Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 586-591
ตอนที่ 586 การแก่งแย่งก่อนวาสนาอุบัติ
โดย
ProjectZyphon
“แปลกชอบกล ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดบางอย่าง!”
ฉับพลัน จ้าวจิ่งเซวียนที่นำทางอยู่ข้างหน้าก็หยุดเดิน หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
นางรับรู้ได้อย่างเฉียบคมว่าจากจุดที่มีภูเขาเทพหมอกม่วงเป็นศูนย์กลาง ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงเอ่อล้นไปด้วยพลังผนึกลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวกลางอากาศได้
เมื่อเดินอยู่ภายในนั้น ก็เหมือนดังตกลงไปในบ่อโคลน ต่อให้มีท่าร่างว่องไวยิ่งยวดก็ไม่สามารถเคลื่อนที่กลางห้วงนภาแห่งนี้ได้ ทำได้เพียงกระโจนร่างบนพื้นดิน
คราวก่อนตอนจ้าวจิ่งเซวียนออกไปจากที่นี่ก็ยังไม่ใช่แบบนี้
“ไม่อาจเคลื่อนตัวในอากาศได้”
หลินสวินก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ ในใจนึกสงสัยว่าในห้วงอากาศราวมีผนึกปกคลุม กดทับพลังเคลื่อนไหวกลางอากาศของผู้ฝึกปราณทุกคน
“ง่ายดายมาก วาสนาสะท้านโลกาครั้งนี้กำลังจะอุบัติ การทดสอบที่พุ่งเป้าไปยังผู้ฝึกปราณก็กำลังจะเปิดฉากขึ้น”
เจ้าคางคกดวงตาส่องประกาย ตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างเต็มเปี่ยม
“ฆ่า!”
เสียงห้ำหั่นดังขึ้นจากจุดที่ไกลออกไป พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นคละคลุ้ง
กลับเห็นว่าบริเวณตีนเขาภูเขาเทพหมอกม่วงมีผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจแต่ละเผ่ารวมตัวกัน ล้วนกำลังปีนเขา หมายจะมุ่งไปยังยอดเขาก่อน เหตุปะทะและการต่อสู้ดุเดือดน่าหวาดหวั่นจึงปะทุขึ้น
ที่นั่นเลือดไหลเป็นสายน้ำ สภาพการณ์นองโลหิต
“วาสนายังไม่ทันอุบัติ เหตุใดถึงฆ่ากันเสียก่อนแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนอึ้งไป
“พวกเขากำลังช่วงชิงโอกาส หมายจะครองตำแหน่งที่ดีที่สุด เมื่อวาสนาอุบัติขึ้นก็จะสามารถไปชิงผลประโยชน์ได้ก่อน”
หลินสวินสังเกตเล็กน้อยก็ชี้ชัดออกมา
“ข้าคิดออกแล้ว หลายวันก่อนตอนพวกข้าเหยียบภูเขาลูกนี้ พบว่ามีทางขึ้นไปยังยอดเขาทั้งสิ้นสี่สิบเก้าสาย ปลายทางทุกสายไปยังตำแหน่งต่างๆ บนยอดเขา ทุกตำแหน่งล้วนมีแท่นบูชาโบราณแท่นหนึ่ง”
จ้าวจิ่งเซวียนรีบพูดออกมาว่า “ตอนนั้นขุมอำนาจที่มาที่นี่มีไม่มากนัก ก็เลยไม่เกิดการต่อสู้และแก่งแย่ง ทำให้พวกเราครองแท่นบูชาแท่นหนึ่งบนยอดเขาได้โดยราบรื่น”
“ดูท่าตอนนี้ขุมอำนาจที่เพิ่งมาถึงเอาช่วงใกล้ๆ เหล่านั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังแย่งชิงอาณาเขตแท่นบูชาที่อยู่ปลายทางแต่ละสาย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลินสวินพลันอึ้งไป ทางขึ้นเขาสี่สิบเก้าสายบนภูเขาเทพหมอกม่วงมุ่งหน้าไปยังหน้าแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นบนยอดเขา
เห็นได้ชัดว่าการจัดแจงเช่นนี้ต้องมีความหมายลึกซึ้ง หากจะชิงวาสนา ขุมพลังที่สามารถครองอาณาเขตแท่นบูชาได้ ย่อมสามารช่วงชิงโอกาสสำคัญได้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า โอกาสรอดพ้นเพียงหนึ่งในนั้น นี่มันสถานการณ์เสี่ยงตายเป็นบ้าเลยนะ!”
เจ้าคางคกสีหน้าหวาดหวั่น “ข้าพลันมีลางสังหรณ์ว่าบนภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ต้องมีมหาศุภโชคที่แท้จริงบังเกิดขึ้น แต่นี่ก็หมายความว่าอันตรายใหญ่หลวงจะมาเยือน ผู้ที่สามารถช่วงชิงวาสนาในท้ายที่สุดมีเพียงแค่หยิบมือ”
“ไป พวกเราไปทางขึ้นเขาสายที่เก้า พวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อล้วนครองที่นั่นไว้นานแล้ว พวกเราไปรวมตัวกับพวกเขากัน”
จ้าวจิ่งเซวียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเดินหน้าต่อไป
เดิมทีหลินสวินไม่คิดจะไปพบคนเหล่านั้น อย่างไรเสียตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นซูซิงเฟิง เหวินเสียง หรือว่าเซียวหรัน กงหยางอวี่ อวิ๋นเช่อ น่ากลัวว่าจะจ้องเขาอย่างดุร้ายราวพยัคฆ์ ทันทีที่เกิดการปะทะกันขึ้นก็มีแต่จะทำให้จ้าวจิ่งเซวียนลำบากไปด้วย
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าใครเป็นคนร้ายที่ลอบสังหารเจ้า อาศัยจังหวะนี้ก็ควรจะสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อ”
จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนอ่านออกว่าหลินสวินคิดอะไร จึงเสริมขึ้นหนึ่งประโยค
หลินสวินพลันไม่ลังเลอีก
ทั้งสามคนร่วมกันเดินหน้าอย่างระมัดระวัง
เวลานี้ไม่เพียงแต่พวกเขา ในบริเวณใกล้เคียงยังมีผู้แข็งแกร่งมากมายรีบรุดมา ล้วนรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนตามขุมอำนาจเผ่าต่างๆ
เห็นได้ชัดว่ายิ่งเวลาดำเนินไป การแก่งแย่งก็มีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรง!
ที่ตีนเขาของภูเขาเทพหมอกม่วง การต่อสู้ดุเดือดนัก เสียงสังหารสะเทือนฟ้าในพื้นที่ต่างๆ เงาร่างมากมายเคลื่อนไปตามทางขึ้นเขาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าแค่ถึงกลางทางก็สิ้นชีพ เลือดอาบมหาคีรี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าล้วนคิดจะไปครองแท่นบูชาก่อนเพื่อช่วงชิงโอกาสสำคัญ ไม่มีใครกล้าออมมือ
นี่ต้องเป็นการประลองใหญ่ที่บ้าคลั่งที่สุดก่อนวาสนาอุบัติขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งแน่นขนัดราวป่าทึบฆ่าฟันกันเอง วิชาลับและสมบัตินานาชนิดกำลังพุ่งชน ห้ำหั่นกันจนเสียสติ
พวกหลินสวินก็เตรียมพร้อมต่อสู้ ไม่กล้าเลินเล่อ
เพียงแต่ยังไม่รอให้เข้าใกล้ทางขึ้นภูเขาสายที่เก้า พวกเขาก็ถูกดึงเข้าไปในการห้ำหั่น พบเจอการล้อมโจมตี
ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่พวกเขา ยามผู้แข็งแกร่งจากเผ่าอื่นๆ มาถึงล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงการห้ำหั่นและแก่งแย่งได้เลย ไม่มีผู้ใดจะสามารถถือโอกาสหาประโยชน์ได้
“ฆ่า!”
การต่อสู้ปะทุขึ้น หลินสวินก็ไม่อาจออมมืออีก ในมือถือดาบหัก พุ่งไปยังทางขึ้นเขากับจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคก
ดูเหมือนมีเพียงสามคนเท่านั้น แต่กับประหนึ่งคมดาบแหลมคมไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ทำลายสิ้นซากตลอดทาง ไม่อาจต้านทานได้
ควรรู้ว่าตอนแรกหลินสวินเพียงคนเดียวก็สามารถกำราบการล้อมโจมตีของบุคคลระดับบุตรเทพได้แล้ว อีกทั้งยังตอบโต้ตามสังหารกลับ ฆ่าจนผู้แข็งแกร่งจากเผ่าอื่นกระเจิดกระเจิง เลือดนองตลอดทาง ไม่อาจสกัดกั้นได้เลย
ทว่าตอนนี้ข้างกายหลินสวินมีจ้าวจิ่งเซวียนกับเจ้าคางคกเพิ่มขึ้นมา ภายใต้การร่วมมือกันของทั้งสามคน ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจะต้านทานได้อย่างไร
“สวรรค์ เป็นเทพมารหนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นั้น เขาก็มาแล้ว!”
“รีบหนีเร็ว! ดาวสังหารโหดเหี้ยมชั่วช้านั่นมาแล้ว!”
ไม่นานนักก็มีคนจำหลินสวินได้ พลันเกิดเสียงฮือฮาไปทั่ว ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้เคียงกันล้วนมีท่าทางเหมือนเห็นผี พากันถอยหนี สีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง ไม่กล้าต่อกรกับหลินสวิน
ชื่อเสียงชั่วร้ายของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั้น ตอนนี้ได้กระจายไปทั่วแดนลับอสูรมารอริยะ ผู้แข็งแกร่งเผ่าใหญ่รู้จักเป็นอย่างดี
ดังนั้นเวลานี้เมื่อหลินสวินถูกจำได้ จึงเกิดเสียงครึกโครมใหญ่โตปานนี้ ทำเอาผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นล้วนหวาดหวั่นและกลัวเกรงไม่หยุดหย่อน
อย่างไรถึงเรียกว่าพลานุภาพ
ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็พาให้พวกหลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อย อุปสรรคที่เข้ามาก็แทบหายไป เหยียบย่างลงบนทางขึ้นเขาสายที่เก้าโดยราบรื่น
“ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ชื่อเสียงของเจ้าจะโด่งดังยิ่ง ทันทีที่ออกโรงก็พาให้เหล่าผู้แข็งแกร่งถอยหนีไปเอง ฤทธิ์เดชเหลือคณา”
มุมปากจ้าวจิ่งเซวียนระบายยิ้ม หยอกล้อเสียหนึ่งประโยค
หลินสวินไหวไหล่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ใจไป ต้องมีพวกไม่กลัวตายกระโดดออกมาแน่”
ดังคาด เขาเพิ่งพูดจบก็มีพลังน่าหวาดหวั่นปะทุขึ้นทันใด มีผู้แข็งแกร่งซุ่มโจมตีจากด้านหนึ่ง
“ปากเสีย!” เจ้าคางคกพลันด่าเสียงดัง
หลินสวินก็พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เมื่อครู่เขาเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะกลายเป็นจริงไปได้
ตึง!
จ้าวจิ่งเซวียนเรียกกระถางสมบัติเก้ามังกรออกมา สลายการโจมตีน่ากลัวนั้น
“อวี่เซียวเซิง!”
เวลานี้หลินสวินถึงได้เห็นว่าเจ้าคนที่ลงมือนั้นดันเป็นอวี่เซียวเซิง บุตรเทพเผ่าวาฬมังกร “เจ้ายังกล้ามารนหาที่ตาย!?”
หลินสวินสีหน้าพลันถมึงทึง ดาบหักพาดผ่านอากาศ พุ่งไปโจมตีฝ่ายตรงข้าม
ตั้งแต่หลายวันก่อนหลินสวินก็เคยเอาชนะอวี่เซียวเซิง เกือบสังหารเขาให้ตาย ไม่เคยคิดเลยว่าเขายังกล้าวิ่งออกมา นี่ช่างทำให้หลินสวินเกินความคาดหมายอยู่บ้าง
แต่ไม่นานนักหลินสวินก็เข้าใจแล้ว ที่แท้อวี่เซียวเซิงผู้นี้หาผู้ช่วยมา อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงคนเดียวเสียด้วย
บุตรเทพเผ่าคชามาร ธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์ บุตรเทพเผ่ากวางหยก และบุตรเทพเผ่าวานรนทีล้วนอยู่ในนั้น นอกจากคู่แค้นที่คุ้นเคยเหล่านี้แล้ว ยังมีชายหญิงคนอื่นๆ อีก ล้วนมีท่าทางไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลชั้นยอดระดับบุตรเทพ
ก็ไม่แปลกที่อวี่เซียวเซิงจะกล้าปรากฏตัว ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นดึงกลุ่มผู้แข็งแกร่งชั้นยอดเช่นนี้มาร่วมด้วย น่ากลัวจะไม่หวั่นเกรงอะไรอีกแล้ว
เปรี้ยง!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ อวี่เซียวเซิงนำกลุ่มบุคคลระดับบุตรเทพออกโจมตีเต็มกำลัง เรียกสมบัติลับทั้งมวลออกมา สำแดงวิชาลึกลับ ก็เห็นว่าห้วงอากาศเจิดจ้า ที่ไหลเอ่อออกมาล้วนเป็นแสงสมบัติ สภาพการณ์น่าตกใจถึงที่สุด
เพียงพริบตาเดียวเจ้าคางตกก็ทานไว้ไม่ไหว คำรามเสียงดังพลางหลบหนีไม่ว่างเว้น
แม้แต่จ้าวจิ่งเซวียนก็รู้สึกเปลืองแรง ใช้กระถางสมบัติเก้ามังกรต้านทานไว้อย่างเต็มกำลังแต่กลับไม่สามารถโต้กลับได้เลย
“พวกเจ้าไปก่อน!”
หลินสวินโมโหถึงที่สุดแล้ว อวี่เซียวเซิงกับพวกบุตรเทพเหล่านั้น ครั้งที่แล้วหนีรอดไปได้ คราวนี้พวกเขากลับร่วมมือกันมาหาเรื่องอีกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อาจทนได้
เขาคนเดียวมาขวางทางขึ้นเขา รอบกายเอ่อล้นไปด้วยรัศมีเทพสีใสโชติช่วง ท่วงทำนองมรรคไหลวน ท่วงท่าโอหังเย้ยหยันใต้หล้า มีมาดราวหนึ่งบุรุษสยบหมื่น
ตูม!
ดาบหักเคลื่อนผ่านอากาศ ฟันออกมาเป็นธารดาราแวววาวม้วนตลบห้วงอากาศ เปล่งรัศมีเทพแยงตา เพียงคนเดียวกลับไปประจันหน้ากับเหล่าบุคคลระดับบุตรเทพ!
สภาพการณ์สะท้านโลกาเช่นนี้ถึงกับดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงพากันชำเลืองมอง และรับสึกตกใจยิ่งนัก เทพมารหนุ่มน้อยผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมและกำเริบเสิบสานไปแล้ว เขาจะสู้ตัวคนเดียวกับกลุ่มผู้กล้าจริงหรือ
“รนหาที่ตาย!”
“ทุกคน ร่วมกันฆ่าเขาแล้วชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวเขามาก่อน พวกเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเขาเย้ยฟ้าปานนี้ได้อย่างไร ก็เพราะเขาได้วาสนาเย้ยฟ้ามาจากเกาะอริยะปัญจธาตุอย่างไรเล่า!”
อวี่เซียวเซิงคำรามยาว แล้วสรุปเหตุผลที่หลินสวินแข็งแกร่งว่าเป็นเพราะวาสนาที่ได้มาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ เจตนาเรียกได้ว่าร้ายกาจถึงที่สุด
ดังคาด บุคคลระดับบุตรเทพเหล่านั้นล้วนตาลุกวาว พุ่งเข้าโจมตีโดยไม่สนใจทุกสิ่ง ทำให้พื้นที่ภูเขาแห่งนี้สั่นสะเทือน รัศมีเทพทำลายล้าง
นี่ยังดีที่เป็นภูเขาเทพหมอกม่วง เป็นพื้นที่ต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่ง ไม่มีทางถูกทำลายเสียหาย หาอยู่ในโลกภายนอก เพียงแค่คลื่นของการต่อสู้ครั้งนี้ก็สามารถสลายบรรพตนทีได้!
“ข้าฆ่าเจ้าก่อนเลย!”
หลินสวินคำราม พลังบ้าคลั่งแผ่ออกมา เงาร่างราวชือน้ำแข็งตัวหนึ่ง ถึงกับทลายการควบคุมของบุตรเทพกลุ่มหนึ่ง แล้วโจมตีไปยังอวี่เซียวเซิง
อวี่เซียวเซิงพลันสะดุ้งโหยง รีบร้อนหลบหนี จะคิดได้อย่างไรว่าหลินสวินถูกล้อมโจมตีขนาดนี้แล้วยังแข็งแกร่งได้ปานนี้
ฉัวะ!
หลินสวินโบกแขนเสื้อ แสงสีดำแถบหนึ่งยิงออกมา ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่อวี่เซียวเซิงคนเดียว แม้แต่เหล่าบุคคลระดับบุตรเทพที่อยู่ใกล้เคียงก็โดนลูกหลงไปด้วย
แสงสีดำนี้ย่อมเป็นสิ่งที่หนอนกินเทพสร้างขึ้น!
ต่อให้พวกอวี่เซียวเซิงมีพรสวรรค์เกินมนุษย์แค่ไหน แต่มีหรือจะรู้ถึงความร้ายกาจของหนอนเทพบรรพกาลพรรค์นี้ ฉับพลันจึงตกอยู่ในสถานการณ์เหนือคาดหมาย ถูกหนอนกินเทพเจาะเข้าไปในห้วงนิมิต
ทันใดนั้นพวกบุตรเทพอย่างอวี่เซียวเซิงก็ร้องโหยหวน ใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัวด้วยความเจ็บปวด ดูน่าสยดสยองเกินธรรมดา
นี่ทำให้บุตรเทพบางคนหนาวสะท้านในใจ นั่นมันของบ้าอะไรกัน ถึงได้ลี้ลับและมีพิษสงเช่นนี้
“อ๊าก…”
อวี่เซียวเซิงร้องเสียงหลง รับรู้ได้ถึงอันตราย หันกายหนีคิดจะหลบให้พ้น
“จะไปไหน!”
หลินสวินตะคอก เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง พุ่งพรวดไปข้างหน้าได้เร็วกว่าฝ่ายตรงข้ามหลายเท่า
ฟุ่บ!
ดาบหักพุ่งวาบว่องไว ศีรษะหนึ่งกระเด็นไปในอากาศ เลือดไหลพรั่งพรูราวน้ำพุ อวี่เซียวเซิงถูกปลิดชีพคาที่!
ที่ประหลาดที่สุดก็คือ จิตวิญญาณของเขาถูกพลังของยันต์กระดูกวิญญาณรวบไว้ชัดๆ จะคลื่อนย้ายหายไปจากที่นั้น
แต่ในชั่วพริบตาที่จากไป จิตวิญญาณของเขาพลันแหลกสลาย ถูกหนอนสีดำสนิทที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวตัวหนึ่งเท่านั้นดูดกลืนให้หายไป!
——
ตอนที่ 587 พลานุภาพร้ายกาจสะท้านมวลชน
โดย
ProjectZyphon
อวี่เซียวเซิงตายแล้ว!
ต่อให้มียันต์กระดูกวิญญาณช่วยไว้ในตอนสุดท้ายแต่ก็ช้าไป จิตวิญญาณของเขาถูกกลืนกินโดยสมบูรณ์ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหวนคืนชีวิตอย่างสิ้นเชิง!
ฉากนองเลือดและเหี้ยมโหดนี้ทำให้ ณ ที่นั้นเกิดเสียงสูดหายใจเย็นเยียบดังขึ้นทันที บุตรเทพมากมายต่างหน้าเปลี่ยนสี
พวกเขากล้าตั้งตนไม่เกรงกลัวสิ่งใดก็เป็นเพราะมียันต์กระดูกวิญญาณในครอบครอง แม้ว่าถูกสังหาร ขอแค่จิตวิญญาณไม่ดับสูญก็มีโอกาสรอดชีวิต
แต่การตายของอวี่เซียวเซิงได้เคาะสัญญาณเตือนแก่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกเขาต่างล้วนขวัญหนีดีฝ่อ
นั่นมันหนอนอะไรกันแน่
ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้
การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป หลังหลินสวินสังหารอวี่เซียวเซิงแล้ว ก็ม้วนเก็บทวนกระดูกมังกรกับร่างไร้วิญญาณที่เหลือทิ้งไว้กลางแจ้งนั้นไปในพริบตา
จากนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายเล็งไปที่บุตรเทพเผ่ากวางหยก เจ้าหมอนี่เมื่อครู่ก็ถูกโจมตีจากหนอนกินเทพเช่นกัน ตอนนี้กำลังแผดเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด
ชิ้ง!
หลินสวินทั่วร่างส่องสว่างเรืองรอง มือกระชับดาบหักพุ่งทะยานออกไป
บุตรเทพคนอื่นๆ ต่างหวาดกลัวอยู่ในใจ เมื่อลงมืออีกครั้งก็ยับยั้งไว้อยู่บ้าง ระแวดระวังเกรงจะซ้ำรอยอวี่เซียวเซิง
นี่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้หลินสวิน ชั่วพริบตาก็ไล่ตามทันบุตรเทพเผ่ากวางหยก สำแดงการจู่โจมสังหารเต็มกำลัง
การต่อสู้นี้ไม่น่าหวั่นวิตกแม้แต่น้อย ไม่ว่าบุตรเทพเผ่ากวางหยกจะแผดคำรามและดิ้นรนก็ไม่อาจต่อต้านหลินสวินได้ ท้ายที่สุดถูกดาบหักของหลินสวินฟันคอขาด
โลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็น บุคคลระดับบุตรเทพอีกคนร่วงหล่นลงเหมือนกับอวี่เซียวเซิง จิตวิญญาณของเขาถูกหนอนกินเทพกลืนกินอย่างไร้เยื่อใยเช่นเดียวกัน แม้วิ่งหนีก็ไม่ทันท่วงที
และบรรทัดมรกตเขียวเลื่อมพรายเล่มนั้นในมือเขา รวมถึงศพก็ถูกหลินสวินเก็บเอาไป
มองเห็นว่าเพียงพริบตาหลินสวินก็สังหารบุตรเทพสองคนติดต่อกัน อีกทั้งแม้แต่สมบัติติดตัวฝ่ายตรงข้ามล้วนถูกขูดรีดอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้ทุกคนตรงนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด
ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
เจ้าหมอนี่ใช่เทพมารหนุ่มที่ไหนกัน นี่มันปีศาจร้ายมุ่งหวังผลประโยชน์ตนหนึ่งชัดๆ ไม่เพียงแต่ฆ่าคนยังหมายชิงสมบัติอีกด้วย!
“ถอย!”
บุคคลระดับบุตรเทพเหล่านั้นล้วนไม่กล้าล่าช้าโดยสิ้นเชิง ต่างกระเจิดกระเจิงหวั่นไหว พวกเขาเดิมทีแค่ร่วมมือกันชั่วคราว ไม่มีทางร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน
เมื่อเห็นอวี่เซียวเซิงและบุตรเทพเผ่ากวางหยกถูกสังหารสิ้นกับตา ทำให้พวกเขากลัวลนลานอยู่ในใจ หาทางป้องกันตนเอง จึงเลือกล่าถอยอย่างไม่ลังเล
“คิดหนี? มันจะง่ายขนาดนั้นที่ไหน!”
หลินสวินเหมือนไม่หายแค้น กลับกลายเป็นไล่ตามลงมาบนทางภูเขา มือกระชับดาบหักมั่น ชั่วพริบตาเท่านั้นก็ฟันบุตรเทพเผ่าคชามารเป็นสองส่วน!
ที่น่าเสียดายคือครั้งนี้ไม่มีหนอนกินเทพคอยช่วย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามอาศัยพลังของยันต์กระดูกวิญญาณหลุดรอดหนีไป
“อย่าให้ข้าเจอพวกเจ้าอีก!”
หลินสวินกัดฟันกรอด สายตามองไปยังธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์และบุตรเทพคนอื่นๆ ที่หนีห่างออกไป ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไล่ตามต่อ
เหล่าผู้กล้าบริเวณใกล้เคียงหลบเร้นหนีห่าง เงียบกริบดังจักจั่นเดือนหนาว สีหน้าหวาดกลัวและตะลึงสุดกำลัง ถึงขั้นไม่มีสักคนกล้าเข้าประชิด
ถึงขั้นที่ว่าในพื้นที่แถบนั้นถึงกับยุติการเข่นฆ่าโรมรันได้เพราะหลินสวินเพียงคนเดียว เห็นชัดว่าต่างถูกวิธีอันป่าเถื่อนของหลินสวินเมื่อครู่นั่นทำให้หวาดหวั่น
แน่นอน ใครเล่าจะคาดคิดว่าบุตรเทพกลุ่มหนึ่งถาโถมเข้ามาอย่างเหิมเกริม แต่ชั่วพริบตากลับถูกหลินสวินคนเดียวสังหารจนแตกพ่าย
ถึงขั้นแม้แต่อวี่เซียวเซิงและบุตรเทพเผ่ากวางหยกก็ถูกฆ่าสังหารไปด้วย! ไร้โอกาสที่จะฟื้นคืนชีวิตอีก!
นี่มันช่างสั่นสะเทือนใต้หล้า ทำให้ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นรู้ถึงความน่ากลัวของหลินสวินยิ่งกว่าเดิม ใครยังจะกล้าผลีผลามในเวลานี้
หลินสวินไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ โคจรเคล็ดเวทบริกรรมผนึกและสะกดข่มหนอนกินเทพพวกนั้นใหม่อีกครั้ง พลางเริ่มขูดรีดทรัพย์หลังศึกบนตัวผู้แข็งแกร่งเผ่าคชามารไปพร้อมกัน
เมื่อจัดการเสร็จสิ้น เขาจึงหันหลังกลับก้าวเหยียบทางขึ้นเขาสายที่เก้า จากไปเพียงลำพัง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายเสื้อบนตัวหมดจดไม่แปดเปื้อนโลกีย์ พิเศษโดดเด่นเหลือจะเอ่ย
มองส่งเขาจากไป เหล่าผู้กล้า ณ ที่นั้นเป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แอบลอบปาดเหงื่อ เทพมารหนุ่มน้อยคนนี้ช่างวิปริตเกินไปแล้ว!
แต่ไม่ช้าพวกเขาก็แทบไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ มุ่งขึ้นไปยังทางขึ้นเขาใกล้เคียง ไม่มีใครกล้าเลือกเส้นทางสายที่เก้านี้อีก
ช่วยไม่ได้ มีหลินสวินอยู่ก็เหมือนกับมีเทพมารตนหนึ่งปกครองที่นั่น ใครยังจะกล้าไปแย่งชิง เบื่อชีวิตนี่นักรึไง
…
“เด็กอย่างเจ้านี่เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ”
บนทางขึ้นเขา จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกยังไม่จากไป จับจ้องมองดูอยู่ตลอด เมื่อเห็นหลินสวินมุ่งมาด้วยท่วงท่าสง่างาม กลับมาจากการต่อสู้ เจ้าคางคกพึมพำออกมาอย่างอดไม่อยู่
“อย่าพูดมาก รีบไปเถอะ”
หลินสวินเหลือบมองเจ้าคางคกวูบหนึ่ง ทุกครั้งที่เห็นเจ้าหมอนี่เป็นต้องเกิดแรงกระตุ้นอยากต่อยเขาอยู่ตลอด ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุใด
บางทีคงเพราะนิสัยเจ้าหมอนี่สับปลับและกวนโมโหเกินไปกระมัง
“หนอนพวกนั้นร้ายกาจมาก” จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
แน่นอนว่านางมองออก ในการต่อสู้หลินสวินสามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจดชัดเจนเช่นนี้ หนอนพวกนั้นต้องมีส่วนช่วยอย่างมากเป็นแน่
มิฉะนั้นต่อให้หลินสวินคิดอยากฆ่าบุตรเทพกลุ่มหนึ่งที่ตีล้อม ก็ไม่อาจทำได้ภายในเวลาอันสั้น
“ไปเถอะ” หลินสวินยิ้ม ไม่อธิบายอะไร
ภูเขาเทพหมอกม่วงเก่าแก่โบราณและศักดิ์สิทธิ์ มีกลิ่นอายตระหง่านโดดเด่นแผ่ไพศาล แม้แต่บนทางขึ้นเขานี้ล้วนอุดมไปด้วยกลิ่่นอายแห่งกาลเวลา
ก้าวเดินบนเส้นทางประหนึ่งหวนกลับสู่สมัยบรรพกาล สิ่งที่มองเห็นทั้งหมดล้วนเป็นกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
“ฆ่า!”
ข้างหน้ายังมีสมรภูมิรบพัลวันร้อนระอุ มีผู้แข็งแกร่งกำลังประมือกัน
ชัดเจนยิ่งว่าพวกนี้ล้วนคือผู้แข็งแกร่งที่มุ่งขึ้นเขามาก่อน เพียงแต่เจอกันกลางทางจึงเกิดการปะทะกันขึ้น
ตูม!
ท่ามกลางการต่อสู้ชุลมุน มีผู้แข็งแกร่งลงมือกับพวกเขาหลินสวิน เห็นชัดว่าพวกเขาไม่รู้ถึงการต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นที่เชิงเขาเมื่อครู่
หลินสวินคร้านจะพูดมากความ ใครลงมือกับพวกเขา เขาก็ฆ่ามันผู้นั้นโดยไม่ยั้งแม้แต่น้อย
แค่เพียงชั่วขณะพวกเขาก็ฝ่าวงล้อมออกมาได้ก่อนเดินทางต่อไป และเส้นทางที่พวกเขาก้าวผ่านจะหลงเหลือร่างไร้วิญญาณและบ่อโลหิตกองหนึ่งทิ้งไว้
และมีผู้แข็งแกร่งที่เห็นท่าไม่ดียอมจำนนทันที ก่อนถอยหลีกไปเอง ถึงได้หลบพ้นพิบัติภัยนี้ไปได้
หลินสวินเวลานี้ประดุจเทพมารตนหนึ่งอย่างแท้จริง ดาบหักย้อมโลหิต ปีนป่ายทางขึ้นเขาไปพร้อมกับจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคก ทุกหนแห่งที่ก้าวผ่านขอเพียงมีคนบุกจู่โจมเข้ามา ล้วนต้องเผชิญหน้ากับการสังหารอย่างไร้ปราณีของหลินสวิน
ตลอดทางมีผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนทยอยถูกสังหาร ในนั้นยังมีบุตรเทพคนหนึ่ง ที่น่าเสียดายคือยันต์กระดูกวิญญาณเขายังอยู่จึงหนีพ้นจุดจบแห่งความตาย
…
ขณะเดียวกันนี้ นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
คนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งต่างไม่อาจนิ่งสงบ เพราะวาสนายิ่งใหญ่ของภูเขาเทพหมอกม่วงกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว พวกเขาต่างล้วนให้ความสนใจตรงจุดนี้
วันนี้มีการต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นมากมาย สูญเสียผู้แข็งแกร่งไปไม่รู้เท่าไร หลังบุคคลแกนหลักส่วนหนึ่งถูกยันต์กระดูกวิญญาณเคลื่อนย้ายกลับมา ก็นำข่าวใหม่ล่าสุดกลับมาด้วย
“เหล่าผู้กล้ารวมตัวกันที่ภูเขาเทพหมอกม่วง! ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วใครจะมีชัยเหนือหมู่ศัตรูได้หัวเราะทีหลัง”
เหล่าคนใหญ่คนโตทอดถอนใจ จิตใจพลุ่งพล่าน
ตามที่พวกเขาสันนิษฐาน วาสนาซึ่งซ่อนอยู่ในภูเขาเทพหมอกม่วง คือสิ่งที่มีมูลค่ามากที่สุดในแดนลับอสูรมารอริยะอย่างแน่นอน
“แต่เพราะวาสนาครานี้ พวกเราแต่ละเผ่าก็สูญเสียคนในเผ่าไปมากเหลือเกิน เรียกได้ว่าเลือดหลั่งรินเป็นกระแสน้ำ ชวนให้คนเศร้าสร้อยนัก”
ทั้งมีคนใหญ่คนโตที่เจ็บแค้นชิงชัง เห็นว่าวาสนายิ่งใหญ่ครานี้มาพร้อมไอสังหารใหญ่ยิ่ง ภายในนั้นจะต้องมีผู้แข็งแกร่งมากมายร่วงหล่น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อแต่ละเผ่าอย่างใหญ่หลวง
แต่ก็ช่วยไม่ได้ นี่แหละคือวาสนา หากไม่จ่ายค่าตอบแทนที่สอดคล้อง ไหนเลยจะสามารถได้มาโดยง่าย
“กับแค่คนในเผ่าตายไปนิดหน่อยไยต้องถอนหายใจเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรการแก่งแย่งมหามรรคถูกลิขิตให้มาพร้อมกับการนองเลือดและเข่นฆ่า ไม่ว่าใครล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยง เพียงแค่ก้าวย่ำบนเส้นทางนี้ก็ไม่มีตัวเลือกให้หันหลังกลับแล้ว”
คำพูดนี้เหมือนจะเสียดหูอยู่บ้าง ทำให้คนใหญ่คนโตไม่น้อยคิ้วขมวด เมื่อมองออกไปกลับพบว่าผู้ที่กล่าวคือท่านย่าเทพสังหารแห่งเผ่าวาฬมังกร
เหล่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นแม้ในใจจะอึดอัดแต่ก็ได้เพียงเงียบงัน
ช่วยไม่ได้ ยายแก่นี่อารมณ์เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ยิ่งเพราะคนในเผ่าวาฬมังกรเกือบพินาศหมด เวลานี้ใครก็ไม่คิดจะขัดใจนาง
วู้ม!
และเวลานี้เองแท่นบูชาวิญญาณเบื้องหน้าท่านย่าเทพสังหารเกิดไหวเอนไปมา แต่กลับไร้จิตวิญญาณถูกเคลื่อนย้ายกลับ นี่ทำให้นางอดตะลึงงันไม่ได้
“ยังดี แค่สัญญาณกระตุกเท่านั้น”
ท่านย่าเทพสังหารปลอบใจตนเองเช่นนั้น พวกเขาเผ่าวาฬมังกรเสียหายร้ายแรงเกินไปแล้ว เกือบพังพินาศทั้งกองทัพ ล้วนแต่ถูกหลินสวินสังหารหมด นี่ทำให้นางแค้นจนแทบเป็นบ้าอยู่แล้ว
หากแม้แต่อวี่เซียวเซิงที่เหลือแค่คนเดียวเกิดเหตุไม่คาดฝัน นางต้องแบกรับไม่ไหวเป็นแน่
แต่เพียงชั่วขณะก็ได้ยินข่าวคราวจากที่อื่น…
“แย่แล้ว! เทพมารหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นปรากฏตัวแล้ว เพียงลำพังสังหารจนบุตรเทพกลุ่มหนึ่งถอยร่น แม้แต่บุตรเทพเผ่าวาฬมังกรอวี่เซียวเซิงยังถูกฆ่า แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่เหลือ!”
เปรี้ยง!
ท่านย่าเทพสังหารรู้สึกราวอสนีบาตฟาดผ่า ด้วยสภาพจิตใจของราชันระดับสังสารวัฏของนาง เวลานี้ยังยากจะสงบอารมณ์ พลันแผดเสียงกรีดร้องออกมาทันที โกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง กระอักเลือดออกมาอย่างอดไม่อยู่อีกต่อไป
“เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์!!”
นางราวกับใกล้คลุ้มคลั่ง ทำให้คนใหญ่คนโตใกล้เคียงสีหน้าเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น พวกเขาอยากบอกนักว่า กับแค่คนในเผ่าตายไปนิดหน่อยไยต้องเป็นเช่นนี้เล่า
แต่เวลานี้กลับไม่มีคนกล้าทำเช่นนั้น เห็นชัดว่าท่านย่าเทพสังหารถูกกระตุ้นจนแทบคลั่งแล้ว หากไปยุแหย่นางอีก นั่นคงเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเป็นแน่
ขณะเดียวกันคนใหญ่คนโตเหล่านั้นต่างแอบตระหนกในใจ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นก็วิ่งไปภูเขาเทพหมอกม่วงด้วย มีเขาอยู่ตัวแปรก็ยิ่งมากเกินไป
แม้แต่อวี่เซียวเซิงยังไม่สามารถหนีไปได้ ถูกปลิดชีพอย่างสิ้นเชิง ผลที่ตามมานี้ช่างรุนแรงเกินไปแล้ว!
แต่เมื่อมีข่าวมาอีกว่าแม้แต่บุตรเทพเผ่ากวางหยกก็ถูกสังหาร สุดท้ายจิตวิญญาณก็ไม่อาจหลีกหนีพิบัติเคราะห์นี้ ที่แห่งนั้นล้วนตื่นตระหนกครึกโครมโดยสมบูรณ์
คนใหญ่คนโตทั้งหมดต่างประหลาดใจสงสัยไม่หยุด สีหน้าอึมครึม จิตสังหารแผ่ซ่านอยู่ในใจ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นเป็นตัวหายนะอย่างแท้จริง สถานที่ที่เขาปรากฏต้องมีฝนโลหิตคาววายุติดตามมา น่าแค้นใจยิ่งนัก!
“วาสนาครานี้อย่าให้เจ้าเด็กนี่ได้ไปเด็ดขาด มิฉะนั้นคนในเผ่าเหล่านั้นที่แก่งแย่งกับเขาเกรงว่าคงต้องประสบเคราะห์…”
มีคนใหญ่คนโตสีหน้าอึมครึมพึมพำกับตัวเอง
แต่ผู้เฒ่าเกาหยางกลับปวดหัวอย่างยิ่ง ทำไมเป็นเขาอีกแล้ว ทุกครั้งล้วนแต่ทำให้ผู้คนเคียดแค้น หรือว่า… เขาเป็นดาวมารตนหนึ่งจริงๆ?
…
แดนลับอสูรมารอริยะ บนภูเขาเทพหมอกม่วง
พวกหลินสวินอาบโลหิตแดงฉานมาตลอดทาง ต่อสู้ฟาดฟัน ไม่ช้าก็เข้าใกล้ยอดเขา
ที่นี่ก็เกิดการต่อสู้เช่นกัน มีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งหมายยึดครองอาณาบริเวณนี้ กำลังประจันกับพวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ ซูซิงเฟิง เหวินเสียง และกงหยางอวี่อย่างดุเดือด
สถานการณ์รบรุนแรงหาใดเปรียบ เห็นชัดว่าสู้ต่อเนื่องมาสักพักแล้ว
ชิ้ง!
หลินสวินสะบัดดาบแตกพุ่งเข้าไป
หากมีแค่เขาคนเดียว เขาคงสังเกตการณ์เงียบๆ อย่างแน่นอน ไม่มีทางเข้าไปช่วยเด็ดขาด แต่ข้างกายเขามีจ้าวจิ่งเซวียนติดตามมาด้วย
เขาแค่ไม่อยากให้จ้าวจิ่งเซวียนถูกบีบให้ลำบากใจอยู่ตรงกลาง
อันที่จริงกล่าวกันถึงที่สุดแล้วนางก็เป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ต้องยืนอยู่ข้างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณตามที่ควรจะเป็น
ดังนั้นหลินสวินจึงลงมืออย่างไม่ลังเล
นี่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนชะงักงันเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความตั้งใจที่หลินสวินทำเช่นนี้ทันใด นัยน์ตากระจ่างฉายแววประหลาดใจ มุมปากอวบอิ่มโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น ภายในใจเกิดความรู้สึกราวหมอกปกคลุมเหลือจะเอ่ย
เจ้าคางคกลูกตากลอกกลิ้งหมุนวนก่อนหัวเราะขึ้นมา สีหน้าพิกล “หึๆ เจ้าหมอนี่ยึดหลักปิดปากเงียบเก็บงำผลประโยชน์ตนเองชัดๆ ไม่พูดไม่จาก็ใช้การกระทำพิชิตใจยอดพธูนางหนึ่ง”
จ้าวจิ่งเซวียนกลอกตาใส่ ก่อนส่งมอบคำหนึ่งแก่เจ้าคางคก “ไสหัวไป!”
…………..
ตอนที่ 588 ยอดเขาบุญคุณความแค้น
โดย
ProjectZyphon
ยอดเขาแห่งนี้เป็นพื้นที่ราบร้อยจั้ง พื้นดินมั่นคงราบเรียบ ประดุจถูกพลังอำนาจยิ่งใหญ่อัดทับ บนพื้นอบอวลด้วยกลิ่นอายเก่าแก่แห่งกาลเวลา ทั้งยังสลักรอยมรรคลึกลับ
และตรงกลางมีแท่นบูชาสีเทาวาววามแท่นหนึ่งตั้งตระหง่าน
เวลานี้การต่อสู้รุนแรงระเบิดขึ้นอีก พวกผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอย่างพวกเซียวหรันกำลังต่อสู้กับผู้ฝึกปราณที่พลังแข็งแกร่งระดับเดียวกันกลุ่มหนึ่ง
หมอกแสงพวยพุ่ง สมบัติล้ำค่ากระแทกกระทบ สถานการณ์ดุเดือดถึงที่สุด
เช้ง! เช้ง! เช้ง!
เซียวหรันในชุดคลุมยาวฟ้าน้ำทะเลผมดำพลิ้วไหว เขานั่งขัดสมาธิกับพื้นนิ้วทั้งสิบบรรเลงพิณ เสียงพิณแต่ละสายประดุจทวนทองม้าเหล็ก เสียงกังวานเร้าระทึก
สามารถมองเห็นชัดแจ้งว่าคลื่นเสียงไร้รูปนั่นกลายเป็นดาบ ทวน กระบี่ ง้าว ขวาน ขวานวงจันทร์ ตะขอ ง่ามหลากรูปแบบ ดูเสมือนจริง ไหลเคลื่อนด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคดั่งภาพมายา
การโจมตีเช่นนี้เห็นได้ว่าเกินคาดเดาและอัศจรรย์ยิ่ง อานุภาพเองก็น่าหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ถึงขั้นสกัดกั้นศัตรูได้เกินครึ่ง!
หรือกล่าวได้ว่า อาศัยเพียงเซียวหรันคนเดียวก็กำราบศัตรูในที่นั้นได้ครึ่งหนึ่งแล้ว!
อีกทั้งมองดูท่าทีราบเรียบใบหน้าสงบนิ่งของเขานั้น เห็นชัดว่าไม่เปลืองแรงสักนิด
“ฆ่า!”
อีกฟาก อวิ๋นเช่อมือกระชับกระบี่โลหิตเล่มหนึ่งกวาดขวางฟาดฟัน กลิ่นอายสังหารทะลุทะลวง เสมือนดั่งมารกระบี่ไร้เทียมทาน ดุดันหาใดเปรียบ
นั่นคือมหามรรคปลิดชีพ มุ่งหาญไร้อุปสรรค ไอสังหารโหมกระหน่ำน่าพรั่นพรึงชวนให้รู้สึกใจสั่นระรัวเช่นเดียวกัน ทำให้ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยยากจะหันปลายกระบี่เข้าประชัน
วิธีการต่อสู้ของกงหยางอวี่กลับเรียบง่ายมาก ใช้แรงกวัดแกว่งแสงม่วงสมประสงค์ แสงเหลือบเลื่อมพราย ฝนแสงไหลพุ่ง มีกลิ่นอายดั่งฝันเสมือนลวงตาอย่างหนึ่ง
เคล้ง!
เงาร่างเหวินเสียงแม้นอ่อนเยาว์ แต่ต่อสู้ขึ้นมากลับเห็นได้ว่าดุดันปราดเปรียวยิ่งยวด ฝ่ามือคว้าจับห่วงคอเงินยวงวงหนึ่ง ถล่มจู่โจมสังหารคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แข็งแกร่งดุดันหาใดเปรียบ ผ่าเผยองอาจ กล้าหาญสุดกำลัง
ส่วนซูซิงเฟิงประดุจราชันกลางอัคนีผู้หนึ่ง นัยน์ตาราวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโหม เงาร่างรายล้อมด้วยเปลวไฟโหมกระหน่ำ ท่วงทำนองแห่งมรรคโถมทำลาย ยิ่งใหญ่และเลือดเย็น
ทันทีที่หลินสวินเข้าร่วมการต่อสู้ สู้ไปพลาง อีกด้านหนึ่งก็สังเกตวิธีการต่อสู้ของเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
แม้แต่เขาก็มิอาจไม่ยอมรับ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณน่ากลัวยิ่งอย่างแท้จริง
ผู้สืบทอดเหล่านี้แต่ละคนต่างเรียกได้ว่าดังสุริยันโชติช่วงเจิดจรัส มีมรรคาเป็นของตนเอง พลังแข็งแกร่ง กำลังรบเป็นเลิศ สามารถทัดเทียมบุคคลระดับบุตรเทพเผ่าอื่นๆ ถึงขั้นมีแวว่าจะเหนือกว่า!
หากเพียงแค่คนเดียวแข็งแกร่งเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้ แต่บัดนี้กลับเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ล้วนทรงพลังเช่นนี้ นี่เห็นได้ว่าไม่ปกติเกินไปแล้ว
เพียงแต่คู่ต่อสู้ที่รุมโจมตีพวกเขาครานี้ก็ไม่ธรรมดา มีถึงสิบกว่าคน ชัดเจนว่าล้วนเป็นพวกฝีมือเลิศล้ำชั้นยอดของแต่ละเผ่า!
พวกเขาตีล้อมพร้อมกัน หมายยึดครองบริเวณนี้ ทำให้สถานการณ์การต่อสู้รุนแรงผิดปกติ ภายในเวลาอันสั้นไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะอย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อหลินสวินเข้าร่วมสมทบ สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทันที จู่โจมคู่ต่อสู้พวกนั้นจนรับมือไม่ทัน
บางทีบรรดาศัตรูพวกนี้ก็คงคาดไม่ถึง ว่าถึงกับยังมีคนยื่นมือช่วยเหลือแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ อีกทั้งผู้ช่วยยังเป็นเทพมารหนุ่มป่าเถื่อนอย่างที่สุดคนหนึ่ง
ตูม!
พลันเห็นทันทีที่หลินสวินเปิดศึกวาดดาบหักออกมา ชั่วพริบตาก็ทำศัตรูคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส ขณะเดียวกันยังสะกดข่มศัตรูใกล้เคียงอีกสามคนไว้อย่างแน่นหนา แข็งแกร่งจนน่ากลัว
ที่แห่งนั้นพลันยุ่งเหยิงอลหม่านทันที เสียงตะคอกกราดเกรี้ยวดังขึ้น สถานการณ์สูสีแต่เดิมถูกทำลาย ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูล้วนต่างสังเกตเห็นความแข็งแกร่งของหลินสวิน
เซียวหรันชะงักงันเล็กน้อย จากนั้นมุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นก่อนดีดพิณต่อไป เสียงพิณเร้าระทึกกังวานยิ่งกว่าเดิม ประดุจทำนองรบเก่าแก่โบราณ กลิ่นอายสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
กงหยางอวี่เหลือบมองวูบหนึ่งก็ถอนสายตากลับ หยิ่งทะนงและสง่างามดังเช่นเคย
อวิ๋นเช่อแค่นเสียง เห็นได้ว่าไม่ยอมรับอยู่บ้าง ไม่พอใจที่หลินสวินสอดมือเข้ามายุ่งอยู่หน่อยๆ
ส่วนเหวินเสียงกลับหัวเราะคิกคัก ไม่ได้พูดมากความอะไร
แต่ศัตรูเหล่านั้นล้วนกลับสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาไม่เพียงแต่สังเกตเห็นการมีอยู่ของหลินสวิน ยังเห็นจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกที่อยู่ไม่ไกลด้วย
นี่ทำให้พวกเขาตระหนักว่าท่าไม่ดี
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งไม่กระทบต่อความต่อเนื่องของการต่อสู้ กลับตรงกันข้าม การที่หลินสวินเข้าร่วมทำให้สนามรบดุเดือดฉากนี้เปลี่ยนเป็นสับสนอลหม่านยิ่งกว่าเดิม
ตูม!
แต่หลินสวินหาได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ดาบหักกระหวัดกวัดแกว่ง ประกายดาวเจิดจรัสเปลี่ยนเป็นไอดาเหยียดยาว ชี้เวหาฟาดพสุธา บดอัดห้วงอากาศ กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ
แค่เพียงชั่วพริบตา ศัตรูอีกคนก็ถูกหลินสวินฟันลอยไป ขาดวิ่นทั่วร่าง เสียงกรีดร้องทุรนทุรายดังโหยหวน ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“น่าชังนัก! เจ้าหมอนี่เป็นใคร”
“ดูเหมือนจะเป็นเทพมารหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่น!”
“อะไรนะ? ทำไมเป็นเขาล่ะ? หรือคำเล่าลือจะเป็นจริง เขาก็เป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณงั้นรึ”
“บัดซบ!”
ที่แห่งนั้นเสียงตะโกนขุ่นเคืองดังก้องขึ้น เมื่อชี้ชัดฐานะของหลินสวินได้แล้ว สีหน้าศัตรูพวกนั้นต่างเปลี่ยนไปอย่างอดไม่อยู่ นึกถึงข่าวลือนองเลือดที่เกี่ยวกับหลินสวินมากมาย
นี่ทำให้พวกเขาหนักใจ ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์และความไม่เข้าทียิ่งกว่าเดิม
และความสามารถของหลินสวินที่เห็นกับตาตอนนี้ พวกเซียวหรันเองก็ชำเลืองมองไม่หยุด คล้ายตื่นตะลึงอยู่บ้าง และมีความรู้สึกซับซ้อนยากจะเอ่ยให้กระจ่างส่วนหนึ่ง
เวลานี้จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกเข้าร่วมต่อสู้ ทำให้ศึกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดทันที
เริ่มทำให้ศัตรูพวกนั้นเสียเปรียบ ทำให้สถานการณ์พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
ตูม!
เมื่อหลินสวินทำลายคู่ต่อสู้คนหนึ่งกลับอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ภายในชั่วขณะ แสงอัคคีแสบตาแถบหนึ่งพุ่งเข้ามา เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างชวนประหวั่น พุ่งครอบคลุมหลินสวิน!
“พวกเราไม่ต้องการความช่วยเหลือแต่แรก ใครให้ผู้ติดตามคนหนึ่งอย่างเจ้าลงมือ ไสหัวไป!”
ผู้ที่ลงมือกลับเป็นซูซิงเฟิง สีหน้าเขาเลือดเย็นอำมหิต น้ำเสียงหยามเหยียดอย่างเห็นได้ชัด คำพูดแม้กล่าวเช่นนั้น แต่พลังการโจมตีนี้ของเขากลับผิดปกติ เห็นชัดว่ากระทำด้วยจิตสังหาร
หลินสวินไหนเลยจะคิดว่าตนเองหวังดีเข้ามาช่วย กลับกลายเป็นเจอการขับไล่และจู่โจมของซูซิงเฟิง
ภายใต้สถานการณ์กะทันหันเช่นนี้ หลินสวินก็ถูกโจมตีจนรับมือไม่ทัน สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลัง จึงหลีกหนีการจู่โจมนี้ได้อย่างสุ่มเสี่ยง
เพียงแต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ช่วงไหล่เขายังคงถูกเปลวเพลิงหนึ่งแฉลบโดน ผิวเนื้อแตกออก ไหม้เกรียมไปแถบหนึ่ง
นี่ทำให้หลินสวินสีหน้าอึมครึมทันใด นัยน์ตาดำขลับพรั่งพรูจิตสังหาร หากไม่ใช่เห็นแก่ส่วนรวม เวลานี้เขาคงเข้าสังหารซูซิงเฟิงโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้นนานแล้ว!
เจ้าหมอนี่เพราะเห็นตนเป็นศัตรู ถึงขั้นลงมือปุบปับกับตนในศึกดุเดือดเช่นนี้ สมควรโดนฆ่าอย่างสิ้นเชิง!
“ไสหัวไปอีกฟากซะ! หากกล้าเข้ามาจุ้นอีกข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
ซูซิงเฟิงตวาดลั่น เลือดเย็นอำมหิตหาใดเปรียบ ลักษณะท่าทางราวสูงส่งเหนือผู้อื่น เสมือนกำลังตวาดด่าคนรับใช้คนหนึ่ง ลบหลู่และหยามหน้าถึงที่สุด
“ทำบ้าอะไรของเจ้า พวกเราหวังดีเข้ามาช่วย ไอ้เลวนี่ไม่รับน้ำใจยังกล้าลงมือจัดการพวกเรา แม่มันโคตรไม่ได้เรื่อง! ข้าไม่เคยเห็นใครต่ำช้าเลวทรามเยี่ยงเจ้ามาก่อน!”
เจ้าคางคกถูกยั่วโทสะ ตวาดด่าดังลั่น
“ศิษย์พี่ซู ทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร”
จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเย็นเยียบ นัยน์ตากระจ่างโกรธแค้นยิ่งนัก น้ำเสียงราวเล็ดลอดจากไรฟัน
เมื่อมองเห็นหลินสวินถูกจู่โจมไม่ทันตั้งตัว นางเองก็ผิดคาดอย่างมาก จากนั้นก็รู้สึกคับแค้นจนพูดไม่ออก
เจ้าซูซิงเฟิงนี่ เห็นชัดว่าเจตนาระรานผู้อื่น!
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อุบัติขึ้น ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม ศัตรูพวกนั้นนอกจากประหลาดใจแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะแอบลิงโลดดีใจ แทบอยากจะให้พวกเขาฆ่าฟันกันเอง
ขณะเดียวกันพวกเขายังอึ้งงันอยู่บ้าง ผู้ติดตาม? ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กป่าเถื่อนนั่นเป็นแค่ผู้ติดตาม สวรรค์! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…
“ศิษย์น้องซู อย่าเสียมารยาทอีก เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือต้องร่วมกันต่อต้านศึกภายนอก กำจัดศัตรูพวกนี้ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ฆ่าฟันพวกเดียวกัน!”
ช่วงเวลาสำคัญเป็นเซียวหรันที่ออกปาก น้ำเสียงเขาเรียบนุ่มนวล แต่กลับมีความน่าเกรงขามที่มิยอมให้ต่อต้านอยู่ในที
“หึ!”
ซูซิงเฟิงแค่นเสียง จ้องหลินสวินอย่างเย็นชาวูบหนึ่ง ไม่กล่าวมากความอีก
แต่หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น มองเซียวหรันที่ใบหน้าดูละอายซึ่งอยู่ห่างออกไป ทั้งมองดูซูซิงเฟิง ท้ายที่สุดก็สูดหายใจลึก ควบคุมจิตสังหารภายในใจอย่างเต็มที่
‘อีกเดี๋ยวหากฉีกหน้าแตกหักกันจริง สามารถลงมือได้เต็มกำลัง แม้แต่วาสนาแห่งนี้ก็ไม่ต้องเอามันแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าทวงคืนความเป็นธรรม!’
ริมหูยินเสียงสื่อจิตเด็ดขาดของจ้าวจิ่งเซวียน นี่ทำให้ในใจหลินสวินอบอุ่นอย่างอดไม่อยู่ พยักหน้ารับคำเงียบๆ
ฆ่า!
ต่อมา การต่อสู้ศึกนี้มิได้ยืดเยื้อนานนักก็สิ้นสุดลงอย่างปุบปับ
ศัตรูกลุ่มนั้นสังเกตเห็นท่าไม่ดี ไม่กล้าสู้ตายอีก เลือกหลบลี้หนีหายโดยไม่ลังเล
หลินสวินไม่ได้ขัดขวางและไม่ได้ไล่ล่า ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ในเวลาเช่นนี้อย่างน้อยที่สุดสามารถอาศัยจังหวะนี้ฆ่าศัตรูได้ส่วนหนึ่ง
น่าเสียดาย เมื่อครู่เขาถูกซูซิงเฟิงจู่โจมไม่ทันตั้งตัว ภายใต้ความหมดกำลังใจ ไหนเลยจะสามารถช่วยพวกเขาสังหารศัตรูอย่างเต็มกำลัง
ศัตรูกระเจิดกระเจิงจากไป ที่แห่งนั้นเหลือเพียงเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณและหลินสวินกับเจ้าคางคก ไร้ซึ่งศัตรูอื่นอีก
เพียงแต่บรรยากาศกลับไม่ได้ผ่อนคลายลง
หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ แต่กลับดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ยืนอยู่กับเจ้าคางคกห่างออกมา ไม่เพียงแต่เพราะซูซิงเฟิงเท่านั้น
ที่สำคัญกว่าคือ ในหมู่คนพวกนี้ยังซ่อน ‘มือสังหาร’ คนหนึ่งที่เก็บซ่อนตัวตนแนบเนียนยิ่งกว่า!
จ้าวจิ่งเซวียนกำลังเผชิญหน้ากับซูซิงเฟิง หมายช่วยหลินสวินทวงคืนความเป็นธรรม ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเย็นเยียบและโกรธแค้น
“ก็แค่ผู้ติดตามคนหนึ่ง ด่าว่ามันสักสองประโยคแล้วยังไง ศิษย์น้องจ้าว เพื่อผู้ติดตามคนหนึ่งเจ้าคิดจะฉีกหน้าข้าเชียวรึ”
ซูซิงเฟิงยิ้มเยาะ เขารู้แจ้งแจ่มชัดว่าฐานะหลินสวินไม่ใช่แค่ผู้ติดตามธรรมดาเช่นนั้น แต่เวลานี้กลับยืนกรานคำว่า ‘ผู้ติดตาม’ ไม่ปล่อย เห็นชัดว่าเขากำลังเหยียบจมูกและลบหลู่หลินสวิน
“ฉีกหน้า? ไม่ วันนี้หากท่านไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจ ข้าไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้า ยังจะสู้กับท่านอย่างไม่สนใจอีกด้วย!”
น้ำเสียงจ้าวจิ่งเซวียนเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม
พวกกงหยางอวี่ เหวินเสียง อวิ๋นเช่อคอยไกล่เกลี่ยอยู่ด้านข้าง พยายามให้ทั้งสองคนดับเพลิงโทสะ ถอยกันคนละก้าว
น่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจิ่งเซวียนหรือซูซิงเฟิงล้วนไม่รับน้ำใจ
ท้ายที่สุดยังเป็นหลินสวินที่ออกหน้า ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนใจเย็นลง ข่มใจไว้ชั่วคราว หลังจากนี้ยังมีโอกาสคิดบัญชีแค้นนี้
“ที่หลินเสวียนกล่าวมาถูกต้องที่สุด วาสนาหนึ่งเดียวในใต้หล้านี้ใกล้อุบัติขึ้นแล้ว ก่อนจะถึงตอนนั้นพวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจต่อต้านภายนอก จึงจะสามารถช่วงชิงวาสนาจากการแก่งแย่งอันโหดร้ายนี้มาได้ ข้าหวังว่าทุกท่านจะปล่อยวางบุญคุณความแค้นส่วนตัวลงชั่วคราว อย่าได้เกิดเหตุยุ่งยากอีก”
เซียวหรันเองก็ออกปาก ในกิริยาท่าทางพิเศษโดดเด่นแฝงความภูมิฐานเคร่งขรึม “พวกเจ้าดู พวกนั้นต่างหากที่เป็นคู่ต่อสู้ของพวกเรา!”
ขณะพูดสายตาเขามองไปยังที่ห่างไกล บนยอดภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ แบ่งเป็นอาณาเขตแตกต่างกันห้าสิบสี่แห่ง ในแต่ละเขตเวลานี้ล้วนรักษาการณ์ด้วยบุคคลชั้นยอดแต่ละเผ่าอยู่ก่อนแล้ว อิทธิพลอำนาจมากมาย ล้วนต่างมาเพื่อแย่งชิงวาสนา
สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่า เมื่อวาสนาครานี้ถือกำเนิดขึ้น การแก่งแย่งจะบ้าระห่ำและนองเลือดเพียงใด!
…………..
ตอนที่ 589 อักขระเร้นลับมิอาจหยั่งรู้
โดย
ProjectZyphon
คำพูดนี้ของเซียวหรันทำให้ทุกคนต่างเงียบงัน
พวกเขาไม่มีสักคนที่ปัญญานิ่ม ล้วนเข้าใจกระจ่างชัด ภายใต้สถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่ควรฆ่าฟันกันเองอย่างแท้จริง มิฉะนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ขุมอำนาจเผ่าอื่นมองเป็นตัวตลก ถึงขั้นเมื่อวาสนามาถึงอาจพลาดโอกาสในการลงมือ
บนยอดเขาทะเลหมอกพวยพุ่ง ประดุจเปลวเพลิงสีม่วงลุกโหมกว้างใหญ่ไพศาล มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ชวนกริ่งเกรงอย่างหนึ่ง
หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก สามคนเกาะกลุ่มรวมอยู่บนพื้นที่ราบด้านหนึ่ง
ส่วนพวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ กงหยางอวี่ ก็เกาะกลุ่มเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างพูดคุยเสียงเบา
‘เจ้าคนที่พ่นไฟทั้งตัวนั่นไม่ใช่ของดีจริงๆ’
เจ้าคางคกยังคงไม่พอใจนัก ปากบ่นพึมพำไม่หยุด ไม่กลัวถูกซูซิงเฟิงได้ยินเข้าแม้แต่น้อย
‘การแสดงออกของซูซิงเฟิงดูผิดแปลกอยู่บ้าง’
หลินสวินพลันสื่อจิตกล่าว ‘ครั้งก่อนที่ไล่สังหารศัตรูในเทือกเขานั้น ข้าเคยพบเขาและเหวินเสียง เขาในตอนนั้นกลับไม่บุ่มบ่ามและบ้าระห่ำเฉกเช่นเมื่อครู่’
‘เจ้าสงสัยว่าเขาเจตนา?’
นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนนัยน์หดรัด
‘น่าจะเป็นเช่นนั้น เมื่อครู่ที่เขาลงมือเห็นชัดว่ากระทำด้วยจิตสังหาร ทั้งยังไม่ยั้งมือ ข้าสงสัยว่าเขากำลังหยั่งเชิงพลังของข้าอยู่ เหมือนกับจงใจให้พวกเซียวหรัน กงหยางอวี่มองเห็น’
หลินสวินกล่าวอย่างพิจารณารอบคอบ เขาหวนนึกถึงการจู่โจมที่ประสบเมื่อครู่ รู้สึกชัดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ต่อให้ซูซิงเฟิงโง่แค่ไหนก็ควรรู้ชัดว่าเวลานั้นต้องจัดการกับศัตรูมากมาย แม้ว่าเคียดแค้นตนก็ต้องถือส่วนรวมเป็นหลักจึงจะถูก
เห็นชัดเจนยิ่งว่าซูซิงเฟิงใช่ว่าจะโง่ ตรงกันข้ามผู้กล้าที่พรสวรรค์เป็นเลิศเช่นเขา สติปัญญาและความคิดลึกซึ้งที่มีต้องเหนือธรรมดาเป็นแน่
แต่ตอนนั้นเขากลับทำเช่นนี้ เหมือนจะผิดปกติอยู่บ้าง
สิ่งที่เรียกว่าผิดปกติมักมีบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง หลินสวินคาดเดาได้รางๆ ว่าบางทีที่ซูซิงเฟิงทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้พวกเซียวหรันได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของตนด้วยตาตนเอง!
‘หากเป็นดังเจ้าสันนิษฐานจริง ก็หมายความว่าซูซิงเฟิงต้องการดึงเซียวหรันหรือไม่ก็กงหยางอวี่มาจัดการเจ้าด้วยกัน?’
เจ้าคางคกกล่าวประหลาดใจ
‘ไม่ใช่ น่าจะเป็นพวกเขาแอบนัดแนะกันอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดเพื่อหยั่งเชิงพลังที่แท้จริงของหลินสวิน แค่ต้องการเตรียมการส่วนหนึ่งไว้ล่วงหน้า ภายหลังเมื่อสบโอกาสจะได้กำจัดหลินสวินทิ้งในคราเดียว!’
นัยน์ตาใสกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเรืองรอง ไหลวนด้วยแสงแห่งสติปัญญา นางเกิดในราชวงศ์ คุ้นเคยดีกับเล่ห์กลทั้งในที่ลับและที่แจ้ง นี่คือพรสวรรค์ติดตัวแต่กำเนิด
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่หลินสวินเอ่ยการสันนิษฐานของตนออกมา ชั่วพริบตานางก็จับกลิ่นอายเล่ห์เหลี่ยมส่วนหนึ่งได้ทันที เผยคำวินิจฉัยของตนออกมา
‘ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ท้ายที่สุดพวกเขาก็หมายจัดการหลินสวินอยู่ดี ใช่ไหมล่ะ’
เจ้าคางคกกล่าวอย่างโมโห ‘งั้นพวกเรายังอยู่ที่นี่ทำอะไร ช่วยพวกเขาช่วงชิงวาสนา หลังจากนั้นก็ถูกพวกเขาฆ่าลาเมื่อโม่แป้งเสร็จงั้นรึ’
ทันใดนั้นเขาก็ร้องออกมาคำหนึ่ง รีบร้อนอธิบาย ‘ข้าไม่ใช่ลานะ พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด นี่ก็แค่คำเปรียบเปรย’
หลินสวินกลอกตาใส่ จนถึงตอนนี้แล้วเจ้าคางคกยังจะพูดมั่วไร้สาระ รูปร่างหน้าตาเห็นชัดว่าหล่อเหลางดงามถึงเพียงนั้น แต่ประสาทกลับทึ่มทึบเสียจริง
‘พวกเราไม่ไป’
จ้าวจิ่งเซวียนสูดหายใจลึก บนใบหน้างดงามบริสุทธิ์นิ่งสงบถึงที่สุด ‘เพื่อช่วงชิงวาสนา พวกเขาไม่ลงมือเวลานี้อย่างแน่นอน ถึงขั้นจะร่วมมือกับพวกเราอย่างเต็มกำลัง อาศัยพลังของพวกเรากอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด’
นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ ‘แต่ว่า พวกเขาคิดหลอกใช้พวกเรา ไยพวกเราไม่ลองหลอกใช้พวกเขาดูบ้างเล่า รอหลังช่วงชิงวาสนามา พวกเราก็บุกชิงโจมตีก่อน พวกเขาข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน แน่นอนว่าพวกเราก็ฆ่าลาเมื่อโม่แป้งเสร็จได้เช่นกัน!’
เจ้าคางคกพลันยิ้มยิงฟันทันที ก่อนยื่นหัวแม่โป้งออกไปนิ้วหนึ่ง ‘แม่นางจ้าวพูดจามีชั้นเชิง ใช่ ต้องฆ่าลา ต้องฆ่าพวกลาโง่ที่เจตนาแอบแฝงฝูงนี้! ฮะฮ้า ข้าล่ะรอคอยเคราะห์ของเจ้าพวกนี้ยิ่งนัก’
จ้าวจิ่งเซวียนเองอดกลอกตาใส่ไม่ได้ เรื่องราวจริงจังระดับไหน มาถึงปากเจ้าคางคกแล้วดันมีความรู้สึกเหมือนไร้แก่นสาร ทำให้ผู้คนปวดหัว
แต่หลินสวินกลับมองข้ามเจ้าคางคกอย่างสิ้นเชิง สายตามองไปยังจ้าวจิ่งเซวียน พลางกล่าว ‘เจ้า… คิดจะแตกหักกับพวกเขาจริงหรือ’
คำถามนี้สำคัญมาก!
ถึงอย่างไรจ้าวจิ่งเซวียนก็เป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ไว้หน้าศิษย์สำนักเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างเผชิญหน้ากัน ผลที่ตามมานั้นคงร้ายแรงอยู่บ้าง
จ้าวจิ่งเซวียนถามกลับ ‘พวกเขาต่างลับมีดครืดคราดแล้ว หรือพวกเรายังจะยื่นคอหาที่ตายด้วยตนเองอีก’
เห็นใบหน้าขาวกระจ่างงามพิสุทธิ์ของนาง อีกทั้งแววตานิ่งสงบ ท้ายที่สุดหลินสวินก็แน่ใจ จ้าวจิ่งเซวียนได้ตัดสินใจเลือกแล้ว
‘ก็ดี งั้นก็ลองดู ใครกันแน่ที่จะข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน และใครจะฆ่าลาเมื่อโม่แป้งเสร็จก่อนกัน!’
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มอบอุ่นเปล่งประกาย
‘ยิ้มน่าเกลียดจริง’ เจ้าคางคกวิจารณ์ประโยคหนึ่ง
หลินสวินอดกลั้นแรงกระตุ้นที่จะฆ่าคนไว้ เบนสายตามองไปยังแท่นบูชาโบราณที่อยู่ไม่ไกล พลางกล่าว ‘พวกเจ้าว่าแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งที่กระจายบนยอดเขานี้มีนัยลึกซึ้งอื่นอีกหรือไม่ หรือการมีอยู่ของพวกมันอาจมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับวาสนาที่ใกล้จะปรากฏขึ้น’
ขณะพูดเขาย่างก้าวไปเบื้องหน้า ลองค้นหาในระยะประชิด
อย่างที่คิด จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกก็ถูกดึงดูดให้เข้ามาใกล้เช่นกัน
‘คราก่อนตอนที่ข้ามาพร้อมพวกศิษย์พี่เซียวหรันก็ไม่เคยคุยถึงเรื่องนี้ แท่นบูชานี้เห็นชัดว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างสมัยบรรพกาล ด้านบนนอกจากร่องรอยมรรคบางส่วนและตัวอักษรโบราณลี้ลับเกินคาดเดาส่วนหนึ่ง แท่นบูชานี้ก็ไม่มีเบาะแสอะไรสักอย่าง’
จ้าวจิ่งเซวียนอธิบายประโยคหนึ่ง
แท่นบูชานี้สูงเก้าฉื่อ ทั่วแท่นขมุกขมัว ด้านบนยังมีตะไคร่เขียวจำนวนหนึ่ง กลิ่นอายกระดำกระด่างผ่านโลกมาโชกโชนทำให้ผู้คนมุ่งเข้าหา
ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียดจะพบว่าแท่นบูชาที่ดูธรรมดาทั่วไปแท่นหนึ่ง กลับห้อมล้อมด้วยคลื่นร่องรอยมรรคอันอัศจรรย์ ศักดิ์สิทธิ์น่าครั่นคร้ามหาใดเปรียบ ทำให้ผู้คนใจสั่นระรัว
‘แท่นบูชานี้เป็นแท่นบูชาธรรมดายิ่งจริงๆ แต่ยามมันย้อมด้วยพลังแห่งอริยะในครั้งก่อนก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์’
ดวงตาทั้งสองของเจ้าคางคกเบิกโตเปล่งประกาย จับจ้องมองแท่นบูชาทุกกระเบียดนิ้วอย่างบ้าคลั่ง เสมือนหมาป่าหิวโซตัวหนึ่งมองเหยื่ออันโอชะ
‘หากข้าคาดเดาไม่ผิด แท่นบูชานี้ก่อสร้างขึ้นด้วยมือของอริยะแท้จริงผู้หนึ่ง มีเพียงแค่คนระดับนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนของเน่าเสียเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้สิ่งของซึ่งธรรมดาที่สุด เพียงอยู่ในมือพวกเขาก็สามารถนำมาซึ่งพลังแห่งอริยมรรคได้!’
หลินสวินไหวหวั่นอยู่ในใจ เมื่อครู่เขาเองสังเกตเห็นจุดผิดปกติของแท่นบูชา แต่กลับไม่อาจบรรยายได้โดยละเอียด แต่หลังจากได้ยินเจ้าคางคกกล่าวอธิบายถึงได้ตระหนักรู้ขึ้นมา
‘ในที่สุดตอนนี้ข้าก็มั่นใจแล้วว่า เจ้าคือทายาทแห่งคางคกทองสามขาจริงๆ’
จ้าวจิ่งเซวียนยังอดประหลาดใจไม่ได้ ค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าคางคก
‘หึ นี่ยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ข้ารู้น่ะครอบจักรวาล ความรู้กว้างขวางลึกซึ้งกว่าพวกเจ้าไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร’
เจ้าคางคกอวดเก่งขึ้นมาชั่วขณะ หน้าตาหยิ่งทะนงอวดดี
หลินสวินไม่ชอบท่าทางอวดเบ่งของเจ้านี่มากที่สุด จึงออกปากโจมตี ‘น่าเสียดายเนอะ เจ้ารู้อะไรตั้งมาก แต่กลับลืมความทรงจำก่อนหน้านี้ของตนเอง ช่างน่าสงสารเสียจริง’
เจ้าคางคกแข็งทื่อไปทั้งตัว คลั่งขึ้นมาทันใด กรีดร้องเอ็ดตะโรหมายสู้กับหลินสวินสุดชีวิต
ท้ายที่สุดยังเป็นหลินสวินที่ยอมถอยก้าวหนึ่ง นี่จึงทำให้เขาพอจะสูสีขึ้นมาหน่อย
‘เจ้าว่านี่คืออักษรอะไร’
จ้าวจิ่งเซวียนชี้ไปยังส่วนที่อยู่ตรงกลางแท่นบูชา บนนั้นเดิมปกคลุมด้วยตะไคร่เขียว ไม่รู้ว่าถูกใครลบออกไปปื้นใหญ่ เผยให้เห็นตัวอักษรลึกลับบิดเบี้ยวพิลึกพิลั่นกลุ่มหนึ่ง
ลักษณะตัวอักษรเสมือนมังกรมากมายยึดฐานมั่นผงกศีรษะขึ้น มีกลิ่นอายทรงพลานุภาพยากจะเอ่ยอธิบายอย่างหนึ่ง
‘ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าเหล่านั้น ศิษย์พี่เซียวหรันเชี่ยวชาญตำราบรรพกาลที่สุด แต่แม้แต่เขาก็ไม่อาจจำแนกตัวอักษรกลุ่มนี้ได้ ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณวินิจฉัย ว่าตัวอักษรกลุ่มนี้ต้องเป็นอริยะขีดเขียนไว้แน่นอน สื่อถึงความหมายแฝงบางประการ’
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวอธิบาย
เพียงแต่นางพลันพบว่าเจ้าคางคกเสมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ทั้งตัวขยับเข้าใกล้หน้าแท่นบูชา นัยน์ตาทองอร่ามมีแสงโชติช่วงไหลบ่า ถูกตัวอักษรลึกลับกลุ่มนั้นดึงดูด
เขาในเวลานี้เหมือนดั่งใหลหลง เห็นได้ว่าผิดปกติอย่างยิ่ง
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสบตากันวูบหนึ่ง ต่างฮึกเหิมอยู่ในใจ รู้สึกได้รางๆ ว่าเจ้าคางคกดูเหมือนมองเค้าเงื่อนอะไรออก
ขณะที่พวกเขาสนทนากัน พวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิงต่างก็จับตาดูการเคลื่อนไหวทางนี้ เมื่อมองเห็นเจ้าคางคกมีอากัปกริยาผิดแปลก สายตาพวกเขาต่างหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าแตกต่างกันออกไป
หลายวันมานี้ไม่เพียงแค่พวกเขา แม้แต่ในอาณาเขาแท่นบูชาอื่นบนยอดเขา ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างก็พยายามไตร่ตรองและตีความอักษรแปลกประหลาดพวกนี้
เพราะบนแท่นบูชาแต่ละแห่งต่างหลงเหลือตัวอักษรชนิดนี้ นี่ก็เห็นได้ว่าผิดธรรมดายิ่ง ทำให้ผู้คนอดเข้าไปสังเกตซ้ำและเสาะหาไม่ได้
น่าเสียดาย จวบจนตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาหรือเผ่าอื่นๆ ต่างมึนงง แสดงออกชัดว่าไม่เคยพบเห็นอักษรโบราณพวกนี้มาก่อน
แต่ทว่าผลลัพธ์เช่นนี้ก็ทำให้ภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งนี้เปลี่ยนเป็นลี้ลับยิ่งกว่าเดิม ทางขึ้นเขาสี่สิบเก้าวิถี สอดคล้องกับแท่นบูชาโบราณสี่สิบเก้าแห่ง
แท่นบูชาก่อเกิดเมื่อครั้งบรรพกาลและดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน ล้อมรอบด้วยร่องรอยมหามรรค ทั้งยังมีอักษรโบราณเร้นลับซึ่งอริยะบรรจงเขียนด้วยตนเอง
ทั้งหมดนี้สื่อถึงอะไรกันแน่
มีส่วนเกี่ยวข้องกับวาสนาไร้เทียมทานที่พวกเขารอคอยมาตลอดหรือไม่
ไม่มีใครกระจ่าง!
และก็ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สถานะของภูเขาเทพหมอกม่วงภายในใจทุกคนเปลี่ยนเป็นลึกลับยิ่งกว่าเดิม
มาตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเจ้าคางคกกำลังสังเกตตัวอักษรเหล่านี้ และมีสีหน้าท่าทางผิดแปลกอยู่บ้าง นี่จะไม่ให้พวกเซียวหรันตะลึงงันได้อย่างไร
“สหายยุทธ์คนนั้นเป็นใคร เหตุใดก่อนนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เซียวหรันเอ่ยถามไถ่
คนอื่นล้วนส่ายศีรษะ รวมไปถึงซูซิงเฟิง เหวินเสียงต่างก็ไม่เคยพบเจ้าคางคกอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่มาของเขา
“ข้าจำได้ ตอนแรกที่พวกเราเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ มีหลินเสวียนเพียงคนเดียว หากกล่าวเช่นนี้ เด็กหนุ่มชุดเขียวข้างกายเขาจะใช่ ‘ชนพื้นเมือง’ แห่งแดนลับอสูรมารอริยะนี้หรือไม่”
เซียวหรันพูดเสียงทุ้มต่ำ ทำการหาข้อสรุป
นี่ทำให้คนอื่นต่างตระหนกอยู่ในใจ ท้ายที่สุดจึงเริ่มให้ความสำคัญกับเจ้าคางคกแปลกหน้านี้
“เป็นไปไม่ได้ แดนลับอสูรมารอริยะมีสิ่งมีชีวิตซึ่งมีสติปัญญา ล้วนมีศักยภาพน่าหวาดกลัวขั้นราชันระดับสังสารวัฏ สัตว์ปีศาจอื่นๆ บางส่วนก็แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีจิตวิญญาณเช่นนี้”
ซูซิงเฟิงส่ายศีรษะ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากเขาสามารถตีความอักษรลึกลับนั้นได้ ก็ถือว่าช่วยพวกเราได้ไม่น้อย”
เซียวหรันเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
และในเวลานี้เอง เจ้าคางคกที่อยู่ห่างออกไปดูเหมือนคนลุ่มหลงละเมอครวญ ริมฝีปากพึมพำ ลืมสื่อจิตโดยสิ้นเชิง ส่งเสียงออกมาและดึงดูดความสนใจของพวกเซียวหรันทันที
“คีรีแห่ง… ดวงกมล… ลวงหลอก?”
ประโยคเดียวขาดๆหายๆ กลับทำให้ผู้คน ณ ที่นั้นต่างใจกระตุกวูบ เจ้าคางคกรู้จักอักษรลึกลับนี้จริงๆ ด้วย!
………….
ตอนที่ 590 บัวสมบัติดุจดวงประทีป สาดส่องขุนเขาธารา
โดย
ProjectZyphon
คีรีแห่งดวงกมล ลวงหลอก?
นี่หมายความว่าอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียน หรือพวกเซียวหรันต่างรู้สึกสับสนมึนงง
เพียงแต่เมื่อพวกเขาอยากฟังต่อ กลับเห็นเจ้าคางคกถอนสายตา หน้าตาดูงุนงง “คีรีดวงกมล ชื่อที่คุ้นเคยเช่นนี้ ทำไมข้ากลับดันนึกไม่ออกสักนิด…”
ทีนี้ทุกคนจึงรู้แล้วว่า ที่แท้ความหมายของตัวอักษรลึกลับกลุ่มนั้นบนแท่นบูชา ก็เป็นแค่เพียงชื่อไม่กี่คำนี้เท่านั้น
แต่ว่า นี่หมายความว่ายังไงกันแน่
ไม่มีใครล่วงรู้
‘เจ้าคางคก เจ้ามองอะไรออกงั้นรึ’
หลินสวินสื่อจิตถาม
‘นี่คือภาษาสันสกฤตลี้ลับชนิดหนึ่งในสมัยบรรพกาล เล่าขานว่าผู้บำเพ็ญธรรมประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ต่างจากภาษาสันสกฤตทั่วไป ภาษาสันสกฤตประเภทนี้เร้นลับถึงขีดสุด ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญธรรมทั่วไปก็ล้วนไม่อาจเข้าใจ มีเพียงอัครบุคคลซึ่งมรรควิถีลึกซึ้งและครองผลที่แท้จริงเท่านั้น จึงสามารถหยั่งรู้และเขียนออกมาได้’
เวลานี้เจ้าคางคกได้สติระแวดระวังขึ้นมา ไม่หลุดปากออกมา แต่ใช้การสื่อจิต ‘อักษรธรรมประเภทนี้ยังถูกเรียกว่าอักษรปริศนามหายาน ต่อให้เป็นสมัยบรรพกาลก็มีการสืบทอดน้อยมาก’
‘มิน่าจึงเร้นลับเช่นนี้ ที่แท้นี่คืออักษรปริศนาลึกล้ำที่พุทธนิกายสรรสร้างอย่างหนึ่ง’
จ้าวจิ่งเซวียนตกตะลึงอยู่ในใจ
‘หากกล่าวเช่นนั้น หรือวาสนาในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้จะเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมซึ่งครองผลท่านใดท่านหนึ่งเมื่อครั้งบรรพกาล’
หลินสวินเองก็ประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง
การบำเพ็ญธรรม สำหรับเขาแล้วคือการดำรงอยู่ที่แปลกหน้ายิ่งอย่างหนึ่ง เมื่อครั้งอยู่ในนครต้องห้าม เขารู้แค่ว่าในสถานที่ที่ห่างจากจักรวรรดิจื่อเย่าไม่รู้กี่พันลี้ มีอาณาจักรวงจันทราแห่งหนึ่ง ในนั้นพระธรรมเฟื่องฟู ภิกษุมากมาย
ระยะแรกที่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้ามไม่นาน ก็เคยมีภิกษุหนุ่มนามว่าอีเนี่ยนรูปหนึ่งมุ่งหน้ามายังสำนักศึกษามฤคมรกตเพียงลำพัง ท้ารบกับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง ท้ายที่สุดผลกลับสูสีเสมอกัน
แม้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่การที่สามารถประมือกับดรุณจ้าวกระบี่แล้วไม่พ่ายแพ้ ยังคงทำให้ภิกษุหนุ่มอีเนี่ยนรูปนี้มีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้องนครต้องห้าม
หลินสวินเคยได้ยินมาก่อนแต่กลับไม่เคยใส่ใจ ด้วยเหตุนี้สำหรับการบำเพ็ญธรรม เขาจึงแทบไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
และการมายังทะเลกลืนวิญญาณครานี้ หลังจากเข้าสู่ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ขณะกำลังเข่นฆ่าโรมรันในกองทัพวิญญาณอาฆาต หลินสวินเคยพบกับภิกษุตาบอดรูปหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
นั่นคือภิกษุซึ่งอุดมไปด้วยสีสันแปลกประหลาดรูปหนึ่ง เบ้าตาว่างเปล่าไร้ลูกตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนกะโหลกสีดำ ห่มจีวรย้อมโลหิตหนึ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวกระดำกระด่าง เหนือศีรษะมีลวดลายบัวดำแปลกประหลาดดอกหนึ่ง!
นี่คือผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งที่หลินสวินพบเจอ เพียงแต่เหมือนจะแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวเกินไป
มาตอนนี้ ได้ยินว่าภาษาสันสกฤตเก่าแก่บนแท่นบูชานั้น ถึงกับเป็นอักษรปริศนามหายานชนิดหนึ่งของผู้บำเพ็ญธรรม แน่นอนว่าทำให้หลินสวินไหวหวั่นไม่หยุด ความคิดมากมายผุดขึ้นไม่ขาดสาย
‘ไม่แน่ใจ เพียงแค่อักษรปริศนามหายานที่ประหลาดอัศจรรย์ยากหยั่งถึงแถวหนึ่งเท่านั้น ไร้เบาะแสอย่างเป็นรูปธรรม แค่ว่าที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรม’
เจ้าคางคกเองก็เดาไม่ถูกอยู่บ้าง
‘เจ้าลองนึกดูอีกที สามารถหวนนึกเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับ ‘คีรีดวงกมล’ ได้หรือไม่’
หลินสวินอดไม่ได้ที่จะถาม
เจ้าคางคกส่ายศีรษะโดยสิ้นเชิง ‘นึกไม่ออก เจ้าก็อย่ายึดติดเลย ต่อให้รู้นั่นก็เป็นเรื่องราวสมัยบรรพกาล ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าเลย’
‘ครองผลหมายถึงอะไร’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยถาม
‘ครองผลก็คืออริยะ นี่คือการหยั่งรู้มหามรรคแบบหนึ่งสำหรับการบำเพ็ญธรรม หรือก็คือระหว่างบำเพ็ญธรรม ขอเพียงสามารถครองผลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องคลางแคลง นั่นคืออริยสงฆ์ผู้หนึ่งโดยมิต้องสงสัย’
เจ้าคางคกกล่าวอธิบายประโยคหนึ่ง
อริยสงฆ์?
คำเรียกนี้กลับพิเศษโดดเด่นอยู่บ้าง ทำให้หลินสวินอดนึกถึงขึ้นมาไม่ได้ ภิกษุตาบอดแปลกประหลาดที่ตนเคยพบรูปนั้น ก่อนหน้านี้ก็เป็นอริยสงฆ์ผู้หนึ่งหรือไม่?
“ศิษย์พี่จ้าว พวกท่านกำลังพูดอะไรกัน เหตุใดไม่กล่าวออกมาให้ทุกคนได้ใคร่ครวญด้วยกัน”
ทันใดนั้นเหวินเสียงที่อยู่ห่างออกไปก็ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก
หลินสวินหันกลับไปมอง สายตาพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อเองก็จับจ้องมาทางนี้ตลอด
“เสือกอะไรด้วย”
เจ้าคางคกหน้าตาหงุดหงิด เขาไม่มีความรู้สึกดีกับพวกผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณนี่สักนิด จึงพูดจาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เหวินเสียงสีหน้าค้างแข็ง โมโหขึ้นทันใด “คนอย่างเจ้าอยากมาร่วมชิงวาสนาพร้อมกับพวกเรา เอารัดเอาเปรียบแล้วยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ท่าทางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ หรือคิดอยากเป็นศัตรูกับพวกเรา”
เจ้าคางคกชี้เหวินเสียงอย่างหยามเหยียด หยิ่งยโสทะยานฟ้า “ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเจ้าหุบปาก ผู้ใหญ่เขาคุยกัน มีส่วนไหนให้เจ้าสอดปากเข้ามาจุ้น”
“เจ้า…”
เหวินเสียงผุดลุกขึ้น นัยน์ตาฉายแววสังหาร
“พอแล้ว อย่าได้ถกเถียงกันอีก”
เซียวหรันออกปาก น้ำเสียงยังคงราบเรียบและน่าเกรงขามดังเดิม
เห็นดังนี้จ้าวจิ่งเซวียนลังเลนิดหน่อย กลับเห็นหลินสวินดูเหมือนเดาความคิดในใจนางออก ชิงเอ่ยปากก่อน
เขายิ้มกล่าว “ก็ไม่มีอะไรต้องปกปิด อักษรโบราณเหล่านี้คือสิ่งที่อริยะผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งหลงเหลือไว้ เป็นภาษาสันสกฤตยากพบเห็นอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอักษรปริศนามหายาน”
บำเพ็ญธรรม!
อักษรปริศนามหายาน!
ทันทีที่ได้ยินคำพวกนี้ ในใจพวกเซียวหรันพลันสั่นสะท้าน
“ยังมีเบาะแสอื่นอีกหรือไม่”
เซียวหรันกล่าวเสียงทุ้มต่ำ แค่เบาะแสพวกนี้ ไม่อาจได้ข้อสรุปอะไรอย่างสิ้นเชิง
หลินสวินส่ายศีรษะ
“หลินเสวียน ตอนนี้พวกเรายืนอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว ขอเจ้าอย่าได้เก็บงำเอาไว้ หากถ่วงรั้งโอกาสช่วงชิงวาสนาของทุกคน ผลที่ตามมาเจ้ารับผิดชอบไหวงั้นรึ”
ซูซิงเฟิงน้ำเสียงเย็นชาเคร่งครัด เห็นชัดว่าคิดว่าหลินสวินเก็บงำอะไรไว้ เจตนาปกปิดบางอย่าง
“ฮ่าๆ เจ้าหนูเจ้าเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ไม่บอกพวกเขา พวกเขาก็คิดว่าเจ้าอมพะนำ บอกพวกเขา พวกเขาก็ยังสงสัยว่าเจ้าเก็บงำอะไรไว้ สรุปก็คือเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง”
เจ้าคางคกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
หลินสวินไหวไหล่ไม่ใส่ใจ แต่ความจริงในใจมีเพลิงโทสะอยู่บ้าง เจ้าซูซิงเฟิงนี่ยังทำเหมือนเขาเป็นแค่ ‘ผู้ติดตาม’ จริงๆ
“ที่หลินเสวียนพูดมาทั้งหมดไม่มีเก็บงำแม้แต่น้อย เชื่่อไม่เชื่อก็เรื่องของพวกเจ้า”
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็โมโหอยู่บ้าง เดิมทีหลินสวินไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่เขาทำเช่นนี้คงเพราะไม่อยากให้ตนลำบากใจ
ตอนนี้เป็นอย่างไร หลินสวินพูดก็พูดแล้ว เจ้าซูซิงเฟิงนี่ยังสงสัยหลินสวิน นี่มันมากเกินไปแล้ว
เซียวหรันยิ้มกำลังจะกล่าวอะไร แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆ คลื่นศักดิ์สิทธิ์ไร้รูปพลันเคลื่อนไหว ตลบอบอวลออกมาจากยอดเขาอย่างฉับพลัน
กลิ่นอายนั้นยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ทะเลหมอกพวยพุ่ง ก่อเกิดโกลาหลอย่างรุนแรง
“วาสนาใกล้ปรากฏขึ้นแล้ว?”
“เร็วเข้า เตรียมตัวให้พร้อม!”
เวลานี้ในอาณาเขตแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งซึ่งกระจายกันอยู่บนยอดเขานี้ ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าล้วนตื่นตระหนก ทยอยลุกขึ้น สีหน้าตื่นเต้นดีใจ
วาสนาครานี้ในที่สุดก็จะปรากฏแล้วใช่หรือไม่
พวกเซียวหรันเองก็นัยน์ตาเปล่งประกาย พากันลุกขึ้นเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ
วู้ม!
ยอดเขากว้างใหญ่ไพศาล แท่นบูชาเก่าแก่โบราณสี่สิบเก้าแท่น เวลานี้เสมือนตื่นจากความเงียบงันแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุดพร้อมกัน ก่อเกิดคลื่นผันผวนศักดิ์สิทธิ์อันเร้นลับ เปล่งแสงสว่างเรืองรอง
แค่เพียงชั่วพริบตา ภูเขาเทพหมอกม่วงทั้งลูกเริ่มสั่นไหว กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นไหลวน ความน่าเกรงขามแผ่กว้างถึงขีดสุด
พยับเมฆบนท้องฟ้าราวแบกรับไม่ไหว ทยอยพังทลายร่วงกราว
รอบรัศมีพันลี้ เดรัจฉานทั้งหลายแหล่ครวญคร่ำคำรามตัวสั่นงันงก ก้อนหินต้นไม้บังเกิดเสียงดังสวบสาบ คล้ายกำลังก้มหัวยอมสวามิภักดิ์
ส่วนที่เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งมากมายหลายหลากยังคงเข่นฆ่าโรมรันกันดุเดือด เพื่อแย่งชิงหนทางสู่ยอดเขา
แต่เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลกนี้ พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสี หยุดการเคลื่อนไหว มองไปยังยอดเขาโดยพร้อมเพรียง วาสนาหนึ่งเดียวในใต้หล้าครานี้กำลังบังเกิดขึ้นแล้วงั้นรึ
ทันใดนั้นพวกเขาเปลี่ยนเป็นบ้าระห่ำยิ่งกว่าเดิม เลือดหลั่งรินไม่หยุดหย่อน แทบอยากจะรีบเร่งมุ่งขึ้นไปบนยอดเขาทันที ทำให้การเข่นฆ่าที่เชิงเขาเปลี่ยนเป็นโหมคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ชวนให้ประหวั่นยิ่งนัก
ตูม!
บนยอดเขา วายุเมฆาเปลี่ยนสี กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง แท่นบูชาเก่าแก่สี่สิบเก้าแท่นส่องสว่างเรืองรอง ตลบอบอวลด้วยกลิ่นอายซ่อนเร้นยากหยั่งถึง
ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่ยึดครองบริเวณต่างๆ อยู่ก่อนแล้วล้วนเคร่งเครียด ปากแห้งลิ้นฝืด นัยน์ตาฮึกเหิมและเฝ้าคอยสุดกำลัง
รอคอยมาหลายวัน วาสนายิ่งใหญ่ครานี้ในที่สุดก็จะอุบัติขึ้นบนโลก ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนใหญ่คนโตที่อยู่โลกภายนอกมาเยือน เกรงว่าคงยากจะสงบนิ่งอยู่ได้กระมัง
‘เจ้าหนู วาสนามาเยือนก็หมายความว่าเคราะห์สังหารที่แท้จริงจะเปิดฉากขึ้น ยังจำคำที่ข้าบอกก่อนหน้าได้หรือไม่ มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า ที่นี่แหละคือรูปแบบเก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น อย่าได้ถูกวาสนาบดบังดวงตาเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องประสบเคราะห์แน่!’
เวลานี้เจ้าคางคกถึงกับตึงเครียดขึ้นมาอย่างยากจะเห็น เตือนหลินสวินว่าต้องตื่นตัวและระวังภัย
หลินสวินแอบพยักหน้า การเปลี่ยนแปลงสะเทือนใต้หล้าที่เห็นกับตาเบื้องหน้านี้ นอกจากความตื่นเต้นในใจแล้ว ยังมีความระแวดระวังอยู่ด้วย
ไม่ต้องคิดให้มากความ ทันทีที่วาสนาปรากฏ ผู้แข็งแกร่งแต่เผ่า ณ ที่นี้จะต้องเฮโลขึ้นมา ทำการแก่งแย่งช่วงชิง นั่นต้องเป็นภาพนองเลือดเหี้ยมโหดอำมหิตหนึ่งอย่างแน่นอน
นี่ยังเป็นเพียงการประชันขันแข่งกันเท่านั้น เมื่อแย่งชิงวาสนาอย่างแท้จริง ใครเล่าจะสามารถแน่ใจว่า จะไม่พบเจอเคราะห์สังหารไร้เทียมทานที่ซ่อนอยู่ในนี้
ทันใดนั้นห้วงอากาศตรงศูนย์กลางยอดเขาพลันปรากฏแสงสว่างเล็กน้อย ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเจิดจ้าขึ้น จนกระทั่งตอนท้ายสุดถึงขั้นเหมือนดวงตะวันร้อนแรง ฉายแสงเจิดจรัสเสียดแทงนัยน์ตา สาดส่องทั่วขุนเขาธารา!
“นี่มันอะไรกัน”
ผู้แข็งแกร่งมากมายตกตะลึง ไม่กล้าเพ่งมองโดยตรง
“ไม่ต้องไปสนว่าคืออะไร แย่งมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
และมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่คิดจะรอคอยต่อไป ลงมือโดยตรง หมายคว้าโอกาสช่วงชิงเป็นคนแรก
นั่นคือผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนหนึ่ง กลายร่างเป็นหงส์ทองอร่ามตัวหนึ่ง สยายปีกบดบังนภากาศ ท่าร่างราวอสนี พริบตาก็พุ่งตรงออกไป
แต่ทว่าภาพที่พาให้คนประหวั่นพลันปรากฏ เขายังไม่ทันได้เข้าประชิด ร่างกายกลับถูกแสงสว่างไร้สิ้นสุดนั่นฝังกลบ และถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหายไปอย่างเงียบงัน ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่เสียงร้องทุรนทุรายล้วนไม่ทันได้เปล่งออกมา!
นี่เป็นถึงบุคคลชั้นยอดผู้หนึ่ง กลับตายไปอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ที่น่ากลัวที่สุดคือ ยันต์กระดูกวิญญาณของเขาไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้!
เฮือก!
ณ ที่นั้นเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังเป็นระลอก ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นถังหนึ่ง ความตื่นเต้นและบ้าคลั่งในใจถอยถดลงไม่น้อย
พวกเขาตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่า นี่คือวาสนายิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นมหาเคราะห์สังหารเช่นเดียวกัน! ไม่อาจไม่ระมัดระวัง!
และในเวลานี้เอง แสงสว่างโชติช่วงกลางอากาศนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลง เกาะกลุ่มรวมตัวเป็นดอกบัวเสมือนภาพลวงตาดอกหนึ่ง
ดอกบัวไม่ใหญ่ ขนาดแค่ปากชาม ประหนึ่งหล่อหลอมจากกระจกสีอันบริสุทธิ์ที่สุดในโลกหล้า กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ไพศาลไหลบ่า ส่องประกายสว่างไสว
มันเบ่งบานอยู่กลางอากาศ ประดุจโคมดอกบัวดวงหนึ่ง แม้มีขนาดแค่ปากชาม กลับส่องสว่างผืนฟ้าผืนดิน สาดส่องขุนเขาธาราและสรรพสิ่ง!
แสงสว่างและความศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้ดำรงอยู่ทั่วทุกแห่ง!
………….
ตอนที่ 591 ดอกบัวดั่งโลกา ซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่
โดย
ProjectZyphon
บัวดอกหนึ่ง ดั่งโคมผลิบาน สาดส่องฟ้าดิน!
ภาพเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างสั่นสะท้านสีหน้าไหวหวั่น สัมผัสได้ถึงแรงปะทะยากเกินบรรยายอย่างหนึ่ง
เสมือนปาฏิหาริย์ปรากฏบนโลกาในเวลานี้ สะเทือนใต้หล้าไร้สิ้นสุด
มีกลิ่นหอมจางรางๆ อบอวล บางเบาดุจห้วงมายาเงียบสงัด ประหนึ่งกลิ่นอายใสสะอาดแห่งอริยมรรค สามารถชะล้างสิ่งปฏิกูลทั้งมวล
ขณะเดียวกันเสียงธรรมบทแล้วบทเล่าดังออกมาจากบัวดอกนั้น แรกเริ่มคลุมเครือมิอาจสดับ แต่ต่อมาภายหลังกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกึกก้องไร้ขีดจำกัด!
คล้ายมีภิกษุสามพันรูปสวดภาวนาพร้อมกัน เสียงนั้นใกล้เคียงมรรคา สะท้อนก้องเทวะจักรวาล สั่นสะท้านจิตวิญญาณ
ผู้แข็งแกร่งมากมายกระเหี้ยนกระหือรือ ดอกบัวนั่นศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ราวกับไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่บนโลก หากสามารถช่วงชิงมาไว้ในมือจะต้องเป็นศุภโชคแห่งยุคอย่างแน่นอน!
“ดูเหมือนว่า ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมสมัยบรรพกาลเป็นแน่…” หลินสวินกล่าวพึมพำออกมา
บัวสมบัติดุจดวงประทีป ส่องประกายศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นหอมแผ่คลุมโลกหล้า เสียงสวดสะท้อนก้องฟ้าดิน ทั้งหมดล้วนเห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่และเจิดจรัส!
“ระวัง ต้องระวัง!”
เวลานี้เจ้าคางคกตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ปากกล่าวเตือน “สมัยบรรพกาล ในหมู่อริยะ ลาหัวโล้น[1]ที่บำเพ็ญธรรมพวกนี้รับมือยากที่สุด เจ้าพวกนี้ครองผลหยั่งรู้กรรม ประพฤติตามกฎระเบียบมหายาน สภาพจิตใจแข็งแกร่งและลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง”
“ถ้าพูดหยาบคายหน่อยก็เหมือนพวกจิตหวาดระแวงกลุ่มหนึ่ง ทุกสิ่งที่ถูกพวกเขากำหนดไว้ ต้องทำทุกทางเพื่อให้เป็นไปตามที่ตั้งใจ ใครต่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์นั้นได้”
นี่เหมือนกำลังวิจารณ์โจมตีอริยะผู้บำเพ็ญธรรมแล้วไม่ใช่หรือ หลินสวินเองถูกคำพูดอันน่าทึ่งของเจ้าคางคกทำให้แปลกใจ เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะมีอคติกับผู้บำเพ็ญธรรมมากทีเดียว
“เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อเชียว วาสนาครานี้หากเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรม นั่นต้องไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายแน่ สิ่งที่ลาหัวโล้นพวกนี้ให้ความสำคัญที่สุดก็คือวาสนา นี่แหละที่ทำให้ผู้คนปวดหัวที่สุด”
เจ้าคางคกปากบ่นอุบอิบ “ประเดี๋ยวเมื่อวาสนาครานี้อุบัติขึ้นโดยสมบูรณ์ เจ้าก็จะเข้าใจเอง”
กลางอากาศบนยอดเขา ดอกบัวใหญ่เท่าปากชามยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าเดิม พลิ้วไหวแผ่วเบา แสงสว่างที่สามารถสาดส่องใต้หล้าไหลบ่า
กลิ่นหอมบางเบา เสียงสวดเป็นระลอก ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในบรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังและศักดิสิทธิ์อย่างหนึ่ง
ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าซึ่งกำลังเข่นฆ่ารุนแรง เวลานี้จิตใจถูกทำให้ตระหนก หยุดการเคลื่อนไหวที่กระทำอยู่ แต่ละคนเสมือนตื่นรู้ ไม่เข่นฆ่ากันอีก ยืนตรงอยู่ตรงนั้น สีหน้าปรากฏความเลื่อมใสศรัทธาวูบหนึ่ง
บนยอดเขาเองก็เช่นเดียวกันเหล่าผู้แข็งแกร่งต่างรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ถูกพลังอันยิ่งใหญ่จู่โจมจิตใจ ราวหมายโปรดสัตว์ให้หลุดพ้น
“ระวัง!”
“นี่คือพลังหลุดพ้นแห่งพุทธนิกาย และเป็นพลังแห่งการข้ามผ่านอันน่ากลัวประเภทหนึ่ง ทันทีที่จิตใจถูกกัดกร่อนก็จบเห่ไปชั่วชีวิต!”
“บัดซบ! หรือวาสนาครานี้จะเกี่ยวข้องกับพุทธนิกายจริงๆ มรรควิธีเช่นนี้มิใช่ว่าสมัยบรรพกาลก็ไร้การสืบทอดไปแล้วหรอกหรือ”
มีบุคคลชั้นยอดบางส่วนสังเกตเห็นถึงความไม่เข้าที หน้าพลันเปลี่ยนสี ร้องตะโกนกันเซ็งแซ่ เตือนผู้แข็งแกร่งที่อยู่ข้างตัว
“น่าสนใจ”
เซียวหรันทั่วร่างห้อมล้อมกลิ่นอายอันโดดเด่นดุจม่านหมอก โลกีย์มิแปดเปื้อน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบ ตรงกันข้ามกลับดูเหมือนกำลังสงบจิตหยั่งรู้พลังอันเป็นของพุทธนิกายนั่น
พวกอวิ๋นเช่อ ซูซิงเฟิง กงหยางอวี่ แต่ละคนต่างสีหน้าเคร่งขรึม สลัดความคิดฟุ้งซ่าน รวบรวมพลัง จึงไม่ได้รับผลกระทบอีก
หลินสวินโคจร ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ โดยตรง ในห้วงนิมิตหมู่ดาราเปล่งประกาย จันทร์ศักดิ์สิทธิ์ลอยเด่นบนนภากาศ ปรากฏธรรมลักษณ์นานัปการ พริบตาก็สลายคลื่นผันผวนในจิตใจออกไป
‘น่ากลัวยิ่งนัก ถึงกับเกือบประสบภัยพิบัติโดยไม่รู้ตัว!’
หลินสวินในใจเคร่งขรึม ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคำพูดของเจ้าคางคกดูเหมือนจะไม่ผิด วาสนาครานี้แม้ดูศักดิ์สิทธิ์ครั่นคร้าม แท้จริงแฝงไปด้วยตัวแปรและอันตรายที่ยากคาดเดา
เขามองไปยังจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคก พบว่าทั้งสองต้านทานและคลี่คลายพลังไว้แล้ว จึงวางใจลงทันที
ซ่า!
ตามเวลาที่ไหลเคลื่อนไป บัวดอกนั้นพลันเบ่งบานเป็นกลีบบัวสี่สิบเก้ากลีบ แต่ละกลีบล้วนมีแสงมรรครุ้งศักดิ์สิทธิ์ไหลทะลัก สีสันเพริศแพร้วผุดผ่อง งามตระการและยิ่งใหญ่เหลือจะเอ่ย
ขณะเดียวกัน บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งปรากฏบานประตูหนึ่งโดยพร้อมเพรียง เปิดทางกลางอากาศ ห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายอริยมรรค
นอกบานประตูเชื่อมทะลุผ่านรุ้งศักดิ์สิทธิ์แต่ละสาย แยกกันมุ่งสู่กลีบบัวสี่สิบเก้ากลีบที่บานออกมาจากดอกบัวนั่น!
มองจากไกลๆ ประหนึ่งว่าแท่นบูชาคือประตูบานหนึ่ง รุ้งศักดิ์สิทธิ์ราวสะพานทอดผ่าน มุ่งตรงสู่ใจกลางดอกบัว
“แท่นบูชาดั่งประตู กลีบบัวดุจเส้นทาง มุ่งสู่สถานแห่งแก่นบัว? หรือวาสนาครานี้จะซ่อนอยู่ในใจกลางดอกบัวนั่น”
มีผู้แข็งแกร่งสันนิษฐานออกมาดังนี้ แววตาส่องประกาย
และในเวลานั้นเอง เสียงยิ่งใหญ่ทว่าไร้รูปเสียงหนึ่งสะท้อนก้องฟ้าดิน…
“หนึ่งเม็ดทรายแฝงไว้ซึ่งพันแดน หนึ่งกายใจร่วมหมื่นวิถี หมื่นชาติภพวัฏจักรชั่วแล่น ศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนา!”
นี่ราวกับธรรมคาถาบทหนึ่ง แต่กลับไม่ซ่อนเร้นยากหยั่งถึง ตรงกันข้ามแทบจะฟังออกทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า ‘ศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนา’ นั่น ทุกคน ณ ที่นั้นต่างฮือฮา
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างลมหายใจกระชั้นถี่ แววตาเร่าร้อนแผดเผา ตั้งท่าเตรียมพร้อมกระเหี้ยนกระหือรือ
วาสนา ในที่สุดก็ปรากฏแล้ว!
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คลื่นศักดิ์สิทธิ์ระหว่างฟ้าดินนั้นจมสู่ความเงียบงันในที่สุด กลิ่นหอมลับหาย เสียงสวดไม่ปรากฏขึ้นอีก มีเพียงแท่นบูชาเก่าแก่สี่สิบเก้าแห่งตั้งตระหง่าน
บนแท่นบูชา บานประตูล้อมพิทักษ์ รุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งเชื่อมระหว่างบานประตูและใจกลางดอกบัวนั้น คล้ายกับหนทางมุ่งสู่แดนแห่งวาสนาสายหนึ่ง
บัวดอกนั้นเห็นชัดว่ามีขนาดแค่ปากชาม แต่เวลานี้สัญญาณทั้งมวลล้วนเผยโฉม ว่าวาสนาครานี้ซ่อนอยู่ในบัว นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายอดมึนงงไม่ได้
แต่ขณะที่ไม่ทันคิดมากความ ก็มีผู้แข็งแกร่งลงมือแล้ว!
ตูม!
บริเวณหนึ่งบนยอดเขาที่ห่างไกล เงาร่างผ่าเผยหาใดเปรียบร่างหนึ่งพลันปรากฏ ทั่วร่างแสงทมิฬไหลบ่า อุดมไปด้วยพลังปะทุระอุน่าหวาดกลัว
นัยน์ตาเขาสาดประกายยะเยือกดั่งกระบี่ ผมเผ้าหนวดเคราดุจทวนวงเดือน ท่าทีมีอำนาจหาใดเปรียบ ก้าวย่างเพียงคราเดียวก็มาถึงบานประตูกลางแท่นบูชา
ราชันวัวมารน้อย หนิวทุนเทียน!
บุตรเทพที่มาจากเผ่าวัวมารทรงพลังผู้นี้ กิตติศัพท์สะท้านปฐพี เป็นยอดผู้กล้าที่ครอบครองพรสวรรค์และพลังต่อสู้อันเป็นเลิศ ขณะนี้ทำการเคลื่อนไหวเป็นคนแรก
นับแต่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ ใช่ว่ามีแค่หลินสวินคนเดียวที่โดดเด่น ในสถานที่อื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันไป ต่างก็มีผู้ไร้เทียมทานผงาดขึ้น ชื่อเสียงด้านการต่อสู้เลื่องลือ
หนิวทุนเทียนคือคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในนั้น ตลอดทางเขารบพุ่งเข่นฆ่า หลายครั้งที่แย่งเนื้อจากปากเสือ แย่งชิงวาสนามาไม่รู้เท่าไหร่ แค่ผู้แข็งแกร่งที่สิ้นชีพภายใต้เงื้อมมือเขาก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อย!
พรึ่บ!
แทบเวลาเดียวกับที่หนิวทุนเทียนเคลื่อนไหว ในอาณาเขตอื่นอีกแห่ง ร่างงามซึ่งทั่วสรรพางค์มีแสงทองเจิดจรัสครอบคลุมอยู่ก็ทะยานขึ้นสู่แท่นบูชา
เงาร่างนางเปล่งปลั่งโชติช่วง ฝนแสงทองอร่ามลอยละล่อง เสมือนภาพฝันดุจดั่งภาพลวงตา ทำให้ผู้คนเห็นโฉมหน้านั้นได้ไม่ถนัด
แต่ทุกคนต่างจำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่คือธิดาเทพเผ่าหงส์หิรัณย์เมิ่งเหลียนชิง!
ครั้งหนึ่งนางตัวคนเดียวต่อสู้กับบุคคลระดับบุตรเทพสามเผ่า ท้ายที่สุดสยบฝ่ายตรงข้ามได้ในคราเดียว พลังปราณเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง โดดเด่นอย่างยิ่ง
ไม่เพียงแค่หนิวทุนเทียนและเมิ่งเหลียนชิง เวลานี้เอกบุคคลบางส่วนต่างเคลื่อนไหว อาทิเช่นบุตรเทพเผ่าโห่วเมฆาข่งซิ่ว บุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬเสวียนหลัวจื่อ
ในช่วงระยะนี้ บุคคลชั้นยอดเหล่านี้ต่างต่อสู้ในแดนลับอสูรมารอริยะไม่หยุดหย่อน ตีฝ่าชนะศึกและสร้างชื่อเสียงโดดเด่น ดุจดั่งสุริยันกลางนภา แต่ละคนโชติช่วงชัชวาล บุตรเทพทั่วไปมิอาจเทียบ
และขณะนี้พวกเขาแทบจะเคลื่อนไหวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เห็นชัดว่าต้องการชิงวาสนายิ่งใหญ่ครานี้ตั้งแต่ช่วงแรก!
“ไป!”
เซียวหรันเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน พวกซูซิงเฟิงต่างเร่งตามขึ้นไป
เพียงแต่เมื่อหลินสวินกำลังจะเคลื่อนไหว กลับถูกเจ้าคางคกสื่อจิตเรียกรั้งไว้ ‘วาสนามอบให้แค่ผู้มีวาสนา ยังจำที่ข้าบอกเมื่อครู่ได้ไหม สิ่งที่ลาหัวโล้นบำเพ็ญธรรมพวกนั้นเน้นหนักที่สุดก็คือวาสนา ผู้ที่ลงมือเคลื่อนไหวเป็นคนแรก ใช่ว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด’
หลินสวินชะงักงัน ‘เจ้าหมายความว่าให้รออีกหน่อย?’
‘ข้าสามารถอ่านอักษรปริศนามหายานได้ บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งล้วนหลงเหลืออักษรปริศนาเช่นนี้ รอหลังไตร่ตรองพวกมันทีละอันค่อยกระทำการก็ไม่สาย’
เจ้าคางคกสื่อจิตอย่างลับๆ ล่อๆ ในน้ำเสียงดูตื่นเต้น ‘ข้ามีลางสังหรณ์ แท่นบูชาเหลือตัวอักษรไว้ ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ เจ้าอยากจะลองดูหรือไม่’
‘นี่…’
หลินสวินเองก็ไหวหวั่น ดูลังเลอยู่บ้าง
“ทำไมไม่ไป”
บนแท่นบูชา ซูซิงเฟิงคิ้วขมวดเอ่ยถาม
“พวกเจ้าไปก่อน ข้ากังวลอันตรายอยู่บ้าง จะรออีกหน่อย”
หลินสวินกล่าวอธิบายคำหนึ่ง
“คนอย่างเจ้ารู้สึกกลัวเป็นด้วยรึ”
มุมปากซูซิงเฟิงปรากฏแววปรามาส
“ช่างเถอะ พวกเรานำหน้าไปก่อน”
เซียวหรันหันกลับมองหลินสวินอย่างลุ่มลึกวูบหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก เดินไปยังบานประตูตรงแท่นบูชาก่อน
“พวกเจ้าต้องทำเวลาด้วยล่ะ อย่าให้ถ่วงรั้งโอกาสในการช่วงชิงวาสนาเพราะดำเนินการช้าเกินไป ถึงตอนนั้นไม่มียารักษาอาการเสียใจภายหลังหรอกนะ!”
ซูซิงเฟิงแค่นเสียงกล่าวประโยคหนึ่ง ก่อนตามหลังเซียวหรันไปพร้อมกับคนอื่น
“นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน”
จ้าวจิ่งเซวียนอดไม่ได้ที่จะซักถาม
หลินสวินอธิบายเล็กน้อย จ้าวจิ่งเซวียนใคร่ครวญครู่หนึ่งทันที ท้ายที่สุดนัยน์ตากระจ่างฉายแววเด็ดเดี่ยววูบหนึ่ง ก่อนเลือกจะอยู่ต่อ
บนยอดเขาเวลานี้ บุคคลชั้นยอดแต่ละเผ่าต่างทำการเคลื่อนไหว ก้าวสู่บานประตูบนแท่นบูชา เดินตามรุ้งศักดิ์สิทธิ์ มุ่งหน้าสู่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ซึ่งลอยเด่นอยู่กลางอากาศ
เพียงแต่เมื่อพวกเขาก้าวย่ำลงบนรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป ประหนึ่งดาวเคลื่อนดาราคล้อย กาลเวลาเปลี่ยนผัน ร่างกายของพวกเขากำลังหดเล็กลง ในที่สุดเมื่อเข้าใกล้ดอกบัวนั้นก็เปลี่ยนไปราวผงธุลี แทบมองไม่เห็นเงาร่าง
ผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่ยังอยู่บนยอดเขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง!
“เล็กจ้อยซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่! นี่มันมหาอภินิหารในตำนาน วิวัฒน์เป็นพลังแห่งกาลเวลาอันว่างเปล่า หนึ่งกลีบหนึ่งดอก ล้วนสามารถแบกรับโลกทั้งใบ ทำให้ทุกสรรพสิ่งแปรเปลี่ยนต่างออกไป!”
มีคนร้องเสียงหลง
เพียงแต่นี่กลับไม่ทำให้ทุกคนตระหนกถอยร่น ตรงกันข้ามยิ่งทำให้พวกเขาแย่งกันพุ่งเข้าบานประตูมากกว่าเดิม
ในที่สุดพวกเขาจึงเข้าใจในเวลานี้ ว่าอย่าได้มองว่าดอกบัวกลางอากาศนั่นขนาดแค่ปากชาม แท้จริงแล้วทุกสรรพสิ่ง ณ ที่นั้นล้วนเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ เสมือนความเล็กจ้อยที่ซ่อนแฝงความยิ่งใหญ่เอาไว้ ซ่อนสถานที่แห่งวาสนาอันกว้างใหญ่ไพศาล!
เงาร่างผู้แข็งแกร่งซึ่งพุ่งออกไปก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นหดเล็กลงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพราะพื้นที่ที่พวกเขาอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์อย่างหนึ่ง!
วิธีอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่บุคคลระดับอริยมรรคเท่านั้นที่ครอบครองได้
กระทั่งเมื่อแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งบนยอดเขาว่างเปล่าไร้เงาผู้คน เจ้าคางคกที่ร้อนรนทนไม่ไหวอยู่นานแล้วเผยยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์เหลือประมาณ ก่อนนำหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนออกเคลื่อนไหว แสวงหาอักษรปริศนามหายานด้วยกัน
…………………
[1] ลาหัวโล้น เป็นคำด่าหรือล้อเลียนพระภิกษุ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น