Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 577-583
ตอนที่ 577 ควันหลงหลังสงคราม
โดย
ProjectZyphon
เสียงดังกึกก้อง เสามังกรจตุลักษณ์เปล่งแสงเจิดจรัสออกมา พันธนาการธิดาเทพหลินหลางเอาไว้ในพริบตา
สมบัติชุดนี้ก็เป็นสมบัติโบราณเช่นกัน แม้การใช้งานจะดูเรียบง่าย ทว่ากลับเร้นลับอย่างยิ่ง สามารถแปลงเป็นเขตแดนมายา กักขังคู่ต่อสู้เอาไว้ในนั้นได้
แม้ว่าราชาระดับสังสารวัฏจะมาช่วยชีวิต ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาก็ยากจะสั่นคลอนได้!
ปัง!
อีกด้านหนึ่ง เกาทัณฑ์วิญญาณแล่นผ่านห้วงอากาศ ภายใต้พลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของหลินสวินนั้น ชั่วพริบตาพลันเจาะทะลุแผ่นหลังของอวี่เซียวเซิง ทำให้ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาระเบิดเป็นเสี่ยง เลือดเนื้อสาดกระเซ็น
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ลำพังแค่การโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอจะตายอนาถได้ ทว่าอวี่เซียวเซิงกลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดอาศัยแค่ร่างกายที่แหลกลาญแข็งขืนยันตัวเอาไว้และเผ่นหนีต่อไปได้!
ขณะที่หลินสวินเพิ่มเกาทัณฑ์หนึ่งดอก อีกฝ่ายก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว คราวนี้จึงตวัดสายตามองไปทางบุตรเทพเผ่าวานรนทีที่อยู่ไม่ไกล
ฝ่ายหลังหน้าซีดเผือด ในดวงตาเปี่ยมด้วยความหวาดผวา กล่าวพลางกัดฟันกรอด “บนกายข้ามียันต์กระดูกวิญญาณ เจ้าสังหารข้าไม่ตายหรอก ไม่สู้พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่าว่าอย่างไร”
เขากลัวแล้วจริงๆ เมื่อครู่บุตรเทพกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันปิดล้อม ยังถูกหลินสวินสังหารจนล้มไม่เป็นท่า พ่ายแพ้ยับเยิน
ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว ไหนเลยจะมีความมั่นใจไปประลองกับหลินสวินอีก
ไม่รอให้หลินสวินปริปาก เขายื่นแขนพลิกมือ บนฝ่ามือผุดกำไลเก็บของชิ้นหนึ่งพลางกล่าว “ในนี้คือโอสถวิญญาณและของมีค่าหายากส่วนหนึ่งที่ข้ารวบรวมได้หลังจากเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ ขอเพียงหนนี้เจ้าปล่อยข้าไป ของพวกนี้ล้วนยกให้เจ้าได้ทั้งสิ้น”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่พอ”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีสีหน้าขึงขัง แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้กล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงจะปล่อยข้าไป”
“ได้ยินว่าเผ่าวานรนทีของพวกเจ้าครอบครองมรดกโบราณที่เรียกว่า ‘กายทองหลอมไฟ’ หากสามารถส่งมอบออกมา บางทีอาจจะแลกกับชีวิตน้อยๆ นี้ได้”
เวลานี้เจ้าคางคกไม่รู้ว่าถลาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร นัยน์ตาสีทองคู่นั้นจับจ้องบุตรเทพเผ่าวานรนทีตาเป็นมัน มองเสียจนฝ่ายหลังเริ่มผวาในใจ
“ไม่ได้! นี่เป็นมรดกสูงสุดในเผ่าข้า ยอมตายเสียดีกว่าจะยกให้ผู้อื่น!”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีปฏิเสธโดยไม่ลังเลสักนิด
“เช่นนั้นก็มอบไม้กระดูกขาวในมือเจ้าด้ามนั้นออกมา อันนี้น่าจะพอได้อยู่กระมัง”
ดวงตาเจ้าคางคกชั่วร้ายเต็มกำลัง หน้าตาแลดูน้ำลายหก
บุตรเทพเผ่าวานรนทีโกรธจนหน้าเขียว บุคคลระดับบุตรเทพผู้สง่างามอย่างเขา มีหรือจะเคยกล้ำกลืนฝืนทนเยี่ยงนี้มาก่อน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถูกคนขู่กระโชกและปล้นทรัพย์เลย!
“นี่คือ ‘กระบองมรรคกระดูกศักดิ์สิทธิ์’ อาวุธบรรพบุรุษของเผ่าข้า และก็ไม่สามารถยกให้คนนอกได้เช่นเดียวกัน พูดอย่างไม่เกรงใจก็คือต่อให้ข้ายกมันให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่สามารถใช้งานได้อยู่ดี”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีปฏิเสธอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง
ทันใดนั้นเจ้าคางคกเริ่มจะหงุดหงิด “เจ้าลิงเฮงซวยนี่ไฉนจึงหัวรั้นเพียงนี้ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะฆ่าเจ้าก่อน จากนั้นค่อยกวาดสมบัติทั้งหมดในตัวของเจ้าจนเกลี้ยง”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีหัวเราะเย็นชา เขาไม่กลัวเจ้าคางคก คนเดียวที่หวาดกลัวคือหลินสวิน
“เอาอย่างนี้” เจ้าคางคกลูบปลายคาง ดวงตากลิ้งกลอกหมุนเคลื่อนไปมา กล่าวอย่างไม่แยแส “นอกจากมรดกและอาวุธบรรพบุรุษในมือเจ้า จงทิ้งสมบัติอื่นๆ ในตัวเจ้าเอาไว้ให้หมด ครั้งนี้ก็จะปล่อยเจ้าไป”
เดิมทีหลินสวินเตรียมจะสังหารแล้ว ทว่าพอได้ยินเจ้าคางคกกล่าวเช่นนี้ กลับตัดสินใจชมดูอยู่ข้างสนามไปพลางๆ ก่อน
คางคกตัวนี้เป็นถึงคางคกทองคำสามขา สามารถจำแนกของมีค่าทั้งปวง เขาจะต้องต้องตาสมบัติบางอย่างบนตัวของบุตรเทพเผ่าวานรนทีผู้นี้เป็นแน่!
“ได้!”
ครั้งนี้บุตรเทพเผ่าวานรนทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยังตกปากรับคำ ส่งมอบสมบัติบนตัวออกมา
“จะปล่อยเขาไปจริงๆ หรือ”
หลินสวินมุ่นคิ้ว บุตรเทพเผ่าวานรนทีจากไปแล้ว แต่หากไล่ตามสุดกำลังก็ยังสามารถตามทันอยู่
“เฮ้อ ปล่อยเขาไปเถิด”
ท่าทีเจ้าคางคกออกจะซับซ้อน ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยวาจา “บรรพบุรุษของเผ่าวานรนที อันที่จริงเป็นลูกหลานสายวานรหกหูในสมัยบรรพกาล ถึงจะบอกว่าทั้งเผ่าวานรนทีในปัจจุบันแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสายเลือดวานรหกหูตั้งนานแล้ว แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ยั่วโมโหพวกเขาเป็นดีที่สุด”
หลินสวินนิ่งงัน “เพราะเหตุใด”
เจ้าคางคกเคาะกบาลตนเอง กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “นึกไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่าสัญชาตญาณบอกข้า เผ่านี้น่าจะเกี่ยวโยงกับเคราะห์กรรมพลิกฟ้าอย่างหนึ่ง อย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาเป็นดีที่สุด มิเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสหายของพวกเขา จะต้องชักนำภัยมาถึงตัวอย่างแน่นอน”
เคราะห์กรรมพลิกฟ้า?
หลินสวินใคร่ครวญในใจ
จากนั้นเจ้าคางคกเริ่มนับทรัพย์หลังศึกที่รีดไถมาจากตัวของบุตรเทพเผ่าวานรนทีด้วยใบหน้าเบิกบานใจ ราวกับคนโลภในทรัพย์
ส่วนเงาร่างของหลินสวินกลับไหววูบ เข้าสู่เขตแดนมายาที่แปลงจากเสามังกรจตุลักษณ์
กลางเขตแดนมายา ธิดาเทพหลินหลางกำลังตะลีตะลานกระตุ้นระฆังสำริดสีเลือด โหมซัดโจมตี พยายามทะลวงเขตแดนมายาลง น่าเสียดายที่ต้องเสียแรงเปล่า
ครั้นหลินสวินปรากฏตัวก็ไม่ลังเลใดๆ ลงมือเต็มกำลังเริ่มต้นกำราบอีกฝ่าย
เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนี้ ยังเกลียดชังถึงขีดสุด!
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเกาะอริยะปัญจธาตุ ทั้งสองก็ผูกพยาบาทกันเนื่องด้วยคัมภีร์อริยมรรคเล่มหนึ่ง และในช่วงหลบหนีหลายวันมานี้ เขายังเกือบตายด้วยน้ำมือผู้หญิงคนนี้หลายต่อหลายครั้งอีกด้วย
ตอนนี้แม้แต่อาการบาดเจ็บสาหัสที่จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกประสบมา ผู้หญิงคนนี้ก็มีส่วน แล้วอย่างนี้หลินสวินจะไม่ชิงชังได้หรือ
กลางเขตแดนมายา เสียงร้องแหลมมาดร้ายหาใดเปรียบของธิดาเทพหลินหลางดังขึ้น เวลานี้นางทั้งตกใจทั้งโกรธแล้วจริงๆ ซ้ำยังมีความหวาดผวาที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างหนึ่งด้วย
ถึงขั้นส่งเสียงหลายครั้ง ต้องการเจรจากับหลินสวิน
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยพูดเลย โจมตีอย่างดุเดือด ไม่ปรานีแม้เพียงเศษเสี้ยว
ท้ายที่สุดธิดาเทพหลินหลางถูกสังหารตายคาที่ และถูกตัดหัวทิ้ง
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินจนปัญญาคือยันต์กระดูกวิญญาณในมือของอีกฝ่ายถูกเปิดใช้งาน รวบจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งของนางเคลื่อนออกไป แม้แต่เสามังกรจตุลักษณ์ก็ขวางไม่อยู่
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือระฆังสำริดสีเลือดใบนั้น ถึงขนาดไม่อาจถูกสยบและริบเอามาได้ อันตรธานหายไปกลางอากาศประหนึ่งมีจิตวิญญาณ
นี่ก็คือพลังของอาวุธบรรพบุรุษ ลึกลับไม่อาจหยั่งถึง ทำให้หลินสวินยังจนด้วยเกล้า
แต่เคราะห์ดีที่กายเนื้อของธิดาเทพหลินหลางถูกทำลาย สมบัติอื่นๆ ที่พกติดตัวย่อมไม่อาจถูกเคลื่อนย้ายออกไปได้
หลินสวินค้นเจอแหวนเก็บของวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภายในแสงสมบัติส่องประกาย มีโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณหลากชนิดดั่งเนินเขาลูกเล็ก ต่างเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าไม่อาจประเมินราคาได้ ทำให้ผู้คนละลานตา
แม้แต่หลินสวินยังอดทอดถอนใจไม่ได้ ดังคาด ทรัพยากรบนร่างบุคคลระดับบุตรเทพพวกนี้มีมากมายสมบูรณ์อย่างที่สุด
สุดท้ายสายตาของหลินสวินไปตกที่คัมภีร์อริยมรรคที่ขาดแหว่งเล่มหนึ่ง มันส่องแสงทองเป็นประกาย โปร่งใสเกลี้ยงเกลา คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายของอริยะลี้ลับ
มันเป็นอีกส่วนหนึ่งของคัมภีร์อริยมรรคนั่นเอง!
นี่เป็นการเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย รอภายหน้ามีโอกาสฉกฉวยคัมภีร์อริยมรรคอีกเสี้ยวในมือ ‘คุณชายน้อย’ บนเกาะอริยะปัญจธาตุมา ก็สามารถหยั่งรู้ปริศนาแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์อริยมรรคเล่มนี้ได้แล้ว!
ยามเก็บเสามังกรจตุลักษณ์และเดินออกมาจากเขตแดนมายานั้น หลินสวินก็มองเห็นเจ้าคางคกนั่งยองๆ อยู่บนพื้น กำลังแย้มยิ้มหน้าระรื่น ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงใบหูอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าสมบัติที่บุตรเทพเผ่าวานรนทีทิ้งเอาไว้เหล่านั้น ทำให้เจ้าคางคกกอบโกยได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนกัน
“เจ้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังมีแก่ใจคิดถึงสมบัติอยู่อีกหรือ”
หลินสวินอดถามไม่ได้
กลับเห็นว่าเจ้าคางคกกล่าวอย่างชอบธรรมน่าเกรงขาม “มหายุทธ์อย่างเราๆ หัวขาดได้ เลือดไหลได้ แต่สมบัติห้ามหล่นหาย!”
กล่าวพลางเขาก็ร้องโอ๊ยหนึ่งที ตะโกนแหกปากลั่นขึ้นมา ที่แท้เป็นอาการเจ็บบนร่างกำเริบ ทำให้เขาเริ่มจะฝืนทนไม่ไหวนั่นเอง
หลินสวินแทบจะกลอกตา เมื่อครู่ตอนที่รีดนาทาเร้นสมบัติก็ไม่เห็นเจ้าหมอนี่มีท่าทีเหมือนจะยืนหยัดไม่อยู่ ตอนนี้กลับมีเสมือนเจ็บหนักร้องโอดโอย เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่โลภทรัพย์มากแค่ไหน เพื่อสมบัติแล้ว ถึงขั้นลืมกระทั่งอาการบาดเจ็บไปสิ้น…
จิตวิญญาณโลภทรัพย์ที่ดื้อรั้นจนลืมตัวเช่นนี้ ทำให้หลินสวินไม่ยอมแพ้ไม่ได้แล้ว
สุดท้ายหลินสวินก็ให้เจ้าคางคกไปพักฟื้นในเจดีย์สมบัติไร้อักษรด้วย ส่วนเขากลับเงาร่างไหววูบ ตัดสินใจออกจากอาณาเขตนี้
ประสบการณ์ครั้งนี้ช่างน่าเขย่าขวัญจริงๆ หากไม่ใช่ได้รับ ‘เคล็ดวิชาตัดวิถี’ ในตอนท้าย ทำให้หลินสวินฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ป่านนี้ผลที่ตามมาคงไม่อาจจินตนาการได้
ถึงแม้ท้ายที่สุดจะมีชัยเหนือพวกอวี่เซียวเซิง หลินหลาง ทว่ากลับทำให้จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจไม่จดจ่อสมาธิต่อการรักษาอาการบาดเจ็บ ในช่วงสั้นๆ นี้กลัวแต่ว่าจะฟื้นตัวได้ยาก
นึกถึงทุกอย่างที่ประสบมาในช่วงหลายวันมานี้ ในใจหลินสวินก็มีความเคียดแค้นยากจะบรรยายได้
เขาเพิ่งจะก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีก็ถูกผู้แข็งแกร่งจากหลายเผ่าไล่ล่าสังหาร เกือบจะสิ้นชีพอยู่หลายครั้ง ในเมื่อตอนนี้ฟื้นคืนกลับมาได้ ก็ถึงเวลาคิดบัญชีนี้แล้ว!
……
ยามนี้พื้นที่ละแวกใกล้เคียงอึกทึกครึกโครมหาใดเปรียบ เหล่าผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน ยอดฝีมือจากเผ่าใหญ่ๆ แต่ละเผ่ารีบเร่งทยอยกันมา หมายจะโจมตีสังหารหลินสวิน ไขว่คว้าศุภโชค
ครึ่งเดือนมานี้ไม่ว่าจะเป็นในแดนลับอสูรมารอริยะหรือนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็ปั่นป่วนเป็นแถบ สายตาทั้งหมดล้วนพุ่งความสนใจมาที่การไล่ฆ่าหลินสวินในครั้งนี้ทั้งสิ้น
“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ช่างเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งจริงๆ ครึ่งเดือนมานี้ทั้งที่เขาถูกไล่ฆ่าจนแทบต้านไม่อยู่ แต่เขาก็ยังหนีได้ ไม่เคยถูกฆ่าตายสักที”
“เขาย่อมยืนหยัดไม่อยู่แล้วเป็นแน่ หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน ภายในไม่กี่วันนี้เขาต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ไม่เห็นหรือว่าบุตรเทพจำนวนมากต่างก็เร่งลงมือนำหน้า”
หลินสวินรอดตายจากการข้ามด่านเคราะห์อสนีหกรอบ ทั้งยังสังหารผู้แข็งแกร่งมากมายตายรายทาง ทำให้ผู้ฝึกปราณเผ่าต่างๆ รู้สึกหวั่นใจและสะทกสะท้าน ฉะนั้นไม่ว่าใครต่างก็ไม่คาดหวังให้เขามีชีวิตอยู่ต่อทั้งนั้น
ปีศาจระดับนี้หากผงาดขึ้นมา นั่นคงเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่งชัดๆ ภายหน้าคงไม่มีใครหยุดยั้งย่างก้าวที่เคลื่อนพลเข้าสู่มหามรรคแห่งมกุฎของเขาได้สักคน!
“ไป สำเร็จหรือล้มเหลวคงมาถึงในไม่ช้า ไปฆ่าเขาด้วยกัน!”
ไอสังหารของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าพวยพุ่ง ตามล่าเส้นทางการหลบหนีของหลินสวิน ไล่ตามมาตลอดทางและกำลังจะเข้าใกล้หนองน้ำผืนนั้นแล้ว
“ครั้งก่อนอีกนิดเดียวก็จะฆ่าเขาได้แล้วเชียว ครั้งนี้ต้องไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้อีกเด็ดขาด! กล้าสังหารคนในเผ่าวิญญาณสมุทรของข้า ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมขนนก นัยน์ตาสีครามกล่าวเสียงเย็นเยียบ เขาคือบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทร
“เหอะๆ ครั้งก่อนพวกเรารวมพลังกัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังปล่อยให้เขาหนีไปจนได้ ไม่พูดไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้เป็นบุคคลชั้นยอดคนหนึ่งจริงๆ”
ชายหนุ่มในชุดศึกสีเงินที่อยู่ด้านข้างหัวเราะอย่างเย็นชา เขาก็เป็นบุคคลระดับบุตรเทพคนหนึ่งเช่นเดียวกัน มาจากเผ่าแสงเงิน
ระหว่างสนทนา พวกเขาต่างเร่งฝีเท้าไล่ล่าหลินสวินตลอดทาง
ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างรู้ดี เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นบาดเจ็บสาหัสปางตาย เจียนจะเป็นตะเกียงไร้น้ำมันอยู่แล้ว สัตว์ปีศาจตัวหนึ่งยังสามารถเอาชีวิตเขาไปได้ เป็นจังหวะเหมาะจะสังหารเขาที่สุด
ไกลออกไปยังมีผู้แข็งแกร่งมากมายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ในมุมมองของพวกเขา หลินสวินเป็นลูกแกะรอวันถูกเชือดเรียบร้อยแล้ว ไม่พอให้เป็นกังวล สิ่งที่ต้องกังวลจริงๆ ก็คือใครจะฉกฉวยวาสนาบนตัวของหลินสวินได้ก่อนกันแน่
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครต่างก็กำลังปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ยืดยาดกันทั้งนั้น
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ ในเวลานี้หลินสวินที่ทำได้เพียงนั่งนิ่งรอความตายในสายตาของพวกเขา ได้เปลี่ยนไปชนิดที่แตกต่างจากวันวานตั้งนานแล้ว…
——
ตอนที่ 578 เจตนาร้ายนานัปการ
โดย
ProjectZyphon
ในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล อวี่เซียวเซิงหนีอุตลุด ร่างกายเขากลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ทว่าเนื่องจากบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป ทำให้สีหน้าของเขาซีดเซียวหาที่เปรียบมิได้
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเผ่ามนุษย์สมควรตาย สักวันข้าจะแก้แค้นล้างความอัปยศด้วยตัวเอง!”
อวี่เซียวเซิงกัดฟันกรอด นับตั้งแต่ฝึกปราณจนถึงป่านนี้ เขาไหนเลยจะเคยได้รับความสูญเสียใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน ยามที่ถูกเกาทัณฑ์วิญญาณดอกนั้นของหลินสวินแทงทะลุร่าง เขาเกือบคิดว่าตัวเองจะมอดม้วยด้วยซ้ำ!
มานึกถึงตอนนี้ยังทำให้ในใจเขามีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่ และยิ่งเคียดแค้นหลินสวินมากขึ้น
“หืม?”
ทันใดนั้นอวี่เซี่ยวเซิงสังเกตเห็นว่าบริเวณยอดเขาไกลออกไปมีเงาร่างมากมายก่ายกองปรากฏขึ้น เห็นชัดว่าไม่ใช่ขุมกำลังเดียวกัน แต่มาจากกลุ่มเผ่าที่ต่างกันไป
ไม่นานนักอวี่เซี่ยวเซิงก็ตระหนักว่าพวกนี้ล้วนเป็นขุมกำลังที่ไล่ล่าหลินสวิน สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขากระตุก มุมปากผุดรอยยิ้มเย็นชา
เขาไม่ได้กระโตกกระตาก แต่รุดหน้าตามไปอย่างเงียบๆ
‘เจ้าพวกนี้ช่างโง่เสียจริง หากให้พวกเขารู้ว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ซ้ำยังเปลี่ยนเป็นแกร่งกล้าหาที่เปรียบมิได้ ก็ไม่รู้จะคิดอย่างไร…’
ทันใดนั้นความขุ่นเคืองบิดเบี้ยวในใจอวี่เซียวเซิงพลันผุดขึ้น ‘เผ่าวาฬมังกรของข้าล้วนถูกเจ้าหนุ่มนั่นฆ่าจนเกือบราบเป็นหน้ากลอง ก็ควรให้สารเลวอย่างพวกเจ้าได้ลิ้มรสความทุกข์เสียบ้าง!’
“ไอ้โง่! ไปทางนั้น ข้าเพิ่งเห็นเจ้าเหลือเดนเผ่ามนุษย์คนนั้นโผล่มา”
ฉับพลันมีเสียงตะโกนดังลั่นมาแต่ไกล เป็นบุตรเทพของเผ่ากวางหยกนั่นเอง เขากำลังชี้ทางให้กับผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้อวี่เซียวเซิงอดนิ่งงันไม่ได้ ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาทันใด เจ้าหมอนี่หน้าเนื้อใจเสืออย่างเห็นได้ชัด เจตนาอาฆาตมาดร้าย ไม่เอ่ยเตือนว่าหลินสวินแข็งแกร่ขึ้นแล้ว ยังยืมมือผู้อื่น อาศัยคมดาบสังหารคน!
‘เจ้าหมอนี่โหดเหี้ยมกว่าข้าเสียอีก’ อวี่เซียวเซิงยิ้มเยาะ
เขาลอบแฝงตัวต่อไป ตามอยู่รั้งท้าย
ไม่นานนักอวี่เซียวเซิงก็พบคนคุ้นเคยหลายคน อันได้แก่บุตรเทพเผ่าคชามาร ธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์ รวมถึงบุตรเทพเผ่าวานรนที
พวกเขาแต่ละคนล้วนมีเจตนาร้าย ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หลินสวินกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง เห็นชัดว่าวางแผนจะเป็นผู้ชมข้างสนาม มองดูผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นตายไปด้วยสายตาเยียบเย็น
‘ฮ่าๆ น่าสนุกมากขึ้นทุกทีแล้วสิ’
อวี่เซียวเซิงหัวเราะเยาะ ขณะนี้กลางใจของเขาผุดความสุขสมปานได้แก้แค้นขึ้นมา กระทั่งรอให้หลินสวินสำแดงพลังยิ่งใหญ่ล้างบางผู้แข็งแกร่งของเผ่าอื่นแทบไม่ไหวแล้ว
……
ขณะที่เจียนจะเข้าใกล้บริเวณหนองน้ำผืนนั้น สภาพแวดล้อมพลันดูคึกคักขึ้นทันที ผู้แข็งแกร่งของขุมกำลังแต่ละเผ่าต่างค้นพบร่องรอย แย่งกันทะยานไปยังหนองน้ำผืนนั้น หมายจะหาหลินสวินให้พบเป็นคนแรก
“ที่นี่เคยเกิดศึกใหญ่ขึ้น ไปรายงานด่วน เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นต้องอยู่ละแวกนี้เป็นแน่!”
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างปิติยินดีอย่างมาก เมื่อค้นพบร่องรอยการต่อสู้บางส่วนแล้วจึงส่งสัญญาณออกไป เรียกระดมคนในเผ่าของตน
ชั่วขณะหนึ่งพื้นที่แถบนี้พลันมีแสงเคลื่อนไหวดั่งสายฝน แสงสมบัติร่ายรำ ครวญคร่ำดุจดาวตกจรัสจ้าดวงแล้วดวงเล่า ดูโกลาหลผิดปกติ
ที่นี่ประหนึ่งถูกกำหนดให้ต้องวุ่นวายครั้งใหญ่!
“อยู่ตรงนั้น!”
มีผู้ฝึกปราณตาแหลมค้นพบเงาร่างของหลินสวินเข้า ทันใดนั้นสีหน้าพลันฉายแววตื่นเต้น เพราะนี่หมายถึงมหาศุภโชคอย่างหนึ่ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะช่วงชิงคัมภีร์อริยมรรคที่แท้จริงมาได้!
หลังจากการไล่สังหารสิบกว่าวัน ในสายตาของพวกเขาหลินสวินได้กลายเป็นตะเกียงไร้น้ำมันไปนานแล้ว ก็เหมือนเสือถอดเขี้ยว ไม่น่ากริ่งเกรงอีกต่อไป พร้อมจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อ
ยิ่งไปกว่านั้นในบริเวณนี้มีคราบเลือดมากมาย ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ทึกทักเอาว่านี่เป็นสัญญาณว่าหลินสวินเสียเลือดมากเกินไป อีกไม่นานก็ยื้อชีวิตไว้ไม่อยู่
มีเพียงอวี่เซียวเซิงที่มีสีหน้าประหลาด ในใจยังหลงเหลือความอดอั้ดหดหู่ ทั้งยังรู้สึกว่าเหลวไหลน่าขันสิ้นดี รอยเลือดพวกนั้นมีหรือจะเป็นของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น เห็นได้ว่ามันไหลมาจากบุคคลระดับบุตรเทพอย่างพวกเขาต่างหาก!
ไม่นานผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็แยกกันอย่างรวดเร็ว ปิดผนึกล้อมพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้ เลี่ยงไม่ให้หลินสวินหลบหนีได้อีก
และขุมกำลังอย่างบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทร บุตรเทพเผ่าแสงเงินต่างก็พุ่งเข้ามาแต่แรก หมายจะใช้กำลังยื่นมือเข้าแทรกการต่อสู้นี้ แบ่งปันผลประโยชน์
“ฮ่าๆๆ ไอ้หนู ดูซิครั้งนี้เจ้าจะหนีไปไหน!”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรหัวเราะขึ้นมาทันที สายตาเย่อหยิ่งถือดีอย่างยิ่ง คล้ายกับจ้องเหยื่อตัวหนึ่ง เปี่ยมด้วยกลิ่นอายโหดร้ายลำพอง
คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย หลินสวินยืนโง่เง่าอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีเรี่ยวแรงหลบหนีแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้ว่าโอกาสแห่งการเก็บเกี่ยวกำลังจะมาถึงแล้ว
ผู้แข็งแกร่งบางส่วนนอกจากหัวเราะเยาะแล้วยังเคียดแค้นอยู่มาก เนื่องจากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหลินสวินฆ่าคนในเผ่าของพวกเขาไปไม่น้อย สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกอัปยศอดสู
หลินสวินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับตัว สวมอาภรณ์ขาดรุ่ยเปื้อนเลือด เก็บงำกลิ่นอายรอบตัว มองจากภายนอกไม่มีทางพบเงื่อนงำอะไรเลย
ในเวลานี้เขามองไปที่ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่รุดหน้ามาไม่หยุด ในใจกลับกำลังคิดคำนวณว่าควรจะลงมือเมื่อไรดี
ทันใดนั้นหลินสวินก็ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อค้นพบร่องรอยของพวกอวี่เซียวเซิง บุตรเทพเผ่ากวางหยก ธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์พวกนั้น
เพียงแต่เจ้าพวกนี้เร้นกายอยู่ในระยะไกล เก็บงำตัวตนอย่างถึงที่สุด ไม่กล้าเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
‘หรือว่าพวกเขาไม่ได้เตือนเรื่องของข้า’
มุมปากหลินสวินผุดเส้นโค้งพิกลที่ไม่ยากสังเกตเห็น เข้าใจความคิดของพวกเขาทันใด
หลินสวินก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เจ้าพวกนี้แต่ละคนก็ดูเป็นผู้เป็นคน ไม่คิดเลยว่าจะโหดเหี้ยมและอำมหิตขนาดนี้
‘ดูท่า พวกเจ้าคงเตรียมตัวมาตายกันไว้แล้ว’
หลินสวินคิดเช่นนี้ในใจ ปากเอ่ยวาจาราบเรียบ “เป็นเช่นนี้ก็ดี ประหยัดเวลาข้าไปตามคิดบัญชีกับพวกเจ้าทีละคน”
ทุกคนต่างอึ้งงัน เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปแล้วกระมัง ดูเหมือนรู้แล้วว่ายากจะหนีภัยพิบัติครั้งนี้ได้ ภายใต้สถานการณ์จนตรอกไร้หนทางจึงเป็นบ้าสติฟั่นเฟือน มิเช่นนั้นเหตุใดถึงพูดถ้อยคำเหลวไหลปานนี้ได้
“เฮอะ! ทำท่าทำทางเข้า ต่อให้เจ้าจงใจแสร้งทำเป็นสงบนิ่งก็ไร้ประโยชน์ ครั้งนี้จะพูดอะไรก็ไม่มีทางมอบโอกาสให้เจ้าหลบหนีได้อีกแน่!”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆ เจ้าหมอนี่ตลกเสียจริง ป่านนี้แล้วยังเสแสร้งอะไรอีก คิดจริงๆ หรือว่าพวกเราไม่รู้ว่าเจ้ามันเป็นตะเกียงไร้น้ำมันแล้ว”
ผู้แข็งแกร่งมากมายพลอยหัวเราะหยัน สายตาเปี่ยมด้วยความเยาะเย้ยและเวทนา
อวี่เซียวเซิงที่อยู่ห่างไปมุมปากกระตุกรุนแรง แววตาฉายความเวทนาออกมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน เจ้าพวกนี้… โง่จริงๆ!
“พวกเจ้ามากันหมดแล้ว เหตุใดไม่ลงมือ หรือจะเหมือนข้าที่กำลังรอทุกคนมาครบก่อนค่อยเริ่มการต่อสู้?”
หลินสวินสีหน้าประหลาดใจ
ท่าทางนี้ของเขาทำให้ผู้คนมากมายหัวเราะทันใด คนที่จะตายอยู่รอมร่อคนหนึ่งยังกล้าดูแคลนพวกเขาเช่นนี้ ช่างน่าหัวร่อถึงที่สุดจริงๆ
ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งรั้งรอไม่ไหว รีบพุ่งไปข้างหน้าทันที เพียงแต่ระหว่างทางกลับถูกผู้แข็งแกร่งอีกกลุ่มขัดขวาง ระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้ง ต่างก็คิดจะฆ่าหลินสวินเป็นคนแรก ช่วงชิงศุภโชคบนตัวของเขากันทั้งนั้น
“สหายเผ่าวิญญาณสมุทร พวกเราพบเจ้ามารบาปนี่ก่อน ควรคำนึงถึงว่าใครมีสิทธิ์ลงมือก่อนสักหน่อยกระมัง”
ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นต่างสีหน้าอึมครึม
“เด็กนี่มีความแค้นกับเผ่าข้า หากจะสังหารเขาก็ต้องให้เผ่าข้าลงมือถึงจะถูก!”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ชั่วพริบตาบรรยากาศพลันคุกรุ่นตึงเครียด ทั้งสองฝั่งประจันหน้า ไม่มีใครยอมใคร พร้อมปะทะทุกเมื่อ
ในสายตาของพวกเขา หลินสวินเป็นเหมือนเนื้ออ้วนชิ้นหนึ่งที่ไม่มีพิษภัย ใครๆ ต่างก็หมายจะกินมันเข้าปากเป็นคนแรก ไม่ยอมให้คนอื่นมาร่วมวง
สีหน้าของอวี่เซียวเซิงเปลี่ยนเป็นพิสดารมากขึ้นเรื่อยๆ เขาชักจะข่มใจทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว คนงี่เง่าพวกนี้มองว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นเป็นเนื้อบนเขียงจริงๆ หรือ
หลินสวินก็อึ้งงันไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน สายตาเจือแววแปลกๆ เสี้ยวหนึ่ง
ภาพนี้มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมองเห็น พวกเขาพลันคิดไปว่าเป็นการยั่วยุและดูแคลนอย่างหนึ่ง
นั่นมันแววตาอะไรกัน
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกำลังเวทนาและเย้ยหยัน ไม่กริ่งเกรงหวาดหวั่นเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าจองหองและบ้าดีเดือดเกินไปแล้ว
“เจ้าเด็กเหลือขอ ยังแกล้งเสแสร้งอยู่อีก ข้าจะสับเจ้าทั้งเป็นก่อนเลย!”
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งตะโกนลั่น ขณะที่เอ่ยวาจาก็ก้าวไปกลางอากาศ เงื้อขวานมหึมาด้ามหนึ่งขึ้นและฟันสังหารไปทางหลินสวิน
“ไม่มีความอดทน ย่อมตายอย่างไม่เป็นธรรมยิ่งยวด”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงสายหนึ่งพุ่งวาบ ผู้แข็งแกร่งคนนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ ร่างของเขาก็ระเบิดแตกกลางอากาศ กลายเป็นฝนโลหิตโปรยปรายลงมา
อะไรกัน
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในที่นั้นตะลึงงัน เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่เป็นตะเกียงไร้น้ำมันไปแล้วหรือ ไฉนยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“อย่าไปกลัวเขา เจ้าเด็กนี่เป็นลูกธนูสุดแรงบินนานแล้ว ฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่เห็นอาการตอนที่ถูกไล่สังหารครั้งก่อนหรือ ร่างเจียนจะถูกซัดเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวเลย”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรเอ่ยเตือนอย่างเย็นชา
“ไม่คิดเลยว่าจะถูกเจ้ามองออก!”
หลินสวินแลดูประหลาดใจ
“ระยำ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่นี้จงใจ…”
ไกลออกไปอวี่เซี่ยวเซิงที่มองเห็นท่าทางประหลาดใจนั้นของหลินสวิน แทบอดใจไม่ไหวอยากพุ่งเข้าไปทุบใบหน้าน่าชิงชังนั้นของเขาให้แตกเป็นเสี่ยง นี่มันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
“หยุดพูดเหลวไหล ส่งศุภโชคในตัวออกมา แล้วจะให้เจ้าได้สบายสักหน!”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรตะโกนลั่น
“สบายไม่สบายอะไร ฆ่าเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ผู้แข็งแกร่งอีกกลุ่มรั้งรอไม่ไหว เริ่มต้นลงมือแล้ว ผู้ฝึกปราณที่เร่งรุดมามีมากขึ้นเรื่อยๆ จะล่าช้าไม่ได้แม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณสมุทรก็ไม่ยอมล้าหลัง ลงมืออย่างอุกอาจ แสงประกายเดือดพล่าน วิชาลับครอบคลุมอาณาเขต พุ่งไปปกคลุมอยู่เบื้องหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องส่งพวกเจ้าทั้งโขยงนี้ไปก่อน!”
ในเวลานี้หลินสวินเก็บรอยยิ้ม ทั่วสรรพางค์กายมีแสงเรืองรองเปล่งประกายเจิดจรัสสายหนึ่งพุ่งออกมา กลิ่นอายน่าหวาดกลัวถึงขีดสุดในพริบตา พาให้ผู้คนสะพรึงกลัว
จิตใจของทุกคนเต้นระส่ำ ขนพองสยองเกล้า นี่คือการตอบสนองโดยสัญชาตญาณเมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างหนึ่ง
“นี่มันอะไรกัน ไม่ใช่บอกว่าใกล้ตายแล้วหรือ ระยำ นี่มันตะเกียงไร้น้ำมันตรงไหน” ผู้แข็งแกร่งบางคนแผดร้อง
ตูม!
ท่วงทำนองมรรคล้อมกายหลินสวิน ประดุจดินแดนแห่งหนึ่ง ปลดปล่อยรัศมีพิสุทธิ์ ทั้งศักดิ์สิทธิ์และโดดเด่น
ปัง!
เพียงชั่วพริบตาผู้แข็งแกร่งที่พุ่งเข้ามาล้วนระเบิดออกร่างกระจุยกระจาย กลายเป็นฝนโลหิตภายใต้รัศมีท่วงทำนองมรรคอันน่ากลัว ไม่ได้เฉียดใกล้ก็ตายอย่างสยดสยองคาที่
ความเด็ดขาดไร้เทียมทานเช่นนี้สั่นสะท้านทั่วทั้งลานในทันใด ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างตกใจจนหนังศีรษะชาวูบ จิตหลุดวิญญาณกระเจิง ไม่กล้าเชื่อเลยสักนิด
รวมถึงวิชาลับและอาวุธวิญญาณที่ปกคลุมมือฟ้ามัวดินนั่น ทั้งหมดล้วนแหลกสลายกลายเป็นฝนแสงโปรยปรายหลากสีสัน
และในฝนแสงที่ลอยล่องนั้น หลินสวินย่างก้าวออกมา เงาร่างดั่งภาพมายา ชือน้ำแข็งตัวหนึ่งอยู่ใต้เท้า ให้ความรู้สึกทรงพลังถือดีอย่างไม่อาจอธิบายได้
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ขะขะเขา…ไม่ได้ใกล้ตายหรอกหรือ
ผู้คนมากมายตัวสั่นเทิ้ม ขนลุกซู่ ในใจหวาดกลัวถึงขีดสุด เผชิญหน้ากับอานุภาพไร้เทียมทานเช่นนี้ ควรจะต้านทานอย่างไรเล่า
“เร็ว รีบลงมือพร้อมกัน! เจ้าหมอนี่ไม่ได้แสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่มันแสร้งเป็นหมาป่าห่มหนังแกะมาตลอด!” ผู้แข็งแกร่งแต่ละทิศทางร้องคำราม ตาแทบถลน
จนกระทั่งเวลานี้ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่าติดกับเข้าให้แล้ว!
แต่กระนั้นมันก็สายไปแล้ว รอบกายหลินสวินลุกโชน ร่างจรผ่านห้วงอากาศมุ่งตรงไปเบื้องหน้า ชั่วพริบตาเท่านั้นก็โหมกระพือพายุคาวเลือดฉากหนึ่งขึ้น!
——
ตอนที่ 579 เหตุใดไม่ร้องแล้ว
โดย
ProjectZyphon
ชั่วอึดใจ พื้นที่บริเวณนี้มีเสียงร้องโหยหวนไม่ขาดสาย ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากไม่ทันตั้งตัวก็ถูกสังหารคาที่ ร่างแปรสภาพเป็นน้ำพุโลหิต ย้อมห้วงอากาศกลายเป็นสีแดงฉาน
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
นี่หมายจะเข่นฆ่าศัตรูทั้งหมดเพียงตัวคนเดียวชัดๆ!
ใช่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินสวินไม่ได้แสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง และไม่ได้กำลังวางท่า ถึงขนาดที่ว่าเขาไม่ได้ปิดบังเจตนาของตนเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
น่าขันที่พวกเขาเห็นหลินสวินเป็นชิ้นเนื้อบนเขียง ไม่มีภัยคุกคามมาโดยตลอด ยามหลินสวินสำแดงฤทธิ์เดชไร้ทัดเทียมนั่นออกมา พวกเขาพลันมึนงง ทั้งตกตะลึงและเดือดดาล
โครม!
หลินสวินเปิดเผยชัดแจ้ง พลังหมัดซัดสะเทือนทศทิศ อิทธิฤทธิ์เหิมฮึกไร้เทียมทาน ทุกที่ที่ล่วงผ่านฝนโลหิตกระเซ็นสาดห้อทะยานหาเทียบเทียมมิได้
สิบกว่าวันมานี้เขาถูกเจ้าพวกนี้ตามสังหารไล่หลังตลอดทางประดุจตัวอ่อนแมลงวันเกาะกระดูก เกือบพบกับเคราะห์ร้ายหลายต่อหลายครั้ง
มาตอนนี้หลินสวินฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ พลังการต่อสู้ก้าวสู่ปลายยอดในระดับเดียวกัน สามารถอวดศักดาต่อศัตรูทั้งปวงได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ปกปิดซ่อนเร้นอีกต่อไป
เขาเริ่มโต้กลับเพื่อระบายความเคียดแค้นในใจ
“ฆ่า!”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรแผดเสียงยาวพร้อมกับเรียกกระบี่วิญญาณสีครามออกมาเล่มหนึ่ง มันตีเกลียวม้วนเข้าปกคลุมหลินสวินดุจดั่งเลิกม่านผืนสมุทรขึ้นมา
เพียงแต่หลินสวินไม่มองสักนิด เงาร่างไหววูบหลบเลี่ยงการโจมตีครั้งนี้ และเมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็ไปไล่ฆ่าผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในเผ่าวิญญาณสมุทรทันที
เพียงชั่วครู่เท่านั้นก็มีผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณสมุทรสิบกว่าคนถูกปลิดชีพ หยาดโลหิตย้อมผืนปฐพีกว้างเป็นสีแดงฉานน่าสยดสยอง
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรตาแทบถลน โกรธจนเกือบจะคลุ้มคลั่ง
เขาถาโถมโจมตีอีก ทว่าจดปัญญาที่หลินสวินไม่ประจันหน้ากับเขาเลยแม้แต่น้อย เท้าเหยียบชือน้ำแข็งทะยานตัววูบไหวดุจภูตผีปีศาจ กระหน่ำสังหารคนในเผ่าของบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรอย่างต่อเนื่อง
“ขี้ขลาด! กล้าสู้กับข้าซึ่งหน้าหรือไม่!?”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรคำราม
หลินสวินไม่แยแสเขาแม้แต่น้อย ดุจดั่งไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด
กระทั่งต่อมาผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณสมุทรที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือสังเกตว่าท่าไม่ดีแล้ว พากันซ่อนตัวอยู่ข้างกายบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรอย่างตื่นตกใจ หลินสวินจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปพิฆาตผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในลานแทน
หลินสวินในเวลานี้แกร่งกล้าเกินไปจริงๆ ดุจดั่งคมดาบโหดเหี้ยมไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง กรีธาศึกทั่วลาน ตัดขวางอหังการ ไม่มีใครสามารถทำให้ดาบคมนั้นทื่อลงได้เลย
ชั่วขณะนั้นบริเวณนี้เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงคำรามกราดเกรี้ยว เสียงตะโกน ดังผสมผสานกับหยาดโลหิตสีแดงก่ำ ซากศพแหลกเละ กลายเป็นภาพนองเลือดที่ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนภาพหนึ่ง
นี่ไหนเลยจะเป็นการต่อสู้
เห็นชัดว่ามันคือการสังหารหมู่!
‘เจ้าหมอนี่… เจ้าหมอนี่เป็นปีศาจร้ายตนหนึ่งชัดๆ!’ อวี่เซียวเซิงที่ซ่อนตัวอยู่ไกลๆ เห็นเข้าก็ตกใจเนื้อกระตุก สูดหายใจเย็นเยียบ
ไม่เพียงแค่เขา แม้แต่บุคคลชั้นยอดอย่างพวกธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์ บุตรเทพเผ่ากวางหยก บุตรเทพเผ่าคชามารต่างก็หนาวเยือกในใจ ราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
แรกเริ่มเดิมทีพวกเขายังใคร่ครวญว่าจะฉวยโอกาสนี้ อาศัยตอนที่หลินสวินไม่ทันตั้งตัวลงมือกับเขาอีกครั้งหรือไม่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากทำเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่าไม่ต่างอะไรกับการทิ้งชีวิตเลย เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้โหดเหี้ยมเหลือล้นนัก!
“เดรัจฉาน! เจ้ากล้าโจมตีแต่ผู้อ่อนแอเท่านั้นหรือ”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรโกรธจนดวงตาสองข้างแทบลุกเป็นไฟ เพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น เผ่าวิญญาณสมุทรของพวกเขาก็มีผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งถูกฆ่าอีกครั้ง นี่จะไม่ทำให้เขาโกรธได้อย่างไร
สิ่งที่ทำให้เขาบ้าคลั่งมากที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินเอาแต่หลบเลี่ยงเขา ไม่เผชิญหน้ากับเขาซึ่งหน้าเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเขาโมโหแทบกระอักเลือด
เคยมีหรือที่เขาต้องทนกล้ำกลืนกับการเพิกเฉยเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาสักนิด!
“ใจเสาะ! ขี้ขลาด! ปอดแหก! ขายขี้หน้าเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าสิ้นดี พวกต่ำช้าพรรค์นี้อย่างเจ้า แม้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นได้แค่คนไร้ค่าที่รังแกเฉพาะคนไม่มีทางสู้เท่านั้น!”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรคำรามเสียงกร้าว
น่าเสียดาย หลินสวินยังคงเมินเขา พุ่งสังหารเข่นฆ่าเต็มกำลัง ไม่คิดจะปล่อยศัตรูคนใดไป เงาร่างไหววูบพลิ้วล่อง ดำเนินการสังหารหมู่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้
“อ๊าก…”
ท้ายที่สุดผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างเสียขวัญ ตระหนักว่าหลินสวินผงาดขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว หาใช่ตะเกียงไร้น้ำมันไม่ หากแต่หวนสู่พลังต่อสู้สูงสุดอีกครั้ง
กอปรกับเป็นสักขีพยานเห็นการสังหารหมู่ที่อำมหิตเลือดเย็นของหลินสวินกับตา ได้เห็นว่าผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าถูกเข่นฆ่าประหนึ่งของเปราะบางแตกหักง่าย ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้พวกเขาจิตหลุดวิญญาณกระเจิง ร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว พุ่งออกไปยังสี่ทิศแปดด้าน แตกตื่นไปทุกทิศทาง
เพราะพวกเขาล้วนถูกทำให้ตระหนกหวาดหวั่น สั่นเทิ้มหนาวเยือกไปทั้งตัว พลังอำนาจนั้นของหลินสวินไม่สามารถสกัดกั้นเอาไว้ได้สักนิด มีหรือพวกเขาจะยังกล้าต่อต้านอีก
“มากันหมดแล้ว ยังคิดจะจากไปอีกหรือ”
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบไม่ได้ดังกังวานแต่อย่างใด ทว่าเปี่ยมด้วยไอสังหารเย็นเยียบ พาให้บรรดาผู้แข็งแกร่งยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น
ตูม!
แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้น แพรวพราวดุจธารดารา เปล่งประกายถึงขีดสุดโดยมีหลินสวินเป็นจุดศูนย์กลาง ราวกับภูเขาไฟอันไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งชนและระเบิดออกมา
แสงศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงกลัวนั่นแผ่คลุมทั่วฟ้าดิน กวาดม้วนทั่วทศทิศ ปกคลุมบริเวณนี้เอาไว้สิ้น
ฉัวะๆๆ!
เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งสักกี่มากน้อยที่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์กวาดล้างกลายเป็นเศษเลือดชิ้นเนื้อกองหนึ่ง ตายในที่ต่างกันออกไป โลหิตไหลเป็นสายน้ำ ย้อมฟ้าดินเป็นสีแดงฉาน
ฉากนองเลือดอันโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้อวี่เซียวเซิงที่อยู่ห่างออกไปแทบกลั้นหายใจ เขาเองก็หนีไปโดยไม่ล่าช้าอีก
พร้อมกันนั้นบุคคลระดับชั้นยอดของเผ่ากวางหยก เผ่าคชามาร และเผ่ากาฬพฤกษ์ก็เลือกจะหลบเลี่ยงลำแสงนั้นชั่วคราว เคลื่อนตัวหนีไปไกล
การเป็นปฏิปักษ์กับหลินสวินในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลยจริงๆ
กลางลาน เขม่าควันลอยคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ การโจมตีเมื่อครู่อย่างน้อยก็คร่าชีวิตผู้แข็งแกร่งไปหลายสิบคน ส่วนตอนนี้เหลือเพียงแต่ผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนกระจัดกระจายอยู่เท่านั้น
นอกจากพวกเขาแล้ว บรรดาผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ บ้างก็เผ่นหนี บ้างก็นอนจมกองเลือด ซากศพกองสะสม กระดูกขาวพูนหนาประดุจแดนนรก
“นี่…”
สีหน้าบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรเปลี่ยนไป อึมครึมไหววูบ เขาเองก็ตื่นตระหนก ถูกกระตุ้นด้วยภาพนองเลือดเบื้องหน้านี้เช่นเดียวกัน จากที่เดือดดาลพลันได้สติขึ้นมา
และเป็นตอนนี้เองที่เขาเพิ่งจะตระหนักว่า เหตุที่ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เผชิญกับเขาซึ่งหน้า หาใช่ขลาดกลัว แต่เพราะหมายจะใช้ทุกช่วงเวลากระหน่ำสังหารผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นต่างหาก!
“ตอนนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ร้องแล้ว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินมองมา คมกริบประดุจสายฟ้า ทำเอาบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรมีความรู้สึกเหมือนถูกกรีดเฉือนอยู่กลายๆ
“เจ้าหยุดอาละวาดเสีย! ฆ่าผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงนี้แล้ว แม้ว่าสุดท้ายจะสามารถรอดชีวิตออกไปจากแดนลับอสูรมารอริยะได้แล้วมันจะอย่างไรเล่า”
บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เปล่งเสียงอย่างเย็นชา “คนใหญ่คนโตเหล่านั้นที่เฝ้ารออยู่โลกภายนอก ไม่มีวันปล่อยเพชฌฆาตที่สองมือเปื้อนเลือดอย่างเจ้าไปเป็นอันขาด!”
“นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง ไม่ลำบากให้เจ้าต้องเป็นห่วงหรอก ข้าต่างหากที่อยากถามว่า ทำไมเจ้าถึงไม่ร้องแล้ว”
การแสดงออกของหลินสวินสงบราบเรียบ คำพูดกลับคล้ายมีดเล่มหนึ่ง ถูกบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรมองว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง
“เจ้า…”
เขาหน้าเขียว อกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แค้นจนแทบจะขบฟันกรอด
“มาสิ เจ้าไม่ได้อยากสู้กับข้าหรือ ตอนนี้มีคนไม่มากแล้ว ประจวบเหมาะปลีกเวลาออกมาให้เราสองคนเล่นสนุกกันพอดี”
หลินสวินกล่าวพลางพุ่งไปเบื้องหน้า
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลินสวินคือ ขณะที่เขาเพิ่งจะขยับ บุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรผู้นั้นถึงขั้นเผ่นหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาเลย!
ทั้งยังบีบขยี้ยันต์เคลื่อนที่บางอย่าง ทำให้เขาอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา…
หลินสวินก็อดตกตะลึงไม่ได้ เจ้าหมอนี่เมื่อครู่แหกปากร้องอย่างเกรี้ยวกราดขนาดนั้น ยังคิดว่าหยิ่งผยองสักแค่ไหน ใครเลยจะคาดคิด ยังไม่ทันประมือกันกลับเผ่นหนีในทันทีเสียแล้ว!
ผู้แข็งแกร่งอีกสิบกว่าคนที่เหลืออยู่ต่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกไปนานแล้ว ครั้นเห็นว่าบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทรหนีไปโดยไม่สนศักดิ์ศรีเยี่ยงนี้ พวกเขาก็รู้สึกสิ้นหวังในทันที รู้สึกเหมือนสิ่งยึดเหนี่ยวในใจพังทลายลงกะทันหัน
หลินสวินไม่ได้ปรานี ซัดโจมตีออกไปอย่างเลือดเย็น ล้างบางพวกเขาทั้งหมด
หลังจากนั้นเขาไม่ปรายตามองแม้แต่ปราดเดียว ทั่วสรรพางค์กายรายล้อมด้วยแสงเรืองพิสุทธิ์เป็นประกาย สาวเท้ามุ่งไปข้างหน้า ไม่ได้ปกปิดร่องรอยดังเช่นก่อนหน้าอีกต่อไป
ถูกไล่ล่าสังหารนานขนาดนี้ เขาต้องเปิดฉากโต้กลับสักฉาด!
……
“หนีเร็ว!”
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกหัวระแหงที่หลินสวินผ่านล้วนเต็มไปด้วยเสียงแห่งการเผ่นหนีไม่คิดชีวิต ไม่อาจขัดขวางย่างก้าวของหลินสวินได้แม้แต่น้อย น่ากลัวเกินไปแล้ว
เขาเป็นเหมือนเทพมารตนหนึ่ง ย่างเหยียบย่ำเท้าบนภูเขาศพทะเลเลือด เพียงคนเดียวกลับไล่สังหารผู้กล้าแต่ละเผ่าจนแตกพ่ายหนีกระเจิง พ่ายแพ้ไม่ขาดสาย
นี่ก็ต้องสมน้ำหน้าที่พวกเขาดวงซวย ตอนแรกพวกเขาไล่ล่าสังหารตลอดทาง แสนจะฮึกเหิมและอวดศักดามากขนาดไหน
กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกหลินสวินสวนกลับทันควัน เริ่มเป็นฝ่ายตีโต้ล่าสังหารพวกเขาบ้าง ความไม่เที่ยงแห่งชีวิตนั้น พลันสะท้อนให้เห็นอย่างเต็มเปี่ยมในเวลานี้
กลุ่มผู้แข็งแกร่งปราชัยยับเยิน ต่างพากันหลบหนี ทิ้งซากกระดูกศพแล้วศพเล่าเอาไว้ ในยามปกติพวกเขาอวดศักดา ท่าทีสูงส่งยิ่งนัก ทว่าตอนนี้กลับเหมือนสุนัขจรจัด หวาดหวั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เห็นได้ชัดว่าหลินสวินไร้ปราณีมาก เขาเยือกเย็นแน่วแน่ ลุยดะไปตลอดทาง ก้าวย่างชือน้ำแข็งทำให้เขาครอบครองความเร็วหาที่เปรียบมิได้ ผู้แข็งแกร่งคนใดที่ถูกเขาเล็งเป้า แทบไม่มีใครรอดชีวิตไปได้สักคน
ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วยิ่งยวด ไม่นานทั่วทั้งแดนลับอสูรมารอริยะก็ฮือฮา ยามที่ได้รู้เรื่องทุกอย่างนี้ ผู้แข็งแกร่งทุกคนล้วนหวาดผวา นี่เป็นเทพมารหนุ่มที่โผล่มาจากที่ใดกัน เหตุใดถึงได้น่ากลัวเยี่ยงนี้
อยู่ในระดับเดียวกัน ทว่าเปรียบดั่งมกุฎราชัน กวาดล้างคู่ต่อสู้จากทุกทิศทาง เหี้ยมหาญหาที่เปรียบมิได้!
นี่ไม่อาจเอาชนะได้เลยสักนิด เว้นแต่จะมีคนที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาลงมือเท่านั้น มิเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถสั่นคลอนย่างก้าวของหลินสวินได้
“รีบไปเถอะ! ยังจะไล่ฆ่าอยู่อีกหรือ เจ้าบ้านี่ไม่รู้หรือว่าไอ้เด็กนั่นน่ากลัวขนาดไหน”
“เจ้าหมอนั่นมันราชาปีศาจชัดๆ ไม่อาจเทียบเทียมได้!”
“หากเขาเติบใหญ่เช่นนี้ต่อไปวันหน้าใครจะต้านเขาได้ ถ้าถึงตอนที่เขาก้าวสู่อริยมรรค กลัวแต่ว่าต้องสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้ากระมัง”
ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างกำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างไม่มีทางเลือก
ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่ไม่รู้เรื่องชัดแจ้งเห็นดังนี้ล้วนอึ้งงันตาค้าง โดยเฉพาะตอนที่รู้ถึงผลการรบนองเลือดของหลินสวินตลอดทาง ยิ่งตกใจจนต้องเบือนหน้าวิ่งหนี ไม่กล้ารั้งอยู่นานกว่านี้แม้แต่น้อย
แม้ว่าแดนลับอสูรมารอริยะจะน่ากลัว ทว่าขอเพียงระมัดระวังก็สามารถหลบเลี่ยงอันตรายที่เป็นเหมือนข้อห้ามมากมายได้ แต่หากบังเอิญเจอเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้เข้า นั่นเป็นการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง!
“เป็นไปไม่ได้ ผู้แข็งแกร่งเคลื่อนไหวตั้งมากมายขนาดนี้ เอาชนะเขาคนเดียวไม่ได้เลยหรือ”
และมีบางคนที่ไม่เชื่อ ไม่อาจทำใจเชื่อได้อย่างยิ่ง
แต่ไม่มีใครไปอธิบายอะไร ต่างยุ่งง่วนกับการหนีเอาตัวรอดทั้งนั้น ใครจะมีแก่ใจไปโต้แย้งอีก ยังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่เล่า
ในที่สุดตอนที่ฆ่าสังหารจนออกมาจากหมู่เขาแถบนี้ หลินสวินก็หยุดลง
เนื่องจากพื้นที่ส่วนอื่นยังไม่เป็นที่รู้จัก ซุกซ่อนอันตรายที่ไม่อาจหยั่งถึง ทำให้เขาก็ไม่กล้ากระทำการโดยประมาทเช่นเดียวกัน
เขายังไม่ลืมว่าพญาเผิงปีกทองและเอกพญางูที่เคยเจอในทะเลทรายเมื่อตอนนั้น ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวในแดนลับอสูรมารอริยะ!
ครั้งนี้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าได้รับความสูญเสียอย่างหนัก และไม่รู้ว่าถูกสังหารไปมากน้อยเท่าไร
ส่วนผู้แข็งแกร่งที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ ต่างก็มีความสุขใจที่รอดพ้นหายนะอย่างหนึ่ง การถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งกวาดล้างช่างเหมือนฝันร้ายตื่นหนึ่ง ทิ้งเงาทะมึนในใจของพวกเขาเอาไว้มากมาย
ในขณะเดียวกัน นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดมรสุมคับฟ้าฉากหนึ่งขึ้นเช่นเดียวกัน!
——
ตอนที่ 580 พบการลอบสังหารอีกครั้ง
โดย
ProjectZyphon
กลางทิวเขาคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด มีซากศพขาดวิ่นให้เห็นทุกหัวระแหง หยาดโลหิตย้อมพื้นดินเป็นสีแดง ดึงดูดสัตว์ร้ายที่ยึดครองพื้นที่ละแวกใกล้เคียงเข้ามาเป็นระยะ กลืนกินซากศพอย่างไร้ความปรานี
การต่อสู้ครั้งนี้มีผู้แข็งแกร่งตายไปเท่าใดกันแน่
ไม่อาจนับได้!
แต่การเข่นฆ่าแบบทำลายย่อยยับตลอดทางของหลินสวินนั้น กลับเป็นดั่งฝันร้ายซึ่งทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากล้วนจำขึ้นใจไม่ลืมเลือนไปชั่วชีวิต
“แย่แล้ว! เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นยังไม่ตาย ขะเขา… เขากำลังฆ่าผู้แข็งแกร่งจากทุกเผ่าอยู่!”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว เขาเป็นราชาปีศาจชัดๆ สองมือเปื้อนคาวเลือด ไม่อาจพิชิตชัยได้!”
นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ บนท้องทะเลอันตระการตา เสียงร้องที่โกรธเกรี้ยวและตื่นตระหนกดังก้องขึ้น
ชั่วขณะนั้นแต่ละเผ่าที่รออยู่ละแวกใกล้เคียงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากการข้ามด่านเคราะห์อสนี ทั้งที่ถูกไล่สังหารตลอดทางจนเกือบสิ้นท่าแล้วแท้ๆ เหตุใดผลลัพธ์ถึงพลิกผันไปเสียได้
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ถึงขั้นทำให้เขาสามารถลุยเดี่ยวขับเคี่ยวกับเหล่าผู้แข็งแกร่ง และโต้กลับอย่างทรงพลังแกร่งกล้าตลอดทาง
“พวกเด็กๆ เผ่าของข้าเหล่านั้น… ตายกันหมดแล้ว!?”
ทันใดนั้นมีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งคำรามอย่างดุร้าย ดวงตาแทบถลนเบ้า สุดท้ายถึงขั้นโกรธจนกระอักเลือดออกมา เกือบจะหมดสติไป
นี่คือบุคคลสำคัญแห่งเผ่าสิงห์โลหิต ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ เดิมทีก็ถูกทำลายราบคาบไปแล้ว เหลือแค่ธิดาเทพหลินหลางเพียงคนเดียวเท่านั้น
ใครเลยจะคาดคิด ครั้งนี้แม้แต่ธิดาเทพหลินหลางก็ประสบเคราะห์ เหลือเพียงจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายกลับมาเท่านั้น กระทั่งศุภโชคที่นางชิงมาจากเกาะอริยะปัญจธาตุก็ตกหล่นสูญหายไปสิ้น สิ่งนี้จะไม่ทำให้บุคคลสำคัญของเผ่าพวกเขาบันดาลโทสะได้อย่างไร
“น่าชังนัก! เจ้าเหลือเดินเผ่ามนุษย์คนนี้อาละวาดเกินไปแล้ว ไม่ว่าเขาเป็นใคร จะต้องไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตออกไปเป็นอันขาด!”
บุคคลสำคัญรุ่นอาวุโสอีกคนแผดเสียงคำราม แทบจะบ้าคลั่ง สถานการณ์ที่ทั้งเผ่าของพวกเขาพบเจอนั้น แทบจะไม่ต่างอะไรจากเผ่าสิงห์โลหิตเลย ถูกสังหารทำลายราบเช่นเดียวกัน
“อ๊าก สมควรตายนัก ข้าแทบอยากจะพุ่งเข้าแดนลับอสูรมารอริยะนั่น ไปทำลายล้างเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ไร้มโนธรรมคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด!”
“น่าชังนัก! เผ่าของข้าเคยต้องประสบกับความอัปยศอดสูถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เกือบถูกเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์คนหนึ่งล้างบาง ไม่อาจให้อภัยได้แล้ว!”
ณ ที่นั้น เสียงตะคอกคำราม เสียงตะโกนเดือดดาลดังอย่างต่อเนื่องเป็นระลอกสั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ขุมกำลังแต่ละเผ่าต่างมองหน้าสบสายตากัน ภายในใจหวาดผวาและงงงัน
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ไม่ถูกฆ่าตาย ตรงกันข้ามกลับกวาดล้างเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมด โหมกระพือพายุคาวเลือดเพียงลำพัง!
ครั้นข่าวนี้แพร่ออกมา ไม่ว่าใครต่างก็บันดาลโทสะ ทำให้ขุมกำลังแต่ละเผ่าในที่นั้นต่างอยู่ไม่สุข อึงคะนึงไม่สิ้น
ใครจะกล้าเชื่อ
เพิ่งจะบรรลุระดับหยั่งสัจจะก็น่ากลัวถึงเพียงนี้ แข็งกร้าวพลิกฟ้า สิ่งนี้จะให้ผู้ใดเชื่อถือได้ลงกันเล่า
ทว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
เนื่องจากในวันนั้น บนแท่นบูชาวิญญาณที่สร้างขึ้นโดยเผ่าต่างๆ แทบจะมีความเคลื่อนไหวทุกชั่วขณะ เคลื่อนย้ายจิตวิญญาณชุดแล้วชุดเล่าออกมา ล้วนเป็นคนสำคัญของแต่ละเผ่าที่ถูกหลินสวินสังหารด้วยตัวคนเดียวทั้งสิ้น!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามธิดาเทพหลินหลางปรากฏขึ้น ยิ่งเรียกความตื่นตะลึงไปทั่ว เพราะนั่นมีนัยว่าพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหลินสวินมีอานุภาพในการกำราบและสังหารบุคคลระดับบุตรเทพธิดาเทพแล้ว!
พื้นที่ทะเลแห่งนี้ไม่อาจสงบได้อีกต่อไป คนใหญ่คนโตแทบทั้งหมดโกรธจนเต้นเร่า และมีบางส่วนที่สงสัยระคนตกใจไม่คลายลองคาดเดา ทุกคนล้วนถูกพายุนองเลือดฉากนี้เขย่าขวัญ สับสนอลหม่านไปหมด
“เด็กนี่ก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีไร้เทียมทานหกรอบโดยไม่ตาย เรียกได้ว่าหาตัวจับยากนับแต่บรรพกาล ซ้ำตอนนี้ยังพลิกสถานการณ์จากที่บาดเจ็บเจียนตาย กลายเป็นเปิดฉากตอบโต้รุนแรง กวาดล้างสังหาร เขา… เกรงว่าอาจจะเหยียบอยู่บนมรรคาในตำนานแล้ว!”
มีอาวุโสบางคนคาดการณ์เช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ได้
“มรรคาแห่งมกุฎที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานบรรพกาลหรือ เป็นไปไม่ได้ มรรคาสายนี้ฝืนฟ้าตัดวิถี ไม่รู้ว่ามีผู้กล้าไร้เทียมทานตั้งเท่าไรต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำบนหนทางสายนี้ แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้นจะทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”
มีคนใหญ่คนโตหลายคนไม่เชื่อ
“แม้จะเป็นมรรคาแห่งมกุฎ แต่อย่างไรเสียเขาก็เพิ่งบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ ไม่มีทางครอบครองพลังต่อสู้ที่แข็งกร้าวขนาดนี้ ต้องมีอะไรแปลกๆ ในนี้เป็นแน่!”
ผู้อาวุโสส่วนหนึ่งสัมผัสถึงความผิดปกติได้อย่างเฉียบคม
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นโหดเหี้ยมเหลือล้น ประดุจมารบาปที่ไม่ยี่หระใต้หล้า ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับหยั่งสัจจะมานานส่วนหนึ่งล้วนถูกเขาสังหาร นี่เป็นการทำลายความรู้ความเข้าใจที่คุ้นเคยกันมาแต่โบราณ เห็นชัดว่าผิดประหลาดมากเกินไป
“สนใจไปไยว่าเขาก้าวสู่มรรคาอะไร ตัวหายนะที่สร้างความเคียดแค้นชิงชังพรรค์นี้ ต้องกำจัดให้สิ้นซาก!”
นี่คือความในใจของบุคคลสำคัญจำนวนมาก ผู้แข็งแกร่งในเผ่าของพวกเขาได้รับความสูญเสียหนักหนาสาหัสเกินไป นี่เป็นความอัปยศอดสู หนี้แค้นโลหิต ไหนเลยพวกเขาจะยอมปล่อยให้หลินสวินมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ในที่นั้นมีเพียงผู้เฒ่าเกาหยางเท่านั้นที่นิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เปล่งเสียงสักคำ
ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะในครั้งนี้ มีเพียงผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขาและผู้ติดตามส่วนหนึ่งเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่าเกาหยางมั่นใจมากว่า ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ ที่ก่อเรื่องจนเดือดร้อนไปทั่วคนนั้น จะต้องมาจากฝั่งของตนอย่างแน่นอน
กระนั้นในใจเขายังสงสัยยิ่งว่า ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ ผู้นี้คือผู้ติดตามที่มีนามว่าหลินเสวียนคนนั้น!
เพียงแต่เขาไม่กล้าปักใจเชื่อ เนื่องจากเขาเองก็ค่อนข้างงุนงงเช่นเดียวกัน พลังต่อสู้ของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นแข็งกร้าวและเย้ยฟ้าเกินไป ถ้าเป็นหลินเสวียนจริงๆ ก็เหลือเชื่อเกินไปแล้ว
อย่างไรเสียหลินเสวียนก็ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้องโบราณ เขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มจากจักรวรรดิจื่อเย่าผู้เติบโตขึ้นมาในโลกชั้นล่างที่แห้งแล้งคนหนึ่งเท่านั้น
เด็กหนุ่มเช่นนี้ จะมีพรสวรรค์และพลังที่พลิกฟ้าเยี่ยงนี้ได้หรือ กระทั่ง… เป็นไปได้ว่าจะก้าวลงบนมกุฎมรรคาอันแข็งแกร่งที่สุดด้วย
ไม่นานผู้เฒ่าเกาหยางก็ไม่อาจคิดมากได้อีกต่อไป เนื่องด้วยบุคคลสำคัญจำนวนมากต่างจ้องเขาด้วยความโกรธ หันปลายหอกพุ่งมาที่ตัวเขา ทยอยข่มขู่และซักไซ้ไล่เลียงที่มาของ ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ คนนี้
ถึงขั้นที่เผยจิตสังหารอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แสดงออกว่าจะไม่ปล่อยให้ ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ มีชีวิตรอดออกไปจากทะเลกลืนวิญญาณ
สิ่งนี้นอกจากทำให้ผู้เฒ่าเกาหยางปวดหัวแล้ว ในใจยังมีความภาคภูมิประหลาดอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มคนนี้ก็มาจากเผ่ามนุษย์ เขาตัวคนเดียวกลับสามารถกวาดล้างผู้แข็งแกร่งเผ่าใหญ่อื่นๆ นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากทีเดียว!
หากแพร่สู่ดินแดนรกร้างโบราณ ต้องถึงขั้นที่ทำให้ขุมกำลังสำคัญแต่ละแห่งของเผ่ามนุษย์ต่างแซ่ซ้องและภาคภูมิใจ!
ถึงอย่างไรดินแดนรกร้างโบราณก็เป็นดินแดนไพศาลที่หมื่นเผ่าพันธุ์ขับเคี่ยวกันเอง กำลังของเผ่ามนุษย์แม้จะแข็งแกร่ง แต่ท่ามกลางอิทธิพลหมื่นเผ่า กลับได้แต่ถูกมองว่าแสนธรรมดา เทียบกับเผ่าที่มีความเป็นมาน่ากลัวแล้วยังห่างชั้นอยู่มาก
‘ยังดี ยังมีเวลาสักพักกว่าแดนลับอสูรมารอริยะจะหายไป หวังแต่ว่าเด็กคนนั้นจะเพลาๆ ลงหน่อย อย่าได้ก่อเรื่องจนสร้างความโกรธเกรี้ยวไปทั่วอีก มิเช่นนั้น… ต่อให้ใช้ชื่อของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็กลัวแต่ว่าจะปกป้องเขาไว้ไม่ได้…’
ผู้เฒ่าเกาหยางพึมพำในใจ ในท่าทีเรียบเฉยนั้นแฝงความซับซ้อนอยู่ด้วย
……
แดนลับอสูรมารอริยะ
หลินสวินหยุดเท้าอยู่เบื้องหน้าเทือกเขาที่เปื้อนเลือดผืนนั้น ไม่ได้ไล่ล่าอีกต่อไป
แง่หนึ่งก็เพราะเวลานี้เขาเสียพลังกายมากเกินไป อีกแง่หนึ่งก็คือมีความหวาดเกรงอย่างลึกล้ำต่อพื้นที่ส่วนอื่นๆ
ที่นี่เป็นถึงแดนลับอสูรมารอริยะ เปี่ยมด้วยอันตรายและสิ่งที่ไม่ล่วงรู้มากมายเหลือคณา
เมื่อเทียบกันแล้วทิวเขาที่เปื้อนเลือดผืนนี้กลับค่อนข้างปลอดภัย ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากแล้ว
สุดท้าย หลินสวินหมุนกายกลับไปในเทือกเขานั้นอีกครั้ง
เขาเพิ่งจะเลื่อนระดับ กอปรกับเพิ่งสลายโซ่เคราะห์สวรรค์นั้นไปได้ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ก็คือการฝึกฝนให้ดีสักรอบ เพื่อเคี่ยวกรำและทำให้พลังปราณในระดับนี้มั่นคง
ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องตรึกตรองเกี่ยวกับมรรคาของตนขึ้นอีกหนึ่งก้าว ถึงอย่างไรเหตุสุดวิสัยและความปราชัยที่ประสบในการทะลวงระดับครั้งนี้ก็มีมากเกินไป เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายหน เขาจำต้องสงบจิตใจเพื่อแสวงหามรรคาของตน
สวบ!
ทุกหย่อมหญ้าในเทือกเขารกชัฏ เงาร่างหลินสวินไหววูบ กำลังมองหาสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการทำสมาธิ
เพียงแต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว หลินสวินพลันหยุดชะงักอยู่เบื้องหน้ายอดเขาที่พังถล่มลูกหนึ่งทันควัน นัยน์ดำสนิทดุจสายฟ้าเย็นเยียบ มองผ่านห้วงอากาศ กวาดสายตาไปยังจุดที่ห่างไกลโดยพลัน
พริบตาเมื่อครู่นี่เอง เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งอย่างชัดเจน ทว่ายามที่ค้นหาอย่างละเอียดกลับไม่พบอะไรเลย
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอดมุ่นคิ้วไม่ได้ เขาเข้าใจผิดหรือ
โดยไม่คิดอะไรมาก เขารุดหน้าต่อไป หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปเขาก็หยุดอยู่หน้าทะเลสาบใสสะอาดผืนหนึ่ง ทะเลสาบกว้างใหญ่รายล้อมด้วยหมอกสีขาวขุ่น ไอน้ำพวยพุ่ง
หลินสวินมาถึงที่แห่งนี้ก็กระโจนลงสู่ทะเลสาบ เริ่มต้นชำระคราบเลือดตามตัว การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้ทั่วสรรพางค์กายของเขาชุ่มโลหิต เปื้อนเลือดของศัตรูมากเกินไป
ฟู่~
ร่างแช่อยู่ในทะเลสาบฉ่ำเย็น หลินสวินรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยอย่างหาได้ยาก เสมือนว่ากลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่าทั่วร่างก็พลอยถูกชะล้างไปสิ้น ภายในใจสงบนิ่งราบเรียบ
ไม่นานนักเขาเดินออกจากทะเลสาบ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งสะอาด ก่อนดึงต้นหญ้ามาลวกๆ ต้นหนึ่ง บิดเกลียวฟั่นเป็นเชือกใช้มัดผมดำไว้หลังศีรษะ
เขาในขณะนี้สวมชุดสีจันทร์ยวง ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาดำกระจ่างลึกล้ำ ยืนอยู่เบื้องหน้าทะเลสาบพยับหมอกงดงาม ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายแปลกแยก หลุดพ้น และสันโดษ
หากไม่พินิจให้ถ้วนถี่ เกรงว่าใครก็คงไม่สามารถเชื่อมโยงเขากับเด็กหนุ่มโหดเหี้ยมที่ก่อพายุนองเลือดคนนั้นเข้าด้วยกันได้เป็นแน่
ไม่นานนักหลินสวินตกได้ปลาหนวดทองอ้วนพีสองตัวจากทะเลสาบ ก่อกองไฟแล้วเริ่มย่างทันใด
ปลาย่างสุกเร็ว ส่งกลิ่นหอมกรุ่นเย้ายวน
หลินสวินเคี้ยวปลาสดนุ่มสีเหลืองเกรียมไปพลาง ทอดมองทะเลสาบที่อยู่ห่างๆ ไปพลาง รู้สึกเบิกบานใจสุดจะพรรณนา ดุจดั่งนักเดินทางที่มาท่องเที่ยวนอกบ้านอย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งพลบค่ำมาเยือน หลินสวินหยัดกายเต็มความสูง บิดขี้เกียจเล็กน้อยอย่างสบายๆ
‘ดูเหมือนว่ามือสังหารคนนั้นจากไปแล้วจริงๆ…’
หลินสวินรำพัน เขาเตรียมตัวจะจากไปแล้ว
พรึ่บ!
ในขณะที่ความคิดนี้เพิ่งแวบขึ้นในใจของเขา กลางอากาศ แสงเย็นเยียบสายหนึ่งแล่นพุ่งออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ พุ่งแทงใส่ศีรษะหลินสวินจากด้านหลังโดยพลัน!
เป็นจิตกระบี่สายหนึ่ง!
ปรากฏขึ้นฉับพลัน ไร้สุ้มเสียง ทั้งยังเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เกรงว่าคงไม่รู้ตัวและตอบสนองไม่ทันด้วยซ้ำ
ด้วยเพราะจิตกระบี่นี้เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์ ไร้เทียมทานหาตัวจับยาก แม่นยำ หมดจด ตรงไปตรงมา และน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด!
แต่กลิ่นอายของมันถูกกดไว้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงเงียบเชียบไร้เสียงอย่างเห็นได้ชัด ประดุจเงาทะมึนแห่งมฤตยู ระหว่างที่ไม่ทันระวังก็ถูกครอบงำไว้แล้ว
ฟุ่บ!
กระหม่อมของหลินสวินถูกแทงทะลุตรงๆ แต่สิ่งที่น่าพิศวงคือ เงาร่างของเขาดุจดั่งฟองสบู่ อันตรธานหายไปในชั่วพริบตา
นี่เป็นเพียงแค่เศษเงาสายหนึ่งเท่านั้น สาเหตุก็อยู่ที่การเคลื่อนไหวของหลินสวินเร็วเกินไป ชิงหลบไปก่อนที่จิตกระบี่สายนั้นจะพุ่งมาถึง!
“แย่แล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงร้องอุทานดังขึ้นในห้วงอากาศที่ห่างออกไป
ในเวลาเดียวกันนั่นเอง หลินสวินปรากฏตัวขึ้นทันใด ซัดหมัดกระแทกใส่กลางห้วงอากาศนั้นเต็มเหนี่ยว!
——
ตอนที่ 581 กลายร่างหมื่นพัน
โดย
ProjectZyphon
ครั้นหมัดซัดออก ห้วงอากาศพลันทลาย!
ด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหลินสวิน ปล่อยหมัดส่งๆ ก็สามารถสังหารผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะได้แล้ว นับประสาอะไรกับครั้งนี้ที่ลงมือเต็มกำลัง
พลันเห็นห้วงอากาศผืนนั้นประดุจกระดาษ ถูกซัดเป็นผุยผงอย่างจัง กระแสอากาศอลหม่านโหมกระหน่ำแหลกลาญเป็นภาพน่าสะพรึง
สวบ!
เพียงแต่ในจุดที่ห้วงอากาศแตกละเอียด มีเงาร่างคลุมเครือสายหนึ่งโฉบออกมาก่อน หลบเลี่ยงการโจมตีถึงชีวิตนี้
แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงถูกพลังหมัดซัดใส่ เงาร่างซวนเซ เกือบร่วงตกลงไปจากกลางอากาศ
และเวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นฝ่ายตรงข้ามได้ชัด เป็นมือสังหารที่สวมชุดดำอำพรางทั่วกาย เงาร่างผอมเพรียวสูงโปร่ง ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาได้ชัด
รอบกายเขาโอบล้อมด้วยกลิ่นอายลี้ลับ สามารถปกปิดสัมผัสและสืบค้นทั้งหมดได้ มองจากไกลๆ เข้าไป เขาก็เหมือนเป็นเพียงเงาทะมึน คลุมเครืออย่างยิ่ง
“ข้าจำเจ้าได้ ครั้งก่อนบนยานสำเภาเป็นเจ้าที่ลอบสังหารข้า น่าเสียดายที่โชคไม่ดี ตอนนั้นเจ้าล้มเหลวไป”
ท่าทางของหลินสวินเยือกเย็น นัยน์ดำสนิทเปี่ยมด้วยแสงเย็นยะเยียบ
เขาจำกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้แม่น ครั้งก่อนอีกเพียงนิดก็จะถูกอีกฝ่ายสังหารแล้ว นี่เป็นความทรงจำที่สลักลึกในกระดูกอย่างหนึ่งเชียว หลินสวินจะกล้าลืมได้อย่างไร
“ลองว่ามาสิ เจ้าเป็นใครกันแน่ ในบรรดาผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แม้ว่าซูซิงเฟิงจะเกลียดข้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจัดการข้าแบบหลบๆ ซ่อนๆ”
นัยน์ตาของหลินสวินสะท้อนปะจุเย็นเยียบ จ้องอีกฝ่ายไม่วางตา “หรือจะบอกว่า เจ้าต้องการให้ข้าจับตัวเอาไว้ แล้วเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าด้วยตัวเอง?”
ยามที่เอ่ยคำ ทั่วกายของเขาพรั่งพรูแสงเรืองศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกาย ท่วงทำนองมรรคไหลเวียน พละกำลังพุ่งสูงถึงขีดสุด ขอเพียงอีกฝ่ายกล้าเผยเจตนาจะผละหนีแม้แต่เสี้ยวเดียว ก็ต้องเจอการโจมตีเต็มกำลังของเขา!
“ส่งมอบคัมภีร์อริยมรรคบนตัวเจ้า หรือไม่ก็เจดีย์สมบัติที่สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคออกมาให้ข้า บางทีข้าอาจให้คำตอบที่เจ้าพึงใจได้”
คนชุดดำผู้นั้นปริปาก น้ำเสียงแหลมคมแหบแห้ง เห็นได้ชัดว่าเป็นการอำพรางอย่างหนึ่ง
หลินสวินเข้าใจในทันที นัยน์ตาดำท้วมท้นด้วยแสงเย็น “ในตอนนั้นบนยานสำเภา ที่เจ้าลงมือกับข้า เกรงว่าคงทำไปเพื่อเจดีย์สมบัติในมือข้ากระมัง”
“ไม่ผิด”
คนชุดดำดูสงบมาก ไม่พะวักพะวนแต่อย่างใด คล้ายกับไม่กลัวจะถูกหลินสวินล่วงรู้เจตนาของเขาแม้แต่น้อย สงบนิ่งอย่างชัดเจน
“เจ้ากำลังถ่วงเวลา?” จู่ๆ หลินสวินพลันกล่าวขึ้น
“เจ้าเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ” คนชุดดำย้อนถาม
หลินสวินยิ้ม ก้าวเท้าไปเบื้องหน้าโดยพลัน ดาบหักโฉบออกไปพร้อมกับเสียงชิ้ง พุ่งสังหารด้วยกระบวนท่าคว้าดารา
ตอนนี้หลินสวินหยั่งถึงสามกระบวนท่าใหญ่แห่งเพลงดาบวัฏจักรฟ้าแล้ว แต่ละกระบวนท่ามีพลังเร้นลับในตัวเอง หาได้มีการจำแนกความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ
ตัวอย่างเช่นกระบวนท่าคว้าดารา เน้นหนักที่การจู่โจมยามไม่ทันตั้งตัว สั่นสะท้านจิตวิญญาณ ครั้นถูกโจมตี เป็นต้องประสบกับภัยมฤตยู
ส่วนกระบวนท่าสอยจันทราเป็นพลังที่ศักดิ์สิทธิ์ไพศาลอย่างหนึ่ง แปลกแยกดุจลวงตา เมื่อไรก็ตามที่ถูกแตะต้อง ก็จะก่อให้เกิดพลังล้างผลาญอันน่ากลัวหมดจดแบบหนึ่ง
สำหรับกระบวนท่าเผาตะวันนั้นง่ายมาก มันคือความเผด็จการและทำลายล้าง ดุจดั่งพลังทำลายล้างที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ของดวงอาทิตย์ เป็นพลังแห่งการสังหารอันเด็ดขาดถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง
และขณะนี้หลินสวินใช้กระบวนท่าคว้าดารา ไม่บอกก็รู้ว่าต้องการสังหารอีกฝ่ายด้วยการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว สั่นคลอนจิตใจฝ่ายตรงข้าม ทำให้เขาไม่สามารถเผ่นหนีได้
ตูม!
ชั่วขณะนั้นดุจดั่งหมู่ดาวโปรยปราย รัตติกาลนิรันดร์มาเยือน รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เฉกเช่นฝันร้ายฉากหนึ่งประดังมา
กระนั้นที่น่าพิศวงคือเงาร่างของคนชุดดำผู้นั้นพลันกลายเป็นร่างนับร้อยนับพันแน่นขนัด บ้างก็เป็นฝ่ายโจมตีใส่หลินสวิน บ้างก็เผ่นหนีไปสี่ทิศแปดทางอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบสีนิล
มองไปไกลๆ ล้วนมืดฟ้ามัวดิน ทุกแห่งหนล้วนเป็นเงาร่างของคนชุดดำผู้นั้น เป็นภาพน่าตกตะลึงสุดขีด
ครืนๆ~ พลังทำลายล้างที่สั่นสะเทือนฟ้าดินกวาดม้วน พลันเห็นคนชุดดำที่กรูเข้ามาเหล่านั้นถูกกลบทำลายแทบจะภายในชั่วพริบตา
และมีส่วนหนึ่งที่หลบเลี่ยงจากการโจมตีครั้งนี้ มุ่งประดังไปทางหลินสวินต่อ
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือยังมีคนชุดดำส่วนหนึ่งเผ่นหนีไกลออกไปตั้งแต่ต้น กลายเป็นภาพที่อลหม่านหาใดเปรียบทันทีทันควัน
เดิมทีมีศัตรูคนเดียว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นพันคน แล้วยังจะต่อสู้ได้อย่างไร
กลายร่างหมื่นพัน!
นี่เป็นวิชาลับอะไรกัน
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิชาลับน่าทึ่งไร้เทียมทานเยี่ยงนี้ ลำพังมองแค่ผิวเผินแทบไม่สามารถแยกแยะได้เลยแม้แต่น้อยว่าคนไหนกันแน่คือคนชุดดำตัวจริง
สิ่งที่เรียกว่าแท้ประสมเทียม จริงประสานลวง แท้จริงแล้วคือความเร้นลับยากหยั่งถึง ปิดฟ้าข้ามทะเล!
ฟ้าดินแถบนี้ร้องคำราม หลินสวินโจมตีเต็มกำลัง แสงดาบส่องสว่างกวาดเป็นแสงดาราเรืองรอง พลันเห็นเงาร่างคนชุดดำกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย กลายเป็นพิรุณแสงล่องลอย
‘ที่แท้ร่างแยกพวกนี้ล้วนเป็นภาพมายา ไม่ได้มีพลังต่อสู้เหมือนร่างเดิมของเขา…’
ในใจหลินสวินผ่อนคลายเหลือล้น พลังจิตวิญญาณแผ่ซ่านปกคลุมทั่ว หยั่งรู้และจำแนกอย่างถี่ถ้วน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาในตอนสุดท้ายกลับทำให้เขาสะทกสะท้าน
ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกหรือร่างเดิม หากว่ากันเพียงด้านกลิ่นอายแล้ว ไม่สามารถแยกแยะแท้เทียมได้เลยแม้แต่น้อย!
“หลินเสวียน เมื่อพบกันอีกครั้งหน้า ย่อมเป็นคราวตายของเจ้า!”
กลางฟ้าดิน เสียงที่แหลมและแหบแห้งของคนชุดดำดังสะท้อนกึกก้อง เสมือนว่าเปล่งออกมาจากคนทั้งเป็นแสน ไม่สามารถแยกแยะต้นทางที่แท้จริงได้
หว่างคิ้วของหลินสวินฉายแววอึมครึม จวบจนเขาสังหารคนชุดดำ ณ ที่นั้นหมดแล้วถึงพบว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นร่างแยก ร่างเดิมของเขาหนีลอยนวลไปตั้งแต่ต้นแล้ว
“นี่เป็นวิชาลับอะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้แปลกพิสดารและอัศจรรย์เช่นนี้” เรียวคิ้วของหลินสวินขมวดแน่น ไม่ยินยอมอยู่บ้าง
คนชุดดำผู้นั้นลอบสังหารเขาสองหน ทั้งสองคราล้วนลอยนวลอย่างปลอดภัย ที่หนักหนาที่สุดคืออีกฝ่ายยังเชี่ยวชาญวิชาลับที่สามารถกลายร่างเป็นหมื่นพันได้อีก หมายจะปลิดชีวิตอีกฝ่ายแทบจะทำได้ยากยิ่ง
เว้นแต่ว่าจะมองทะลุร่างจริงของเขาได้ในปราดเดียว!
ทั้งหมดนี้ยังส่งสัญญาณเตือนให้หลินสวินตระหนักถึงความกว้างใหญ่แห่งฟ้าดิน อัจฉริยะนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มีวิชาลึกลับที่เหนือจินตนาการมากมาย มิอาจชะล่าใจได้โดยเด็ดขาด
สวบ!
หลินสวินสลัดความคิดว้าวุ่นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว สายตาทอดมองไปอีกฝั่งหนึ่ง มุมปากผุดเส้นโค้งที่มีความหมายลึกซึ้งชวนขบคิดเสี้ยวหนึ่ง
“ท่านทั้งสอง ดูตั้งนานขนาดนี้ควรปรากฏตัวได้แล้วกระมัง”
หลินสวินเอ่ยปากเสียงแผ่ว
ตรงนั้นเป็นเนินเขาเตี้ยทั่วๆ ไปลูกหนึ่ง ปกคลุมด้วยหมอกสีขาวหนาทึบ ไร้ซึ่งการกระเพื่อมของกลิ่นอายใดๆ เป็นพิเศษ
ทว่าหลังจากประสบกับการลอบสังหารโดยคนชุดดำผู้นั้นแล้ว หลินสวินก็สัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่าท่ามกลางเนินเขาลูกนั้นมีเงาร่างสองสายเร้นกายอยู่!
เปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ หลินสวินต้องไม่อาจสัมผัสได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเงาร่างสองสายถูกแสงสมบัติปกคลุมทั่วกาย บดบังกลิ่นอายทั้งมวล
สิ่งที่แปลกเป็นพิเศษคือแสงสมบัตินั้นดุจผสมผสานกับฟ้าดิน กลายเป็นกลิ่นอายฟ้าดินที่พบได้โดยทั่วไป ยากจะสัมผัสถึงโดยสิ้นเชิง
แต่ว่าหลินสวินในปัจจุบันแตกต่างออกไปตั้งนานแล้ว หลังจากบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก็พลอยทำให้พลังจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นเคี่ยวกรำ ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ ขอบเขตที่สองใน ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ เป็นที่เรียบร้อย
ในห้วงนิมิตของเขามีดวงจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ลอยเด่นอยู่ แผ่รัศมีเจิดจ้าขจายวงกว้าง ราวกับเจดีย์ยอดหนึ่ง ทำให้พลังการรับรู้จิตวิญญาณของเขาเกิดการแปรสภาพ สามารถตรวจจับรายละเอียดปลีกย่อยที่ก่อนหน้านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของเงาร่างสองสายนี้ จึงย่อมมองว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกันกับคนชุดดำผู้นั้นเป็นธรรมดา
หากไม่เป็นเช่นนี้เมื่อครู่หลินสวินก็ไม่คงไม่ชักช้า พุ่งเข้าไปจับกุมคนชุดดำผู้นั้นทันทีแล้ว ไม่ใช่พูดไร้สาระถ่วงเวลา
เวลานี้คนชุดดำผู้นั้นหนีลอยนวลไปนานแล้ว แต่เงาร่างสองสายนี้กลับยืดยาดไม่ยอมเขยื้อน ไม่คิดผละหนี ทำให้หลินสวินรู้สึกแปลกประหลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้เล็กน้อย ตระหนักว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนดูเหมือนจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง…
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้า หลินเสวียน เป็นบุคคลชั้นยอดที่ซ่อนคมในฝักคนหนึ่ง ที่ทำให้ข้าประหลาดใจที่สุดคือคนเช่นเจ้ากลับเติบโตมาในโลกชั้นล่าง ช่างทำให้ผู้คนยากจะจินตนาการเสียจริง”
ที่ตามมาพร้อมเสียงทอดถอนใจนั้นคือเด็กชายในชุดหลากสีสันที่สวมห่วงคอสีเงินยวงคนหนึ่ง เดินออกมาจากเนินเขาเตี้ยๆ ลูกนั้น ท่าทางไร้เดียงสาน่ารัก
เป็นเหวินเสียงผู้สืบทอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
ข้างกายของเขายังมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีชาดคนหนึ่ง เข็มขัดหยกสีขาวรัดรอบเอว หน้าตางามสง่าถึงขีดสุด
สองมือของเขาไพล่หลัง อากัปกิริยาเย็นชาหยิ่งทระนง นัยน์ตาคู่นั้นมีเปลวไฟลุกโชน บุคลิกโดดเด่น เป็นซูซิงเฟิงนั่นเอง!
“ที่แท้เป็นทั้งสองท่านนี่เอง”
หลินสวินอึ้งงันไป กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ให้ข้าเดา พวกท่านมาเพื่อชิงเจดีย์สมบัติ หรือไม่ก็มาเพื่อสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์อริยมรรคกระมัง”
ยามพำนักอยู่บนยานสำเภา เนื่องด้วยการมีตัวตนอยู่ของผู้เฒ่าเกาหยาง บางทีหลินสวินอาจจะยังหวาดเกรงต่อสองคนนี้อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ถูก พวกเรามาจากค่ายเดียวกัน ทั้งเจ้ายังเป็นสหายข้างกายของศิษย์พี่จิ่งเซวียนอีก ไหนเลยพวกเราจะกล้ามุ่งร้ายต่อเจ้าได้”
เหวินเสียงปอดแปดเสียงดัง ท่าทางเหมือนถูกให้ร้าย
“อ้อ ดูเหมือนข้าจะใช้ใจของคนต่ำช้าประเมินวิญญูชนเสียแล้ว?”
ท่าทีของหลินสวินวางเฉย
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย พวกเราเองก็ได้ยินมาว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งถูกไล่สังหาร ฉะนั้นจึงเร่งรุดมาสมทบ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ก็คือเจ้า และยิ่งไม่คาดคิดเข้าไปใหญ่ว่าเจ้าถึงกับสังหารผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าจนพ่ายแพ้แตกกระบวน”
เหวินเสียงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก ทำหน้าตื่นตะลึง “หากรู้แต่แรกว่าเจ้าร้ายกาจขนาดนี้ พวกเราคงไม่มองเจ้าเป็นเพียงผู้ติดตามแน่”
หลินสวินไม่มีทางมองว่าเจ้าหมอนี่เป็นเด็กซุกซนคนหนึ่งแน่นอน
อีกฝ่ายดูเหมือนยังเด็ก ก็เพราะฝึกวิชาลับอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมเลือดคืนตะวัน’ ถึงได้บำเพ็ญตนด้วยรูปลักษณ์ของเด็ก ความจริงเจ้าหมอนี่เป็นอัจฉริยะที่ฝึกปราณมานานหลายปีแล้ว หากกล่าวถึงความคิดแยบคายและความฉลาดหลักแหลม เขาจัดอยู่ในประเภทจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นได้เลย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณในความหวังดีของพวกท่านทั้งสองด้วย”
หลินสวินเรียบเฉยเนิบนาบ ไม่ได้จงใจไปเปิดโปง
อย่างไรเสียนับดูแล้ว เขาก็ใช้ชื่อของ ‘แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ’ ถึงเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะได้ กอปรกับความสัมพันธ์ของจ้าวจิ่งเซวียน หากไม่จำเป็นหลินสวินก็จะไม่ฉีกหน้าอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
“จริงสิ ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านพอจะดูออกหรือไม่ว่าคนชุดดำเมื่อครู่เป็นใคร”
จู่ๆ หลินสวินพลันซักถาม
“ไม่รู้”
เหวินเสียงส่ายหน้าติดต่อกัน ดวงหน้าอ่อนเยาว์เปี่ยมด้วยความงุนงง
หลินสวินยิ้ม เผยให้เห็นเรียวฟันขาว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
กล่าวจบเงาร่างเขาไหววูบ ลอยล่องจากไปอย่างเด็ดขาดชัดเจน
“เจ้าหมอนี่น่าจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว”
เหวินเสียงพึมพำ นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบ
ตั้งแต่ต้นจนจบซูซิงเฟิงไม่ได้ปริปากสักนิด เฉยเมยเย็นชา เวลานี้มองเห็นเงาร่างของหลินสวินลับไป เขาจึงเอ่ยคำ “เมื่อครู่ เดิมข้าอยากจะลงมือ…”
——
ตอนที่ 582 ตัวตนของมือสังหาร
โดย
ProjectZyphon
“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ลงมือ”
เหวินเสียงอึ้งไป
ซูซิงเฟิงชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่เหวินเสียงกลับเข้าใจในทันใด สีหน้าอ่านยาก คิดถึงความสามารถของหลินสวินหลังก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีไร้เทียมทานหกรอบก็รู้ว่าเหตุใดซูซิงเฟิงถึงไม่กล้าลงมือแล้ว
เจ้าหมอนั่นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ฆ่าผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าจนเลือดนองเป็นแม่น้ำ ไม่มีใครต่อกรได้ ขนาดบุคคลระดับบุตรเทพยังไม่กล้าต้านคมดาบของเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นซูเฟิงซิงก็ไม่อาจลงมือบุ่มบ่ามได้
คิดถึงตรงนี้เหวินเสียงก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เอ่ยว่า “แน่นอน หลังจากหลินเสวียนผู้นี้บรรลุระดับหยั่งสัจจะก็เทียบกับแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ขนาดข้ายามเผชิญหน้ากับเขายังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พูดไม่ถูก”
“เคยได้ยินเรื่องมกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคบรรพกาลหรือไม่”
ซูซิงเฟิงพลันพูดขึ้น
เหวินเสียงพลันไหวหวั่น “ท่านจะบอกว่าหลินเสวียนผู้นั้นอยู่บนทางสายนี้หรือ ไม่ได้หมายความว่าในปัจจุบันจะไม่มีมรรคาเช่นนี้ปรากฏขึ้นอีกแล้วหรือ”
“ร้อยปีหลังจากนี้ พิบัติมหามรรคที่ไม่เคยมีมาก่อนครั้งหนึ่งก็จะปะทุขึ้น เปิดฉากมหาสงคราม ในสถานการณ์เช่นนี้ มกุฎมรรคาจะปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ซูซิงเฟิงสีหน้านิ่งขึงเจือความหนักอึ้ง “เพียงแต่ข้ากลับไม่เคยคิดว่า ผู้ฝึกปราณเล็กๆ จากโลกชั้นล่างคนหนึ่งกลับได้สัมผัสมรรคานี้ ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ”
เท่าที่เขารู้ มกุฎมรรคาเป็นชื่อเรียกโดยทั่วไปของวิถีแห่งการฝึกปราณที่แข็งแกร่งที่สุดสายหนึ่ง ในยุคบรรพกาลก็หายากถึงที่สุด ผู้ที่ได้เหยียบย่างมีน้อยคนยิ่งนัก
หลินเสวียนผู้นั้นสามารถเหยียบย่างบนวิถีนี้ได้ ก็ดูน่ากลัวและพลิกฟ้ายิ่งนักอย่างไม่ต้องสงสัย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ซู พวกเราต้องล้มเลิกแผนชิงเจดีย์สมบัตินั้นแล้วหรือไม่”
เหวินเสียงสีหน้าปรวนแปร
“ล้มเลิกหรือ”
ซูซิงเฟิงส่ายหัว ในดวงตามีเปลวเพลิงไหววูบ “นั่นเป็นถึงเจดีย์สมบัติที่หลอมจากเหล็กเทพศุภโชคเชียวนะ จะยอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร”
เหวินเสียงดวงตาหดเกร็ง “ศิษย์พี่ซูคิดจะทำเช่นไร”
ซูซิงเฟิงกล่าว “เจ้ามองคนชุดดำที่ลอบสังหารหลินเสวียนเมื่อครู่ออกหรือไม่ หากข้าทายไม่ผิด เจ้าหมอนั่นต้องเป็นศิษย์พี่เซียวหรันอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เหวินเสียงพลันใจเต้นระส่ำ สีหน้าแปลกไป “หรืออาจจะเป็นศิษย์พี่กงหยางอวี่ก็ได้ เท่าที่ข้ารู้ ตอนนี้ศิษย์พี่เซียวหรันกำลังเฝ้าระวังอยู่ที่ภูเขาเทพหมอกม่วงนั่น รอให้แดนแห่งวาสนาอสูรมารอริยะนั่นปรากฏขึ้น ไม่น่าจะ…วิ่งมาที่นี่เพื่อมาต่อกรหลินเสวียนผู้นั้นกระมัง”
“กงหยางอวี่หรือ เหอะๆ เขาใช้ ‘คัมภีร์กายมรรคหมื่นมายา’ ไม่ได้!”
ซูซิงเฟิงหัวเราะหยัน
คัมภีร์กายมรรคหมื่นมายา!
เหวินเสียงพลันหน้าเปลี่ยนสี พูดเสียงหลงว่า “หลายปีก่อน ไม่ใช่ว่าได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วหรือว่าวิชาลับบรรพกาลนี้ไม่มีจริง”
หลายปีก่อน ในเขตหวงห้ามแห่งหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ลือกันว่ามีคัมภีร์ลับสุดยอดที่ขาดการสืบทอดไปนานแล้วเล่มหนึ่งนามว่า ‘คัมภีร์กายมรรคหมื่นมายา’ พลันปรากฏขึ้น ถูกศิษย์ในสำนักคนหนึ่งได้ไป ตอนนั้นก่อให้เกิดความครึกโครมใหญ่ยิ่งครั้งหนึ่ง
เพียงแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าวิชาลับสุดยอดนี้ถูกศิษย์คนใดได้ไปครองกันแน่
ภายหลังเป็นเจ้าสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณออกหน้าเอง ทำให้ความวุ่นวายนี้สงบลง
“ไม่ใช่ไม่มี แต่คัมภีร์ลับนี้มีที่มาใหญ่โตเกินไป ทันทีที่ข่าวรั่วไหลออกไปต้องนำพาความยุ่งยากนับไม่ถ้วนมาแน่ ดังนั้นคนใหญ่คนโตเหล่านั้นจึงตัดสินใจเป็นเสียงเดียวกันว่าจะปิดข่าวนี้ ก็เพื่อปกป้องเซียวหรัน ไม่ต้องการให้เขาทำให้ถูกผู้อื่นจับจ้องและอิจฉาเพราะคัมภีร์ลับนี้”
ดวงตาซูซิงเฟิงฉายแววเย็นเยียบ “เดิมทีข้าก็สงสัย ไม่อาจมั่นใจได้ แต่หลังจากได้เห็นวิชาลับที่ชายชุดดำเมื่อครู่สำแดง ข้าก็เชื่ออย่างสนิทใจว่านั่นต้องเป็นคัมภีร์กายมรรคหมื่นมายาแน่นอน!”
“และก็มีเพียงวิชาลับชั้นนี้ถึงสามารถแปลงร่างได้หมื่นพัน ไม่มีข้อผิดพลาดให้ติดตามได้ พูดตรงๆ ก็คือมหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา ลึกล้ำไม่มีสิ่งใดเทียบ!”
ซูซิงเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็กัดฟันกล่าว “รู้หรือยังว่าเหตุใดข้าถึงได้หวาดกลัวเซียวหรันมาโดยตลอด ก็เพราะเจ้าหมอนี่เหลี่ยมจัดนัก ปกติมีท่าทางไม่อยากได้อยากมี ไม่สนใจโลกภายนอกราวเมฆคล้อยกระเรียนป่า มีเพียงข้าที่รู้ดีว่าในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเขานี่ล่ะน่ากลัวที่สุด!”
น้ำเสียงมีทั้งความอิจฉา ความหวาดกลัว และความชิงชังที่พูดไม่ถูก
“ศิษย์พี่ซู แม้ว่าที่ชายชุดดำคนนั้นสำแดงจะเป็นคัมภีร์กายมรรคหมื่นมายา ก็แทบจะไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าเขาคือศิษย์พี่เซียวหรันกระมัง”
เหวินเสียงยังคงไม่เชื่ออยู่บ้าง ในภาพจำของเขา เซียวหรันมีภาพลักษณ์สุภาพอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตัว พาให้ผู้คนรู้สึกราวได้สัมผัสลมวสันต์ มีความเหนือธรรมดาและผ่าเผยประหนึ่งเมฆคล้อยบนท้องนภา
นี่ก็ทำให้เขาเพิ่มคำว่าเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดให้เซียวหรันได้ยากนัก
“หึ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ มีบางเรื่องที่ข้าไม่อาจพูดให้เจ้าเข้าใจได้ แต่เรื่องนี้ข้ากลับสามารถบอกเจ้าได้อย่างมั่นใจว่า ชายชุดดำที่ลอบสังหารหลินเสวียนผู้นั้นต้องเป็นเซียวหรันอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ซูซิงเฟิงคร้านจะอธิบายต่ออีก
“แต่ว่า… นี่เกี่ยวอะไรกับที่พวกเราจะไปชิงเจดีย์สมบัติในมือหลินเสวียนผู้นั้นเล่า”
เหวินเสียงถามอย่างอึ้งงัน
“ร่วมมือกัน!”
ซูซิงเฟิงตอบทันควัน “พวกเราไปหาเซียวหรัน ร่วมมือกับเขา เชื่อว่าเพื่อชิงศุภโชคที่อยู่กับหลินเสวียน เขาก็ต้องไม่ปฏิเสธแน่!”
“แต่ถ้าศิษย์พี่เซียวหรันก็อยากได้เจดีย์สมบัตินั่นจะทำอย่างไร”
เหวินเสียงเอ่ยอย่างวิตกกังวลยิ่ง เขาไม่มีความมั่นใจว่าแย่งชิงวาสนาครั้งนี้กับเซียวหรันได้
“เหอะๆ บนตัวหลินเสวียนคงไม่ได้มีเพียงเจดีย์สมบัตินั่นหรอก ยังมีศุภโชคที่ได้มาจากเกาะอริยะปัญจธาตุด้วย ในเมื่อร่วมมือกัน เซียวหรันก็ไม่อาจกินรวบคนเดียวได้หรอกกระมัง”
ซูซิงเฟิงยิ้มบางๆ “อีกทั้ง หากเขาไม่ตอบรับ ข้าก็จะเปิดโปงฐานะเขา บอกศิษย์น้องจิ่งเซวียนว่าศิษย์พี่เซียวหรันที่นางเคารพนับถือที่สุดก็คือคนร้ายตัวจริงที่ลอบสังหารหลินเสวียนหลายครั้งหลายคราคนนั้น!”
เหวินเสียงสูดหายใจเย็นเยียบ แผนนี้…ช่างร้ายกาจเสียจริง!
……
ส่วนลึกของไหล่เขาแห่งหนึ่ง ถูกหลินสวินขุดถ้ำขึ้นแห่งหนึ่งและวางกระบวนรอยสลักวิญญาณอำพรางพลังปราณ
‘ไม่ใช่ซูซิงเฟิงกับเหวินเสียง เช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในพวกเซียวหรัน กงหยางอวี่ และอวิ๋นเช่อสามคนนี้’
‘ที่อวิ๋นเช่อฝึกก็คือมหามรรคปลิดชีพ แม้พลังต่อสู้จะน่ากลัวถึงที่สุด แต่อย่างไรก็เป็นระดับมหาสมุทรวิญญาณ ต่อให้ตอนนี้ก็บรรลุระดับหยั่งสัจจะเหมือนกับเรา ก็ไม่น่ามีวิชาลับไร้เทียมทานแปลงร่างเป็นหมื่นพันได้เช่นนี้แน่’
‘ตัดออกไปเช่นนี้ ก็เหลือเพียงเซียวหรันและกงหยางอวี่ ถ้าอย่างนั้นเป็นคนไหนกันแน่”
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่เช่นนั้น ในสมองยังคงตรึกตรอง
ถูกลอบสังหารสองครั้งติดๆ กัน อีกทั้งอีกฝ่ายยังหนีไปอย่างง่ายดาย นี่ทำให้หลินสวินอดระแวดระวังขึ้นมาไม่ได้
ในภาพจำของเขา เซียวหรันเป็นผู้ที่เลื่อนลอยราวควันเมฆ แยกตัวออกจากผู้อื่น ไม่แก่งแย่งกับใคร ให้ความรู้สึกไม่ยินดียินร้ายและเหินห่าง
ส่วนกงหยางอวี่ กลับเป็นอนุชนเผ่าวิญญาณแกะเขียว สง่างาม สูงส่ง หยิ่งทระนง
ตามคำพูดของจ้าวจิ่งเซวียน ภายใต้ลักษณะภายนอกที่หยิ่งทระนง แท้จริงกลับมีจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงาม ไม่ได้หยิ่งผยองอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะดูอย่างไร เซียวหรันกับกงหยางอวี่ล้วนไม่เหมือนมือสังหารลึกลับและร้ายกาจคนนั้น รูปลักษณ์ต่างกันมากเกินไป ยากนักที่จะทำให้ผู้อื่นคิดเชื่อมโยงมือสังหารกับพวกเขาได้
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลินสวินยิ่งไม่กล้าชะล่าใจ เพราะเขารู้ดีว่า คู่ต่อสู้ที่ชำนาญเรื่องการปลอมตัวปิดบังฐานะเช่นนี้จึงจะอันตรายและน่ากลัวที่สุด!
‘ไม่ว่าเป็นใคร เมื่อได้พบอีกครั้ง ข้าจะต้องทำให้มันไม่มีที่ให้หลบหนี!’
ครู่ใหญ่หลินสวินสูดหายใจลึก ในดวงตาสีดำลุ่มลึกฉายแววแน่วแน่
เขาเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาโดยไม่คิดอะไรมากอีก แล้วสัมผัสถึงชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัตินั้น
จ้าวจิ่งเซวียนกำลังนั่งขัดสมาธิไม่ไหวติง อาการบาดเจ็บทั่วร่างแม้กำลังสมาน แต่หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างเฉียบแหลมว่าสภาพภายในร่างกายนางยังคงไม่สู้ดีดังเดิม
เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ อาการบาดเจ็บที่นางได้รับรุนแรงกว่าที่คาดคิดไว้มาก และทุกอย่างนี้ก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะปกป้องเขา
นี่ทำให้หลินสวินทั้งซาบซึ้งใจและรู้สึกผิด
ครั้งนี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะปรากฏตัวมาช่วยตน ถึงกับช่วยยื้อเวลาฟื้นฟูให้ตนอย่างไม่คิดชีวิต
และก็เพราะคิดไม่ถึงนี่เอง เมื่อได้รู้ทุกอย่างถึงได้ตกใจเป็นพิเศษ ทำให้เขามีความรู้สึกซับซ้อนที่บรรยายไม่ถูกอย่างหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จากนี้ไปเขาจะไม่ยอมให้จ้าวจิ่งเซวียนถูกผู้อื่นรังแกอีกแน่!
ในขณะเดียวกันก็ทำให้หลินสวินยิ่งชิงชังพวกอวี่เซียวเซิง ในใจลอบขัดเคือง ‘อย่าให้ข้าได้พบพวกเจ้าอีกเชียว!’
“แค่กๆ”
เวลานี้จินตู๋อีที่นั่งขัดสมาธิแต่เดิมพลันลืมตาขึ้น พูดพลางไอด้วยสีหน้าอ่อนแรงว่า “หลินสวิน ครั้งนี้ข้าได้รับบาดเจ็บรุนแรงไปแล้ว สภาพไม่สู้ดีนัก”
เจ้าคางคกอ้าปากครั้งเดียว หลินสวินก็เห็นถึงลิ้นไก่แล้ว
เมื่อได้ยินเขาก็ตอบไปตรงๆ ว่า “ขอโทษนะ โสมราชันโคมสมบัติข้าใช้หมดแล้ว”
เจ้าคางอารมณ์ขึ้นในทันใด “หญ้ากิเลนก็ได้น่า”
หลินสวินตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ต่อให้ต้องใช้หญ้ากิเลน แม่นางจ้าวต้องการยิ่งกว่าเจ้า!”
เจ้าคางคกไอขึ้นอีกระลอก ท่าทางจนใจ “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้ามีตำรับยาที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานตำรับหนึ่ง ไม่ได้ใช้หญ้ากิเลน เจ้าเพียงต้องเก็บโอสถวิญญาณแต่ละชนิดตามตำรับ บางทีอาจสามารถทำให้ข้าฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์”
เห็นว่าหลินสวินไม่เชื่อ ลูกตาของเขาก็กลิ้งกลอกไปมา เอ่ยว่า “แน่นอนว่าตำรับยานี้มีประโยชน์กับอาการบาดเจ็บของแม่หนูนั่นนะ เจ้าไม่คิดจะลองหรือ นางเกือบทิ้งชีวิตเพราะเจ้า เจ้าก็จะใจดำไม่ช่วยรักษาหรือ”
ดังคาด เวลานี้หลินสวินสนใจแล้ว เมื่อได้ตำรับยาไร้เทียมทานที่ว่าจากเจ้าคางคกก็กวาดตาดูคร่าวๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดทะมึนลง
โอสถวิญญาณมากกว่าร้อยชนิดที่อยู่ในตำรับยาล้วนเรียกได้ว่าหายากและล้ำค่าถึงที่สุด สิ่งนี้ยังไม่เท่าไร ที่น่าชิงชังที่สุดคือ สมุนไพรเหล่านี้หลินสวินล้วนมีอยู่กับตัวพอดี!
นี่ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าคางคกได้สัมผัสถึงโอสถวิญญาณที่อยู่กับตัวเขาอย่างชัดเจนนานแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้จงใจเอาตำรับยาเช่นนี้ออกมา เพื่อคิดหลอกเอาโอสถวิญญาณจากตัวเขา
“เจ้าคางคก เจ้าได้คำนวณไว้นานแล้วใช่หรือไม่” หลินสวินสีหน้าไม่เป็นมิตร
เจ้าคางคกเผยท่าทางสงสัย “คำนวณไว้แล้วอะไรกัน เจ้าอย่าปรักปรำข้านะ”
หลินสวินพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ถ้าเจ้ายอมรับ ข้าก็คร้านจะเอาความกับเจ้า จะหลอมยาให้เจ้าทันที แต่หากยังดื้อดึงหน้าไม่อาย ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”
คางคกตัวนี้แม้รักพวกพ้องยิ่ง แต่นิสัยกลับน่าตีนัก ไม่มีเวลาไหนไม่คิดจะเอาเปรียบปอกลอกสมบัติ
ตอนนี้ยังกล้าคิดอยากได้โอสถวิญญาณที่อยู่กับตัวเขา นี่ก็ทำให้หลินสวินทนไม่ได้บ้างแล้ว
____
ตอนที่ 583 ยอดนักหลอมยา
โดย
ProjectZyphon
ด้วยการข่มขู่ที่ไม่ปิดบังเลยสักนิดของหลินสวิน ในที่สุดเจ้าคางคกก็พยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ
แต่ปากเขายังคงดื้อดึง ทั้งยังตบอกรับประกัน ว่าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ตนและจ้าวจิ่งเซวียนฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยสักนิด
หลินสวินกลอกตา คร้านจะถือสาเขา
ทว่าสุดท้ายหลินสวินก็เริ่มดำเนินการ
เขาเตรียมเตาหลอมสำริดสามเตา ล้วนเป็นอาวุธวิญญาณ ไม่ถึงกับมีค่ามากมาย แต่ใช้เคี่ยวยาย่อมไม่มีปัญหา
เวลานี้เจ้าคางคกจิตใจฮึกเหิมราวกับแปลงกายเป็นปฐมาจารย์หลอมยาผู้หนึ่ง มือเท้าโยนโอสถวิญญาณใส่เตาหลอมทั้งสามอย่างว่องไว
แน่นอนว่าโอสถวิญญาณเหล่านี้นำออกมาจากตัวหลินสวิน ในนั้นก็มีโอสถสมบัติหายากอย่างหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วง หญ้าแสงจันทร์เป็นต้น
โอสถหลายร้อยชนิด บ้างเป็นสิ่งที่หลินสวินเก็บมาด้วยตนเอง แต่ส่วนมากล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกในตัวศัตรูที่ฆ่าตายหลายวันมานี้
“ดอกโป่งรากสนพันปีบำรุงเลือดลมดีอย่างยิ่งยวด จับคู่กับผลเมฆเก้าแฉก รากหยกเขียว เถาวัลย์อรหันต์… หลอมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้ต้องดีเลิศแน่!”
เจ้าคางคกสีหน้าตื่นเต้น พูดงึมงำไม่ชัดเจน โอสถวิญญาณแต่ละชนิดถูกเขาโยนเข้าไปในเตาหลอมอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น กลิ่นเข้มข้นหอมกรุ่นอบอวลในอากาศ พาให้ทั้งร่างปลอดโปร่ง
เมื่อดูในเตาหลอมอีกครั้ง โอสถสมบัติอย่างบัวหยกกระดูกดำ กล้วยไม้หิมะอสูรชาดเปล่งประกายเจิดจ้าเรืองรองออกมา ย้อมเตาหลอมด้วยแสงแวววาวชั้นหนึ่ง กลิ่นหอมโอสถเข้มข้น ทำให้รู้สึกราววิญญาณออกจากร่าง
นี่เป็นการหลอมยาที่ฟุ่มเฟือยที่สุดครั้งหนึ่งตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณมา โอสถวิญญาณที่ใช้ไม่มีสิ่งใดไม่เป็นของล้ำค่าที่สาบสูญจากโลกภายนอกไปนานแล้ว มีเพียงในแดนลับอสูรมารอริยะเท่านั้นถึงหาได้ และตอนนี้ได้ถูกโยนลงไปในเตาหลอมสามเตาเพื่อดำเนินการหลอมจนสิ้นแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการลงมือครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าโอสถวิญญาณในเตาหลอมสามเตาไม่เหมือนกัน โอสถสมบัติที่หลอมออกมาย่อมไม่เหมือนกัน เพราะนี่แบ่งออกเป็นยาที่เตรียมไว้ให้จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคกและตัวหลินสวินเอง
สองคนแรกเพื่อรักษาบาดแผล ส่วนของหลินสวินเพื่อความเสถียรของระดับพลังปราณ โอสถสมบัติที่หลอมออกมาย่อมต่างกัน
ไม่อาจไม่พูดว่าเจ้าคางคกเป็นยอดฝีมือด้านการหลอมยาผู้หนึ่งจริงๆ รู้คุณสมบัติพิเศษของโอสถวิญญาณแต่ละชนิดเป็นอย่างดีราวกับสมบัติในบ้านตนเอง ทั้งเห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญตำรับยาที่มีเอกลักษณ์ไม่น้อย ทำให้ยามเขาจับคู่โอสถวิญญาณล้วนหยิบจับโดยไม่คิด ดูคุ้นเคยหาใดเทียบ
นี่ก็คือพรสวรรค์ของเผ่าคางคกทองสามขา พวกเขาแยกแยะสรรพสมบัติล้ำค่า หากไปรับหน้าที่เป็นนักหลอมยา ต้องเป็นยอดฝีมือแน่
ไม่นานนักเจ้าคางคกค้นถุงเก็บของหลินสวินอยู่ครู่ใหญ่ หาผลึกแสงเมฆาเพลิงกองหนึ่งออกมาทำเป็นเชื้อเพลิง เริ่มทำการหลอม
แสงไฟลุกโหม เพียงชั่วพริบตาเดียวในเตาหลอมก็ปล่อยแสงหลากสีมากมายออกมา ไหลเอ่อไปในห้วงอากาศ ส่งกลิ่นหอมประหนึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณ พาให้ผู้คนมัวเมา
สุดท้ายจ้าวจิ่งเซวียนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ ไม่ทันได้ถามไถ่มากมาย ก็ถูกหลินสวินกับเจ้าคางคกร่วมกันเชื้อเชิญเข้าไปฝึกในเตาหลอมเตาแรก
แน่นอนว่าเป็นการถอดอาภรณ์ทั้งร่าง ภายใต้สายตาสอดส่องอันเย็นชาของหลินสวิน เจ้าคางคกก็ไม่กล้าแอบดู
แม้จะเป็นเช่นนี้ จ้าวจิ่งเซวียนก็ยังเหนียมอายและขัดเขินอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากถอดเสื้อผ้าทั่วร่างโดยหันหลังให้ทั้งสองคนแล้ว ใบหน้างามซีดขาวก็ย้อมไปด้วยสีแดงซ่าน
ยังดีที่หลังจากเข้าไปนั่งในเตาหลอมแล้ว นางก็กลับมาสงบนิ่ง เริ่มนั่งสมาธิอย่างสงบใจ
“เจ้าหนู เจ้าคิดมากไปแล้ว มีหรือข้าจะเป็นคนบ้ากามชอบถ้ำมองพรรค์นั้น”
เจ้าคางคกพึมพำพร่ำบ่นยกหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระโดดเข้าไปในเตาหลอมเตาที่สองอย่างรีบร้อน แล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
เงาร่างของเขาแปรสภาพเป็นรูปลักษณ์เดิมที่เป็นคางคกทองสามขา นั่งยองอยู่ในเตาหลอมเริ่มกำหนดลมหายใจทำสมาธิ
“หึ หากข้ารู้ว่าเจ้าถ้ำมอง จะจับคางคกอย่างเจ้าย่างกินเสียเลย ได้ยินว่าขาคางคกกินแล้วชูกำลังได้ดีนี่”
หลินสวินเตือนครั้งหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุไม่คาดคิดแล้ว ก็เหยียบย่างเข้าไปนั่งขัดสมาธิในเตาหลอมเตาที่สาม
น้ำโอสถในเตาหลอมเข้มข้น โอสถวิญญาณกิ่งแล้วกิ่งเล่าจมๆ ลอยๆ บ้างสีทองอร่าม บ้างสีขาวส่องสว่าง บ้างเป็นสีแดงราวเปลวเพลิง บ้างปะทุแสงจันทรา สวยสดงดงาม กลิ่นหอมลอยละล่อง
นี่ย่อมเป็นสิ่งหรูหราน่าตื่นตะลึงหาใดเทียบ ต่อให้คนใหญ่คนโตจากเผ่าเหล่านั้นได้เห็นเกรงว่าจะอึ้งไปเช่นกัน โอสถสมบัติชั้นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงจัดเตรียมไว้ให้ผู้สืบทอดจำนวนจำกัดไม่กี่คน ไม่สามารถนำออกมาใช้อย่างทิ้งขว้างได้
หลินสวินสงบใจทำสมาธิ ในนิมิตแว่วเสียงคัมภีร์ประสานมายาที่สืบทอดมาในตระกูล เสียงสวดท่องราวเสียงธรรมดังขึ้นเป็นระลอก ทำให้เขาล่องลอยทั้งภายในภายนอก สงบราบเรียบ
จากนั้นโคจรเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินโคจร ทำให้แสงเทพภายในถ้ำสวรรค์ไหลวน ท่วงทำนองมรรคกึกก้อง แสงสมบัติไตรมรรคราวหยกขาวทอดตัวลงมาบนแท่นมรรคเก่าแก่ กลิ่นอายบริสุทธิ์ไพศาลพลิ้วลอย
หลินสวินเหม่อลอยเคลิบเคลิ้มโดยสิ้นเชิง ไม่นานนักก็จมสู่การฝึกปราณขั้นลึก ตั้งมั่นและขัดเกลาระดับปราณของตน
ในเตาหลอม นอกจากโอสถวิญญาณยังมีแร่ธาตุและวัตถุดิบวิญญาณบางชนิด อาทิผลึกแรกไม้เขียวที่รูปร่างราวกำปั้น หนอนเขาเงินที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ จักจั่นหยกหกขาที่ทั้งร่างราวเหล็กกล้า…
ทั้งหมดนี้ทำให้น้ำโอสถในเตาหลอมเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและพลังชีวิต อวลไอหมอกพวยพุ่งขมุกขมัว ไอมงคลนานาชนิดไหลเวียน แหล่งพลังชีวิตเข้มข้นจนแยกจากกันไม่ออก
ร่างของหลินสวินอยู่ภายในนั้น ถูกพลังโอสถชำระล้าง ใช้พลังโอสถเป็นตัวนำหลอมภายในและภายนอกร่างกาย บำรุงและขัดเกลา
หลังจากบรรลุระดับ สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือรากฐานไม่มั่นคง ด้วยเหตุนี้หลังผู้ฝึกปราณบรรลุระดับล้วนเลือกเก็บตัวระยะหนึ่ง จนเมื่อพลังปราณเสถียรโดยสมบูรณ์แล้ว จึงจะถือได้ว่าสำเร็จโดยสมบูรณ์
และตอนนี้หลินสวินก็กำลังสร้างความมั่นคงให้พลังปราณระดับใหม่ของตนอยู่
ระดับหยั่งสัจจะ แบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่คือขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง ทุกขั้นล้วนมีความมหัศจรรย์ของตัวเอง
ทว่าขอเพียงบรรลุระดับหยั่งสัจจะ ก็สามารถเริ่มเสาะหาหนทางสู่มหามรรคที่แท้จริง เริ่มหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งมหามรรคได้
นี่เป็นขอบเขตใหม่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
และสำหรับหลินสวินแล้ว หนทางของเขายังต่างกับผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะคนอื่น เป็นมกุฎมรรคาที่เกิดขึ้นหลังจากยกระดับจนสิ้นแล้ว ถือเป็นหนึ่งในมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถพบได้ในยุคบรรพกาล
อาทิ ยามอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ เขาก็ได้ครอบครองท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำ ตอนนี้เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำและชำระล้างของด่านเคราะห์อสนีหกครั้งอันไร้เทียมทาน ทำให้เขาซึ่งอยู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น สามารถสร้างแท่นมรรคที่มีเพียงผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงเท่านั้นถึงสร้างขึ้นได้!
อีกทั้งแท่นมรรคหยั่งสัจจะนั้นยังหลอมรวมพลังระเบียบกฎเกณฑ์ที่แปรสภาพมาจากเคราะห์สวรรค์ แปรเปลี่ยนเป็นมั่นคงและไพศาล ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ โดดเด่นเหนือใคร
ที่เหลือเชื่อที่สุดก็คือแสงสมบัติหยั่งสัจจะไตรมรรคที่พัวพันอยู่บนแท่นมรรคนั้น!
มรรคก่อเกิดหนึ่ง หนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดสรรพสิ่ง! แสงสมบัติไตรมรรคนี้คือการสะท้อนถึงมรรควิถีสูงสุด แสดงให้เห็นถึงพลังอันสัมบูรณ์ของหลินสวิน!
ตอนนี้แม้หลินสวินไม่รู้ว่าแสงสมบัติหยั่งสัจจะไตรมรรคนี้มีคุณประโยชน์เช่นไรกันแน่ แต่ที่คาดการณ์ได้ก็คือ ยิ่งเขาฝึกปราณลึกซึ้งขึ้น ไม่แน่สักวันก็จะมองทะลุความอัศจรรย์ที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายในนั้นได้!
สรุปแล้ว ทุกสิ่งที่หลินสวินครอบครองในตอนนี้ล้วนทำให้เขาโดดเด่นในหมู่ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น ถึงกับเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
ด้วยเหตุนี้ การขัดเกลาและการสร้างความมั่นคงที่เขาทำอยู่เวลานี้ ก็เพื่อทำความคุ้นเคยและควบคุมพลังสัมบูรณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงนี้โดยเร็วที่สุด!
…
สามวันผ่านไป
หลินสวินพลันลืมตาตามเสียงโครมครามที่ราวกับปะทุอยู่ภายในกาย แล้วพบว่าในเตาหลอมแห้งเหือดไปนานแล้ว พลังโอสถทั้งหมดล้วนถูกดูดซับอย่างหมดจดเหลือเพียงกากยา
‘ไม่คิดเลยว่าการสร้างความเสถียรให้ระดับปราณครั้งนี้ กลับทำให้ข้าอาศัยพลังโอสถทะลวงขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น…’
หลินสวินพึมพำในใจ ทั้งร่างเขาเกลี้ยงเกลาไร้รอยขีดข่วน เปล่งปลั่งเจิดจ้าราวกระจก ผิวหนังทุกกระเบียดล้วนเจือแสงท่วงทำนองมรรคที่พาให้ผู้อื่นหายใจไม่ออก บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างบอกไม่ถูก
‘นี่ก็คือประโยชน์ของการเสาะหาวาสนา หากครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาในแดนลับอสูรมารอริยะ ข้าก็คงไม่สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่ยากเกินคาดคิดมากมายเช่นนี้ ไปพร้อมกับการผ่านความยากลำบากมากมายเพียงนี้ได้’
หลินสวินเกิดความรู้แจ้งขึ้นในใจ
นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้ฝึกปราณใต้หล้าต้องการเสาะหาวาสนา อาจเสียงภัยนัก อาจมีตัวแปรนับไม่ถ้วน แต่ขอเพียงได้พบวาสนาโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นการเคี่ยวกรำที่ไม่ทันตั้งตัวครั้งหนึ่ง ก็จะทำให้ผู้ฝึกปราณเกิดความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง แปรเปลี่ยนไปจากเดิม!
หากมัวแต่ปิดด่านเก็บตัวอยู่ในนครต้องห้าม ย่อมไม่มีทางมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
หลินสวินออกมาจากเตาหลอมแล้วสวมเสื้อผ้า เขาในเวลานี้รับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว พลังปราณและพละกำลังถูกทำให้มั่นคงและควบคุมได้หมดจด ไม่คลุมเครืออีกต่อไป
เขาทอดสายตาไปรอบทิศ ที่หมุนเวียนอยู่ในดวงตาดำราวหุบเหวใหญ่นั้นเป็นแสงลุ่มลึกที่จะกลืนกินเวิ้งฟ้าจนหมดสิ้นอย่างหนึ่ง!
หลินสวินในเวลานี้เมื่อยกมือวาดเท้าล้วนมีท่วงทำนองแห่งมรรค มีความเชื่อมั่นไร้เทียมทาน ทั้งยังมีท่วงท่าสง่าโดดเด่นที่กล้าหาญเกินใคร
เขาถึงกับกระหายอยู่บ้างว่าอยากออกไปประสบเคราะห์ข้างนอกสักครั้ง ดีที่สุดคือได้เจอกับบุคคลชั้นยอด เพื่อพิสูจน์พลังที่แท้จริงของตน
“มองอะไรลับๆ ล่อๆ น่ะ!”
ฉับพลัน หลินสวินชำเลืองเห็นว่าเจ้าคางคกยื่นหัวออกมาจากเตาหลอม กำลังมองลับๆ ล่อๆ ไปทางจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ในเตาหลอมเตาแรก
หลินสวินตบเข้าหน้าผากเจ้าคางคกดังเผียะ ฝ่ายหลังเจ็บปวด ร้องเสียงดังลอดไรฟันออกมาว่า “ให้ตายสิ เจ้าใช้แรงเช่นนี้ทำไม คิดจะปลิดชีพข้าหรือ!”
“กล้ามองมั่วซั่วอีก ข้าจะจับเจ้าย่างกินจริงๆ แล้ว!” หลินสวินสีหน้าร้ายกาจ
เจ้าคางคกหน้าหงอย พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “ข้าห่วงความปลอดภัยของแม่นางจ้าว คิดจะดูเสียหน่อยว่าอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นหรือยัง จะไปเลวทรามต่ำช้าแบบที่เจ้าคิดได้อย่างไร ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าย่อมไม่ใช่คน เจ้าเป็นคางคกลาย ไม่เคยได้ยินหรือ คางคกลายยังอยากกินเนื้อหงส์ฟ้า ฝันไปเถอะ” หลินสวินยิ้มเหี้ยม
“นี่เจ้ากำลังลบหลู่ข้า! หากไม่ขอโทษ ข้าจะสู้กับเจ้าให้ตายไปข้างหนึ่งเพื่อเกียรติของเผ่าคางคกทองสามขา!” เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
“เอาสิ ข้ากำลังอยากหากระสอบซ้อมมืออยู่พอดี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะส่งตัวเองมาให้ข้าถึงที่” หลินสวินลูบกำปั้นถูฝ่ามือ อยากลองเต็มที
เจ้าคางคกหน้าเปลี่ยนสี ครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจพูดออกมาว่า “ช่างเถอะๆ ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่อยากจะใช้ความอาวุโสรังแกผู้น้อย ไปเอาความกับเจ้าเปี๊ยกเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง”
คิก!
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเตาหลอมเตาแรก รื่นหูราวเสียงสวรรค์ ไพเราะอย่างบอกไม่ถูก เป็นจ้าวจิ่งเซวียนฟื้นขึ้นจากการนั่งสมาธิ
ทันใดนั้นหลินสวินก็ทอดสายตามองไป
เพียงแต่เวลาต่อมาเขาก็กระอักกระอ่วนเสียแล้ว จากมุมของเขา มองเห็นร่างขาวเปล่งปลั่งที่เปิดเปลือยของจ้าวจิ่งเซวียนพอดี ภาพนั้น…งดงามเย้ายวนนัก!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น