Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 568-571
ตอนที่ 568 ศิลาโบราณอสนีเคราะห์
โดย
ProjectZyphon
กลางอากาศ นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกายดุจหุบเหวลึกสะท้อนนภากาศ ทั่วร่างอบอวลด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน มีกลิ่นอายแห่งท่วงทำนองมรรคห้อมล้อมอยู่รางๆ
เหนือศีรษะเขา เมฆาเคราะห์ลึกล้ำ พลิกตลบม้วนดำมืดราวหมึกเขียน กลิ่นอายทำลายล้างที่ปล่อยออกมาน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม
ฟ้าดินเงียบสงัด บรรยากาศกดดันยากอธิบายเต็มแน่นไปทั่วทิศ ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดตรงนั้นล้วนแข็งทื่อไปทั้งตัว
ด่านเคราะห์อสนี…
ยังไม่สิ้นสุด!
‘นี่มันมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดไร้เทียมทานตนหนึ่งกันแน่ แค่ก้าวข้ามด่านเคราะห์ระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น เหตุใดจึงชักนำมาซึ่งเคราะห์สวรรค์น่าหวาดกลัวเช่นนี้’
นี่คือความคิดของผู้ฝึกปราณทั้งหมด พวกเขาไม่เข้าใจเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าประหวั่นอย่างคาดไม่ถึงเกินไปแล้ว
เปรี้ยง!
อสนีเคราะห์รอบที่หกมาแล้ว เพียงแค่เสียงก็เปรียบดั่งฟ้าถล่มดินทลาย เสมือนผีร้องไห้เทพคร่ำครวญ เมฆาเคราะห์พลันกลายเป็นสีโลหิตบาดตา แดงก่ำงามวิจิตร ระเบิดสายฟ้าแลบเหลือคณานับ
นั่นคืออสนีเคราะห์สีเลือด อยู่นอกเหนือจินตนาการ แฝงกลิ่นอายทำลายล้างและดับสูญ ม้วนตลบอยู่ในส่วนลึกเมฆาเคราะห์ สั่นสะเทือนโลกา
หลินสวินตะโกนก้อง พลังทั่วร่างเขาเพิ่มขึ้นถึงสุดขีดที่ปัจจุบันสามารถไปถึง ยกระดับถึงขีดสุด เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่ธรณีประตูระดับหยั่งสัจจะ!
ร่างกายและเลือดลมของเขาประหนึ่งมังกรห้อทะยาน ศักยภาพแฝงทั้งมวลเวลานี้ปลดปล่อยออกมาจนหมด
แม้แต่ในห้วงนิมิต พลังจิตวิญญาณก็โคจรถึงขีดสุด ดวงดาวแห่งจิตเจิดจรัสล้อมพิทักษ์จันทร์เทพ ส่องสะท้อนห้วงนิมิต อาบไล้จิตวิญญาณ!
เวลานี้หลินสวินรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งแบบหนึ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เหนือกว่าที่ผ่านมา ผงาดผยองมาดมั่นถึงขีดสุด
เปรี้ยง!
อสนีบาตสีเลือดสายหนึ่งผ่าลงมา บิดโค้งดั่งมังกร แต่กลับถูกหมัดหลินสวินกระแทกแหลกละเอียด แสงสายฟ้าที่ถูกตีพ่ายแวววาวจ้าตา
นี่ช่างทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างออกไปเห็นฉากนี้แล้วล้วนตระหนกตกใจจนแทบกัดลิ้นตนเอง
นี่ยังใช่คนอยู่ไหมเนี่ย?
นี่คืออสนีเคราะห์รอบที่หก แดงก่ำสีเลือดชวนประหวั่นไร้ขอบเขต ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้กล้าระดับบุตรเทพ หากกล้ารั้นเข้าปะทะ ไม่ตายก็บาดเจ็บหนัก แต่เขากลับพลิกฟ้าถึงเพียงนี้…
ครืน ครืน!
เสียงกึกก้องดังขึ้นอีกครั้ง แสงสายฟ้าสีโลหิตรวมตัวหนาแน่นเส้นแล้วเส้นเล่า ดุจแส้คลั่งสีเลือดกำลังหวดตวัดเฆี่ยนพิภพ
แต่หลินสวินไม่ถอยไม่หลีก พุ่งขึ้นไปรับและปลดปล่อยอานุภาพหมัด พลังหมัดส่งเสียงกัมปนาท ถึงขั้นกระแทกสายฟ้าเหล่านั้นแตกละเอียด กลายเป็นฝนแสงกระจัดกระจาย
ในใจทุกคนพลันลนลาน สัตว์ประหลาด! เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นี่คือสัตว์ประหลาดแน่นอน!
หลินสวินมีลางสังหรณ์เด่นชัดอย่างหนึ่ง ขอแค่ก้าวผ่านอสนีเคราะห์ครานี้ไปได้ พลังปราณ จิตวิญญาณ ร่างกายและด้านอื่นๆ ของตน จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติอย่างแท้จริง!
ก็เปรียบดั่งมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร ก้าวพ้นประตูมังกรก็กลายเป็นมังกรทันที!
เวลานี้เขาปลดปล่อยศักยภาพทั่วร่างออกมาทั้งหมด ใช้พลังขั้นสูงสุดต่อต้านอสนีเคราะห์ สำแดงพลังยุทธ์ของตนออกมาถึงขีดสุด
ถึงจะฝืนปะทะอสนีเคราะห์ แต่หลินสวินกลับไม่ประมาทเพียงเสี้ยว เพราะสายฟ้าที่น่ากลัวที่สุดยังอยู่เบื้องหลัง ประมาทเพียงนิดคงร่างแหลกกระดูกป่น มีจุดจบที่จิตสิ้นวิญญาณสลาย เพราะพลังของด่านเคราะห์นั้นรุนแรงและน่ากลัวเกินไป
‘ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้’
พร้อมๆ กับที่ฝืนปะทะไม่หยุดหย่อน หลินสวินก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรนอยู่ในใจ รู้สึกตระหนกตกใจ แม้แต่ตัวเขาเองยังคาดไม่ถึงว่าด่านเคราะห์อสนีเคราะห์นี้จะแปลกประหลาดและทรงพลานุภาพปานนี้
เล่าขานกันว่าสมัยบรรพกาล มีเพียงดรุณยอดอัจฉริยะที่ฟ้าดินสรรสร้างแต่กำเนิดบางส่วนเท่านั้น ที่เมื่อยามก้าวข้ามด่านเคราะห์ต้องรับคณาเคราะห์อันน่าพรั่นพรึงที่สุด
แต่ตอนนี้หลินสวินเองก็พบเจอประสบเคราะห์แบบเดียวกัน!
‘น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…’
หลินสวินแหงนมองเมฆาเคราะห์บนฟากฟ้า ปะทะต่อสู้ศึกมาถึงตอนนี้ เขาก็รู้สึกเกินกำลังและอ่อนเพลีย ด้วยผลาญพลังไปมาก
แต่อสนีเคราะห์สีเลือดนั่นไม่มีแนวโน้มอ่อนกำลังล่าถอยไปโดยสิ้นเชิง นี่ทำให้หลินสวินสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งยวด
ราวกับว่าคณาเคราะห์จากสวรรค์ครานี้ ไม่ยินยอมให้ตนก้าวข้ามอย่างไรอย่างนั้น!
ครืน!
ทันใดนั้นส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ปรากฏทะเลสายฟ้าสีเลือดลอยเด่นขึ้น เคลื่อนไหวโหมกระหน่ำ เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ประหนึ่งผืนน้ำไร้ขอบเขตสีโลหิตไหลพุ่ง
‘ไม่ดีแน่!’
หลินสวินหน้าถอดสี อันตรายมาเยือนแล้ว ในอสนีบาตสีเลือดนั่นถึงขั้นปรากฏศิลาโบราณแท่นหนึ่ง เลือดชโลมไหลบ่าแสงสายฟ้า ปลดปล่อยคลื่นทำลายล้างอันน่าหวาดกลัวออกมา
ศิลาโบราณนี่เป็นการโจมตีของอสนีเคราะห์!
สีหน้าผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าดูห่างออกไปพลันแปรเปลี่ยน ต่างไม่กล้าเชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง
ตึง!
ศิลาโบราณบีบอัดกดดัน ผ่าสังหารลงมาอย่างหนักหน่วง ห้วงอากาศถูกกดจนทรุดลง
หลินสวินตะโกนก้อง โจมตีเต็มกำลังอย่างหนักหน่วงไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย หมายทลายมันให้แหลกละเอียด
อสนีเคราะห์ระเบิดพลัง อากาศแถบนั้นปั่นป่วนอลหม่าน แสงโลหิตเรืองรองส่องฟ้าดิน ศิลาโบราณพลังมหาศาล ไร้สรรพสิ่งทลายลงได้ เพียงชั่วพริบตาก็บีบกดบนร่างหลินสวินอย่างหนักหน่วง
พรูด!
หลินสวินผิวปริเนื้อแตก เลือดเนื้อปะปน ภายใต้การฆ่าสังหารจากอสนีเคราะห์ที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ท้ายที่สุดเขาก็แบกรับไว้ไม่อยู่จนได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส
ศิลาโบราณรวมแสงเจิดจรัสหนาแน่น ธารสายฟ้าสีเลือดไหลหลั่ง ประหนึ่งพลังอันสามารถกำราบลบล้างทุกสรรพสิ่ง สับผ่าหลินสวินไม่หยุดหย่อน
ภาพเหตุการณ์นั่นน่าตระหนกเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้า ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดแทบลืมหายใจ เดิมทีพวกเขามาเพื่อช่วงชิงศุภโชคบนตัวหลินสวิน กลับไม่เคยคิดเลยว่ายังไม่ทันลงมือ ก็ได้เห็นอสนีเคราะห์ไร้เทียมทานฉากหนึ่งด้วยตาตนเอง!
ในพายุสายฟ้าสีโลหิตถึงกับก่อตัวเป็นศิลาโบราณแท่นหนึ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน แปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว
ฆ่า!
กลางท้องฟ้า หลินสวินแม้ถูกถล่มจู่โจมได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่แววตาเขากลับเฉียบคมล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม ออกมือโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง
อีกทั้งเขาได้เริ่มปลดปล่อยพลังแฝงสุดท้ายเพื่อทะลวงเข้าระดับหยั่งสัจจะ!
ตึง!
ศิลาโบราณดั่งมีวิญญาณ กดกำราบไม่หยุดหย่อน เปิดฉากแสงอสนีสีเลือดทั่วผืนฟ้า กระหน่ำต่อสู้กับหลินสวินอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ศิลาโบราณก็พังทลายกลายเป็นฝนแสงในท้ายที่สุด แต่หลินสวินกลับกระอักเลือดคำโต กระดูกทั่วร่างแตกหักหลายจุด สีหน้าซีดเผือดถึงขีดสุด
ก้าวข้ามแล้ว?
เมื่อในใจผู้ฝึกปราณทั้งหมดเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ก็เห็นว่าในเมฆาเคราะห์บังเกิดน้ำวนน่าหวาดหวั่นแห่งหนึ่ง หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง!
สวบ!
ชั่วพริบตาเท่านั้น วังน้ำวนซัดสาดโหมกระหน่ำนั่นพลันกลืนกินเงาร่างหลินสวินเข้าไปอย่างคาดไม่ถึง
ทันใดนั้นเสียงร้องตระหนกตกใจมากมายดังขึ้น
“น้ำวนอสนีเคราะห์? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เจ้าเด็กนั่นประสบเภทภัยแล้วรึ”
“ถึงกับถูกม้วนเข้าสู่ส่วนลึกเมฆาเคราะห์ ยังจะมีชีวิตรอดได้อีกหรือ”
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างถูกทำให้ตกตะลึง หัวสมองเบลอไปหมด เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นปุบปับเกินไปแล้ว ยังไม่รอให้พวกเขาดึงสติกลับมา เงาร่างของหลินสวินก็ถูกม้วนกลืนหายไป
พวกเขาต่างตระหนักได้ว่า เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นเกรงว่าคงมีแต่ทางตายไร้ชีวา น้ำวนอสนีเคราะห์นั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว ราวกับเป็นช่องทางส่งตัวจากสรวงสวรรค์ หมายลบล้างขจัดหลินสวิน ไม่อนุญาตเขาฝืนฟ้าตัดวิถี
“ตายหรือยัง”
สายตาทั้งหมดมองไปยังแผ่นฟ้า ที่ทำให้พวกเขาเกินคาดหมายคือ เมฆาเคราะห์หนาแน่นนั่นยังไม่จางหายไป บดบังฟ้าคลุมตะวัน ลอยคว้างอยู่บนห้วงอากาศ ภายในยังมีเสียงฟ้าร้องกัมปนาทปั่นป่วนสะเทือนโสตประสาท
ทั้งหมดนี้แปลกประหลาดและลี้ลับเกินไป ทำให้ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร ได้แต่รอคอย
…
ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์เสมือนอาณาจักรสายฟ้าแห่งหนึ่ง พายุสายฟ้าชวนประหวั่นโถมกระหน่ำราวผืนน้ำไร้ขอบเขตต่อเนื่องเป็นระลอก วิวัฒน์เป็นแสงหลากสีสัน ทั้งสีม่วง สีทอง สีเลือด สีเงิน สีเขียว… สว่างพร่างพรายหาใดเปรียบ
กลิ่นอายปานทำลายล้างอุดมทั่วอีกครั้ง สามารถมองเห็นเป็นระยะๆ ว่าสายฟ้าแต่ละเส้นแปรเปลี่ยนเป็นดาบ ทวน กระบี่ ง้าว เริงระบำคำรามก้อง
ยังสามารถเห็นศิลาโบราณแท่นแล้วแท่นเล่าเกาะกลุ่มรวมตัว เต็มไปด้วยธารอสนี แสงสายฟ้าไหลหลั่ง แผ่กลิ่นอายปานจะดับสลายโลกาออกมา
ตูม!
หลินสวินยังไม่ทันได้ใคร่ครวญก็เปิดฉากการต่อสู้ เพราะทันทีที่เขามาถึงก็ถูกจู่โจมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
ดาบอสนี กระบี่อสนี ทวนอสนี ง้าวอสนี… ประหนึ่งเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานทั่วผืนฟ้า ขณะเดียวกันก็มีศิลาโบราณมากมายพุ่งเข้ามาหมายสยบเขา!
เพียงพริบตาร่างกายหลินสวินก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เลือดเนื้อปะปน กล้ามเนื้อและกระดูกฉีกแตก แทบจะถูกบดขยี้ทำลายล้าง
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ใครจะคิดว่าอสนีเคราะห์รอบที่หกนี่จะแปลกประหลาดเช่นนี้
“บัดซบ! จะไม่ยอมให้ข้ามีชีวิตต่อไปหรือไง”
หลินสวินกระอักเลือด เขาน่าอนาจเกินไปแล้ว อย่าว่าแต่ทะลวงระดับเลย แม้แต่จะรักษาชีวิตไว้ยังดูเป็นปัญหา
ครืน!
ศิลาโบราณแท่นหนึ่งกดอัดลงมา ปกคลุมร่างกายหลินสวิน หลินสวินคำรามเสียงอึดอัดอย่างกลั้นไม่อยู่ เจ็บปวดสาหัสหาใดเปรียบ รู้สึกเหมือนตนเองใกล้จะแตกละเอียดดับสูญ ไม่เพียงแต่กายเนื้อ แม้แต่จิตวิญญาณก็ล่อแหลมอันตรายเป็นอันมาก
“ไอ้ระยำ! ข้าไม่เชื่อว่าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้!”
ดวงตาหลินสวินแดงไปหมด ภายใต้ภัยคุกคามถึงชีวิต ทำให้เขาไม่สนอะไรอย่างสิ้นเชิง อ้าปากกลืนโสมราชันโคมสมบัติผลหนึ่ง
พริบตานั้นอาการบาดเจ็บทั่วร่างฟื้นคืนสภาพเดิม อยู่ในสภาพสมบูรณ์ถึงขีดสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งตัวสาดแสงสว่างไสวเปล่งประกายโชติช่วง
นี่ก็คือความอัศจรรย์ของโอสถสมบัติไร้เทียมทาน ฟื้นคืนคนตาย แค่เพียงผลเดียวก็ทำให้หลินสวินฟื้นฟูกลับมาในพริบตา!
“ตายซะ!”
หลินสวินแผดคำราม ผมดำพลิ้วไหวลอยล่อง ต่อสู้กับอสนีเคราะห์ทั่วผืนฟ้า
ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ เพลงดาบวัฏจักรฟ้า ปะทะฟู่ซี่… พลังยุทธ์ทั้งหมดถูกโคจรถึงขั้นสูงสุด
ครืน ครืน…
ก็เห็นในอาณาจักรอสนีเคราะห์นี้ หลินสวินตัวคนเดียวฆ่าสังหารทั่วทศทิศ บ้างราวชือน้ำแข็งพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า บ้างสำแดงวิถีหมัดสะเทือนสวรรค์ บ้างผ่าแหวกเป็นแสงดาบน่าพรั่นพรึง
เขาลืมสิ้นทุกสรรพสิ่ง ความคิดหนึ่งเดียวในใจคือต้องเอาชนะอสนีเคราะห์ ต้องรอดชีวิตจากด่านเคราะห์อสนีนี้ไปให้ได้!
ในกระบวนการนี้ การควบคุมวิถียุทธ์ของเขาก็ยกระดับอย่างก้าวกระโดด ก้าวย่างชือน้ำแข็งเปลี่ยนเป็นพิศวงเกิดคาดเดายิ่งกว่าเดิม อานุภาพปะทะฟู่ซี่ก็แข็งแกร่งดุดันน่าประหวั่นขึ้นเรื่อยๆ…
กระทั่งตอนท้าย เขายิ่งสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ซ้อนทับถึงแปดชั้นออกมา! ทันทีที่กระบวนท่านั้นปรากฏ พลานุภาพก็มากพอจะดับสิ้นฟ้าดิน ป่นใต้หล้าให้เป็นจุณ!
“ฆ่า!”
หลินสวินยิ่งสู้ยิ่งหาญกล้า ศาสตร์ลับเลิศล้ำที่ข้องเกี่ยวกับวิถียุทธ์นานัปการปรากฏขึ้นในใจไม่หยุดหย่อน
แต่ทว่าอสนีเคราะห์นั่นยังคงน่าสะพรึงกลัวหาใดเปรียบ ประหนึ่งก่อเกิดสืบเนื่องไร้สิ้นสุด ศิลาโบราณดุจพงพนากดอัดจากทุกทิศ สายฟ้าดั่งน้ำตก หมายจมทุกสรรพสิ่ง
ไม่นานนักหลินสวินราวกับได้ยินเสียงธรรมที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่เลือนราง จากนั้นสายฟ้าสีเลือดสายหนึ่งก็กลายเป็นทวนหนึ่งเล่ม สานพันด้วยระเบียบและกฎเกณฑ์สูงสุด!
ประหนึ่งเป็นทวนแห่งการพิพากษาแห่งวิถีฟ้าอันน่าเกรงขาม!
เสียงฟุ่บหนึ่งดังขึ้น มันทะลวงผ่านร่างหลินสวินในคราเดียว หลินสวินรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณใกล้จะดับสลาย ร่างกายพังทลายลงทีละส่วน
“ระยำ!”
ภายใต้ความเจ็บปวดสาหัสหลินสวินแผดเสียงคำรามออกมา ดวงตาปูดโปนแทบถลน เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรือสวรรค์ก็มิอาจยอมรับเขา?
ท้ายที่สุดในนัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววเด็ดเดี่ยว ประจักษ์ชัดแจ้งว่าด่านเคราะห์อสนีของเขาแตกต่างกับคนอื่นโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือตีฝ่าหาทางรอดชีวิตให้ได้!
นี่คือหนทางน่ากลัวและล่อแหลมอันตรายที่สุดเป็นแน่ แต่เขาไร้ซึ่งตัวเลือกแล้ว!
ครืน!
หลินสวินกลืนโสมราชันโคมสมบัติอีกครั้ง เริ่มหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เขาในเวลานี้ไม่โกรธแค้นและกระสับกระส่ายอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวและนิ่งสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
…………………..
ตอนที่ 569 เปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด
โดย
ProjectZyphon
ฆ่า!
นี่คือสมรภูมิความเป็นตายฉากหนึ่ง หลินสวินตัวคนเดียวประจันหน้ากับอาณาจักรอสนีเคราะห์ รอบด้านแสงสายฟ้าเริงระบำ ทั่วนภาล้วนเป็นภาพตื่นตระหนกน่าตกใจ
เลือดเนื้อทั่วร่างเขาทุกส่วนกำลังสมานเต็มอัตรา พลังทั่วสรรพางค์ฟื้นคืนถึงขีดสุดใหม่อีกครั้ง ทั้งยังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง!
ชิ้ง!
ดาบหักปรากฏส่งเสียงกระจ่างใส อบอวลท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ สำแดง ‘กระบวนท่าคว้าดารา’ และ ‘กระบวนท่าสอยจันทรา’ แห่งเพลงดาบวัฏจักรฟ้าออกมาถึงขีดสุด
ก็เห็นทุกหนแห่งที่ดาบหักพาดผ่าน ประดุจมีดวงดาราร่วงหล่นทีละดวงๆ อุดมไปด้วยกลิ่นอายมลายล้างอันน่าหวาดกลัว โหมกระหน่ำบดทำลายแสงสายฟ้าให้แหลกละเอียด
ทันใดนั้นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ดวงหนึ่งลอยเคลื่อนคล้อย แสงสว่างไสวอบอวล บริสุทธิ์ผุดผ่องเหลือประมาณ สายฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ทันประชิดก็ถูกบดขยี้จนราบคาบ
กล่าวถึงอานุภาพ กระบวนท่าคว้าดาราและสอยจันทราต่างจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ประทับท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ และถูกหลินสวินดึงความสามารถออกมาเต็มกำลัง อานุภาพเองก็ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
การโจมตีเช่นนี้ถึงขั้นสามารถสังหารผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะทั่วไปอย่างง่ายดาย!
อีกทั้งขณะต่อสู้ยังผ่านการหล่อหลอมและชำระล้างของอสนีเคราะห์ ทำให้หลินสวินเข้าใจสองกระบวนท่านี้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
พลังที่สำแดงออกมาระหว่างขยับเคลื่อนกระบวนท่าเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
“กระบวนท่าเผาตะวัน!”
ขณะต่อสู้ หลินสวินพลันแผดเสียงตะโกนออกมา ดาบหักเอ่อล้นด้วยแสงจ้าบาดตา ผ่าแหวกสังหารออกไปโดยพลัน
ภายใต้หนึ่งดาบกลับเหมือนสุริยันร้อนแรงปรากฏ เผาผลาญโหมกระหน่ำ ปลดปล่อยอานุภาพอัศจรรย์ทลายฟ้ามลายดิน ลานตาถึงขีดสุด ชัชวาลแผ่ไพศาลไร้สิ้นสุด!
นี่ก็คือกระบวนท่าที่สามแห่งเพลงดาบวัฏจักรฟ้า… เผาตะวัน!
ในอดีต หลินสวินทำความเข้าใจศาสตร์ลับซึ่งแฝงอยู่ในกระบวนท่านี้มาตลอด แต่เนื่องจากมันล้ำลึกยากหยั่งถึงและซับซ้อนเกินไป ทำให้หลินสวินแม้หยั่งถึงได้แต่กลับยากจะสำแดงมันออกมา
ทว่าเวลานี้ ภายใต้ภัยคุกคามถึงชีวิตของอสนีเคราะห์ กลับทำให้หลินสวินปะทุพลังแฝงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สำแดงกระบวนท่านี้ออกมาเป็นครั้งแรก!
แค่เพียงพริบตาก็เสมือนดวงตะวันร้อนแรงปะทุระเบิด อสนีเคราะห์ที่ม้วนซัดอยู่ใกล้เคียงถึงกับถูกแผดเผาจนเกลี้ยง!
อานุภาพสะเทือนใต้หล้าปานนี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกเกินคาดหมาย
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! น่ากลัวกว่ากระบวนท่าคว้าดาราและสอยจันทราเสียอีก เป็นพลังทำลายล้างอันเด็ดขาดไร้เทียมทานอย่างหนึ่ง ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดไม่พังทลาย ไม่มีสิ่งใดไม่มอดไหม้เป็นจุณ!
ครืน ครืน!
เพียงแต่อสนีเคราะห์ปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็วราวถูกยั่วโทสะ พลานุภาพเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวกว่าแต่ก่อน ศิลาโบราณนับหมื่นนับพันปรากฏขึ้นถี่ยิบแน่นขนัด ประดุจดั่งวิวัฒน์จากสายฟ้า แสงอสนีเจิดจ้าไหลบ่า แค่เพียงกลิ่นอายก็แทบทำให้ผู้คนพังทลาย
ฆ่า!
หลินสวินคำราม เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่าน อุตส่าห์ยืนหยัดมาถึงขั้นสุดท้ายจะถูกขวางเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญ เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ละคราก็จะกลืนโสมราชันโคมสมบัติผลหนึ่ง ไม่ท้อถอยยอมแพ้แม้แต่น้อย
นี่คือสมรภูมิความเป็นตายฉากหนึ่ง ทั้งอันตรายและยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ต่อให้เป็นเหล่าผู้กล้าแห่งรุ่นที่น่าตกตะลึง เกรงว่าคงยืนหยัดต่อไปไม่ไหว
อันที่จริงหากไม่มีโสมราชันโคมสมบัติช่วยเสริม ต่อให้เป็นหลินสวินก็ยากจะยืนหยัดถึงตอนนี้แน่นอน อสนีเคราะห์นั่นแปลกประหลาดและวิปริตเกินไป หมายกำจัดสังหารเขา ไม่ให้เขาก้าวผ่านไปโดยง่าย
ตูม!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในอาณาจักรอสนีเคราะห์ ศิลาโบราณถี่ยิบแน่นขนัดไม่ปรากฏอีกต่อไป ต่างเริ่มเปลี่ยนเป็นเลือนราง กลายเป็นรูปลักษณ์สายฟ้าใหม่อีกครั้ง
เปรี๊ยะ!
ขณะเดียวกันนี้ ภายในร่างหลินสวินราวกับมีเครื่องพันธนาการหนึ่งถูกทำลาย ทำให้พลังปราณเขาก้าวสู่เขตแดนใหม่ในพริบตา
ทะลวงระดับแล้ว!
กลางทะเลปราณมีถ้ำผสานหนึ่งกำลังวิวัฒน์ ภายในขุ่นมัวเลือนราง ประดุจถ้ำสถิตแห่งความว่างเปล่า ทั้งราวกับต้นแบบแห่งโลกหล้า ภายในมีพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์รุ่งโรจน์ไหลบ่า กว้างใหญ่ไพศาลปานไร้สิ้นสุด
เวลานี้ท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ พลังยุทธ์ ต้นกำเนิดปราณที่หลินสวินครอบครองไว้ ล้วนต่างรวมกันอยู่ในถ้ำผสาน
ก็เห็นถ้ำผสานนั่นส่งเสียงกัมปนาทไม่หยุด แสงแวววาวเปล่งประกายไหลหลั่ง มีกลิ่นอายท่วงทำนองแห่งมรรคและต้นกำเนิดวิถียุทธ์ประทับอยู่บนนั้น ทำให้ทั้งถ้ำผสานขยายออกอย่างต่อเนื่อง ส่องสว่างไม่หยุดหย่อน ศักดิ์สิทธิ์สง่างามถึงที่สุด!
ท่ามกลางความเลือนรางพร่ามัว ถึงกับมีเสียงธรรมดังต่อเนื่องก้องสะท้อนจากถ้ำผสาน ประหนึ่งมีอริยบุคคลบรรพกาลกำลังนั่งสมาธิท่องพระคัมภีร์อยู่ภายใน
ครืน!
ท้ายที่สุด ภายในถ้ำผสานก็ปรากฏแท่นมรรคลึกลับหนึ่ง สะอาดบริสุทธิ์ดุจกระจก อบอวลไปด้วยหมอกแห่งศุกลไตรมรรค เผยความเร้นลับออกมาโดยสมบูรณ์
‘แท่นมรรคหยั่งสัจจะ’!
นี่คือแท่นมรรค มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเป็นเลิศเท่านั้นจึงจะก่อร่างสร้างจากรากฐานมหามรรคของตนขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาหลังมรรควิถีทั้งร่างยกระดับถึงขีดสุด!
ต้องรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั่วไป มีเพียงก้าวไปถึงระดับหยั่งสัจจะขั้นสมบูรณ์เท่านั้นจึงจะสามารถหลอมรวมมรรควิถีทั่วร่างเป็นแท่นมรรคได้ อาศัยสิ่งนี้ค้ำจุนและหลอมชำระรากฐานแห่งตน
แต่เห็นชัดว่าหลินสวินต่างออกไปอย่างมาก ถึงอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นก็หลอมแท่นมรรคออกมาได้สำเร็จ นี่คือหนทางอันเลิศล้ำเส้นหนึ่งอย่างแน่นอน!
เหมือนอย่างอวี่เซียวเซิงและหลินหลาง เหตุผลที่ถูกเลือกเป็นบุตรเทพและธิดาเทพ ก็เพราะยามพวกเขาบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอยู่โข ก่อร่างสร้างแท่นมรรคแห่งตนได้ก่อน เป็นผู้นำในระดับหยั่งสัจจะ สื่อถึงรากฐานพลังและพลังแฝงอันพิเศษโดดเด่นอย่างหนึ่ง
เพียงแต่หลินสวินไม่เหมือนอวี่เซียวเซิงและหลินหลาง
บนแท่นมรรคหยั่งสัจจะของเขายังแฝงไว้ด้วยแสงวิญญาณดุจดั่งหยกขาวของศุกลไตรมรรค แวววาวเปล่งประกาย ศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์
นี่คือ ‘แสงสมบัติหยั่งสัจจะ’!
แม้แต่ในสมัยบรรพกาลก็มีน้อยคนนักที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เพราะนี่หมายความว่ารากฐานแห่งตนได้เจียระไนถึงระดับสุดยอดเหนือสุด แสดงถึงความสำเร็จสูงสุดที่อยู่ในระดับขั้นนี้!
คำกล่าวที่ว่า มรรคก่อเกิดหนึ่ง หนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดสรรพสิ่ง!
‘แท่นมรรคหยั่งสัจจะ’ นั้นเป็นตัวแทนของมรรควิถีแห่งตน คือต้นกำเนิดแรกเริ่ม หรือก็คือ ‘หนึ่ง’ แสงสมบัติหยั่งสัจจะไตรมรรคตอบสนองต่อสิ่งนี้ เป็นการอธิบายถึงความล้ำเลิศแห่งสามก่อเกิดสรรพสิ่ง ขานรับกับมหามรรค สอดคล้องกับความลี้ลับบางอย่างที่ยากจะควบคุมกำหนด
ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนถึงมรรคาอันแข็งแกร่งที่สุดซึ่งถูกกำหนดไว้!
ในใจหลินสวินเกิดการรู้แจ้งมากมาย
ถ้ำผสานดุจมายามีชื่อเรียกว่าถ้ำสวรรค์หยั่งสัจจะ ภายในสลักวิถีปราณอยู่ถ้วนทั่ว คือสถานที่แห่งรากฐานมหามรรคของตน รวบรวมและสลักประทับพลังต้นกำเนิดทั้งหลาย ทั้งสัจจะมหามรรค วิชาเยี่ยมยอดที่หยั่งถึง วิถียุทธ์เป็นต้น
พลังทั้งหมดนี้ก่อร่างสร้าง ‘แท่นมรรคหยั่งสัจจะ’ มันคือสิ่งสะท้อนมรรควิถีแห่งตน แท่นมรรคยิ่งมั่นคง ถ้ำสวรรค์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง พลังที่สามารถนำมาใช้ก็ยิ่งทรงพลังตามไปด้วย
แต่ ‘แสงสมบัติหยั่งสัจจะ’ กลับเป็นสิ่งสะท้อนของความเป็นเลิศประเภทหนึ่ง มันเป็นการชี้บ่งถึงเส้นทางที่ตนก้าวเดินมาว่าไปถึงขั้นสุดยอดสูงสุด เป็นหนึ่งในหนทางอันแข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค!
‘นี่ก็คือการยกระดับหลังขั้นสมบูรณ์ถึงขีดสุด ทำให้ทันทีที่ข้าก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ ก็มีฐานมรรคที่คนอื่นไม่อาจทัดเทียม… หากไม่มีการสั่งสมและกดอัดอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงไม่มีทางได้ผลสำเร็จเช่นนี้เป็นแน่…’
หลินสวินขบคิด
เวลานี้เขากลายเป็นมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเรียบร้อยแล้ว เลือดลมทั่วร่างดุจหินหนืดพลุ่งพล่านเป็นจังหวะ โครงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ ก่อร่างและเปลี่ี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ทั้งหมดหลังเลื่อนระดับ เสมือนทลายปราการชีวิตอย่างหนึ่ง ปรากฏการแปรสภาพอีกครั้ง รากฐานพลังอันแข็งแกร่งและพลังแฝงที่มีแต่เดิม เวลานี้ทั้งหมดล้วนกลายเป็นแรงขับแห่งการเปลี่ยนแปลง
แค่ชั่วพริบตาอาการบาดเจ็บที่หลินสวินได้รับก่อนหน้านี้ล้วนดีขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์อบอวลทั่วร่าง ท่วงทำนองมรรคเกาะกุมห้อมล้อม เลือดลมปานหมอกควันสงครามสายหนึ่งพุ่งออกจากกลางศีรษะ ทลายชั้นเมฆพุ่งทะยานออกนอกทะเลอัสนีเคราะห์!
เหตุการณ์นี้ผิดแปลกชวนตระหนก ร่างซึ่งถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัส มาตอนนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไป ประหนึ่งหงส์ไฟฟื้นคืน ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ทำให้กระดูกแต่ละท่อนทั่วร่างเขาต่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แสงสมบัติพวยพุ่ง
ส่วนเลือดเนื้อเยื่อผิวของเขายิ่งกระจ่างแวววาวราวหยกขาวเจียระไน พลังชีวิตอันยิ่งใหญ่และพลังที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวไหลเวียนมิอาจขวางกั้น
สำหรับจิตวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม วัฏจักรหมู่ดาวในห้วงนิมิต จันทร์ศักดิ์สิทธิ์กลางนภา ทุกหนแห่งล้วนเป็นประกายดาราและแสงจันทร์ งามตระการหาใดเปรียบ
นี่ก็คือระดับหยั่งสัจจะ!
หลินสวิน ณ ปัจจุบันยืนอยู่บนเขตแดนนี้ สามารถสังเกตปริศนาและความเร้นลับแห่งมหามรรค ดูดกลืนความยอดเยี่ยมแห่งต้นกำเนิดของฟ้าดิน
แม้เป็นเพียงแค่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น แต่หลินสวินเวลานี้กลับมีความเชื่อมั่นหนึ่งว่าไร้ซึ่งคู่ต่อกร เขาในตอนนี้ผิวหนังเป็นประกายดั่งหินหยก แม้อาภรณ์ย้อมด้วยโลหิต แต่กลับมีท่วงท่าหยิ่งผยองไร้มลทิน!
ในช่วงที่ผ่านเขาถูกกดข่มอยู่หลายครา มาตอนนี้เมื่อก้าวข้ามด่านเคราะห์และไม่ดับสูญ ก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ ทำให้ปราณของหลินสวินเหมือนดั่งภูเขาไฟที่สะกดกลั้นมานานปล่องหนึ่ง ปะทุระเบิดออกอย่างสมบูรณ์
พลังชั้นยอดหลังยกระดับถึงขีดสุดเช่นนี้ ต้องสะท้านโลกาเป็นแน่!
ตูม!
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงคือ ด่านเคราะห์อสนีที่เดิมทีเงียบไปแล้ว เวลานี้ถึงกับระเบิดออกอีกครั้งในชั่วขณะเดียว
ฟ้าถล่มดินทลาย พลานุภาพน่าหวาดกลัวกว่าก่อนหน้า!
ก็เห็นโซ่ที่แปลงมาจากอสนีเคราะห์เส้นหนึ่งโฉบออกมา ร้อยรัดกลิ่นอายกฎเกณฑ์สูงสุด จู่โจมทะลวงผ่านห้วงอากาศทั้งมวล
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง ไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกโซ่อสนีเคราะห์นั่นผ่าลงบนร่าง เนื้อผิวแตกปริไปทั้งตัว!
ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสทันที ถ้ำสวรรค์ภายในร่างที่เพิ่งก่อร่างรวมตัวเมื่อครู่เกือบถูกทำลาย!
ฮวบ!
เงาร่างของเขาร่วงหล่นจากฟากฟ้าอย่างน่าอนาถยิ่ง เขาไหนเลยจะคาดคิด เดิมคิดว่าข้ามผ่านด่านเคราะห์อสนีแล้ว แต่ท้ายที่สุดกลับปรากฏการโจมตีอย่างน่าหวาดกลัวในคราเดียวเช่นนี้
หากมิใช่หลังเขาทะลวงสู่ระดับหยั่งสัจจะ พลังที่ครอบครองไม่อาจเทียบกับก่อนหน้า แค่การโจมตีเดียวนี้ก็สามารถลบเขาไปจากโลกอย่างง่ายดายเป็นแน่!
เจ็บ!
เลือดเนื้อแหลกเหลวปะปนทั้งร่าง ถูกพลังมลายล้างอันน่าประหวั่นทำลาย ทำให้หลินสวินทั้งโกรธแค้นทั้งจนปัญญา ได้แต่เบิกตามองตนเองร่วงหล่น
โชคดี หลังการจู่โจมนี้อสนีเคราะห์นั่นดูเหมือนใช้อานุภาพไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นมืดสลัวเลือนราง ก่อนเริ่มถอยกระจายออกไป
…
บริเวณใกล้เคียง นับจากหลินสวินถูกม้วนกลืนสู่ส่วนลึกเมฆาเคราะห์ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว
ในเวลานี้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดจิตใจสั่นไหว ตระหนกใจสงสัยไม่หยุด ส่วนลึกเมฆาเคราะห์แสงสายฟ้าวาบแปลบปลาบ อึกทึกครึกโครม สำแดงอานุภาพตลอดเวลาไม่เคยหายไป
นี่ทำให้พวกเขาตระหนักว่า เป็นไปได้สูงที่หลินสวินยังต่อสู้ดิ้นรนอยู่
และเพราะเหตุนี้พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงความน่าตระหนกยากจะเอ่ยอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเข้าไปคงตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่!
แต่ถึงตอนนี้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นยังไม่ถูกพิฆาต นี่มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ฝืนชะตาฟ้าอย่างแท้จริง!
และในเวลานี้เอง พวกเขาก็มองเห็นว่าในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ เงาร่างของหลินสวินเหมือนกระสอบทรายที่แตกออก ซวนเซร่วงหล่นลงมา
ทั่วร่างเขาเลือดเนื้อไหลอาบฉกาจฉกรรจ์ ผิวหนังดำไหม้เกรียม เลือดกระอักกบปาก เห็นชัดว่าบาดเจ็บหนักใกล้ตาย!
แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดก็ส่งเสียงอื้ออึงทันที อึกทึกครึกโครมไปถ้วนทั่ว
ยังไม่ตาย!
เจ้าหมอนี่จนถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ตาย มีชีวิตรอดออกมาจากส่วนลึกของเมฆาเคราะห์!
นี่ราวกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งโดยแท้จริง ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างตกตะลึงพูดไม่ออก ไม่อาจจินตนาการได้ หลินสวินต้านทานด่านเคราะห์อสนีที่น่ากลัวและลี้ลับเช่นนั้นได้อย่างไร ทั้งเหตุใดถึงยังรอดชีวิต ช่างเป็นปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว!
……………..
ตอนที่ 570 เมฆาเคลื่อนทั่วทศทิศ
โดย
ProjectZyphon
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ทว่ายามทะลวงเข้าระดับหยั่งสัจจะกลับนำมาซึ่งด่านเคราะห์อสนีไร้เทียมทาน นับแต่โบราณมายากจะได้เห็น แปลกประหลาดชวนประหวั่น
นี่เดิมทีก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเกินคาดหมายและตกตะลึง แต่เมื่อเห็นว่าท้ายที่สุดหลินสวินมีชีวิตรอดจากด่านเคราะห์อสนี ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกคาดไม่ถึงกว่าเดิม
เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่
ในเผ่ามนุษย์ ตั้งแต่เมื่อไหรกันที่ปรากฏสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าตนหนึ่งเช่นนี้
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงนั้นสั่นสะท้านพูดไม่ออก
สวบ!
แต่ทว่าท่ามกลางความเงียบสงัด ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งพลันพุ่งออกมาประดุจสายฟ้าแลบ มุ่งกระโจนสังหารไปยังหลินสวินที่อยู่ห่างไกลทันที
เหตุการณ์นี้กะทันหันเกินไป ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างชะงักงัน
จากนั้นพวกเขาก็รู้ตัวทันที เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นแม้รอดชีวิตจากด่านเคราะห์อสนีแต่กลับบาดเจ็บหนักใกล้ตายอยู่รอมร่อ เวลานี้คือโอกาสดีที่สุดที่จะกำจัดเขาซะ!
เมื่อนึกถึงว่าบนตัวเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นยังซ่อนมหาศุภโชคจากเกาะอริยะปัญจธาตุ ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่บริเวณนี้เหล่านั้นยิ่งอดรนทนไม่ไหวกว่าเดิม
“เจ้าคนเผ่าเหยี่ยววายุนั่นเหลี่ยมจัดนัก ถึงขั้นลงมือเป็นคนแรก!”
“หึ เขาลงมือแล้วอย่างไร แถบนี้มีคู่แข่งกระจายอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีหรือจะให้เขาเผ่าเหยี่ยววายุช่วงชิงศุภโชคไป”
“ฆ่า! ฉวยจังหวะที่เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นบาดเจ็บสาหัสต้องกำจัดมันให้ได้ มิฉะนั้นรอมันฟื้นคืนขึ้นมา จะต้องเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่งแน่นอน!”
เสียงตะโกนก้องดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก ทำลายบรรยากาศชวนตระหนกบนฟ้าดินนี้ ผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มโผนทะยานเต็มอัตรา พุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่หลินสวินอยู่
พวกเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าของทะเลกลืนวิญญาณ อยู่ภายใต้ขุมอำนาจชนพื้นเมืองบรรพกาล คนที่สามารถเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะได้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ ไม่มีผู้อ่อนแอแม้เพียงคนเดียว
แต่ตอนนี้พวกเขาเคลื่อนพลพร้อมกัน หนึ่งเพื่อแย่งชิงศุภโชคบนตัวหลินสวิน สองคือหมายฉวยโอกาสนี้กำจัดหลินสวินในคราเดียว
ถึงอย่างไรการก้าวข้ามด่านเคราะห์ของหลินสวินเมื่อครู่ก็พลิกฟ้าและสะเทือนใต้หล้าเกินไป ทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามอย่างลึกซึ้ง
ชั่วขณะเดียวในผืนป่านี้ก็เต็มไปด้วยแสงเคลื่อนไหวทุกทิศทาง พร่างพรายละลานตาแน่นขนัด พุ่งออกมาจากทั่วทุกทิศ ราวกับรุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมตัวกันหนาแน่น
“เผ่ากวางหยก เผ่าคชามาร เผ่าวิญญาณสมุทร เผ่ากาฬพฤกษ์… บัดซบ! ทำไมคู่แข่งถึงมากมายเช่นนี้”
แต่จากที่ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าปรากฏตัว ทำให้ที่แห่งนั้นเปิดฉากอึกทึกทันที ต่างคาดไม่ถึงว่าครานี้ เพียงเพราะเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวจะดึงดูดคู่แข่งมามากมายขนาดนี้
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณจำนวนมากตะลึงงัน รู้ดีว่าเพื่อแก่งแย่งศุภโชคที่บนตัวเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่น ที่แห่งนี้จะต้องเกิดฉากคาวเลือดฝนโลหิตเป็นแน่!
…
หลินสวินหลั่งเลือดไปทั้งตัว ร่างกายดำไหม้นอนบนพื้นดิน รู้สึกผ่อนคลายหลังรอดพ้นพิบัติเคราะห์ พร้อมๆ กับเคียดแค้นชิงชังที่ถูกลอบโจมตีด้วย
เขาคิดไม่ถึงสักนิดว่าในช่วงสุดท้ายที่ด่านเคราะห์อสนีใกล้สิ้นสุด จะถึงกับทำให้ตนต้องประสบการโจมตีถึงแก่ชีวิต
ราวกับว่าเคราะห์สวรรค์เจตนามุ่งเป้ามาที่เขา หมายจู่โจมสังหารเขาให้ตายในฉับพลัน!
“นี่มัน…”
ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่า ภายในถ้ำสวรรค์ในร่างถึงขั้นทิ้งสายโซ่สีเทาท่อนหนึ่งเอาไว้ รัดพันรอบแท่นมรรค แผ่กระจายกลิ่นอายระเบียบและกฎเกณฑ์อันน่าหวาดกลัว และกัดกร่อนแท่นมรรคไม่หยุด!
พลังแห่งเคราะห์สวรรค์!
สีหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไปทันที คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ด่านเคราะห์อสนีแม้จางหายไปแล้ว แต่กลับมีพลังส่วนนึ่งเป็นตัวแทนเคราะห์สวรรค์ตกค้างอยู่ในตัว!
นี่ก็เท่ากับว่าภายในร่างได้ฝังรากเหง้าแห่งเภทภัยหนึ่งอย่างแท้จริง หากไม่ระวังเพียงนิดเกิดหายนะที่ไม่อาจคาดคิด
ควรรู้ว่าแท่นมรรคหยั่งสัจจะคือการก่อร่างจากรากฐานมหามรรค รวบรวมต้นกำเนิดมรรควิถีทั้งร่างหลินสวินไว้ด้วยกัน แต่ตอนนี้กลับถูกโซ่เคราะห์สวรรค์พันธนาการและกัดกร่อน
นี่ก็เหมือนกับต้องการทำลายรากฐานมรรควิถีของเขา!
“น่าชังนัก!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินจ้องมองท้องฟ้า แค้นจนกัดฟันกรอด เขายิ่งรู้สึกว่าเคราะห์สวรรค์ครั้งนี้เต็มไปด้วยความลี้ลับมากกว่าเดิม ราวกับว่าจงใจมุ่งเป้ามาที่ตน!
แต่ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจคิดมากความ ด้วยเขาสังเกตเห็นอันตราย รีบผุดลุกขึ้นและเห็นว่า ห่างไปไม่ไกลมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาสังหารอย่างหาญเหี้ยม
เงาร่างนั้นรวดเร็วปานภูตผี เมื่อมองดูอย่างถี่ถ้วนก็ให้ตกตะลึงว่าเป็นเหยี่ยววายุตัวหนึ่ง ปีกเขียวสลัวราง กรงเล็บคมกริบดุจใบมีด กลิ่นอายทรงพลังเหลือประมาณ
ขณะเดียวกันหลินสวินก็เห็นว่ากลางเขาทั่วทุกสารทิศ แสงเคลื่อนไหวพุ่งออกมาถี่ยิบมืดฟ้ามัวดิน กำลังมุ่งตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
นั่นคือผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่า!
หรือเพราะการเคลื่อนไหวขณะก้าวข้ามด่านเคราะห์ของตนยิ่งใหญ่เกินไป ถึงได้ดึงดูดให้เกิดเหตุการณ์ตรงหน้านี้
หลินสวินหรี่ตาลง
“เจ้าหนุ่ม ทิ้งคัมภีร์อริยมรรคไว้ซะ แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยววายุคนนั้นพุ่งเข้ามา คำพูดแม้กล่าวเช่นนั้น แต่การกระทำเขากลับไม่เกรงใจสักนิด ปีกกระพือพัดหมอกแสงสีเขียวผืนหนึ่ง พลุ่งพล่านด้วยท่วงทำนองมรรคมุ่งพิฆาตไปยังหลินสวิน
ในสายตาเขา หลินสวินเพิ่งก้าวข้ามด่านเคราะห์เสร็จสิ้น บาดเจ็บหนักเจียนตาย ถือเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุดอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นจังหวะดีที่สุดในการฆ่าคนชิงทรัพย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เขาลงมือจึงไม่มีการยั้งมือไว้ไมตรีสักนิด
“ไสหัวไป! อาศัยพวกเจ้าเผ่าเหยี่ยววายุ ยังกล้ามาแย่งชิงศุภโชคงั้นรึ”
ทว่าไม่รอให้หลินสวินลงมือ กวางหยกดุร้ายเหี้ยมโหดตัวหนึ่งพุ่งเข้ามา กลิ่นคาววายุเตะจมูก เพียงฝ่ามือเดียวก็ตบผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยววายุนั่นลอยออกไป
จากนั้นส่งเสียงคำรามสะเทือนใต้หล้า ผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว นำพาไอสังหารร้ายกาจล้นฟ้า ทำให้อากาศแถบนี้ปรวนแปร ในป่าเขาลำเนาไพรใบไม้ป่วนคลั่ง
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งมากมายที่รีบเร่งมาต่างตระหนก รีบร้อนหลีกหลบ
แต่ก็มีกลุ่มเผ่าจำนวนมากท่าทีเหิมเกริมน่ากลัวพุ่งสังหาร ไม่หวาดหวั่นเผ่ากวางหยกแม้แต่น้อย
เผ่าคชามารที่ตัวใหญ่โตดุจขุนเขา ใบหน้าเหี้ยมโหด เท้าก้าวเหยียบพื้นดิน กระแทกทลายเนินเขา พลานุภาพร้ายกาจน่าหวาดกลัว
และมีเผ่าวิญญาณสมุทรที่รูปงามหล่อเหลา ผิวหนังเรืองแสงวารีน้ำเงินหม่น พวกเขาโดดเด่นเป็นอันมาก ดูเหมือนเผ่ามนุษย์แต่กลับมีนัยน์ตาฟ้าคราม ผมยาวสีทองเรืองอร่าม
ที่ปรากฏตัวพร้อมกันยังมีขุมอำนาจเผ่าอื่นๆ อย่างเผ่าเพลิงแดง เผ่ากาฬพฤกษ์ เผ่าวานรนทีเป็นต้น ผู้แข็งแกร่งมากมายต่างมากันเป็นกลุ่ม พลานุภาพสง่างามเกรียงไกร
“กระบวนรบยิ่งใหญ่นัก…”
หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ผมดำทั้งศีรษะพลิ้วสยาย แม้เขาอาภรณ์ย้อมไปด้วยเลือด เวลานี้กลับมีพลานุภาพหยิ่งผยอง นัยน์ตาดำดุจหุบเหว ลึกล้ำและเย็นเยียบ
เมฆาเคลื่อนทั่วสารทิศ ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนรวมตัวกันมาถึง โอบล้อมทับซ้อนทั่วอาณาบริเวณ ชั่วขณะสถานการณ์พลันเปลี่ยนตึงเครียดขึ้นมา
“เจ้าหนูเผ่ามนุษย์ เอาศุภโชคที่เจ้าได้มาจากเกาะอริยะปัญจธาตุออกมา!”
มีผู้แข็งแกร่งตวาดลั่น
“มีสิทธิ์อะไร”
หลินสวินใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวย้อนถาม
ผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มต่างยิ้มเยาะ ในสายตาพวกเขา คำถามของหลินสวินในเวลานี้ช่างอ่อนต่อโลกจนน่าขันซะเหลือเกิน มีสิทธิ์อะไร? แน่นอนว่าสิทธิ์ใช้พละกำลังน่ะสิ!
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย เป็นได้แค่แพะรอเชือดเท่านั้น ไม่อาจเรียกได้ว่าโจมตี ไม่มีแม้แต่ความกดดันข่มขู่ใดๆ
“ถอยไปให้หมด!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกคนหนึ่งตะเบ็งเสียงลั่น ทั่วร่างแผ่พลานุภาพร้ายกาจชวนประหวั่น สั่นสะเทือนลมเมฆ แววตากระหายเลือดน่าหวาดกลัว
เขาจับจ้องหลินสวิน “เจ้าเด็กน้อย นำศุภโชคที่ติดตัวออกมา ข้าจะให้เจ้าตายอย่างสมศักดิ์ศรีหน่อย!”
“เผ่ากวางหยก พวกเจ้าเห็นพวกข้าไม่มีตัวตนหรือ คิดเก็บกินคนเดียวหรือไร ถามพวกข้าแล้วหรือยัง” มีผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นสีหน้าไม่เป็นมิตร กล่าวเสียงเย็นชา
“เหอะๆ พวกเจ้าอยากลองดูสักตั้งไหมล่ะ”
ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกัน ไม่มีใครยอมใคร เพื่อแย่งชิงศุภโชค พวกเขาต่างคุกคามข่มขู่กันและกัน เผยไอสังหารไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
“ทุกท่าน มิสู้พวกเราฆ่าเด็กนั่นให้ตายเสียก่อน ค่อยถกปัญหาแย่งชิงศุภโชคเป็นอย่างไร”
มีผู้แข็งแกร่งเสนอแนะและได้รับเสียงคล้อยตามอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดว่าไม่ควรให้โอกาสหลินสวินพักหายใจ ต้องขุดรากถอนโคนมันโดยเร็ว เลี่ยงการเกิดเหตุไม่คาดฝัน
“หุบปาก! พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแย่งกับพวกข้า ถอยไปให้หมด! ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกข้าสังหารพวกเจ้าจนเรียบ!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกตวาดลั่น ไอสังหารแผ่ซ่านทั่วร่าง กวาดมองเหล่าผู้กล้า
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้นตัวคนเดียว ฟังการโต้แย้งและข่มขู่ของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าพวกนั้น ในใจรู้สึกไร้สาระจนพูดไม่ออก
พวกเขาเห็นตนเป็นตัวอะไร
เหยื่อที่สามารถแบ่งสรรปันส่วนตามใจชอบงั้นรึ
ในใจหลินสวินมีไอสังหารพวยพุ่ง เขาได้ยินชัดแจ้งแล้ว เจ้าพวกนี้ไม่ได้มาแค่เพื่อสังหารตน ยังหมายแย่งชิงสมบัติล้ำค่าในร่างตนไปด้วย!
“ทุกท่าน พวกเจ้าพูดคุยต่อไปนะ ข้าไปก่อนล่ะ รอเมื่อไหร่ที่พวกเจ้าสามารถเจรจาได้ผลสรุป ค่อยตามหาข้าก็ไม่สาย”
หลินสวินเปิดปากอย่างอดไม่ได้
พริบตานั้นฟ้าดินนี้พลันเงียบสงบ สายตาผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่า ณ ที่นั้นต่างมองมายังหลินสวิน สีหน้าแปลกประหลาด
ดูเหมือนคาดไม่ถึงว่า จนถึงตอนนี้แล้ว เหยื่อตัวนี้ยังจะกล้าพูดจายั่วยุ
“เจ้าหนู เจ้านี่ช่างกำเริบเสิบสานซะจริง ไสหัวมารับความตายซะ!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกคนหนึ่งตะโกนลั่น
“เผ่าอย่างพวกเจ้าดีแต่คุยโตโอ้อวดรึไง เรียกพวกเจ้าว่าเผ่าขี้อวดก็นับว่าสมชื่อคู่ควร”
หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น
เผ่าขี้อวด…
สีหน้าผู้แข็งแกร่งตรงนั้นต่างเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นี่ไม่กลัวตายรึไง เป็นเนื้อบนเขียงอยู่แล้วยังกล้าพูดพล่ามเช่นนี้อีก
“รนหาที่ตาย!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกนั่นเดือดจัด ร้องคำรามแล้วซัดฝ่ามือออกไป รอยฝ่ามือราวโม่หินพลันปรากฏ เต็มไปด้วยท่วงทำนองมรรคเขียวขจี มากพอจะซัดทลายภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง
นี่คือผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสคนหนึ่ง พลังต่อสู้แข็งแกร่ง ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายต่างตะลึงงัน ไม่อาจไม่ถอยหลบ ไม่กล้ายืนอยู่ตรงนั้นด้วยกลัวจะโดนลูกหลง
แต่ทว่าที่ทำให้รู้สึกคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น หลินสวินไม่แม้แต่จะขยับหนี ปล่อยหมัดออกไปลวกๆ ปะทะกับฝ่ายตรงข้าม
ในกระบวนการนี้พลังอันน่ากลัวหาใดเปรียบสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกำปั้นของหลินสวิน เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง ตรงเข้าปกคลุมผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกนั่น
ห้วงอากาศทรุดลง พลังทำลายรุนแรง!
จู่โจมเพียงคราเดียวทำให้ผู้แข็งแกร่ง ณ ที่นั้นต่างตระหนกตกใจ นี่มันพลังหมัดระดับไหนกันถึงได้น่ากลัวเช่นนี้ พริบตาก็เข้าปกคลุมคู่ต่อสู้
ตูม!
ที่ตามเสียงกัมปนาทรุนแรงมา คือเสียงโหยหวนของผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกนั่น จากนั้นร่างกายพลันระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว ฝนโลหิตราวน้ำตกสาดพรม ย้อมอากาศเป็นสีชาด งดงามชวนประหวั่น
“สวรรค์ เขาไม่ใช่บาดเจ็บหนักใกล้ตายรึ ทำไมถึงยังมีพลังต่อสู้เช่นนี้”
ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างไหวหวั่น หมัดเดียวบดขยี้ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งจนแหลกละเอียด! ใครจะกล้าคิดได้
“ความสามารถขี้ผงแค่นี้ เผ่าพวกเจ้าก็ได้แต่คุยโตโอ้อวดจริงดังว่า”
สีหน้าหลินสวินปรากฏความเหนียดหยันวูบหนึ่ง
ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกที่อยู่ใกล้เคียงต่างโกรธจัด พุ่งตรงเข้าไปในบัดดล ใช้วิธีที่แกร่งที่สุดหมายกำจัดหลินสวินให้สิ้นซาก
เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นี่ชั่วช้านัก ดูถูกพวกเขาเป็นเผ่าขี้อวด ต้องฆ่ามันให้ตาย ชะล้างความอัปยศ!
ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งออกมือต้องเต็มไปด้วยพลานุภาพเป็นธรรมดา ห้วงอากาศแถบนี้ปั่นป่วน กรวดหินทะลวงแหวกอากาศเกิดเสียงครั่นครื้น
ตูม!
ไอสังหารเย็นชาพุ่งวาบออกมาจากนัยน์ตาหลินสวิน น่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ พร้อมกันนั้นเขาก็จู่โจมออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด
แม้ว่ารอบด้านล้วนเป็นศัตรู เขาก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
นี่คือความเชื่อมั่นและมาดสง่างามไร้คู่ต่อกรอย่างหนึ่ง!
เฉกเช่นเดียวกัน นี่คือสมรภูมิแรกหลังเขาบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ จึงรีบเร่งต้องการคู่ต่อสู้ส่วนหนึ่งมายืนยันพิสูจน์พลังต่อสู้ของตนว่าอยู่ในระดับไหนแล้ว!
…………….
ตอนที่ 571 ท่วงท่าสง่างามไร้มลทิน
โดย
ProjectZyphon
ตูม!
หลินสวินเหยียบย่างออกไปก้าวหนึ่ง แล้วสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ลมหมัดแวววาวอวลด้วยท่วงทำนองมรรคไหลพุ่งออกมา เกิดเป็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าหวาดหวั่นอย่างธาราขุนเขาถล่ม ฟ้าทลายพื้นดินแยกออก
“อ๊าก…”
ผู้แข็งแกร่งเผ่ากวางหยกสี่คนที่พุ่งมาหน้าสุดล้วนร้องเสียงดัง สีหน้าพรั่นพรึงและหดหู่ ทรวงอกของพวกเขาสลายกลายเป็นจุณ อวัยวะภายในระเบิดเป็นชิ้นๆ เลือดสดๆ ไหลริน
นี่ทำให้ผู้คนสิ้นหวังและหวาดหวั่น การต่อสู้เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้นก็ทำลายผู้แข็งแกร่งไปสี่คนแล้ว!
ฮูม!
ในขณะเดียวกัน ใต้เท้าของหลินสวินปรากฏเงามายาของชือน้ำแข็งมหึมาตัวหนึ่ง ขาวราวหิมะใสราวน้ำแข็ง ชูคอร้องครวญ ม้วนตัวในห้วงอากาศ ดวงตาเย็นชาราวน้ำแข็งไร้อารมณ์ เหยียดมองลงมายังฝูงชน
ตู้ม!
ชือน้ำแข็งทะยานขึ้นฟ้า พาให้ห้วงอากาศระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แกว่งหางครั้งเดียวก็มีผู้แข็งแกร่งสิบกว่าคนถูกกวาดโดนในทันใด ร่างกายระเบิดแหลกราวเศษกระดาษ ได้แต่ตายไปพร้อมความเคียดแค้นอยู่ตรงนั้น
นี่ก็คือก้าวย่างชือน้ำแข็ง เป็นวิชาเคลื่อนไหวร่างกายที่ลึกลับยากคาดเดาวิชาหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นวิชาลับด้วย หากฝึกถึงขั้นสูงสุด เหยียบย่างออกไปก้าวเดียวชือน้ำแข็งก็จะออกมาห้อมล้อมปกป้อง สามารถกำราบศัตรูรอบทิศ ไม่อาจให้อริภายนอกกล้ำกราย!
เมื่อผ่านการชำระล้างเป็นตายของด่านเคราะห์อสนี ทำให้หลินสวินใช้ความอัศจรรย์ของก้าวย่างชือน้ำแข็งถึงขีดสุดได้นานแล้ว ตอนนี้ยามสำแดงพลังออกไป ก็ระเบิดพลังสะท้านโลกาในทันใด!
“เร็วเข้า ลงมือฆ่ามันด้วยกัน!”
“ฆ่า! ชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวเด็กนี่มา!”
ผู้แข็งแกร่งหลายคนตะคอกดัง ครั้งนี้เป็นศัตรูรอบด้านอย่างแท้จริง ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าที่กระจายโดยรอบต่างลงมือแล้ว เงาร่างไหววูบพุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ
ในชั่วขณะเดียวแสงสมบัติก็ท่วมทะลักฟ้าดิน อาวุธวิญญาณปลิวว่อนยุ่งเหยิง แสงน่าหวาดหวั่นเกี่ยวกระหวัดไปทั่ว แผ่ขยายประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว
สภาพการณ์น่ากลัวยิ่งแล้ว!
ที่ต้องรู้ก็คือ ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าในที่นี้แทบจะครอบครองพลังปราณระดับหยั่งสัจจะทั้งหมด ในกลุ่มนี้ไม่ขาดผู้กล้ารุ่นเยาว์ รวมถึงผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสหลายคน
และตอนนี้พวกเขาร่วมมือกันล้อมโจมตีหลินสวินเพียงผู้เดียว แค่คิดก็รู้ว่าจะสะท้านโลกาขนาดไหน
ฟ้าดินเปลี่ยนสี สภาพอากาศแปรปรวน กลิ่นอายทำลายล้างกำเริบเสิบสาน เปิดฉากมหาสงครามสะเทือนใต้หล้าครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเพื่อฆ่าหลินสวินหรือเพื่อช่วงชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวเขาไป ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าล้วนไม่ออมมือ จิตสังหารพลุ่งพล่าน พลานุภาพเหลือคณา
หากเปลี่ยนเป็นผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะทั่วไปคนอื่น เกรงว่าจะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ อกสั่นขวัญหายแต่แรกแล้ว
อย่างไรเสียแค่คนตัวคนเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้หวาดผวาหมดหวัง
แต่หลินสวินเป็นตัวอย่างที่พิเศษอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่หลบหนี ถึงกับเป็นฝ่ายออกตัวรับการต่อสู้!
เปรี้ยง!
แสงเทพซัดสาดทั่วร่างเขา ท่วงทำนองมรรคโอบล้อมราวแสงอุษาศักดิ์สิทธิ์ ในมือถือดาบหักเล่มหนึ่ง ดุจเซียนประทับดาบ โอหังและเหนือธรรมดา ท่วงท่าสง่างามไร้มลทิน
สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งที่ขั้นสุดยอด ทำให้เงาร่างของเขารวดเร็วอย่างไม่อาจคาดคิด เคลื่อนไหวหายตัวต่อเนื่องราวภาพมายา
ทุกครั้งที่หายตัวจะก่อให้เกิดการนองเลือดครั้งหนึ่ง!
ในลานเลือดสาดราวสายฝน ผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าล้วนไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกสังหารคาที่ ไม่ก็ถูกฟันผ่าท้องเปิดอก ไม่ก็ถูกฟันคอขาด หรือไม่ก็ถูกบดขยี้ร่างกายเข้าอย่างจัง…
ภาพนองเลือดน่าหดหู่ สะท้านขวัญติดตา
ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าเหล่านี้ล้วนมาเพราะเขา ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงไม่ออมมือแต่อย่างไร สังหารเลือดสาดตลอดทาง กระตุ้นพลังยุทธ์ของตัวเองถึงขีดสุด พลังรุนแรงทำลายราบเป็นหน้ากลอง โจมตีจนบรรพตราบเรียบ
ไอเลือดลอยอ้อยอิ่งทั่วฟ้าดิน เสียงฆ่าฟันสะท้านฟ้า แม้มีตัวคนเดียวแต่กลับเหมือนพยัคฆ์ฝ่าเข้าฝูงหมาป่า ห่าโลหิตพัดโหม
“เขา… เขาไม่ได้โดนอสนีวิบัติจนได้รับบาดเจ็บปางตายหรือ เหตุใดถึงน่ากลัวขนาดนี้”
ในลานเริ่มมีเสียงร้องอย่างไม่พอใจและพรั่นพรึงดังขึ้นตามการต่อสู้ที่ดำเนินไป
เห็นชัดว่าความแข็งแกร่งและดุดันของหลินสวินเกินเลยไปจากที่พวกเขาทุกคนคาดไว้โดยสิ้นเชิง เดิมนึกว่าเป็นแพะรอเชือดตัวหนึ่ง ใครจะคิดว่าชั่วพริบตาจะกลายเป็นเทพมารหนุ่มน้อยองค์หนึ่งไปเสียแล้ว!
ที่ต้องรู้ก็คือ เขาเพิ่งบรรลุเข้าระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น ภายใต้การล้อมโจมตีของผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ไม่เพียงไม่เพลี่ยงพล้ำ กลับถูกเขาสังหารจนห่าเลือดพัดว่อนราบเป็นหน้ากลองตลอดทาง จะไม่ทำให้ผู้คนสะท้านขวัญได้อย่างไร
มองไปทั่วโลกา มีใครทำเช่นนี้ได้อีกหรือ
เกรงว่าต่อให้เป็นบุคคลระดับบุตรเทพ ธิดาเทพของแต่ละเผ่ามาเยือน ก็ยังต่อกรกับคมดาบของเขาได้ยากกระมัง
“ฆ่า! หากเด็กนี่ไม่ถูกกำจัด วันหน้าต้องกลายเป็นหนามยอกอกชิ้นใหญ่แน่!”
มีผู้แข็งแกร่งคำรามเดือดดาล ในสายตารับรู้ได้ถึงปัญหา หลินสวินมีพลังต่อสู้พลิกฟ้าเช่นนี้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัส หากเขาฟื้นตัวจนอยู่ในสภาพดีที่สุดจะน่าสยดสยองปานไหน
การสังหารยังคงดำเนินต่อไป ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น คาวเลือดเข้มข้นและเสียงร้องโหยหวนปะปนกันราวภาพในนรก
ตูม!
ในที่สุดมีผู้แข็งแกร่งร้ายกาจออกโจมตี เรียกตราประทับโบราณชิ้นหนึ่งออกมา สาดแสงสุวรรณเจิดจ้า กำราบออกไปอย่างร้ายกาจ
เห็นได้ชัดว่าตราประทับนั้นเป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่ง พลานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทันทีที่เผยตัวก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดอย่างผีครวญครางหมาป่าโหยหวน ห่าเลือดปลิวว่อน
ตราโบราณสังหารมาร!
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมาในเผ่ากาฬพฤกษ์!
ผู้แข็งแกร่งหลายคนล้วนจำได้ แต่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเยือกในใจก็คือ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นั้นไม่หลบไม่หนี ดาบหักตัดขวางห้วงอากาศ เพียงการโจมตีเดียวถึงกับซัดตราโบราณสังหารมารนั่นกระเด็นออกไป ส่งเสียงครวญคร่ำโหยหวนไม่ว่างเว้น!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดาบหักนั่นก็เป็นสมบัติลับที่ไม่ด้อยไปกว่าตราโบราณสังหารมาร หาไม่แล้วจะตีให้แตกพ่ายด้วยการโจมตีเดียวอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้หรือ
เมื่อรับรู้ถึงจุดนี้ ผู้แข็งแกร่งหลายคนก็ล้วนขนลุกขนพอง เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้ไม่เพียงมีพลังต่อสู้พลิกฟ้า ขนาดสมบัติในมือยังเป็นสมบัติลับที่ไม่อาจคาดคิดได้!
หลินสวินเมินทุกสิ่งนี้ สีหน้านิ่งสงบ ตัวเขาประหนึ่งดวงตะวันแผดเผาโชติช่วง ส่องแสงสว่างยิ่ง
เขาอาศัยศึกนี้หยั่งรู้พลังของระดับหยั่งสัจจะในร่าง ฝึกฝนและตรวจสอบความแข็งแกร่งของตน ใช้สิ่งนี้มาสร้างเสริมและเคี่ยวกรำพลังของตัวเอง
อย่างไรเสียระดับหยั่งสัจจะก็เป็นระดับใหม่ทั้งหมด ต่อให้เป็นหลินสวินก็ต้องปรับตัวและควบคุมพลังใหม่เอี่ยมนี้อีกครั้ง
ฆ่า!
พลังหยั่งสัจจะในกายหลินสวินร้องครั่นครืน เลือดลมทั้งกายดุจมังกรโผนทะยาน เมื่อยกมือวาดเท้าก็ปลดปล่อยอานุภาพเหนือธรรมดา เหมือนเทพไท้องค์หนึ่ง ในมือถือดาบหักสังหารรอบทิศ
นี่ก็คือหนทางแห่งมกุฎหลังจากการยกระดับถึงที่สุด เป็นหนึ่งในมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ยุคบรรพกาล ยากพบเห็นอย่างหาใดเทียบ ประหนึ่งฝืนฟ้าตัดวิถี หาได้ยากในโลกา
ตั้งแต่บรรพกาลกระทั่งตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้กล้าที่โดดเด่นน่าตื่นตาถือกำเนิดมาแล้วกี่คน แต่คนที่สามารถเหยียบย่างลงบนมรรคาที่ทรงพลังที่สุดเช่นนี้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ล้วนยากจะบรรลุถึงเส้นทางนี้
แต่ขอเพียงเหยียบย่างลงบนเส้นทางนี้ได้ ย่อมไม่เหมือนผู้ใด ทั้งไม่มีผู้ใดเหมือน นี่จึงจะเป็นหนทางแห่งผู้กล้าไร้เทียมทานตามความหมายอย่างแท้จริง
บนมรรคาชั้นนี้ ผู้กล้าที่คนอื่นเรียกขานกันต่างซีดจางหม่นหมอง
มกุฎ!
เพียงแค่คำนี้ก็สามารถขนานนามได้ว่าเป็นราชันในรุ่นเดียวกัน เป็นพลังอันเป็นเอกอุของมหามรรค!
การต่อสู้ดำเนินต่ออย่างดุเดือดยิ่งขึ้น ในรัศมีร้อยลี้ ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าถูกถล่มราบ ป่าเก่าแก่ถูกทำลายล้างสิ้น พื้นดินแตกระแหง ห้วงอากาศยุ่งเหยิง
เลือดสีแดงสดย้อมผืนดินและห้วงอากาศ เสียงโหยหวนและตะโกนดังท่วมท้นไปทั่วทุกกระเบียด ควันดินอบอวล เลือดนองสะท้านโลกา
“ยามอยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเขาก็มีพลังที่สู้กับข้าได้ ตอนนี้เขาผ่านด่านเคราะห์อสนีและมีชีวิตอยู่ เหยียบย่างเข้าระดับหยั่งสัจจะแล้ว ในแดนลับอสูรมารอริยะจะมีสักกี่คนที่สามารถต้านทานเขาได้”
ไกลออกไปจากลาน ธิดาเทพหลินหลางขมขื่น
“รับมือยากอยู่บ้างจริงๆ ไม่สิ รับมือยากมาก เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้น่าจะเป็นบุคคลระดับเอกอุที่ล่ำลือกันในบรรพกาล ในระดับเดียวกันไร้ศัตรูประหนึ่งราชัน สามารถกำราบศัตรูทั้งมวล หากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป หนทางของเขาในภายภาคหน้าต้องก้าวล้ำผู้กล้าทุกคนแน่”
บุตรเทพอวี่เซียวเซิงสีหน้าอึมครึมหาใดเทียบ เขาเคยอ่านทำความเข้าใจตำราโบราณมาบ้าง รู้จักความลับบางอย่าง ดังนั้นจึงพอจะเดาได้ว่าหลินสวินในตอนนี้มีศักยภาพแฝงเช่นไร
นี่ทำให้ใจเขาหนาวสะท้านและหวาดหวั่น
ที่เขากับธิดาเทพหลินหลางไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เดิมทีก็เกิดจากความระมัดระวัง ไม่อยากเปิดเผยฐานะเร็วเกินไป
แต่เมื่อได้เห็นแสนยานุภาพที่หลินสวินสำแดงออกมาในการต่อสู้ ทั้งสองคนก็อดยินดีในใจไม่ได้ ยังดีที่ไม่บุ่มบ่ามเข้าไปร่วมด้วย หาไม่แล้วขนาดพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสังหารหลินสวินอย่างไร
เพียงแต่นอกจากยินดี ในใจพวกเขาก็หนักอึ้งอย่างหาใดเทียบ เป็นบุคคลระดับผู้กล้าเช่นกัน เดิมทีพวกเขาก็ต่างเป็นบุตรเทพและธิดาเทพในเผ่าของตัวเอง รุ่งเรืองเจิดจ้าไร้ขอบเขต ในระดับเดียวกันหาคู่ต่อสู้ได้ยาก
แต่เมื่อเทียบกับหลินสวิน กลับทำให้ทั้งสองคนมีความกดดันและหวั่นเกรงแรงกล้า
‘ต้องรีบยกระดับตัวเองแล้ว!’
ทั้งสองคนตั้งมั่นเหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย ความรุ่งเรืองของหลินสวินทำให้พวกเขารู้สึกเร่งร้อน ไม่อาจทนให้หลินสวินโดดเด่นแต่เพียงผู้เดียวบนหนทางมหามรรค
แท้จริงแล้วยังมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่ไม่ได้ลงมือ ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเช่นพวกเขาสองคน ทุกคนล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดของแต่ละเผ่า พวกเขาไม่ได้กริ่งเกรง แต่ทำเพราะศักดิ์ศรี ดูหมิ่นการเข้าไปแก่งแย่งกับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ว่าทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของตน
เพียงแต่เมื่อเห็นพลานุภาพโดดเด่นที่หลินสวินระเบิดออกมา ทำให้พวกเขาก็ตกใจอยู่ลึกๆ รับรู้ได้ถึงความคุกคาม
“หืม?”
ทันใดนั้นอวี่เซียวเซิงสังเกตอะไรได้ ดวงตาพลันเปล่งประประกาย “เจ้าเด็กนั่นเหมือนจะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว!”
ในขณะเดียวกัน ธิดาเทพหลินหลางรวมถึงบุคคลชั้นยอดที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ล้วนมองไปยังลานต่อสู้
หลินสวินที่เดิมพลานุภาพหาใดเทียมกลับเริ่มกระอักเลือดโดยพลัน หน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าซีดขาว บนร่างปรากฏรอยแผลปริขาด อาการบาดเจ็บรุนแรงหาใดเปรียบ
นี่ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของเขา ทำให้สถานการณ์ของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอันตราย!
หลังจากภาพที่แปรเปลี่ยนกะทันหันนี้เกิดขึ้น ทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทันใดนั้นก็ยินดีขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ เจ้าหมอนี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากด่านเคราะห์อสนี และตอนนี้ก็ทนไม่ไหวแล้วในที่สุด
ความสามารถของหลินสวินเมื่อครู่ดุดันและโอหังเกินไป ทำให้พวกเขาแทบหมดหวัง จะไปคิดได้อย่างไรว่าสถานการณ์จะพลิกผัน เกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ได้
“ฮ่าๆๆ…”
ผู้แข็งแกร่งบางคนอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนถอนหายใจยาว แล้วจึงกัดฟันพุ่งไปหาหลินสวินอย่างบ้าคลั่ง หมายจะถือโอกาสนี้โจมตีสังหารเขา!
“ได้เวลาพวกเราเคลื่อนไหวแล้ว!”
ไกลออกไป บุตรเทพอวี่เซียวเซิงสายตาเย็นชาน่ากลัว จิตสังหารห้อมล้อม
“ไป!”
ธิดาเทพหลินหลางเรียกระฆังสำริดสีเลือดออกมา พลิ้วลอยทะยานออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน บุคคลชั้นยอดที่เดิมซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดก็ล้วนรับรู้ได้ว่าโอกาสที่แท้จริงมาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล
ส่วนในลาน หลินสวินกลับกระโจนขึ้นสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งดุจภูตผีในนิมิตมายา ว่องไวจนไม่อาจคาดคิดได้ หนีห่างออกไปไกล
ยามภาพนี้ปรากฏสู่สายตาของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น ยิ่งพิสูจน์ว่าหลินสวินใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว ไม่อาจไม่หนีตาย!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น