Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 604-611

 ตอนที่ 604 การเปลี่ยนแปลงของเจดีย์สมบัติ

โดย

ProjectZyphon

บนยอดเขาอีกแปดลูก ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างกำลังค้นหาวาสนาแข่งกับเวลา มีเพียงสถานที่ที่หลินสวินอยู่เท่านั้นที่ไม่ใคร่สงบสุขอย่างเห็นได้ชัด


แน่นอน ใครเลยจะคาดคิด ตอนที่ยังไม่ทันย่างเข้าสู่ตำหนักเก่าแก่นั้น ถึงขนาดที่ยังไม่สามารถตัดสินได้ด้วยซ้ำว่าวาสนาที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในเป็นของสิ่งใดกันแน่ ระหว่างหลินสวินและผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณพวกนั้นก็เปิดศึกขัดแย้งนองเลือดอันดุเดือดฉากหนึ่งขึ้นมา


นี่มันเหนือความคาดหมายเกินไป


ทว่าสำหรับหลินสวินแล้ว ทุกอย่างนี้มีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าอย่างเห็นได้ชัด!


เคราะห์ดีที่แผนสังหารครั้งนี้ล้มเหลวไป กงหยางอวี่ตาย ซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อต่างเผ่นหนีอุตลุด


เพียงแต่ตอนที่มองเห็นเซียวหรันเดินออกมาจากตำหนักโบราณเก่าแก่แห่งนั้นเพียงลำพัง ในใจของหลินสวินกลับไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว


ทันใดนั้นเขาพลันตระหนักได้ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่ ถึงแม้เซียวหรันจะไม่ได้มีส่วนร่วม แต่ใครจะกล้ารับประกันว่าเซียวหรันไม่รู้เห็นเรื่องทุกอย่างนี้เลย


แต่ไหนแต่ไรมาหลินสวินไม่เคยประเมินเซียวหรันต่ำเกินไป ตรงกันข้าม ในบรรดาผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ คนที่ทำให้เขาไม่อาจประเมินได้มากที่สุดก็คือเซียวหรัน!


“ก่อนหน้านี้เจ้าปราบผู้กล้าแต่ละเผ่าด้วยตัวคนเดียว ส่วนตอนนี้ยังสามารถใช้พลังของตัวเองกำชัยเหนือพวกศิษย์น้องกงหยางอวี่ได้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจไม่ยอมรับ เจ้าเป็นบุคคลที่หาตัวจับยากคนหนึ่งจริงๆ”


เซียวหรันสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าเนิบนาบ สายตาสงบนิ่งมองมาที่หลินสวิน ในน้ำเสียงเจือความชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง


ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องที่หลินสวินเอาชนะพวกซูซิงเฟิงเลยแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าเยือกเย็นและสบายอารมณ์เกินไป


นี่ทำให้หลินสวินมุ่นคิ้ว กล่าวว่า “ทุกอย่างนี้เจ้าน่าจะรู้ตั้งแต่ต้นกระมัง”


เซียวหรันพยักหน้าเอ่ย “พูดอย่างเป็นจริงเป็นจัง ปฏิบัติการครั้งนี้เดิมทีข้าเองก็อยากลงมือเหมือนกัน แต่ว่าท้ายที่สุดข้าก็ยังไม่คิดจะไปมีเอี่ยวด้วยอยู่ดี”


“เพราะอะไร” หลินสวินถาม


เซียวหรันยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ง่ายมาก เจ้าก็น่าจะเดาออกอยู่แล้ว วาสนาในตำหนักใหญ่แห่งนี้มีแค่อย่างเดียว ข้าไม่อยากเสียมันไป แล้วก็ไม่อยากแข่งขันต่อสู้กันกับศิษย์น้องคนอื่นๆ ด้วย ดังนั้นจึงได้แต่คิดวิธีหนึ่งขึ้นมา ทิ้งพวกเจ้าไว้ด้านนอกทั้งหมด”


รอยยิ้มของเขาเยือกเย็นและอ่อนโยนยิ่งนัก น้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับทำให้หลินสวินสะท้านใจ


ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ปฏิบัติการลอบสังหารซึ่งพุ่งเป้ามาที่ตนครานี้ ที่แท้ก็เป็นเพียงแผนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของเซียวหรัน!


ทั้งได้ลอบสังหารตน แล้วยังทำให้พวกซูซิงเฟิงไม่อาจแบ่งร่างเข้าไปในตำหนักใหญ่ แย่งชิงวาสนากับเซียวหรันได้!


แล้วพวกซูซิงเฟิงเล่า


รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาก็ถูกเซียวหรันวางอุบายเข้าให้แล้ว


“แผนการลุ่มลึกนัก! ช่างเป็นวิธีโหดเหี้ยมยิ่ง! เพื่อวาสนาชิ้นหนึ่ง เพียงกลเม็ดต้อนพยัคฆ์เขมือบหมาป่า[1] ก็จัดการทุกคนได้หมด หากว่าคนอย่างเจ้าเติบใหญ่ขึ้นไป จะต้องเป็นบุคคลผู้เกรียงไกรคนหนึ่งเป็นแน่!”


เจ้าคางคกที่อยู่ในระยะไกลส่งเสียงทอดถอนใจออกมา


เซียวหรันกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ “ข้าเพียงแต่ไม่อยากเข่นฆ่ากับพวกศิษย์น้องร่วมสำนักก็เท่านั้น ลองใช้กลเม็ดเล็กน้อย ทำให้พวกเจ้าเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”


“เจ้าทำอะไรกับแม่นางจ้าว”


นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ


“วางใจเถิด ในเมื่อข้าทนเห็นศิษย์ร่วมสำนักต้องเข่นฆ่ากันเองไม่ได้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือกับศิษย์น้องจ้าว ตอนนี้นางกำลังพักผ่อนอยู่ในตำหนักใหญ่ ไม่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไรหรอก”


เซียวหรันพูดอย่างสบายใจประหนึ่งกำลังพูดเรื่องชีวิตประจำวัน เมื่อมีคำถามก็ตอบ ทั้งยังไม่เอ่ยถึงสิ่งอื่น ลำพังแค่ความเยือกเย็นวางเฉยเช่นนี้ ก็เหนือธรรมดาไร้ที่เปรียบเทียบแล้ว


“เจ้าคางคกเจ้าไปดูหน่อย”


หลินสวินส่งสายตาคราหนึ่ง ฝ่ายหลังเข้าใจโดยปริยาย เร่งรุดพุ่งเข้าไปในตำหนักใหญ่เก่าแก่นั้นทันที


“กล่าวเช่นนี้ เจ้าได้รับวาสนาในตำหนักใหญ่นั่นแล้ว?”


สายตาของหลินสวินจับจ้องเซียวหรัน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยผ่อนคลายแม้แต่น้อย คู่ต่อสู้คนนี้เก็บงำความสามารถ ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ถึงยิ่งทำให้ผู้คนกริ่งเกรง


“ไม่ผิด”


เซียวหรันพยักหน้าน้อยๆ มิได้ปฏิเสธด้วยซ้ำ


“ดังนั้นตอนนี้ที่เจ้าปรากฏตัว เพราะอยากประลองกับข้าสักครั้งหรือ”


หลินสวินกระชับดาบหักแน่นขึ้นอย่างเงียบๆ


สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เซียวหรันกลับส่ายหน้า จดจ้องหลินสวินอยู่เป็นนานค่อยถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “พูดตามตรง เวลานี้ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะฆ่าเจ้าได้ เจ้าแข็งแกร่งมาก บนกายมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกถึงอันตราย ไม่ธรรมดายิ่งนัก”


เขากล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ เอ่ยพูดเนิบนาบ เห็นได้ชัดว่าจริงจังอย่างยิ่ง “ศึกแห่งมหามรรค มีคู่ต่อสู้อย่างแท้จริงจึงจะไม่โดดเดี่ยว เจ้าน่าสนใจมาก เป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอตั้งแต่ฝึกปราณมาจนบัดนี้ ข้าตั้งตารอให้ยามมหาสงครามมาเยือน ค่อยมาสู้ตัดสินกับเจ้าอีกครั้ง”


หัวคิ้วของหลินสวินมุ่นขมวดมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวว่า “เหตุใดถึงไม่ใช่ตอนนี้”


เซียวหรันยิ้ม รอยยิ้มแฝงนัยลึกล้ำ “ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ยังไม่ถึงเวลา รอเมื่อมหาสงครามมาเยือนเจ้าก็จะเข้าใจเอง บางครั้งหากสามารถมีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อสักคน ก็จะทำให้ตนเองเดินบนเส้นทางแห่งมหามรรคได้ยาวนานยิ่งขึ้น”


หลินสวินขมวดคิ้ว “เจ้าเห็นข้าเป็นหินลับมีดหรือ”


เซียวหรันหัวเราะอย่างเปิดเผย “จะว่าอย่างนี้ก็ได้”


หลินสวินกล่าวคล้ายขบคิด “ถ้าอย่างนั้นวันนี้หากข้าไม่รับปาก ยืนกรานจะสู้ตัดสินแพ้ชนะกับเจ้าสักตั้งจะว่าอย่างไร”


สีหน้าเซียวหรันยังคงราบเรียบตามเดิม “เจ้าไม่มีโอกาส”


ชิ้ง!


ดาบหักของหลินสวินพุ่งโจมตีออกไปทันควัน กะทันหันถึงขีดสุด พลันเห็นแสงดาบดาราแถบหนึ่งแหวกขวางกลางอากาศราวกับม่านน้ำตก ผ่าลงไปเต็มแรง เปล่งประกายเจิดจ้าน่ากลัวถึงขีดสุด


การโจมตีครั้งนี้กะทันหันมากเกินไปจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าคงตอบสนองไม่ทันด้วยซ้ำ


ทว่าเซียวหรันกลับดูเหมือนคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาไม่ได้ขยับ ยืนอยู่ตรงนั้นพลางยิ้มบางๆ อากัปกิริยาประดุจเมฆเอื่อยเหนือห้วงนภา แปลกแยกอย่างบอกไม่ถูก


ฟุ่บ!


ร่างของเขาถูกผ่าขาดเป็นสองท่อน ทว่ากลับไม่มีคราบเลือด ตรงข้ามยังกลายเป็นฝนแสงที่คล้ายฟองอากาศ ปลิวล่องไร้ร่องรอย


“ลืมบอกเจ้าไป ‘คัมภีร์กายมรรคหมื่นมายา’ ข้าเป็นคนถ่ายทอดให้ศิษย์น้องกงหยางอวี่เอง เพียงแต่น่าเสียดาย ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถหยั่งถึงความลี้ลับในนั้นได้ ถึงได้ถูกเจ้าฆ่าตาย…”


ห่างออกไปร้อยจั้ง เงาร่างของเซียวหรันปรากฏขึ้นมา เขายืนสองมือไพล่หลัง หันหน้ามายิ้มให้หลินสวินพลางกล่าว “ขอตัวลาตรงนี้”


ยามที่สิ้นสุดน้ำเสียง เงาร่างของเขาก็โฉบลอยไปยังเชิงเขา ดูคล้ายแช่มช้าเนิบนาบ ทว่ากลับหายลับไปในพริบตาเดียว


ดวงตาของหลินสวินหรี่ลงน้อยๆ ท้ายที่สุดก็ยังข่มกลั้นไอสังหารในใจเอาไว้ ไม่ได้ไล่ตามไป


เพียงแต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับไม่ใคร่เยือกเย็นนัก พลังที่แท้จริงของเซียวหรันคนนี้ลุ่มลึกไม่อาจหยั่งรู้ดังที่คาด ทั้งยังมากเล่ห์เจ้าแผนการ มีเอกลักษณ์และโดดเด่น ทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ได้ เป็นคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่หลินสวินเคยพบมานับตั้งแต่ฝึกปราณ!


“คิดจะให้ข้าเป็นหินลับมีดหรือ ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนี้หรือไม่…”


หลินสวินละสายตากลับมา ไม่ได้คิดมากอะไรอีก ก่อนหมุนกายเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่เก่าแก่นั้น


……


ตำหนักโบราณเงียบสงัด ผนังสี่ด้านสลักจิตรกรรมเก่าแก่เอาไว้เต็มไปหมด ตรงจุดศูนย์กลางมีกระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายตั้งอยู่ นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีสิ่งอื่นใดอีก


ครั้นหลินสวินย่างเข้ามา ก็เห็นจ้าวจิ่งเซวียนนั่งขัดสมาธิอยู่ เจ้าคางคกกลับกำลังมองสำรวจรอบบริเวณ


“เซียวหรันไม่ได้ทำร้ายเจ้ากระมัง”


หลินสวินอดถามไม่ได้


“เปล่า”


จ้าวจิ่งเซวียนส่ายหน้า สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน ก่อนบอกเล่าทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ทีละอย่าง


ที่แท้ตั้งแต่นางกับเซียวหรันเข้ามาในตำหนักแห่งนี้พร้อมกัน ก็สังเกตเห็นทันทีว่าในกระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายที่ตั้งอยู่กลางตำหนักใหญ่นั้นซ่อนคัมภีร์มรรคเอาไว้เล่มหนึ่ง


นี่ย่อมเป็นวาสนาที่ซ่อนอยู่ในตำหนักใหญ่อยู่แล้ว!


เพียงแต่ตอนที่จ้าวจิ่งเซวียนเพิ่งคิดจะดำเนินการใดๆ ก็ประสบกับการซุ่มโจมตีของเซียวหรัน พลันสลบไสลไปในพริบตา


ยังดีที่เซียวหรันไม่ได้ทำร้ายนาง เพียงฉวยเอาคัมภีร์มรรคเล่มนั้นออกไปเท่านั้น


กล่าวถึงตรงนี้มุมปากของจ้าวจิ่งเซวียนก็อดเจือความขมขื่นเสี้ยวหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยว่า “ครั้งนี้เท่ากับว่าพวกเราเปลืองแรงเปล่า วาสนาทั้งหมดก็ให้คนอื่นเป็นของกำนัลไปเสียแล้ว”


หลินสวินกล่าวปลอบใจ “ขอแค่คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”


“ระยำ เจ้าเซียวหรันนั่นไม่ใช่ของดีจริงๆ! ไม่เพียงคิดวางกับฆ่าหลินสวิน แม้กระทั่งศิษย์น้องพวกนั้นของเขาก็ยังถูกเขาวางอุบาย วาสนาทั้งหมดนี้ถูกเขาชิงเอาไปจนหมด!”


เจ้าคางคกโกรธจนสบถสาปแช่งปากแทบฉีก สีหน้าไม่น่าดูหาที่เปรียบมิได้


“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ศิษย์พี่เซียวหรันถึงกับทำขนาดนี้ เหนือความคาดหมายเกินไปจริงๆ”


จ้าวจิ่งเซวียนถอนใจเบาๆ มองไปที่ตำหนักใหญ่อันว่างเปล่าแห่งนี้ ในสีหน้าเจือความผิดหวังเสี้ยวหนึ่ง วาสนาถูกชิงไปแล้ว ทำให้นางเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน


“คัมภีร์มรรคหนึ่งเล่ม…”


หลินสวินก็จนคำพูดไปพักหนึ่ง ถึงจะไม่ค่อยชัดแจ้งถึงที่มาของคัมภีร์มรรคเล่มนี้ แต่คัมภีร์ที่สามารถซุกซ่อนไว้ในที่แห่งนี้ได้ จะต้องมีที่มาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย!


ไม่ไกลนัก เจ้าคางคกที่ยังโกรธกรุ่นไม่สิ้นกำลังพยายามเคลื่อนย้ายกระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายนั้น คล้ายอยากจะนำของสิ่งนี้ออกไป


แต่ถึงแม้เขาจะออกแรงเต็มเหนี่ยว กระถางหินก็ไม่ขยับเลยสักเศษเสี้ยว


สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เจ้าคางคกท้อแท้ ตรงข้ามกลับทำให้ดวงตาของเขาทอประกาย “ของเล่นชิ้นนี้ดูเหมือนจะเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเช่นกัน!”


เขารวบรวมพลัง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ทั่วร่างเปล่งประกาย แล้วเข้าไปเอากระถางหินนั่นอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือ กระถางหินนั้นดูคล้ายธรรมดาไม่สะดุดตา แต่กลับมั่นคงดุจเขาไท่ซาน ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยถูกเคลื่อนขยับเลยแม้เพียงเสี้ยวเดียว


“ระยำเอ๊ย! มันจะเอาไปไม่ได้จริงๆ เชียวหรือ”


เจ้าคางคกโกรธจนกัดฟัน


“ให้ข้าลองดูหน่อย”


หัวใจของหลินสวินกระตุกวูบ เดินก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน ระดมกำลังลองเคลื่อนย้ายทว่าผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่สามารถเคลื่อนย้ายกระถางหินนั่นได้เลย


“ผิดปกติมากจริงๆ”


นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง เรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาโดยไม่ชักช้า


วู้ม!


เจดีย์สมบัติเปล่งรัศมี ห้อมล้อมด้วยแสงสีทองอร่ามงดงาม ไพศาลศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์แปดเหลี่ยมเผยให้เห็นภาพปรากฏการณ์ของสุริยันจันทราภูผานที ฟ้าเสถียรดินขนาน เทพธรรมบาลแลหมู่ดาว สัตว์ตำนานบรรพกาล เป็นต้น


ภาพนั้นเปรียบเสมือนการฉายภาพของพิภพเทวาบรรพกาล ประทับบนตัวเจดีย์ มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไพศาลที่คงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์


ทันใดนั้นหลินสวินนิ่งงันไป เดิมทีเขาคิดจะใช้แสงมรรคทองนิลกาฬไปเก็บกระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายใบนั้น ทว่าเวลานี้เมื่อเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา กลับสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัด!


สิ่งที่เห็นชัดมากที่สุดก็คือบนยอดเจดีย์ อักษร ‘ไร้’ ที่ไม่สมบูรณ์ตัวนั้น ปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ขึ้น ทุกเส้นทุกขีดดุจดั่งรวบรวมท่วงทำนองมรรคแห่งชั้นฟ้าเอาไว้ ให้ความรู้สึกบีบคั้นสั่นสะเทือนอย่างไม่อาจบรรยายได้!


‘หรือเป็นเพราะหลังจากดูดซับมรรคคาถาลึกลับบทนั้นไปแล้ว ทำให้เจดีย์องค์นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี่’


หัวใจของหลินสวินไหววูบ นึกถึงมรรคคาถาอันลึกลับบทนั้นขึ้นมา


ยาตรานภสินธุ์ ย่ำแดนดินคุนหลุนผา


เกี่ยวตะวันแลจันทรา กอบกุมไว้ทั่วอัมพร 


ข้าจากมรรตยะ เคาะประตูสู่อมร


ทางเร้นเห็นสันดร มรรคประทานผู้มีบุญ


มรรคคาถาบทนี้แฝงความหมายลึกซึ้งยิ่งใหญ่! แต่ละตัวอักษรต่างซุกซ่อนพลังลึกลับเอาไว้!


ในตำหนักใหญ่สามสิบสามชั้นเมื่อครั้งที่แล้ว ยามที่มรรคคาถาบทนี้ปรากฏขึ้น ก็ได้ดูดเอาภาพจิตรกรรมเก่าแก่ทั้งหมดบนผนังรอบทิศของตำหนักใหญ่ไปจนเกลี้ยง!


ทั้งหมดนี้เพียงพอจะพิสูจน์ได้ถึงความเร้นลับของมรรคคาถาบทนี้แล้ว ที่น่าเสียดายคือ หลังจากที่มันเข้าสู่เจดีย์สมบัติไร้อักษรแล้วก็อันตรธานหายไป เสาะหาไม่พบร่องรอยแม้แต่เสี้ยวเดียว


ทว่าหลินสวินกลับคิดไม่ถึง เวลานี้ยามที่เรียกเจดีย์ไร้อักษรออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่เขาเองก็ไม่รู้เลยสักนิด เจดีย์สมบัติก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่างขึ้น!


สิ่งที่ทำให้หลินสวินตกใจมากที่สุดคือ ยังไม่ทันรอให้เขาเข้าใจเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ เบื้องหน้าพลันปรากฏการเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อฉากหนึ่งขึ้น…


กระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายนั้น จู่ๆ ก็เริ่มคำรามและสั่นสะเทือนขึ้นมา!


____


[1] ต้อนพยัคฆ์เขมือบหมาป่า หมายถึงการทำให้สองฝ่ายตีกันเอง เพื่อให้ตนเองได้ฮุบผลประโยชน์


ตอนที่ 605 หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา หยั่งถึงขึ้นอยู่กับโชค

โดย

ProjectZyphon

กระถางหินที่ดูเก่าแก่และเรียบง่ายใบนั้นคำรามขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้พวกหลินสวินตกใจยกใหญ่


หรือว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเจดีย์สมบัติไร้อักษร?


ไม่รอให้พวกเขาได้เข้าใจ คลื่นเสียงคำรามของกระถางหินทวีความกังวานราวกับเสียงเทพมหามรรค ดังก้องอยู่ในตำหนักอันกว้างขวางเก่าแก่ ทำให้ทุกคนตัวสั่นสะท้าน จิตวิญญาณสั่นคลอน


โครม!


ยามนี้ไม่เพียงแค่ที่นี่ บนยอดเขาอื่นๆ อีกแปดลูก ในตำหนักโบราณที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าทุกหลังล้วนมีกระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายตั้งอยู่ ต่างเกิดเสียงคำรามและสั่นไหวไปด้วย


การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างทำอะไรไม่ถูก อกสั่นขวัญแขวน


ท่ามกลางความงุนงง ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่เข้ามาในแต่ละตำหนักราวกับย้อนกลับไปอยู่ในสมัยบรรพกาล มาอยู่ในอาศรมแห่งหนึ่ง


เงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บนสามสิบสามชั้นฟ้า ราวกับเจ้าเหนือหัวที่เหลือบมองลงมายังเหล่าสรรพชีวิต กำลังเทศนาความลึกซึ้งละเอียดอ่อนของมหามรรค เสียงนั่นเลือนรางและศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเสียงสวรรค์ ลึกลับและมหัศจรรย์สุดจะพรรณนา


“นี่คือภาพประทับมรดกของอัครบุคคลบรรพกาลและปรากฏขึ้นในเวลานี้ รีบนั่งลง รวบรวมสมาธิหยั่งรู้!”


มีคนฮึกเหิม รับรู้ได้ถึงเส้นสนกลในที่ซ่อนอยู่


คนที่สามารถเข้ามาในตำหนักนี้ได้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดของแต่ละเผ่า เข้าใจแทบจะในทันที พลันนั่งขัดสมาธิและเริ่มสงบจิหยั่งรู้อย่างไม่ลังเล


นี่คือภาพประทับมรดก มีค่าและหายากอย่างยิ่ง โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากพลาดไปแล้วจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิต


สำหรับเรื่องที่สุดท้ายจะหยั่งถึงได้เท่าไหร่ ก็ต้องดูโชคของแต่ละคน!


“ฮ่าๆๆ ไอ้สารเลวเซียวหรันคิดว่าตัวเองวางแผนรอบคอบ ช่วงชิงวาสนาทุกอย่างไว้ได้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าในตำหนักโบราณนี้ยังมีวาสนามรดกที่ยากจะคาดคะเนระดับนี้ซ่อนอยู่ ข้าสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตอนเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ หน้าเหม็นๆ ใบนั้นจะน่าเกลียดเพียงใด ฮ่าๆๆ”


เจ้าคางคกหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เบิกบานและตื่นเต้น


หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเองก็อดยิ้มไม่ได้


ยามนี้พวกเขาเองก็นั่งขัดสมาธิ รับรู้อย่างละเอียด ฟังเสียงอันเลือนรางศักดิ์สิทธิ์นั่นแล้ว กายใจหวั่นไหวอย่างหนัก


ท่ามกลางความคลุมเครือ ราวกับฝันท่องไปในยุคบรรพกาล อัครบุคคลที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไร้เทียมทานท่านหนึ่งนั่งอยู่บนสามสิบสามชั้นฟ้า กำลังเผยแพร่คัมภีร์ให้เหล่าลูกศิษย์ในสำนัก ถ่ายทอดความลึกลับและละเอียดอ่อนของมหามรรค


ร่างนั้นอยู่ไกลและดูยิ่งใหญ่เกินไปจนมองไม่ชัด ราวกับเจ้าเหนือหัวที่นั่งอยู่เหนือมหามรรค เคียงบ่าเคียงไหล่กับฟ้าดิน ไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงและไม่อาจแตะต้องได้!


เสียงที่ถ่ายทอดมหามรรคก้องกังวานราวกับกลองโบราณ ลึกลับเกินคาดเดา ดูเหมือนดังมาทางทุกคน แต่พอเข้าหูแต่ละคนแล้ว กลับปรากฏความหมายที่แตกต่างกันออกไป


บางคนได้ยินความนัยแห่งมหายานทางพุทธ บางคนได้ยินความลึกลับละเอียดอ่อนแห่งมรรค และมีบางคนได้ยินแก่นอัศจรรย์ที่ไม่ใช่ทั้งพุทธและมรรค


ความนัยอันลึกซึ้งนั้นรวมสรรพสิ่ง ครอบคลุมร้อยสำนัก หลอมรวมหมื่นสาขา ล้วนเป็นท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งมรรคอย่างหนึ่ง เต็มไปด้วยความลึกลับเกินจะคาดเดา


ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ มีความเข้าใจและวิถีทางที่แตกต่างกัน ดังนั้นแก่นแท้ที่พวกเขาได้ยินและหยั่งรู้ถึงจึงแตกต่างกันไป!


ความวิเศษของมรดกระดับนี้ เรียกได้ว่า ‘หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา หยั่งถึงขึ้นอยู่กับโชค’!


……


ภูเขาเก้าลูก บนยอดเขาต่างมีตำหนักเก่าแก่เก้าตำหนัก


ยามที่พลังแห่งมรดกลึกลับไม่อาจคาดเดาปรากฏ ภูเขาทั้งเก้าลูกก็เกิดการสั่นไหว พรั่งพรูพลังอันยิ่งใหญ่ยากจะเปรียบออกมา


เหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ ที่ยังคงอยู่กลางเขาและไม่มีวาสนาจะขึ้นไปถึงยอดเขาต่างรู้สึกร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง แล้วถูกพลังที่มองไม่เห็นม้วนตัวไป เคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่เชิงเขา


และเหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ ที่เดิมหมายจะพุ่งขึ้นภูเขา ตอนนี้กลับพบว่าภูเขาทั้งเก้าลูกถูกปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงกลัว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีก!


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนตกใจ หยุดการช่วงชิงและต่อสู้ แม้แต่ภูเขายังไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ฆ่าฟันกันไปก็ไม่มีความหมาย


“ดูเหมือนว่ามรดกที่แท้จริงของที่นี่จะปรากฏแล้ว!”


มีคนหัวใจสะท้าน เดาเบาะแสบางอย่างออก


“ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกปราณที่ไม่ได้เข้าไปในตำหนักเก่าแก่บนยอดเขาอย่างพวกเรา ก็เท่ากับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้วงั้นหรือ”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนเจ็บใจ สีหน้าเสียใจอย่างที่สุด


และมีพวกคนบางพวกที่ไม่จำยอม จะขึ้นเขาให้ได้ แต่กลับถูกผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงซัดสะเทือนจนหัวแตกเลือดสาด ยากจะก้าวเดิน ทำได้เพียงยอมแพ้


จนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดจากแต่ละเผ่าต่างเข้าใจแล้วว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้ไปแล้ว!


“น่าชังนนัก!”


บริเวณหนึ่งของเชิงเขา ซู่ซิงเฟิงกัดฟันจนแทบจะแหลกละเอียด เปลวไฟในดวงตาไหววูบ เต็มไปด้วยความเดือดดาล


“พวกเราพลาดวาสนาครั้งนี้ไปแล้ว…”


เหวินเสียงหมดอาลัยตายอยาก


อวิ๋นเช่อที่อยู่ข้างๆ เองก็กล่าวถอนหายใจ “ศิษย์พี่กงหยางอวี่ก็ตายไปแล้ว ครั้งนี้เจ้าหมอนั่นก็สบายแล้วจริงๆ”


เซียวหรันเงียบไม่พูดจา เขาเงยหน้าเพ่งสายตามองไปที่ยอดเขา ไม่มีใครสังเกตว่าตอนนี้กลางนัยน์ตาเขาเผยความสับสนและไม่จำยอมอย่างที่สุด


และไม่มีใครสังเกตว่า นิ้วมือของเขาในแขนเสื้อได้กำแน่น


เดิมทีเขานึกว่าช่วงชิงคัมภีร์มรรคที่ซ่อนอยู่ในกระถางหินมาได้ ก็เท่ากับช่วงชิงเอาวาสนามาได้แล้ว สามารถกลับไปได้อย่างไม่มีอะไรต้องเสียใจ


ใครจะคิดว่าในตำหนักนั่นยังมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่กว่าซ่อนอยู่อีก!


ถ้ารู้แต่แรก ย่อมไม่มีทางที่เขาจะรีบจากมาก่อน


ความเสียใจและไม่จำยอมพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำที่ตบข้างในใจของเซียวหรัน ทำให้เขาไม่สามารถสงบนิ่งเหมือนที่ผ่านมาได้


“คิดไม่ถึงเลย!”


เซียวหรันถอนหายใจเบาๆ เขาคิดคำนวณทุกอย่าง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบนภูเขาเก้าลูกนี้จะมีวาสนาลึกลับอื่น!


ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก…


เซียวหรันพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่สามารถคิดต่อได้ ความเสียใจและไม่จำยอมไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่อดทนและยอมรับ ‘ความผิดพลาด’ ในครั้งนี้


“หึ! ได้วาสนาแล้วอย่างไร รอให้ออกจากแดนลับแห่งนี้ค่อยฆ่าเจ้านั่น ช่วงชิงศุภโชคทั้งหมดที่เขาได้มาซะ!”


ซูซิงเฟิงกัดฟัน


ได้ยินเช่นนี้ทำให้เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อต่างหวั่นไหว สายตาเป็นประกายอย่างควบคุมไม่อยู่


ก็จริง วาสนาในครั้งนี้จะต้องมีเวลาสิ้นสุดลง พอออกจากที่นี่ เพียงยืมมือผู้เฒ่าเกาหยาง ก็เพียงพอจะสังหารเจ้าหมอนั่นได้!


มีเพียงเซียวหรันเท่านั้นที่เงียบไม่พูดจา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่


……


นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์


เบื้องหน้าขุมอำนาจเผ่าต่างๆ แท่นบูชาวิญญาณแต่ละแท่นคำรามอย่างไม่ขาดสาย คลื่นผันผวน ทยอยเคลื่อนจิตวิญญาณแต่ละดวงกลับมา


เหล่านี้คือผู้แข็งแกร่งที่พ่ายแพ้ในการฆ่าฟันเพื่อช่วงชิงวาสนา


พวกเขามียันต์กระดูกวิญญาณจึงสามารถฟื้นคืนชีพได้ สำหรับเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ไม่มียันต์กระดูกวิญญาณ ก็ไม่สามารถกลับมาได้อีก


แท่นบูชาวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และนี่ก็หมายความว่าการปะทะอันนองเลือดระหว่างการช่วงชิงวาสนาในครั้งนี้ดุเดือดอย่างยิ่ง


สีหน้าผู้ยิ่งใหญ่มากมายต่างอึมครึมลง เขียวคล้ำน่าเกลียด ในอกมีเลือดไหลออกมา เผ่าของพวกเขาสูญเสียอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากเกินไป


แต่ก็มีผู้ยิ่งใหญ่บางคนที่ยิ้มหน้าบานลำพองใจ อย่างเช่นเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆา เผ่าเต่าทมิฬเป็นต้น ผู้แข็งแกร่งในเผ่าของพวกเขาล้วนขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว และกำลังช่วงชิงวาสนา จะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไร


ดั่งคำกล่าวที่ว่าจันทร์เสี้ยวสาดส่องเก้าทวีป กี่ผู้เริงรื่น กี่ผู้ขื่นขม สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นการยืนยันประโยคนี้


ผู้เฒ่าเกาหยางเองก็ในใจก็ยินดีอย่างยิ่ง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขาก็ขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่งในเก้าลูกนั้นแล้ว


“หึ!”


ท่านย่าเทพสังหารเผ่าวาฬมังกรที่อยู่ไกลออกไปแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ หน้าเขียวกล่าว “ดูเหมือนว่าสหายยุทธ์จะมีความสุขมากนะ”


ผู้เฒ่าเกาหยางปวดหัวขึ้นมาทันที เพราะเรื่องที่หลินสวินสังหารกลุ่มผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกร ทำให้ท่านย่าเทพสังหารเดือดดาลอย่างมาก แม้แต่คำพูดยังเสียดหูไม่น่าฟัง


เพียงแต่ไม่รอให้ผู้เฒ่าเกาหยางอ้าปากพูด ข้างๆ ก็มีคนพูดอย่างเย็นเยียบ “สหายยุทธ์ ไม่ว่าเจ้าจะดีใจหรือไม่ ข่าวทั้งหมดก็ได้ยืนยันว่าเด็กหนุ่มที่สังหารอย่างบ้าคลั่งคนนั้น ขึ้นไปบนภูเขาเทพพร้อมกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้า เท่านี้ก็เพียงพอที่จะยืนยันว่า เด็กหนุ่มคนนั้นมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้า!”


ผู้พูดคือคนใหญ่คนโตเผ่าสิงห์โลหิต ผู้แข็งแกร่งเผ่าพวกเขาก็พินาศโดยสิ้นเชิงเช่นกัน และแทบจะสิ้นชีพภายใต้เงื้อมมือหลินสวินทั้งหมด


เพราะฉะนั้นยามนี้คำพูดคำจาของเขาจึงไม่เกรงใจเลยสักนิด


“ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต เรื่องทุกอย่างต้องมีคำอธิบาย”


“ใช่ เด็กหนุ่มคนนั้นกําเริบเสิบสาน โหดเหี้ยมอย่างที่สุด ก่อกวนจนฟ้าพิโรธคนชิงชัง หากไม่ฆ่าเขาให้ตาย พวกข้าจะไม่หยุดเด็ดขาด”


ทันใดนั้นเหล่าคนใหญ่คนโตเผ่าคชามาร เผ่ากาฬพฤกษ์ เผ่ากวางหยกเป็นต้นต่างส่งเสียง ท่าทางคาดคั้นเอาความ เสียดสีผู้เฒ่าเกาหยาง


พวกเขาโกรธจนหัวเสียแล้วจริงๆ แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น กลับฆ่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าต่างๆ จนพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จะให้พวกเขารับได้อย่างไร


ผู้เฒ่าเกาหยางรู้สึกกดดันยิ่งขึ้นไปอีก ไม่รู้จะจัดการอย่างไร


และในขณะนั้นเอง ข่าวหนึ่งได้ถูกถ่ายทอดมา…


“เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นฆ่าฟันกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว!”


โครม!


หินก้อนเดียวปลุกคลื่นเป็นพันระลอก พื้นที่บริเวณนี้สั่นไหวขึ้นมาทันที ต่างส่งเสียงฮือฮา แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไม่ใช่หรือ พวกเขาฆ่าฟันกันเองได้อย่างไร


เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างท่านย่าเทพสังหารที่คาดคั้นในตอนแรก ยามนี้ต่างตะลึงและสับสน นี่มันเรื่องอะไรกัน


ส่วนผู้เฒ่าเกาหยางหน้ากลับหน้าเคร่งทันที ฆ่าฟันกันเองหรือ ไม่น่าจะใช่กระมัง!


ไม่นาน รายละเอียดของข่าวในแดนลับอสูรมารอริยะก็ทยอยส่งมา


“ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณโจมตีปิดล้อมเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นเอาไว้ ต้องการจะขวางไม่ให้เขาช่วงชิงวาสนา ใครจะคิดว่าพวกเขากลับพ่ายแพ้ให้แก่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”


“น่ากลัวเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นสู้โดยลำพังกับศัตรูสามคน บาดเจ็บสาหัสสองคน ยิ่งไปกว่านั้นคือตายคาที่ไปหนึ่งคน!”


เมื่อรู้ข่าวเหล่านี้ทั่วบริเวณต่างฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างเดือดพล่าน บนใบหน้าคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าเจือความย่ามใจไม่มากก็น้อยอย่างควบคุมไม่อยู่


เด็กหนุ่มคนนั้นดุดันจนถึงขั้นไม่กลัวอะไรแล้วจริงๆ แม้แต่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขายังกล้าฆ่า ช่างกล้าจริงๆ!


โดยเฉพาะคนใหญ่คนโตอย่างพวกท่านย่าเทพสังหาร สีหน้าต่างดูแปลกประหลาดอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเขายังคาดคั้นเอาความจากผู้เฒ่าเกาหยางอยู่เลย ใครจะคิดว่าเพียงพริบตา เด็กหนุ่มดุดันคนนั้นกลับฆ่าผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณซะเอง!


“เหอะๆ สหายยุทธ์ ดูเหมือนว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้าจะให้กำเนิดบุคคลที่สุดยอดคนหนึ่งนะ วิธีระดับนี้ช่างเหี้ยมโหดจริงๆ”


“สหายยุทธ์ ตอนนี้เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ข้าว่าลูกศิษย์เนรคุณแบบนี้กำจัดไปเสียเถอะ มิเช่นนั้นสักวันจะต้องเป็นภัยต่อแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้าแน่”


“เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเลือดเย็นเพียงนี้ แม้แต่เพื่อนร่วมสำนักของตนยังกล้าฆ่า…หืม สหายยุทธ์ เหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงดูแย่ถึงเพียงนี้”


คนใหญ่คนโตเหล่านั้นส่งเสียงกันอย่างคลุมเครือและแปลกประหลาด คำพูดเต็มไปด้วยความเสียดสีและเย้ยหยัน


ส่วนผู้เฒ่าเกาหยางตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ไปตั้งนานแล้ว เดือดดาลสุดกำลัง สีหน้าเขียวคล้ำ เส้นเลือดแต่ละเส้นบนหน้าผากโป่งพอง ในใจโกรธเกรี้ยวอย่างบอกไม่ถูก


เด็กหนุ่มคนนั้น… กล้าเนรคุณถึงเพียงนี้!


สมควรตายนัก!


เดิมทีหลังจากได้ยิน ‘การกระทำอันรุ่งโรจน์’ ทั้งหมดที่หลินสวินทำในแดนลับอสูรมารอริยะแล้ว ในใจผู้เฒ่าเกาหยางเกิดความรู้สึกเสียดายผู้มีพรสวรรค์ คิดว่าหลังจากปฏิบัติการครั้งนี้จบลง จะยอมจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนเพื่อรักษาชีวิตของ ‘เด็กหนุ่ม’ คนนั้นเอาไว้ หากสามารถรับตัวเขาไว้ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้ก็ยิ่งดี


เพียงแต่ยามนี้เขาคร้านจะสนใจแล้วว่าเด็กหนุ่มดุดันคนนั้นเป็นใคร และไม่สนว่าเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ ถึงทำให้เกิดเหตุการณ์ ‘ฆ่ากันเอง’ นี้ขึ้น


เขารู้เพียงว่า ในเมื่ออีกฝ่ายฆ่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขา ก็จะให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!


อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เฒ่าเกาหยาง หลินสวินในตอนนี้ถูกตัดสินโทษตายไปแล้ว!


………………


ตอนที่ 606 สรรค์สร้างมรรคาขึ้นใหม่

โดย

ProjectZyphon

ภายในตำหนักเก่าแก่ เสียงบรรยายมหามรรคเลื่อนลอย ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์


หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น เข้าสู่การตระหนักรู้อย่างลึกล้ำ ร่างกายแผ่กระจายท่วงทำนองแห่งมรรคสีใสเป็นระลอกๆ


หลังศีรษะของเขาปรากฏแสงสมบัติไตรมรรคอันขาวสะอาดดั่งหยก แปรเป็นแผ่นจานหมุนทรงกลม เป็นสิริมงคลและสดใส ประหนึ่งกระจกแจ่มชัด ทำให้เขายิ่งดูล่องลอยและตัดทางโลก


เสียงธรรมเลื่อนลอยราวกับดังมาจากสามสิบสามชั้นฟ้า ดุจท่องไปในยุคบรรพกาล รับฟังอัครบุคคลไร้เทียมทานถ่ายทอดมหามรรคอันลึกซึ้งและละเอียดอ่อน


หลินสวินทำความเข้าใจอย่างละเอียด สัมผัสจากภายในสู่ภายนอก ดื่มด่ำอยู่ในนั้น ดูคลุมเครือไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้


สิ่งที่เรียกว่า ‘มรรค’ นั้น ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ แต่สามารถเข้าใจ สังเกตและยืนยันได้!


ตอนที่หลินสวินหยั่งรู้ บริเวณท้ายทอยของเขา จานหมุนศักดิ์สิทธิ์ที่ราวกับกระจกอันแจ่มชัดนั่นทวีความสดใสปลอดโปร่ง ดูสง่างามน่าอัศจรรย์


สุดท้ายจานหมุนศักดิ์สิทธิ์ตรงท้ายทอยหมุนเวียน สะท้อนถ้ำสวรรค์ถ้ำหนึ่งออกมา!


ภายในถ้ำสวรรค์นั้นแสงศักดิ์สิทธิ์กึกก้อง เมฆหมอกงดงามพรั่งพรู ท่วงทำนองแห่งมรรคปกคลุม ดูราวกับโลกต้นกำเนิด แท่นมรรคอันเก่าแก่และเรียบง่ายตั้งตระหง่านอยู่ภายใน แสงสมบัติไตรมรรคที่ราวกับหยกขาวล้อมอยู่รอบๆ แท่นมรรค ศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ


นี่เป็นการสำแดง ‘มรรคา’ ของตน!


สิ่งที่สะท้อนอยู่ในจานหมุนศักดิ์สิทธิ์คือมกุฎมรรคาที่หลินสวินครอบครองในตอนนี้ เป็นถ้ำสวรรค์และแท่นมรรคต้นกำเนิดภายในร่างของเขา!


โชคดีที่ขณะนี้จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกเองก็กำลังหยั่งรู้มหามรรค จึงไม่ได้สังเกตเห็นภาพนี้ มิเช่นนั้นจะต้องตะลึงและพูดไม่ออกอย่างแน่นอน


เพราะถ้ำสวรรค์ในร่างกายที่หลินสวินก่อขึ้นมานั้นโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ สามารถเปิดแท่นมรรคได้ตั้งแต่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น เห็นชัดว่าน่าทึ่งและแตกต่างจากโลกมากเกินไป


ควรรู้ว่าสำหรับผู้ฝึกปราณธรรมดา มีเพียงการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างแท่นมรรคหยั่งสัจจะที่เป็นของตนได้


ต่อให้ผู้กล้าระดับจ้าวจิ่งเซวียนและเซียวหรันก็สามารถสร้างแท่นมรรคเป็นของตัวเองได้ตั้งแต่อยู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น


แต่คนที่สามารถทำได้อย่างหลินสวิน ที่บนแท่นมรรคหยั่งสัจจะมีแสงสมบัติไตรมรรคอันลึกลับล้อมอยู่ แทบไม่เคยเห็นมาก่อน!


สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ หลินสวินไม่ได้รับรู้ด้วยเลย


ในใจเขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ระหว่างจมสู่การหยั่งรู้ลึกล้ำนี้ แก่นแท้อัศจรรย์ที่ได้ยินผนวกเข้ากับมรรคาที่ผ่านมาของเขา และชี้แนะให้เห็นถึงรายละเอียดและปัญหาบางอย่างที่เขาเคยละเลยในการฝึกปราณในอดีต ต่างปรากฏซ้ำขึ้นมา และถูกตระหนักแจ้งอย่างถี่ถ้วน


จวบจนกระทั่งตอนหลังหลินสวินเลิกยึดติดกับการหยั่งรู้ เริ่มฉวยโอกาสนี้สร้างมรรคาของตนขึ้นมาใหม่อีกครั้งระหว่างการตระหนักรู้!


ระดับปราณห้าระดับใหญ่ ได้แก่ ระดับกำลังภายใน ระดับจิตผสานวิญญาณ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ระดับหยั่งสัจจะและระดับกระบวนแปรจุติ!


ระดับกำลังภายในก็แบ่งออกเป็นเก้าขั้นได้แก่ กำหนดปราณ รากฐานมั่นคง เปิดองคาพยพ บรรจบช่องทาง ชำระล้างแกนจิต โลหิตเดือดพล่าน อนุจักรวาล มหาวัฏจักร และแปรลักษณ์วิญญาณ


ในทุกๆ ขั้นล้วนมีความลึกลับ จะทำให้พลังของผู้ฝึกปราณเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ ดูเหมือนจะง่าย แต่กลับเป็นก้อนหินแต่ละก้อนที่เป็นฐานของการสร้างมหามรรคแห่งตน


ดั่งคำที่ว่าไม่เดินทีละก้าวก็ไปไม่ถึงเป้าพันลี้ ไม่สะสมน้ำในลำธารก็ไม่สามารถรวมเป็นแม่น้ำ


การฝึกปราณก็เช่นเดียวกัน


หลินสวินในวัยเยาว์ เพราะถูกชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดไป ร่างกายอ่อนแอจนเกือบเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แทบจะไม่สามารถฝึกปราณได้


โชคดีที่เขาได้พบกับท่านลู่ จึงได้เดินในเส้นทางแห่งการฝึกปราณ แต่เนื่องจากความเสียหายทางร่างกายของเขา ทำให้แม้ว่าเขาจะเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกปราณ แต่ความสำเร็จที่ได้รับก็จำกัด


หลังจากนั้นเพราะการปรากฏของห้องโถงมรรคาสวรรค์ ทำให้เขาแทบจะ ‘เปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า’ เกิดการเปลี่ยนแปลงปานถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ราวกับได้เกิดใหม่


ทว่าก่อนการเปลี่ยนแปลง ความสำเร็จบนมรรคาของเขามีจำกัด อย่างไรก็มีข้อบกพร่องบางประการ ไม่ใช่มรรคาที่สมบูรณ์แบบ


ทั้งหมดนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาในตอนนี้ แต่วันใดที่เขาไต่สู่มหามรรคสูงสุด ก็จะพบว่าข้อบกพร่องเล็กๆ ที่ยากสังเกตเห็นพวกนี้ซึ่งทิ้งไว้ในการฝึกปราณช่วงแรก กลับส่งผลกระทบที่คาดเดาไม่ถึง!


ตอนนี้ในใจหลินสวินตระหนักรู้ ฉวยโอกาสนี้หยั่งถึงและพลิกสถานการณ์ ตัดสินใจที่จะสรรค์สร้างวิถีของตัวเองใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการซ่อมแซมเสริมจุดบกพร่อง ทำให้มรรควิถีของตนสมบูรณ์แบบ


กำหนดปราณ!


ก้าวแรกสู่มหามรรค ขั้นแรกของระดับกำลังภายใน ใช้ลมปราณเป็นตัวนำ โคจรพลังวิญญาณผ่านเส้นปราณและจุดชีพจร เพื่อชะล้างสิ่งปฏิกูลในร่าง


หลินสวินบรรลุใหม่อีกครั้ง ลมปราณเคลื่อนไปตามความประสงค์ สงบจิตใจรับรู้ทุกรายละเอียดภายใน ท่ามกลางความคลุมเครือ เสียงที่ดังอยู่ข้างหูก็เปลี่ยนไปด้วย ราวกับกำลังอธิบายความหมายของการ ‘กำหนดปราณ’ โดยเฉพาะ


สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกใหม่และมีความสุขเหมือนยามเพิ่งก้าวเข้าสู่วิถี มักมีความมหัศจรรย์อันช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างสูงสุด


รากฐานมั่นคง!


ดูดกลืนพลังวิญญาณ หลอมชำระอวัยวะตันห้ากลวงหก เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง สูดหายใจเข้าดั่งวัว สูดหายใจออกดั่งธนู


เปิดองคาพยพ!


เปิดอวัยวะตันห้ากลวงหกด้วยพลังวิญญาณของตน และใช้พลังวิญญาณหล่อหลอม ทะลวงเส้นปราณแห่งอวัยวะทั้งมวล กลืนเก่ารับใหม่


บรรจบช่องทาง!


ชำระล้างแกนจิต!


……


ด้วยการตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น หลินสวินราวกับได้ย้อนเส้นทางมรรคาของตน เริ่มต้นจาก ‘กำหนดปราณ’ ก้าวไปสู่ ‘รากฐานมั่นคง’ ‘เปิดองคาพยพ’ ‘บรรจบช่องทาง’ ตามกันไป


การสรรค์สร้างขึ้นใหม่ในทุกก้าว ล้วนมีผลเก็บเกี่ยวและการตระหนักรู้!


ประสบการณ์อันล้ำค่าเช่นนี้หายากเกินไป การจะได้ครอบครองนั้นขึ้นอยู่กับวาสนา หากไม่ใช้โอกาสนี้ในการตระหนักรู้และพลิกสถานการณ์ ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้


ตำหนักเก่าแก่ราบเรียบ เสียงธรรมราวกับเสียงธรรมชาติเลื่อนลอย เหมือนอริยะโบราณเปิดแท่นเทศนาธรรม ถ่ายทอดคำสอนคัมภีร์


นี่ไม่ใช่โอกาสอันล้ำค่าหายากสำหรับหลินสวินเท่านั้น แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นๆ ก็เป็นของขวัญอันล้ำค่าครั้งหนึ่งเช่นกัน


เสียงธรรมของอัครบุคคลบรรพกาล หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา โดดเด่นอย่างหาที่สุดไม่ได้


ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับสังสารวัฏมา กลัวว่าจะดีใจจนบ้าคลั่ง ฟังจนหลงสติลืมตัว


ทว่าการตระหนักรู้เช่นนี้แตกต่างกันออกไปตามระดับของแต่ละคน ความลึกลับที่หยั่งถึงได้ก็แตกต่างกัน


นี่ก็คือลิขิต เหล่าผู้แข็งแกร่งอย่างหลินสวินหยั่งถึงได้เพียงความจริงอันลึกลับที่เกี่ยวข้องกับระดับของพวกเขาเท่านั้น ไม่สามารถสอดส่องหยั่งรู้ความจริงแท้แหงระดับกระบวนแปรจุติ ระดับสังสารวัฏ และอื่นๆ ที่สูงกว่าได้


“อ๊าก!”


ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป จู่ๆ ก็มีเสียงร้องดังแว่วมาจากตำหนักหนึ่ง


ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าหงส์หิรัณย์คนหนึ่งถูกพลังที่มองไม่เห็นม้วนออกจากตำหนักและเคลื่อนย้ายไปยังเชิงเขา


ผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ที่รออยู่ที่เชิงเขาถูกดึงดูดทันที หรือวาสนามรดกครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว?


“น่าชังนัก! ความสามารถในการหยั่งรู้ของข้าไม่พอ ความจริงอันลึกลับที่หยั่งถึงได้ถึงขีดจำกัดแล้ว บรรลุได้เพียงวิชาลับวิชาเดียวเท่านั้น ยากที่จะมีผลเก็บเกี่ยวอีก จึงถูก ‘ส่ง’ ออกมา!”


สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่จำยอม


ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนต่างตะลึง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสายตาอิจฉา ความสามารถในการหยั่งรู้ไม่พอยังได้มรดกวิชาลับวิชาหนึ่งมา ศุภโชคในครั้งนี้น่าทึ่งเกินไปแล้ว


“ไม่รู้ว่าสหายยุทธ์บรรลุวิชาลับระดับไหนหรือ”


มีคนอดถามไม่ได้


ผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนนั้นอึ้งไป พลันระแวงขึ้นมาและกล่าวว่า “พวกเจ้าหยุดอาลัยอาวรณ์ได้แล้ว วิชาลับระดับนี้หยั่งรู้ได้เพียงในใจเท่านั้น ไม่สามารถช่วงชิงและถ่ายทอดออกไปได้ เพราะนี่คือพลังมรดกไร้เทียมทานของอัครบุคคลบรรพกาลเชียวนะ!”


พูดถึงตอนท้าย หว่างคิ้วของเขาเผยความดีใจอย่างเก็บไม่อยู่


เห็นได้ชัดว่าแม้จะถูกขับออกมา แต่วิชาลับที่เขาบรรลุเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เขาพอใจอย่างที่สุด


เมื่อรู้ดังนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เดิมอยากรู้อยากลอง หมายจะลงมือช่วงชิงวาสนาก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจทันที วาสนาในครั้งนี้ไม่สามารถช่วงชิงได้งั้นหรือ?


น่าผิดหวังจริงๆ!


ส่วนพวกซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อยิ่งรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่สุด สีหน้าดูย่ำแย่ อึดอัดราวกับกินแมลงวันเข้าไป


วาสนาไม่สามารถช่วงชิงได้งั้นหรือ


ก็หมายความว่าต่อให้ฆ่าหลินเสวียนนั่น ก็ไม่ได้ศุภโชคที่เขาได้จากบนยอดเขานั้นหรือ


“ไม่ต้องเสียใจไป ในมือของเด็กนั่นไม่ได้มีแค่วาสนานี้ อย่าลืมว่าเขายังช่วงชิงคัมภีร์อริยมรรคเล่มหนึ่งจากเกาะอริยะปัญจธาตุ อีกทั้งในมือยังมีเจดีย์สมบัติที่สร้างโดยเหล็กเทพศุภโชค!”


ซูซิงเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเย็นเยียบ


เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อจึงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อยในยามนี้


ส่วนเซียวหรันนั้นนิ่งเงียบโดยตลอด


พรึ่บ!


ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งถูกส่งตัวออกมาจากตำหนักโบราณบนยอดเขา


“ทำไมกัน ข้าขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะได้รับเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์เล่มหนึ่งแล้ว! แต่ต้องมาพลาดเช่นนี้…”


นี่คือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าวัวมารทรงพลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่จำยอม ตะโกนก้องหมายจะพุ่งขึ้นบนยอดเขาอีกครั้ง


เสียดายที่ภูเขาทั้งเก้าลูกถูกผนึกต้องห้ามปกคลุม ทำให้เขายากจะก้าวเข้าไปใกล้


พอเห็นภาพนี้ ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ บริเวณเชิงเขาที่ไม่เคยเข้าไปในตำหนักยิ่งอิจฉาตาร้อน


ภายในตำหนักโบราณนั่นมีวาสนาไร้เทียมทานอะไรซ่อนอยู่กันแน่


ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า วาสนาในครั้งนี้ ความสามารถในการหยั่งรู้ยิ่งด้อยเท่าไหร่ ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็น้อยลงไปด้วยและจะถูกขับออกมาเร็วกว่า


อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์และเผ่าวัวมารทรงพลัง บางทีพวกเขาอาจจะนับได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดแล้ว แต่คนที่สามารถเข้าไปในตำหนักโบราณได้ ไม่มีใครเลยที่เป็นคนธรรมดา


ที่พวกเขาถูกขับออกมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพรสวรรค์และความสามารถในการหยั่งรู้ไม่เพียงพอ


พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…


ตามคาด หลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าทยอยถูกส่งออกมาจากตำหนักโบราณทั้งเก้า


มีคนตีอกชกหัว มีคนผิดหวังเสียใจ มีคนถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า และมีคนพอใจกับผลเก็บเกี่ยวของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนได้ผลเก็บเกี่ยว ต่างกันแค่มากหรือน้อยก็เท่านั้น


ระหว่างนั้นได้เกิดความขัดแย้งขึ้น


ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ไม่เคยขึ้นไปบนยอดเขาลอบโจมตีกะทันหัน หมายจะฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าเต่าทมิฬคนหนึ่งที่เพิ่งได้รับวาสนา


แต่ที่น่าตกใจคือ ผู้แข็งแกร่งเผ่าเต่าทมิฬยังไม่ทันได้ตอบโต้ คนที่ลอบโจมตีก็ถูกสังหารในทันที!


คนที่ลงมือไม่ใช่ผู้ฝึกปราณในที่นั้น แต่มาจากพลังต้องห้ามบนภูเขาเทพ แปรเป็นสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมายังคนที่ลอบโจมตีผู้นั้นจนแหลกละเอียดทันที น่าสยดสยองอย่างที่สุด!


“ศุภโชคต้องได้มาด้วยตัวเอง ไร้ซึ่งวาสนาแต่ฝืนช่วงชิง ต้องตาย!”


นี่เป็นเสียงที่ก่อตัวขึ้นจากพลังผนึกต้องห้ามอันลึกลับ ทั้งเย็นชา ว่างเปล่า และไร้อารมณ์ แต่กลับทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ขนพองสยองเกล้า


ผู้แข็งแกร่งทุกคนจึงตระหนักได้ว่า สถานที่แห่งวาสนาอันลึกลับแห่งนี้ ยังมีเคราะห์สังหารอันน่าสะพรึงที่มองไม่เห็นเช่นนี้ซ่อนอยู่


ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ เหตุผลที่พวกเขารออยู่ที่นี่เพราะคิดว่าจะสามารถตีชิงตามไฟ ขวางกั้นเข่นฆ่าเพื่อช่วงชิงวาสนาได้


แต่ตอนนี้พอเห็นจุดจบของคนที่ลอบโจมตีคนนั้นแล้ว ใครยังจะกล้าทำเช่นนี้


ยามนี้ในที่สุดเซียวหรันที่เงียบมาโดยตลอดก็ไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งได้แล้ว ส่งเสียงถอนหายใจ สีหน้าเผยความไม่จำยอมอย่างปิดไม่อยู่


เดิมทีเขาเองก็คิดว่าจะรออยู่ที่นี่ ลองดูว่าจะสามารถช่วงชิงศุภโชคได้บ้างหรือไม่ แต่ตอนนี้เหมือนต้องยอมแพ้แล้ว…


นี่ทำให้เซียวหรันรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าสวรรค์สร้างความลำบากใจให้เขาทุกด้าน หรือนี่คือเจตจำนงของสวรรค์?


——


ตอนที่ 607 เรื่องตลกดุจดั่งละคร สถานการณ์สับสนวุ่นวาย

โดย

ProjectZyphon

ท่ามกลางเวลาที่ผ่านเลยไป บนยอดภูเขาทั้งเก้า ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าถูกส่งออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เกิดเสียงฮือฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย


เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยขึ้นไปบนยอดเขาต่างอิจฉาจนแม้แต่หัวใจยังหลั่งเลือด ส่วนเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ได้ศุภโชคกลับมาต่างย่ามใจยิ่ง


สิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนตะลึงคือ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่กลับจากการหยั่งรู้ต่างได้รับศุภโชคที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!


ผู้ฝึกปราณบางคนบรรลุไปหนึ่งขั้น


บางคนควบคุมท่วงทำนองมหามรรคบางอย่าง


บางคนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิญญาณ


บางคนได้รับวิชาลับโบราณบางอย่างที่เหมาะสมกับตน


สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ แม้แต่วิชาลับโบราณที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นได้รับก็แตกต่างกัน ครอบจักรวาล ปกคลุมหมื่นสำนัก มีมรดกลับมหายานแห่งพุทธนิกาย มีวิชาลึกล้ำของลัทธิเต๋า และมีวิชาลับอันเป็นเอกลักษณ์อื่นๆ


อีกทั้งวิชาลับแต่ละอย่างล้วนเข้ากันได้ดีกับพรสวรรค์ของผู้ที่ได้รับอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเขายิ่งอิจฉาตาร้อนเข้าไปใหญ่


แต่ไม่มีใครกล้าลงมือช่วงชิง ผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนภูเขาทั้งเก้านี้น่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขต ใครกล้าฝืนช่วงชิงวาสนา ก็จะถูกสังหารในทันที!


“มหาวาสนา! หนึ่งคำพูดถ่ายทอดหมื่นวิชา แม้จะอยู่ในสมัยบรรพกาล วาสนาเลิศล้ำระดับนี้ก็หายากเช่นกัน!”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนถอนหายใจอย่างเสียดาย ไม่สามารถขึ้นเขาไปได้ ทำให้พวกเขารู้สึกไม่จำยอม


ที่เศร้าที่สุดคงจะเป็นเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เพราะการต่อสู้กับหลินสวินและความประมาทของเซียวหรัน ทำให้พวกเขาพลาดวาสนาอันหายากนี้กันหมด


ตอนนี้สายตาของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มองพวกเขาต่างเปลี่ยนไป แฝงความเย้ยหยันและเวทนา ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น


แบบนี้แหละที่เรียกว่าเจตจำนงฟ้าเกินคาดเดา!


และสีหน้าของพวกซูซิงเฟิง เหวินเสียง อวิ๋นเช่อก็มืดมนอย่างที่สุด แม้แต่เซียวหรันหว่างคิ้วยังปรากฏความอึมครึม


ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ครั้งนี้พวกเขาขาดทุนอย่างหนักเลยเชียว


“ฮ่าๆๆ ในที่สุดข้าก็ตามหาความทรงจำเสี้ยวหนึ่งเจอแล้ว ได้รับวิชาลับพรสวรรค์ที่สืบทอดมาในสายเลือด ต่อไปวันคืนที่จะได้ก้าวสู่มกุฎมหามรรค อยู่เหนือสรรพชีวิตก็อยู่ไม่ไกลแล้ว!”


จู่ๆ เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดก็ดังแว่วขึ้น เจ้าคางคกในชุดคลุมสีเขียวถูกส่งตัวมาที่เชิงเขา ท่าทางของเขาดูได้ใจ สีหน้าสดชื่น ปลื้มปริ่มใจอย่างบอกไม่ถูก


เพียงแต่หลังจากนั้นเขาก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว รับรู้ได้ถึงไอสังหารเย็นเยียบที่ปกคลุมเข้ามา ทำให้เขาขนลุกซู่


หันหน้าไปก็เห็นว่าสีหน้าของพวกซูซิงเฟิงต่างมืดทะมึน สายตาเต็มไปด้วยไอสังหารเหี้ยมโหด กำลังจับจ้องเขา


“ให้ตายสิ! ซวยขนาดนี้เชียว”


เจ้าคางคกตกใจตัวลอย รีบร้อนจะหนี ความได้ใจและความตื่นเต้นหายไปไม่มีเหลือ


เขาคิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะได้รับศุภโชคมา ก็ต้องมาเจอกับศัตรูที่จ้องจะเล่นงานมากมายเพียงนี้แล้ว


เพียงแต่ไม่นานเขาก็สังเกตว่า แม้ว่าใบหน้าของพวกซูซิงเฟิงจะเย็นชาและเผยไอสังหาร แต่กลับไม่ได้ลงมือ


ทำให้เจ้าคางคกฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ ลูกตากลอกไปมา ตระหนักได้ว่าสถานการณ์เหมือนจะค่อนข้างแปลกประหลาด


“หยุดพูดไร้สาระ ให้โอกาสเจ้ารอดชีวิตครั้งหนึ่ง ส่งสมบัติบนตัวมาให้หมดแล้วจะไว้ชีวิต!”


เหวินเสียงตะคอก


“มีสิทธิ์อะไร”


เจ้าคางคกชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง


“ทำไม พวกเราอุตส่าห์จะปล่อยเจ้าไป แต่เจ้ากลับอยากตายงั้นหรือ”


สีหน้าของเหวินเสียงอึมครึมลง


และข้างๆ ไอสังหารทั่วตัวของซูซิงเฟิงและอวิ๋นเช่อยิ่งทวีความรุนแรง สายตาที่มองเจ้าคางคกเหมือนกำลังจ้องคนตายคนหนึ่ง


ทำให้สีหน้าของเจ้าคางคกดูแย่ขึ้นมาเล็กน้อย ในใจกระวนกระวาย ถ้าเขาคนเดียวคงสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆ


แต่สิ่งที่เขาสงสัยคือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเผยไอสังหารและกดดันทุกทาง แต่กลับไม่ได้ลงมือ ดูแปลกอยู่ไม่น้อย


“ฮ่าๆๆ ดูสิ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทะเลาะกันเองอีกแล้ว คนพวกนั้นอิจฉาตาร้อน ขู่เอาสมบัติจากเด็กหนุ่มชุดคลุมเขียวคนนั้น”


ห่างออกไปเสียงหัวเราะเยาะดังลั่นขึ้น ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงพลันดังขึ้น ณ ที่นั้น ท่าทางเย้ยหยัน


สีหน้าของพวกซูซิงเฟิงดูแย่อย่างที่สุด เคียดแค้นจนกัดฟันแทบแหลกละเอียดแล้ว


ปัง!


ทันใดนั้นเหวินเสียงพลันลงมือ เอาห่วงคอสีเงินยวงออกมา ฆ่าผู้แข็งแกร่งที่กำลังหัวเราะยกใหญ่คนนั้นผ่านอากาศ เลือดสดสาดกระเซ็น


“เจ้ากล้าจู่โจม!”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนเดือดดาล


“ทำไมจะไม่กล้า ในบรรดาพวกเจ้า กว่าครึ่งล้วนไม่ได้รับวาสนา ยังจะกล้าหัวเราะเยาะพวกข้า จนปัญญากับพวกเจ้าจริงๆ!”


เหวินเสียงพูดอย่างเย็นเยียบ


ได้ยินเช่นนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยจากแต่ละเผ่าต่างเงียบกริบ สีหน้าเปลี่ยนไปไม่น้อย


ขณะนี้พวกเขาจึงตระหนักได้ว่า ผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่ในที่แห่งนี้ปกป้องเพียงผู้ที่ได้รับวาสนาไม่ให้ถูกทำร้าย!


กล่าวอีกนัยหนึ่ง บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ไม่ได้รับวาสนา หากเกิดความขัดแย้งขึ้นก็ยังจะตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต


“เฮอะ”


เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ส่งเสียงโห่ร้องและเยาะเย้ยตกใจกลัว สีหน้าของพวกเหวินเสียงและซูซิงเฟิงจึงดีขึ้นมาก


‘น้องชายชุดเขียว เจ้าไม่ต้องกลัว พวกเขาไม่กล้าฆ่าเจ้า’


จู่ๆ ก็มีคนส่งสื่อจิตหาเจ้าคางคก บอกเหตุผลที่เป็นเช่นนี้


เห็นได้ชัดว่าการเตือนเช่นนี้ไม่อาจพูดได้ว่าหวังดี แต่เป็นจงใจยั่วยุ ต้องการให้เจ้าคางคกกับพวกซูซิงเฟิงสู้กันเอง


เจ้าคางคกรู้เรื่องทั้งหมดนี้มุมปากก็อดกระตุกแรงๆ คนพวกนั้นกล้ายกตนข่มท่าน ขู่เข็ญเขา ทนไม่ได้จริงๆ!


“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าอยากได้สมบัติในตัวข้างั้นหรือ”


เจ้าคางคกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์


เหวินเสียงระแวงขึ้นมาทันที แต่ปากกลับพูดว่า “นี่เป็นการไถ่โทษให้เจ้า หากทำตามข้าจะพิจารณาให้ทางรอดกับเจ้า”


“ทางรอดงั้นหรือ”


ทันใดนั้นเจ้าคางคกพลันส่งเสียงหัวเราะน่ากลัว กระโดดขึ้นตบไปทางเหวินเสียง “ทางรอดแม่เจ้าสิ! วันนี้ข้าจะต้องตบเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าให้ตาย!”


“เจ้ากล้า!”


เหวินเสียงเดือดดาล โกรธจนตาถลนเบ้าตาแทบแตก กับเจ้าคางคกเขาไม่กลัวเลยสักนิด ถึงขั้นมั่นใจว่าสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย


แต่สุดท้ายเขากลับหลบหลีกไป ในใจอัดอั้นอย่างมาก ช่วยไม่ได้ เขาหวาดกลัวผนึกต้องห้ามของที่แห่งนี้มาก กลัวว่าตอนที่ลงมือกับเจ้าคางคก จะเผชิญกับเรื่องไม่คาดคิด


ส่วนเจ้าคางคกเห็นเช่นนี้ ความกล้าก็เพิ่มขึ้นทันที ความลังเลเสี้ยวสุดท้ายในใจหายแวบไป ตามฆ่าเหวินเสียงพร้อมเสียงหัวเราะแปลกประหลาดอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด


“บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ข้าไม่กล้าทำ! ไสหัวมาเดี๋ยวนี้ มาให้ข้าตีก้นเจ้าให้เละ!”


“เจ้ากล้าเหยียบหยามข้าหรือ”


“ฮ่าๆๆ ก็เหยียบหยามเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าจะทำอะไรข้าได้ แน่จริงเจ้าก็ลงมือสิ”


“ฝากไว้ก่อนเถอะ ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ข้าจะดึงเอ็นแล่เนื้อเจ้า บดกระดูกโปรยเถ้าถ่านเสียให้หมด!”


“หน๊อยๆๆ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ยังจะกล้าข่มขู่ข้าอีก ตายซะ!”


สถานการณ์สับสนวุ่นวาย เจ้าคางคกไล่ตามเหวินเสียงอย่างไม่คิดชีวิต สำแดงฝีมือ ปล่อยรุ้งศักดิ์สิทธิ์ผ่าออกมาเป็นสายๆ เต็มไปด้วยไอสังหาร


ส่วนเหวินเสียงหนีอย่างต่อเนื่อง ไม่กล้าตอบโต้ โกรธจนใบหน้าแดงอมม่วง ตะโกนอย่างเดือดดาลไม่รู้หยุด เขาโกรธจนสุดจะทนแล้วจริงๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้


เจ้าคางคกยิ่งได้ใจกว่าเดิม มีคนคอยหนุนหลังจึงไม่มีอะไรต้องกลัว เสียงหัวเราะบ้าคลั่งกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน ในใจรู้สึกสะใจอย่างที่สุด


ห่างออกไปผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าตกตะลึงอ้าปากค้าง หัวเราะกันอย่างครื้นเครง เสียงที่แฝงความเย้ยหยันนั่นกระตุ้นจนเหวินเสียงแทบระเบิด อยากจะกระอักเลือดอยู่หลายครั้ง


ในขณะที่พวกซูซิงเฟิง สีหน้าของแต่ละคนต่างหม่นแสง เรื่องน่าขายหน้านี้ทำให้พวกเขาเองก็รู้สึกว่าเกินจะรับไหว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขาตกอับถึงขั้นนี้


“ก็แค่พึ่งพาการคุ้มครองของพลังต้องห้าม เจ้าไม่รู้สึกไร้ยางอายไปหน่อยหรือ”


อวิ๋นเช่อด่าว่าอย่างเดือดดาล


“บ้านเจ้าเถอะ กล้าด่าข้าว่าไร้ยางอายงั้นหรือ”


เจ้าคางคกโกรธเกรี้ยว ปล่อยเหวินเสียงแล้วไปตามฆ่าอวิ๋นเช่อ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขา เขาถูกอวิ๋นเช่อไล่ฆ่าจนเลือดท่วมไปทั้งตัว ท่าทางสะบักสะบอมน่าอนาถ


ตอนนี้จะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไร


ดังนั้นอวิ๋นเช่อเองก็จำต้องหนีหัวซุกหัวซุน หลบหลีกอย่างต่อเนื่อง


จนสุดท้ายเจ้าคางคกยังไม่หายแค้น จึงตามไปฆ่าซูซิงเฟิงอีก ทำให้สถานการณ์สับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที


เช่นนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ยิ่งสุขใจอย่างที่สุด หัวเราะตัวโยนจนน้ำตาแทบไหลแล้ว


พวกเขาเพิ่งค้นพบว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมเขียวคนนั้นใจกล้าคับฟ้าถึงเพียงนี้ กล้าหาเรื่องมากกว่าเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นเสียอีก!


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ถูกส่งตัวมาที่เชิงเขาด้วย เมื่อเห็นภาพนี้เข้า ดวงหน้ากระจ่างงดงามก็อดเผยแววแปลกประหลาดไม่ได้ เจ้าคางคกนี่ก่อเรื่องเกินไปแล้ว


ทว่าเมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมและอัดอั้นของพวกซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อ จ้าวจิ่งเซวียนเองก็อดเบิกบานไม่ได้ มุมปากอวบอิ่มปรากฏเป็นรอยยิ้ม


“ศิษย์น้องจ้าว ให้เขาหยุดเถอะ”


ห่างออกไป สีหน้าของเซียวหรันเย็นชา หว่างคิ้วแฝงความขึ้งโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้าคงรู้ดีว่าถ้าอาละวาดแบบนี้ต่อไปเขาก็ทำร้ายอะไรใครไม่ได้ สิ่งเดียวที่เสียหายมีเพียงเกียรติยศของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเรา”


รอยยิ้มตรงมุมปากของจ้าวจิ่งเซวียนแข็งค้างไปทันที ดวงตาเผยความเย็นเยียบ นางนึกถึงตอนที่ถูกเซียวหรันลอบโจมตีหลังจากเข้าไปในตำหนัก


“ข้ากลับรู้สึกว่าเช่นนี้น่าสนใจดี”


สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนเรียบเฉย ดวงตาคู่ใสจับจ้องเซียวหรัน เอ่ยว่า “ถึงขั้นที่ ตอนนี้ข้าเองก็อยากศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้กับศิษย์พี่สักหน่อย”


“เจ้า…”


สีหน้าของเซียวหรันเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ย “ศิษย์น้องจ้าว ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธข้าอยู่ แต่ทุกคนก็ล้วนทำเพื่อช่วงชิงวาสนา ตอนที่อยู่ในตำหนักข้าก็ไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้าจริงๆ เจ้าไม่เข้าใจหรือ”


“อยากให้ข้าเข้าใจงั้นหรือ”


มุมปากของจ้าวจิ่งเซวียนเผยแววหยันเยาะบางๆ “งั้นก็ดี ให้ข้าลอบโจมตีเจ้าครั้งหนึ่งเป็นอย่างไร”


ในที่สุดเซียวหรันก็ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา


ที่ผ่านมาจ้าวจิ่งเซวียนเคารพและชื่นชมเขาอย่างที่สุด ตอนนี้นางกลับเปลี่ยนไป มองเขาเป็นศัตรู ทำให้เซียวหรันเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ยามนี้จ้าวจิ่งเซวียนกลับส่งเสียงปรามเจ้าคางคก “เจ้าคางคก หยุดเถอะ อาละวาดต่อไปก็ฆ่าพวกเขาไม่ได้ มีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ”


เจ้าคางคกหัวเราะแหะๆ “ก็จริง”


นี่ทำให้เซียวหรันโล่งอก แต่พวกซูซิงเฟิง เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อกลับดีใจไม่ออก


ถูกเจ้าคางคกไล่ฆ่าตลอดทางต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ แต่พวกเขากลับไม่สามารถโต้ตอบได้ ความรู้สึกอัดอั้นและอับอายทำให้พวกเขาแทบคลั่ง จะยังมีสีหน้าดีๆ อะไรได้


“เจ้าพูดถูกแล้ว อย่างไรข้าก็เป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ จะต้องปกป้องชื่อเสียงของสำนัก แต่ไม่นับรวมพวกเจ้า”


สายตาของจ้าวจิ่งเซวียนมองไปทางเซียวหรัน สีหน้าเย็นชา “ข้าจะจำเรื่องวันนี้ให้ขึ้นใจ สักวันจะเอาคืนพวกเจ้าอย่างสาสม!”


น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว


นางนึกถึงหลินสวินที่เคยถูกพวกซูซิงเฟิงลอบโจมตีรุมทำร้ายกะทันหัน และนึกถึงเรื่องที่ตนถูกลอบโจมตี


นางไม่สามารถให้อภัยเรื่องทั้งหมดนี้ได้!


…………..


ตอนที่ 608 มรรคาสมบูรณ์

โดย

ProjectZyphon

เจ้าคางคกเลิกตามไปโจมตี ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าที่เฝ้าดูอยู่ต่างหมดสนุก และท่าทางเด็ดเดี่ยวของจ้าวจิ่งเซวียนก็ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป


สุดท้ายแม้ว่าเรื่องตลกจะจบลง แต่ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจิ่งเซวียนหรือพวกเซียวหรันต่างรู้ดีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ร่วมสำนักของพวกเขาได้แตกหักกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว!


เวลายังคงผ่านไปเรื่อยๆ ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่เข้าไปในตำหนักโบราณทั้งเก้า ส่วนมากถูกทยอยส่งออกมาแล้ว


“ในตำหนักแรก เหลือเพียงหนิวทุนเทียนคนเดียว!”


“ในตำหนักที่สาม ก็เหลือเพียงเมิ่งเหลียนชิงคนเดียว”


“ในตำหนักที่สี่ ก็เหลือเพียงข่งซิ่ว”


……


ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างกำลังรอคอย พวกเขารู้ดีว่ายิ่งอยู่ในตำหนักโบราณนั่นได้นานเท่าไหร่ ศุภโชคที่จะได้รับก็ยิ่งมาก


และเมื่อรู้ว่าเหล่าบุคคลไร้เทียมทานแห่งยุคอย่างพวกหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วพวกนี้ ยามนี้ยังคงยืนหยัดอยู่ ในที่นั้นพลันเกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจเป็นระลอกๆ อย่างควบคุมไม่อยู่


แต่ละเผ่าล้วนมีบุคคลระดับบุตรเทพ แต่ในบรรดาบุคคลระดับบุตรเทพ ผู้ที่ทำได้โดดเด่นที่สุดคือพวกหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงอย่างไม่ต้องสงสัย!


พวกเขาได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนด้วยผลการรบอันดุดันมาตั้งนานแล้ว และตอนนี้ยังสามารถหยั่งรู้อยู่ในตำหนักได้นานเพียงนี้ แค่คิดก็รู้ว่าพรสวรรค์และพลังของพวกเขาน่าทึ่งเพียงใด


“ในตำหนักที่เจ็ด เหลือเพียงแค่เสวียนหลัวจื่อคนเดียว”


“ในตำหนักที่เก้า… เหลือเพียงแค่เด็กหนุ่มเทพมารเผ่ามนุษย์คนเดียว!”


“อะไรนะ เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นยังหยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง ยังไม่ถูกส่งออกมางั้นหรือ”


“แม้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะโหดร้ายไร้ที่เปรียบ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีเพียงบุคคลระดับเขาเท่านั้น ที่อาจจะสู้ตัดสินกับพวกหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงได้กระมัง”


เมื่อรู้ว่าหลินสวินยังคงอยู่ในนั้น ไม่เคยถูกขับออกมา สีหน้าของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างสับสนขึ้นมา มีทั้งคนที่ชิงชังเคียดแค้น และคนที่ถอนหายใจและชื่นชม


มีเพียงพวกซูซิงเฟิงที่สีหน้าอึมครึม กัดฟันกร่อน


พวกเขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า หลินสวินจะสามารถยืนหยัดได้ถึงตอนนี้ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมายของพวกเขา และยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัว


หลินสวินสามารถยืนหยัดได้ถึงตอนนี้ เป็นการยืนยันอย่างไร้ข้อกังขาว่า เขามีพรสวรรค์และความสามารถในการหยั่งรู้ที่เหนือคาด คนที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนเช่นนี้ หากครั้งนี้ได้รับมรดกอันแข็งแกร่งบางอย่างอีก ต่อไปก็จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวไม่ใช่หรือ


เด็กคนนี้จะเก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด!


พวกซูซิงเฟิงแอบคิดในใจอย่างโหดร้าย ที่พึ่งเดียวของพวกเขาในตอนนี้ คือเมื่อออกจากที่นี่แล้ว จะยืมพลังของผู้เฒ่าเกาหยางไปคิดบัญชีกับหลินสวิน


แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่ถูกต้องนัก แต่ขอเพียงแค่สามารถฆ่าหลินสวินและช่วงชิงสมบัติในตัวเขาได้ พวกเขาก็ไม่เสียดาย!


“นอกจากที่พวกเขาอยู่ห้าตำหนัก สี่ตำหนักที่เหลือบนภูเขาอื่นๆ ว่างเปล่าไปแล้ว…”


“นี่ไม่ใช่การยืนยันหรือว่า มรดกในตำหนักทั้งสี่นั่นไม่มีใครสามารถรับการถ่ายทอดได้อย่างสมบูรณ์ น่าเสียดายจริงๆ!”


“ใช่ เสียดายจริงๆ”


ในลานมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นระลอกๆ


ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างพบว่า นอกจากตำหนักโบราณที่หลินสวินและพวกหนิวทุนเทียนห้าคนยึดครอง ภายในตำหนักโบราณอื่นๆ อีกสี่ตำหนัก ไม่มีผู้แข็งแกร่งมาตั้งนานแล้ว


มีความหมายชัดเจนว่ามรดกในตำหนักทั้งสี่นี้จะไร้ซึ่งคนได้เชยชม ทำให้อดถอนหายใจด้วยความเสียดายไม่ได้


‘น่าเสียดายจริงๆ…’


เซียวหรันพึมพำในใจ วันนี้เขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย เกิดความผันผวนมากมาย แม้เขาอยากข่มกลั้น ยังยากที่จะทำได้


และทั้งหมดนี้ ล้วนผิดที่ออกจากยอดเขาก่อนเวลาอันควร!


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เซียวหรันก็ยิ่งอัดอั้น ตอนนั้นไม่มีใครบังคับให้เขาออกมา แต่เป็นตัวเขาออกมาเอง ใครจะคิดว่าจะพลาดศุภโชคไปเพราะเหตุนี้


นี่ก็เหมือนการเข้าสู่ภูเขาสมบัติแต่กลับมามือเปล่า เป็นใครก็คงไม่สามารถรักษาความสงบได้


ตามความคิดของเซียวหรัน หากเขายังอยู่ในตำหนักโบราณนั่น ย่อมไม่ด้อยไปกว่าพวกหลินสวิน หนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิงอย่างแน่นอน!


น่าเสียดาย นี่ก็คือวาสนา ผิดพลาดเพียงก้าวเดียว ผลลัพธ์ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


……


‘แม่นางจ้าว เจ้าหยั่งถึงสิ่งใด’


เจ้าคางคกสื่อจิตถาม เขาเบิกบานใจมาก แม้ว่าไม่สามารถยืนหยัดจนจบได้ แต่จากการหยั่งรู้เมื่อครู่นี้ เขาได้ความทรงจำที่เลือนลางหลายอย่างในอดีตกลับคืนมาโดยบังเอิญ


สิ่งที่หายากที่สุดคือ เขายังควบคุมวิชาลับพรสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาลับฝึกปราณของเผ่าคางคกทองสามขาอย่างพวกเขา!


สำหรับเจ้าคางคกแล้ว นี่เหมือนกับการค้นพบมรรคาที่แท้จริงของตนอย่างไม่ต้องสงสัย ในอนาคตขอเพียงแค่เขาฝึกฝนให้หนักขึ้น ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถทะยานไปสู่มหามรรคได้


‘ข้าได้รับวิชาลับบรรพกาลวิชาหนึ่ง ชื่อว่า ‘วิชากลุ่มดาวสี่ลักษณ์’’


จ้าวจิ่งเซวียนตอบสั้นๆ ได้ใจความ ทว่าน้ำเสียงกลับเผยความดีใจ เห็นได้ชัดว่ามรดกนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่หาได้ยากสำหรับนาง


‘ในสมัยบรรพกาล เทพได้แบ่งปวงสวรรค์หมื่นพิภพ จำแนกกลุ่มดาวออกเป็นยี่สิบแปดกลุ่ม แบ่งออกเป็นสี่ลักษณ์ หนึ่งลักษณ์มีเจ็ดกลุ่มดาว ตั้งชื่อตามสัตว์เทพบรรพกาลอันได้แก่ วิหคชาด มังกรเขียว เสือขาว เต่าดำ เบื้องบนชิงพลังสวรรค์ เบื้องล่างยึดครองสี่ทิศ… วิชานี้กล้าใช้ชื่อว่ากลุ่มดาวสี่ลักษณ์ ต้องเป็นมรดกที่ยอดเยี่ยมวิชาหนึ่งอย่างแน่นอน!’


เจ้าคางคกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันที เพียงจากชื่อเขาก็รู้แล้วว่าวิชาลับนี้จะต้องไม่ธรรมดา


‘ผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้ของเจ้าก็ไม่น้อยเลย’


จ้าวจิ่งเซวียนเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง


เจ้าคางคกได้ใจขึ้นมาทันที ยิ้มพูด ‘แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าแน่’


‘แล้วเทียบกับหลินสวินล่ะ’


จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ


เจ้าคางคกรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที พลันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ให้ข้าดีใจสักพักไม่ได้หรือไง เหตุใดเจ้าจึงชอบทำลายขวัญกำลังใจของคนอื่นเหมือนเจ้าหนูคนนั้น นิสัยแย่ๆ เช่นนี้ต้องปรับปรุง!’


พูดถึงตรงนี้เขาพลันลูบคางโดยไม่รู้ตัว แหงนหน้าขึ้นมองบนยอดเขา พึมพำว่า ‘จะว่าไป ข้าสงสัยจริงๆ ว่า ท้ายที่สุดเด็กหมอนั่นจะได้รับศุภโชคอะไร…’


จ้าวจิ่งเซวียนเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นัยน์ตาคู่ใสมองไปที่ยอดเขา


ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคน ยามนี้จุดสนใจของทุกคนในที่นั้นล้วนอยู่ที่ผู้แข็งแกร่งทั้งห้าอย่างหลินสวิน หนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อ


เพราะจวบจนถึงตอนนี้ มีเพียงพวกเขาทั้งห้าที่ยังไม่ถูกส่งกลับมา แต่ยังคงอยู่ในระหว่างการหยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง น่าทึ่งเกินไปแล้ว


และนี่ก็หมายความว่า ศุภโชคที่พวกเขาจะได้ตอนท้ายสุด จะต้องไม่ธรรมดาใช่หรือไม่


……


ภายในตำหนักโบราณ


หลังศีรษะของหลินสวิน จานหมุนศักดิ์สิทธิ์หมุนเวียนแสงสว่างไสว สะท้อนภาพถ้ำสวรรค์แท่นมรรค แสงสมบัติล้อมรอบ แผ่กระจายหมอกศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายท่วงทำนองมรรคเก่าแก่และเรียบง่าย


ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินลืมตาขึ้นกะทันหัน จนถึงตอนนี้เขาได้สร้างมรรคาของตัวเองขึ้นมาใหม่ ทะลวงผ่านอย่างสิ้นเชิง ในใจปลอดโปร่งร่าเริง


เขาสัมผัสได้อย่างเต็มที่ว่ามรรคาของตนเปลี่ยนไปอีกแล้ว!


ก่อนหน้านี้ตอนที่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ เพียงเพราะในระดับปราณนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด ทำให้เขาก้าวไปสู่มกุฎมรรคาที่ทรงพลังที่สุดนับตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบันได้


แต่ตอนนี้เมื่อผ่านการรับฟังความจริงอันลึกลับของเสียงธรรมนั้น ทำให้เขาก้าวเดินสู่มรรคาอีกครั้งในระหว่างการหยั่งรู้ สรรค์สร้างขอบเขตระดับของตนใหม่ ทำให้ระดับที่มีในอดีตเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่


การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นสุดของมรรคานับตั้งแต่ฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ ราวกับเป็นการหวนกลับไปฝึกใหม่ ทำให้มรรคาที่หลินสวินควบคุมได้ไม่มีความผิดพลาดและจุดบกพร่องอีกต่อไป สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด!


‘มิน่าใครๆ ถึงกล่าวว่าโลกชั้นล่างมรรคบกพร่อง หากไม่ใช่เพราะได้รับศุภโชคในวันนี้ ทำให้ข้าได้ชดเชยจุดบกพร่อง เกรงว่าคงไม่สามารถทำให้มรรคาของข้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นสุดเช่นนี้ได้…’


หลินสวินตระหนักรู้ในใจ


ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าโลกชั้นล่างมรรคบกพร่อง แต่กลับไม่รู้ว่า ‘บกพร่อง’ ตรงไหน


วันนี้เมื่อผ่านการหยั่งรู้มหามรรคอย่างลึกซึ้ง ในที่สุดเขาก็มองเห็นแล้วว่ามรรคที่ ‘บกพร่อง’ นี้อยู่ที่ไหน และฉวยโอกาสนี้ทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ ทำให้มรรคาเปลี่ยนแปลงถึงที่สุดอย่างแท้จริง!


ยามนี้รอบตัวของเขาว่างเปล่า กลิ่นอายสมบูรณ์และเต็มเปี่ยมด้วยพลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกการกระทำล้วนนำพาท่วงทำนองที่มองไม่เห็น ประสานเข้ากับฟ้าดิน ยอดเยี่ยมและโดดเด่น


แม้พลังปราณยังคงอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นสมบูรณ์ แต่หลินสวินกลับรับรู้ได้ว่า การควบคุมพลังและความเข้าใจต่อมหามรรคของตน เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!


ในใจเขาพลันปรารถนาจะสู้สักครา ต้องการพิสูจน์ตัวเอง นี่คือท่าทางชั้นยอดอย่างหนึ่ง เต็มไปด้วยความมั่นใจ มีรสชาติแห่งการชิงชัยในมหามรรค


การหยั่งรู้จบลงแล้ว แต่หลินสวินกลับสังเกตเห็นว่า ยามนี้กระถางหินที่อยู่กลางตำหนักมีฝนแสงมหามรรคแถบหนึ่งพรั่งพรูออกมาปกคลุมทั้งตัวเขา


ชั่วพริบตาหลังจากนั้นเขาก็หายแวบไปจากตำหนัก


……


ในตำหนักที่หนึ่ง


หนิวทุนเทียนที่นั่งขัดสมาธิพลันลุกขึ้นอย่างกะทันหัน


ร่างกำยำเกรียงไกรของเขาราวกับภูเขาที่สูงตระหง่าน ซัดสาดแสงดำน่ากลัวปานกระแสน้ำเชี่ยว สีหน้าทรงอำนาจเย่อหยิ่ง ดวงตาฉายความเย็นเยียบ มีมาดโอหังดุจดั่งใต้หล้านี้มีเพียงข้าที่ยิ่งใหญ่


“โฮก!”


เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าคำรามเสียงยาว ผมสยายปลิวไสว รูปร่างประดุจเทพมาร


หลังจากผ่านการหยั่งรู้ในครั้งนี้ หนิวทุนเทียนแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!


……


“ผ่านการหยั่งรู้ครานี้ ภายในสามปีนี้เมื่อก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ จะต้องชิงชัยในมรรคาที่สูงขึ้น”


ภายในตำหนักที่สาม เงาร่างอันสูงโปร่งของเมิ่งเหลียนชิงลอยพลิ้วขึ้นมา เปล่งแสงสีทองอร่ามไปทั่วทั้งร่าง ราวกับทองคำกำลังไหลเวียน รุ่งเรืองสะดุดตา


สามารถมองเห็นรางๆ ว่าด้านหลังนางคล้ายมีภาพมายาหงส์หิรัณย์บินอยู่ในท้องฟ้าสีคราม หมายจะเทียบชั้นกับสวรรค์!


……


“มรรคนี้ช่างลึกลับ ข้าได้ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยเลย!”


ภายในตำหนักที่สี่ บุตรเทพข่งซิ่วแห่งเผ่าโห่วเมฆาลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยสายฟ้าตัดสับไปมา น่าหวาดผวาอย่างที่สุด


บนผมสีดำยาวนุ่มสลวยของเขารอบล้อมไปด้วยรัศมีสายฟ้าสีเงินที่วิบไหวไม่หยุด สะท้อนภาพเขาออกมาประหนึ่งเทพที่กำเนิดจากการอาบไล้สายฟ้า


……


“การหยั่งรู้ครั้งนี้เหลือเชื่อมากจริงๆ…”


ภายในตำหนักที่เจ็ด บุตรเทพเสวียนหลัวจื่อแห่งเผ่าเต่าทมิฬลุกขึ้นและจมอยู่ในภวังค์ความคิด


เขามีผมยาวสีฟ้าคราม รูปร่างสูงชะลูดองอาจ มีหมอกควันสีฟ้าราวกับภาพฝันไหลหลั่งทั่วกาย แต่บุคลิกของเขากลับเฉียบคมราวกับหอกไร้เทียมทาน หมายจะแทงทะลุชั้นฟ้า!


……


ยามนี้ทั้งหลินสวิน หนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อล้วนตื่นขึ้นมาแทบจะในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เพราะพวกเขารู้สึกตัวขึ้นมาเอง


แต่เป็นเพราะเสียงถ่ายทอดมหามรรคนั้นเลื่อนลอยหายไปแล้ว บรรยากาศมรดกอันเป็นเอกลักษณ์ปานท่องอยู่ในยุคบรรพกาลก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย


พวกเขาจึงตื่นจากการหยั่งรู้โดยพร้อมเพรียงกัน


หลังจากนั้นพวกเขาต่างสังเกตเห็นเช่นเดียวกับหลินสวินว่า กระถางหินกลางตำหนักเกิดเสียงคำราม พ่นฝนแสงมหามรรคออกมาปกคลุมร่างกายพวกเขาเอาไว้ สุดท้ายก็หายไปจากแต่ละตำหนักโดยพร้อมเพรียงกัน


โครม!


ในขณะเดียวกันบนยอดภูเขาทั้งเก้าเกิดคลื่นเคลื่อนไหวอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันที ดึงดูดทุกสายตาที่อยู่บริเวณเชิงเขาให้หันมองพร้อมกัน


……………


ตอนที่ 609 ตำราทองสาส์นหยก

โดย

ProjectZyphon

ภูเขาทั้งเก้าคำราม ดึงดูดสายตาของทุกคน


“ดูนั่น กระถางหินทั้งเก้าปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน!”


มีผู้แข็งแกร่งอุทานด้วยความตกใจ


บนยอดภูเขาทั้งเก้า ท้องฟ้าเหนือทุกตำหนักยามนี้กลับมีกระถางหินที่เก่าแก่เรียบง่ายโผล่ออกมา ตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ พรั่งพรูพิรุณแสงมหามรรค!


“จะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”


ทุกคนตะลึง สายตาถูกดึงดูดอย่างสิ้นเชิง พวกเขาตระหนักได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสะเทือนโลกเช่นนี้จะต้องมีความหมายบางอย่าง


ตามคาด สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างอึ้งค้างอยู่กับที่ ดวงตาเบิกโพลง สีหน้าดูไม่อยากจะเชื่อ


พลันเห็นว่ากระถางหินเก่าแก่ทั้งเก้าที่โผล่ขึ้น ยามนี้ปรากฏเป็นค่ายกลเก้าตำหนัก สร้างเป็นอาศรมเก่าแก่กลางอากาศหลังหนึ่ง!


อาศรมนั่นเต็มไปด้วยความเก่าแก่ ราวกับอยู่มาตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบันและปรากฏต่อโลกในวันนี้ กลิ่นอายเก่าแก่โชกโชนเด่นชัด


สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือที่กลางอาศรมมีเบาะรองนั่งใบหนึ่ง ด้านบนมีสาส์นหยกวางอยู่ชิ้นหนึ่ง มีแสงมรรคสีทองอร่ามไหลเวียนอยู่!


กลิ่นอายของสาส์นหยกนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก แสงมรรคสีทองที่แผ่กระจายออกมาย้อมเบาะรองนั่ง อาศรม รวมทั้งอากาศจนกลายเป็นสีทองอร่าม


ส่องสว่างไจดจ้า กลิ่นอายมิเสื่อมสลาย!


ตำราทองสาส์นหยก!


ยามรับรู้ถึงภาพนี้ ที่เชิงเขาหัวใจของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างเต้นแรง ลมหายใจหอบกระชั้น สายตาเต็มไปด้วยความหลงใหลและตื่นตะลึง


ตำราทองสาส์นหยกเล่มเดียว แผ่แสงมรรคส่องสว่างไปทั่วภูผาธารา และกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์นั่นถึงขั้นทำให้จิตใจของผู้ฝึกปราณจมดิ่งลงไปอีกด้วย!


ตำราทองสาส์นหยกเล่มนี้จะต้องเป็นมหาศุภโชคที่ลึกลับที่สุด สูงส่งที่สุด และมีค่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!


ทำให้ทุกคนตะลึงและยากจะเชื่อ


อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ เหล่าผู้ฝึกปราณที่เคยขึ้นไปบนยอดเขาทั้งเก้าล้วนได้รับศุภโชคมาแล้วไม่มากก็น้อย


ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่า ตอนที่พวกเขาคิดว่าทุกอย่างกำลังจะสิ้นสุดลง ยังมีศุภโชคที่ใหญ่ยิ่งกว่าปรากฏขึ้นบนโลก


“น่าชังนัก!”


“ตำราทองสาส์นหยกนั่นศักดิ์สิทธิ์เพียงนี้ จะต้องเป็นมรดกสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับอริยมรรคอย่างแน่นอน น่าชังนักที่พวกข้าไม่มีวาสนา!”


“ทำไม ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนตีอกชกหัว ขัดเคืองใจอย่างที่สุด


แม้แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เคยได้รับวาสนาในตำหนักโบราณมาแล้ว ยามนี้ต่างไม่จำยอมถึงที่สุด ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น


ตอนนี้พวกเขาถูกพลังผนึกต้องห้ามกีดกันอยู่ตรงเชิงเขา ได้แต่มองวาสนาหนึ่งเดียวในโลกปรากฏขึ้นมาโดยไม่สามารถทำอะไรได้ และไม่มีโอกาสจะไปช่วงชิง


ความรู้สึกแบบนั้นทรมานมากจริงๆ!


และสำหรับพวกซูซิงเฟิง ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเหมือนกับถูกไม้ฟาดใส่จนพวกเขาหัวสมองมึนงงกันหมด ในใจอัดอั้นแทบจะกระอักเลือด


ถ้ารู้แต่แรกว่าบนยอดเขานั่นยังมีวาสนาหนึ่งเดียวในโลกอย่างตำราทองสาส์นหยกซ่อนอยู่ มีหรือที่พวกเขาจะเลือกไปเล่นงานหลินสวิน


เสียดายที่บนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง ตอนนี้พวกเขาก็ได้แค่มองอย่างอิจฉาตาร้อน แต่กลับไม่มีโอกาสได้ช่วงชิง อัดอั้นจนแทบจะช้ำใน


ส่วนเซียวหรัน เขายิ่งเงียบกว่าเดิม สีหน้าอึ้งงัน สองหมัดกำแน่นจนปลายนิ้วจิกเข้าเนื้อฝ่ามือ เส้นเลือดเขียวบนหลังมือนูนขึ้นมา


เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามควบคุมคลื่นที่พลุ่งพล่านในใจ ระงับอารมณ์ที่อัดอั้น ไม่จำยอม ผิดหวัง และโกรธเกรี้ยว


“ดูนั่น เจ้าหนูนั่นปรากฏตัวแล้ว!”


ห่างออกไปเจ้าคางคกตาเป็นประกาย ตื่นเต้นอย่างที่สุด เมื่อเห็นในอาศรมที่อยู่เหนือท้องฟ้าปรากฏเงาร่างแต่ละร่าง และในนั้นก็มีหลินสวิน


“ดูเหมือนว่าพวกเขายืนหยัดจนถึงท้ายที่สุด เท่ากับได้รับการยอมรับบางอย่าง จึงสามารถเข้าไปช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้นในอาศรมได้”


จ้าวจิ่งเซวียนพึมพำเบาๆ ใบหน้างามกระจ่างเผยแววแปลกประหลาด นางยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อกับความสามารถของหลินสวิน


“เป็นบุตรเทพหนิวทุนเทียนเผ่าข้า! ฮ่าๆๆ ซุภโชคครั้งนี้จะต้องเป็นของเผ่าวัวมารทรงพลังของข้าอย่างแน่นอน!”


เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังแว่วขึ้นในที่นั้น เป็นเสียงของผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลัง แต่ละคนต่างตื่นเต้นอย่างที่สุด


พวกเขาเห็นร่างสูงใหญ่กำยำของหนิวทุนเทียนปรากฏตัวขึ้นในอาศรม ท่าทางสง่าผ่าเผยน่าเกรงขาม


“ธิดาเทพเมิ่งเหลียนชิงเผ่าข้าก็อยู่ด้วย วาสนานี้จะเป็นของใครยังไม่แน่หรอก!”


“หึ! อย่าได้มองข้ามเผ่าเต่าทมิฬของข้าเด็ดขาด!”


“เหอะๆ มหาศุภโชคปรากฏขึ้น แน่นอนว่าบุตรเทพเผ่าโห่วเมฆาจะไม่พลาด”


ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าเต่าทมิฬและเผ่าโห่วเมฆาในที่นั้นต่างส่งเสียงและจ้องมองกัน สถานการณ์เกิดความตึงเครียด


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ในใจต่างอิจฉา ขมขื่นและจนปัญญา


บนยอดเขา ภายในอาศรมโบราณที่สร้างอยู่กลางอากาศ ตอนนี้มีคนทั้งหมดห้าคนโผล่ออกมา ได้แก่หลินสวิน หนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง เสวียนหลัวจื่อ และข่งซิ่ว


กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้น ถูกกำหนดให้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งในบรรดาพวกเขาทั้งห้า!


สำหรับคนอื่นๆ ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะไปช่วงชิง ได้แต่มองโดยไม่สามารถทำอะไรได้ แค่คิดก็คงรู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้มันน่าหงุดหงิดเพียงใด


“หึๆ อย่าลืมว่าในอาศรมนั่นยังมีเด็กหนุ่มเทพมารเผ่ามนุษย์คนนั้นอยู่ด้วย! ไม่ว่าหนิวทุนเทียนจากเผ่าวัวมารทรงพลัง เมิ่งเหลียนชิงจากเผ่าหงส์หิรัณย์ หรือจะเป็นข่งซิ่วจากเผ่าโห่วเมฆา เสวียนหลัวจื่อจากเผ่าเต่าทมิฬ ถ้าอยากได้ตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้น ผ่านด่านเด็กหนุ่มเทพมารก่อนค่อยพูดเถอะ!”


มีผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นๆ ทนดูไม่ไหว จึงส่งเสียงหัวเราะเยาะ


ได้ยินเช่นนี้ในลานพลันเกิดเสียงอึกทึกทันที


มีคนคิดว่ามีเด็กหนุ่มเทพมารเผ่ามนุษย์คนนั้นอยู่ ผลงานการรบของเขานั้นดุดันอย่างที่สุด ใครกล้ามองข้ามเขา รับรองว่าต้องซวย!


นี่ทำให้เผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆาและเผ่าเต่าทมิฬไม่พอใจ ต่างส่งเสียงกล่าวโทษ


“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นจะนับเป็นอะไร คู่ควรให้เอามาเปรียบกับบุตรเทพหนิวทุนเทียนของเผ่าข้าหรือ”


“หึ! เด็กหนุ่มเทพมารอะไร ชื่อเสียงจอมปลอม แค่ยังไม่เจอกับธิดาเทพเผ่าหงส์หิรัณย์ของข้า มิฉะนั้นเขาคงตายไปตั้งนานแล้ว อยู่ไม่ถึงตอนนี้หรอก”


“คอยดูให้ดีเถอะ ถ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นกล้าแย่งกับบุตรเทพเผ่าโห่วเมฆาของข้า จะไม่ให้เขาได้ตายดีแน่!”


“บุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬของข้าออกแสวงยุทธ์มาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่ต้านทานไหวแม้แต่การโจมตีเดียว วันนี้พวกเจ้ากลับเอาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาท้าทาย เป็นการเหยียดหยามบุตรเทพเผ่าข้าชัดๆ พวกเจ้าต้องขอโทษเดี๋ยวนี้!”


ในบริเวณนั้นวุ่นวายไม่เหลือสภาพ


“สถานการณ์ไม่ดีนัก เจ้าคิดว่าการช่วงชิงวาสนาในครั้งนี้ หลินสวินมีโอกาสชนะเท่าไหร่”


จ้าวจิ่งเซวียนขมวดคิ้ว ในดวงตามีความกังวลเสี้ยวหนึ่งแวบผ่าน


เจ้าคางคกลูบคาง ใบหน้านิ่งขรึม “ขอเพียงแค่พวกเขาไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถทำร้ายเจ้าหนูนั่นได้”


“ไร้สาระ”


จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตาใส่เขาอย่างไม่อภิรมย์แวบหนึ่ง นางเองก็รู้ว่าตอนนี้ยังดูอะไรไม่ออก จึงไม่สามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำ


ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือ เมื่อสงครามการช่วงชิงวาสนาครั้งนี้เกิดขึ้น จะต้องอันตรายและโหดร้ายอย่างที่สุด!


ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้นจะตกไปอยู่ในมือใคร ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้


เพราะผู้แข็งแกร่งทั้งห้าที่ขึ้นไปยืนในอาศรมโบราณในตอนนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบุคคลไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน พรสวรรค์โดดเด่น ผลการรบยอดเยี่ยมและชื่อเสียงเลื่องลือ


จึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่า ตอนที่พวกเขาสู้กัน สุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายแพ้ และใครจะเป็นผู้ชนะ


……


ตอนที่ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง ส่วนบนยอดเขา ภายในอาศรมโบราณที่โผล่ขึ้นกลางอากาศ หลินสวิน หนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อกำลังคุมเชิงกัน


อาศรมนั่นทั้งเก่าแก่และผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ถูกย้อมเป็นสีทองอร่ามและยิ่งใหญ่


สายตาของพวกเขาจ้องไปที่เบาะรองนั่งที่อยู่ตรงกลางอาศรมทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย ตรงนั้นมีตำราทองสาส์นหยกเล่มหนึ่งกำลังแผ่กระจายแสงมรรคสีทอง ศักดิ์สิทธิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้


สิ่งนี้ทำให้พวกเขาหวั่นไหว สายตาเผยความร้อนระอุ ด้วยตระหนักได้ว่านี่จะต้องเป็นมหาศุภโชคอย่างไม่ต้องสงสัย และพวกเขาจะต้องได้ครอบครอง!


เพียงแต่พวกเขาต่างก็ระมัดระวังและระแวงอย่างมาก รู้ว่าการจะช่วงชิงศุภโชคครั้งนี้ จะต้องผ่านด่านคู่ต่อสู้ก่อน


“คัมภีร์มีเพียงเล่มเดียว ในบรรดาเราสี่คน พลังต่อสู้ของใครเป็นที่หนึ่งคนนั้นก็จะได้ศุภโชคนี้ไป!”


หนิวทุนเทียนเอ่ยด้วยเสียงที่ราวกับฟ้าร้องกึกก้อง แผ่แสงดำไปทั่วทั้งตัว ท่าทางเผด็จการชวนกดดัน


จากนั้นเขาพลันหันไปจ้องหลินสวิน “ส่วนเจ้า เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ช่วงชิง ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ยืนดูอยู่ตรงนั้นดีๆ!”


เสียงนั่นก้องกังวาน เต็มไปด้วยไอสังหาร ประโยคเดียวก็เตะหลินสวินออกจากการช่วงชิงในครั้งนี้ คิดว่าเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะแข่งกับพวกเขา


“ทุกท่านคิดว่าอย่างไร”


ไม่ถามด้วยซ้ำว่าหลินสวินยินยอมหรือไม่ หลังจากพูดทิ้งท้ายเอาไว้ หนิวทุนเทียนก็เคลื่อนสายตาไปมองคนอื่นๆ อีกสามคน


ท่าทีที่ไม่แยแสและเผด็จการแบบนั้นทำให้หลินสวินอดหรี่ตาไม่ได้


“ก็ดี เราสี่คนดวลกัน ช่วงชิงกันด้วยความสามารถ”


เสวียนหลัวจื่อเอามือไพล่หลัง ผมยาวสีฟ้าครามพลิ้วไหว สายตาเฉียมคมราวกับคมดาบที่เทียมทาน


“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เห็นด้วยก็คงไม่ได้แล้ว”


อีกด้าน ข่งซิ่วไหวไหล่ สายฟ้าพลุ่งพล่านภายในนัยน์ตา น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด


“พวกเจ้าคิดว่า สหายผู้นี้จะยอมให้ความร่วมมือโดยดีและยอมแพ้ไปเองจริงๆ หรือ”


กลับเห็นว่าจู่ๆ ธิดาเทพเมิ่งเหลียนชิงจากเผ่าหงส์หิรัณย์ก็พูดขึ้น สายตามองไปทางหลินสวิน


“ไม่ให้ความร่วมมือก็ฆ่าซะ”


หนิวทุนเทียนเผยสีหน้าดูถูก ไม่ใส่ใจเรื่องนี้


“จากที่ข้าดู ไม่สู้มาจัดการสหายคนนี้ก่อน เราค่อยแข่งกันดีหรือไม่”


ได้ยินเช่นนี้ เมิ่งเหลียนชิงก็ระบายยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงสบายๆ ทั่วร่างนางแผ่แสงทองอร่าม ร้อนแรงและงดงาม พลังแข็งแกร่งอย่างมาก


ได้ยินข้อเสนอนี้ เห็นได้ชัดว่าทำให้หนิวทุนเทียน ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อหวั่นไหว สายตาที่มองหลินสวินก็ทวีความเยียบเย็นขึ้น


ถัดมาจู่ๆ หลินสวินก็ขยับ ก้าวไปใกล้ใจกลางอาศรม


“บอกให้เจ้าอยู่ดีๆ เจ้ายังกล้าขยับตัวมั่วซั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะส่งเจ้าไปลงนรกเสียเดี๋ยวนี้!”


หนิวทุนเทียนตะคอก ผมยาวแผ่สยาย สายตาเย็นชาไร้ปรานี เงาร่างแวบหายพุ่งไปสังหารหลินสวิน


ตูบ!


เขาโบกทวนสามง่ามสีทองอร่าม พละกำลังยิ่งใหญ่หนักแน่น ทำลายล้างห้วงอากาศ เรี่ยวแรงน่าสะพรึงกลัว


ฟุ่บ!


ร่างของหลินสวินหายไปกลางอากาศ ก่อนจะปรากฏตัวอีกฝั่งของอาศรม สายตาของเขาลึกล้ำและเย็นเยียบ มองไปทางหนิวทุนเทียนพร้อมเอ่ย “เจ้าวัวโง่ อย่าบังคับให้ข้าต้องฆ่าเจ้า!”


นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาถ่อมตัว เงียบแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไร


“เจ้าพูดกับข้าหรือ”


หนิวทุนเทียนอึ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอมนุษย์คนหนึ่งกล้าพูดจากับเขาเช่นนี้ เห็นเขาเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงที่รอเวลาถูกเชือด ทำให้เขาเกือบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง


“อย่างเจ้านับเป็นตัวอะไร!”


หลินสวินหมุนตัว พุ่งเข้าไปทางเบาะรองนั่งที่อยู่กลางอาศรมอีกครั้ง


——


ตอนที่ 610 การเปลี่ยนแปลงอันน่าตะลึงของศุภโชค

โดย

ProjectZyphon

อย่างเจ้านับเป็นตัวอะไร!


ได้ยินคำด่าว่าไม่เกรงใจเช่นนี้ หนิวทุนเทียนหน้าเขียวไปหมดแล้ว ควันออกหู เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ เคยถูกเย้ยหยันแบบนี้ซะที่ไหน


สิ่งที่น่าโกรธที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยมองสบตากับเขาเลย พูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วพุ่งเข้าใส่เบาะรองนั่งที่อยู่กลางอาศรม


เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ไม่กลัวคำขู่ของเขาสักนิด!


“ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”


หนิวทุนเทียนตะเบ็งเสียง ลงมือพร้อมความโกรธ


ตูม!


ทั่วร่างเขาแผ่กระจายแสงสีดำ บนร่างกายสูงใหญ่ราวกับภูเขาเต็มไปด้วยคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัว นี่คือกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งชั้นยอด เผด็จการน่าสะพรึง อานุภาพกลืนกินไปทั่วทุกสารทิศ


ผู้แข็งแกร่งหลายคนที่เชิงเขาอกสั่นขวัญแขวน


แม้จะเคยเห็นความน่ากลัวของหนิวทุนเทียนมาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นอีกครั้งในตอนนี้ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกกังวลใจและกระสับกระส่าย ตะลึงกับอานุภาพนี้


“ราชันวัวมารน้อยคนนี้…แข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!” ผู้แข็งแกร่งหลายคนพูดเสียงเบา แม้จะห่างกันแสนไกล ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสั่นสะเทือน


ฉัวะ!


แสงดำเคลื่อนที่ออกไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตาก็มาถึงด้านข้างหลินสวิน ทวนสามง่ามสีทองอร่ามเล่มหนึ่งผ่าฟันลงไป


“ตาย!”


หนิวทุนเทียนตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ทวนสามง่ามแหวกผ่านอากาศอย่างบ้าคลั่งและเอาแต่ใจ


โครม!


กระแสอากาศเกิดความปั่นป่วน แต่กลับไม่เห็นหลินสวินยืนอยู่ที่เดิมแล้ว


“หลบทันรึ” ผู้แข็งแกร่งหลายคนส่งเสียงฮือฮา


พลันเห็นเงาร่างของหลินสวินยืนอยู่ในระยะไกล รอบกายเต็มไปด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคที่ไหลเวียนต่อเนื่อง โดดเด่นเหนือใคร และไม่บาดเจ็บสักนิด


แม้จะเป็นเมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อยามนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้ และตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มเทพมารคนนี้ช่างสมคำร่ำลือ


“เจ้าวัวโง่ ความสามารถแค่นี้ยังจะกล้าเหิมเกริมหรือ”


หลินสวินยิ้มเยาะ นัยน์ตาดำขลับเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ


วัวโง่!


ผู้แข็งแกร่งหลายคนวิงเวียนตาลาย เด็กหนุ่มเทพมารคนนี้ก็บ้าบิ่นเกินไปแล้ว นั่นบุตรเทพเผ่าวัวมารทรงพลังเชียวนะ ทั้งยังได้รับขนานนามว่าเป็น ‘ราชันวัวมารน้อย’ แต่กลับถูกเขาด่าว่าราวกับเป็นสัตว์เดรัจฉาน


“บุตรเทพ ต้องฆ่าเขาให้ได้!”


เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลังต่างมีโทสะ ดวงตาแดงก่ำตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล


โครม!


ในอาศรมหลิวทุนเทียนโกรธจนผมตั้ง ชี้ทวนสามง่ามในมือไปที่หลินสวินซึ่งอยู่ห่างออกไป คมทวนสีทองอร่ามสาดแสงแสบตา เย็นเยียบน่าเกรงขาม


“วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อเป็นตัวอย่าง!”


“พูดมากจริงๆ ล้างคอให้สะอาด ข้าจะตัดหัวเจ้า”


หลินสวินยืนห่างออกไป สีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน สองตาลึกล้ำ ทั่วร่างแผ่แสงสีเขียวอ่อนบางๆ มีลักษณะโดดเด่นไม่แปดเปื้อน


ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ยอดฝีมือวัยเยาว์ทั้งสองประมือกันแล้ว!


คนหนึ่งเป็นบุตรเทพเผ่าวัวมารทรงพลังที่ว่ากันว่าสามารถสยบบุตรเทพในรุ่นราวคราวเดียวกันจนเงยหน้าไม่ขึ้น ทั้งเผด็จการและหยิ่งผยอง


อีกคนเป็นเด็กหนุ่มเทพมารเผ่ามนุษย์ที่เคยกวาดล้างผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงลำพัง สร้างเส้นทางอันนองเลือดไม่มีใครเทียบ!


ในพริบตาเดียว ทุกสายตาต่างรวมกันอยู่ที่นี่


ใครก็คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกด้วยซ้ำ ผู้แข็งแกร่งทั้งสองอย่างหลินสวินกับหนิวทุนเทียนก็เกิดความขัดแย้งกันก่อนแล้ว


บรรยากาศภายในอาศรมตึงเครียด การประชันหน้าเช่นนี้เรียกได้ว่าสะเทือนโลกาอย่างแน่นอน ชักจูงจิตใจของทุกคนในที่นั้น


“ในบรรดาเผ่ามนุษย์ คนที่กล้าอย่างเจ้าถือว่าน้อยมาก แต่คนที่กล้าพูดจาเช่นนี้กับข้าล้วนตายหมดแล้ว”


หนิวทุนเทียนสีหน้าเย็นเยียบ ผมยาวแผ่สยาย เขาในตอนนี้ไม่ได้ดูโกรธ มีเพียงความเย็นชาและเรียบเฉย


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้อานุภาพของเขาน่าสะพรึงกลัว เขาไม่ได้ทำอวดดี แต่เป็นเพราะได้ฝึกจิตวิญญาณจนไม่มีใครเทียบได้แล้ว


“จะว่าไป ข้ายังไม่เคยกินเนื้อวัวมารทรงพลังเลย ฆ่าเจ้าคราวนี้ บางทีอาจจะได้ลองชิม” หลินสวินพูดอย่างสบายๆ


ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าอึ้งงัน เด็กหนุ่มเทพมารคนนี้ป่าถื่อนเกินไปแล้ว ถึงกับเห็นราชันวัวมารน้อยเป็นอาหาร เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ หรือ มิฉะนั้นเหตุใดจึงพูดจาอย่างคนสติฟั่นเฟือนเช่นนี้


มีเพียงเจ้าคางคกเท่านั้นที่หัวเราะลั่น คิดว่าหลินสวินคล้ายตนเองอยู่สามส่วน ตรงที่ที่ไม่เห็นผู้แข็งแกร่งบนโลกอยู่ในสายตา กล้าหาญเต็มประดา


โครม!


อากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สีหน้าของหนิวทุนเทียนเย็นเยียบอย่างที่สุด เขากวัดแกว่งทวนสามง่าม แทงไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ราวกับเป็นสายฟ้าสีทองอร่าม ส่องสว่างจักรวาล


ผมดำของหลินสวินพลิ้วไสว ดวงตาดำขลับกระจ่างยามนี้ดูว่างเปล่าอย่างที่สุด ร่างกายสอดประสานกับมรรค โคจรพลังรอบตัวถึงจุดสูงสุด


ตูม!


เขาปล่อยหมัดเป็นประกายกลางอากาศ พรั่งพรูด้วยท่วงทำนองแห่งมรรค เข้าประชันกับอีกฝ่าย


ภายในอาศรมแห่งนี้ราวกับมีสายฟ้าระเบิดออก สะเทือนจนอากาศปั่นป่วน ประกายแสงแผ่กระจาย ส่งเสียงคำรามไปทั้งอาศรม


ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด!


“ฆ่า ฆ่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนเผ่ามนุษย์นั่นซะ!”


ผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลังส่งเสียงให้กำลังใจกึกก้องสะเทือนฟ้า


ผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นๆ ก็ล้วนติดตามการต่อสู้ชั้นยอดนี้อย่างตื่นเต้น


“เด็กหนุ่มคนนี้ฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพวกข้าไปไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้มาเจอกับหนิวทุนเทียน ไม่ว่าเขาจะโหดร้ายป่าเถื่อนแค่ไหน ก็ต้องเผชิญเคราะห์อย่างแน่นอน!”


ผู้แข็งแกร่งหลายคนกัดฟัน เหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งจากเผ่าที่หลินสวินเคยตามฆ่า อย่างเช่นเผ่ากาฬพฤกษ์ เผ่าคชามาร เผ่ากวางหยกและอื่นๆ


แน่นอนว่าพวกเขาอยากให้หลินสวินถูกฆ่าเสียประเดี๋ยวนี้


“หึ แม้หนิวทุนเทียนจะเก่งกาจ แต่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นก็ไม่แย่ อย่าลืมว่าบุคคลระดับบุตรเทพที่ตายในมือเขาไม่ใช่แค่คนสองคน!”


และมีผู้แข็งแกร่งคิดว่าหลินสวินไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายดายแน่นอน หากหนิวทุนเทียนต้องการฆ่าเขา ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น


ตูม!


กลางอากาศภายในอาศรม หลินสวินต่อสู้กับหนิวทุนเทียน ทั้งสองล้วนเป็นบุคคลไร้เทียมทานแห่งยุค ยามนี้สู้กันอย่างดุเดือด ฆ่าจนลมเมฆผันเปลี่ยน ตะวันดวงเดือนหม่นแสง สถานการณ์น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด


นี่ทำให้ในที่นั้นมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นเป็นระยะๆ มีทั้งคนที่ถอนหายใจกับความน่ากลัวของหนิวทุนเทียน และมีคนที่ตะลึงกับความแข็งกร้าวของหลินสวิน


มีเพียงพวกซูซิงเฟิงเท่านั้นที่สีหน้าดูแย่ที่สุด ผลงานของหลินสวินยิ่งโดดเด่นเท่าไหร่ ก็ทำให้พวกเขาโกรธเกรี้ยวและระแวงมากเท่านั้น หากเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากให้หลินสวินตายในมือหนิวทุนเทียน


ตอนที่การต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งเมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อต่างถอยหนี เว้นพื้นที่กว้างขวางมากพอให้พวกเขาต่อสู้


ยามนี้รอบกายของเมิ่งเหลียนชิงเต็มไปด้วยแสงสีทอง ผิวพรรณขาวยิ่งกว่าหิมะ กิริยาโดดเด่น


นัยน์ตานางมีเมฆศักดิ์สิทธิ์ไหลวน จ้องมองการต่อสู้ด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์


อีกด้านร่างกายของข่งซิ่วมีสายฟ้าพันรอบ รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ดูประหนึ่งถือกำเนิดจากการอาบสายฟ้า พาให้รู้สึกใจสั่น


ในขณะเดียวกัน เสวียนหลัวจื่อยืนนิ่ง ผมยาวสีฟ้าครามพลิ้วไสว ถือทวนงดงามสีฟ้าอ่อน รอบตัวพรั่งพรูความเฉียบคมอย่างไม่มีปกปิด


พวกเขาจ้องเขม็งไม่ละสายตา พร้อมลงมือช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกบนเบาะรองนั่งที่อยู่ตรงกลางตลอดเวลา


สวบ!


ในที่สุดเสวียนหลัวจื่อก็หมดความอดทนเป็นคนแรก ร่างกายวูบไหวรวดเร็ว ลงมือเป็นคนแรกราวกับแสงล่องสีฟ้า เร็วจนเหลือเชื่อ


ในระหว่างที่เด็กหนุ่มเทพมารและหนิวทุนเทียนต่อสู้กัน ไปช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกตอนนี้ถือเป็นโอกาสหนึ่งเดียวที่พันปีก็ยากจะพานพบ!


แต่ที่เหนือความคาดหมายของเสวียนหลัวจื่อคือ ตอนที่เขาลงมือ ชุดกระโปรงของเมิ่งเหลียนชิงพลิ้วลอยและโฉบเข้ามาแทบจะในขณะเดียวกัน


“ลงมือ!”


เมิ่งเหลียนชิงร้องเสียงใส นางไม่ได้จะไปช่วงชิงตำราทองสาส์นหยก แต่ต้องการขวางและโจมตีเสวียนหลัวจื่อ!


ฮูม…


รุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองเป็นประกายแถบหนึ่งบดบังฟ้าดิน ราวกับกระบี่เทพเล่มแล้วเล่มเล่าพุ่งเข้าปกคลุมมาทางเสวียนหลัวจื่อ


‘หรือพวกเขาร่วมมือกันแล้ว’


เสวียนหลัวจื่อหัวใจดิ่งวูบ พลันพบว่าอีกด้านข่งซิ่วได้เริ่มโจมตีตามที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด


“สมควรตาย!”


เสวียนหลัวจื่อไม่กล้าลังเล โจมตีด้วยทวนสีฟ้าอ่อน เขาตระหนักได้ว่าเมิ่งเหลียนชิงและข่งซิ่วจะต้องแอบร่วมมือกัน ต้องการกำจัดคู่ต่อสู้อย่างเขาก่อน!


ตูม!


การโจมตีนี้ระเบิดแสงเจิดจ้าแสบตา สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งอาศรม ราวกับสายฟ้าผ่าแหวกเก้าชั้นฟ้า กึกก้องไปทั่ว


แต่สิ่งที่ทำให้เสวียนหลัวจื่อแปลกใจคือ แม้ข่งซิ่วจะลงมือ ทว่าก็ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่ตน แต่พุ่งตัวไปยังกลางอาศรมระหว่างที่ตนต่อสู้กับเมิ่งเหลียนชิง


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน


เสวียนหลัวจื่อนัยน์ตาหดรัด


“ข่งซิ่ว เจ้ากล้าหลอกข้า!”


พลันเห็นเมิ่งเหลียนชิงด่าว่าอย่างเดือดดาล แสงสีทองทั่วร่างพลิ้วไหว ทิ้งเสวียนหลัวจื่อ แล้วเหินทะยานกลางอากาศไปโจมตีข่งซิ่ว


คราวนี้ในที่สุดเสวียนหลัวจื่อก็เข้าใจแล้ว!


เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ข่งซิ่วแอบร่วมมือกับเมิ่งเหลียนชิงเพื่อเล่นงานตน เพียงแต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของข่งซิ่วคือหลอกให้เมิ่งเหลียนชิงเชื่อใจ ให้นางมาขัดขวางตน!


เมื่อเป็นเช่นนี้ หนิวทุนเทียนและเด็กหนุ่มเทพมารขัดขวางกันเอง ในขณะที่เมิ่งเหลียนชิงและตนก็สกัดกั้นกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ ข่งซิ่วสามารถฉวยโอกาสนี้ช่วงชิงตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้น!


“เจ้าข่งซิ่วตัวดี!”


ความคิดเหล่านี้แวบขึ้นในใจ เสวียนหลัวจื่อที่เข้าใจทุกอย่างสีหน้าพลันอึมครึม นัยน์ตาก็เผยจิตสังหาร


เขากระชับทวนสีฟ้าอ่อนแทงไปทางข่งซิ่วอย่างไม่ลังเล


เสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นเมิ่งเหลียนชิงหรือเสวียนหลัวจื่อต่างช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่พวกเขามีปฏิกิริยา ข่งซิ่วก็พุ่งไปถึงกลางอาศรมตั้งนานแล้ว


เขาเอื้อมมือไปคว้าตำราทองสาส์นหยกบนเบาะรองนั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจยากจะปกปิด ครั้งนี้เท่ากับว่าเขาช่วงชิงศุภโชคสะเทือนโลกนี้โดยไม่เปลืองแรง!


ตูม!


แต่ครู่ต่อมา สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปฉับพลัน ชั่วขณะที่นิ้วของเขาสัมผัสลงไป ตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้นกลับราวกับเป็นเงาฟอง แปรเป็นฝนแสงแล้วหายไป!


นี่มัน…


ในใจข่งซิ่วกระตุกอย่างรุนแรง เขาแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วาสนาหายไปได้อย่างไร


โครม!


แต่ไม่นานเขาก็ไม่มีเวลาคิดมากไปกว่านี้ เพราะเมิ่งเหลียนชิงและเสวียนหลัวจื่อเข้ามาแล้ว ทั้งสองต่างกราดเกรี้ยวอย่างที่สุด แค่คิดก็คงรู้ว่าการลงมือนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด


แม้แต่ข่งซิ่วยังไม่กล้ารับตรงๆ จำต้องหลบหนีไป จากนั้นจึงตะโกนเสียงดังลั่น “ทั้งสองท่านโปรดระงับโทสะ นี่คือการลวงหลอก! วาสนาที่ว่าไม่มีอยู่จริง ตำราทองสาส์นหยกนั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา พวกเราโดนหลอกแล้ว!”


ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเมิ่งเหลียนชิงและเสวียนหลัวจื่อต่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพบว่าตำราทองสาส์นหยกบนเบาะรองนั่งที่วางอยู่ตรงกลางไม่ได้ถูกเก็บไป


ทั้งสองลังเลขึ้นมาทันที


“ข้าลองดู”


เมิ่งเหลียนชิงพลันเคลื่อนตัวอย่างว่องไว สะบัดแขนเสื้อไปชิงตำราทองสาส์นหยกนั่น


“หึ!”


เสวียนหลัวจื่อเองก็โจมตีแทบจะในขณะเดียวกัน


แต่ภาพที่ทำให้ทั้งสองผิดหวังปรากฏขึ้นแล้ว ตำราทองสาส์นหยกนั่นราวกับฟองน้ำที่กลายเป็นฝนแสงและแตกหายไปอย่างที่ข่งซิ่วพูดไม่มีผิด


นี่มัน…


ทันใดนั้นสีหน้าของทั้งสองต่างอึมครึมสับสน ในใจถูกความผิดหวังและไม่จำยอมที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เข้ามาแทนที่ หรือศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเพียงแค่การหลอกลวงฉากหนึ่ง?


“เป็นไปได้อย่างไร!”


ยามนี้หนิวทุนเทียนที่กำลังต่อสู้กับหลินสวินอย่างดุเดือด ก็ส่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลสะเทือนฟ้า


เห็นได้ชัดว่าแม้เขาต่อสู้กับหลินสวินอยู่ แต่ก็คอยติดตามสถานการณ์ทุกอย่างตลอด จึงพบความผิดปกติ


มีเพียงหลินสวินที่มุมปากกระตุกอย่างยากจะสังเกตเห็นทีหนึ่ง นึกถึงตำหนักสามสิบสามชั้นอันลึกลับนั่น รวมทั้งแท่นมรรคที่เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าที่อยู่ปลายสุดของตำหนักขึ้นมา…


——


ตอนที่ 611 แผนภาพลับการต่อสู้

โดย

ProjectZyphon

ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก


ตำราทองสาส์นหยกเล่มหนึ่ง เพียงแค่แสงทองศักดิ์สิทธิ์ที่สาดส่องออกมาก็ส่องสว่างจักรวาล ถูกมองว่าเป็นวาสนาที่ใหญ่ที่สุด


ใครจะคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น


บริเวณเชิงเขา ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าพูดอะไรไม่ออก อึ้งค้างอยู่กับที่ ผลลัพธ์นี้เหนือความคาดหมายของทุกคน


“เป็นแบบนี้อีกแล้ว…”


เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนสบตากัน ต่างก็จนปัญญา


ในอาศรม หนิวทุนเทียนและหลินสวินหยุดการต่อสู้ วาสนาอันสะเทือนโลกนี้กลับกลายเป็นฟองน้ำ ทำให้พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจจะเข่นฆ่ากันต่อ เร่งรีบอยากจะค้นหาคำตอบ


“ข้าลองดู!”


หนิวทุนเทียนเดินหน้าเข้าไป เอื้อมมือไปคว้าตำราทองสาส์นหยกเล่มนั้นมา ของสิ่งนั้นพลันแปรเป็นฝนแสงก่อนจะสลายหายไป ทำให้ไม่สามารถช่วงชิงมาได้


เพียงแต่ไม่นานตำราทองสาส์นหยกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงมรรคเจิดจรัส ย้อมฟ้าดินจนกลายเป็นสีทอง ศักดิ์สิทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้


นี่ทำให้สีหน้าของพวกเขาต่างสับสน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้


สร้างสถานการณ์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้กระถางหินเก้าเตาสร้างเป็นอาศรมกลางอากาศ จึงปรากฏวาสนาที่สะเทือนโลกนี้ขึ้น หรือสุดท้ายจะเป็นเพียงบุปผาในคันฉ่องที่สวยงามแต่ไม่อาจจับต้องได้?


ความไม่จำยอมและผิดหวังรุนแรงพรวดพราดขึ้นในใจทุกคน ทำให้พวกเขาอัดอั้นจนแทบกระอักเลือด


หลินสวินยกเท้า เดินไปกลางอาศรม


นี่ดึงดูดความสนใจของพวกหนิวทุนเทียน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครขวาง พวกเขาต่างลองไปแล้ว ย่อมไม่เชื่อว่าหลินสวินจะค้นพบอะไรใหม่


ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ หลินสวินไม่ได้ลงมือ แต่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง!


หืม?


พวกหนิวทุนเทียนหรี่ตาลงโดยพร้อมเพรียงกัน พร้อมโจมตีตลอดเวลา แม้เมื่อครู่นี้พวกเขาเองก็สังเกตเห็นเบาะรองนั่งใบนั้น แต่จิตใจกลับถูกตำราทองสาส์นหยกดึงดูดจนมองข้ามรายละเอียดนี้


ตอนนี้เมื่อเห็นการกระทำนี้ของหลินสวิน ทำให้พวกเขาระแวงขึ้นมาทันที เตรียมพร้อมจะลงมือ


เบาะรองนั่งใบนั้นไม่รู้ว่าถักทอมาจากวัตถุดิบใด ดูเก่าคร่ำครึและเผยร่องรอยความโบราณ


เพียงแต่ตอนที่หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงไป พลันรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งมรรคที่ไร้รูปร่างปกคลุมไปทั่วร่างกาย ทำให้จิตใจและจิตวิญญาณของเขาเกิดเสียงกึกก้องโดยพร้อมเพรียงกัน


ท่ามกลางความงุนงง ตำราทองสาส์นหยกเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นและเปิดออกหน้าหนึ่งต่อหน้าเขา ด้านในไม่ใช่ตัวอักษร แต่เป็นแผนภาพโบราณภาพหนึ่ง


นั่นเป็นภาพสนามรบบรรพกาล เงาร่างอันหยิ่งผยองยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ฟาดฟันจากขุมนรกขึ้นไปยังเก้าชั้นฟ้า ทุ่งรกร้างเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ ทะเลเลือดล้นฟ้า!


เขาอาบเลือดมาตลอดทาง แต่กลับไม่เคยถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว เป็นศัตรูกับโลก กับฟ้า กับมหามรรค สังหารจนจักรวาลพลิกกลับ สรรพสิ่งพังทลาย!


ตูม!


หลินสวินรู้สึกเลือดทั้งร่างร้อนเดือดแผดเผา จิตกระหายต่อสู้อันแรงกล้าสุดจะพรรณนาพลุ่งพล่านออกจากภายในจิตใจ แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง แทบอยากจะไปเปิดศึกเสียเดี๋ยวนี้


นี่เป็นจิตต่อสู้อันบริสุทธิ์และรุนแรงอย่างหนึ่ง เป็นพลังที่ไม่สามารถบรรยายได้เป็นตัวอักษรได้ ทำให้หลินสวินเกิดความรู้สึกร่วมไปด้วย ราวกับเลือดเดือดพล่านแผดเผารุนแรง


และทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่แผนภาพการต่อสู้โบราณภาพเดียวเท่านั้น!


‘หรือนี่เป็นมรดกที่ซ่อนอยู่ในตำราทองสาส์นหยก?’


จิตต่อสู้ทั่วทั้งตัวหลินสวินพลุ่งพล่าน เขาฝืนข่มกลั้นความวู่วาม พยายามสังเกตและทำความเข้าใจตำราทองสาส์นหยกที่ปรากฏออกมา


แต่ในขณะนั้นเอง เขาพลันรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายอันยากจะอธิบาย


ไม่ได้การแล้ว!


หลินสวินตระหนักได้ทันใด เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นเงาร่างก็แวบหายไปจากบนเบาะรองนั่ง


ครืนโครม…


พื้นที่บริเวณนี้ถูกการโจมตีสารพัดปกคลุม แสงประกายเจิดจรัสกึกก้องคำรามราวกับสายฟ้า


แค่คิดก็รู้ว่าหากเมื่อครู่นี้หลินสวินหลบไม่ทัน เพียงแค่การโจมตีเดียวก็เพียงพอจะพรากชีวิตเขา!


คนที่ลงมือคือหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อ


ก่อนหน้านี้พวกเขาจับจ้องสถานการณ์มาโดยตลอด ตอนที่สังเกตเห็นว่ารอบตัวหลินสวินมีจิตต่อสู้พลุ่งพล่าน ราวกับได้รับผลประโยชน์บางอย่าง พวกเขาพลันตื่นเต้นขึ้นมา


พวกเขาตระหนักได้แล้วว่า วาสนาอันสะเทือนโลกในครั้งนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาแต่อย่างไร และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเบาะรองนั่งนั่น!


เมื่อได้ข้อสรุปนี้ พวกเขาก็ลงมืออย่างไม่ลังเล ไม่ให้โอกาสหลินสวินได้ครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว


“หึ! ยังไม่ตาย ถือว่าเจ้าดวงแข็ง!”


หนิวทุนเทียนแค่นเสียงอย่างเยียบเย็น


“สหาย บอกมาซิว่าวาสนาซ่อนอยู่ในเบาะรองนั่งจริงหรือไม่”


เสียงของเมิ่งเหลียนชิงชัดเจนและเย็นเยียบ สายตาจับจ้องหลินสวิน


พวกเขาจ้องเขม็ง สายตาหยุดอยู่ที่หลินสวิน แม้ว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งจะเกิดความขัดแย้งระหว่างเมิ่งเหลียนชิงและข่งซิ่ว แต่ตอนนี้เพื่อบรรลุจุดประสงค์ในการช่วงชิงวาสนา พวกเขาต่างเลือกที่จะทนกันไปก่อน


“อยากรู้งั้นหรือ พวกเจ้าก็ไปลองเองสิ”


นัยน์ตาดำขลับของหลินสวินเยียบเย็น ในใจมีเพลิงสงครามลุกโชน เขามั่นใจแล้วว่าเบาะรองนั่งใบนั้นต้องไม่ธรรมดา และมีความเกี่ยวโยงกับตำราทองสาส์นหยกอย่างใกล้ชิด มรดกที่ซ่อนอยู่ภายในน่าสะพรึงกลัวและสะเทือนโลกอย่างที่สุด!


พอหลินสวินพูดเช่นนี้ พวกหนิวทุนเทียนก็ลังเลขึ้นมาทันที แต่กลับไม่ได้ขยับมั่วซั่วโดยพลการ


สถานการณ์ตรงหน้าละเอียดอ่อนมาก พวกเขาหวาดระแวงและขัดแย้งกันเอง ใครกล้าจู่โจมเป็นคนแรก ก็จะถูกคนอื่นๆ ปิดล้อมโจมตี เท่ากับว่ากลายเป็นสถานการณ์ที่สกัดกั้นกันเอง


บริเวณเชิงเขา ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างเฝ้ามองอยู่ พวกเขาเองก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ราวกับจะเปลี่ยนไปอีกแล้ว บรรยากาศดูตึงเครียดและกดดันขึ้นมา


ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“เหอะๆ ทำไม วาสนาอยู่ตรงหน้าแต่พวกเจ้ากลับไม่กล้าเข้าไปช่วงชิงหรือ มีความกล้าแค่นี้ คิดว่าคู่ควรให้ยืนอยู่ที่นี่หรือ”


ทันใดนั้นหลินสวินพลันส่งเสียง ดวงตาดำของเขาราวกับสายฟ้ากวาดผ่านทุกคน บนร่างกายมีจิตต่อสู้ที่แทบจะควบคุมไม่อยู่พลุ่งพล่าน!


“เจ้ากำลังท้าทายงั้นหรือ”


เสียงของเมิ่งเหลียนชิงทั้งกระจ่างและเย็นเยียบ


“มนุษย์ตัวเล็กๆ มีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์สามหาวเช่นนี้!”


หนิวทุนเทียนตะคอก เขาเคียดแค้นหลินสวินอย่างที่สุด เขาไม่เคยถูกมองว่าเป็น ‘วัวโง่’ และโดนดูถูกเหมือนเดรัจฉานมาก่อน นี่เป็นความอับอายใหญ่หลวง


ส่วนข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อกลับกำลังหัวเราะเยาะ ดูถูกอย่างมากที่หลินสวินท้าทายแบบนี้ นึกในใจว่า อยากยั่วโทสะให้พวกเขาสู้กันเอง เพื่อจะได้กวนน้ำจับปลา[1]หรือ


อย่าหวังไปเลย!


นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดของข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นความคิดของหนิวทุนเทียนและเมิ่งเหลียนชิงด้วย ที่คิดว่าหลินสวินจงใจท้าทายด้วยเจตนาร้าย


“ดังคำกล่าวที่ว่า หนทางคับแคบอันตรายน ผู้กล้าเท่านั้นที่จะชนะ แต่พวกเจ้าระแวงกันเอง กลายเป็นเสียความกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า แล้วยังมีสิทธิ์อะไรมาแย่งกับข้า”


หลินสวินแววตาเย็นเยียบ หว่างคิ้วเผยความหยิ่งผยองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำพูดเรียบง่ายแต่กลับทรงพลังทุกคำ สะเทือนใจคน


“เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วหรือเปล่า”


ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่อยู่ตรงเชิงเขาสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ตอนนี้หลินสวินราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนเดียวท้าทายบุตรเทพไร้เทียมทานแห่งยุคสี่คน แข็งกร้าวจนบอกไม่ถูก ดูผิดปกติเกินไปอย่างเห็นได้ชัด


“เจ้าหนูนี่คิดจะก่อกวนงั้นหรือ”


เจ้าคางคกเองก็งุนงง นี่ไม่เหมือนนิสัยของหลินสวิน ตรงไปตรงมาและบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ตัวคนเดียวไปสู้กับผู้แข็งแกร่งสี่คน นี่เป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุด!


“ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแน่”


ดวงตาคู่ใสของจ้าวจิ่งเซวียนเป็นประกายเจิดจ้า แฝงแววแปลกประหลาด “การต่อสู้มหามรรค ผู้กล้าหาญย่อมมีสิทธิ์ก่อน คนที่ไม่รู้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ตอนนี้หลินสวินอาจจะค้นพบความลึกลับบางอย่าง อ่านเบาะแสที่ซ่อนอยู่ในวาสนานั้นออก!”


“บ้าไปแล้ว เจ้าหมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”


“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงคิดจะทุ่มเสี่ยงสุดตัวเป็นครั้งสุดท้าย”


“เด็กหนุ่มเทพมารอะไรกัน ก็เท่านั้นแหละ อยู่ต่อหน้าวาสนาเช่นนี้ยังนิ่งไม่อยู่ ต่อไปยังจะประสบความสำเร็จอะไรในมรรคาได้”


“ความกล้าหาญบ้าบออะไรกัน แค่คิดก็รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย”


คำพูดเสียดสีและเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นจากในที่นั้น โดยส่วนใหญ่มาจากปากผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าเต่าทมิฬและเผ่าโห่วเมฆา


พวกเขาคิดว่าหลินสวินควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว สูญเสียความยั้งคิด จะต้องประสบภัยพิบัติอย่างแน่นอน


ถึงอย่างไรก็มีบุตรเทพไร้เทียมทานแห่งยุคสี่คนจ้องเขม็งอยู่ เขาคนเดียวจะสู้ได้อย่างไร


แต่สำหรับพวกหนิวทุนเทียน สิ่งที่หลินสวินแสดงออกมาตอนนี้ดูผิดปกติมากจริงๆ ท้าทายอย่างตรงไปตรงมาเกินไป ทำให้พวกเขาสงสัยว่าเจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า


“พวกไร้ประโยชน์!”


หลินสวินเห็นเช่นนี้ ริมฝีปากพลันพ่นคำพูดนี้ออกมาเบาๆ แล้วไม่มองพวกหนิวทุนเทียนอีกแม้แต่เสี้ยวสายตาเดียว


เขาก้าวเข้าไปใกล้เบาะรองนั่งใบนั้นด้วยท่าทางที่ทั้งแข็งกร้าว ตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยว ทั้งหมดนี้เป็นตัวยืนยันว่าเขามุ่งมั่นจะคว้าวาสนาในครั้งนี้ให้ได้


และเมื่อเห็นภาพนี้ ในที่สุดทุกคนก็ตระหนักได้ว่า บางทีหลินสวินอาจจะบ้าไปแล้วจริงๆ ทว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นเด็ดขาด แต่จะเข้าไปช่วงชิงวาสนาภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูทุกคนล้อมอยู่จริงๆ!


“รนหาที่ตาย!”


หนิวทุนเทียนคำรามเสียงยาว ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พลันกวัดแกว่งทวนสามง่ามโจมตีใส่หลินสวิน


หลินสวินเคลื่อนฝีเท้า หลบการโจมตีสะเทือนโลกนี้ ทวนสามง่ามเฉียดผ่านร่างกายของเขา ทำลายอากาศบริเวณนั้น แสงประกายระเบิดตัวสะเทือนพื้นที่บริเวณนี้


ตูม!


หลินสวินยังคงปล่อยหมัดเปล่า นัยน์ตาดำของเขายิ่งดูลึกล้ำ เคลื่อนไหวกลางอากาศ แข็งกร้าวและตรงไปตรงมา แนบติดทวนสามง่ามแล้วพุ่งเข้าไปกระแทกหมัดใส่หน้าหนิวทุนเทียน


หนิวทุนเทียนพลันขยับไหล่ แสงดำพรั่งพรูออกมา แขนขวาราวกับเสาเหล็ก พุ่งปะทะร่างของหลินสวินด้วยอานุภาพรุนแรง


โครม!


ทั้งสองพุ่งกระแทกใส่กัน ประกายแสงสะเทือนฟ้าพวยพุ่งออกมา อากาศทรุดทลาย น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่สุดไม่ได้


แม้แต่พวกเมิ่งเหลียนชิงยังหน้าเปลี่ยนสี เพราะพวกเขาพบด้วยความตะลึงว่า ในการปะทะกันครั้งนี้ หนิวทุนเทียนกลับเป็นฝ่ายถูกซัดสะเทือน ร่างกายโอนเอน!


สิ่งที่ทำให้เผ่าวัวมารทรงพลังน่าสะพรึงกลัวที่สุด คือพละกำลังที่ไม่มีใครเทียบได้ ความแข็งแกร่งเหนือกว่าทุกเผ่า และในฐานะบุตรเทพเผ่าวัวมารทรงพลัง หนิวทุนเทียนยิ่งเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานแห่งยุค เส้นทางที่เดินยังเป็นวิถีแห่งกายหยาบอริยะอันแข็งแกร่ง


แต่ตอนนี้เมื่อประชันกันซึ่งหน้า เขาไม่เพียงไม่สามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้ แต่กลับถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นซัดสะเทือน!


นี่จะไม่ให้ตะลึงได้อย่างไร


“หึ!”


หนิวทุนเทียนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น อานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในการโจมตีเมื่อครู่นี้ ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


แต่ก็เพียงเท่านั้น


เขายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด!


ตูม!


เขากวัดแกว่งทวนสามง่ามโจมตีอีกครั้ง ร่างกายดุจขุนเขาเคลื่อนที่ อานุภาพชวนกดดัน ระเบิดแสงสีดำเจิดจ้า พุ่งไปทางหลินสวิน


“อย่าเสียเวลาอีกเลย ร่วมมือกันจัดการเด็กคนนี้ก่อน!”


เมิ่งเหลียนชิงส่งเสียงแทบจะในเวลาเดียวกัน แสงทองปกคลุมทั่วร่างกาย ก้าวเข้าสู่สนามรบ โจมตีหลินสวินพร้อมกับหนิวทุนเทียน


ข่งซิ่วและเสวียนหลัวจื่อสบตากัน ต่างรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ลงมือสังหารหลินสวินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ในสถานการณ์ตอนนี้ สามารถกำจัดคู่ต่อสู้ได้คนหนึ่งก่อนย่อมดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


อีกอย่างพวกเขาก็รู้ดีว่า หากฉวยโอกาสนี้ไปช่วงชิงวาสนาโดยพลการ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที ไม่ว่าจะเป็นหนิวทุนเทียนหรือเมิ่งเหลียนชิง ไม่มีทางจะไม่สะทกสะท้าน


ฆ่า!


เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ภายในอาศรมมีแสงประกายพวยพุ่ง เงาร่างตัดสลับไปมา บุตรเทพชั้นยอดทั้งสี่โจมตีหลินสวินจากทิศทางที่แตกต่างกัน!


สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่อยู่บริเวณเชิงเขาต่างส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ


ไม่มีใครคิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะกะทันหันและรุนแรงเพียงนี้


และการที่หลินสวินถูกบุคคลชั้นยอดทั้งสี่โจมตีในตอนนี้ ก็เหนือความคาดหมายของเหล่าผู้แข็งแกร่งเช่นกัน


เพียงแค่เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวเท่านั้น กลับทำให้บุคคลชั้นยอดทั้งสี่ลงมือพร้อมกัน ให้เกียรติเขาเกินไปหรือเปล่า


………………………..


[1] กวนน้ำจับปลา หมายถึง ฉกฉวยผลประโยชน์ในช่วงชุลมุน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)