Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 584-585
ตอนที่ 584 ภาพน่าตื่นตา
โดย
ProjectZyphon
ในเตาหลอม ร่างของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งปลั่งผุดผ่อง เกศางามราวธารน้ำตกลู่ลงมา นางหันหลังให้หลินสวิน เผยแผ่นหลังขาวสะอาดละเอียดลออ ไหล่ตรงราวดาบ แขนงามราวหมอกหิมะ คอเรียวระหงขาวผุดผาดน่าดึงดูด
เพียงแผ่นหลังที่เผยออกมาเท่านั้น ก็น่าดึงดูดหาใดเทียบ
ก่อนหน้านี้จ้าวจิ่งเซวียนแต่งกายเป็นชายมาโดยตลอด รูปลักษณ์งดงามเกลี้ยงเกลา ท่วงท่าสง่างาม แต่นางในตอนนี้ผมยาวสยาย ไหล่งามเปล่าเปลือย ภาพชดช้อยเช่นนั้นย่อมมีพลังสั่นสะท้านเป็นพิเศษ
หลินสวินในชั่วขณะนี้อดตื่นตะลึงไม่ได้ พลันเคลื่อนสายตาแสร้งวางเฉย แท้จริงในในยังคงตื่นตาอยู่
“ชิ! ไม่ให้ข้าดู แต่เจ้าหนูอย่างเจ้ามองจนน้ำลายหกแล้ว หน้าไม่อาย หน้าไม่อายจริงๆ ช่างเป็นเดรัจฉานในคราบมนุษย์เสียจริง!”
เจ้าคางคกที่อยู่ข้างๆ ฉวยโอกาสโจมตีอย่างไม่เกรงใจ
หลินสวินพลันเปลี่ยนจากอายเป็นโกรธ สายตาพุ่งไปที่เจ้าคางคกแล้วเอ่ยว่า “คุณชายอย่างข้าเลวร้ายอย่างที่เจ้าว่าเช่นนั้นหรือ ถ้าเจ้ายังว่าร้ายผู้อื่นอีก ข้าจะปลิดชีพเจ้าก่อนเลย!”
เจ้าคางคกกลอกตา เอ่ยอย่างดูถูกว่า “อะไรเล่า ถูกเปิดโปงใบหน้าแท้จริงที่ไร้ยางอายของเจ้า ก็เลยคิดจะฆ่าคนปิดปากหรือ”
ยามทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกัน จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ในเตาหลอมก็ใบหน้าแดงแจ๋ ดวงตาสุกใสมีแววอายแกมรำคาญ นางกัดริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง สายตาชำเลืองไปเห็นทั้งสองคนหันหลังให้ตน ก็รีบทำเวลาลุกออกจากเตาหลอมจะสวมเสื้อผ้า
แต่ที่เลวร้ายก็คือ ในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินก็หันหน้ามา แล้วแจกแจงอย่างรวดเร็วว่า “แม่นางจ้าว เจ้าอย่าไปฟังเจ้าคางคกลายนี่…อึก!”
ยังไม่ทันพูดจบเขาก็อึ้งอยู่เช่นนั้น ด้วยเห็นเงาร่างชดช้อยราวปทุมโผล่พ้นน้ำก้าวออกมาจากเตาหลอม สองขาของนางราวหยกมันแพะ เรียวยาวดึงดูดใจหาใดเทียบ เอวบอบบางนั้นมีแสงเรืองกระจ่าง มองลงไปอีกกลับมี…ที่กลมกลึงโค้งเว้าน่าตื่นตา
“เจ้า!”
ทันใดนั้นเสียงเอ็ดราวสายฟ้าฟาดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาทของหลินสวิน น่าตกใจจนเขาแข็งทื่อไปทั้งตัว รีบเบนสายตาหนี
ขณะเดียวกันในใจก็เต้นโครมคราม ภาพที่ชำเลืองเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อครู่ช่างน่าตื่นตะลึง หากเปลี่ยนเป็นบุรุษทั่วไปสักคนก็คงตื่นเต้นจนเลือดลมสูบฉีด
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับขนหัวลุก ในใจไม่ได้จินตนาการ ด้วยรับรู้ได้ว่ามีจิตสังหารที่เย็นเยียบหาใดเทียบพุ่งเป้ามาทางตน ไม่ต้องคาดเดา ต้องเป็นจ้าวจิ่งเซวียนแน่
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูมีมหาเคราะห์มาถึงตัวแล้ว!”
เจ้าคางคกส่งสายตายินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น ลิงโลดยิ่งนัก
“เจ้าหุบปากไปเลย!”
หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนตวาดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ฝ่ายแรกเดิมอายกลายเป็นโกรธ ฝ่ายหลังกลับสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง
เวลานี้จ้าวจิ่งเซวียนเปลี่ยนเป็นชุดสีม่วง บดบังร่างชดช้อยสูงโปร่งนั้นแล้ว แต่เกศางดงามดำขลับยังไม่ได้เกล้าเป็นมวยจึงตกลงมา รับกับใบหน้างดงาม ผิวพรรณเปล่งปลั่งขาวกระจ่างของนาง เพิ่มเสน่ห์เพริดแพร้วที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีขึ้นมา
“เอ่อ เมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
หลินสวินอธิบายอย่างเขินอาย เขาฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ก็ชำระจิตใจตนให้พ้นจากกิเลสมาโดยตลอด ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ได้พบภาพงดงามยั่วยวนใจเช่นนี้ ในใจนอกจากตื่นตะลึงแล้วยังอดกลัวไม่ได้
“ข้าว่าเจ้าจงใจ!”
เจ้าคางคกโยยิ่งถือโอกาสใส่ไฟ ทำเอาหลินสวินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยากจะฆ่าเจ้าคางคกนี่ทั้งเป็นแล้ว
เวลานี้อารมณ์ของจ้าวจิ่งเซวียนก็ซับซ้อนอยู่บ้าง นางสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา ไม่ต้องยึดติดกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ เรื่องนี้ภายหลังไม่ต้องยกขึ้นมาอีกแล้ว”
เห็นชัดว่านางแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย วาจานี้พูดออกมาอย่างอึดอัดนัก
หลินสวินกลับรู้สึกโล่งอก พูดพลางยิ้มว่า “เช่นนี้ก็ดียิ่งแล้ว!”
ไม่คิดเลยว่าเสียงพูดยังไม่ทันเงียบไป เขาก็ถูกจ้าวจิ่งเซวียนมองอย่างกินเลือดกินเนื้อ นางริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ฟันงามราวหยก เวลานี้ดวงตากระจ่างใสถลึงขึ้น มีแววอับอายและโมโหเลือนราง ท่าทางงดงามในอีกแบบหนึ่ง
มองจนหลินสวินก็ทนไม่ได้นัก ก่อนหน้านี้จ้าวจิ่งเซวียนแต่งกายเป็นชาย บุคลิกสง่าปราดเปรียว นิสัยตรงไปตรงมา ทำให้แม้หลินสวินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้มีความคิดไปในทางอื่น
แต่จ้าวจิ่งเซวียนในเวลานี้ต่างจากแต่ก่อน มีท่าทางของอิสตรี ใบหน้างามน่าตื่นตาเกินธรรมดา เพริศพริ้งราวภาพวาด ประหนึ่งยอดหญิงงามแห่งยุคที่ตัดขาดจากโลกผู้หนึ่ง กอปรกับภาพน่าตื่นตาที่ชำเลืองเห็นโดยไม่ตั้งใจเมื่อครู่ ทำให้เมื่อหลินสวินเผชิญหน้ากับนางย่อมรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
เจ้าคางคกลูบคางพลางประเมินทั้งสองด้วยดวงตาสีทองเจิดจ้าปริบๆ แล้วพึมพำว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนออกจะแปลกประหลาด ในการต่อสู้ไม่กี่วันก่อน เพื่อช่วยหลินสวิน แม่หนูถึงกับไม่คิดเสียดายชีวิตแล้ว แต่ตอนนี้กลับอยากจะฆ่าเขาให้ตาย ชอบกลเสียจริง”
พูดถึงตรงนี้เขาเหมือนรู้แจ้งแล้ว ตบหน้าผากแล้วพูดว่า “หรือนี่ก็คือทั้งรักทั้งแค้นที่เขาว่ากัน”
มุมปากหลินสวินกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง เจ้าคางคกถูกเขาถีบเข้าดังปึ้กจนกระเด็นออกไป
จ้าวจิ่งเซวียนวิจารณ์ออกมาประโยคหนึ่ง “ลูกถีบนี้ไม่เลวนี่ สาแก่ใจนัก”
หลินสวินพูดพลางหัวเราะ “กำจัดเภทภัยให้ปวงชนเป็นเกียรติที่ข้าละทิ้งไม่ได้”
เจ้าคางคกนั่งยองอยู่มุมกำแพงอย่างเดือดดาล กัดฟันกรอดแล้วหลุดปากด่าทอว่า “เป็นผีเน่ากับโลงผุที่ช่างเออออส่งเสริมกันเสียจริง ถือว่าข้ามองโฉมหน้าน่าเกลียดของพวกเจ้าออก…”
ไม่ทันพูดจบจ้าวจิ่งเซวียนก็ทนไม่ได้แล้ว พุ่งต่อยเจ้าคางคกอย่างรุนแรงยกหนึ่ง เวลานี้ถึงค่อยรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ยิ้มพลางถามว่า “เจ้าหมอนี่เจ้าไปหามาจากไหนกัน ดูท่าชอบหาเรื่อง”
หลินสวินมองเจ้าคางคกที่หน้าตาคล้ำเขียว ร้องโอดโอยลอดไรฟันอยู่กับพื้นก็อดหัวเราะร่าไม่ได้
จ้าวจิ่งเซวียนเมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ยิ้มละไมออกมา
มีเพียงเจ้าคางคกเท่านั้นที่แทบน้ำตานองหน้า ในใจลอบสาบานว่าต้องแยกชายหญิงบ้าความรุนแรงที่พากันเออออส่งเสริมกันคู่นี้ออกจากกันให้ได้ หาไม่ชีวิตของเขาในภายภาคหน้าต้องมืดมนแน่แล้ว!
……
ในการปิดด่านเก็บตัวคราวนี้ บาดแผลของจ้าวจิ่งเซวียนกับเจ้าคางคกสมานโดยสมบูรณ์ ทั้งมรรควิถียังต่างพัฒนาขึ้นด้วย
โดยเฉพาะจ้าวจิ่งเซวียน พลังปราณของนางถูกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันกดทับให้อยู่ที่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นมานานถึงสิบปีเต็ม เดิมทีตามพื้นฐานพลังของนาง สามารถโจมตีระดับกระบวนแปรจุติได้นานแล้ว!
ทว่าตอนนี้นางได้ผ่านความยากลำบากครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็ก้าวออกมาได้ก้าวหนึ่ง บรรลุระดับหยั่งสัจจะขั้นกลาง แม้เลื่อนขึ้นเพียงขั้นเล็กขั้นเดียว แต่ทำให้นางเกิดความเปลี่ยนแปลงราวเกิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
ตามการสันนิษฐานของนางเอง บุคคลระดับบุตรเทพทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแล้ว
นี่ทำให้หลินสวินพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ จ้าวจิ่งเซวียนก็เคยพูดว่าหากอาศัยกระถางสมบัติเก้ามังกร นางถึงกับมั่นใจว่าจะต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติได้
และตอนนี้ พลังปราณของนางบรรลุขึ้นไปอีก เชื่อว่าพลังต่อสู้ย่อมเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย!
นี่ดูน่ากลัวแล้ว ทำให้หลินสวินตกตะลึงไม่หยุด
“นี่มีอะไรเล่า พวกเจ้าไม่เคยเห็นคนร้ายกาจในยุคบรรพกาล นั่นถึงจะเรียกได้ว่าวิปริตอย่างแท้จริง บ้างถึงกับเพิ่งเกิดมาก็ก้าวเท้าเข้าสู่อริยมรรค ถูกขนานนามให้เป็น ‘อริยะโดยกำเนิด’!”
เจ้าคางคกพูดอย่างตื่นเต้น ชี้แนะเรื่องราวในใต้หล้า “เทียบกันแล้ว บุตรเทพกับธิดาเทพที่พวกเจ้ากล่าวกัน ในยุคนี้อาจจะยังเรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับผู้กล้า แต่หากอยู่ในยุคบรรพกาลแล้ว ความสามารถยังน้อยไป”
“โม้ให้มันน้อยหน่อย!”
หลินสวินตบเข้าที่ท้ายทอยเจ้าคางคกเสียงดังเผียะ ทำให้ฝ่ายหลังพลันบันดาลโทสะ ด่าทอสาปแช่งไม่ว่างเว้น
“ข้าก็เคยได้ยินความน่ากลัวของยุคบรรพกาล ยอดฝีมือและสัตว์ประหลาดในตอนนั้นมากมายนับไม่ถ้วน บ้างยังเป็นร่างวิญญาณที่ฟ้าดินให้กำเนิดขึ้นมา ประหนึ่งลูกรักแห่งสวรรค์ ความแข็งแกร่งของรากฐานพลังยิ่งน่าเหลือเชื่อ”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดประโยคนี้ออกมา ทำให้เจ้าคางคกได้ใจขึ้นมาในทันใด เอ่ยว่า “แม่หนูนี่มีความรู้ ตามที่ข้ารู้บรรพบุรุษของเผ่าวานรหกหู ก็ออกมาจากก้อนหินมหัศจรรย์ที่ฟ้าดินให้กำเนิดก้อนหนึ่ง ทันทีที่อุบัติขึ้นบนโลกา ก็มีญาณน่าตื่นตะลึง น่ากลัวถึงที่สุด”
พูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็กระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง สีหน้าหยิ่งผยองและอวดดี “ยังมีเผ่าคางคกทองสามขาของพวกข้า ก็เกิดจากการรับชะตาฟ้าดินเช่นกัน พูดถึงรากฐานพลังแล้ว พวกที่แข็งแกร่งกว่าพวกเราก็มีแค่นับนิ้วได้”
“คุยโวอีกแล้ว ข้าก็ไม่เห็นว่าพลังต่อสู้ของเจ้าจะแข็งแกร่งเท่าไรเลย”
หลินสวินพูดพลางใช้มือบีบที่ท้ายทอยของเจ้าคางคกอีก
เจ้าคางคกโกรธจนร้องเสียงดังว่า “หากไม่ใช่เพราะข้าสูญเสียความทรงจำของชาติก่อน คงขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งมหามรรค อยู่เหนือเหล่าทวยเทพไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว มีหรือจะถูกมนุษย์ใจดำไร้ยางอายอย่างเจ้ารังแกได้”
“เจ้าหมอนี่เป็นถึงทายาทคางคกทองสามขา ต้องยอดเยี่ยมนัก เผ่าพวกเขาในยุคบรรพกาลไม่ธรรมดาจริงๆ สามารถเรียกโชคลาภหลีกหนีภัยพิบัติ แยกแยะสรรพสิ่ง เป็นมงคลโดยกำเนิด”
จ้าวจิ่งเซวียนครุ่นคิด ในใจนางตกใจอยู่บ้างเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจินตู๋อีจะมาจากเผ่าคางคกทองสามขา
บนโลกยุคปัจจุบัน เผ่านี้ใกล้จะสูญพันธุ์ ในดินแดนรกร้างโบราณแทบจะหาร่องรอยไม่พบแล้ว
“สูงส่ง สูงส่งจริง แม่นางจ้าวผู้นี้ตาแหลมนัก” เจ้าคางคกชูนิ้วโป้งให้ “ข้างกายข้ากำลังขาดคู่ฝึกปราณผู้หนึ่งพอดี แม่นางจ้าวจ้าวจะพิจารณาหน่อย…”
เสียงตุ้บดังขึ้น เขาถูกหลินสวินชกกระเด็นด้วยหมัดเดียว
“คางคกลายยังหมายจะกินเนื้อหงส์ฟ้าหรือ” หลินสวินยิ้มหยัน
เจ้าคางคกสีหน้าแค้นเคือง ในใจโมโห รอเมื่อตนผงาด ต้องเก็บเจ้าบ้าหลินสวินนี่อย่างไร้ปรานีแน่!
ต่อมาพวกเขาก็พูดถึงการตามสังหารหลายวันก่อนหน้านี้ ทั้งพูดถึงมือสังหารที่ลอบสังหารหลินสวินติดต่อกันถึงสองครั้งคนนั้น
เมื่อได้รู้ว่ามือสังหารคนนั้นเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นหนึ่งในพวกเซียวหรันและกงหยางอวี่ เห็นได้ชัดว่าจ้าวจิ่งเซวียนก็อึ้งอยู่บ้าง ตกอยู่ในความเงียบงัน
ครู่ใหญ่ ดวงตาสุกใสของนางราววารี เอ่ยว่า “หากรู้ว่ามือสังหารเป็นใคร เจ้าคิดจะทำเช่นไร”
“กำจัดไม่ให้เป็นเภทภัยต่อไปในภายหลัง” หลินสวินตอบอย่างเรียบง่ายทั้งยังแน่วแน่
“ข้าจะช่วยเจ้า”
ที่เหนือความคาดหมายก็คือจ้าวจิ่งเซวียนไม่ลำบากใจสักนิด แสดงให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าจะร่วมช่วยหลินสวินลงมือ
“นี่ดูท่าไม่เหมาะ พวกเจ้าล้วนเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ มาฆ่ากันเองรังแต่จะทำให้สถานการณ์ของเจ้าไม่ดี ให้ข้าไปจัดการคนเดียวเถอะ”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าได้ไตร่ตรองแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มบางๆ ไม่อธิบายอะไรอีกแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตามที่ข้าสันนิษฐานไว้ ขอเพียงพวกเราไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงด้วยกัน อาจจะรู้ก็ได้ว่าใครเป็นมือสังหารตัวจริง”
“ภูเขาเทพหมอกม่วงหรือ”
“อืม ที่นั่นเป็นพื้นที่แห่งมรดกอสูรมารอริยะ วาสนายิ่งใหญ่ที่แท้จริงที่เก็บซ่อนไว้ในแดนลับแห่งนี้ก็จะอุบัติขึ้นที่นั่น หลายวันก่อนหน้านี้ บุคคลชั้นยอดของแต่ละเผ่าล้วนรอที่นั่นนานแล้ว”
“ก็ดี พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
ดวงตาสีดำของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ จิตต่อสู้พุ่งสูง
ในวันนั้นเอง พวกเขาสิ้นสุดการปิดด่านเก็บตัวด้วยกัน ออกจากเทือกเขานี้ เดินทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงอันลึกลับแห่งนั้นภายใต้การนำทางของจ้าวจิ่งเซวียน
——
ตอนที่ 585 แดนเผยแพร่อริยชน
โดย
ProjectZyphon
ทิวเขาสลับซับซ้อน ป่าโบราณสูงเฉียดฟ้า
แดนลับอสูรมารอริยะกว้างใหญ่ไพศาล เรียงรายไปด้วยภูมิทัศน์อย่างหนองน้ำ ทะเลทราย เทือกเขาและทะเลสาบ ประหนึ่งโลกใบน้อยที่ตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งหนึ่ง
พวกหลินสวินที่เดินทางผ่านมาตลอดทางล้วนรอบคอบระแวดระวัง
ที่นี่อันตรายยิ่งนัก มีสิ่งมีชีวิตและจิตสังหารที่ไม่อาจล่วงรู้ได้มากมายซุ่มซ่อนอยู่ ต้นไม้เก่าแก่ที่ดูไม่สะดุดตาบางต้นอาจแปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวตนหนึ่ง กลืนกินชีวิตที่ผ่านทาง
สัตว์ร้ายบางตัวสร้างรังในหินผา รังเจิดจ้าอวลไปด้วยรัศมีเทพ แสงสมบัติไหลเอ่อ ดูเหมือนเก็บสมบัติที่น่าดึงดูดยิ่งอยู่ แต่เมื่อเข้าใกล้ก็จะถูกสัตว์ร้ายลอบจู่โจม คิดจะรักษาชีวิตล้วนเป็นเรื่องยาก
ระหว่างทางยังเห็นนาคารูปลักษณ์เหมือนเถาวัลย์ใหญ่ยักษ์ เพราะร่างยาวเกินไปจึงไหลตกลงมาจากยอดเขา แผ่นเกล็ดเย็นเยียบ น่าหวาดหวั่นเมื่อได้พบเห็น
นอกจากนี้ยังมีแมงมุมสีม่วงที่มีรูปลักษณ์ดุร้ายน่าหวาดหวั่น ตะขาบหลากสียาวหนึ่งจั้งกว่า หนอนน่าพรั่นพรึงที่สูงเท่าคนผลุบโผล่อยู่ตลอด
สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นล้วนน่ากลัวถึงที่สุด อันตรายอย่างยิ่ง ทันทีที่เหยียบย่างเข้าอาณาเขตของพวกมันก็อาจจะประสบภัยพิบัติได้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็น ‘ผู้อาศัยเดิม’ ที่ดำรงสืบต่อมาในแดนลับแห่งนี้ โลกภายนอกแทบจะสาบสูญไปนานแล้ว และตอนนี้ยึดครองอาณาเขตแต่ละที่ในแดนลับ พาให้ผู้คนหวาดผวา
พวกหลินสวินเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวังตลอดทาง แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ ‘สิ่งมีชีวิตน่าหวาดผวา’ ตัวหนึ่งตกใจ
นั่นคือผีเสื้อตัวหนึ่ง ขนาดตัวเท่าใบพัด ปีกทั้งสองปล่อยแสงหลากสีสัน นัยน์ตาสีเขียวมันวาวประหนึ่งไฟวิญญาณแผดเผา
มันดูเหมือนไม่ดุร้าย ถึงกับมีท่วงท่างดงามประหลาด แต่กลับอันตรายอย่างยิ่งยวด น่าหวาดหวั่นกว่าสิ่งมีชีวิตที่เคยพบเห็นก่อนหน้านั้นเสียอีก
หากไม่ใช่ว่าเจ้าคางคกดูสถานการณ์รวดเร็ว ตอบโต้ว่องไว หลบหนีออกจากอาณาเขตนี้อย่างแข็งขัน ไม่แน่ว่าอาจจะประสบเคราะห์เสียชีวิตได้
นี่ทำให้พวกเขาล้วนสงสัยว่า บางทีผีเสื้อประหลาดตัวนั้นอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสังสารวัฏตนหนึ่ง!
ตูม!
ผีเสื้อที่อยู่ไกลออกไปถูกทำให้ตกใจตื่นแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ยอมให้พวกหลินสวินหนีไปได้ ปีกทั้งสองพัดโบกเบาๆ กระพือเป็นพายุหลากสีลูกหนึ่ง!
แสงเทพหลากสีโชติช่วง แปรสภาพเป็นพายุม้วนกลืนฟ้าดินเสียงดังโครมคราม ทุกที่ที่พัดผ่าน คีรีสลายกลายเป็นฝุ่น ผืนดินแหวกออกจากกัน ห้วงอากาศร้องโหยหวนยุ่งเหยิง สภาพการณ์น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก
มองไปไกลๆ เงาของผีเสื้อตัวนั้นดุจราชันที่ยืนตระหง่านกลางฟ้าดิน แสงหลากสีปกคลุมแน่นหนาทั้งร่าง ดูแล้วงดงามนัก แต่เมื่อยามกระพือปีกกลับก่อให้เกิดการทำลายล้างราวมลายฟ้าทลายดิน!
น่ากลัวเกินไปแล้ว
พวกหลินสวินเกือบประสบเคราะห์ โชคดีที่พวกเขาหลบหนีมาก่อนแล้ว
อีกทั้งเพราะผีเสื้อตัวนั้นสร้างพายุระลอกหนึ่ง จึงสร้างความตื่นตระหนกให้จิ้งจอกเขียวตัวหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กันด้วย มันพลันกระโดดออกมา ส่งเสียงคำรามอย่างไม่พอใจ
ปัง!
จิ้งจอกเขียวแข็งแรงกำยำ พลังปราดเปรียวราวเซียน ปากพ่นลำแสงกระจ่างดุจจันทราออกมา ประหนึ่งเก้าชั้นฟ้าตกสู่ธารดารา พุ่งไปม้วนกลืนผีเสื้อที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้น บริเวณนั้นปะทุการต่อสู้ดุเดือดขึ้น แรงกำลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน น่ากลัวไม่มีที่สิ้นสุด
“นี่ต้องเป็นพญาอสูรมารระดับราชันสังสารวัฏทั้งสองตนแน่!”
เจ้าคางคกสูดหายใจยะเยือก
“รีบไป!”
หลินสวินยังสนใจสังเกตการณ์เสียที่ไหน เคลื่อนกายพุ่งไปไกลออกไปเต็มกำลัง
เหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เขานึกถึงพญาเผิงปีกทองและเอกพญางูที่ได้พบในส่วนลึกของทะเลทรายขึ้นมา ทั้งสองตนก็น่ากลัวเช่นนี้เหมือนกัน
“แดนลับอสูรมารอริยะนี้อันตรายเกินไปแล้ว พญาอสูรมารน่ากลัวเห็นได้ทั่วทุกแห่ง หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ใครจะเชื่อลง”
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนล้วนรู้สึกว่าแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก ที่มาที่ไปไม่อาจคาดเดาได้ ต้องไม่ได้เรียบง่ายเพียงเป็นพื้นที่แห่งมรดกของอสูรมารอริยะแน่
“ข้ายังเคยเห็นเกาะอริยะปัญจธาตุ…”
หลินสวินเล่าประสบการณ์บางส่วนให้จ้าวจิ่งเซวียนฟัง ร่วมสืบเสาะกับอีกฝ่าย
“ก่อนไปภูเขาเทพหมอกม่วงข้าก็เคยเห็นแดนแห่งวาสนาหลายแห่ง ล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายอริยะ ทำนองเดียวกับเกาะอริยะปัญจธาตุ เพียงแต่แดนแห่งวาสนาเหล่านั้นถูกเผ่าอื่นยึดครองไปนานแล้ว ไม่อาจรู้ได้ว่าภายในเก็บซ่อนอะไรไว้กันแน่”
เมื่อจ้าวจิ่งเซวียนพูดออกมาเช่นนี้ ทำให้หลินสวินอดจิตใจสั่นระรัวไม่ได้ ที่แท้ในแดนลับอสูรมารอริยะแหล่งนี้ ยังมีแดนแห่งวาสนาแบบเดียวกับเกาะอริยะปัญจธาตุอีกไม่น้อย!
“ไม่ต้องเดาแล้ว ข้าพอจะรู้แล้วว่าที่นี่คือที่ใด”
ฉับพลันเจ้าคางคกสีหน้าฮึกเหิม นัยน์ตาสีทองเจิดจ้า เอ่ยว่า “ที่นี่ก็คือแดนเผยแพร่อริยชน! เป็นอาศรมฝึกปราณที่บรรดาอริยะเตรียมไว้ให้ทายาทของพวกเขา หวังใจสักวันเมื่อลูกหลานถือกำเนิด จะสามารถก้าวล้ำอดีตและสร้างปาฏิหาริย์ใหม่ได้!”
เสียงเร้าใจเจือไปด้วยความตื่นเต้น “อลังการ! อลังการอย่างที่สุด หากข้าเดาถูก ผู้สรรสร้างแดนลับแห่งนี้ ต้องไม่ใช่คนคนเดียว แต่เป็นราชันแห่งอริยมรรคผู้หนึ่งนำหมู่อริยะมาร่วมมือกันบุกเบิก! หาไม่แล้ว ย่อมไม่สามารถดำรงอยู่ตั้งแต่ยุคบรรพกาลล่วงเลยมาถึงปัจจุบันได้แน่”
“สวรรค์ นี่เป็นถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล เป็นพื้นที่ต้องห้ามและน่ากลัวขนาดไหน แต่พวกเขากลับบุกเบิกแดนลับที่นี่ได้ ต้องการช่วงชิงมหาศุภโชคครั้งหนึ่งให้ลูกหลาน อลังการเช่นนี้ช่างน่าตื่นตะลึงเหนือโลกา!”
หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนสบตากัน ในใจก็ลอบตะลึงพรึงเพริดไม่ว่างเว้น
ในยุคบรรพกาล ราชันอริยมรรคผู้หนึ่งนำหมู่อริยะมุ่งหน้าเข้าสู่ภายในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ บุกเบิกแดนลับ สร้างอาศรม ล้วนเตรียมการเพื่อลูกหลาน หวังว่ายามพวกเขาตื่นขึ้นจะสามารถก้าวล้ำอดีต สร้างปาฏิหาริย์ใหม่…
หากเรื่องนี้เป็นความจริง นั่นย่อมน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
เหตุใดพวกเขาต้องทำเช่นนี้
หรือว่าจะคาดการณ์อะไรได้ ถึงตั้งมั่นว่าจะจัดแจงให้ลูกหลานของตน ไม่ต้องการให้ลูกหลานเหล่านี้ซ้ำรอยเดิมกับพวกเขาหรือ
ยิ่งคิดโดยละเอียดก็ยิ่งน่าสะท้านขวัญ อริยะยุคบรรพกาล น่าหวาดหวั่นคับฟ้าขนาดไหน แต่ขนาดพวกเขายังเหมือนกับประสบปัญหาที่รับมือยาก ต้องเริ่มเตรียมลู่ทางใหม่ให้ลูกหลานของตน นี่ก็น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว
“ยังจำ ‘คุณชายน้อย’ ผู้นั้นที่เจ้าเคยพูดถึงได้ไหม เขาต้องเป็นลูกหลานของอริยะผู้หนึ่งแน่ เจ้าชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวเขามา เมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นต้องไม่ปล่อยเจ้าแน่ ลูกหลานของอริยะเชียวนะ พวกนั้นต้องล้วนเป็นปีศาจน้อยที่ไม่ธรรมดา พลิกฟ้าหาใดเทียบ!”
เจ้าคางคกพูดถึงตรงนี้ก็มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นบ้างแล้ว ท่าทางคึกคักอยากดูเรื่องสนุกอย่างยิ่ง
“อ้อ”
หลินสวินเลิกคิ้ว ยิ้มเย็นพูดว่า “ข้ารอให้เขามาหาข้าจะแย่ ข้าจะได้ชิงคัมภีร์อริยมรรคส่วนสุดท้ายมา”
“เจ้าไม่กลัวหรือ” เจ้าคางคกถลึงตา
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” หลินสวินตบเข้าที่ท้ายทอยของเจ้าคางคก ตีจนฝ่ายหลังแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด โมโหไปครู่หนึ่ง
“ถ้าพูดเช่นนี้ สิ่งที่ซ่อนอยู่บนภูเขาเทพหมอกม่วงนั่น อาจจะเป็นแดนแห่งวาสนาที่ราชันอริยมรรคผู้หนึ่งทิ้งไว้หรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยปาก ดวงตาสดใสเต็มไปด้วยแววประหลาด
“ต้องเป็นเช่นนี้แน่” เจ้าคางคกพยักหน้า “ทว่าพวกเจ้าต้องระวังตัวยิ่งแล้ว ไม่แน่ว่าลูกหลานของราชันอริยะผู้นั้นก็หลับใหลอยู่ภายใน ที่มาของบุคคลชั้นนี้ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น พวกเจ้ายื่นมือไปหาวาสนาที่นั่น ต้องยิ่งอันตรายแน่!”
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าว่ายอมทิ้งวาสนานี้ไปเสียดีกว่า”
จ้าวจิ่งเซวียนพึมพำว่า “อย่างไรเสีย เมื่อเข้าไปพัวพันกับลูกหลานของราชันอริยะผู้หนึ่งแล้ว ผลลัพธ์ก็ต้องรุนแรงมากแน่”
หลินสวินยังไม่ทันเอ่ยปาก เจ้าคางคกกลับชิงกังวลก่อนแล้วร้องว่า “อย่านะ มาก็มาแล้ว จะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร ลูกหลานของราชันอริยะบ้าบออะไรกัน ข้าก็เพียงสันนิษฐานไปมั่วๆ มาคิดเป็นจริงไม่ได้ พวกเจ้าอย่ากลัวจนถอยสิ”
หลินสวินพลันหัวเราะ เจ้าคางคกบ้าจอมละโมบนี่ เพื่อวาสนา อะไรก็ไม่สนจริงๆ
“ข้าจริงจังนะ รู้ไหมว่าแดนเผยแพร่อริยชนคืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือแปดคำนี้ ‘สืบทอดวิชา ไม่มีดับสูญ’ เหล่าอริยะพวกนี้จะเฉิดฉายปานใดก็ล้วนตายไปตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว วาสนาที่เหลือทิ้งไว้จะให้ลูกหลานของพวกเขาครอบครองอยู่กลุ่มเดียวได้ที่ไหน”
เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าลุ่มลึก “วาสนาที่ว่าฟ้าลิขิต หากวาสนาเช่นนั้นถูกพวกเราชิงมาไว้ในมือได้ก่อน เช่นนั้นก็เป็นการพิสูจน์ว่าวาสนาไม่ใช่ของของลูกหลานเหล่านั้นก็เท่านั้น”
ดูเอาเถิด เจ้าคางคกนี่หมายมั่นปั้นมือจะช่วงชิงวาสนาแล้ว
หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนพากันบื้อใบ้
แต่พูดตามจริง ให้พวกเขาละทิ้งวาสนาแล้วจากไปเช่นนี้ ในใจย่อมไม่พอใจเช่นกัน ไม่ว่าจะคาดเดาอย่างไร ไปดูความจริงให้เห็นกับตาแล้วค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย
……
หลังจากตัดสินใจแล้วพวกเขาก็เดินหน้าต่อ แดนลับแห่งนี้มีโอสถวิญญาณ วัตถุดิบวิญญาณ แร่ธาตุหายากนานาชนิดกระจายอยู่มากมายยิ่งนัก หากอยู่ในโลกภายนอกล้วนเป็นสมบัติที่แทบสาบสูญ ราคาสูงลิ่วจนน่าตระหนก
ตลอดทางที่พวกหลินสวินเดินทางก็เก็บของดีได้ไม่น้อย
แน่นอนว่าเมื่อพบเจอพื้นที่อันตรายหาใดเปรียบบางที่ พวกเขาก็ยังรีบหนีออกมา ไม่กล้าเข้าใกล้เสี่ยงภัย
กระทั่งจวนจะเข้าใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วงลูกนั้น ในแหวนเก็บของของหลินสวินก็มีโอสถวิญญาณเป็นกอง ส่งกลิ่นหอมหาใดเทียม วัตถุดิบวิญญาณสุมเป็นเนิน แสงสมบัติอบอวล อีกทั้งยังมีแร่ธาตุและของล้ำค่าต่างๆ ไม่อาจประเมินราคาได้
หากไม่ใช่ว่าแดนลับนี้อันตรายและไม่เป็นที่ล่วงรู้เกินไป หลินสวินก็อยากจะอยู่ฝึกปราณที่นี่ต่อไป
ตลอดทางจ้าวจิ่งเซวียนกับเจ้าคางคกก็ต่างได้ทรัพย์ไปเหมือนกัน ทั้งสองคนทอดถอนใจยิ่ง แดนลับแห่งนี้ก็เหมือนคลังสมบัติธรรมชาติคลังหนึ่ง เป็นสวรรค์ของการฝึกปราณ เสียดายที่อันตรายเกินไป ทันทีที่ไม่ระวังก็จะสิ้นชีพวายปราณได้
ไม่นานนักภูเขายักษ์สีม่วงลูกหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา มันสูงตระหง่านยิ่งใหญ่ถึงที่สุด พุ่งทะลุเหนือเวิ้งฟ้า ภูเขาทั้งลูกมีดวงไฟสีม่วงพวยพุ่งราวแสงเมฆาไหลหลั่ง ดูเก่าแก่เป็นอมตะ ยิ่งใหญ่ไพศาล
นี่ต้องเป็นดั่งคีรีเทพ ประหนึ่งร่องรอยแห่งเทวดา เพียงมองปราดเดียวก็พาให้ตกตะลึง ไม่อาจคาดคิดได้ว่ามันดำรงอยู่นานเพียงใดกันแน่
“ไอม่วงจากบูรพาทิศ แสงเทวาคลุมฟ้า เพลิงวิถีไม่มอดดับ ดำรงชั่วนิรันดร์!”
เจ้าคางคกแข็งทื่อไปทั้งร่างอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาสีทองทั้งสองโชติช่วง ท่วมท้นไปด้วยรังสีแห่งความตกตะลึง “ที่นี่บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์เหลือคณา ต้องมีวาสนายิ่งใหญ่ราวฟ้าเก็บไว้อยู่แน่”
“ไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลินสวินอดตระหนกไม่ได้เช่นกัน ภูเขาเทพหมอกม่วงนั้นอวลไปด้วยพลังสูงส่งเกรียงไกร พาให้เขากริ่งเกรง
“ไปเถอะ พวกเขารออยู่ที่นั่นนานแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนนำทาง เงาร่างเคลื่อนโฉบไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงที่อยู่ไกลออกไป นางเคยมาที่นี่ก่อนแล้ว
จนกระทั่งเวลานี้หลินสวินถึงพลันสังเกตได้ว่า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บริเวณใกล้เคียงมีเงาร่างของผู้แข็งแกร่งปรากฏขึ้นอย่างหนาแน่นก่อนแล้ว เป้าหมายล้วนเหมือนกัน พุ่งตะบึงไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงที่อยู่ไกลออกไป
วาสนานี้ยังไม่ทันอุบัติก็ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจมากมายขนาดนี้ เห็นได้ว่ายามวาสนานี้อุบัติขึ้นจริง บนภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ต้องเกิดความวุ่นวายคับฟ้าขึ้นครั้งหนึ่งแน่ การแก่งแย่งและสังหารกันก็ต้องไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น