Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 592-593
ตอนที่ 592 ปริศนาแห่งโพธิญาณ
โดย
ProjectZyphon
ขณะที่หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกเริ่มทำการเคลื่อนไหว บริเวณที่ห่างจากภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ไม่ไกลพลันปรากฏกลิ่นอายน่าหวาดกลัว
นั่นคือพญาเผิงปีกทองตัวหนึ่ง ปีกราวหลอมจากทองคำเหลืองอร่าม แสงมรรคชวนประหวั่นเจิดจรัสไหลวนดั่งห้วงสมุทร ประดุจราชันตนหนึ่ง นัยน์ตาทองเฉียบคมคู่นั้นทอดมองขุนเขาสูงชันซึ่งห่างออกไป
“สวรรค์! นั่นมัน… นั่นมันพญาเผิงเมื่อครั้งบรรพกาล?”
ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งมากมายร้องเสียงหลง
ตูม!
พญาเผิงปีกทองอ้าปากสูดกลืน พลังอันน่าหวาดกลัวมิอาจทัดเทียมม้วนออกมา พริบตาก็พัดม้วนผู้แข็งแกร่งนับสิบคน ณ ที่นั้นกลืนลงท้อง
กร้วม! กร้วม!
พญาเผิงปีกทองบรรจงเคี้ยวอย่างเชื่องช้า มุมปากหลั่งโลหิต เฉยชาและเยียบเย็น เสมือนกำลังลิ้มรสอาหารเรียกน้ำย่อยก็มิปาน ผ่อนคลายสบายใจ มองผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มเป็นอาหาร
ภาพเหตุการณ์นี้ช่างชวนตระหนก ทำให้ผู้แข็งแกร่งอื่นรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ ส่งเสียงหวีดร้องหวาดผวา หลบหนีขึ้นสู่ภูเขาเทพหมอกม่วงอย่างบ้าคลั่ง
ซ่า…
ทันใดนั้นท้องฟ้าถูกเงามืดปกคลุม ศีรษะอสรพิษใหญ่มหึมาดุจภูผาสูงชันพลันปรากฏ นัยน์ตาสีโลหิตดั่งทะเลสาบคู่หนึ่ง แลบลิ้นงูตวัดม้วนดุจน้ำตกสีเลือด
แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งอีกสิบกว่าคนก็ถูกกลืนสู่ปากอสรพิษ ไม่ทันแม้แต่จะดิ้นรน
เพียงแต่เมื่องูยักษ์หมายเข้าใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วง กลับถูกพลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งกีดขวางและกดข่ม ทำให้มันก็ตระหนกหวาดหวั่น ส่งเสียงฟ่ออ่อนระทวยถอยกลับไม่หยุด
เอกพญางู!
ร่างของมันประดุจยอดเขาสูงชันคดเคี้ยวเลี้ยวลด ปกคลุมด้วยผืนเกล็ดครามเขียว ราวตั้งตระหง่านระหว่างฟ้าดิน สามารถเหลือบมองสรรพชีวิตจากเบื้องสูง กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ
“บัดซบ! นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่ ทำไมพลังถึงน่าหวาดกลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏเสียอีก”
“หนี รีบขึ้นเขาเร็วเข้า!”
ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งที่เหลือพวกนั้นมีหรือจะยังสนใจเข่นฆ่ากัน แต่ละคนราวคลุ้มคลั่ง พุ่งทะยานสู่ยอดเขา สับสนอลหม่านไปมหด
พญาเผิงปีกทองเมินเฉยไม่ไหวติง เก็บปีกหยัดยืนกลางอากาศซึ่งห่างออกไป สีหน้าหยิ่งทะนงยะเยียบเย็น
เพียงแต่เมื่อสายตามองมายังภูเขาเทพหมอกม่วงที่อยู่ห่างๆ ก็แอบแฝงความกริ่งเกรงที่พูดไม่ถูกอย่างหนึ่ง รวมถึงความมุ่งหวังปรารถนาเสี้ยวหนึ่งซึ่งมิอาจอำพราง
อีกฟากหนึ่ง เอกพญางูผงกหัวขึ้น แลบลิ้นแดงสดสีเลือด จดจ้องการเคลื่อนไหวบนภูเขาเทพหมอกม่วงเฉกเช่นเดียวกัน
เดิมทีพวกมันควรเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่เวลานี้กลับเหมือนปล่อยวางความแค้นแต่ก่อนเก่า ต่างฝ่ายต่างอยู่ ล้วนจ้องมองบนภูเขาเทพหมอกม่วง
ไม่นานนักผีเสื้อขนาดราวใบพัดตัวหนึ่งพลันปรากฏ สยายปีกหลากสีสันเอ่อล้นด้วยแสงห้าสี
ทันทีที่มันมาถึง แค่เพียงเหลือบมองพญาเผิงปีกทองและเอกพญางูวูบหนึ่ง ก่อนเลือกอาณาบริเวณอื่น แล้วจ้องมองภูเขาเทพหมอกม่วงที่อยู่ห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ
กล่าวถึงพลังก็ไม่ด้อยไปกว่าอีกสองตัวอย่างสิ้นเชิง
สวบ!
แสงเขียววงหนึ่งปรากฏจากเขตพื้นที่อื่น นั่นคือจิ้งจอกเขียวตัวหนึ่ง ขนผิวนุ่มสลวยเรียบเนียนดุจดั่งแพรไหม ราวม้าศึกชั้นดีหาใดเปรียบ
มันก้าวย่างกลางอากาศ นัยน์ตาล้ำลึกและผ่านโลกมาโชกโชนประหนึ่งมีสติปัญญา สายตากวาดมองสัตว์น่ากลัวทั้งสามวูบหนึ่ง ท้ายที่สุดก็หยุดลง มองไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงที่ห่างออกไปเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตน่าประหวั่นสี่ตัวซึ่งอาศัยอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะต่างอาณาบริเวณ ขณะนี้ปรากฏตัวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทอดสายตามองไปยังภูเขาเทพหมอกม่วง เหมือนกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง
ภาพเหตุการณ์นั้นเห็นได้ว่าสั่นสะท้านจิตใจอย่างยิ่ง
ที่ควรค่าแก่การยินดีคือ ภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ปกคลุมไปด้วยสิ่งต้องห้ามน่าหวาดกลัว กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ทุกแห่งหน พวกพญาเผิงปีกทองแม้ทรงอานุภาพหาใดเปรียบ แต่ยิ่งมาถึงตรงนี้กลับได้รับแรงกดอัดถึงขีดสุด ไม่อาจมุ่งเข้าใกล้
มิฉะนั้นแล้วสำหรับผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่า ถือว่าเป็นหายนะฉากหนึ่งอย่างแน่นอน
ครืน!
ไม่ทันไรก็มีตะขาบตัวหนึ่งปรากฏ ร่างยาวประมาณหนึ่งจั้ง เสมือนก่อตัวจากหินหยก กลิ่นอายเหี้ยมโหดน่าหวาดกลัว
เห็นได้ว่ามันป่าเถื่อนดุร้ายยิ่ง ทันทีที่ปรากฏก็พุ่งไปยังภูเขาเทพหมอกม่วง แสงมรกตทั่วร่างเปล่งปลั่ง พลานุภาพน่ากลัว
มันหมายจะรุกล้ำภูเขาเทพหมอกม่วง!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พญาเผิงปีกทอง เอกพญางู ผีเสื้อและจิ้งจอกเขียวต่างจับจ้องที่จุดเดียวกัน
แต่ไม่ช้าสีหน้าพวกมันก็ฟื้นคืนความเฉยชานิ่งสงบ
เพราะตะขาบหินหยกตัวนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วง ก็ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งบดขยี้ลงบนร่าง ทำให้ตะขาบนั่นทรุดตัวลงกรีดร้องโหยหวน ร่างกายแทบจะถูกบดละเอียด!
ยังดีที่มันหัวไว หลีกหลบเต็มกำลัง ชั่วครู่ก็หลีกหนีเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ เพียงแต่เมื่อมองไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงอีกครั้ง แววตากลับหวาดหวั่นและกลัวเกรงถึงขีดสุด ทั้งยังมีแววไม่พอใจด้วย
แต่ท้ายที่สุดมันยังคงอดกลั้นเฝ้ารออยู่ห่างๆ จับจ้องอยู่เงียบๆ
…
นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
“วาสนาภูเขาเทพอุบัติขึ้นแล้ว ดูเหมือนมีความเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมในตำนาน!”
ขณะที่ข่าวนี้แพร่ออกไปทุกคนล้วนตื่นตระหนกฮือฮา คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าต่างจิตใจฮึกเหิม กระตือรือร้นพึงใจ
โดยเฉพาะบรรดาผู้ชิงยึดโอกาสไว้ได้ก่อนอย่างเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆา เผ่าเต่าทมิฬ ที่ช่วงชิงวาสนาตั้งแต่ชั่วขณะแรกยิ่งโห่ร้องยินดีไม่หยุด
วาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดครานี้ในที่สุดก็อุบัติขึ้นบนโลกา ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นต่างก็เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง ภายในใจแทบอยากจะเข้าสู่แดนลับมุ่งหน้าออกสำรวจ
น่าเสียดายที่ได้แค่คิด
เพียงแต่ฮึกเหิมและยินดีได้ไม่นานนัก ก็มีข่าวร้ายมาเยือน…
“สัตว์ประหลาด ใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วงปรากฏสัตว์ประหลาดเยอะมาก มีพญาเผิงปีกทอง มีงูยักษ์ลึกลับ ยังมีผีเสื้อห้าสีขนาดเท่าใบพัดด้วย!”
“คนในเผ่ามากมายหนีไม่ทันถูกพวกมันกินไปแล้ว!”
“น่ากลัวยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏซะอีก สวรรค์ แดนผีสิงนั่นประเดี๋ยวเดียวทำไมถึงปรากฏสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวมากมายเช่นนี้”
บนแท่นบูชาวิญญาณเรืองแสงจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าออกมาไม่หยุดหย่อน ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่หลังถูกสังหารโชคดีอาศัยยันต์กระดูกวิญญาณหนีออกมาได้
จากคำบอกเล่าของพวกเขา ทำให้คนใหญ่คนโตทุกคน ณ ที่นั้นหนาวเยือกในใจ สีหน้าอึมครึมหาใดเปรียบ ตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์
“สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวพวกนี้ เห็นชัดว่าต่างมาเพราะวาสนาบนภูเขาเทพหมอกม่วงนั่น! พวกมันไม่อาจเข้าไปในนั้นได้จึงเฝ้ารออยู่ด้านนอก นี่ก็หมายความว่า ไม่ว่าลูกหลานเผ่าใดช่วงชิงวาสนาไปได้ เมื่อคิดอยากจากไปก็ต้องพบกับการล่าสังหารของพวกมัน!”
มีคนใหญ่คนโตชี้ชัดออกมา แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“สามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวมากมายขนาดนี้มารวมตัวกันได้ วาสนาครานี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ที่น่าแค้นใจคือพวกเราได้แต่รอคอยอยู่ข้างนอก ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือในนั้นได้!”
และมีคนใหญ่คนโตเศร้าโศกชิงชัง โกรธจนหน้าเขียว
ใครเล่าจะคาดคิด วาสนายังไม่ทันชิงมาได้ กลับดึงดูดให้สิ่งมีชีวิตน่ากลัวพวกนั้นจับจ้องตาเป็นมันแล้ว
“เหตุการณ์อาจไม่ร้ายแรงเช่นนั้น ในเมื่อสิ่งมีชีวิตน่ากลัวพวกนั้นไม่อาจเข้าสู่ภูเขาเทพหมอกม่วงได้ ก็แสดงว่ายังมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด”
มีคนใหญ่คนโตทำการวิเคราะห์ เห็นชัดว่าใจเย็นอย่างมาก
“หากพวกมันกล้าสังหารคนในเผ่าข้า สักวันหนึ่งข้าจะกำจัดพวกมันทั้งหมดเอง!”
ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นราวฟ้าร้องกัมปนาทดังขึ้น เป็น ‘ราชันวัวมาร’ หนิวเซี่ยวรื่อแห่งเผ่าวัวมารทรงพลัง น้ำเสียงเดือดดาลไอสังหารแผ่ซ่าน เต็มไปด้วยความอหังการ
แต่ก็ทำได้แค่เท่านั้น ท้ายที่สุดก็อยู่โลกภายนอกไม่อาจเข้าไปข้างใน ถึงพวกเขาโกรธแค้นไปก็ได้แต่มองตาปริบๆ หวังว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น อย่าได้ปรากฏเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นเด็ดขาด
…
บนยอดเขา
“ลวงหลอก? แค่สองคำเนี่ยนะ บ้านยายมันสิ ทำไมถึงเป็นข้อความซังกะบ๊วยนี่อีกแล้ว! ลาหัวโล้นพวกนั้นทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เห็นชัดว่าเป็นพวกตามืดบอดชอบก่อกวน!”
เจ้าคางคกหลุดปากด่ายกใหญ่ เห็นได้ว่าอารมณ์เสียอยู่บ้าง
เขาพาหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสำรวจแท่นบูชาอื่นด้วยกัน เพราะไม่มีคู่ต่อสู้อยู่จึงทำให้ไม่ช้าพวกเขาสำรวจแท่นบูชาได้เก้าแท่นแล้ว
เป็นดังที่เจ้าคางคกคาดการณ์ไว้ บนแท่นบูชาแต่ละแท่นต่างทิ้งอักษรปริศนามหายานอันเร้นลับและแปลกประหลาด แต่เนื้อความกลับทำให้คนผิดหวัง ล้วนเป็น ‘คีรีดวงกมล’ ‘ลวงหลอก’ คล้ายๆ กัน ไม่พบอะไรที่เป็นรูปธรรม
นี่ทำให้เจ้าคางคกตะลึงงันหัวเสียไม่หยุด เดิมคิดว่าจะค้นพบปริศนาและการชี้นำอะไรบางอย่างจากแท่นบูชาเหล่านี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำพูดไร้สาระทั้งกอง
หากท้ายที่สุดไม่พบอะไรสักอย่าง ครั้งนี้พวกเขาคงเสียหายใหญ่หลวง ไม่เพียงแต่พลาดโอกาสช่วงชิงวาสนาก่อนใคร ยังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อย่างมาก!
“ลองไปดูที่อื่นต่อ”
หลินสวินเองสีหน้ามืดมนอยู่บ้าง เสียใจอยู่หน่อยๆ ว่าไม่น่าเชื่อคำกล่าวอ้างของเจ้าคางคก แต่ในเมื่อเริ่มแล้ว หากไม่สำรวจดูแท่นบูชาอื่นทั้งหมดเสียรอบหนึ่ง เขาก็ไม่อาจสบายใจลงได้
“ใช่ๆๆ ลองไปดูที่อื่นต่อ จะต้องพบอะไรแน่”
เจ้าคางคกกระอักกระอ่วนอยู่เช่นกัน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียน เห็นหลินสวินกล่าวเช่นนี้ เขายิ่งรีบร้อนหาทางลง
“พวกมันจ้องพวกเราตลอดเลย”
จ้าวจิ่งเซวียนอึดอัดอยู่บ้าง ชี้ไปยังบริเวณที่ห่างออกไปจากภูเขาเทพหมอกม่วง อาณาเขตตรงนั้นถูกพญาเผิงปีกทองและสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวจำนวนหนึ่งยึดครอง
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พบว่าสถานการณ์นี้สร้างความตระหนกสู่ภายนอก ตระหนักได้ว่าสัตว์ร้ายพวกนี้จะต้องถูกวาสนาครานี้ชักนำมาเป็นแน่
แต่เมื่อเห็นว่าพวกมันไม่อาจเข้าใกล้ภูเขาเทพแห่งนี้ พวกหลินสวินก็คร้านจะใส่ใจ
“อย่าสนใจพวกมันเลย เจ้าพวกกากเดนไร้ประโยชน์ แม้แต่ภูเขาแห่งนี้ยังเข้าไม่ได้ สมน้ำหน้าพวกมันที่ได้แต่ถลึงตามองปริบๆ อิจฉาพวกเรา”
เจ้าคางคกกำเริบเสิบสานยิ่ง กล่าวอย่างภาคภูมิใจ พูดว่าพวกพญาเผิงปีกทองคือพวกไร้ประโยชน์ ทำให้หลินสวินแทบอยากจะเงื้อฝ่ามือฟาดท้ายทอยมันสักป้าบ
หากสิ่งมีชีวิตซึ่งน่ากลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นเป็นพวกไร้ประโยชน์ งั้นพวกเขามิใช่ว่าเทียบไม่ได้แม้แต่กากเดนหรือ
“รีบลงมือ!”
หลินสวินถลึงตาใส่เจ้าคางคก
เจ้าคางคกเองรู้ตัวว่าการเคลื่อนไหวครานี้ไม่เป็นที่พึงใจอยู่บ้าง จึงไม่เถียงกับหลินสวิน ทำเวลาดำเนินการต่อ
“ดินแดนแห่งดวงกมล ก็คือสถานที่แห่งใจ ที่แท้ คีรีดวงกมลนั่นไม่มีอยู่แต่แรกหรือ”
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะหลอกพวกเราทุกคน…”
“คีรีแห่งดวงกมลไม่มีอยู่จริงรึ”
ต่อจากนั้น เจ้าคางคกสำรวจดูอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาแท่นแล้วแท่นเล่า แทบเป็นเนื้อหาจำพวกนี้ทั้งสิ้น
นี่ทำให้เขาสีหน้าไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม ด่าอริยะผู้บำเพ็ญธรรมตลอดทางไม่หยุด ว่าลาหัวโล้นพวกนี้รังแกคนอื่นเกินไป ไม่เหลือเบาะแสแต่กลับทิ้งคำพูดผายลมไว้ส่วนหนึ่ง เจตนาหลอกลวงคนอื่น
แม้แต่หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนยังหมดคำพูด คีรีแห่งดวงกมลคือการดำรงอยู่เช่นไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้อริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านี้คิดถึงไม่ว่างเว้นเช่นนี้
ท้ายที่สุดขณะสำรวจแท่นบูชาที่สามสิบ เจ้าคางคกก็คึกคักขึ้นมา ในที่สุดก็ค้นพบสิ่งใหม่!
“หากอ้างอิงจากตัวอักษรซึ่งใช้ทั่วไปบนโลกมนุษย์ ดินแดนแห่งดวงกมลคือสถานที่แห่งใจ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ คล้ายเส้นอักษรที่เขียนออกมาเป็นคำว่า ‘ใจ’[1] ปริศนาแห่งโพธิญาณที่เล่าขานซ่อนอยู่ภายใน หรือว่าหากอยากพบดวงกมล ต้องอาศัยมรรคแห่ง ‘ใจ’ ไปเสาะแสวงหา?”
เมื่อเจ้าคางคกแปลอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาออกมา หลินสวินและจ้างจิ่งเซวียนต่างชะงักงัน สังเกตเห็นจุดสำคัญอย่างฉับไว
ปริศนาแห่งโพธิญาณ!
แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าคีรีแห่งดวงกมล สถานที่แห่งเสี้ยวจันทร์สามดารานั้น ซ่อนไว้ซึ่ง ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’!
………………
[1] คำว่า ‘ใจ’ ในภาษาจีนคือ ‘心’ มีลักษณะเส้นคล้ายจันทร์เสี้ยว ล้อมรอบด้วยเส้นแต้มสามดารา
ตอนที่ 593 โอมมณีปัทเมฮุม
โดย
ProjectZyphon
“ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องมันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ…” เจ้าคางคกตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเองก็รู้สึกเช่นนั้นยิ่ง
ก่อนหน้าที่ยังไม่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ เดิมพวกเขาคิดว่าที่นี่ซ่อนมรดกของอสูรมารอริยะผู้หนึ่ง
แต่หลังผ่านการค้นหามาหลายวัน พวกเขาถึงพบว่าแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ น่าจะเป็นแดนเผยแพร่อริยชนหนึ่ง โดยราชันอริยมรรคผู้หนึ่งนำพาอริยะกลุ่มหนึ่งมาบุกเบิกด้วยกัน
จุดประสงค์เพื่อเก็บศุภโชคไว้ให้ทายาทรุ่นหลังของพวกเขา หวังว่าเมื่อทายาทเหล่านี้ถือเกิดกำเนิดขึ้น จะสามารถเหนือกว่าในอดีต สร้างตำนานบทใหม่บนหนทางแห่งมหามรรค
จนกระทั่งมาถึงภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งนี้ หลังผ่านการสืบเสาะอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขายังพบว่าที่แห่งนี้ดูเหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเมื่อครั้งบรรพกาล!
ที่ทำให้ผู้คนแปลกใจสงสัยที่สุดคือ บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นนี้ต่างหลงเหลืออักษรประหลาดยากคาดเดา เช่น ‘คีรีดวงกมล’ ‘ลวงหลอก’ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ พาให้คนงุนงง
“สถานที่นี้ลี้ลับและไม่อาจระบุเกินไปแล้ว สิ่งที่จินตนาการไว้ก่อนที่พวกเราจะมา มันธรรมดาเกินไป” จ้าวจิ่งเซวียนทอดถอนใจ
“แดนลับอสูรมารอริยะ… แดนเผยแพร่อริยชน… ภูเขาเทพหมอกม่วงซึ่งเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรม… ทุกอย่างในนี้เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ เต็มไปด้วยปริศนา” หลินสวินรู้สึกแบบเดียวกันอย่างสุดซึ้ง
“ข้าสามารถยืนยันได้ว่า แดนลับแห่งนี้ต้องเป็นแดนเผยแพร่อริยชนอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เจ้าคางคกใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนตัดสินชี้ขาด “สำหรับภูเขาเทพหมอกม่วงนี่ เป็นเพียงแดนเผยแพร่ที่อริยะผู้หนึ่งทิ้งไว้ และอริยะคนนี้แหละคืออัครสาวกผู้หนึ่งในสมัยบรรพกาล!”
“งั้นอสูรมารอริยะที่ว่าคือใครกันล่ะ” หลินสวินถาม
“บางทีอาจเป็นแค่คำพูดที่บิดเบือนต่อกันมา หรือบางทีอสูรมารอริยะผู้นี้เดิมทีก็คือผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง!” เจ้าคางคกทำการสันนิษฐาน
หลินสวินอึ้งงัน อสูรมารอริยะที่อยู่ในสายบำเพ็ญธรรม? คำอธิบายนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ทีเดียว ทั้งเมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็สมเหตุสมผล
“ไม่ถูก บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งนี้ อักษรปริศนามหายานที่เหลือไว้จะต้องไม่ได้มาจากลายมือของคนเพียงคนเดียวเป็นแน่” จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยปาก ชี้ไปยังจุดน่าสงสัยหนึ่ง
“ง่ายมาก พวกเจ้าน่าจะรู้ แดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ก้าวผ่านกาลเวลาเหลือคณานับอยู่นานแล้ว ในกาลเวลาอันเนิ่นนานต้องมีเหล่ายอดฝีมือมากมายเคยมาที่นี่เพื่อเสาะแสวงหามาก่อน”
ความคิดของเจ้าคางคกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชัดเจน ดวงตาสีทองเปล่งประกาย
“แต่หากกล่าวว่าก่อนหน้าเคยมีผู้แข็งแกร่งมากมายมาที่นี่ เหตุใดพวกเขาถึงทิ้งคำพูดประหลาดพวกนี้บนแท่นบูชาล่ะ” จ้าวจิ่งเซวียนถาม
เวลานี้นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง กล่าวว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง จากที่พวกเราเห็น นี่คือภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งหนึ่ง เก็บซ่อนวาสนาแห่งยุคเอาไว้”
“แต่ในกาลก่อนเหล่าผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยมาที่นี่ บางทีอาจเห็นว่าภูเขานี้คือ ‘คีรีดวงกมล’ จึงพยายามเสาะหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ จากที่นี่!”
“ใช่!”
เจ้าคางคกกล่าวชมเชย “เหมือนกับที่ข้าคิด ภูเขาเทพหมอกม่วงที่เรียกนี้ แต่ก่อนอาจถูกอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นมองเป็น ‘คีรีดวงกมล’ นึกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ ซ่อนอยู่ภายใน แต่ท้ายที่สุดพวกเขากลับไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นจึงคิดว่านี่แหละคือการลวงหลอก เชื่อว่าคีรีดวงกมลและปริศนาแห่งโพธิญาณไม่มีอยู่แต่แรก!”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนก็กระจ่างบางส่วน แต่เมื่อกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนกลับยังคงมีช่องโหว่ไม่น้อย
“งั้นเจ้าว่าที่นี่ใช่คีรีดวงกมลหรือไม่กันแน่ หรือเป็นดั่งอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาที่กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่การลวงหลอก?” จ้าวจิ่งเซวียนอดถามไม่ได้
“ข้อความบนแท่นบูชาล้วนเป็นอักษรปริศนามหายาน เป็นภาษาสันสกฤตซึ่งยากจะเห็นในสมัยบรรพกาล มีเพียงอริยะผู้บำเพ็ญธรรมจึงสามารถเข้าใจ นี่มิใช่หมายความว่า ในกาลเวลาอันเนิ่นนานนี้มีอริยะผู้บำเพ็ญธรรมมากมายเคยมาแสวงหายังภูเขานี้หรอกรึ”
หลินสวินเองก็เอ่ยปาก สายตามองไปยังเจ้าคางคก “หากเป็นเช่นนั้น วาสนาที่ซ่อนอยู่ในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ ใครเล่าจะกล้ายืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมครั้งบรรพกาลผู้ใดผู้หนึ่งจริง”
เจ้าคางคกอึ้งงันไปครู่หนึ่ง มองดูจ้าวจิ่งเซวียน และหันมองหลินสวิน คล้ายอับอายกลายเป็นโกรธอยู่บ้าง ด่าว่า “พวกเรามาเพื่อช่วงชิงวาสนา ไม่ได้มาสืบเสาะเรื่องไร้สาระที่หลงเหลือไว้ในสมัยบรรพกาลนะ คีรีดวงกมลอะไรกัน ไยต้องไปใส่ใจด้วย”
“ดูท่าเจ้าเองก็ไม่แน่ใจ” หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเคลือบแคลงสงสัย
เจ้าคางคกกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แม้ข้าเป็นที่รู้จักในนามผู้รอบรู้สิ่งล้ำค่าทั้งปวง แต่ไม่เคยพูดว่ารอบรู้ในสรรพสิ่งเร้นลับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสักหน่อย!”
“ไปๆๆ อย่ามัวแต่โง่งมอยู่ที่นี่ เวลามีค่า ไปดูแท่นบูชาอื่นต่อ”
พูดพลางเจ้าคางคกก็วิ่งผลุบหายไปราวหมอกควัน เห็นชัดว่ากลัวทั้งคู่จะถามปัญหาบางอย่างที่เขาไม่อาจตอบได้อีก
เมื่อสำรวจแท่นบูชาแต่ละแท่นต่อ ก็ไม่เจอเบาะแสที่ควรค่าใดอีก
ขณะที่พวกเขากำลังผิดหวัง จู่ๆ ลูกตาเจ้าคางคกพลันเบิกกว้าง ขยับไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นทันที หน้าแทบจะติดอยู่บนแท่นบูชานั่น กล่าวอย่างดีอกดีใจ “บนนี้มีความลับที่แท้จริง แตกต่างจากแท่นบูชาอื่นโดยสิ้นเชิง!”
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนถูกดึงดูดเข้าไปทันที
“พันหมื่นแปรเปลี่ยน… ใจความคงเดิม… นั่นคือ… โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม!”
เจ้าคางคกอ่านทีละคำ มิใช่ว่าตื่นเต้นเกินไป แต่เพราะอักษรปริศนามหายานบนนั้นยากหยั่งถึงและซับซ้อนเกินไป พาให้เขาทำได้แค่รับรู้มันทีละตัวๆ
“พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม” หลินสวินท่องซ่ำอีกครั้ง กล่าวอย่างงุนงง “นี่หมายความว่าอะไร”
เขารู้สึกแค่ว่าหกคำสุดท้ายนั่นพูดยากชวนลิ้นพันเหลือเกิน มีท่วงทำนองแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เพียงหกคำเท่านั้นกลับประหนึ่งแฝงความนัยลึกลับเหลือคณานับอยู่ภายใน
วู้ม!
ขณะที่เขาเพิ่งพูดจบ กลางท้องฟ้าละแวกใกล้เคียงพลันเกิดคลื่นผันผวนลึกลับ ปรากฏบานประตูซึ่งห้อมล้อมด้วยแสงมรรค!
อีกทั้งใจกลางดอกบัวที่อยู่ห่างไกลนั่นมีรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งทะยานออกมา ประดุจสะพานเชื่อมต่อบานประตูนี้
ภาพเหตุการณ์อันวิเศษมหัศจรรย์ทำให้หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกต่างตระหนกอยู่ในใจ พวกเขาหาปริศนาและคำตอบบางอย่างจากแท่นบูชาได้จริงดังคาด!
“ต้องเป็นพลังซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดเมื่อครู่แน่ที่จุดชนวนสิ่งต้องห้ามบางอย่าง ทำให้ประตูนี้ปรากฏขึ้น!”
เจ้าคางคกจิตใจฮึกเหิม ยิ้มแย้มแจ่มใส “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า จำนวนของแท่นบูชานี่สอดคล้องกันพอดี และอีก ‘หนึ่ง’ ซึ่งยังไม่เคยปรากฏนั่น ตอนนี้ก็ถูกพวกเราค้นพบแล้ว! บานประตูนี่แหละคือ ‘หนึ่งรอดพ้น’ นั่น!”
ยิ่งพูดเจ้าคางคกยิ่งตื่นเต้นดีใจ เกือบจะร่ายระบำอยู่แล้ว “ไม่ใช่บอกว่าศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนาหรอกรึ ตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราบังเอิญเจอวาสนาที่ซ่อนไว้เข้าให้แล้ว!”
“ไป ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกโรงอย่างสง่างาม คว้าเอาวาสนาครานี้มาให้หมดเลย!”
เจ้าคางคกพูดพลางกระโดดเข้าไปในบานประตูนั่น จนหลินสวินห้ามปรามไม่ทัน
“ช่างเถอะ พวกเราเองก็รีบเร่งลงมือเถอะ”
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้สึกว่าที่เจ้าคางคกพูดก็ไม่ผิด นี่ต่างหากคือหนทางที่เหมาะสมกับพวกเราที่สุด”
หลินสวินไหวไหล่ “ก็ได้แต่ทำเช่นนั้นแหละนะ”
ทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหวในบัดดล ก้าวเข้าสู่บานประตูปริศนานั้น เหยียบลงบนรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเยื้องย่างอยู่ระหว่างดาวเคลื่อนดาราคล้อย
ชั่วพริบตาเท่านั้น เงาร่างพวกเขาหดเล็กลงไม่หยุด ลับหายไปในดอกบัวตรงใจกลางนั่น
หลังจากที่พวกเขาจากไป บานประตูนั้นรวมถึงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ก็เลือนหาย ราวกับทุกสิ่งเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
…
ผืนดินศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา เมฆาลอยล่องหมอกระยับ บัวดอกหนึ่งเบ่งบานกลางท้องฟ้าเหนือยอดคีรี แสงสว่างไหลวน สาดส่องฟ้าดิน
บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่น บานประตูยังคงอยู่ รุ้งศักดิ์สิทธิ์สี่สิบเก้าสายเชื่อมต่อไปบนดอกบัวซึ่งอยู่ตรงกลาง
หลังจากผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่ากลุ่มแรกก้าวข้ามบานประตูและหายไปในสถานที่แห่งวาสนาที่ดอกบัวนั้นวิวัฒน์ขึ้น ก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายทยอยก้าวขึ้นสู่ยอดเขา พุ่งเข้าบานประตู
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้เดิมเข่นฆ่าแย่งชิงกันอยู่ที่เชิงเขา แต่เพราะการปรากฏตัวของพญาเผิงปีกทองและสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่ง ทำให้พวกเขาตกใจกระเจิดกระเจิง ลี้ภัยมายังยอดเขา
ไม่นึกเลยว่าบานประตูที่มุ่งสู่สถานที่แห่งวาสนายังคงอยู่ นี่ทำให้พวกเขาพุ่งเข้าไปโดยไม่ต้องคิด
บางทีพวกเขาอาจสูญเสียโอกาสทอง แต่แม้ไม่ได้กินเนื้อ ก็ขอคว้านเอาน้ำแกงมาดื่มหน่อยแล้วกัน
ด้วยมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว
“อยู่ตรงนี้”
กระทั่งต่อมา หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนำผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอยู่หน้าแท่นบูชาที่พวกเขาหลินสวินจากไป
หญิงสาวรูปงามพริ้งเพรา มือถือแผนภาพเก่าแก่ที่คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยกม้วนหนึ่ง สายตาจ้องจับเปรียบเทียบอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชานั่น
ชายหนุ่มเองตื่นเต้นและเฝ้ารออยู่บ้าง
หากหลินสวินอยู่ที่นี่ต้องจำได้อย่างแน่นอน หนุ่มสาวคู่นี้ก็คือเหยาซู่ซู่และเหลียนเฟย!
“เป็นที่นี่จริงๆ แผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ไม่มีผิดพลาด!”
ไม่นานนักเหยาซู่ซู่ก็มีสีหน้าฮึกเหิม
“ถ้าเช่นนั้น เจดีย์สมบัติในมือท่านพ่อ รวมถึงแผนภาพปริศนานี่ ล้วนตกทอดมาจากที่แห่งนี้สินะ”
เหลียนเฟยเองก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ปีนั้นท่านพ่อข้ามีวาสนา เคยมายังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แม้ไม่ได้เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะนี่ แต่กลับได้เจดีย์สมบัติหลังนั้นและแผนภาพปริศนานี่มาโดยบังเอิญ นี่สิเรียกว่าชนเข้ากับมหาศุภโชคอย่างแท้จริง ได้มาโดยไม่ต้องดิ้นรนแม้แต่น้อย ไฉนเลยจะเหมือนพวกเราที่ยังต้องเสาะหาฝ่าฟันอันตรายนานัปการ”
เหยาซู่ซู่รู้สึกทอดถอนใจระคนเศร้าอาดูรอยู่บ้าง “น่าเสียดาย ท่านพ่อประสบหายนะ ตระกูลเหยาของข้าก็ถูกทำลายลงในพริบตา…”
“ซู่ซู่ อย่าเสียใจไปเลย รอพวกเราได้มหาศุภโชคในนี้ ก็กลับไปยังจักรวรรดิแก้แค้นให้พวกท่านพ่อ!”
เหลียนเฟยรีบปลอบประโลม “ข้าได้ยินมาว่า คนที่ทำให้พวกท่านพ่อตายคือหลินสวินและราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยนั่น ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ข้าสังหารสองคนนี้ด้วยมือตนเอง! เอาเลือดสดๆ ของพวกมันมาเซ่นไหว้คนตระกูลเหยา!”
เหยาซู่ซู่กล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง สูดหายใจลึกไม่คิดมากความอีก เทียบแผนภาพปริศนาในมือ ก่อนเริ่มแยกแยะอักษรปริศนาบนแท่นบูชานั่นทีละตัว
“พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม”
เหยาซู่ซู่เปล่งออกเสียงออกมา แปลกประหลาดและยากหยั่งถึง
แต่แค่เพียงพริบตาเดียว ห้วงอากาศพลันเกิดคลื่นผันผวน ปรากฏบานประตูหนึ่ง ขณะเดียวกันรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งก็พุ่งทะลุออกมาจากดอกบัวที่ห่างไกล!
การเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ที่พานพบ เป็นเช่นเดียวกับพวกหลินสวินทุกประการ
“จริงดังคาด วาสนาที่แท้จริงอยู่ที่นี่! ฮ่าๆๆ พวกหน้าโง่แต่ละเผ่านั่นรู้จักแต่แย่งชิงโอกาสแรก ไหนเลยจะคาดคิดว่าวาสนาที่แท้จริงไม่ใช่อาศัยแรงกำลังก็จะได้มาครอง”
เหลียนเฟยหัวเราะร่าอย่างดีใจ
ยามนี้ยอดเขาว่างเปล่า นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก ทำให้เหลียนเฟยกล้าเยาะเย้ยตามอำเภอใจอย่างไม่หวาดกลัวเช่นนี้
“ไยต้องพูดไร้สาระมากความนัก รีบไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการณ์!”
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มผู้แข็งแกร่งเบื้องหลังเหลียนเฟย
เหลียนเฟยนัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก ราวโกรธแค้นอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดยังคงอดกลั้นไว้
ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นล้วนมาจากสายคนเถื่อนวารี ครั้งนี้ที่เขาและเหยาซู่ซู่สามารถเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะได้ ก็ต้องขอบคุณคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งของคนเถื่อนวารีที่ช่วยเหลือ
เพียงแต่ท่าทีของผู้แข็งแกร่งพวกนี้กลับทำให้เหลียนเฟยรังเกียจและต่อต้าน มองพวกเขาดั่งหนอนแมลง แม้ความเคารพขั้นต่ำยังไม่มี
‘พี่เฟย พวกเราดำเนินการก่อน รอเข้าสู่สถานที่แห่งวาสนาและชิงศุภโชคมา ค่อยหาโอกาสฆ่าเจ้าคนพวกนี้ซะ!’
เหยาซู่ซู่สื่อจิต น้ำเสียงเคลือบความคั่งแค้น
เหลียนเฟยพยักหน้ารับในบัดดล หาได้ลังเลอีก นำหน้าก้าวสู่บานประตูที่ปรากฏออกมา
………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น