Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 564-567
ตอนที่ 564 ลมเมฆสะเทือน
โดย
ProjectZyphon
สุดท้ายหลินสวินเก็บแสงมรรคทองนิลกาฬกลับไปพร้อมยิ้มเยาะ
เจ้าคางคกก็เลิกสำออยแล้ว ตอนที่ลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้าแดงระเรื่อ นัยน์ตาสีทองอร่าม หว่างคิ้วแฝงกลิ่นอายเย่อหยิ่งและงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่หลงเหลือร่องรอยของความอ่อนแรงสักนิด
นี่ทำให้หลินสวินอดตกใจไม่ได้ พลังชีวิตของคางคกตัวนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถูกสายฟ้าผ่าขนาดนั้น ผ่านมาเพียงไม่กี่วันก็ฮึกเหิมประดุจมังกรทะยานเสือผาดโผน เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย
“คราวนี้ข้าช่วยเจ้าไว้ครั้งใหญ่เลยนะ ทรัพย์หลังศึกก็ควรจะมีส่วนแบ่งของข้าด้วย หากเจ้ากล้าฮุบไปหมด ระวังเถอะว่าจะคลอดลูกชายไม่มีรูผายลม”
จินตู๋อีเริ่มข่มขู่และขอผลประโยชน์อย่างเปิดเผย
นี่ทำให้หลินสวินหมดคำพูด คางคกตัวนี้เป็นตัวของตัวเองมากไปแล้ว ไม่เพียงรู้จักเสแสร้งแกล้งตายขอผลประโยชน์ พอเสแสร้งไม่เนียนก็เริ่มขอกันตรงๆ อย่างหน้าไม่อายเลย!
หลังจากนั้นหลินสวินปฏิเสธข้อเรียกร้องไร้เหตุผลนี้อย่างเด็ดเดี่ยว จินตู๋อีโกรธจนตะโกนเอะอะ สาปแช่งไม่ขาดปาก แต่ไม่ว่าไม้อ่อนหรือไม้แข็งหลินสวินก็ไม่ยอม ทำให้เขาเองได้แต่จนปัญญา
“เจ้าคางคก ศึกษาคัมภีร์สีทองที่ไม่สมบูรณ์เล่มนั้นถึงไหนแล้ว” จู่ๆ หลินสวินก็เปลี่ยนเรื่อง
จินตู๋อีถูกเบนความสนใจ พลันอ้าปากพ่นแสงทองกลุ่มหนึ่งออกมา กลายเป็นคัมภีร์สีทองที่ขาดแหว่งส่วนหนึ่ง
จินตู๋อีพูดอย่างตื่นเต้น “นี่เป็นคัมภีร์มรรคที่อริยะคนหนึ่งเขียนเองกับมืออย่างไม่ต้องสงสัย!”
หลินสวินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ดีใจจนหน้าชื่นตาบาน
เสี้ยวคัมภีร์มรรคส่วนนั้นได้มาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ เดิมมันสมบูรณ์ เพียงแต่ในระหว่างที่ช่วงชิงกันได้ถูกฉีกขาดเป็นสามส่วน
อีกสองส่วนถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับในหินหยกและธิดาเทพหลินหลางชิงไป
หลินสวินเองก็เคยศึกษาคัมภีร์เล่มนี้ แต่กลับพบว่ามันเล่มนี้พิเศษมาก ราวกับหยกแต่ไม่ใช่หยก เหมือนกับเหล็กแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก ไม่รู้ว่าหลอมขึ้นจากอะไร มีสีทองอร่าม หนักอึ้ง และเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์
สิ่งที่น่าเสียดายคือคัมภีร์ที่ขาดเล่มนี้ไม่สามารถเปิดได้ ถึงขั้นที่แม้แต่ตัวอักษรบนคัมภีร์ยังหายไปด้วย ไม่อาจมองทะลุได้
ท่ามกลางความจนปัญญา หลินสวินจึงทำได้แค่ให้จินตู๋อีวิเคราะห์ เจ้าตัวนี้เป็นคางคกทองสามขา ว่ากันว่าสามารถแยกแยะสรรพสิ่งได้ ชำนาญในเรื่องของมีค่า
“เสียดายที่คัมภีร์เล่มนี้ฉีกขาดไป ไม่สามารถสะท้อนถ้อยความที่อริยะเขียนออกมาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้านัก “
คำพูดนี้ของจินตู๋อีทำลายขวัญกำลังใจของหลินสวินทันที ความตื่นเต้นดีใจหายไปสิ้น
“ไม่อาจสะท้อนออกมาได้หรือ” หลินสวินไม่จำยอมอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าจินตู๋อีเองก็ไม่จำยอมและเจ็บใจอย่างมาก กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเห็นความลึกลับของคัมภีร์มรรคเล่มนี้กับตาหรือ นี่เป็นคัมภีร์ที่อริยะเขียนเองกับมือเชียวนะ ย่อมต้องไม่ธรรมดาและเกี่ยวโยงไปถึงความลับแห่งอริยมรรค!”
“แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า คัมภีร์มรรคเล่มนี้เป็นคัมภีร์ที่อริยะทิ้งเอาไว้ นอกเสียจากว่าไปชิงอีกสองส่วนมาไว้ในมือ ทำให้มันสมบูรณ์ มิเช่นนั้นชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าคิดว่าจะได้เห็นวิชาลับในนั้น”
หลินสวินเข้าใจแล้ว นี่ก็หมายความว่าถ้าเขาอยากหยั่งถึงความลึกลับของคัมภีร์อริยะเล่มนี้ ก็ต้องชิงคัมภีร์อีกสองส่วนที่เหลือมาก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินปวดหัวคือ ไม่ว่าจะเป็นธิดาเทพหลินหลางหรือสิ่งมีชีวิตในหินหยกนั่น ล้วนแต่ไม่ธรรมดา การจะชิงคัมภีร์มรรคมา แค่คิดก็รู้ว่ายากเพียงใดแล้ว
หากหลินสวินเดาไม่ผิด สิ่งมีชีวิตลึกลับในหยกนั่นจะต้องเป็น ‘คุณชายน้อย’ ที่ลิงเฒ่าพูดถึงอย่างแน่นอน!
เกาะอริยะปัญจธาตุทั้งเกาะ เดิมเป็นสถานที่ฝึกปราณที่เจ้านายของลิงเฒ่าเตรียมไว้ให้ ‘คุณชายน้อย’ ท่านนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว
นี่ก็หมายความว่า ที่มาของ ‘คุณชายน้อย’ คนนี้ไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นลูกหลานของอริยะท่านหนึ่ง!
เรื่องนี้น่าทึ่งเกินไปแล้ว โชคดีที่ ‘คุณชายน้อย’ คนนี้ยังไม่ปรากฏตัวสู่โลก ทำให้หลินสวินยังไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาตอนนี้
“เฮ้อ เหนื่อยเปล่าเลย” หลินสวินถอนหายใจ
“ข้าจะพูดอย่างไม่เกรงใจ แม้ตอนนี้เจ้ามีคัมภีร์มรรคฉบับสมบูรณ์ก็ไม่สามารถหยั่งถึงได้ เพราะนี่คือคัมภีร์ที่อริยะทิ้งเอาไว้ เกี่ยวโยงไปถึงความลับแห่งอริยมรรค ใช่ว่าเด็กหนุ่มที่แม้แต่ระดับหยั่งสัจจะยังไม่ใช่อย่างเจ้าจะสามารถปรารถนาได้”
คำพูดของจินตู๋อีเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย
หลินสวินคร้านจะสนใจเขา เก็บคัมภีร์มรรคที่ฉีกขาดเล่มนั้นอย่างระมัดระวัง
เขาเชื่อว่า เพื่อให้ได้ความลับภายในคัมภีร์มรรค ไม่ว่าจะเป็นธิดาเทพหลินหลางหรือ ‘คุณชายน้อย’ ก็จะเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง มิเช่นนั้น พวกเขาก็ได้แค่มอง แต่ไม่สามารถดูความลับภายในคัมภีร์มรรค
และนี่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับหลินสวินเช่นกัน หากคว้าเอาไว้ได้ ก็สามารถทำให้คัมภีร์มรรคเล่มนี้กลับมาสมบูรณ์แบบ!
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในอนาตค ไม่มีใครรู้ว่า ‘คุณชายน้อย’ คนนั้นจะปรากฏตัวเมื่อไหร่ และตอนที่เขาปรากฏตัว ตนจะอยู่ที่ไหน
ทว่าภายในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ ถือว่าเอามาวิเคราะห์ก่อนได้ ว่าจะชิงคัมภีร์มรรคอีกส่วนจากมือธิดาเทพหลินหลางอย่างไร…
……
การเข้าสู่เกาะอริยะปัญจธาตุในครั้งนี้ ได้สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกร ทำให้หลินสวินได้ผลเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่
ไม่เพียงแค่ได้สมบัติล้ำค่าอย่างโสมราชันโคมสมบัติและหญ้ากิเลนที่จินตู๋อีระบุให้เป็น ‘โอสถสมบัติระดับราชัน’ ยังมีคัมภีร์มรรคอริยะที่ขาดวิ่นอีกส่วนหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีโอสถวิญญาณหายากอย่างหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วง หญ้าแสงจันทร์ และอื่นๆ อีกสามสิบกว่าชนิด ล้วนพบเห็นได้น้อยมากในโลกภายนอก ในขณะเดียวกันก็เป็นของล้ำค่าที่ไม่อาจร้องขอได้
ในนี้ส่วนมากเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้จากตัวเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกร มีส่วนน้อยที่หลินสวินได้มาด้วยตัวเอง
นอกจากพวกนี้ยังมีของเบ็ดเตล็ดอย่างอาวุธ ลูกกลอนโอสถและพวกแร่หิน
ทว่าสำหรับหลินสวินในตอนนี้ มูลค่าของสิ่งของส่วนใหญ่ในนี้ไม่ได้มากมาย แต่แน่นอนว่าถ้าเอาไปขายในจักรวรรดิจื่อเย่า ก็ยังสามารถขายได้ในราคาที่สูงมาก
กลับเป็นพวกแร่หินและวัตถุวิญญาณบางส่วนที่เอามาเป็นวัตถุดิบในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้ มูลค่าสูงมาก จึงถูกหลินสวินเก็บไว้
……
หลินสวินเริ่มปิดด่านฝึกปราณ
เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ท่อง ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ที่สืบทอดมาเงียบๆ ในห้วงนิมิต เกิดคลื่นราวกับเสียงแห่งธรรม ซึ่งให้ประโยชน์อันมหัศจรรย์อย่างมากต่อการหยั่งถึงและฝึกปราณ
ในขณะเดียว หยดน้ำหยดหนึ่งลอยอยู่ตรงระหว่างคิ้วและถูกหลินสวินสงบจิตหยั่งรู้
หยดน้ำราวกับโปร่งใส เต็มไปด้วยแสงประกายที่ราวกับภาพฝัน ปกคลุมไปด้วยแสงเรืองรอง ในคลามลี้ลับแฝงพลังอันยิ่งใหญ่
นี่คือน้ำแท้เอกอุที่หลอมออกมาจากเถาวลัย์สมบัติเอกอุ แม้จะแค่หยดเดียว แต่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ภายในประทับร่องรอยมรรคหนึ่งสาย มีส่วนช่วยอย่างเหลือเชื่อในการหยั่งถึงสัจวิถีธาตุน้ำ
ก่อนที่จะทะลวงระดับ สิ่งเดียวที่หลินสวินต้องจัดการก็คือควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำที่หยั่งถึงแล้วให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
ตอนนี้หลินสวินเข้าใจแล้วว่า การที่เขาสามารถหยั่งถึงพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำได้ตอนที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ใช่เพราะความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้โดดเด่นแห่งยุคทั้งในอดีตและปัจจุบัน
แต่เพราะเขาเคยใช้ ‘มุกนักบุญอมตะ’ หลอมรวมไปกับร่างกาย ภายในร่างรวมพลังอันเยี่ยมยอดของมุกนักบุญอมตะ ทำให้คุณสมบัติตามธรรมชาติของร่างกายเขาเข้าใกล้กับสัจวิถีธาตุน้ำ จากนั้นอาศัยการเคี่ยวกรำบนภูผาแห่งบันไดสวรรค์ จึงได้หยั่งถึงท่วงทำนองมรรคแห่งธาตุน้ำได้เสี้ยวหนึ่ง
มิเช่นนั้นต่อให้ความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาจะสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ
เพราะถ้าพูดถึงความสูงต่ำของการหยั่งรู้ ในอดีตกาลจะต้องมีผู้โดดเด่นแห่งยุคที่แข็งแกร่งกว่าหลินสวินอยู่แล้ว
แต่พวกเขาต่างไม่สามารถทำได้แบบนี้ มีเพียงหลินสวินเท่านั้นที่ทำได้ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า ปาฏิหาริย์การหยั่งรู้ที่เกิดขึ้นกับตัวหลินสวินนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถในการหยั่งรู้เพียงอย่างเดียวแน่นอน!
ท่ามกลางเวลาที่ผ่านเลยไป หลินสวินใบหน้าเคร่งขรึม นั่งนิ่งไม่ขยับ เงียบสงบราวกับรูปปั้นดินเหนียว ให้ความรู้สึกนิ่งเงียบราวกับไม่มีตัวตน
เขาเข้าสู่การหยั่งรู้ในระดับลึกแล้ว ภายในใจเต็มไปด้วยแก่นอัศจรรย์ของสัจวิถีธาตุน้ำ เผยความเยี่ยมยอดออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด
……
ในช่วงเวลาที่หลินสวินปิดด่าน ภายในแดนลับอสูรมารอริยะเกิดความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา เลือดไหลไม่ขาดสาย การปะทะเกิดขึ้นทุกสารทิศ
ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะช่วงชิงวาสนา!
ผู้ที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะในครั้งนี้ เป็นผู้โดนเด่นในแต่ละเผ่าของทะเลกลืนวิญญาณเกือบทั้งหมด มากอิทธิพลและจำนวนก็มหาศาล
เพื่อช่วงชิงศุภโชค การต่อสู้และคาวเลือดก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ในแดนลับอสูรมารอริยะจะมีวาสนามากมาย แต่อย่างไรก็มีจำนวนจำกัด และวาสนาที่เรียกได้ว่าสะเทือนโลกยิ่งน้อย
เช่นนี้จึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ ‘หมาป่าเยอะเนื้อน้อย’ ทำให้ความขัดแย้งและแย่งชิงระหว่างกันยิ่งทวีความน่าอนาถ
เผ่าที่อิทธิพลค่อนข้างอ่อนแอหลายเผ่าถูกกวาดล้างจนหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามวัน พ่ายแพ้ออกจากการแย่งชิงไปอย่างราบคาบ!
พวกเขาไม่เพียงไม่ได้รับวาสนาอะไรเลย แต่ยังบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตกันไป นี่ก็คือสิ่งที่ต้องจ่ายในการช่วงชิงวาสนา พาให้คนสลดใจนัก
ทว่าผู้โชคดีที่สามารถอยู่รอดปลอดภัยในศึกการแย่งชิงได้ ล้วนเป็นมหาอำนาจที่แข็งแกร่งแทบทั้งหมด อย่างเช่นเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆา เผ่าเต่าทมิฬเป็นต้น
“อะไรนะ เผ่าวิญญาณเหินของข้าพินาศสิ้นเชิงแล้วงั้นหรือ ใคร เป็นฝีมือขุมอำนาจใด”
นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เสียงคำรามเดือดดาลสะเทือนสวรรค์ดังแว่วขึ้น
นั่นคือผู้อาวุโสแห่งเผ่าวิญญาณเหิน ยามนี้กำลังระเบิดความโกรธขีดสุด เงยหน้าขึ้นฟ้าคำราม เดือดดาลตาถลน สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่จำยอมและกราดเกรี้ยว
ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ ต่างสีหน้าแปลกประหลาด มีคนถอนหายใจด้วยเห็นอกเห็นใจ มีคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น หัวเราะเยาะอย่างไม่ขาดสาย
หลายวันมานี้เรื่องที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นมากมาย ไม่เพียงแค่เผ่าวิญญาณเหิน ผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่นๆ ที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะก็สิ้นชีพในการต่อสู้แทบทั้งหมด
ผู้ที่รอดไปได้ล้วนเป็นลูกศิษย์คนสำคัญที่มี ‘ยันต์กระดูกวิญญาณ’ แทบทั้งหมด หากไม่ใช่เช่นนี้ จุดจบก็จะแย่กว่า
มีผู้สืบทอดหลายคนที่หลังจากพ่ายแพ้ออกจากการแย่งชิง ได้นำข่าวอันสะเทือนโลกาออกไปด้วย และแทบจะเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงวาสนาทั้งหมด
อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลัง ภายใต้การนำทัพของบุตรเทพหนิวทุนเทียน เข่นฆ่าสังหารไปตลอดทาง และในการแย่งชิงอันนองเลือด เขาได้รับคทาหยกสมปรารถนาที่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่ด้ามหนึ่งจากหุบเขาที่เต็มไปด้วยไอม่วง
เพียงแค่ศึกเดียวเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละฝ่ายที่ตายด้วยน้ำมือหนิวทุนเทียนก็ไม่น้อยกว่าร้อยคนแล้ว!
และเพราะเหตุนี้ ทำให้หนิวทุนเทียนชื่อเสียงโด่งดังขึ้น ใครพูดถึงก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
หรืออย่างธิดาเทพเมิ่งเหลียนชิงแห่งเผ่าหงส์หิรัณย์ ตัวคนเดียวกลับปะทะกับบุคคลระดับบุตรเทพถึงสามเผ่า สุดท้ายเอาชนะบุตรเทพทั้งสามและได้รับกระถางโอสถโบราณอันมีที่มาสะท้านโลกาจากซากถ้ำสถิตใต้ดินแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นหนิวทุนเทียนหรือเมิ่งเหลียนชิง ตอนนี้ล้วนกลายเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองที่สุด ชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็ล้วนไม่กล้ามองข้าม
ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้รับการจับตามองเช่นเดียวกับพวกเขายังมีบุตรเทพเผ่าโห่วเมฆา ‘ข่งซิ่ว’ บุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬ ‘เสวียนหลัวจื่อ’ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ‘ซูซิงเฟิง’ เป็นต้น
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาต่างต่อสู้แย่งชิงในแดนลับอสูรมารอริยะ สังหารจนมีผลงานและชื่อเสียงโดดเด่น ฉายแสงเจิดจ้า
แน่นอนว่าก็มีผู้ที่ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ เช่นกัน ทำให้ทุกคนยิ่งระมัดระวัง
อย่างน้อยผู้เฒ่าเก่าหยางก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ในบรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ถ้าพูดถึงพลังต่อสู้ เพียงแค่เซียวหรันคนเดียวก็ไม่มีทางด้อยไปกว่าซูซิงเฟิง!
สิ่งเดียวที่ทำให้คนใหญ่คนโตนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สงสัยคือ ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ ที่เข้าแดนลับอสูรมารอริยะไปวันแรกก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ช่วงหลายวันนี้กลับไม่มีคนพูดถึง ถึงขั้นที่ไม่มีข่าวคราวของเขาเลยแม้แต่น้อย
ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นก่อเวรก่อกรรมมากเกินไป จึงถูกคนแอบกำจัดในที่ลับไปนานแล้ว…
…………………..
ตอนที่ 565 ว่าด้วยมหามรรคฟ้าดิน ต้อนรับด่านเคราะห์หยั่งสัจจะ
โดย
ProjectZyphon
เจ็ดวันหลังจากนั้น
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ ทันทีที่ลืมตาขึ้น หยดน้ำแท้เอกอุที่ลอยอยู่กลางหว่างคิ้วในตอนแรกพลันสั่นเบาๆ คราหนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแสงหลากสี หลอมรวมเข้าไปในห้วงนิมิตของหลินสวิน
วิ้ง!
ในขณะเดียวกัน หลินสวินยื่นมือขวาออกมา นิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่างจิ้มกลางอากาศเบาๆ คราหนึ่ง แสงน้ำกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏ พวยพุ่งปกคลุม กลิ่นอายท่วงทำนองมรรคไหลหลั่งไอ
เมื่อความคิดในใจของหลินสวินเปลี่ยนไป แสงน้ำกลุ่มนั้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลง บ้างเปลี่ยนเป็นหยดน้ำอิ่มเอิบเปี่ยมพลัง หยดลงกลางอากาศ
บ้างกลายเป็นละอองฝนพรำ ปลิวว่อนล่องลอย
บ้างก็กลายเป็นน้ำตกผืนหนึ่ง ไหลหลั่งเชี่ยวกราก
จนถึงท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสภาพการณ์ต่างๆ เช่นแม่น้ำ ทะเลสาบ หมอกเมฆเป็นต้น ทั้งหมดล้วนกำจายท่วงทำนองแห่งมรรค มีชีวิตชีวาสมจริง เต็มไปด้วยความลึกลับสุดจะพรรณนา
ฮูม~
สุดท้ายหยดน้ำพลันถูกยืดออก แปรเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง แสงน้ำพวยพุ่งงดงามราวกับภาพฝัน!
หลินสวินจ้องมองเงียบๆ สีหน้าไม่ไหวติง นิ่งสงบราบเรียบ
ครู่ใหญ่กระบี่น้ำเล่มนั้นก็เปลี่ยนไปอีก ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างของนกจาบฝนตัวหนึ่ง เพียงแต่ตอนที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างกลับระเบิดตัวฉับพลัน กลายเป็นละอองน้ำล่องลอย
เห็นเช่นนี้หลินสวินอดพึมพำไม่ได้ “ตามคาด ในขั้นท่วงทำนองมรรคยากจะรวมตัวเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ไม่สามารถวิวัฒน์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงได้…”
ท่ามกลางฟ้าดิน มหามรรคหมื่นพัน!
ในทุกๆ วิถีมรรคล้วนประทับแก่นอัศจรรย์ต้นกำเนิดเอาไว้ มีความหมายลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อผู้ฝึกปราณหยั่งถึงมรรคนี้ สามารถแสวงหาหนทางสู่อมตะได้!
ระดับหยั่งสัจจะ คือการหยั่งรู้ความลับแห่งธรรมชาติ คำว่า ‘ธรรมชาติ’ ในที่นี้เป็นชื่อเรียกอย่างหนึ่งของมหามรรค
นั่นก็หมายความว่า มีเพียงการไปถึงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น จึงสามารถสอดแนมและหยั่งรู้ความลับแห่งมหามรรคที่แท้จริงได้ ระดับนี้จึงเรียกอีกอย่างว่าจุดเริ่มต้นของการ ‘ฝึกตน’ ที่แท้จริง!
ทว่าเห็นได้ชัดว่าหลินสวินเป็นตัวอย่างในกรณีพิเศษ ตอนนี้เขายังไม่เคยก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ แต่สามารถหยั่งถึงและควบคุมความลี้ลับของสัจวิถีธาตุน้ำได้แล้ว!
ต้องยอมรับว่านี่เป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เหมือนใครทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างน้อยในอดีตที่ผ่านมาก็ยากจะเห็นตัวอย่างเช่นนี้
……
ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เข้าใจแล้วว่า มหามรรคแห่งฟ้าดินนั้นเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด และแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นปัญจธาตุ หยินหยาง สายฟ้าสายลม แสงและความมืดเป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นมหามรรคแบบใดล้วนมีความมหัศจรรย์ จึงไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ
มีเพียงตอนที่ผู้ฝึกปราณใช้เท่านั้น จึงจะแตกต่างไปตามความตื้นลึกในการการควบคุมพลังมหามรรคของแต่ละคน ทำให้สำแดงอานุภาพที่ไม่เหมือนกันออกมา
ความเข้าใจของโลกต่อมหามรรคนั้นมีมาตรฐานที่สมบูรณ์และเข้มงวดมาก โดยแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนใหญ่คือ ท่วงทำนองมรรค เจตจำนงมรรคและเมล็ดพันธุ์แห่งมรรค
ท่วงทำนองมรรค เป็นขั้นตอนแรกแห่งการควบคุมพลังมหามรรคประเภทใดประเภทหนึ่งของผู้ฝึกปราณ เมื่อมาถึงระดับนี้ ก็สามารถควบคุมและใช้ท่วงทำนองรวมถึงกลิ่นอายของมหามรรคได้
เจตจำนงมรรค เป็นขั้นตอนที่รู้ลึกยิ่งกว่า สูงกว่าท่วงทำนองมรรค ทำให้ผู้ฝึกปราณเริ่มหยั่งถึงความหมายที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในมหามรรค
เมล็ดพันธุ์แห่งมรรค คือการเข้าถึงจุดปลายยอดอย่างหนึ่ง เป็นขั้นตอนที่ยกระดับถึงที่สุด เมื่อมาถึงระดับนี้ ผู้ฝึกปราณจะเริ่มค้นหาและควบคุมแก่นแท้แห่งมหามรรคที่แท้จริง!
ผู้มีความสามารถสมัยบรรพกาลเคยเห็นพ้องต้องกันว่า ฮุ่นตุ้นดุจเมล็ดพันธุ์ หล่อเลี้ยงพลังเบิกฟ้าแยกดิน มหามรรคประหนึ่งเมล็ดพันธุ์ หล่อเลี้ยงความอัศจรรย์แห่งต้นกำเนิดมหามรรค
คำกล่าวที่ว่าขอบเขตเมล็ดพันธุ์แห่งมรรค ก็หมายถึงผู้ฝึกปราณเริ่มย้อนทวนความลี้ลับแห่งต้นกำเนิดมหามรรคแล้ว
การควบรวมเมล็ดพันธุ์แห่งมรรค ก็เท่ากับการควบคุมมหามรรคอย่างสมบูรณ์แบบหนึ่ง ปลูกเมล็ดพันธุ์มหามรรคที่เป็นของตัวเอง ภายในหล่อเลี้ยงความเข้าใจและการหยั่งถึงของตนต่อแก่นแท้มหามรรค จวบจนกระทั่งมันเจริญงอกงาม ก็จะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับอีกครั้งได้!
ตอนนี้การควบคุมมรรคธาตุน้ำของหลินสวินอยู่ในขั้นเริ่มต้นนั่นคือขั้น ‘ท่วงทำนองมรรค’ สามารถสำแดงท่วงทำนองและกลิ่นอายของมรรคธาตุน้ำได้แล้ว หากนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ ก็เพียงพอทำให้อานุภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าคว่ำดิน
……
ตูม!
หลินสวินลุกขึ้นกระแทกหมัดออกไปลวกๆ โดยไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่บนกำปั้นกลับมีคลื่นแห่งท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำวนเวียน
ทันใดนั้นห้วงอากาศประหนึ่งฉาบด้วยกระดาษ ส่งเสียงกึกก้องระเบิดแตก ลมหมัดทรงพลังนั้นกระแทกลงบนผนังหินที่ห่างออกไป ทิ้งรอยหมัดลึกเกินคาดเดาเอาไว้!
‘นี่ก็คือพลังของของท่วงทำนองมรรค มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบดังคาด…’ หลินสวินทั้งอึ้งและชื่นชมในใจ
ผ่านการหยั่งรู้มาเจ็ดวัน ทำให้ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมท่วงทำนองมรรคแห่งธาตุน้ำได้ ตอนนี้แค่ออกหมัดลวกๆ หมัดเดียวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
‘ถ้าโคจรพลังสุดกำลัง หลอมรวมท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำเข้าไปด้วย จะเกิดอานุภาพที่แข็งแกร่งเพียงใดนะ’
สุดท้ายหลินสวินก็ไม่ได้ลอง นี่คือถ้ำที่ขุดขึ้นในภูเขา ต้านทานการทำลายล้างเช่นนี้ไม่ได้
หืม?
จู่ๆ หลินสวินก็รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา ราวกับฉุกคิดขึ้นมาได้ ในพริบตานั้นเหมือนรับรู้ถึงความลับสวรรค์สายหนึ่งในห้วงลึก
‘ด่านเคราะห์ของการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะกำลังจะมาแล้ว!’
นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันสาดประกาย พลังทั่วร่างเดือดพล่าน
ที่ผ่านมาเขาระงับตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อเริ่มควบคุมพลังของท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำได้แล้ว ทำให้พลังปราณทั้งร่างเขาไปถึงระดับ ‘สมบูรณ์ไร้ที่ติ’
พลังปราณสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์ จิตวิญญาณสมบูรณ์ ท่วงทำนองมรรคก็สมบูรณ์เช่นกัน!
นี่เป็นมรรคาสมบูรณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิง หากแพร่ออกไปคงสะเทือนโลกา!
เพราะนี่เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากจริงๆ ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ตอนที่พลังปราณสมบูรณ์ก็คงจะคิดจะทะลวงสู่ระดับหยั่งสัจจะแล้ว
ใครเล่าจะเป็นเหมือนหลินสวิน แม้แต่ร่างกายและจิตวิญญาณก็ก้าวไปอยู่ในขั้นสมบูรณ์ ถึงขั้นที่ควบคุมพลังของท่วงทำนองมรรคตั้งแต่ยังอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ!?
นี่คือหนทางที่ไม่เหมือนใคร!
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินแวบหายออกไปจากถ้ำ หลังจากนั้นเขาก็มายืนอยู่บนยอดเขา
เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำ ฟ้าดินมืดสลัว เทือกเขาไกลๆ ทอดตัวคดเคี้ยวดุจมังกร มีเสียงคำรามน่าสะพรึงของสัตว์ดังขึ้นเป็นระยะ
ลมภูเขาพัดมา เงาร่างของหลินสวินหยัดตรงสูงโปร่ง ผมดำพลิ้วไปตามสายลม ชุดสีขาวพระจันทร์โต้ลมเกิดเสื้อดัง
เขาเอามือไขว้หลัง เงยหน้ามองฟ้า นัยน์ตาดำลึกล้ำราวกับหุบเหวที่วูบไหว
ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน จู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดลง เมฆดำทะมึนมารวมตัวกันที่นี่และสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเงียบสงัดพาให้ผู้คนกดดันแทบหายใจไม่ออก
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ห่างออกไปฟังดูไม่สงบและร้อนรนอย่างยิ่ง ในผืนป่าบริเวณใกล้ๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันพุ่งออกมาเหมือนกระแสน้ำและหลบลี้หนีหายไปในที่อันห่างไกล
เมฆดำรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้ำหมึกหนา ทำให้บรรยากาศยิ่งกดดันขึ้น เงียบเชียบน่ากลัวราวกับว่าภัยพิบัติอันสะเทือนโลกากำลังจะมาเยือน
ลักษณ์ฟ้าอันแปลกประหลาดนั้นทำให้หลินสวินอดหรี่ตาลงไม่ได้ ในใจสั่นสะท้านอย่างยากอธิบาย
นี่คือด่านเคราะห์ของเขา!
เพียงแต่หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างฉับไวว่า ด่านเคราะห์ในครั้งนี้ดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ยังไม่ทันมาเยือนอย่างแท้จริงก็กดดันจนทำให้ผู้คนขนลุกแล้ว แค่คิดก็จะรู้ว่าเมื่อด่านเคราะห์ครั้งนี้เกิดขึ้นจริงๆ มันจะน่ากลัวเพียงใด
หลินสวินเคยเห็นกู้อวิ๋นถิงก้าวผ่านด่านเคราะห์บนภูผาแห่งบันไดสวรรค์ ตอนนั้นอสนีเคราะห์ร้องคำราม สั่นสะเทือนลมเมฆ เรียกได้ว่าอานุภาพเกรียงไกร
แต่เมื่อเทียบกับภาพตรงหน้า ก็กลายเป็นธรรมดาไปเสียอย่างนั้น
‘เล่าลือกันว่าขนาดของอานุภาพแห่งด่านเคราะห์อสนีเกี่ยวข้องกับพลังปราณของผู้ฝึกปราณ ผู้ฝึกปราณยิ่งแข็งแกร่ง ด่านเคราะห์ที่ต้องเจอก็จะยิ่งน่ากลัว อันตรายที่ต้องแบกรับก็ยิ่งหนักหน่วง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องลวง…’
หลินสวินพึมพำในใจแต่กลับไม่หวั่นกลัว เขารอคอยมานานแล้ว และสิ่งที่รอก็คืออสนีเคราะห์ในวันนี้!
……
ในที่ที่ห่างไกลจากภูเขาลูกนี้ เงาร่างสองร่างโฉบผ่านอยู่ในเทือกเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
“จำข้อตกลงของเราไว้ เสี้ยวคัมภีร์มรรคในมือเด็กหนุ่มคนนั้นยกให้เจ้าได้ แต่ต้องให้ข้าดูก่อน นอกจากนี้โอสถสมบัติไร้เทียมทานในตัวเขา ก็ต้องมีส่วนแบ่งของข้าด้วย”
สีหน้าของธิดาเทพหลินหลางเย็นเยียบ เส้นผมสีเพลิงพลิ้วสยาย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ด้านข้าง ชายหนุ่มอาจหาญน่าเกรงขามหัวเราะเบาๆ เขาเคลื่อนไหวอย่างเกรียงไกร บุคลิกโดดเด่น หน่วยก้านดูไม่ธรรมดา ที่แท้ก็เป็นอวี่เซียวเซิงบุตรเทพแห่งเผ่าวาฬมังกร!
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในหมู่เขาแถบนี้” ธิดาเทพหลินหลางขมวดคิ้ว
“เขาฆ่าคนในเผ่าวาฬมังกรของข้าไปมากมายขนาดนั้น หากข้ายังจำกลิ่นอายที่หลงเหลือบนร่างเขาไม่ได้ ก็ดูไร้ความสามารถเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงของอวี่เซียวเซิงราบเรียบ เพียงแต่นัยน์ตากลับวาบประกายไอสังหารอันน่าสะพรึง
ธิดาเทพหลินหลางที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ความจริงทุกครั้งที่นางนึกถึงคนในเผ่าที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวิน นางก็ปวดใจสุดกำลัง ความชิงชังยากจะสงบลงได้
ที่ครั้งนี้นางอดทน ตกลงร่วมมือกับศัตรูอย่างอวี่เซียวเซิงชั่วคราว เหตุผลกว่าครึ่งก็เพื่อตามหาหลินสวินให้เจอ แล้วฆ่าเขาซะ!
ศัตรูของศัตรูก็คือสหายของตน ใช้คำพูดนี้ตอนนี้ไม่ผิดแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นอวี่เซียวเซิงหรือหลินหลาง ล้วนเห็นหลินสวินเป็นหนามยอกอก ตอนที่อวี่เซียวเซิงเสนอให้ร่วมมือกัน หลินหลางจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า อวี่เซียวเซิงต้องคืนต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทองต้นนั้น ส่วนธิดาเทพหลินหลางก็รับปากว่า จะยกเสี้ยวคัมภีร์มรรคในมือหลินสวินให้อวี่เซียวเซิง
สำหรับสมบัติอื่นๆ ในตัวหลินสวิน ทั้งสองจะแบ่งเท่าๆ กัน
นี่คือข้อตกลงระหว่างทั้งสอง สำหรับเรื่องที่ว่าหลังจากฆ่าหลินสวินแล้วพวกเขาจะทำตามสัญญาหรือไม่ ก็ไม่สามารถรู้ได้แล้ว
เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่สหายกัน แต่เป็นศัตรู ต่างก็กลัวและระแวงซึ่งกันและกัน
“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นอยู่บริเวณนี้หรือ”
จู่ๆ เสียงพูดคุยดังแว่วขึ้นในระยะไกล ทำให้อวี่เซียวเซิงและหลินหลางระแวดระวัง ทั้งสองสบตากันคราหนึ่งก่อนซ่อนตัวเงียบๆ
“ไม่ผิดแน่ นี่เป็นข่าวจากผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยววายุ บอกว่าหลังจากเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นออกจากเกาะอริยะปัญจธาตุ ก็ลอบเข้ามาหลบอยู่ในผืนป่าแห่งนี้”
ห่างออกไปมีผู้ฝึกปราณหลายสิบคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่เผ่าเดียวกัน ตอนนี้กลับรวมตัวกัน พูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา
“เฮอะๆ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ร้ายกาจจริงๆ ฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกรจนแทบหมดสิ้น ช่างกล้าหาญนัก”
“ฮ่าๆๆ ครั้งนี้เผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกรต้องขายหน้ายกใหญ่แล้ว ไม่เพียงช่วงชิงวาสนามาไม่ได้ ยังถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งฆ่าจนเยี่ยวรดตดหาย ฮ่าๆๆ ตลกจริงๆ”
ผู้แข็งแกร่งกลุ่มนั้นคุยกันอย่างย่ามใจ
สีหน้าของอวี่เซียวเซิงและหลินหลางที่หลบอยู่ในที่มืดอึมครึมขึ้นทันที โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในขณะเดียวกันในใจพวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้
เรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะอริยะปัญจธาตุเผยแพร่ออกไปได้อย่างไร ถึงขั้นที่ดึงดูดผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงนี้มาตามหาเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น
สถานการณ์ผิดปกติ!
ในใจของอวี่เซียวเซิงและหลินหลางรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา
…………………..
ตอนที่ 566 อสนีเคราะห์สะเทือนโลกา
โดย
ProjectZyphon
“พวกเจ้าว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากไหนกัน ถึงได้เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งสองเผ่าใหญ่ ไม่เพียงไม่ถูกฆ่า กลับยังถูกเขาช่วงชิงมหาศุภโชคในเกาะอริยะปัญจธาตุไปได้”
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นยังคงเดาฐานะของหลินสวิน
“เป็นห่วงเรื่องพวกนี้ไปทำไม สิ่งที่ข้าสงสัยจริงๆ คือเด็กหนุ่มคนนั้นชิงศุภโชคอะไรไปจากเกาะอริยะปัญจธาตุต่างหาก”
“ได้ยินว่าเป็นคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่งที่อริยะทิ้งเอาไว้”
“และมีคนบอกว่า เกาะอริยะปัญจธาตุนั่นหล่อเลี้ยงโอสถสมบัติไร้เทียมทาน และถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นชิงไปหมดแล้วด้วย”
ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์นี้ สีหน้าของอวี่เซียวเซิงและหลินหลางยิ่งดูอึมครึม ใครเป็นคนเผยแพร่ข่าวนี้กัน
อย่าลืมว่าที่ทั้งสองร่วมมือกันก็เพราะหวังจะช่วงชิงสมบัติทั้งหมดในตัวหลินสวินไปเงียบๆ
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ข่าวเกี่ยวกับหลินสวินได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว!
‘เผ่าเหยี่ยววายุ!’
แอบฟังอยู่นาน ในที่สุดอวี่เซียวเซิงและหลินหลางก็มั่นใจ ว่าที่แท้ผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยววายุเป็นคนเผยแพร่ข่าว
จะว่าไปในบรรดาชนพื้นเมืองมากอิทธิพลใหญ่ของทะเลกลืนวิญญาณ ถ้าพูดถึงอิทธิพล เผ่าเหยี่ยววายุอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด
แต่ถ้าพูดถึงความข่าวไว เผ่าเหยี่ยววายุถือเป็นที่หนึ่ง!
เผ่าของพวกเขาเป็นผู้สอดแนมแต่กำเนิด ควบคุมวิชาลับอันเป็นเอกลักษณ์ ไปมาไร้ร่องรอย สื่อสารข่าวได้ไวที่สุด
เมื่อรู้ว่าเผ่าเหยี่ยววายุเป็นผู้เผยแพร่ข่าวเหล่านี้ อวี่เซียวเซิงและหลินหลางก็ไม่ได้แปลกใจ
สิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งสองปวดหัวคือ ฟังจากที่ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นพูด ตอนนี้คนที่คิดจะเล่นงานหลินสวินมีไม่น้อยเลย ผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามากมายกำลังเร่งเข้ามาจากทุกสารทิศเพื่อแย่งชิงศุภโชคบนตัวหลินสวิน
เช่นนี้ก็เพิ่มความยุ่งยากขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้อวี่เซียวเซิงและหลินหลางรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที
“ต้องเคลื่อนไหวโดยเร็ว ชิงฆ่าเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนคนอื่นๆ!”
หลินหลางกัดฟันแน่น
“ไป!”
อวี่เซียวเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์ จึงเริ่มดำเนินการทันที
ระหว่างทางทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็ว ตามหาร่องรอยของหลินสวิน สิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกใจคือ เพียงแค่ระหว่างทางพวกเขาก็เจอผู้ฝึกปราณไม่ใช่แค่กลุ่มเดียว และล้วนมีเป้าหมายเดียวกับพวกเขา คือกำลังตามหาตัวหลินสวิน!
นี่ทำให้ทั้งสองยิ่งร้อนใจ
คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่พวกเขารู้ดีว่าศุภโชคบนตัวหลินสวินสะเทือนโลกาเพียงใด!
ไม่นานเสียงคำรามของฝูงสัตว์ก็ดังขึ้นในผืนป่าไกลๆ เสียงนั่นเจือความร้อนรนและกระสับกระส่าย แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือน ราวกับมีสิ่งมีชีวิตมากมายกำลังวิ่งหนี
“สวรรค์ นั่นอะไร หรือมีสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าอะไรจะก้าวข้ามด่านเคราะห์? กลิ่นอายของเคราะห์เมฆานั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว…”
ในผืนป่าบริเวณนั้น เสียงตกตะลึงดังขึ้นเป็นระยะๆ เห็นได้ชัดว่ามีผู้แข็งแกร่งมากมายมาถึงที่นี่และเห็นความผิดปกตินี้ สายตาต่างมองไปในทิศเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ที่นั่นเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่โดดๆ เหนือภูเขามีเมฆดำก้อนหนาปกคลุมท้องฟ้า รวมตัวหมุนตลบต่อเนื่อง ไร้ซึ่งสุ้มเสียง เงียบสงบผิดปกติ ปลดปล่อยกลิ่นอายอันกดดันที่ราวกับจะทำลายล้างโลก พาให้อกสั่นขวัญแขวน
น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว บรรยากาศนั่นทำให้เหล่าสัตว์หวาดกลัว วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งกระสับกระส่าย
แม้แต่ผู้ฝึกปราณที่มาถึงที่นี่ แต่ละคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ใครจะก้าวข้ามด่านเคราะห์กัน เหตุใดบรรยากาศจึงกดดันและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้?
“นี่คือ ‘อสนีเคราะห์ถ้ำผสาน’ ของระดับหยั่งสัจจะ เพียงแต่…ปรากฏการณ์ประหลาดนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว แม้แต่บุตรเทพแต่กำเนิดสมัยบรรพกาล ก็เหมือนจะไม่สามารถชักนำให้เกิดด่านเคราะห์อสนีเช่นนี้ได้…”
ในขณะเดียวกัน บุตรเทพอวี่เซียวเซิงเองก็สังเกตเห็นทุกอย่างนี้ เมื่อเห็นเมฆสีดำก่อตัวบนฟากฟ้า ในใจเขาก็อดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ในตำราโบราณมีบันทึกหรือไม่”
ด้านข้างดวงตากระจ่างของธิดาเทพหลินหลางเจือแววประหลาด สีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจ
“ไม่มี”
อวี่เซียวเซิงส่ายหน้า
ธิดาเทพหลินหลางหวั่นไหวทันที ในเผ่าวาฬมังกรที่อวี่เซียวเซิงอยู่เก็บรักษาตำราโบราณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพกาลมากมาย ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับคณาเคราะห์มหามรรคไม่น้อย
แต่ตอนนี้อวี่เซียวเซิงกลับซื่อตรงกล่าวว่าไม่เคยได้ยินด่านเคราะห์อสนีเช่นนี้ นี่ดูผิดปกติมาก!
“ดูนั่น บนยอดเขามีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่!”
นัยน์ตาของอวี่เซียวเซิงสาดประกายเย็นเยียบทันที มองไปยังภูเขาที่อยู่ในห่างไกล “เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น! เขาจะก้าวข้ามด่านเคราะห์งั้นหรือ”
“ต้องเป็นเขาแน่ ข้าเคยปะทะกับเขา มั่นใจว่าเขาเป็นเพียงระดับมหาสมุทรขั้นสมบูรณ์เท่านั้น!”
ธิดาเทพหลินหลางกัดฟัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชิงชัง
“ระดับมหาสมุทรขั้นสมบูรณ์?”
อวี่เซียวเซิงใจสั่นสะเทือน ยามนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าปัญหาค่อนข้างรุนแรง พลังต่อสู้ของธิดาเทพหลินหลางแข็งแกร่งเพียงใดเขาย่อมรู้ดี ฆ่าผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเหมือนเชือดไก่กา ง่ายดายอย่างที่สุด
แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับสู้กับธิดาเทพหลินหลางได้ ถึงขั้นที่ช่วงชิงเสี้ยวคัมภีร์มรรคส่วนหนึ่งไปจากมือนาง เรื่องนี้ดูผิดปกติเกินไปแล้ว!
“เจ้าก็ตระหนักได้แล้วใช่หรือไม่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนปีศาจ ถ้าปล่อยให้เขาเติบใหญ่ขึ้นมา วันหน้าจะต้องเป็นศัตรูที่ใหญ่หลวงของทั้งเจ้าและข้าแน่!”
ธิดาเทพหลินหลางสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเคร่งขรึม “เหมือนกับตอนนี้ เจ้ากล้าจินตนาการหรือไม่ว่าถ้าเขาก้าวข้ามด่านเคราะห์นี้ได้ ความสามารถจะเพิ่มขึ้นถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด”
“ต้องฉวยโอกาสนี้กำจัดเด็กคนนี้ซะ!”
อวี่เซียวเซิงพูดออกมาทีละคำ นัยน์ตาเผยไอสังหาร ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ทำทุกอย่างเพื่อหวังจะช่วงชิงวาสนาในตัวหลินสวิน เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ทำเพื่อกำจัดศัตรูอันใหญ่หลวงในวิถียุทธ์คนหนึ่ง
เพราะเขารู้ดีว่า คนอย่างหลินสวินเมื่อผงาดขึ้นมาได้แล้ว จะต้องเปล่งประกายเจิดจ้ากดข่มพวกเขาอย่างแน่นอน!
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจากท้องฟ้าที่ห่างออกไป ราวกับเสียงคำรามอันเดือดดาลของเทพสายฟ้า สั่นสะเทือนไปทั่วโลกา เสียงดังกึกก้องน่าหวั่นหวาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในผืนป่าแห่งนี้หมื่นสัตว์โหยหวน หมอบคลานตัวสั่นอยู่กับพื้น อานุภาพสูงส่งเทียมฟ้านี้ทำให้พวกมันตื่นกลัว
แม้แต่ผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ยามนี้ต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ถูกบรรยากาศอันกดดันที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดปกคลุมจนแข็งทื่อไปทั้งตัว
พลันเห็นว่าบนฟากฟ้า พยับเมฆสีดำถูกสายฟ้าสีม่วงที่ส่องแสงงดงามผ่าฉีก ส่องสว่างฟ้าดิน อานุภาพไร้ขีดจำกัด
มองจากระยะไกลดูเหมือนมังกรสีม่วงน่าเกรงขามและพรั่นพรึงเคลื่อนผ่านส่วนลึกของเมฆดำ หมายจะทำลายล้างโลก!
เพียงแค่อานุภาพแบบนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายตกใจ สีหน้าซีดเซียว
เคราะห์สวรรค์นี้…
เรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าดิน น่พรั่นพรึงไร้เทียมทาน!
“เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น!”
“ที่แท้ก็เป็นเขาที่ชักนำให้เกิดอสนีเคราะห์”
“สวรรค์ ที่แท้เขายังไม่ได้บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ แต่กลับฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะของเผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกรมากขนาดนั้น นี่มัน…วิปริตชัดๆ”
“วิปริตจริงๆ เจ้าดูอานุภาพของอสนีเคราะห์นั่นสิ ที่ผ่านมาเคยเห็นซะที่ไหน”
ในพื้นที่บริเวณรอบๆ เสียงร้องตกตะลึงดังขึ้นเป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งจากเผ่าไหน ยามนี้ต่างตกใจเพราะจำฐานะของหลินสวินได้
นัยน์ตาของผู้แข็งแกร่งมากมายเต็มไปด้วยไอสังหาร ต่างเคลื่อนไหวหมายจะเข้าไปจู่โจม ด่านเคราะห์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากไม่มีวิชาป้องกันตัว ก็ง่ายมากที่จะประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน!
แม้สุดท้ายจะก้าวผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ สภาพร่างกายก็จะอ่อนแออย่างที่สุด หากฉวยโอกาสนี้ลงมือจะต้องฆ่าเขาได้อย่างแน่นอน!
“บนตัวของเด็กคนนี้มีวาสนาใหญ่ซ่อนอยู่ ฉวยโอกาสตอนนี้ย่อมสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย!”
ผู้ฝึกปราณมากมายที่เร่งเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศต่างจับตาดูภาพนี้ และเกิดความคิดเหมือนกัน นั่นคือตีชิงตามไฟ
……
บนยอดภูเขา
สายฟ้าสีม่วงนั่นมาเยือน ในที่สุดหลินสวินที่เอามือไพล่หลังอยู่ก็ขยับตัว!
สวบ!
เขาไม่ถอยไม่หลบ เงาร่างราวกับภาพมายาชือน้ำแข็ง ร่างกายแผ่แสงสีฟ้า เคลื่อนไหวกลางอากาศ แต่กลับพุ่งเข้าหาอสนีเคราะห์นั่น!
“เจ้านั่นจะต้านรับอสนีเคราะห์รึ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ”
ผู้ฝึกปราณหลายคนอุทานด้วยความตกใจ ด่านเคราะห์อสนีนั่นน่าสะพรึงกลัวมาก เห็นได้ยากและไร้เทียมทาน คนที่อยู่ในระยะไกลออกมายังอกสั่นขวัญแขวน แต่หลินสวินกลับเข้าไปรับด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขาต่างประหลาดใจ
เปรี้ยง!
สายฟ้ารอบแรกผ่าลงมา แสงสีม่วงกระจาย ประจุไฟฟ้าผสมผสาน ส่องสว่างธาราขุนเขา
ร่างของหลินสวินอาบอยู่ในนั้น ส่องประกายระยับไปทั้งตัว ตั้งรับตรงๆ ทั้งอย่างนั้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลายคนอดตะลึงไม่ได้
ต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงใดจึงไม่กลัวถูกด่านเคราะห์อสนีผ่าตาย
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าไอโลหิตรอบตัวหลินสวินราวกับมังกร พุ่งออกจากร่างของเขาสายแล้วสายเล่า พลุ่งพล่านโหมกระหน่ำดั่งคลื่นที่ซัดสาด!
นั่นคือพลังกายอันบริสุทธิ์ เป็นการปลดปล่อยศักยภาพของร่างกายแบบหนึ่ง หากได้สำแดงออกมา แค่เพียงการเคลื่อนไหวของร่างกายก็สามารถกวาดล้างผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันได้แล้ว!
เปรี้ยง!
ไม่นานอสนีเคราะห์รอบที่สองก็มาเยือน แต่กลับกลายเป็นพายุสายฟ้า ดูราวกับฝนแสง แต่ล้วนแปรมาจากสายฟ้าที่บริสุทธิ์ที่สุด!
พายุสายฟ้ากระหน่ำลงมา ทำให้ร่างทั้งร่างของหลินสวินจมมิด ฟ้าดินทั้งแถบกลายเป็นสีม่วง ราวกับมหาสมุทรสายฟ้า น่าประหวั่นอย่างที่สุด
“นี่…นี่มันด่านเคราะห์อะไรกัน เหตุใดจึงสะท้านขวัญเช่นนี้” มีคนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก หนังหัวชาวาบ
“ตายหรือยัง” หลายคนจ้องตาโต
ทันใดนั้นเสียงตึกๆๆ ดังกึกก้อง นั่นคือเสียงหัวใจเต้น เพียงแต่ยามนี้กลับประหนึ่งกลองที่กำลังสั่นสะเทือน ดังก้องอยู่ในหู
จากนั้นทุกคนต่างเห็นว่าร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นในมหาสมุทรพายุสายฟ้า แสงสายฟ้าเป็นระลอกๆ ชำระล้างร่างกายของเขา ทำให้ร่างของเขาเจิดจ้าแวววาว แม้แต่รูขุมขนยังเปล่งประกาย
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นสุด ผิวหนังยิ่งดูไร้ที่ติ เกลี้ยงเกลาดุจแก้วใส ปรากฏคลื่นแห่งการยกระดับอันแข็งแกร่งทรงพลัง
“ร่างกายแปรสภาพ! นี่เขาจะเดินบนสายกายหยาบอริยะหรือ”
เหล่าผู้แข็งแกร่งตะลึง รับรู้ได้ว่าตอนที่อสนีเคราะห์รอบที่สองผ่าลงมา ร่างกายของหลินสวินกลับราวได้รับการชำระล้างและยกระดับ เริ่มแปรสภาพเปลี่ยนกระดูก เกิดการเปลี่ยนแปลงจนถึงขีดสุด!
“ต้องฆ่าเขาให้ได้ จะให้เขามีชีวิตรอดจนก้าวข้ามด่านเคราะห์สำเร็จไม่ได้เด็ดขาด…”
เห็นทั้งหมดนี้แล้ว ไอสังหารของอวี่เซียวเซิงและธิดาเทพหลินหลางก็ยิ่งทวีความรุนแรง อสนีเคราะห์นั่นน่าสะพรึงกลัวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่หลินสวินกลับไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด ทั้งยังอาศัยด่านเคราะอสนีช่วยแปรสภาพ นี่มันตัวประหลาดชัดๆ!
คนแบบนี้หากเติบใหญ่ขึ้นมา คนในรุ่นเดียวกันใครจะปราบเขาได้
เปรี้ยง!
พายุสายฟ้าทั่วท้องฟ้าราวกับถูกชักนำ หลอมรวมและชำระล้างร่างกายของหลินสวินอย่างต่อเนื่อง ทำให้รอบกายเขาไหลวนด้วยรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ส่องสะท้อนธาราขุนเขา
ในที่สุดอสนีเคราะห์รอบที่สองก็สงบลง
แต่ตอนนี้หลินสวินก้าวขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ลังเล ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วพุ่งเข้าไปในเมฆาเคราะห์อันมืดครึ้มนั่นอีกครั้ง
รอบตัวเขาเปล่งประกายราวกับกระจกใส ผมดำเจือแสงมันวาวไหวสยายตามสายลม สีหน้ามั่นคงสงบนิ่ง เยือกเย็นอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ
เปรี้ยง!
ไม่รอให้หลินสวินเข้าใกล้ ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ อสนีเคราะห์รอบที่สามก็มาเยือน ฟ้าถล่มดินทลาย พายุสายฟ้าสีทองม่วงระเบิดตัว กว้างใหญ่ไม่สิ้นสุด กึกก้องสะเทือนหู!
อสนีเคราะห์รอบที่สามน่าสะพรึงกลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แค่มาถึงหลินสวินก็ถูกผ่าจนร่วงลงจากกลางอากาศ เผ้าผมยุ่งเหยิง สีหน้าขาวซีดในขณะที่ปากกระอักเลือด!
……………………..
ตอนที่ 567 ทะลวงผ่านอย่างต่อเนื่อง
โดย
ProjectZyphon
พรูด!
หลินสวินกระอักเลือดคำใหญ่ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายถูกผ่าจนกระเด็นออกไป
กลุ่มผู้ฝึกปราณที่ห่างออกมาไกลสูดหายใจเข้าด้วยความตระหนก อสนีเคราะห์ทั้งสามสายนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหลินสวินทนได้อย่างไร
เพราะถ้าเป็นพวกเขา คงจะถูกผ่าจนตายคาที่ไปแล้ว
“ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าก้าวข้ามด่านเคราะห์ อสนีเคราะห์นั่นก็เกือบจะคล้ายกัน…” บุตรเทพอวี่เซียวเซิงพึมพำเสียงเบา
จู่ๆ ในใจเขาก็รู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมา ถึงขั้นมีความอิจฉาอยู่รางๆ
เพราะเขารู้ดีว่าด่านเคราะห์อสนีของหลินสวินเพิ่งจะเริ่มต้น ยังไม่ทันจบก็น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้แล้ว แค่คิดก็รู้ว่าพลังแฝงของหลินสวินน่าหวาดหวั่นเพียงใด เหนือกว่าตนตอนบรรลุระดับอย่างแน่นอน
“แค่สามารถชักนำให้เกิดอสนีเคราะห์ได้ก็ถือว่าเป็นผู้โดดเด่นในระดับหยั่งสัจจะแล้ว แต่อสนีเคราะห์ที่เด็กหนุ่มคนนี้ชักนำมาถือว่าหายากมาก น่าหวั่นหวาดไร้ขีดจำกัด ไม่อาจคิดได้เลยว่าเขาฝึกปราณมาอย่างไร…”
ธิดาเทพหลินหลางเองก็เหม่อลอยอยู่บ้าง
“เขาต้องตาย!” อวี่เซียวเซิงกัดฟัน
เปรี้ยง!
บนฟากฟ้า สายฟ้าสีม่วงนั้นทรงพลังน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง ผ่าหลินสวินอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เขากระอักเลือดต่อเนื่อง ร่างกายโซซัดโซเซ บาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง สะบักสะบอมน่าเวทนาอย่างที่สุด
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสยดสยองคือ ทุกครั้งที่หลินสวินถูกผ่าจนปลิวออกไป ก็สามารถลุกขึ้นได้ในทันที แล้วเข้าไปรับการโจมตีด้วยตัวเองอีก ดูห้าวหาญและเย่อหยิ่งผิดปกติ
ผมดำของเขาปลิวไสว คำรามขึ้นฟ้าอย่างเดือดดาล ศักยภาพแฝงในร่างกายถูกกระตุ้นออกมาในยามนี้เพื่อต่อสู้กับอสนีเคราะห์ พลังปราณของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ยกระดับขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ใกล้จะทะลวงเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะแล้ว กลิ่นอายอันแข็งแกร่งแผ่กระจาย ไอเลือดโหมซัดสาด เสริมบำรุงและซ่อมแซมร่างกายไม่หยุด
วู้ม!
เขาเปล่งประกายไปทั้งตัว รอบตัวมีเสียงปริแตกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่ถูกผ่าจนกระเด็นออกไป กระดูกที่หักไปแล้วของเขาก็จะต่อกันใหม่ กายเนื้อได้รับการซ่อมแซมกลับเป็นเหมือนเดิม
สุดท้ายอสนีเคราะห์ทั้งสามสายก็สงบลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มองทุกอย่างอยู่ในห่างๆ ต่างตกใจจนอ้าปากค้าง เขา…เขาผ่านมาได้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ!?
ข้ามผ่านมาแล้วจริงๆ แต่ยังไม่สิ้นสุด!
หลินสวินสัมผัสได้อย่างมีเฉียบไวว่า พลังปราณของตนยังไม่ได้เข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริง ทำให้เขาเองก็จนใจอยู่บ้าง
ช่วยไม่ได้ พลังที่เขาสั่งสมในระดับมหาสมุทรวิญญาณหนาแน่นและสมบูรณ์แบบเกินไป ทำให้การแปรสภาพและยกระดับพลังปราณยากลำบากผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
ครืน โครม โครม…
บนฟากฟ้า เมฆาเคราะห์พลุ่งพล่าน ยิ่งทวีความน่ากลัว สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าสีของอสนีเคราะห์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสีทองอร่ามและวิวัฒน์ไปเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ เช่น ดาบ ทวน กระบี่ ง้าวเป็นต้น ยิ่งพาให้นึกหวาดหวั่น
“อสนีเคราะห์แปลงอาวุธ! สวรรค์ ตำนานนี้เป็นความจริงหรือนี่!”
ผู้แข็งแกร่งมากมายอุทานอย่างตกใจ หนังหัวชาวาบ ต่างคิดไม่ถึงว่าอสนีเคราะห์รอบที่สี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นศาสตราวุธ!
เจ้าเด็กนี่พลิกฟ้าขนาดไหน ถึงได้ชักนำให้เกิดการโจมตีน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ คิดจะกำจัดเขาให้พ้นโลกงั้นหรือ
“รอบที่สี่ อสนีเคราะห์แปลงอาวุธ…”
สีหน้าของอวี่เซียวเซิงและหลินหลางไม่น่าดู ในใจอัดอั้น พวกเขารู้ดีว่านี่หมายความถึงอะไร เพียงแค่อานุภาพของด่านเคราะห์อสนีก็สามารถคาดการณ์ได้แล้วว่า พลังของหลินสวินพลิกฟ้าและน่าหวาดหวั่นเพียงใด
ตอนนี้ในใจทั้งสองมีเพียงความคิดเดียว คืออยากให้อสนีเคราะห์นั่นผ่าหลินสวินให้ตาย ฆ่ามันเสีย!
บนฟากฟ้าอสนีเคราะห์ระเบิดตัว กลายเป็นดาบอสนี กระบี่อสนี ทวนอสนี ขวานอสนี… พุ่งสังหารหลินสวินไม่หยุด
ภาพนั้นราวกับยอดฝีมือพลิกฟ้าควบคุมทัณฑ์อสนี หมายจะกำจัดหลินสวิน
ฆ่า!
ในขณะเดียวกัน หลินสวินก็สำแดงพลังทั้งหมดออกมาสู้อย่างไม่ลังเล ความลี้ลับในเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ถูกเขาใช้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ภาพที่เห็นน่าพรั่นพรึงมาก สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลินสวินค่อยๆ ถูกโจมตีจนทรุด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสีสดไหลพรูออกมาจนแทบจะต้านทานไม่ไหวแล้ว
แต่สิ่งที่ทุกคนคิดไม่ถึงคือ แม้จะเป็นเช่นนี้หลินสวินก็ยังคงยืนหยัดสู้ต่อไป ทำให้ทุกคนแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้าแทบจะทะลุแก้วหูของทุกคน บดขยี้จิตวิญญาณ สะเทือนฟ้าดิน อากาศปั่นป่วน เพราะสายฟ้านี้น่าสะพรึงกลัวมากเกินไปจริงๆ เจิดจ้าสาดแสง เต็มแน่นทั่วพื้นที่กลางอากาศ
หลินสวินดิ้นรนอยู่ภายใน ดูคล้ายสามารถถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดได้ตลอดเวลา ทำให้ทุกคนต่างตะลึง
มองมาจากระยะไกลยังน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ ยากที่จะจินตนาการว่าหลินสวินก็ถูกอสนีเคราะห์นี้ปกคลุมอยู่ กำลังเจอกับความเจ็บปวดและความยากลำบากแบบใด
หลินสวินผิวหนังฉีกขาด ร่างกายไหม้ดำ เลือดสดๆ ไหลรินราวน้ำตก
ทว่าถึงแม้เขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่พลังกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เลือดลมทะยานฟ้า ไม่มีความห่อเหี่ยวสักกระผีก แต่กลับดูเย่อหยิ่ง ต่อสู้อย่างกล้าหาญ
เหล่าผู้แข็งแกร่งมากมายตะลึงกลัว ร่างกายและพลังของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว แทบจะสามารถเทียบกับเผ่าวัวมารทรงพลังได้เลย
ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าคงกลายเป็นเถ้าถ่านไปตั้งแต่อสนีเคราะห์รอบแรกแล้ว! ทว่าเขากลับยังต่อต้านอยู่จนถึงตอนนี้
ในผืนป่าแห่งนี้ ผู้ฝึกปราณที่ทยอยมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ล้วนตกตะลึง ต่างมารวมตัวกันที่นี่ มองดูด่านเคราะห์อสนีอันสะเทือนโลกนี้ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่อยู่
เผ่ามนุษย์มีตัวประหลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ในสายตาของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าในทะเลกลืนวิญญาณ เผ่ามนุษย์ดูอ่อนแออย่างยิ่ง ทว่าไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีตัวประหลาดเช่นนี้ปรากฏตัว แทบจะแข็งแกร่งกว่าทายาทชนเผ่าที่ชื่อเสียงสะเทือนโลกหล้าด้วยซ้ำ
“เปิด!”
หลินสวินส่งเสียงคำรามยาว แสงประกายอันน่าพรั่นพรึงเดือดพล่านรอบตัว สลายอสนีเคราะห์ที่ปกคลุมเต็มฟ้าให้ทรุดทลายลง
เพียงแต่ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่ายืนหยัดไม่ไหวอยู่บ้าง
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ผู้แข็งแกร่ง ณ ที่นั้นตื่นตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่ อสนีเคราะห์รอบที่สี่นี้ก็ข้ามผ่านมาได้แล้วหรือ
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้กล้าตั้งเท่าไหร่ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับมหาเคราะห์เช่นนี้ และมีสักกี่คนที่สามารถข้ามผ่านด่านนี้ พุ่งสู่ระดับสูงได้”
ยามบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ เดิมทีก็มีน้อยคนนักที่สามารถเรียกด่านเคราะห์อสนีได้ โดยปกติล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุคเท่านั้น จึงจะสามารถชักนำด่านเคราะห์อสนีมาหล่อหลอมชำระล้างตนเองได้
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินพิเศษมาก เขาไม่เพียงชักนำด่านเคราะอสนี ที่ชักนำมายังเป็นมหาเคราะห์สะท้านโลกาที่หาได้ยากยิ่งนับแต่โบราณกาล!
นี่มันหายากและน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ทำให้ทุกคนอดตะลึงไม่ได้จริงๆ ไม่สามารถคาดการณ์ความลี้ลับนี้ได้
“สวรรค์! ยังมีอสนีเคราะห์รอบที่ห้าอีกหรือ”
มีคนอุทานอย่างตะลึง มองเห็นว่าส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั่นมีอสนีเคราะห์กำลังก่อตัว เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง
ชั่วขณะนั้นผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างอึ้งค้างอยู่กับที่ ไม่สามารถจินตนาการได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนไม่เคยได้ยินว่า ตอนที่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะต้องเผชิญหน้ากับด่านเคราะห์มากมายที่น่ากลัวเพียงนี้
แม้แต่บุตรเทพอวี่เซียวเซิงและธิดาเทพหลินหลาง ยามนี้ต่างมองไม่ออกอยู่บ้าง แต่ด่านเคราะห์อสนีนี้ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งเป็นการยืนยันความน่าสะพรึงกลัวของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น
ยิ่งเป็นบุคคลพลิกฟ้า ด่านเคราะห์อสนีที่ประสบก็ยิ่งรุนแรง นี่เป็นสิ่งที่รู้โดยทั่วกันในบรรดาผู้ฝึกปราณตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!
สิ่งที่น่าแปลกคือ อสนีเคราะห์รอบนี้กลับไร้สุ้มเสียง อสนีเคราะห์ที่ปลดปล่อยออกมาไม่ได้ทรงพลังเจิดจ้าอีก แต่กลับปรากฏเป็นสีเทาหม่นๆ ราวกับเป็นภาพมายา ดูเลือนรางน่ากลัว
นี่มันเคราะห์อะไร
ทุกคนฉงนใจ
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงยิ่งกว่า คือตอนนี้หลินสวินนั่งสมาธิหลับตาอยู่กลางอากาศ!
“อสนีเคราะห์ฆ่าวิญญาณ!”
อวี่เซียวเซิงพูดออกมาทีละคำ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาจำได้แล้วว่า นี่คือเคราะห์ที่มีไว้เพื่อโจมตีจิตวิญญาณโดยเฉพาะแบบหนึ่ง มีผลต่อจิตวิญญาณโดยตรง ไร้รูปร่างและตัวตน ลึกลับน่าสะพรึงกลัวที่สุด!
ถ้าพลาดขึ้นมาก็จะร่างสลาย ไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นเคราะห์นี้…”
สีหน้าของธิดาเทพหลินหลางวาบแววประหลาด ราวกับหวั่นไหวอยู่บ้าง อยากจะฉวยโอกาสนี้ลงมือสังหารหลินสวินซะ
เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะลงมือ ก็มีผู้แข็งแกร่งชิงลงมือก่อนแล้ว นั่นเป็นเหยี่ยววายุสีเขียวตัวหนึ่ง สองปีกเหยียดกาง หอบม้วนรุ้งศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าโจมสีใส่หลินสวินกลางอากาศ
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ณ ที่นั้นต่างตะลึง ก่อนจะกระจ่างแจ้งโดยพลันว่าอีกฝ่ายต้องการฉวยโอกาสนี้ฆ่าหลินสวิน ช่วงชิงศุภโชคในตัวเขา!
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งมากมายต่างกระเหี้ยนกระหือรือ รวบรวมพลังรอ
แต่ภาพอันแปลกประหลาดบังเกิดขึ้น สายรุ้งที่เหยี่ยววายุตัวนั้นปล่อยออกมา ยังไม่ทันถูกตัวหลินสวินก็ถูกหมอกสีเทาหม่นแทรกซึม สลายทุกอย่างไปอย่างไร้สุ้มเสียง
แทบจะในขณะเดียวกัน เหยี่ยววายุตัวนั้นส่งเสียงโหยหวนรุนแรง เกิดเสียงปังดังสนั่น ร่างระเบิดฉับพลัน วิญญาณสลาย!
ภาพนี้ทำเอาตะลึงไปทั้งลาน ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่เดิมพลุ่งพล่านเร่าร้อนต่างหนาวเยือกขึ้นมาในใจ ไม่กล้าลงมือโดยพลการ
“นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ อยู่ภายใต้ด่านเคราะห์อสนี ใครกล้าสอดมือเข้าไปแทรก? นี่มันพื้นที่แห่งอานุภาพสวรรค์นะ ยิ่งไปกว่านั้นอสนีเคราะห์ฆ่าวิญญาณนั่นน่ากลัวและลี้ลับที่สุด มีผลต่อจิตวิญญาณโดยตรง ใครลงมือตอนนี้จะต้องร่างสลายอย่างแน่นอน!”
อวี่เซียวเซิงยิ้มเยาะ
แม้ว่าเขาเองก็อยากฆ่าหลินสวินเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการสังหารอีกฝ่าย
ธิดาเทพหลินหลางเหงื่อเย็นหลั่งไปทั้งตัว นึกกลัวในใจ เมื่อครู่นี้นางก็คิดจะลงมือ ยังดีที่ไม่ทันได้ออกมือไป
กลางอากาศหลินสวินนั่งขัดสมาธิ เปื้อนเลือดไปทั้งตัว แต่เขากลับประหนึ่งไม่รู้สึก หลังตรงดูสง่า สีหน้าไร้อารมณ์
เขาปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณโดยไม่รั้งเก็บไว้แต่อย่างไร เพื่อรับมือสายฟ้าแปลกประหลาดสีเทาหม่นราวกับหมอกนั่น
นี่เป็นเคราะห์ที่โจมตีจิตวิญญาณโดยเฉพาะ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นลักษณ์โจมตี ภาพมายา รวมถึงปีศาจสวรรค์อันน่าสะพรึง ลี้ลับและรุนแรงอย่างที่สุด
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่สะทกสะท้าน โคจรเคล็ดเวทบริกรรม อนุมานถึง ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ ในลักษณ์ ‘ดาราจักรโคจร’ ภายในห้วงนิมิตหมู่ดาวสะท้อนแสง เดือนเทพดวงหนึ่งจากที่ขาดแหว่งก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสมบูรณ์ แสงจันทร์สีเงินยวงสาดแสง ส่องสว่างห้วงนิมิตจิตวิญญาณ!
จิตวิญญาณกำลังเผชิญการโจมตีของอสนีเคราะห์ ภาพมายาทับซ้อนหลายชั้น ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นเกรงว่าคงจะธาตุไฟเข้าแทรก จิตดับวิญญาณสลายไปตั้งนานแล้ว
แต่หลินสวินราวกับไม่รับรู้ ใช้อสนีเคราะห์เป็นเหมือนหินลับมีด หล่อหลอมจิตวิญญาณ หยั่งถึงระดับใหม่ในเคล็ดเวทบริกรรม… ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’!
ตอนนี้หลังจากการแปรสภาพของร่างกายและพลังปราณ จิตวิญญาณของหลินสวินก็เริ่มยกระดับขึ้นท่ามกลางด่านเคราะห์อสนีแล้ว!
สำหรับเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าดูอยู่ไกลๆ อสนีเคราะห์รอบนี้ดูเงียบสงบและราบเรียบ แต่ถ้ารู้เส้นสนกลในของอสนีเคราะห์นี้ก็จะรู้ว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งน่ากลัว!
หนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น
หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นโดยพลัน แววตาอันลึกล้ำและสงบนิ่งนั้นกวาดมอง ผู้แข็งแกร่งทุกคนในที่นั้นใจประหวั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง ราวกับว่าสายตานั่นสามารถมองทะลุความลับในใจพวกเขาได้ ทำให้พวกเขาขนพองสยองเกล้า
จากนั้นพวกเขาพลันพบว่าหลินสวินเปลี่ยนไป ท่าทางประหนึ่งปลายดาบคมกริบที่ผ่านการตีหลอมมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง มีลักษณะแยกตัวโดดเดี่ยวคืนสู่สามัญรางๆ ราวกับจันทร์เพ็ญกลางฟ้า ส่องแสงกระจ่างและโปร่งใส
“ข้ามผ่านอสนีเคราะห์มาได้อีกรอบแล้วงั้นหรือ”
ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างตะลึง ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ
แม้แต่อวี่เซียวเซิงกับหลินหลางยังอึ้งงัน เป็นแบบนี้ได้อย่างไร นั่นมันอสนีเคราะห์ฆ่าวิญญาณเชียวนะ เหตุใดเขาจึงข้ามผ่านมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น