Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 594-597
ตอนที่ 594 ทางระเบียงศพอริยะ มีวาสนา สิ้นวาสนา
โดย
ProjectZyphon
นี่คือทางระเบียงเส้นหนึ่ง ผนังศิลาสองฟากแขวนตะเกียงนิรันดร์มากมาย ประพรมรัศมีแสงอันนุ่มนวล
เงาตะเกียงระริกไหว ประดุจกาลเวลาไร้สิ้นสุดนิจนิรันดร์ สาดส่องหนทาง ไม่ดับสูญนิรันดร มีกลิ่นอายสงบเงียบอย่างหนึ่ง
“นี่ก็คือสถานที่แห่งวาสนาที่ดอกบัวนั่นวิวัฒน์ขึ้น?”
ทันทีที่มาถึง เจ้าคางคกอดประหลาดใจไม่ได้ เทียวสืบเสาะถึงขั้นหมายจะจับตะเกียงนิรันดร์ดวงหนึ่งออกมาตรวจสอบโดยละเอียด
เพียงแต่เหมือนหวาดกลัวและรอบคอบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้ทำจริงๆ แค่ใช้ดวงตาจับจ้องตะเกียงนิรันดร์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน
เนิ่นนานจึงกล่าวอย่างผิดหวัง “ที่แท้แค่ตะเกียงเจ้าพายุธรรมดาทั่วไป มิน่าจึงสามารถลุกโหมตั้งแต่สมัยบรรพกาลถึงปัจจุบัน”
“ระวังหน่อย สถานที่นี้เงียบสงัดเกินไปอยู่บ้าง”
หลินสวินกวาดสายตามองโดยรอบ ภายในใจตึงเครียดชอบกลอยู่เสี้ยวหนึ่ง ราวกับส่วนลึกของทางระเบียงนั่นแอบซ่อนความอันตรายอะไรไว้
เขาถือดาบหักไว้ในมือ
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็เรียกกระถางสมบัติเก้ามังกรออกมา แสงมงคลลอยล่อง ห่อหุ้มป้องกันทั่วสรรพางค์กาย
พวกเขามุ่งไปตามทางระเบียง
บรรยากาศเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่น้อย ทางระเบียงลึก ตะเกียงนิรันดร์แต่ละดวงเอ่อส่องแสงสว่างนุ่มนวล แม้ไม่มืดมน แต่บรรยากาศราวป่าช้าเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่นงันงก
ไม่นานนักทางระเบียงซึ่งห่างออกไปปรากฏแสงพร่ามัวดุจไอหมอกแถบหนึ่ง ประหนึ่งเป็นฝนแสงโบยบิน ผิดแปลกสะดุดตาอย่างชันเจน
“นี่คือ?”
พวกหลินสวินในใจตระหนก มองเห็นชัดเจนอย่างน่าประหลาด จุดที่หมอกแสงนั้นลอยล่อง ถึงกับเป็นเงาร่างหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิ แก่ชราหาใดเปรียบ สวมชุดนักพรต ผมขาวดุจหิมะทั้งศีรษะสยายลงบนผืนดิน
ฝนแสงพร่ามัวดั่งไอหมอกแถบนั้น อบอวลออกมาจากเงาร่างนี้
ขณะนี้เงาร่างนั้นประจันหน้ากับพวกหลินสวิน นัยน์ตาเป็นสีเงิน ประหนึ่งตะวันร้อนแรงสีเงิน แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัว
พวกหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง เหงื่อกาฬเย็นเยียบ ใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ จิตวิญญาณยิ่งแตกตื่นไม่อาจสงบ แทบจะพังทลาย
“แย่แล้ว!”
เจ้าคางคกพลันร้องเสียงประหลาด ในมือมีด้ามดาบเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง ปลดปล่อยแสงสีดำออกมา เกลี้ยงกลมโปร่งแสงขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า ต้านทานกลิ่นอายของเงาร่างนั่น
แค่ชั่วพริบตา สภาพแปลกประหลาดทั้งมวลพลันถดถอยลง ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างหวาดผวา ตื่นตระหนกไม่หยุด
เพราะเมื่อครู่นี้ กลิ่นอายของเงาร่างนั้นเกือบจะสยบสังหารพวกเขา!
“บ้านยายมันสิ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นซากศพอริยะ!”
เจ้าคางคกค้นพบสิ่งน่าตระหนก เงาร่างนั้นถึงแม้นัยน์ตาใสสงบ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงศพไร้พลังชีวิตร่างหนึ่ง สิ้นลมมาไม่รู้นานเท่าใดแล้ว
นี่ยิ่งทำให้ผู้คนสยองขวัญ นี่มันอริยะผู้ทรงพลังระดับใดกัน ต่อให้ตายไปแล้ว ยังรักษาไว้ซึ่งรูปลักษณ์อย่างสมบูรณ์เสมือนมีชีวิต อีกทั้งกลิ่นอายที่อบอวลจากศพยังเพียงพอจะกำจัดพวกเขาทุกคนอย่างง่ายดาย!
นี่มันเกินจินตนาการโดยสิ้นเชิง!
หากอริยะผู้นี้ยังมีชีวิตจะน่าสะพรึงขนาดไหนกัน
“ตาแก่นี่ต้องเป็นผู้เก่งกาจคนหนึ่งแน่ๆ แต่กลับสิ้นชีพอยู่ที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งตัวไม่เห็นร่องรอยบาดแผลแม้เพียงเสี้ยว นี่เห็นได้ว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
เจ้าคางคกพึมพำกับตัวเอง ดวงตาทองอร่ามคู่นั้นกวาดมองไม่หยุด กำลังสังเกตซากศพอริยะนั่น
ขณะพูดเขาก็กระชับด้ามดาบมั่น ปล่อยแสงทมิฬกลมเกลี้ยงโปร่งแสงออกมา ไม่กล้าผ่อนคลายแม้เพียงเสี้ยว
“นี่คืออริยะหรือ”
ในใจหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างสั่นสะท้าน
ราชันระดับสังสารวัฏก็น่ากลัวมากพอแล้ว เพียงพอให้พวกเขาชะเง้อชะแง้แหงนคอมอง ทว่าอริยะพิเศษโดดเด่นยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏซะอีก!
ระดับอริยะ มีเพียงหลังประสบอมตะเคราะห์เก้าครั้งเท่านั้น จึงจะสามารถบรรลุระดับอันโดดเด่นนี้ได้ เหนือพ้นโลกีย์ เข้าสู่อริยะ ลือเลื่องว่าอายุขัยเทียมฟ้าดิน!
และตอนนี้ ถึงกับมีซากศพอริยะครั้งบรรพกาลผู้หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ได้เห็นพลังโจมตีอันน่าตกตะลึงเช่นนั้นกับตาตนเอง ไม่ว่าใครเกรงว่าล้วนไม่อาจนิ่งสงบ
“ชุดนักพรตนี่… คล้ายหลอมจาก ‘ไหมเงินญาณดารา’!”
ดวงตาทั้งสองของเจ้าคางคกเปล่งประกาย ลมหายใจหนักหน่วง “เด็กดี ของสุดยอดนะเนี่ย ไหมเงินญาณดาราเส้นหนึ่ง เพียงพอที่จะบดทลายภูเขาสูงชันหนึ่งลูก หนักยิ่งกว่าดาวดวงหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าตาแก่นี่จะใช้สมบัติล้ำค่าระดับนี้หลอมเป็นชุดนักพรต!”
เจ้าคางคกน้ำลายแทบหก ดวงตาแดงก่ำ ชุดนักพรตญาณดารา! นี่เป็นสมบัติล้ำค่าระดับอริยมรรค!
เจ้าคางคกอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป กัดฟันกรอดเค้นพลังจากด้ามดาบ หยั่งเชิงหมายปลดอาภรณ์ซึ่งคลุมซากศพนั่น
แต่แค่ชั่วพริบตาเขาก็ส่งเสียงร้องทุรนทุราย ถูกพลังอันน่าหวาดกลัวอัดกระแทกปลิวกระเด็น กระอักเลือดกบปาก น่าอนาถยิ่งนัก
หากมิใช่ด้ามดาบในมือวิเศษอัศจรรย์ถึงที่สุด แสงทมิฬที่สร้างขึ้นช่วยเขาคลายพลังส่วนใหญ่ได้ แค่การโจมตีนี้ก็เพียงพอทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นลงแล้ว
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนประหวั่นพรั่นพรึง ซากศพอริยะนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้สิ้นชีพไปนานแล้วก็ยังน่าเกรงขามหาใดเปรียบ เสมือนเทพผู้หลุดพ้นจากทางโลกองค์หนึ่ง สามารถกดกำราบผู้รุกล้ำทั้งมวล
“มารดามันเถอะ ไม่นึกเลยว่าคำเล่าลือคือเรื่องจริง เหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่น นี่คือกฎแห่งมหามรรค นอกเสียจากว่ามีพลังระดับเดียวกัน มิฉะนั้นก็ไม่มีทางนำของล้ำค่านี้ไปแต่แรก”
เจ้าคางคกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและไม่พอใจ ชุดนักพรตที่หลอมจากไหมเงินญาณดาราเชียวนะ! กลับไม่อาจนำไปได้…
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสบตากัน
เจ้าคางคกนี่ละโมบเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ชีวิตน้อยๆ แทบจะดับสิ้น เขากลับไม่สนใจแม้แต่นิด ดันเสียใจที่ไม่อาจนำสมบัตินั่นไปได้ ช่างประหลาดพิกลซะจริง
“เจ้าคางคก ด้ามดาบในมือเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”
ทันใดนั้นหลินสวินพลันเปล่งเสียง สายตาจับจ้องไปในมือเจ้าคางคก ตอนแรกที่พบเจ้าคางคก หลินสวินเองก็เคยเห็นด้ามดาบนี้
มันดำสนิทเก่าแก่โบราณ ภายนอกพันผืนผ้าย้อมโลหิตชั้นหนึ่ง มองดูแล้วราวกับของพุพังย้อมโลหิตชิ้นหนึ่ง ไม่ผิดแปลกอันใดเลย
แต่มันกลับสามารถขวางกั้นกลิ่นอายของซากศพอริยะนั่นได้ นี่ก็เห็นแล้วว่าพิเศษโดดเด่นไม่เหมือนใคร
เจ้าคางคกระแวดระวังขึ้นมาทันใด พลางกล่าว “เจ้าอย่าได้คิดไม่ซื่อเชียว ของล้ำค่าชิ้นนี้เป็นชีวิตจิตใจของข้า หลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ข้างกายข้ามาตลอด หากเจ้ากล้าคิดไม่ซื่อ ข้ารับรองได้เลยว่าจะสู้ตายกับเจ้า!”
“ขอข้าลองดูหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่ได้!”
เจ้าคางคกบอกปัดทันควัน ไม่ยอมเจรจา
หลินสวินร้องอ้อทีหนึ่งก็ไม่ได้หยั่งท่าทีอีก เขามองออกอยู่แล้ว สิ่งนี้มีความหมายสําคัญต่อเจ้าคางคกยิ่ง
“รีบไปเถอะ เห็นชุดนักพรตญาณดาราอยู่กับตาแต่ไม่อาจนำมันไปได้ นี่ช่างเป็นการลงทัณฑ์ที่ทรมานที่สุดในโลกหล้าเสียจริง”
เจ้าคางคกเศร้าโศกชิงชัง
พวกเขาเลี่ยงหลีกซากศพอริยะนั่น ก่อนก้าวเดินต่อไป
ทางระเบียงลึก เพิ่งเดินต่อไปข้างหน้าได้ไม่นานก็พบซากศพอีกร่างหนึ่ง นั่นเป็นสิงห์เขียวตัวหนึ่ง ร่างใหญ่ราวกับวัว ขนผิวเขียวเลื่อมพรายดุจแพรไหม อบอวลกลิ่นอายอริยมรรคเฉกเช่นเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องสงสัย สิงห์เขียวนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัวที่ก้าวสู่อริยมรรคตนหนึ่งเมื่อครั้งบรรพกาล!
“คทาสมปรารถนา! สมบัติอริยะไร้เทียมทาน!”
เจ้าคางคกดวงตาแดงก่ำอีกครา พบว่าในปากสิงห์เขียวนั่นคาบคทาหยกสมปรารถนาสีขาวกระจ่างเล่มหนึ่ง เอ่อล้นด้วยกลิ่นอายอริยมรรค
น่าเสียดาย เขาไม่กล้าผลีผลามชิมลางอีก ขณะที่จากมาดวงใจหลั่งโลหิต ตีอกชกหัวกระทืบเท้า
เดินต่อไปข้างหน้าเช่นนี้ ตลอดทางพวกเขาพบซากศพอริยะตลอดเวลาศพแล้วศพเล่า ล้วนมีลักษณะสมบูรณ์ดูไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหน ประหนึ่งว่าหมดลมไปในท่านั่งสมาธิ
นี่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนขนพองสยองเกล้า ใจเต้นระส่ำไม่หยุด สมัยบรรพกาลทำไมถึงมีอริยะดับสิ้นมากมายเช่นนี้
ทางระเบียงนี่มีที่มาอย่างไรกันแน่
แต่เจ้าคางคกกลับร้องโหยหวนไม่หยุดตลอดทาง หน้าเขียวไปหมด ท่าทางราวคับแค้นไม่พอใจ เพราะมันพบสมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าในมืออริยะ แต่ล้วนไม่อาจนำไปได้ นี่ทำให้เขาผู้เห็นสมบัติมีค่าเท่าชีวิตแทบกลายเป็นบ้า
‘หากมิใช่ด้ามดาบในมือเจ้าคางคก มากกว่าครึ่งพวกเราคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ คงตายไปนานแล้ว…’
หลินสวินตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ร้ายแรง ในใจนึกกลัว
เดิมคิดว่าการตีความปริศนาบนแท่นบูชา ค้นพบเส้นทางอันสื่อถึง ‘หนึ่งรอดพ้น’ ครานี้ เพียงพอจะเสาะหาวาสนาครั้งนี้ได้
ใครเล่าจะคาดคิด สถานที่แห่งวาสนานี่กลับเป็นทางระเบียงที่มีซากศพอริยะมากมายร่วงหล่นสายหนึ่ง เห็นชัดว่าอันตรายและเกินคาดเดาเหลือเกิน
“นี่คงไม่ใช่ทางตันหรอกนะ แม้แต่อริยะล้วนตายอยู่ที่นี่ พวกเราเอง… ก็จะซ้ำรอยหรือไม่”
ใบหน้างดงามของจ้าวจิ่งเซวียนเคร่งเครียดขึ้นมา
“ถุย! ปากอัปมงคล!”
เจ้าคางคกตวาด “ยิ่งเป็นที่อันตราย ยิ่งแอบซ่อนวาสนาใหญ่หลวงยากจินตนาการ อริยะพวกนี้ตายอยู่ที่นี่ ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่มีทางรอดออกไป อีกทั้งข้าสรุปได้เลยว่า วาสนานี้จะต้องยังดำรงอยู่ ไม่ได้ถูกนำออกไป”
หลินสวินไม่เชื่อข้อสันนิษฐานของเจ้าคางคก เขาหันหลังกลับไปมอง กลับต้องตะลึงงันด้วยพบว่าเส้นทางที่เดินมาได้หายไปแล้ว!
หายไปแล้วจริงๆ ที่นั่นความมืดมิดเข้าปกคลุม อย่าว่าแต่เส้นทาง แม้แต่ซากศพอริยะที่เห็นมาตลอดยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“พวกเราไม่มีทางให้กลับแล้ว…”
หลินสวินน้ำเสียงขมขื่น ในใจตระหนกหวาดผวา ที่แห่งนี้ดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่กลับลึกลับและอับโชคเหลือเกิน ในระหว่างที่เงียบเชียบไร้สุ้มเสียงก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน!
จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถูกเหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนกหวาดหวั่นไม่หยุด
“ในเมื่อไม่มีทางกลับ ก็ต้องเดินไปข้างหน้า!”
เจ้าคางคกกัดฟัน สีหน้าดุร้ายถึงที่สุด “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า ที่พวกเราเดินอยู่คือหนทางที่ไม่อาจรู้หนึ่งเดียว และคือทางรอดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จะต้องมีวิธีรอดพ้นไปได้!”
“คงได้แต่ทำเช่นนั้นแล้ว”
หลินสวินสูดหายใจลึก ระงับความหวาดกลัวในใจ
ขณะเดินต่อไปข้างหน้า หลินสวินเริ่มระมัดระวังสังเกตการณ์ เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปไม่นานนัก หนทางเบื้องหลังก็ตกอยู่ในความมืดมิดจริงดังคาด
ความรู้สึกนั้น เสมือนมือใหญ่ไร้รูปมือหนึ่งขจัดทางเดินเบื้องหลังไปสิ้นอย่างเงียบเชียบ เร้นลับเหลือจะเอ่ย
โชคดีเพียงหนึ่งเดียวคือ กระทั่งถึงตอนนี้พวกเขายังไม่พบเจออันตรายใด
แน่นอน ตลอดทางหากไม่มีด้ามดาบลึกลับในมือเจ้าคางคก แค่เพียงซากซากศพอริยะมากมายนั่น ต้องทำให้พวกเขาก้าวย่างอย่างยากลำบากเป็นแน่!
เหตุเพราะกลิ่นอายซากศพเหล่านั้นแข็งแกร่งเกินไป น่าหวาดกลัวชวนประหวั่น ทำให้ผู้คนล้วนสงสัยว่าสามารถบดพิฆาตทุกสรรพสิ่ง
หากบุคคลระดับนี้ยังมีชีวิตจะน่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน ทั้งที่สิ้นอายุขัยไปนานขนาดนั้นแล้ว กลิ่นอายที่หลงเหลือกลับยังคงน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“มีประตูบานหนึ่ง!”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกร้องดีใจขึ้นมา รับรู้ได้ว่าพวกเขามาถึงปลายทางระเบียงแล้ว
ที่นี่มีประตูหินปิดสนิทอยู่บานหนึ่ง ประตูหินนั่นมีลักษณะโค้ง เก่าแก่โบราณ อบอวลกลิ่นอายแห่งกาลเวลา
และหน้าประตูหินยังมีซากศพอริยะศพหนึ่ง เป็นภิกษุชุดขาวผู้หนึ่ง เขานั่งขัดสมาธิอยู่ฟากหนึ่งของประตูหิน ค้อมเอวลงก้มมองพื้น นิ้วชี้ข้างขวาสัมผัสดิน
บนพื้นดินนั่นถูกเขาใช้ปลายนิ้วเขียนเป็นประโยคหนึ่ง…
‘มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!’
……………..
ตอนที่ 595 ตำหนักและเบาะรองนั่ง
โดย
ProjectZyphon
มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!
ตัวอักษรโบราณเก่าแก่และแปลกประหลาด เป็นอักษรปริศนามหายานของผู้บำเพ็ญธรรม ภิกษุชุดขาวผู้นี้คืออริยะผู้บำเพ็ญธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าเขาก็ร่วงหล่นเช่นเดียวกัน คล้ายจะมรณภาพลงตรงนี้
ก่อนสิ้นลม เขาทิ้งอักษรเอาไว้หนึ่งแถว เผยความอ้างว้าง จนปัญญา และเศร้าโศก ทำให้ผู้คนสะเทือนอารมณ์
“ข้ามีความคิดบางอย่าง”
จู่ๆ เจ้าคางคกพลันเอ่ยปาก สายตาจดจ้องประตูหินที่ปิดสนิทอยู่ไม่ไกลออกไป “ในสมัยบรรพกาล มีอริยะจำนวนมากมาแสวงหาวาสนา ก็เหมือนกับพวกเราที่มาถึงหน้าประตูหินบานนี้แล้ว แต่น่าเสียดายเพราะวาสนาไม่ถึงจึงไม่สามารถเปิดประตูหินได้ ทำให้พวกเขาต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำอย่างที่สุด”
“อริยะเรียกได้ว่าอายุยืนตราบเท่าฟ้าดิน แต่กลับไม่ได้เป็นอมตะไม่มีวันตายอย่างแท้จริง พวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่มีใครยอมจากไป ด้วยหวังว่าหากเฝ้ารอต่อไป ประตูนี้จะเปิดออกในสักวัน น่าเสียดาย วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง”
เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย เจ้าคางคกก็อดทอดถอนใจไม่ได้ จะว่าไปนี่ก็เป็นวาสนาชะตาลิขิต มิใช่ของตน ต่อให้เฝ้ารอชั่วนาตาปีก็สูญเปล่า
“ในประตูนี้ซ่อนอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ทำให้อริยะกลุ่มหนึ่งยินดีรอคอยอยู่ที่นี่ รอจนสิ้นอายุขัยก็ไม่ยอมจากไป”
นัยน์ตากระจ่างแวววาวของจ้าวจิ่งเซวียนจ้องไปยังประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น
ระดับอริยะ!
เป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวและสูงสุดเพียงใด
ทว่าเพราะวาสนาหนึ่งหลังประตูหินบานนี้ แต่ละคนจึงล่วงลับไปท่ามกลางการรอคอยอย่างยากลำบาก เรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลก คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
และวาสนานั้นลึกลับขนาดไหนกัน ถึงทำให้อริยะกลุ่มหนึ่งดันทุรังเยี่ยงนี้ ยินดีรอคอยจนลาลับ ณ ที่แห่งนี้ แต่ไม่ยอมจากไป
“บางทีพวกเขาอาจไม่ยินยอมพร้อมใจจริงๆ เอาแต่รอคอยอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือพวกเขาไม่มีทางถอยแล้ว ได้แต่เฝ้ารออยู่ตรงนี้เท่านั้น”
ยามที่หลินสวินเอ่ยคำเขาเหลียวมองไปด้านหลัง ตรงนั้นเป็นสีดำสนิททั้งผืน เส้นทางขามาดุจว่าถูกลบล้าง อันตรธานหายไปแล้ว
สิ่งนี้ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งงัน พลันตื่นตระหนกทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”
‘หยุดพูด มีคนมา รีบเก็บงำกลิ่นอาย นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น แสร้งทำทีเป็นศพคนตายเร็วเข้า!’
ทันใดเจ้าคางคกรีบสื่อจิตเตือนอย่างรวดเร็ว
ยามที่เอ่ยวาจา เขาหย่อนก้นนั่งลงข้างภิกษุชุดขาวผู้นั้น ใช้ด้ามดาบในมือสกัดกั้นและสลายกลิ่นอายบนตัว แน่นิ่งไม่ขยับประดุจรูปปั้นดินเผา
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเห็นดังนี้ก็ไม่กล้ายืดยาด นั่งลงที่ด้านข้างทางระเบียงทันที คนหนึ่งวางดาบหักขวางอยู่เบื้องหน้า อีกคนกอดกระถางสมบัติเก้ามังกร ต่างเก็บงำกลิ่นอายเช่นเดียวกัน
หากไม่สังเกตอย่างละเอียด ก็ยากจะพบความแตกต่างระหว่างพวกเขากับซากศพของบรรดาอริยะเหล่านั้นได้เลย
การแกล้งเป็นศพก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้อย่างหนึ่ง ทางระเบียงกว้างไม่เกินสองจั้ง ทั้งเบื้องหน้ายังเป็นประตูหินที่ปิดสนิทบานหนึ่ง แม้แต่ที่ให้หลบซ่อนยังไม่มี จึงแต่ใช้วิธีเสี่ยงอันตราเช่นนี้เท่านั้น
‘เป็นใครกันแน่ ถึงกับค้นพบทางระเบียงเส้นนี้ได้’
ในใจพวกหลินสวินต่างก็สงสัย และมีเคร่งเครียดระแววระวังอยู่บ้าง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังก้องลอยมาจากความมืดมิดด้านหลังทางระเบียง
ที่ตามมาเสียงฝีเท้านั้นมาคือแสงสว่างจากตะเกียงนิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่า สว่างไสวขึ้นอบอุ่น เผยให้เห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่ง
ผู้นำอยู่ข้างหน้าเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลา ท่าทีออกจะตึงเครียด หญิงสาวรูปโฉมงดงาม ในมือถือแผนภาพที่เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยกม้วนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าแผนภาพนั้นก็เป็นสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่ง ห้อมล้อมด้วยแสงพิสุทธิ์ ดุจความฝันดั่งภาพมายา ลอยล่องโปรยปราย พิทักษ์พวกเขาและกลุ่มผู้แข็งแกร่งด้านหลังเอาไว้อยู่ภายในนั้น
‘เป็นพวกเขา!’
หัวใจของหลินสวินสั่นสะท้าน พลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกล้าเพียงใด พริบตาก็รับรู้ได้ว่า ชายหนึ่งหญิงหนึ่งคู่นั้นก็คือเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่นั่นเอง!
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะพบพวกเขาสองคนในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ได้!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังค้นพบทางระเบียงอันสุดแสนลึกลับเส้นนี้ เห็นได้ชัดว่าเหนือคาดเกินไปแล้ว
ไม่รอพวกเขาเข้าใกล้ หลินสวินพลันก้มศีรษะลง พร้อมกันนั้นก็สื่อจิตไปหาจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกอย่างรวดเร็ว แจ้งสถานะของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ให้รู้โดยคร่าวๆ
ทั้งยังเตือนพวกเขาให้อดกลั้นไว้ก่อนชั่วคราว อย่าได้ลงมือตามอำเภอใจ
‘ผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารี…’
ไม่นานนักหลินสวินก็สัมผัสได้อีกว่า บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ตามอยู่เบื้องหลังของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาจากสายคนเถื่อนวารีทั้งสิ้น
ถึงแม้พวกเขาจะมีท่าทางไม่ต่างไปจากเผ่ามนุษย์ ทว่ากลิ่นอายและรูปลักษณ์นั่นจำแนกได้ง่ายมาก แรกเริ่มเดิมทีตอนที่หลินสวินอยู่ในค่ายกระหายเลือด ก็ได้สังหารผู้สืบทอดของสายคนเถื่อนวารีจำนวนมาก ย่อมไม่อาจจำผิดอยู่แล้ว
‘ดูเหมือนว่า พวกเขาจะร่วมมือกับสายคนเถื่อนวารีจึงมาถึงที่นี่ได้…’
หลินสวินกระจ่างในใจบ้างแล้ว
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้เป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าเหลียนเฟยหรือเหยาซู่ซู่ ก็เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ยังไม่ได้ย่างกรายสู่ระดับหยั่งสัจจะ
หากไม่ได้การคุ้มกันของผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงจะจบชีวิตลงตั้งแต่เข้าสู่อาณาเขตของแดนลับอสูรมารอริยะ ไม่สามารถเหยียบย่างลงบนภูเขาเทพหมอกม่วงที่โหดเหี้ยมนองเลือดหาใดเปรียบแห่งนี้ได้เป็นอันขาด
“อริยะตายไปตั้งมากมายขนาดนี้ ซู่ซู่ พวกเรา…ก็คงไม่…”
สีหน้าเหลียนเฟยซีดขาว น้ำเสียงสั่นพร่า
“อย่าพูดไม่เป็นมงคล เจ้าเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางถอย มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น”
เหยาซู่ซู่ตำหนิเสียงกระซิบคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่ากังวลเกินเหตุ มีแผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ให้ จะต้องนำทางเราไปเจอวาสนาหาที่เปรียบมิได้ที่ซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน”
“หวังว่าอย่างนั้นเถอะ”
เหลียนเฟยยังคงรู้สึกหวาดกลัว กังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียอยู่
แน่นอน สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเหลือล้น มีซากศพอริยะเกลื่อนกล่นตลอดทาง ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใคร ก็กลัวแต่ว่าจะไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้
“จะว่าไป แผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้อัศจรรย์หาใดเปรียบ ไม่เพียงแต่ช่วยพวกเราค้นพบทางระเบียงที่ซ่อนเร้นมิดชิดแห่งนี้ ยังสกัดกั้นและสลายกลิ่นอายบนซากศพอริยะพวกนั้นได้ด้วย เป็นสมบัติหายากชิ้นหนึ่งอย่างสิ้นเชิง”
ดูเหมือนเหลียนเฟยจะรู้สึกว่าการแสดงออกของตนไม่เอาไหนไปสักหน่อย จึงกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “บางทีอาศัยสมบัติชิ้นนี้ ก็สามารถทำให้พวกเราหนีรอดแคล้วคลาดได้จริงๆ”
“ไม่ใช่หนีรอดแคล้วคลาด แต่ค้นเจอวาสนาต่างหาก”
เหยาซู่ซู่เอ่ยแก้
“ใช่ๆๆ จะต้องหาวาสนาพบเป็นแน่”
เหลียนเฟยพยักหน้าติดๆ
“มีประตูหินบานหนึ่งอยู่ข้างหน้า!”
ในยามนี้ดวงตาเหยาซู่ซู่เปล่งประกายระยับ รีบสาวเท้ารุดไปเบื้องหน้า
“ถึงปลายทางแล้วหรือ”
เหลียนเฟยและผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีคนอื่นๆ รีบก้าวตามไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ยามเดินผ่านหลินสวินและพวก ไม่มีใครสัมผัสถึงเลยแม้แต่ครึ่งเสี้ยว จิตใต้สำนึกมองว่าพวกเขาเป็นซากศพอริยะไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
ถึงอย่างไรเกรงว่าใครก็ไม่อาจคิดได้ว่า ภายในทางระเบียงอันลี้ลับเส้นนี้ยังจะมีคนรุดหน้ามาถึงที่นี่ก่อน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีซากศพอริยะเกลื่อนกลาดตลอดทาง หากปราศจากการป้องกันจากสมบัติลับ แม้จะครอบครองพลังการต่อสู้มหาศาล กลัวแต่ว่าก้าวเดียวก็เดินลำบากแล้ว
ความเข้าใจภายในจิตใต้สำนึกประเภทนี้ พาให้พวกเหยาซู่ซู่ถูกประตูหินที่อยู่ปลายทางระเบียงดึงดูดโดยตรง ไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างของที่นี่
“มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!”
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ แผนภาพลึกลับที่เหยาซู่ซู่ถืออยู่ในมือ ถึงกับเทียบกันได้คำต่อคำ ทำให้รู้ความหมายอักษรปริศนามหายานหนึ่งแถวนั้นที่ภิกษุชุดขาวเหลือทิ้งไว้
‘เจ้าคางคก ดูเหมือนว่าที่พวกเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้ก็เพราะอาศัยแผนภาพปริศนาม้วนนั้น รอสบโอกาสลงมือ ข้าจะไปจัดการผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีพวกนั้น เจ้าและแม่นางจ้าวไปชิงแผนภาพปริศนานั้นมา’
หลินสวินสื่อจิต ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกคนนอกได้ยินเลยแม้แต่น้อย
เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนต่างก็ตอบตกลงทันที
“สิ่งที่เรียกว่าวาสนาจะต้องอยู่ด้านในประตูนี้อย่างแน่นอน!”
ขณะนี้เหยาซู่ซู่และคนอื่นๆ ยังไม่สังเกตเห็นว่าอันตรายอยู่ไม่ไกลจากข้างตัวพวกเขานัก แต่ละคนแลดูฮึกเหิม จ้องไปยังประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น
“มัวลังเลอะไรอยู่ รีบไปผลักประตูบานนั้นออกเร็ว!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีคนหนึ่งส่งเสียงเร่งเร้า
“ทำไมเจ้าไม่ไป”
เหลียนเฟยไม่พอใจยิ่ง ตำหนิอย่างไม่สบอารมณ์
“ยังกล้าตีฝีปาก ตลอดทางมานี้หากไม่มีการปกป้องเต็มกำลังจากพวกเรา พวกมนุษย์อ่อนแออย่างพวกเจ้าคงตายไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมาถึงที่นี่ได้”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีสีหน้าอึมครึม เปี่ยมด้วยแววเหยียดหยันและดูแคลน “ให้พวกเจ้าไปก็ไป หากกล้าพูดเหลวไหลอีกอย่าโทษพวกข้าว่าไม่เกรงใจแล้วกัน! ข้าเชื่อว่าต่อให้ไม่มีพวกเจ้า ตราบใดยังมีแผนภาพนั่นอยู่ พวกเราก็สามารถแสวงหาวาสนานี้พบได้เช่นเดิม!”
ครั้นคำพูดนี้เปล่งออกมา เหลียนเฟยหน้าเปลี่ยนสีทันควัน หวาดเกรงไม่สิ้น
“พอแล้ว!”
เหยาซู่ซู่สีหน้าเคร่งขรึม มองสำรวจผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นเยียบปราดหนึ่ง พลางกล่าว “พวกเจ้าอย่าทำเกินควร หากไม่มีข้าร่วมมือ พวกเจ้าย่อมไม่อาจได้วาสนานี้เป็นแน่!”
“เจ้า…!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้นั้นเดือดดาล แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ กล่าวว่า “เมื่อครู่พวกเราออกจะรีบร้อนเกินไปหน่อยจริงๆ พวกเจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”
เหยาซู่ซู่แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ไม่ได้พูดมากความอีก นางก้าวไปข้างหน้า มาอยู่หน้าประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น เริ่มสำรวจอย่างละเอียด
‘จะลงมือหรือไม่’ เจ้าคางคกสื่อจิตทันที
‘รออีกหน่อย ให้พวกเขานำไปก่อนก็ดีเหมือนกัน’ หลินสวินตอบอย่างว่องไว
วู้ม!
เวลานี้เอง เหยาซู่ซู่ชูแผนภาพในมือขึ้น ฝนแสงสีจางพลิ้วโปรยปราย เข้าปกคลุมประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น
ฉับพลัน ประตูหินซึ่งไม่เคยเปิดมาตั้งไม่รู้กี่ปีบานนั้นถึงกับส่งเสียงร้องคำรามออกมาในเวลานี้ และค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความเงียบสงัด!
ทันใดนั้น เหยาซู่ซู่ เหลียนเฟย รวมถึงผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้นต่างสูดหายใจหอบหนัก ท่าทางเหิมฮึกปิติสุดขีด
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเรื่อยมา อริยะมากมายต่างก็รอคอยอยู่ที่นี่อย่างตรากตรำ กระทั่งตายไปก็ยังไม่ถึงวันที่ประตูหินจะเปิดออกได้
ทว่าตอนนี้ประตูหินถูกเปิดออกอย่างง่ายดายทั้งอย่างนี้ นี่มีนัยว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘วาสนา’ มาถึงแล้วใช่หรือไม่
บนพื้นแห่งนั้น ประโยคที่ว่า ‘วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง’ ของภิกษุชุดขาวยังคงมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด แสดงถึงความโศกเศร้าและจนปัญญาอย่างชัดแจ้ง
ทว่าในปลายทางของกาลเวลาไร้สิ้นสุด ประตูหินก็เปิดออกในยามนี้ เมื่อสองสิ่งนี้เปรียบเทียบกันแล้ว ทำให้ผู้คนอดทอดถอนใจไม่ได้จริงๆ สิ่งที่เรียกว่าวาสนา ก็ต้องว่ากันถึงโชควาสนาด้วย
“ไป!”
โดยไม่ได้ยืดยาดอีก เหยาซู่ซู่และพวกเหลียนเฟยต่างพุ่งเข้าไปด้านในประตูหิน
“เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ลงมือ”
เจ้าคางคกหยัดตัวขึ้นจากพื้น เจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง
“ให้พวกเขาไปสำรวจทาง พวกเรานั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยือกเย็น “ลำพังแค่พวกเขาเหล่านี้ ต่อให้ชิงวาสนามาได้ ก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเรา”
“ฮ่าๆ เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ชั่วร้ายนัก วิธีสกปรกเช่นนี้ ถูกเจ้าพูดเสียจนถูกต้องชอบธรรมขนาดนี้ จะไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ”
เจ้าคางคกเบิกบานทันที สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็คือวิธีสกปรกนี่แหละ!
“ครั้งนี้เป็นวาสนาที่สวรรค์ประทานมาให้จริงๆ เมื่อครู่หากพวกเราฝืนทะลวง ก็คงไม่สามารถเปิดประตูหินบานนี้ได้แน่ ใครเลยจะคาดคิดว่าสวรรค์จะส่งเจ้าพวกนี้มา เท่ากับช่วยพวกเราแก้ไขปัญหาใหญ่หลวงได้ข้อหนึ่ง!”
เจ้าคางคกยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “นี่ก็คือโชคดีมีบุญอย่างไรเล่า และก็มีแค่เผ่าคางคกทองสามขาของข้าเท่านั้นที่ครอบครองโชคดีอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ได้”
“ข้าว่าคางคกอย่างเจ้าต่างหากที่หน้าไม่อายที่สุด”
หลินสวินปรายตามองเจ้าคางคกปราดหนึ่ง จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บงำกลิ่นอายทั่วสรรพางค์กาย เดินเข้าประตูหินไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนรีบตามเข้าไปติดๆ
……
ย่างเข้าประตูหิน ในนั้นถึงกับเป็นดินแดนอีกแห่ง!
เสมือนว่าเดินเข้ามาในตำหนักวิหาร เก่าแก่คร่ำคร่า ราวกับไม่เคยมีคนมาเยือนนานหลายปีแล้ว บนพื้นมีฝุ่นผงหนาเป็นชั้นสั่งสมอยู่
ตำหนักใหญ่มาก แบ่งเป็นสามสิบสามชั้น แต่ละชั้นมีทางเชื่อมต่อกัน ต่างก็มีบันไดหินเก้าขั้นยึดโยงเข้าด้วยกัน
ตำหนักใหญ่โอ่โถงเยี่ยงนี้ ไล่ระดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ ท่ามกลางภวังค์ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับมาถึงที่สถิตแห่งทวยเทพ มีบรรยากาศเคร่งครัดอันน่าสะทกสะท้าน
แต่ที่น่าแปลกคือ ในตำหนักใหญ่กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เครื่องตกแต่งใดๆ กว้างโล่งเงียบสงัดและเย็นเยียบอย่างเห็นได้ชัด
ขบวนของเหยาซู่ซู่มุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เคลื่อนขึ้นไปบนบันไดหินทีละขั้น เข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดในตำหนัก
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงส่วนปลายของตำหนัก จากนั้นก็มองเห็นภาพที่ทำให้พวกเขาต่างตะลึงอ้าปากค้าง…
ปลายสุดของตำหนักนั้น มีเบาะรองนั่งใบหนึ่งวางอยู่อย่างโดดเดี่ยว!
สิ่งที่เรียกว่าสถานที่แห่งวาสนา ก็คือเบาะรองนั่งนี่น่ะหรือ
ในสมัยบรรพกาล อริยะกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาสืบค้นที่นี่ กลับไร้วาสนาเข้าสู่ด้านในของประตูหิน ทำได้เพียงล่วงลับท่ามกลางการรอคอยอย่างทุกข์ตรม
แล้วใครจะจินตนาการว่าวาสนาที่พวกเขาเสาะแสวงทั้งหมด เป็นเพียงแค่ตำหนักใหญ่ว่างเปล่าเยียบเย็นแห่งหนึ่ง กับเบาะรองนั่งใบหนึ่งกัน
นี่เหมือนเรื่องตลกยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งชัดๆ!
บางที นี่อาจเป็นหลุมพรางอย่างหนึ่งจริงๆ?
ไกลออกไป พวกหลินสวินที่ซ่อนตัวมิดชิด เวลานี้ก็ยากจะสงบลงได้เช่นกัน ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าด้านในของประตูหินจะเป็นเช่นนี้ไปได้
พวกเขานึกถึงแท่นบูชาแท่นแล้วแท่นเล่าที่เคยเห็นบนยอดเขาก่อนหน้านี้ นึกถึงอักษรปริศนามหายานแถวแล้วแถวเล่าที่ทิ้งไว้บนแท่นบูชาเหล่านั้นขึ้นมา
‘คีรีแห่งดวงกมล ลวงหลอก?’
‘คิดไม่ถึงว่าเขาจะหลอกพวกเราทุกคน!’
‘หากอ้างอิงจากตัวอักษรซึ่งใช้ทั่วไปบนโลกมนุษย์ ดินแดนแห่งดวงกมลคือสถานที่แห่งใจ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ คล้ายเส้นอักษรที่เขียนออกมาเป็นคำว่า ‘ใจ’ ปริศนาแห่งโพธิญาณที่เล่าขานซ่อนอยู่ภายใน หรือว่าหากอยากพบดวงกมล ต้องอาศัยมรรคแห่ง ‘ใจ’ ไปเสาะแสวงหา?’
เมื่อนึกถึงประโยคนี้ หัวใจของเจ้าคางคกพลันกระตุก สื่อจิตกล่าวว่า ‘หากอยากพบดวงกมล ต้องใช้มรรคแห่ง ‘ใจ’ ไปเสาะแสวงหา จากนั้นมีอีกประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม’! บางที วาสนาของสถานที่แห่งนี้ จำเป็นต้องใช้วิธีการบางอย่างทลายลง จึงจะเผยออกมาได้’
‘น่าจะเป็นเช่นนี้’
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนอึ้งงัน ในใจกระจ่างบ้างแล้ว ครั้นมองไปยังตำหนักใหญ่อันว่างเปล่าแห่งนี้อีกหน ก็รู้สึกแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ตำหนักแบ่งออกเป็นสามสิบสามชั้น ใช่เป็นตัวแทนสามสิบสามสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือไม่
พื้นที่แต่ละชั้นเชื่อมต่อกันด้วยบันไดเก้าขั้น หรือเป็นการบอกเป็นนัยว่าเลขเก้าคือจำนวนสูงสุด เมื่อก้าวไปหนึ่งชั้นก็เท่ากับย่างผ่านหนึ่งสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วใช่หรือไม่
และเจ้าของเบาะรองนั่งใบนั้น เป็นอัครบุคคลที่สร้างสถานที่แห่งวาสนานี้กับมือใช่หรือไม่?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปริศนาแห่งโพธิญาณก็ซ่อนอยู่ภายในตำหนักใหญ่แห่งนี้ เพียงแต่ในปัจจุบันพวกเขายังไม่ค้นพบเท่านั้น?
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้หนึ่งพลันลงมือ ถึงขั้นเอื้อมมือไปคว้าเบาะรองนั่งบนพื้นใบนั้น!
เห็นได้ชัดว่าในความคิดของเขา เบาะรองนั่งนี้จะต้องมีอะไรแปลกประหลาด บางทีอาจซ่อนความลับไร้เทียมทานบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้
“ปรารถนาวาสนา ไยจึงอุกอาจ จิตใจสามานย์ ไร้วาสนาต่อข้า”
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงลอยล่องผะแผ่วเสียงหนึ่งดังขึ้นในตำหนักใหญ่ทันทีทันใด เวิ้งว้างไกลห่าง ไม่รู้ว่าเปล่งออกมาจากที่ใด
แต่เมื่อเสียงดังขึ้น ก็เห็นผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีที่ลงมือคนนั้นตัวแข็งทื่อฉับพลัน ร่างเกิดเสียงดังปัง กลายเป็นเถ้าลอยร่วงเต็มพื้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนไม่ทันได้ตอบสนอง!
เฮือก!
เสียงสูดหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น น่าตระหนกอย่างยิ่ง ตำหนักใหญ่แห่งนี้มีสิ่งแปลกพิสดาร ซุกซ่อนไอสังหารไร้เทียมทานที่มองไม่เห็นเอาไว้ดังคาด!
‘เจ้าหนู เห็นเถ้าฝุ่นหนาเป็นชั้นๆ บนพื้นนั่นไหม ข้าสงสัยว่า พวกนั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยเข้ามาที่นี่ก่อนหน้านี้ หลังจากสัมผัสไอสังหาร ร่างก็กลายเป็นกองเถ้าถ่านสั่งสม!’
เจ้าคางคกขนลุกขนชัน สื่อจิตบอกการคาดคะเนของตน
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างหนังศีรษะชาวาบ หากเป็นดังที่เจ้าคางคกว่ามาจริง เถ้าฝุ่นหนาเป็นชั้นๆ บนพื้นนั้น ก็เท่ากับเป็นเถ้ากระดูกของผู้แข็งแกร่งที่ร่วงหล่นคนแล้วคนเล่าเลยไม่ใช่หรือ
‘อย่าได้ผลีผลาม!’
ไกลออกไป เหยาซู่ซู่ท่าทีเคร่งขรึม ส่งเสียงเตือน
นางสาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า เทียบแผนภาพลึกลับในมือพลางจ้องมองเบาะรองนั่งบนพื้นใบนั้นอย่างถี่ถ้วน
พวกเหลียนเฟยต่างเริ่มวิตก เตรียมพร้อมตั้งรับ
ทันใดนั้นเหยาซู่ซู่สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ตะโกนออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม!”
วู้ม!
ประโยคนี้ดุจดั่งกุญแจดอกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น กระตุ้นสิ่งหวงห้ามที่ซุกซ่อนอยู่ในนี้ พลันเห็นว่าเบาะรองนั่งใบนั้นหลั่งแสงมรรคออกมา ส่องสว่างตำหนักใหญ่แห่งนี้ในพริบตา!
——
ตอนที่ 596 ศุภโชคปรากฏ
โดย
ProjectZyphon
เพียงธรรมคาถาประโยคเดียวเท่านั้น กลับเสมือนครอบครองพลังอันลึกลับบางประการ ทำให้เบาะรองนั่งปลายตำหนักใหญ่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง สาดส่องแสงมรรคออกมา!
แสงมรรคนั้นว่างเปล่าพิสุทธิ์ เพียงกวาดเบาๆ ก็ส่องสว่างทั่วตำหนักใหญ่แห่งนี้
ทันใดนั้นตำหนักใหญ่อันว่างเปล่าแต่เดิมในสายตาผู้คน ประหนึ่งถูกเลิกผ้าคลุมออกหนึ่งชั้น เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
มองเห็นว่าบนผนังทั้งสี่ด้านปรากฏภาพสลักโบราณบางส่วน ดุจถูกจารไว้ด้วยพลังแห่งกาลเวลา เปี่ยมด้วยความรู้สึกโชกโชน
ภาพเหล่านั้นลึกลับมาก ในภาพมีคนสมัยบรรพกาล สุริยันจันทราภูผานที กวางกระเรียนหกเหิน ยังมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมากมาย
ในตำหนักแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามสิบสามชั้น บนผนังแต่ละชั้นล้วนปรากฏจิตรกรรมลึกลับอยู่ แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่าน ก็ยังคงแผ่กลิ่นอายความนัยแห่งมหามรรคอันน่าหวาดกลัวออกมา
ปลายสุดของตำหนักใหญ่ เบาะรองนั่งทอแสง กลายเป็นฝนแสงเรืองรองแถบหนึ่ง ก่อตัวแปรเป็นแท่นมรรคสามฉื่อโดยฉับพลัน
บนแท่นมรรคส่องแสงพราวระยับ แสงสมบัติพลิ้วไหว มีม้วนตำรา ขันสำริด ปลาไม้ แส้ปัด…แน่นขนัดตระการตา ล้วนเรืองรองส่องสว่าง ทอแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราว
“นี่ก็คือมหาศุภโชคที่ซุกซ่อนอยู่ที่นี่!”
“สวรรค์ สมบัติมากมาย คราวนี้พวกเราร่ำรวยแล้ว!”
“นี่คือสมบัติอริยมรรคที่หลงเหลือจากสมัยบรรพกาลหรือ มีตำราลึกลับ แล้วไหนจะสมบัติลึกลับอีก!”
พวกเหยาซู่ซู่ เหลียนเฟยต่างแข็งทื่อไปทั้งร่างอยู่ตรงนั้น สูดลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาแดงก่ำ ท่าทางเปี่ยมด้วยแววใหลหลงและตื่นเต้น
อย่าว่าแต่พวกเขา เกรงว่าต่อให้คนใหญ่คนโตที่อยู่นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ตรงนี้ กลัวก็แต่จะตกใจตะลึงงัน ดีใจแทบคลั่ง
“สมบัติเหล่านี้…แบ่งกันอย่างไร”
เหลียนเฟยเอ่ยปากเสียงสั่น กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สายตาเหมือนติดกับแท่นมรรคสามฉื่อ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยละไปไหน
“พวกเจ้าเลือกได้ตามใจชอบคนละหนึ่งชิ้น ที่เหลือจะตกเป็นของพวกเราทั้งหมด!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้หนึ่งเอ่ยปากอย่างเย็นชา ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด
“ไม่ได้! ครั้งนี้หากไม่มีข้ากับซู่ซู่ พวกเจ้าไหนเลยจะหาวาสนาของที่นี่พบ”
สีหน้าเหลียนเฟยเคร่งขรึม โกรธจนแทบคลั่ง
ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าพวกเขาจะเจอศุภโชคไร้เทียมทาน กลับเอาไปได้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ล้วนแต่ไม่เห็นด้วยทั้งนั้น
“พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว”
สีหน้าของเหยาซู่ซู่เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูเช่นกัน “ตามข้อตกลง หากเจอวาสนา สมบัติที่ได้มาทั้งหมดพวกเราต่างฝ่ายต่างแบ่งคนละครึ่ง พวกเจ้าคิดจะผิดสัญญาหรือ”
“ผิดสัญญาแล้วอย่างไร”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้นั้นระเบิดหัวเราะ น้ำเสียงเจือไอสังหาร “พวกมนุษย์ก็เหมือนดังมด คู่ควรจะเจรจาข้อตกลงกับพวกเราหรือ”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีคนอื่นๆ ก็หัวเราะเย็นชาผสมโรง สายตาที่มองไปทางเหยาซู่ซู่และเหลียนเฟยเปลี่ยนเป็นอำมหิตขึ้นมา
“นี่พวกเจ้าคิดจะข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน สังหารพวกเราแล้วฮุบศุภโชคเอาไว้หรือ”
เหลียนเฟยหน้าเขียว ตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าให้ความร่วมมืออย่างว่างายหรือไม่”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ฆ่าพวกเราแล้ว ต่อให้พวกเจ้าจะได้ทุกอย่างไป แต่ก็ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้โดยสิ้นเชิง อย่าลืมสิ ในทางระเบียงนั่นยังมีกองศพอริยะจ้องพวกเจ้าอยู่ หากปราศจากแผนภาพปริศนาม้วนนี้ในมือข้า พวกเจ้าใครเล่าจะออกไปได้”
เหยาซู่ซู่สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก เอ่ยปากอย่างเย็นชา “และพวกเจ้าน่าจะตระหนักดีว่าพลังของแผนภาพปริศนาม้วนนี้ มีแต่ข้าผู้เดียวที่สามารถใช้งานได้!”
ครั้นประโยคนี้เปล่งออกมา แววตาของผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีเหล่านั้นพลันไหววูบทันใด ค่อนข้างลังเลอยู่ในที
ในตอนนี้จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะร่วนระลอกหนึ่งลอยออกมา…
“สุนัขเอ๋ยสุนัข กัดกันเอง ปาหี่ฉากนี้ช่างน่าสนุกจริงเชี่ยว น่าเสียดายเวลามีไม่พอ มิฉะนั้นก็อยากดูเสียหน่อยว่าพวกเจ้าจะฆ่าฟันกันเองอย่างไรบ้าง!”
ไกลออกไป เจ้าคางคกในอาภรณ์สีเขียวเดินอาดๆ ออกมา
“เจ้าเป็นใคร!”
ไม่ว่าเหลียนเฟยกับเหยาซู่ซู่ หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีพวกนั้นต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงสักนิดว่าในตำหนักใหญ่อันลึกลับหาใดเปรียบแห่งนี้ จะมีคนแอบแฝงเข้ามาได้
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป แลดูระแวดระวังมากกว่าเดิม ในใจมีไอสังหารคุขึ้น
“เฮอะ อาศัยแค่ฐานะของพวกเจ้า ไม่มีคุณสมบัติจะรู้ถึงตัวตนของข้าคนนี้”
เจ้าคางคกแลดูทะนงตัวและบ้าคลั่ง นัยน์ตาสีทองจ้องมองพวกเขาทุกคน กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้จะให้โอกาสพวกเจ้าได้เลือก หนึ่งคือพวกเขาเชือดคอฆ่าตัวตายเอง สองคือให้ข้าลงมือ เชือดพวกเจ้าให้หมดด้วยตัวข้าเอง”
“บังอาจ!”
“ไอ้หนูโอหังมาจากไหนกัน ถึงกล้าวางโตเยี่ยงนี้!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีพวกนั้นดาลโทสะ ท่าทางของเจ้าคางคกอวดศักดาและวางข้อล้นเหลือ ทำให้พวกเขาต่างไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ ถูกยั่วโทสะจนจมูกแทบเบี้ยว
อีกทั้งพวกเขาต่างสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายบนตัวเจ้าคางคกไม่ใคร่แกร่งกล้าเท่าใดนัก สำหรับพวกเขาแล้ว มิได้เป็นภัยคุกคามอะไรเลย
“สังหารเจ้าบ้านี่ให้ข้า!”
จากนั้นก็มีผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีหลายคนพุ่งพรวดออกมา ปิดล้อมเจ้าคางคากเอาไว้ กลิ่นอายเข่นฆ่าพวยพุ่ง เพียงเริ่มลงมือก็ใช้พลังทั้งหมด
สวบ!
ทว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งจะลงมือนั่นเอง คมดาบพราวพร่างแถบหนึ่งก็กวาดม้วนออกมาจากกลางอากาศด้านหนึ่งอย่างดุดัน
ดุจดั่งธารดาราม้วนตลบสายหนึ่ง!
เสียงฟุ่บหนึ่งดังขึ้น ชั่วพริบตาเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้หนึ่งไม่ทันหลบเลี่ยง ถูกคมดาบปกคลุม หัวกับตัวแยกจาก ตายอนาถ ณ ตรงนั้น
“แย่แล้ว เจ้าบ้านี่ยังมีผู้ช่วย!”
“สมควรตาย!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีที่พุ่งออกมาคนอื่นๆ ทั้งตกใจและโมโห หน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด
และในเวลานี้เอง เงาร่างของหลินสวินปรากฏออกมา เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง มือฟาดฟันดาบหัก ออกไปซัดสังหารผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีพวกนั้นดุจดั่งภูตผีตนหนึ่ง อานุภาพร้ายกาจไร้เทียมทาน
ครืน ครืน~
การต่อสู้ปะทุขึ้น ทำลายบรรยากาศเคร่งครัดและเงียบสงัดของตำหนักไปสิ้น
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีพวกนี้สามารถรอดชีวิตอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะจนถึงป่านนี้ได้ ต้องไม่ใช่ผู้อ่อนแอแน่ น่าเสียดายคนที่พวกเขาปะทะด้วยคือหลินสวิน ปีศาจเย้ยฟ้าที่ไม่สามารถประเมินได้ด้วยวิธีสามัญแบบเดิมๆ
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีที่พุ่งออกมาจัดการเจ้าคางคกเหล่านั้นก็ถูกกวาดล้างคาที่ จมอยู่ในกองเลือด
ภาพนี้ทำให้เหลียนเฟย เหยาซู่ซู่ และผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีที่เหลือซึ่งอยู่ไกลออกไปต่างหวาดผวา สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ฆ่าพรรคพวกหลายคนของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ฉากนองเลือดนั้นน่าตระหนกยิ่ง พาให้ผู้คนรู้สึกหนังหัวชาวาบ
“หลินสวิน!”
ฉับพลันเหลียนเฟยตะเบ็งเสียงร้องลั่น สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นัยน์ตาเกือบจะถลนออกมา มิอาจจินตนาการได้เลยสักนิด ว่าเหตุใดถึงบังเอิญพบกับศัตรูอย่างหลินสวินในที่แห่งนี้ได้
เหลวไหลเกินไปชัดๆ!
“เป็นเขาได้อย่างไรกัน…”
เหยาซู่ซู่ตกใจเช่นเดียวกัน ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ
อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย ก่อนหน้านี้ตอนที่สังเกตเห็นตัวตนของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ หลินสวินเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
เมื่อได้พบศัตรู ดวงตายิ่งแดงก่ำยิ่งยวด ครั้นแน่ใจตัวตนของหลินสวินแล้ว ความเคียดแค้นทั้งเก่าใหม่ภายในใจของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ปั่นป่วน สีหน้าเขียวชิงชังหาใดเปรียบ จ้องหลินสวินเขม็ง แทบอดรนทนไม่ไหวอยากจะกลืนกินชีวิตของเขา
“ทั้งสองท่าน ไม่ได้พบกันตั้งนาน”
กลับเห็นว่าหลินสวินยิ้มน้อยๆ กล่าวทักทายปราศรัย
“ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ”
เหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ต่างแค้นจนแทบกัดฟันแตก
ตั้งแต่พริบตาที่เหลียนเฟยรู้ว่าหลินสวินคือศัตรูที่สังหารบิดาของเขา ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป ความเคียดแค้นกลายเป็นสิ่งค้ำจุนเพียงอย่างเดียวของเขา
ทว่าสิ่งที่ช่วยไม่ได้คือ นับตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม ศักดาที่ผงาดขึ้นก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหลียนเฟยเกือบจะสิ้นหวังอยู่รอมร่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าตระกูลเหยาทั้งตระกูลถูกสังหารดับเกลี้ยงเพราะคิดจะจัดการหลินสวิน ทำให้เหลียนเฟยยิ่งตระหนกลนลานจนทำอะไรไม่ถูกสุดขีด
ครั้งนี้เขาและเหยาซู่ซู่รุดหน้ามาเสาะหาวาสนา ณ แดนลับอสูรมารอริยะด้วยกัน ก็เพราะต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นค่อยไปหาหลินสวินเพื่อแก้แค้น
ใครเลยจะคิด ขณะที่พวกเขากำลังเสาะหาวาสนานี้อยู่ ศัตรูอย่างหลินสวินถึงขั้นปรากฏกายต่อหน้าเช่นนี้!
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือ อีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉยผ่อนคลาย ซ้ำยังทักทายประหนึ่งเป็นสหาย สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองคนแค้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่!
“เจ้าหนู ทักทายก็ทำไปแล้ว คงถึงเวลาส่งพวกเขาไปนรกพร้อมกันแล้วกระมัง”
เจ้าคางคกเอ่ยปากอย่างร้อนรน นัยน์ตาสีทองจับจ้องสมบัติทั้งกองที่อยู่บนแท่นมรรคสามฉื่อนั้น หน้าตาท่าทางน้ำลายหก เขาเริ่มจะรอไม่ไหวแล้ว
“ก็ดี”
หลินสวินพยักหน้า
“ฆ่า!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีก็ตระหนักว่าสถานการณ์ร้ายแรง รู้ว่าหากไม่ชิงฆ่าหลินสวินและเจ้าคางคกก่อน คราวนี้ก็อย่าว่าแต่ฮุบเอาวาสนาเหล่านั้นไปเลย แม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รอให้หลินสวินเคลื่อนไหว ก็ชิงลงมือตัดหน้าก่อนแล้ว กรูเข้าไปพร้อมกัน สำแดงวิชาทั่วกายออกมา ปิดล้อมและโจมตีหลินสวินกับเจ้าคางคก
ชิ้ง!
ดาบหักส่งเสียงใส หลินสวินก็คร้านจะพูดไร้สาระ เงาร่างไหววูบ เปิดฉากการต่อสู้ทันที
ส่วนปลายของตำหนักใหญ่ เหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด สุดท้ายทั้งสองก็อดกลั้นเอาไว้ มิได้ลงมือกับหลินสวินแต่อย่างใด ทว่ากลับรี่เข้าไปยังแท่นมรรคสามฉื่อที่อยู่ด้านหลังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย!
เห็นชัดว่าพวกเขาคิดจะฉวยโอกาสนี้ โกยเอาสมบัติมากมายที่อยู่บนแท่นนั้นไปในคราวเดียว
วู้ม!
ทว่าไม่รอพวกเขาเข้าใกล้ กระถางสมบัติเก้ามังกรสีทองอร่ามพลันปรากฏขึ้นในอากาศ ขวางอยู่ตรงนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวไหลเอ่อออกมา ซัดสะเทือนพวกเขาจนซวนเซถอยหลัง
ในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างสูงโปร่งอรชรของจ้าวจิ่งเซวียนก็ปรากฏขึ้น รูปโฉมของนางงดงามเกลี้ยงเกลา แขนเสื้อพลิ้วไสว กระถางสมบัติเก้ามังกรส่องแสงเรืองรองอยู่เหนือศีรษะ อากัปกิริยาโดดเด่นไร้เทียมทาน
ถึงกับยังมีผู้ช่วยอีก!
ครู่หนึ่งหัวใจของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ต่างหวาดผวา ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าที ทั้งตกใจโมโห ทั้งไม่ยินยอม
เห็นชัดๆ ว่าศุภโชคอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เพียงเอื้อมมือก็ได้ครอบครอง ทว่าในช่วงเวลาสำคัญดันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาแทบคลั่ง
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน
ตูม!
จ้าวจิ่งเซวียนไม่มีแก่ใจไปคาดเดาความรู้สึกนึกคิดในใจพวกเขา ทันทีที่ปรากฏตัวก็ใช้กระถางสมบัติเก้ามังกรเข้ากำราบเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่
ในมุมมองของนาง ทั้งสองคนเพิ่งจะอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ยากจะต้านการโจมตีของนางอย่างแน่นอน
ทว่าสิ่งที่เกินความคาดหมายของจ้าวจิ่งเซวียนคือ เหยาซู่ซู่อาศัยแผนภาพลึกลับในมือ ปลดปล่อยแสงเรืองรองพิสุทธิ์ที่ดูคล้ายภาพมายาออกมา ถึงขั้นสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดของนางเอาไว้ได้
‘ดูเหมือนเจ้าคางคกจะพูดถูก พวกเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพตลอดทาง อีกทั้งค้นพบความลับของที่แห่งนี้ จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติในมือผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน’
จ้าวจิ่งเซวียนตกตะลึงในใจ ขณะเดียวกันก็ลงมือโดยใช้พลังทั้งหมด กุมขังกดดันอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นหนา
แม้จะไม่สามารถพิชิตชัยได้ในทันใด แต่หากอีกฝ่ายคิดหนีนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ต่างมีสีหน้าไม่น่าดูถึงที่สุด ภายในใจยิ่งมีความสิ้นหวังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้กำลังถือกำเนิดขึ้น…
——
ตอนที่ 597 มรรคคาถาอันคาดไม่ถึง
โดย
ProjectZyphon
การต่อสู้ดุเดือดกลางตำหนักใหญ่มิรู้วาย โลหิตไหลไม่รู้จบ
หลินสวินในเวลานี้ประดุจเทพมารแห่งการสังหาร เหยียดหยันใต้หล้า ดาบหักเล่มเดียวกรำศึกถ้วนทั่ว แสงดาราเรืองรองเอ่อล้น ไอดาบตัดเคลื่อน แตกพ่ายทุกแห่ง
นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีต่างครั่นคร้าม เอ็ดอึงด้วยความขลาดกลัว ต่อต้านสุดแรงเกิด
เพียงแต่ทุกอย่างนี้ย่อมเปลืองแรงเปล่า นึกถึงหนทางนองเลือดก่อนหน้านี้อันหาที่เปรียบมิได้ ที่หลินสวินไล่สังหารผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าตลอดทาง แม้แต่บุตรเทพเผ่าต่างๆ ยังยากจะขวางคมดาบของเขาได้ ท้ายที่สุดทุกคนล้วนหนีอุตลุดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ส่วนตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับหยั่งสัจจะตามมาตรฐาน ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้
ทันใดนั้นในตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวน และฝนโลหิตดุจน้ำตก
แม้แต่เจ้าคางคกก็ยังมองจนอึ้งค้างไป เดิมทีเขายังคิดจะช่วย ใครจะคิดว่ายื่นมือเข้าแทรกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
นี่ทำให้เขาลอบด่าทอในใจว่าหลินสวินวิปริต ข่มเหงรังแกมากเกินไปแล้วชัดๆ ศัตรูเหล่านั้นอยู่ในเงื้อมมือของหลินสวิน ก็เหมือนกับการเฉาะแตงหั่นผัก ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันโดยสิ้นเชิง
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีพวกนั้นต่างถูกหลินสวินสังหารอย่างไร้ไมตรี ทิ้งซากศพขาดวิ่นเกลื่อนกลาด แอ่งเลือดย้อมพื้นดิน
หลินสวินกลับไร้ราคี ไม่มีบุบสลาย อาภรณ์สีจันทร์ยวงทั้งชุดสะอาดหมดจด แม้แต่บนดาบหักก็ยังไม่เปื้อนเลือดสักหยด
เขายืนอยู่ท่ามกลางแอ่งเลือดซากศพ ท่วงท่าโดดเด่น ใครจะคิดว่าการเข่นฆ่านองเลือดอันน่าสะเทือนขวัญปานนรกนี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มรูปงามที่บุคลิกโดดเด่นคนหนึ่งเช่นนี้ได้
“ให้ตายเถอะ จะวางมาดอวดภูมิเจ้าหนูนี่ก็ทำไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ข้ายังจะหาความมีตัวตนได้จากที่ไหนกันเล่า”
เจ้าคางคกกุมข้อมือถอนใจ ท่าทางเสมือนว่าเกิดมาอาภัพ ไร้โอกาสแสดงความสามารถของตนออกมา
“เจ้าคางคก เจ้ายังมีแก่ใจมาโอดโอยอยู่ได้ รีบเข้ามาช่วยเร็วเข้า!”
ไกลออกไป จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
นางใช้กระถางสมบัติเก้ามังกรจัดการกับเหยาซู่ซู่และเหลียนเฟย แต่ในชั่วขณะหนึ่งกลับไม่สามารถกำราบแผนภาพลึกลับนั่นได้ นี่ทำให้นางอดเริ่มเป็นกังวลไม่ได้
“ไม่ใช่เจ้าหนูนั่นเข้าไปแล้วหรือ เรื่องสามีว่าภรรยาตามของพวกเจ้า หากข้าไปช่วยจะมิกลายเป็นมือที่สามคั่นกลางหรือไร”
เจ้าคางคกหัวเราะร่วนขึ้นมา ทั้งที่มีหน้าตางดงามล่อลวงหาใดเปรียบแท้ๆ แต่กลับหัวเราะได้อย่างสัปดนและวอนโดนต่อยมากเป็นพิเศษ บางทีนี่อาจเป็นมาดของเจ้าคางคกก็เป็นได้
เวลานี้หลินสวินเข้าไปช่วยแล้วจริงๆ แต่ครั้นได้ยินน้ำคำสัปดนของเจ้าคางคก ก็ยังทำเอาเขาสีหน้าทะมึน มือที่สามคั่นกลาง?
เจ้าคางคกเส็งเคร็งนี่สมควรโดนซัดงามๆ สักเปรี้ยงจริงเชียว!
หลินสวินกัดฟันกรอดกล่าวว่า “ดีเลย รอถึงตอนแบ่งสมบัติกัน เจ้ากล้าคั่นกลาง นายน้อยผู้นี้จะตัดขาที่สามของเจ้าทิ้ง!”
“เฮ้ย!”
จากนั้น ไม่รอให้เจ้าคางคกระเบิดอารมณ์ หลังจากได้ยินคำพูดถึงขาที่สามอันแสนหยาบคายนี้ ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนก็อดแดงก่ำไม่ได้ ตวัดมองหลินสวินอย่างดุดันปราดหนึ่ง คล้ายกำลังตำหนิว่าเขาเองก็เปลี่ยนเป็นไม่เอาการเอางานแล้วเช่นกัน
หลินสวินพลันจนคำพูด รู้สึกเหมือนถูกให้ร้ายแล้ว เพราะเจ้าคางคกแต่เดิมก็เป็นคางคกทองสามขาอยู่แล้ว ตัดขาที่สามของเขาผิดตรงไหนเล่า
“ดูเอาเถิดๆ นี่กำลังแย่งชิงศุภโชคกันอยู่นะ พวกเจ้ายังเกี้ยวพาราสี เล่นหูเล่นตากันอยู่ได้ จะให้ข้าผู้อ้างว้างเดียวดายไร้รักคนนี้ทนไหวอย่างไรกัน”
เจ้าคางคกทำหน้าบูดบึ้ง
เหยาซู่ซู่และเหลียนเฟยที่แต่เดิมก็สิ้นหวังหาใดเปรียบอยู่แล้ว ยิ่งมีสีหน้าไม่น่าดูมากกว่าเดิมเมื่อเห็นภาพฉากนี้
พวกนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่ คุยตลกขบขันกันเอง เห็นพวกเขาไร้ตัวตนเหมือนเป็นอากาศธาตุหรือไร
นี่มัน…รังแกกันเกินไปแล้วชัดๆ!
เวลานี้ทั้งสองต่างไม่รู้ว่าควรอยู่ในอารมณ์ไหน บันดาลโทสะ? ไม่พอใจ? สิ้นหวัง? หรือเป็นอัปยศ เศร้าโศก?
“หลินสวิน พวกเจ้าจะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องหยาบหยามกันเยี่ยงนี้!?”
ในที่สุดเหลียนเฟยก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อนเป็นคนแรก ส่งเสียงคำราม ดวงตาแทบถลนเบ้า
“อ้อ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเจ้า ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทเชียว พวกเราเป็นถึงศัตรูตัวฉกาจต่อกัน ผูกแค้นกันมานานหลายปี”
น้ำเสียงของหลินสวินฟังดูสบายๆ ท่าทางราบเรียบผ่อนคลาย ทำเอาเหลียนเฟยแทบกระอักเลือดออกมา โกรธจนหน้าเขียวแล้ว
ศัตรูตัวฉกาจอยู่ต่อหน้า เจ้าหมอนี่ไม่ไยดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
หรือในใจของเขา ตนไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นศัตรูของเขาหรือ
“ข้าจะสู้กับเจ้า!”
ภายใต้ความร้อนรนและโทสะในใจ เหลียนเฟยแผดเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยว พุ่งทะยานเข้าหาหลินสวิน
“อย่านะ…!”
เหยาซู่ซู่ตกใจจนดวงหน้าซีดเผือด ก่อนหน้านี้มีการคุ้มกันจากแผนภาพปริศนาในมือนาง จึงทำให้ตอนที่พวกเขาเผชิญกับการโจมตี ยังพอสกัดกั้นและต้านทานได้
ทว่าเวลานี้เหลียนเฟยกลับเป็นฝ่ายออกไปโจมตีเอง นี่มันจะต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้งกันเล่า
“ความแค้นระหว่างพวกเรา ก็ยุติลง ณ บัดนี้เช่นกัน!”
นัยน์ตาดำสนิทของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ สิ่งที่เขารอก็คือโอกาสนี้ ดาบหักซัดโจมตี เพียงชั่วแล่นเท่านั้น ศีรษะโชกเลือดก็ถูกตัดกระเด็นออกไป
ก่อนตาย บนหน้าของเหลียนเฟยยังคงมีความโกรธเกรี้ยว อดสู และไม่ยินยอมฉายอยู่ทั่ว ตายตาไม่หลับ
“เจ้าก็ช่างเฉียบขาดตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว ข้ายังนึกว่าเจ้าจะบรรจงเชื่องช้าสักหน่อย ทรมานเจ้านี่สักพักเพื่อระบายความแค้นในใจ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการแก้แค้นนะ ย่อมควรทบทวนบุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้กันก่อน ระบายความหดหู่และอดกลั้นภายในใจเสียหน่อย แต่เจ้าหนูอย่างเจ้ากลับไม่สัญจรเส้นทางปกติ ดาบเดียวก็ฆ่าเสียแล้ว น่าเบื่อจริงๆ”
เจ้าคางคกยิ้มพิกลขึ้นมา วิจารณ์วิธีการแก้แค้นของหลินสวิน
“พูดตามตรง หากไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายกระโจนออกมาเอง ข้าก็เกือบลืมไปแล้วว่ายังมีศัตรูเช่นนี้อยู่ทั้งคน”
หลินสวินไหวไหล่ ทำหน้าไร้เดียงสา
นับตั้งแต่เข้าสู่นครต้องห้าม หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำจากอันตรายและความลำบากเหลือคณาแล้ว เรื่องบาดหมางกับเหลียนเฟยในปีนั้นก็เจือจางลงมากในสายตาของหลินสวิน กระทั่งไม่ได้มีความคิดจะไปกำจัดอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
ใครจะไปคิด เหลียนเฟยกลับมองเขาเป็นศัตรูมาโดยตลอด จดจำฝังใจ กระทั่งวางหมากดำเนินการ คิดจะใช้ความช่วยเหลือจากเหยาทั่วไห่และตระกูลเหยาทั้งตระกูลมาจัดการกับเขา
ผลลัพธ์ตัดสินออกมาแล้ว ตระกูลเหยาพินาศ เหยาทั่วไห่ก็ตายเช่นกัน แม้แต่ ‘สุ่ยเชียนซาน’ ราชันระดับสังสารวัฏของคนเถื่อนวารีที่พวกเขาเชิญมาผู้นั้น ก็ถูกราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยพิชิตชัยจนต้องหนีอุตลุด
ตอนนี้ได้เห็นปลาลอดตาข่ายอย่างเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่สองคนนี้แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่หลินสวินจะให้ทางรอดแก่พวกเขาอีกครั้ง ต้องตัดรากถอนโคนให้สิ้น
หาใช่หลินสวินโหดเหี้ยมอำมหิต เข่นฆ่าเหมือนบ้าคลั่ง แต่เพราะครั้งนี้เมื่อได้เห็นเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ กระทั่งยังอาศัยแผนภาพปริศนาม้วนนี้มาถึงตำหนักใหญ่ลึกลับที่ซ่อนวาสนาเอาไว้แห่งนี้แล้ว หลินสวินก็เริ่มจะหวั่นใจขึ้นมาจริงๆ
เขาไม่ต้องคิดก็รู้ หากถูกทั้งสองช่วงชิงวาสนานี้ไป ต่อจากนี้รอจนพวกเขาแกร่งกล้าขึ้น จะต้องเริ่มแก้แค้นตนเป็นคนแรกอย่างแน่นอน!
เคราะห์ดี ครั้งนี้ก็สมน้ำหน้าเหยาซู่ซู่กับเหลียนเฟยที่ดวงซวย มาพบหลินสวินเข้า ทำให้หลินสวินมีโอกาสยุติความแค้นฉากนี้ลงโดยสิ้นเชิง
“พี่เฟย…!”
เห็นเหลียนเฟยถูกสังหารต่อหน้าต่อตา เหยาซู่ซู่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเศร้าโศกหาใดเปรียบ ดวงหน้าบิดบี้ยว “พวกเจ้า…พวกเจ้าสมควรตายกันให้หมด!”
น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเคียดแค้น จากนั้นก็เห็นแผนภาพปริศนาในมือนางระเบิดแสงพิสุทธิ์เจิดจ้าออกมา มีพลังที่เป็นของอริยะไหวเคลื่อนอยู่รางๆ คล้ายจะปะทุออกมา
“แย่แล้ว ผู้หญิงคนนี้จะทำลายแผนภาพปริศนานี้และตายไปพร้อมกับพวกเรา! เร็วเข้า รีบแย่งแผนภาพปริศนานั้นมา!”
เจ้าคางคกสะดุ้งทันที ส่งเสียงตะโกนลั่น
วู้ม!
แทบไม่ต้องให้เจ้าคางคกเตือนสักนิด หลินสวินก็ตระหนึกถึงความไม่เข้าที เรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งกวาดม้วนออกไป
ในชั่วขณะนี้ วิธีชิงสมบัติที่หลินสวินพอจะคิดออก ก็มีแต่แสงมรรคทองนิลกาฬเท่านั้นแล้ว
ตูม!
แสงมรรคทองนิลกาฬไหลเวียน ชั่วพริบตาก็รัดรึงแผนภาพปริศนาในมือเหยาซู่ซู่เอาไว้
ทว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงขึ้น ทันทีที่แผนภาพปริศนานั้นสัมผัสแสงมรรคทองนิลกาฬ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันใด รวมตัวออกมาเป็นอักษรฝนแสงผืนหนึ่ง
ทุกตัวอักษรล้วนมีสีเขียวเจิดจรัสราวกับแสงมรรคก่อตัว สว่างไสวไพศาล เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งอริยมรรค โอฬารเหลือคณนา
พวกมันว่ายเวียนอยู่กลางห้วงอากาศ แต่ละอักษรเหมือนกำลังถอดความนัยอันลึกซึ้งของมหามรรค
“นี่…”
หลินสวินตกตะลึง จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกก็ตะลึงเช่นเดียวกัน
มีเพียงเหยาซู่ซู่ที่จมสู่ความโกรธแค้นและเศร้าโศกเท่านั้นที่หมายจะสู้สุดแรง เมื่อเหลือบเห็นเจดีย์สมบัติในมือของหลินสวิน ดวงหน้าฉายแววไม่อยากเชื่อ กล่าวเสียงหลง “เจดีย์สมบัติของท่านพ่อข้าตกไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไรกัน!?”
ไม่มีใครสนใจนาง
ด้วยเวลานี้พวกหลินสวินต่างตกตะลึงเมื่อพบว่า ชั่วขณะนี้ตำหนักใหญ่แห่งนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน บนผนังจตุรทิศ จิตรกรรมเก่าแก่แต่ละภาพนั้นราวกับตื่นขึ้นมาจากกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด ลอยออกมาจากผนังหิน
จากนั้นต่างหลั่งไหลเข้าสู่อักษรมรรคสีเขียวเจิดจ้านั้น!
ภาพฉากนี้เหนือคาดเกินไป จิตรกรรมบนผนังรอบด้านกลับถูกอักษรมรรคที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันกลืนกิน การเปลี่ยนแปลงระดับนี้ไม่มีใครคาดคิดถึง
ในที่สุดจิตรกรรมเก่าแก่บนผนังหินต่างก็ถูกอักษรมรรคสีเขียวเจิดจ้าเหล่านั้นดูดกลืน และขณะเดียวกัน อักษรมรรคเหล่านั้นเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง ปรากฏเป็นมรรคคาถาบทหนึ่งขึ้นกลางอากาศ
‘ยาตรานภสินธุ์
ย่ำแดนดินคุนหลุนผา
เกี่ยวตะวันแลจันทรา
กอบกุมไว้ทั่วอัมพร
ข้าจากมรรตยะ
เคาะประตูสู่อมร
ทางเร้นเห็นสันดร
มรรคประทานผู้มีบุญ’
อักษรมรรคเจิดจรัส คละคลุ้งด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ประทับกลางอากาศ ทุกตัวอักษรกึกก้องกัมปนาท มีกลิ่นอายแห่งอริยเทพที่สะท้านสะเทือนจิตใจผู้คน
ชั่วขณะนั้นในตำหนักใหญ่เงียบสงัด
ใครก็คาดไม่ถึงว่าหลังจากแผนภาพลับในมือเหยาซู่ซู่และแสงมรรคทองนิลกาฬสัมผัสกัน จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันเหลือเชื่อเช่นนี้
ไม่เพียงวิวัฒน์กลายเป็นอักษรมรรคที่อัศจรรย์ยากจะพรรณนาเท่านั้น ยังทำให้จิตรกรรมโบราณบนผนังรอบทิศของตำหนักใหญ่ลอยออกมา ท้ายที่สุดก็ผสานเข้ากับอักษรมรรค แปรเป็นมรรคคาถาบทหนึ่ง!
“ข้าเข้าใจแล้ว มิน่าท่านพ่อจึงพูดอยู่เสมอว่าแผนภาพปริศนาไม่สมบูรณ์ เกรงจะไม่สามารถแสวงหาวาสนาแท้จริงได้ ที่แท้ความลับนั้นซ่อนอยู่ในเจดีย์องค์นั้นมาตลอด น่าเสียดาย แต่ไรมาท่านพ่อไม่เคยเชื่อมโยงสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน…”
เหยาซู่ซู่เหม่อลอย ท่าทางเหมือนถูกซัดโจมตีเข้าอย่างจัง
ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“เจดีย์องค์นี้กับแผนภาพปริศนานั้นพ่อเจ้าได้มาจากที่แห่งนี้ทั้งหมดหรือ”
ฉับพลันหลินสวินก็ตระหนักถึงบางอย่างเช่นเดียวกัน ส่งเสียงตะโกนถามออกไป
เหยาซู่ซู่ยิ้มอย่างโทมนัส นัยน์ตาทอประกายวาววับแปลกประหลาด “เจ้าอยากรู้? ข้าไม่ยอมให้เจ้าสมใจหรอก!”
ทันใดนั้นมุมปากของนางมีคราบเลือดไหลซึมออกมา พลังชีวิตทั้งร่างถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็ทรุดลงกับพื้น
เจ้าคางคกรุดหน้าไปตรวจสอบ จากนั้นจึงส่ายหน้า “หมดทางช่วยแล้ว นางตายจากการตัดทำลายเส้นปราณหัวใจด้วยตัวเอง ต่อให้เทพเซียนมาก็ช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้”
“ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดเหี้ยมนัก น่าเสียดายที่โง่เขลาเกินไป ต่อให้นางไม่พูดก็พอจะเดาออก แผนภาพปริศนาในมือนางจะต้องเชื่อมโยงกับเจดีย์สมบัติในมือหลินสวินอย่างแยกจากกันมิได้เป็นแน่ อีกทั้งสมบัติสองชิ้นนี้ น่าจะสืบทอดมาจากตำหนักใหญ่แห่งนี้ทั้งคู่”
จ้าวจิ่งเซวียนเก็บกระถางสมบัติเก้ามังกร ท่าทางคล้ายขบคิด
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น