดาบศึกแดงเพลิงโชติช่วงซัดทะเลเพลิงแถบหนึ่งออกไป พุ่งเข้าปกคลุมหลินสวิน


เปรี้ยง!


ห้วงอากาศล้วนเผาไหม้ย่อยยับ ภาพการณ์น่าหวาดหวั่น


‘เหตุใดต้อง…’


หลินสวินอดไม่ได้ลอบถอนใจอีก เขายืนตระหง่านตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทำเพียงโบกแขนเสื้อ


ก็เห็นว่าทะเลเพลิงแสงดาบเต็มฟ้านั้นถูกกระแทกให้แหลกสลาย แปรสภาพเป็นละอองแสงหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวถูกลมกรรโชกกวาดพัด


“นี่…”


ผู้แข็งแกร่งทั้งที่นั้นล้วนตาเบิกกว้าง ความเร้าใจและตื่นเต้นที่อยู่บนใบหน้าแข็งทื่อไป เพียงโบกแขนเสื้อเท่านั้นก็ทำลายการโจมตีแข็งกร้าวของบุตรเทพได้หรือ


ต่อให้เป็นชิงอวิ๋นหยาง เวลานี้ในใจก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขายิ่งสีหน้าเย็นชา “ดูท่า พวกเจ้าเตรียมพร้อมมาสินะ”


ตู้ม!


ยามพูดจาเขาก็ฟันดาบออกไป ก็เห็นว่าแสงดาบยิงพุ่งออกมา งดงามไร้เทียมทานราวละอองแสงเปลวเพลิง เต็มไปด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคน่าหวั่นกลัว


หลายคนหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ได้ว่าชิงอวิ๋นหยางสำแดงท่าไม้ตาย


แต่หลินสวินกลับเริ่มหมดความอดทนแล้ว ที่เขาลงมือเมื่อครู่ เป็นการบอกฝ่ายตรงข้ามว่าเมื่อถึงเวลาก็ควรหยุดมือ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะถึงกับได้คืบเอาศอกเสียได้


เขาไม่ลังเลอีก ยื่นมือตบออกไป


พลังฝ่ามือสีเขียวอ่อนห้อมล้อมด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคกลมเกลี้ยงสดใส เคลื่อนออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ชั่วพริบตากลับมีเสียงตูมดังขึ้น


นั่นเป็นเสียงห้วงอากาศถล่มทลาย เหมือนไม่มีทางรับพลังฝ่ามือนี้ได้เลย!


ตูม!


ท่ามกลางสายตาจับจ้องตื่นตะลึง ดาบนี้ของชิงอวิ๋นหยางช่างอ่อนแอไม่อาจต้านทานราวเศษกระดาษ ถล่มทลายกระจัดกระจายครั่นครืน


ส่วนพลังฝ่ามือนั้นก็ไม่ลดลงเลย บดขยี้ไปยังชิงอวิ๋นหยางด้วยท่าทีโจมตีให้ราบคาบ ราวปกคลุมไปทั่วทิศ ทำให้ฝ่ายหลังไม่อาจหลบหนีได้!


ชิงอวิ๋นหยางหน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิงแล้ว รับรู้ได้ถึงอันตรายที่ไม่เคยเจอมาก่อน นี่ทำให้เขาโมโหระคนตกใจและหดหู่


เขาเป็นถึงบุคคลระดับบุตรเทพ ในระดับเดียวกันมีน้อยคนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ได้ ถูกมองว่าเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์เผ่าตะพาบเขียว โดดเด่นเกินใคร


แต่ตอนนี้การต่อสู้เพิ่งเริ่มเท่านั้น กลับทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออกอย่างไม่อาจบรรยายได้ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว


นี่…


เป็นไปได้อย่างไรกัน!?


——

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)