Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 560-563
ตอนที่ 560 วุ่นวายโกลาหล
โดย
ProjectZyphon
ธิดาเทพหลินหลางโกรธแทบคลั่งจริงดังว่า นางบำเพ็ญเพียรถึงทุกวันนี้ สมกับเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งเผ่าสิงห์โลหิตมาตลอด ไปหนใดล้วนได้รับการเคารพนับถือจากผู้คน แม้แต่คนใหญ่คนโตในเผ่าต่างมีมารยาทต่อนางถึงสามส่วน
ใครเล่าจะคิดว่าวันนี้กลับถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งขุดหลุมดักซะได้ ไม่เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งของพวกเขาเผ่าสิงห์โลหิตถูกสังหาร แม้แต่คัมภีร์สีทองลึกลับเล่มนั้นยังถูกช่วงชิงไปหนึ่งในสาม
นี่จะไม่ให้นางเคียดแค้นได้อย่างไร
ที่ทำให้นางอัปยศอดสูที่สุดคือ เด็กหนุ่มนั่นฝึกปราณถึงแค่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
ครืน!
กระแสคลื่นอันน่าพรั่นพรึงแผ่ขยายออกจากร่างธิดาเทพหลินหลาง ใบหน้างดงามพริ้งเพราของนางแผ่ไอสังหารเย็นเยือกถึงขีดสุด นัยน์ตาคู่งามฉายแววอาฆาต ผมสีโลหิตพลิ้วไสว ดุจดั่งมารปีศาจตนหนึ่ง
เพียงแต่เมื่อนางหมายบดขยี้หลินสวินเต็มกำลัง พลันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันฉากหนึ่งขึ้น…
ก็เห็นบนแท่นมรรคโบราณในส่วนลึกของตำหนักนั่น โซ่งามตระการที่ไขว้พันกันต่างสั่นไหวครืนๆ ขึ้นมา
และภายในหินหยกซึ่งถูกปกคลุมไว้ข้างใต้ กลับมีเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นหาใดเปรียบดังออกมา “ถึงกับกล้าชิงคัมภีร์มรดกของข้า พวกเจ้าสองคนล้วนสมควรตาย!”
น้ำเสียงนั้นดูอ่อนเยาว์ราวเด็กทารก เสียงเล็กแหลมผิดธรรมดา เจือความเคียดแค้นชิงชังเหลือคณานับ
ทันทีที่ดังออกมา ตำหนักทั้งหลังพลันเกิดแรงสะเทือนรุนแรง โซ่งามตระการนับหมื่นพันส่งเสียงกัมปนาท พุ่งทะยานสู่นภากาศมุ่งตรงมาทางนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน
พริบตานี้ธิดาเทพหลินหลางและหลินสวินต่างสูดหายใจเย็นเยียบ รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“ไป!”
หลินสวินไหนเลยจะกล้าชักช้า ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งขั้นสูงสุด หลบลี้หนีจากตำหนักแห่งนี้ว่องไวราวหมอกควัน
“บ้าเอ๊ย…!”
ธิดาเทพหลินหลางโกรธจนจมูกเบี้ยวไปหมด เดิมทีคิดจู่โจมสังหารหลินสวินซะ ไหนเลยจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ครืน!
โซ่สายหนึ่งกระพือสะบัดมาถึง อุดมไปด้วยลำแสงอันน่าหวาดกลัวราวโซ่ตรวนแห่งเทพเซียน
ธิดาเทพหลินหลางเรียกระฆังสำริดสีเลือดออกมาต้านทาน แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังถูกกระเทือนจนใบหน้างดงามซีดเผือดแทบกระอักเลือด
นางตื่นจากห้วงโทสะชั่วขณะ มิกล้าลังเลอีก หลบหนีอย่างสุดความสามารถ
ภายในตำหนักเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด น่าประหวั่นเกินไป เสมือนสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัวตนหนึ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหล หากอยู่นานกว่านี้เพียงครู่ อาจประสบภัยพิบัติที่มิอาจคาดเดา!
นอกตำหนักเขียวชอุ่ม ทันทีที่หลินสวินหลบหนีออกมาก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้น ตำหนักใหญ่สั่นคลอน ภูเขาเทพม่วงอำพันนี้สั่นสะท้านอย่างรุนแรงไปทั้งลูก
แย่แล้ว!
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย เงาร่างดุจอสนีบาตพุ่งทะยานไปยังเชิงเขา
ข้างหลังเขา ธิดาเทพหลินหลางก็พุ่งออกมาเช่นกัน ผมสีโลหิตพลิ้วไหว ใบหน้างดงามเย็นเยือก เพียงแต่นางตระหนักชัดแจ้งถึงอันตราย จึงแทบไม่สนใจจะลงมือกับหลินสวินอีก เริ่มหนีอย่างเต็มกำลังเช่นกัน
ครืน ครืน
ในเสียงสั่นคลอนอันน่าพรั่นพรึง ตำหนักโบราณเขียวขจีบนยอดเขานั่นถึงกับเริ่มถล่มทรุดตัวลง เกิดแสงอสนีบาตสีเขียววับวามน่าหวาดกลัว ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
กระทั่งต่อมาภูเขาเทพม่วงอำพันเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรู ภูเขาทั้งลูกถึงขั้นเริ่มทรุดตัวจมลง
หลังจากนั้นทะเลสาบหินหนืดผืนนี้พลันเดือดพล่าน ปะทุคลื่นอัคคีน่าหวาดหวั่น เกาะกลางทะเลสาบนั่นก็เริ่มปริออกจากกัน กลายเป็นก้อนหินที่แตกหักเป็นเสี่ยงๆ ก่อนเริ่มจมดิ่งลง
น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
เกาะอริยะปัญจธาตุทั้งเกาะเกิดภัยพิบัติน่าตะลึง จมดิ่งลงสู่ทะเลสาบหินหนืด ก่อเกิดคลื่นผนึกต้องห้ามน่าหวาดหวั่นราวกับจะพังทลาย
“บัดซบ! นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“หรือว่าหลินหลางหญิงผู้คนนั้นไปสัมผัสพลังต้องห้ามอะไรเข้า ถึงทำให้ที่แห่งนี้เกิดอุบัติภัยอันน่าตกใจจนถูกทำลาย”
ริมทะเลสาบ ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรทั้งกลุ่มตกใจจนถอยร่นห่างออกไป สีหน้าปรวนแปร เกรงแต่จะถูกพลังทำลายล้างต้องห้ามอันน่าหวาดกลัวนั่นกระเทือนมาถึง
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เวลานี้หากราชันคนหนึ่งติดอยู่ในนั้นก็หนีความตายไม่พ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
พลังทำลายล้างนั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว อยู่เหนือจินตนาการ ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายใหญ่หลวง เสมือนวันสิ้นโลกเยื้องกรายมาถึง ไม่ต่างจากมหามรรคดับสลาย
อวี่เซียวเซิงเองก็ประหลาดใจระคนสงสัย แต่ในไม่ช้านัยน์ตาเขาพลันฉายแววยะเยือกทันที ก่อนตวาดลั่น “เตรียมพร้อมต่อสู้!”
สวบ!
เพิ่งสิ้นเสียง เงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ เสมือนสายฟ้าแลบผ่านรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น อวี่เซียวเซิงยังคงแยกออก เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นนั่นเอง!
“ธิดาเทพเผ่าสิงห์โลหิตอยู่ข้างหลัง เป็นนางที่ช่วงชิงมหาศุภโชคในที่แห่งนี้ไป ก่อให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้!”
หลินสวินตัวยังมาไม่ถึงก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรพวกนั้นต่างส่งเสียงอื้ออึง พวกเขาเดาไว้แต่แรก อุบัติภัยอันน่าตกใจทั้งหมดนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับธิดาเทพหลินหลาง
มาตอนนี้คำพูดประโยคเดียวของหลินสวินยืนยันข้อสันนิษฐานของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เบื้องหลังนั้น ธิดาเทพหลินหลางซึ่งหลบหนีออกมาเช่นกันเพิ่งคิดอยากพักหายใจสักครู่ แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ของหลินสวินก็โกรธจนควันออกหูทันที รู้สึกแย่ไปทั้งตัว
โยนความผิดให้คนอื่น ใส่ร้ายป้ายสี?
เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นี่ช่างต่ำช้าไร้ยางอายซะจริง!
“สหาย ไม่ว่าศุภโชคถูกใครช่วงชิงไป เจ้าก็หยุดอยู่ตรงนี้ชั่วคราวเถอะ!”
อวี่เซียวเซิงกล่าวเย็นชา ขณะที่พูดก็โบกมือส่งสัญญาณให้คนในเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง ออกคำสั่งให้พวกเขาลงมือพร้อมกัน โจมตีหลินสวิน
ในขณะเดียวกันเขาก็บุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ จู่โจมสังหารธิดาเทพหลินหลาง
วู้ม!
ทวนสามง่ามขาวดุจหิมะซึ่งหล่อจากกระดูกมังกรเล่มหนึ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ปรากฏสัญลักษณ์รอยสลักลึกลับนับหมื่นนับพัน กวาดทำลายออกไป
นี่คือสมบัติลับหายากชิ้นหนึ่ง นามว่า ‘ทวนกระดูกมังกร’ เป็นอาวุธตกทอดของเผ่าวาฬมังกร อานุภาพไม่ด้อยไปกว่าระฆังสำริดสีเลือดในมือธิดาเทพหลินหลาง
เห็นชัดว่าอวี่เซียวเซิงรู้ตัวว่าสถานการณ์ตึงเครียด ทันทีที่ลงมือก็ทุ่มสุดกำลัง
อีกด้านหนึ่งหลินสวินก็ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรกลุ่มหนึ่งล้อมกรอบ คนพวกนี้เตรียมตัวไว้นานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้หลินสวินฉวยโอกาสหลบหนี
ทันใดนั้นฟ้าดินแถบนี้ก็เกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด
ธิดาเทพหลินหลางควบคุมระฆังสำริดสีเลือดต่อสู้กับอวี่เซียวเซิง ต่อสู้ฆ่าฟันจนฟ้าดินไร้สี ดุเดือดรุนแรงหาใดเปรียบ สภาพอากาศแปรปรวนถาโถมชวนประหวั่น ภาพเหตุการณ์น่าอกสั่นขวัญแขวน
พวกเขาคนหนึ่งคือธิดาเทพเผ่าสิงห์โลหิต อีกคนคือบุตรเทพเผ่าวาฬมังกร ต่างคนต่างควบคุมสมบัติลับ การต่อสู้นี้ถือเป็นการต่อสู้ชั้นยอดของคนรุ่นเยาว์เลยทีเดียว พาให้คนใจสั่นระรัว
หลินสวินที่อยู่อีกฟากหนึ่งกลับได้รับแรงกดดันเป็นเท่าตัว ด้วยในบรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรมีผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงรุ่นอาวุโสอยู่มากมาย ตอนนี้ทั้งหมดต่างกลุ้มรุมบุกเข้ามาตีล้อม แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่ากลัวขนาดไหน
หลินสวินได้แต่อาศัยความอัศจรรย์ของก้าวย่างชือน้ำแข็ง ฝืนอ้อมหลบเร้น หมายฝ่าวงล้อมออกไป แต่ในชั่วขณะหนึ่งกลับยังไม่สามารถทำได้
“ผู้หญิงหน้าเหม็น ดูท่าคนพวกนี้ไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ มิสู้พวกเราร่วมมือกันชั่วคราว ตีฝ่าวงล้อมออกไปก่อน หลังจากนั้นค่อยจัดการบุญคุณความแค้นระหว่างเราเป็นอย่างไร”
ทันใดนั้นหลินสวินตะโกนก้อง ทั่วร่างเขาเปล่งแสง ดาบหักวาดกวาดฟาดผ่าทวนอสรพิษส่วนหนึ่งแตกละเอียด แม้ไม่อาจตีฝ่าวงล้อม แต่พลานุภาพกลับแข็งแกร่งผงาดผยองถึงขีดสุด ไม่อาจถูกกำราบลงได้
“ก็ดี เจ้ามานี่ พวกเรามาจัดการเจ้าอวี่เซียวเซิงนี่ก่อน!”
ธิดาเทพหลินหลางตกปากรับคำอย่างยินดี ถึงแม้ในใจจะแค้นหลินสวินจนกัดฟันกรอด แต่ก็รู้ว่าการเลือกร่วมมือกับหลินสวินเวลานี้ จึงจะมีหวังเปิดทางรอดชีวิตหนึ่งบ้าง
พวกอวี่เซียวเซิงหน้าเปลี่ยนสีทันใด หากปล่อยให้สองคนนี้ร่วมมือกัน อาจถูกพวกเขาฝ่าวงล้อมออกไปพร้อมกันก็เป็นได้
“พวกเจ้าหยุดยั้งเจ้าเด็กนั่นเต็มกำลัง! อย่าปล่อยให้พวกมันรวมตัวกันได้เด็ดขาด!”
อวี่เซียวเซิงตวาดเสียงกร้าว ในใจเขาเองก็ร้อนรนอยู่บ้าง
“ฆ่า!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรเหล่านั้นไหนเลยจะกล้าชักช้า แต่ละคนไอสังหารแผ่ซ่าน ใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดดักโจมตีและปิดล้อมหลินสวิน
“เจ้ามานี่ ข้าไปไม่ได้ หากเจ้ายังไม่มา พวกเราใครก็อย่าคิดว่าจะหนีออกไปได้!”
หลินสวินร้องตะโกน
“น่าชังนัก!”
ธิดาเทพหลินหลางโกรธจนมุมปากกระตุก ในใจหลุดปากด่ายกใหญ่
แต่จนปัญญา นางได้แต่เข่นฆ่าโรมรันกับอวี่เซียวเซิงไปพลาง ขยับตัวเข้าใกล้หลินสวินไปพลาง
อวี่เซียวเซิงมีหรือจะยอมให้พวกเขาสองคนรวมตัวกัน พลันเดือดดาล โคจรพลังทั้งหมด ทวนกระดูกมังกรเปล่งแสงราวสุริยันเจิดจรัส พลานุภาพไร้ขอบเขต พุ่งโจมตีธิดาเทพหลินหลางอย่างหนักหน่วง
พรูด!
ท้ายที่สุดนางถูกทวนกวาดโดน ปากกระอักเลือดได้รับบาดเจ็บ แต่กลับอาศัยโอกาสนี้ทำให้นางสามารถเข้าประชิดสมรภูมิรบของหลินสวินได้
“ฆ่า!”
นางแผดเสียง ผมสีโลหิตทั้งศีรษะพลิ้วไสว ชูมือขึ้นเรียกมุกอสนีโลหิตสวรรค์ออกมา ปลดปล่อยอสนีบาตนับหมื่นนับพัน พุ่งครืนครันผ่าสังหารไปยังผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรพวกนั้น
“ไสหัวไป!”
หลินสวินเองก็บุกโจมตี ตวาดเสียงดังลั่น แผ่นหลังโก่งโค้งขึ้นทันที สำแดง ‘ปะทะฟู่ซี่’ ออกมา!
พลันยินเสียงดังปึงๆๆ คุกรุ่น ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรส่วนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหลินสวิน ไหนเลยจะคิดว่าหลินสวินยังมีวิชาลับแปลกประหลาดน่าหวาดกลัวเช่นนี้อยู่อีก จึงถูกกระแทกลอยละล่องออกไปแถบใหญ่ทันที ปากกระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วงล้อมที่เดิมทีแน่นหนาหาใดเปรียบ ชั่วขณะถูกทลายแยกแตกออกจากกัน
สวบ! สวบ!
หลินสวินและธิดาเทพหลินหลางมีหรือจะปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ สำแดงท่าร่างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนหลบหนีออกไปจากช่องโหว่นั่น
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์! ตามไปเร็ว!”
อวี่เซียวเซิงโกรธจนหน้าเขียว เดือดดาลจนผมตั้ง ถือทวนไล่ตามไปทันที
เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรเหล่านั้นต่างตะลึงงัน เพราะหลังจากที่หนีจากวงล้อมไปได้ หลินสวินและธิดาเทพหลินหลางราวกับรู้กันอยู่ในที ผละออกจากกันทันใด มุ่งหนีไปคนละทิศละทาง
นี่ควรตามใครกันแน่
“พวกไร้ประโยชน์! ยังตะลึงกันทำบ้าอะไร พวกเจ้าตามเจ้าเด็กนั่น นางผู้หญิงนี่ข้าจัดการเอง!”
อวี่เซียวเซิงแผดเสียงคำราม มุ่งไล่ล่าสังหารธิดาเทพหลินหลางอย่างบ้าคลั่ง ถาโถมโหมกระหน่ำราวฟ้าร้องกัมปนาท
เขาเองก็รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอันมาก เดิมทีสถานการณ์ ‘ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ ทำให้พวกเขาเหนือกว่าเป็นมั่นเหมาะ
ใครจะคิดว่าเกาะอริยะปัญจธาตุนั่นกลับเกิดภัยพิบัติน่าตระหนก ทำเอาเขารับมือไม่ทัน
ถึงขั้นที่ยามคิดจะดักสังหารหลินสวินและธิดาเทพหลินหลาง กลับไม่คาดคิดว่าคู่แค้นทางคับแคบอย่าง ‘ตั๊กแตน’ และ ‘จักจั่น’ จะถึงกับร่วมมือกันเพื่อหนีเอาชีวิตรอดอย่างคาดไม่ถึง
ชั่วขณะเดียวก็ทำให้สถานการณ์วุ่นวายอุตลุดไปหมด!
ภายในใจอวี่เซียวเซิงแค่คิดก็รู้แล้วว่าอึดอัดมากเพียงใด
อีกฟากหนึ่ง หลินสวินสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเต็มกำลัง เงาร่างประดุจภาพฝันเบี่ยงหนีหลีกหลบ ด้านหลังเขามีผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรกลุ่มใหญ่ออกไล่ล่าสังหาร
หลินสวินเองก็กลัดกลุ้มอยู่บ้าง เพิ่งจัดการอันตรายที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตชักนำมา กลับยังถูกเผ่าวาฬมังกรจับจ้องอีก ทำเอาหลินสวินเกิดโทสะ
เห็นเขาหลินสวินเป็นมะพลับนิ่มที่บีบขยำได้ตามใจหรือไร
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้จักดีชั่ว งั้นข้าจะเล่นใหญ่กับพวกเจ้าเอง!”
หลินสวินเดี๋ยวหลบหลีก เดี๋ยวลอบกัดฟันกรอดอย่างโมโห
“สารเลว! สารเลวยิ่งนัก!”
ในขณะเดียวกัน ธิดาเทพหลินหลางที่ถูกอวี่เซียวเซิงไล่สังหารอย่างไม่ลดละก็โกรธแทบบ้า กัดฟันกรอดแทบแหลก
วันนี้พวกเขาเผ่าสิงห์โลหิตจ่ายค่าตอบแทนหนักเกินไปแล้ว แทบจะพินาศราบเป็นหน้ากลอง!
ที่ทำให้ธิดาเทพหลินหลางเคียดแค้นชิงชังที่สุดคือ แม้จนถึงตอนนี้ ข้างหลังก็ยังมีอวี่เซียวเซิงไล่สังหารราวกับวิญญาณตามติดก็มิปาน รังแกคนอื่นเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทองต้นนั้น ก็ถูกเจ้าหมอนี่ลอบโจมตีแย่งชิงไป!
………………….
ตอนที่ 561 เอาคืนอย่างสวยงาม
โดย
ProjectZyphon
เกาะอริยะปัญจธาตุหายไปแล้ว
อาณาบริเวณนั้นต่างทรุดจมลง ตำหนักเขียวชอุ่ม ภูเขาเทพม่วงอำพัน รวมถึงเกาะกลางทะเลสาบล้วนจมดิ่งสู่ใต้ทะเลสาบหินหนืด
ท้ายที่สุด แม้แต่ทะเลสาบหินหนืดผืนนั้นก็ทรุดตัวลงหายลับจากไป
แต่สถานที่ส่วนลึกที่สุดข้างใต้ผืนดินนั่น กลับมีแท่นมรรคโบราณแท่นหนึ่งลอยคว้างอยู่ สายโซ่ซึ่งรัดพันหนาแน่นบนนั้น มีกลิ่นอายมหามรรคต้องห้ามวนเวียนอยู่
หินหยกซึ่งอบอวลด้วยไอขมุกขมัวตั้งตระหง่านบนแท่นมรรค ภายในมีเงาร่างสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งลอยล่อง ข้างกายเขามีคัมภีร์สีทองซึ่งไม่สมบูรณ์ส่วนหนึ่งลอยคว้างอยู่ รวมทั้งโอสถโบราณรูปร่างคล้ายมังกรมีเขาต้นหนึ่ง
“ข้าจดจำพวกเจ้าไว้แล้ว พวกเจ้าหนีไม่พ้น กล้าบังอาจแย่งชิงศุภโชคของข้า รอเมื่อข้าปรากฏตัวบนโลก พวกเจ้าล้วนต้องตาย!”
ในหินหยก เสียงเล็กแหลมอย่างโกรธแค้นเสียงหนึ่งดังออกมา
ไม่ช้าเสียงก็หายไป ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด อาณาบริเวณนี้ถูกความมืดมิดปกคลุม
ในความเลือนรางพร่ามัว เงาร่างวานรเฒ่าตนหนึ่งปรากฏตัวยืนหน้าแท่นมรรค จ้องมองสิ่งมีชีวิตที่ตกสู่ห้วงนิทราอีกครั้งภายในหินหยกนั้น
“ยังดี โอสถเทพที่นายท่านเหลือทิ้งไว้ยังคงอยู่…”
ครู่ใหญ่วานรเฒ่าก็ทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในความทรงจำปรากฏภาพของเด็กหนุ่มหล่อเหลาสุภาพผู้นั้น นึกถึงเจดีย์เก้าชั้นแปดเหลี่ยมหลังนั้นในมือเขา
‘ใช่เจดีย์นั่นหรือไม่ ถึงกับยังคงอยู่บนโลกหล้า…’
วานรเฒ่าพึมพำในใจ
ไม่นานหลังจากนั้นเงาร่างของเขากลายเป็นฝนแสง ก่อนจางหายไปในความมืดมิด
…
ในทะเลทรายไร้ขอบเขต เงาร่างมายาราวอสนีบาตร่างหนึ่งหลีกหนีอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด ชั่ววูบเดียวก็หายวับไป
ไม่นานเงาร่างอันกระเหี้ยนกระหือรือกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมืดฟ้ามัวดิน มุ่งตามไปยังทิศทางที่เงาร่างนั้นจางหายไป
แน่นอนว่าย่อมเป็นหลินสวินและผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่ตามติดไม่ปล่อยพวกนั้น
ครืน!
ไม่นานนักหลินสวินพลันหยุดฝีเท้า ก่อนใช้เสามังกรจตุลักษณ์ขังผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่ไล่ตามนำหน้าคนหนึ่งไว้ในเขตแดนมายาในชั่วพริบตา
ไม่ทันไรผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรระดับหยั่งสัจจะคนนี้ก็ถูกฆ่าสังหาร หลินสวินกลับหย่อนก้นนั่งลงบนพื้น หอบหายใจเฮือกใหญ่
สีหน้าเขาซีดเผือด ใช้พลังกายถึงขีดสุด หว่างคิ้วเผยความอ่อนเพลียยากปกปิด
แต่หลินสวินไม่กล้าผ่อนคลาย เขาหยิบลูกกลอนโอสถขวดหนึ่งออกมา กลืนเข้าไปในปากจนหมด ก่อนเริ่มหล่อหลอมฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มกำลัง
ฉากการต่อสู้ไล่ล่านี้ยืดเยื้อต่อเนื่องหนึ่งวันหนึ่งคืน
ตลอดทางหลินสวินเปรียบเสมือนผู้ล่าที่ออกอุบายล่วงหน้าคนหนึ่ง ในแต่ละช่วงเวลาจะใช้เสามังกรจตุลักษณ์จู่โจมฉับพลัน สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่หลุดมาคนเดียว
เสามังกรจตุลักษณ์วิเศษอัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถวิวัฒน์เป็นเขตแดนมายา ตัดขาดจากโลกภายนอกในเวลาหนึ่่งถ้วยชา แม้แต่ราชันมาเองก็โจมตีไม่แตก
และเพราะใช้สมบัตินี้ ทำให้ตลอดทางหลินสวินสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรไปได้เจ็ดแปดคน ในนั้นยังมีผู้อาวุโสระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงคนหนึ่งด้วย!
เพียงแต่หลินสวินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร การต่อสู้และหนีตายอันยืดเยื้อทำให้เขาผลาญพลังมากเกินไป ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ไม่มีเวลาพอให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
อีกทั้งเสามังกรจตุลักษณ์แม้วิเศษอัศจรรย์ แต่หลังเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา อานุภาพก็จะอ่อนกำลังลงทีละน้อย และจะถูกศัตรูโจมตีแตกออก
ที่คอขาดบาดตายที่สุดคือ ศัตรูจะฉวยโอกาสนี้ทำการวางแผนและปิดล้อม เมื่อหลินสวินออกมาจากเสามังกรจตุลักษณ์ก็จะเจอกับการโจมตีรอบด้าน
อาการบาดเจ็บที่หลินสวินได้รับตลอดทาง แทบเกิดจากสถานการณ์เช่นนี้ทั้งสิ้น
ตูม! ตูม! ตูม!
หลังผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลินสวินที่นั่งสมาธิฟื้นฟูร่างกายถูกปลุกตื่นขึ้น พริบตาก็รู้ว่าศัตรูกำลังโอบล้อมโจมตีเสามังกรจตุลักษณ์แล้ว
“กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว!”
หลินสวินแค้นจนกัดฟันกรอด หากมีพลังสมบูรณ์พร้อมเขาจะไม่เกรงกลัวเลย สามารถกวาดล้างและบดขยี้ศัตรูทั้งหมดได้
แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บสะสม ใช้พลังกายมากเกินไป ไม่อาจหุนหันพลันแล่นโดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายถึงชีวิต
“รอครั้งนี้รอดไปได้ จะต้องหาสถานที่บรรลุระดับแน่นอน! ขอเพียงบรรลุระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น ไหนเลยจะต้องกลัวหลินหลางและอวี่เซียวเซิงนั่น”
หลินสวินลุกขึ้นสูดหายใจลึก ก่อนเรียกดาบหักออกมา สีหน้ากลับสู่ความสงบนิ่ง สุขุมเยือกเย็นดุจหิมะน้ำแข็ง
ครั้นถึงคราวเตรียมพร้อมต่อสู้ เขาจะไม่ถูกรบกวนจากความคิดฟุ้งซ่านทั้งมวล นี่คือจิตแห่งการต่อสู้ที่ได้มาจากการเคี่ยวกรำเมื่อครั้งอยู่ในค่ายกระหายเลือด
ก่อนออกจากเขตแดนมายา หลินสวินพลิกฝ่ามือ กลางฝ่ามือปรากฏผลไม้สีแดงสดดุจโคมไฟผลหนึ่ง แจ่มจรัสดั่งสุริยันเจิดจ้า หมอกพิสุทธิ์ไหลวน เอ่อล้นด้วยกลิ่นหอมชวนหลงใหล
โสมราชันโคมสมบัติผลหนึ่ง!
หลินสวินหาได้ลังเลไม่ อ้าปากกลืนกินมันเข้าไป
ก่อนหน้านี้ที่ถูกล่าสังหาร เขารู้สึกเสียดายที่จะใช้โอสถเทพเช่นนี้ แม้เป็นแค่ผลไม้ลูกหนึ่ง แต่มูลค่าภายในใจหลินสวินกลับสำคัญกว่าศัตรูพวกนี้มาก
แต่ตอนนี้สภาพร่างกายเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด หากระหว่างทางพบเจออันตรายอะไรอีกเพียงครั้งต้องถึงแก่ชีวิตเป็นแน่
ฉะนั้นเวลานี้เขาจึงไม่เสียดายอีก ตัดสินใจกลืนโอสถสมบัติลงไปในคราเดียว!
ครืน!
ทันทีที่ผลแวววาวเปล่งประกายเข้าปาก หลินสวินก็รู้สึกว่าภายในร่างกายราวกับมีตะวันดวงหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปลดปล่อยฤทธิ์ยาน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ ใช้ความเร็วเหนือจินตนาการอย่างหนึ่งเสริมพลังทั่วร่าง
ช่างบริสุทธิ์ไพศาลเหลือเกิน ฤทธิ์โอสถนั่นยังไม่ระเบิดปะทุ แต่กลับแข็งแกร่งและพลุ่งพล่านอย่างมาก ทำให้หลินสวินสบายไปทั้งตัวจนเกือบครางออกมา
อีกทั้งบาดแผลที่เขาได้รับทั่วร่างถึงกับสมานไปหมดชั่วพริบตา ประดุจดังปาฏิหาริย์โดยแท้
“ตำนานเล่าขานว่าน้ำจากผลโสมราชันโคมสมบัติหยดหนึ่ง ก็สามารถทำให้คนใกล้ตายฟื้นคืนสภาพยอดเยี่ยมได้ในชั่วพริบตา ช่างสมกับคำร่ำลือ”
หลินสวินสูดหายใจลึก รู้สึกว่าพลังในร่างกายปานภูเขาไฟเดือดพล่าน สัมผัสได้ถึงความทรงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน!
สวบ!
หาได้ลังเลไม่ หลินสวินเก็บเสามังกรจตุลักษณ์ มือกระชับดาบหักมั่นแล้วพุ่งทะยานออกไป
“ออกมาแล้ว!”
“ฆ่า ครั้งนี้อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้อีก!”
“เจ้าเด็กสวะ ยังไม่ตายอีกรึ”
ทันทีที่ปรากฏตัว ทั่วทุกสารทิศพลันเกิดเสียงก่นด่าสาปส่งเดือดดาลดังขึ้น ก็เห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรกลุ่มหนึ่งปิดล้อมทับซ้อนอยู่ตรงนี้ แต่ละคนไอสังหารโอบล้อมราวกับพวกผีห่ามารร้าย
เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัว พวกเขาก็ลงมือตั้งแต่พริบตาแรกทันที!
ตูม ครืน!
ศาสตราวุธสารพัดชนิดเปล่งประกาย ปลดปล่อยหมอกแสงงดงามแปลกตา ประดุจกระแสน้ำหลั่งริน อานุภาพเสมือนหมายมุ่งทำลายอาณาบริเวณนี้ให้มลายสิ้น ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นมาอยู่ที่นี่ จู่ๆ ประสบพบเจอการจู่โจมที่มืดฟ้ามัวดินเช่นนี้ แม้แต่จะตอบสนองก็คงไม่ทันด้วยซ้ำ คงถูกปลิดชีพ ณ ตรงนั้น
เพียงแต่หลินสวินเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีทางนั่งรอความตาย
“เปิดทาง!”
เขาตวาดลั่น ดาบหักแผ่ประกายดาราเจิดจรัสแรงกล้า ฟาดฟันกระบวนท่าสอยจันทราออกมา พริบตานั้นที่แห่งนี้เสมือนมีจันทร์ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ดวงหนึ่งลอยเด่นขึ้น ส่องประกายสว่างไสว สาดส่องใต้หล้า!
ตูม ครืน ครืน
การโจมตีอันมืดฟ้ามัวดินนั่น เวลานี้กลับเหมือนทำจากกระดาษ ถูกจันทร์กระจ่างพุ่งทำลายกลายเป็นฝนแสงซัดสาด กำจรไปทั่วทุกสารทิศ
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรส่วนหนึ่งไม่ทันหลบ ถูกคลื่นพลังโจมตีใส่ ต่างแผดเสียงร้องทุรนทุรายกระอักเลือด แทบจะสิ้นชีพ
การโจมตีเพียงครั้ง ทำลายทุกสรรพสิ่ง!
เสียงสูดหายใจอย่างอึ้งงันดึงขึ้นในบริเวณนั้น เห็นชัดว่าไม่อยากเชื่อ เด็กหนุ่มที่ถูกพวกเขาไล่สังหารจนบาดเจ็บหนักใกล้ตายอยู่รอมร่อ เหตุใดเวลานี้ถึงปะทุพลังต่อสู้อันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้
หลินสวินในตอนนี้ผมดำทั้งศีรษะถูกมัดลวกๆ ไว้เบื้องหลัง ใบหน้าหล่อเหลาสุภาพและสุขุม นัยน์ตาดำราวอสนีบาต ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเด่นสง่าผงาดผยอง
ดาบหักในมือส่งเสียงคำรามบางเบาดุจพยัคฆ์คำรนมังกรคำราม ปั่นป่วนทั่วจตุรทิศ ขับเน้นพลังอำนาจของเขาให้ไร้ขีดจำกัดยิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งผู้กล้ารุ่นเยาว์ ท่วงท่าสง่างามไร้มลทิน!
“เขา… พละกำลังของเขาเหตุใดจึงเปลี่ยนไปจากเดิม ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!” มีคนร้องเสียงหลงหน้าถอดสี
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างก็สังเกตเห็น แต่ละคนสีหน้าอึมครึม
“คิดมากไปทำไม ลุยฆ่ามันพร้อมกันนี่แหละ!”
มีคนตะโกนลั่น
ฟุ่บ!
เพียงแต่น้ำเสียงเขาเพิ่งแผ่วลง หลินสวินเสมือนภาพมายาวูบหนึ่ง พลันปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า เงื้อดาบผ่าแหวกศีรษะหนึ่งเลือดไหลทะลัก!
“เดิมทีข้ากับพวกเจ้าหาใช่ศัตรูคู่อาฆาต แต่การล่าสังหารตลอดทางของพวกเจ้ามันรังแกกันเกินไป วันนี้ได้แต่ส่งพวกเจ้าลงนรกไปพร้อมกัน!”
น้ำเสียงหลินสวินนิ่งสงบ แต่กลับเผยไอสังหารหาใดเปรียบ แผ่คลุมทุกอณูอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทำให้ห้วงอากาศส่งเสียงคร่ำครวญ
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรอ้าปากค้าง แข็งแกร่งขึ้นจริงดังคาด!
“ฆ่า!”
พวกเขาลงมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่กล้าชักช้าแม้เพียงเสี้ยว
การล่าสังหารตลอดทางมานี้ทำให้พวกเขาเองก็เหนื่อยล้า ใช้พลังไปมากโข หากไม่รู้ว่าหลินสวินบาดเจ็บหนักใกล้ตาย พวกเขาก็แทบอยากจะยอมแพ้
เพียงแต่พวกเขากลับคาดไม่ถึง ในเวลาอันสั้นเช่นนี้หลินสวินกลับฟื้นคืนสภาพเดิม อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนด้วย!
นี่ทำให้พวกเขาต่างรู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
ตูม!
ฟ้าดินแถบนี้วุ่นวายโกลาหล เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก แสงประกายโหมกระหน่ำ พื้นดินรัศมีสิบกว่าลี้ล้วนกลายเป็นแดนแห่งบาดแผล
เงาร่างหลินสวินวูบหายว่องไว ท่องเหินกลางอากาศ เลือนรางดุจเงารุ้ง ดาบหักในมือส่งประกายดาราออกมา ซัดสาดดุดันพลิกฟ้าไปทั่วทศทิศ
ก็เห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรถูกสังหารทีละคนๆ เสียงร้องโหยหวน เสียงก่นด่าสาปแช่ง เสียงหวีดร้องหวาดผวาสะท้อนดังต่อเนื่องเป็นระลอก
ภาพฉากนั้นนองเลือดเกินไป ย้อมแดนทะเลทรายผืนนี้เป็นสีชาด ชวนให้ประหวั่นยิ่งนัก
อะไรที่เรียกว่าแข็งแกร่ง
หลินสวินเวลานี้ได้อธิบายความหมายของคำนี้ออกมาอย่างถึงแก่น ดาบหักร่ายระบำ เงาร่างดั่งอสนีบาตพุ่งขวางทั่วสมรภูมิ ละม้ายคล้ายเหล็กหมาดปลายแหลมหาใดเปรียบแท่งหนึ่ง ไร้เทียมทาน มิอาจทัดเทียม!
ก่อนหน้านี้เขาถูกล่าสังหารตลอดทาง ภายในใจสะสมเพลิงโทสะและความคั่งแค้นมากมายอยู่ก่อนแล้ว มาตอนนี้พละกำลังฟื้นกลับคืน จึงย่อมไม่ออมมืออย่างแน่นอน
“เผ่นโว้ย!”
ไม่นานนักผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่เหลือก็แตกสลาย ทนรับแรงกดดันที่ความตายคืบคลานเข้าใกล้เช่นนี้ไม่ไหว ส่งเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก เริ่มหลบลี้หนีตาย
หลินสวินไหนเลยจะปล่อยพวกเขาไป ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งเร่งไล่ตามไปเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่อง
ฉัวะ!
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งเพิ่งเตรียมหนี ก็ถูกไอดาบผ่าออกเป็นสองซีก เลือดสดๆ หลั่งรินไหลพราก
ตูม!
อีกด้านหนึ่ง หญิงผู้หนึ่งทั่วร่างถูกล้อมอยู่ในหมอกศักดิ์สิทธิ์ หลบเลี่ยงอย่างระมัดระวัง แต่เพียงแค่พริบตาเดียว หมอกศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างนางก็ถูกซัดละเอียด รวมไปถึงตัวนางเองก็ถูกซัดกระเทือนตายคาที่!
“เร็ว! รีบไปรวมตัวกับบุตรเทพ!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรพวกนั้นดวงตาแทบถลนออกมา หวาดผวาทำอะไรไม่ถูก ลุกลี้ลุกลนราวสุนัขไร้เจ้าของ ถูกหลินสวินคนเดียวไล่สังหาร
ส่วนหลินสวินกลับไล่ตามมาด้านหลังอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เพียงแต่ในมือเปลี่ยนจากดาบหักเป็น ‘ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’
หึ่ง!
ตัวธนูโค้งเว้าที่เหมือนทำขึ้นจากกระดูกขาวมีกลิ่นอายหยาบเถื่อนเหี้ยมเกรียมอย่างหนึ่ง รวมกับแรงดึงของหลินสวิน สายธนูแดงก่ำดั่งโลหิตสายนั้นถูกดึงรั้งเต็มที่ ส่งเสียงหึ่งราวปรารถนาดื่มเลือดสดๆ
ฟิ้ว!
ธนูวิญญาณพุ่งออกไปดั่งว่างเปล่า ไร้ซึ่งสรรพเสียง ทะลวงผ่านศีรษะผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปพันจั้ง นำมาซึ่งโลหิตสดๆ สีชาดข้นคลั่กงดงาม
หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง นิ้วมือกระหวัดรั้งสายธนูอีกครั้ง ประดุจดั่งเทพสังหารจากนรกภูมิ หมายคร่าชีวิตล่าวิญญาณตลอดทาง!
………………
ตอนที่ 562 พญาเผิงปีกทองและเอกพญางู
โดย
ProjectZyphon
ปึง! ปึง! ปึง!
ลูกธนูไร้รูปพุ่งออกไป ประดุจแสงแหวกอากาศ แต่กลับไม่มีสีสันและระลอกคลื่น เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง น่ากลัวและลึกลับ
ห่างออกไปมีผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรถูกยิงสังหารต่อเนื่อง บางคนถึงขั้นไม่ทันเข้าใจด้วยซ้ำ ร่างกายก็ถูกทะลวงถึงแก่ความตาย
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะธนูวิญญาณนั้นเร้นลับเกินไป เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง ยากเสาะหา เสมือนมือสังหารไร้รูปที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างแท้จริง ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกช่วงชิงชีวิตไป
ขณะที่ถือคันธนูนี้ วิสัยทัศน์หลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นชัดเจนหาใดเปรียบ ราวกับสามารถเห็นความลับแห่งเก้าสวรรค์สิบทิศได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ขณะเดียวกันความนึกคิดก็จมสู่สภาพสงบเยือกเย็น ประหนึ่งไร้ซึ่งความรู้สึก
นี่คือธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
ตอนนั้นที่หลินสวินอยู่ในเมืองหมอกอำพราง ได้ชิงมาจากมือสังหารคนหนึ่งฉายา ‘สายลมเดียวดาย’
ธนูนี้เดิมทีถูกผนึกในนัยน์ตาสีเทาดวงหนึ่ง ภายหลังถึงถูกหลินสวินค้นพบอย่างไม่ตั้งใจ และควบคุมไว้ในมือ
พลังของมันน่ากลัวลึกลับถึงขีดสุด สามารถส่งผลต่อจิตใจ ครอบครองเจตจำนงผู้ฝึกปราณ หากไม่สะกดด้วยเคล็ดเวทบริกรรม แม้แต่หลินสวินยังไม่อาจต้านทานพลังเช่นนี้ได้
หากสัมผัสรับรู้โดยละเอียดก็จะทำให้ตกอยู่ในแดนฝันแห่งหนึ่ง เสมือนมายังที่ราบสีเทารกร้างว่างเปล่าไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง ธนูคันหนึ่งลอยเคว้งอยู่ใต้แผ่นฟ้า ปลดปล่อยกลิ่นอายยะเยือกเย็นสั่นสะเทือนสรรพสิ่ง
หลินสวินยังจดจำได้ชัดเจน ตอนนั้นเขาเคยเห็นปรากฏการณ์ประหลาดฉากหนึ่งกับตาตนเอง นภากาศในนั้นพังทลาย อยู่ๆ ก็ปรากฏตะพาบมังกรดึกดำบรรพ์ตัวมหึมาราวภูผาสูงชัน ทันทีที่ปรากฏตัวก็แผดเสียงคำรามบดขยี้ใต้หล้า พลานุภาพร้ายกาจน่าหวาดกลัว
แต่เมื่อธนูยักษ์ซึ่งลอยคว้างบนท้องฟ้าคันนั้นปรากฏ แค่พริบตาเดียวลูกธนูวิญญาณไร้รูปดอกหนึ่งก็ยิงสังหารตะพาบมังกรดึกดำบรรพ์ตัวนี้ โลหิตสีแดงสดย้อมฟ้าดินเป็นสีชาด!
เหตุการณ์อันเงียบสงัด แปลกประหลาดและเด็ดขาดเช่นนั้น ไม่มีเสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แต่กลับมีพลังน่าประหวั่นชวนระทึกขวัญ!
และเวลานั้นเอง หลินสวินจึงรู้ว่าคันธนูนี้นาม ‘ไร้แก่นสาร’ เป็นชื่อที่ลี้ลับซ่อนเร้นเช่นเดียวกัน
ยามนี้หลินสวินมือกระชับคันธนูล่าสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรพวกนั้น เรียกได้ว่าหนึ่งโจมตีหนึ่งสิ้นชีพ แม่นยำไม่พลาดเป้า เพียงแค่ยิงออกไปธรรมดาๆ ก็สังหารชีวิตหนึ่งได้อย่างแน่นอน
เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง นิ่งสงัดแต่น่าพรั่นพรึง
เพียงแต่คันธนูนี้ผลาญพลังมากเกินไป หากไม่ใช่เช่นนั้น ก่อนหน้านี้หลินสวินคงไม่ซ่อนธนูนี้มาตลอด ไม่นำมาใช้โดยง่าย
แต่ว่าตอนนี้กลับแตกต่าง หลินสวินเพิ่งกลืนกินโสมราชันโคมสมบัติไปผลหนึ่ง พละกำลังภายในร่างพลุ่งพล่านหาใดเปรียบ ต่อเนื่องไม่ขาดสาย อยู่ในสภาพยอดเยี่ยมถึงขีดสุดสม่ำเสมอ
นี่ทำให้หลินสวินสมใจอยากนัก แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดอย่างหนึ่ง ด้วยเวลานี้เขาอยู่ในสภาพ ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ ไม่มีความรู้สึกผันผวนแต่แรก
ไม่นาน ภายใต้การล่าสังหารอันแข็งกร้าวของหลินสวิน ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรนั่นเหลือแค่สี่ห้าคน แต่ละคนต่างสิ้นหวังหมดหนทาง ในใจถูกความหวาดกลัวต่อความตายเข้าปกคลุม
มีหรือพวกเขาจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่ใกล้จะถูกพวกเขาล่าสังหารจนตาย แค่พริบตาเดียวกลับสำแดงการตอบโต้อย่างแข็งกร้าว
ตูม!
ไกลออกไปมีผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรคนหนึ่งถูกยิงสังหารอีก ลำคอปรากฏรูโหว่ชุ่มเลือดรูหนึ่ง ทั้งร่างถูกพาลอยออกไปอย่างหนักหน่วง นัยน์ตาเลื่อนลอยสิ้นลมทันใด
หืม?
เพียงแต่เมื่อหลินสวินเตรียมสังหารล้างบางศัตรูที่เหลือต่อ จู่ๆ นัยน์ตากลับหรี่ลง สะดุ้งตื่นจากสภาพ ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ ทันที
เขาสังเกตเห็นอันตรายสุดขีดอย่างหนึ่ง กลิ่นอายอันตรายนั่นราวใบมีดคมกริบเสียดกระดูก ทำให้เขาไม่อาจรักษาความนิ่งสงบ ขนลุกไปทั้งตัว ขนพองสยองเกล้า
นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว!
หลินสวินแทบจะหันหลังหนีตามจิตใต้สำนึกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขารวดเร็วถึงที่สุด ถึงขั้นใช้พลังสุดขีดความสามารถ!
ต่อให้เป็นเช่นนั้น กลิ่นอายอันตรายที่ไล่หลังมายังคงห้อมล้อมไม่ขาดสาย ประหนึ่งมีดวงตาเยียบเย็นคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ในสถานที่ที่มองไม่เห็น
หนี!
หลินสวินกัดฟันกรอด ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งหลีกหนีไป รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“หืม? เจ้าหมอนั่น… จู่ๆ ก็ไปแล้ว?”
ห่างออกไป ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่เหลือต่างชะงักงัน สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มปีศาจที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบนั่น เวลานี้กลับจากไปทั้งอย่างนั้น
ความรู้สึกของการรอดพ้นเคราะห์ร้ายมาได้ ทำให้พวกเขานอกจากจะรู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังอดงุนงงไม่ได้ เจ้าหมอนั่น… จู่ๆ ก็ไปอย่างนี้น่ะนะ เหมือนไม่ใช่ความจริงเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกว่าเบื้องหน้าพลันมืดลง เงามืดหนึ่งบดบังแผ่นฟ้า
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็ต้องตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาขยายออก
งูตัวหนึ่ง!
เพียงแต่งูตัวนี้กลับน่ากลัวอย่างที่สุด หัวดุจภูผา นัยน์ตาสีเลือดประหนึ่งทะเลสาบ ร่างคดเคี้ยวไปมาดั่งทิวเขาขึ้นลงสูงตระหง่านโดดเด่น
นี่มันงูอะไรกัน
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรแข็งทื่อไปทั้งตัว ในใจเต้นระส่ำบ้าคลั่งรุนแรง ขวัญหนีดีฝ่อ แค่เพียงกลิ่นอายบนตัวสัตว์ปีศาจนี้ ก็ทำให้ทั่วร่างพวกเขาอ่อนระทวยปานจะพังทลาย
สายลมคลั่งเหม็นสาบหะหนึ่งม้วนตัว เสมือนลมมรสุมโหมทำลายฟ้าดิน ม้วนกลืนผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรเหล่านั้นไปสิ้น
ที่แท้พายุคลั่งนี้เป็นเพียงแค่พญางูนั้นหายใจบางเบา ก็ก่อให้เกิดเหตุเภทภัยน่าสะพรึงเช่นนี้!
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรพวกนั้นหายไปแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกกลืนสู่ปากพญางู ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตอีกเป็นแน่
ในจุดที่ไกลห่างออกไปถึงขีดสุด หลินสวินเผลอหันกลับไปมอง ก็เห็นพญางูตัวนั้นอยู่กลางฟ้าดิน ทั้งตัวปกคลุมด้วยเกล็ดครามเขียว แสงศักดิ์สิทธิ์เย็นเยียบพวยพุ่งทั่วร่าง หัวดุจภูผา ตาสีเลือดดุจทะเลสาบ ผงกหัวขึ้นระหว่างฟ้าดิน ถึงกับมิอาจเห็นร่างกายของมันอย่างชัดเจนว่าใหญ่โตเพียงใด!
เฮือก!
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก อดสั่นสะท้านไม่ได้ รับรู้ได้ว่ากลิ่นอายอันตรายเมื่อครู่นี้ ก็คือสิ่งที่พญางูตัวนี้นำมาสู่ตน
เขาถึงขั้นกล้ายืนยันว่า หากเมื่อครู่ตนลังเลเพียงนิด เกรงว่าครานี้คงไม่อาจหนีเอาชีวิตรอดได้อีก!
กี้~
ขณะที่หลินสวินตื่นตะลึงตกใจอยู่นั้น เสียงก้องกังวานสะท้อนเก้าชั้นฟ้าสิบทิศทาง สั่นสะเทือนจนทะเลทรายผืนนี้ก่อเกิดพายุ ธุลีทรายคลั่งเริงระบำ ห้วงอากาศปั่นป่วนอลหม่าน
นั่นมัน…
หลินสวินตกตะลึง พลันเห็นนกปีศาจตัวหนึ่งปรากฏกาย ปีกแสงทองเจิดจ้าคู่หนึ่งประดุจเมฆาสยายคลุมนภา ยิ่งใหญ่มหาศาลไร้ขอบเขต ไหลเวียนด้วยท่วงทำนองมรรคอันลึกลับ เปล่งประกายเจิดจรัสดุจหลอมจากทองคำเหลืองอร่าม
นี่มันพญาเผิงปีกทองตัวหนึ่ง!
หนึ่งในราชันนกปีศาจในบรรพกาลตามตำนาน ลอยเหนือนพนภา กินงูมังกรเป็นอาหาร เคยจู่โจมสังหารเทพแท้จริง!
ทันทีที่มันปรากฏตัว ก็โฉบดิ่งลงมา สยายปีกคู่ทองอร่าม กรงเล็บคมกริบคู่หนึ่งเรืองแสงน่าพรั่นพรึง พุ่งจับพญางูตัวนั้นไป
สัตว์ร้ายทั้งสองที่เปรียบดั่งราชันดึกดำบรรพ์ถึงขั้นเปิดฉากการต่อสู้กลางฟ้าดินนี้!
หลินสวินมองอย่างตะลึงลาน นึกกลัวและสยองขวัญไปชั่วขณะ
เขาบ่ายหน้าหนีทันที ไม่กล้าหยุดพักโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้ทำให้หลินสวินเข้าใจความน่ากลัวและอันตรายของ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ อย่างสุดซึ้ง ทันทีที่ไม่ระวังอาจถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าวาสนาและพิบัติเคราะห์อยู่คู่กัน หมายมุ่งช่วงชิงวาสนา อย่าคิดว่าง่ายดายเช่นนั้นเด็ดขาด ไม่ว่าใครล้วนแบกรับอันตรายที่อาจบาดเจ็บล้มตายได้!
อันที่จริงแดนลับอสูรมารอริยะเป็นสถานที่อันตรายยิ่งยวดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งใดดำรงอยู่ สามารถตั้งอาณาเขตมั่นในที่แห่งนี้ได้ ล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดและทรงพลังยิ่งทั้งสิ้น
ก็เหมือนพญาเผิงปีกทองและเอกพญางูเมื่อครู่นั่น หากพูดถึงพลังที่แท้จริง แน่นอนว่าสามารถเทียบได้กับราชันระดับสังสารวัฏ ถึงขั้นยังน่ากลัวกว่าอีกด้วย!
หากพบเจอสัตว์ร้ายน่าหวาดกลัวเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่ามาเอง ก็คงไม่กล้าชักดาบต่อสู้ ได้แต่หลบหลีกหนีไป
และผู้ที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะครานี้ แทบทั้งหมดเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ แค่คิดก็รู้ว่าหากพวกเขาโชคร้ายพบเจออันตรายเช่นนี้ จะต้องมีแต่ตายไร้ชีวาเป็นแน่!
…
นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
“อะไรนะ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นเข้าสังหารในตำหนัก ทำร้ายหลินหลางทั้งแย่งชิงคัมภีร์ลับไป?” ผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตเต้นเร่า อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป โกรธจนหลุดปากด่ายกใหญ่
จิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตส่วนหนึ่งถูกดึงกลับมา กลับคิดไม่ถึงว่าจะบอกข่าวร้ายเช่นนี้ออกมา
บุคคลสำคัญคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็นั่งไม่ติดแล้ว ในตำหนักหลังหนึ่งกลับซ่อนแท่นบูชามรรคเก่าแก่ หินหยกลึกลับ คัมภีร์สีทอง…
นี่มันมหาศุภโชคชัดๆ!
ก็ไม่แปลกที่ผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตจะโกรธแค้น แม้แต่พวกเขาเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมด จิตใจก็ไม่อาจนิ่งสงบได้
“เหอะๆ ครั้งนี้คงต้องยินดีกับพวกเจ้าเผ่าวาฬมังกรแล้ว วาสนาครานี้ท้ายที่สุดก็ถูกพวกเจ้าช่วงชิงไปอย่างไม่ผิดจากที่คาด”
จู่ๆ ก็มีคนใหญ่คนโตกล่าวยิ้มเยาะ
ทันใดนั้นสีหน้าทุกคนเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น พวกเขาต่างรู้ดี ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นช่วงชิงศุภโชคนี้ไปได้ หรือธิดาเทพหลินหลางแย่งชิงไป ท้ายที่สุดล้วนเข้าทำนองลำบากทำแทนคนอื่น ต้องถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่เฝ้าระวังอยู่นอกเกาะอริยะปัญจธาตุกลุ่มนั้นชิงเอาไปแน่
แค่นึกถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตก็โกรธจนสีหน้าอึมครึม เเทบอยากจะพุ่งเข้าไปเอง ฆ่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นซะ!
หากไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่ ไหนเลยจะเกิดเหตุไม่คาดฝันมากมายเช่นนี้
ด้านเผ่าวาฬมังกรนั้น ท่านย่าเทพสังหารยิ้มฟังเงียบๆ ไม่กล่าวมากความ เห็นชัดว่านางรู้ดีว่าวาสนาครานี้จะต้องตกเป็นของพวกเขาเผ่าวาฬมังกรเป็นมั่นเหมาะ
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่คาดฝันคือ ไม่นานนักแท่นบูชาวิญญาณของเผ่าวาฬมังกรก็พลันเกิดการเคลื่อนไหว ปรากฏเงาร่างของผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรจำนวนหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสแย่แล้ว เกาะอริยะปัญจธาตุทรุดตัวพังทลาย แม้แต่… แม้แต่วาสนานั่นก็หายไปแล้ว!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรคนหนึ่งเอ่ยอย่างเคียดแค้นชิงชัง
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างส่งเสียงอื้ออึง ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุคาดไม่ถึงอีก!
“นี่มันอะไรกัน” ท่านย่าเทพสังหารเก็บรอยยิ้ม คิ้วขมวดออกปากถาม
“เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่น! เขากับหลินหลางคนนั้นร่วมมือกัน ฆ่าสังหารฝ่าออกไปจากวงล้อมของพวกเรา!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรนั่นคับแค้นใจหาใดเปรียบ วาสนายิ่งใหญ่ขนาดนั้นหลุดออกจากมือไปเช่นนี้ ทำให้ใจเขาเลือดหลั่งริน
“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์!”
ท่านย่าเทพสังหารนัยน์ตาฉายแววเข่นฆ่าวูบหนึ่ง สีหน้าอึมครึมอยู่บ้าง
ด้านคนใหญ่คนโตที่อยู่ใกล้เคียงยิ่งมีสีหน้าประหลาด ทำไมถึงเป็นเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว
ครานี้เผ่าสิงห์โลหิตที่ดูเหมือนเสียหายสาหัสสากรรจ์ เหลือแค่ธิดาเทพหลินหลางคนเดียว แต่กลับมีความเป็นไปได้สูงว่าจะช่วงชิงมหาศุภโชคนั้นมาได้ นี่ก็ถือว่าคุ้มค่า
ตรงกันข้าม ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรที่เฝ้าระวังมาตลอดกลับคว้าน้ำเหลว ไม่สามารถสมหวังดังใจปรารถนา ช่างโชคร้ายจริงๆ
วู้ม…
แท่นบูชาวิญญาณไหวเคลื่อน ไม่นานนักก็จิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรส่วนหนึ่งก็ทยอยกลับมาอีก แต่ละคนล้วนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตะโกนออกมาอย่างคับแค้นใจ
ยามนี้ทุกคนถึงได้รู้ว่า ที่แท้ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรพวกนี้ล้วนถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นสังหาร พวกเขาต่อสู้ไล่ล่าตลอดทาง แต่กลับไม่อาจทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้!
บรรยากาศ ณ ที่นั้นพิกลยิ่งกว่าเดิม เหล่าคนใหญ่คนโตต่างไม่อาจจินตนาการได้ว่านั่นเป็นเด็กหนุ่มแบบใดกันแน่ ถึงได้เหมือนหายนะอย่างหนึ่งก็มิปาน ใครต่างไม่อาจทำอะไรเขาได้ กลับถูกเขาทำลายเรื่องดีๆ หลายต่อหลายครั้ง แปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาไปแล้ว!
และสีหน้าของท่านย่าเทพสังหารก็มืดทะมึนยิ่งนัก ไม่มีความได้ใจอย่างเมื่อครู่ ท่าทางนั้นย่ำแย่ไม่น่าดูไม่ต่างจากผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิต!
“พวกเจ้าว่า เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นช่วงชิงศุภโชคส่วนหนึ่งจากเกาะอริยะปัญจธาตุไปหรือไม่” ทันใดนั้นก็มีคนใหญ่คนโตเอ่ยปากเสียงขรึม
แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ทำให้สีหน้าท่านย่าเทพสังหารและผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตดูแย่ยิ่งกว่าเดิม หมายมาดสังหารคนแล้ว!
เดิมทีมหาศุภโชคที่พวกเขาแต่ละคนต่างหมายมั่นว่าต้องตกเป็นของตนแล้ว กลับเกิดตัวแปรใหญ่จากเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียว ทั้งยังมีชนรุ่นหลังในเผ่ามากมายถูกสังหาร นี่จะไม่ให้พวกเขาแค้นใจได้อย่างไร
เมื่อข่าวทั้งหมดนี้แพร่ออกไป ทำให้คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าที่อยู่บริเวณแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างอึ้งงันทันที วิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาไม่หยุด
ในใจพวกเขาล้วนอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม ว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นเป็นใครกันแน่
พลังต่อสู้ไม่เพียงพลิกฟ้า แม้แต่ความกล้าก็ยิ่งใหญ่น่าตระหนก ถึงขั้นเกือบจะสังหารคนรุ่นหลังของเผ่าวาฬมังกรและเผ่าสิงห์โลหิตที่เข้าไปในแดนลี้ลับจนสิ้น!
…………….
ตอนที่ 563 แสงสายัณห์ยามตะวันรอนของเจ้าคางคก
โดย
ProjectZyphon
ห่างออกไปพันลี้ หลินสวินหยุดเท้าระแวดระวัง
ระหว่างทางเขาเจออันตรายหลายครั้ง ถึงขั้นที่เกือบเผชิญหน้ากับแมงป่องพิษห้าสีที่จำศีลอยู่ในส่วนลึกของทะเลทราย
แมงป่องพิษมีความยาวหลายจั้ง ลำตัวของมันราวกับหลอมด้วยสำริด ตะขอที่ปลายหางเต็มเปล่งแสงหลากสี กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
โชคดีที่มันเหมือนหลับใหลอยู่ ทำให้หลินสวินหนีออกจากที่นั่นได้อย่างหวุดหวิด
หลินสวินยืนนิ่งทอดมองไปไกล เป็นสุดขอบทะเลทรายแล้ว ถัดออกไปตรงหน้าคือภูเขาสลับทับซ้อนต่อเนื่องกันไป แต่ละลูกพุ่งสูงเสียดฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
จู่ๆ หลินสวินก็หรี่ตา มองเห็นเงาร่างมากมายพุ่งเข้ามาจากระยะไกล
“น้องชาย เจ้ากลับมาจากส่วนลึกของทะเลทรายหรือ เห็นหรือไม่ว่าที่นั่นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น”
คนวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาถาม
ไม่รอให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ หลินสวินน้าวธนูวิญญาณไร้แก่นสารแล้วยิงออกไปอย่างไม่ลังเล ได้ยินเพียงเสียงดังฉึก หน้าอกของชายกลางคนผู้นั้นทะลุเป็นรู เลือดสีสดไหลพรูออกมา
เขาเบิกตาโพลง เหมือนคิดไม่ถึงอยู่บ้าง ทั้งคล้ายกำลังเดือดดาลสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็นอนจมอยู่ในกองเลือด
“สารเลว! พวกข้าเพียงถามด้วยความหวังดี เจ้ากลับกล้าฆ่ากันหรือ”
เหล่าผู้ฝึกปราณที่ปรากฏตัวพร้อมกับชายวัยกลางคนต่างตะลึง แต่ละคนพุ่งขึ้นหน้ามาพร้อมไอสังหารที่พลุ่งพล่าน
“อยากฆ่าข้าก็พูดมาตามตรง เหตุใดต้องปกปิด”
หลินสวินยิ้มเยาะ การเคลื่อนไหวในมือกลับไม่ชักช้า ธนูวิญญาณไร้แก่นสารสั่นเบาๆ พลันยิงฝนธนูอันเงียบเชียบออกมาแถบหนึ่ง เทกระหน่ำไปทุกทิศ
“เจ้ากล้า!”
“ลงมือพร้อมกัน!”
มีหรือที่ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจะนั่งรอความตาย ต่างลงมืออย่างไม่ลังเล
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประเมินความน่ากลัวของธนูวิญญาณไร้แก่นสารต่ำไป เพียงพริบตาเท่านั้นก็ถูกหลินสวินสังหารไปสี่ห้าคน
นี่ทำให้พวกเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติในที่สุด ตื่นกลัวขึ้นมาอยู่บ้าง ต่างตะเบ็งเสียงข่มขู่หลินสวิน
“เด็กเมื่อวานซืน เจ้าเป็นใคร กล้าขัดแย้งกับเผ่าวิญญาณเหินของพวกเราหรือ”
“สารเลว! เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“รอให้บุตรเทพเผ่าข้ามาถึง เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
สวบ!
สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบราวกับไม่ได้ยิน ทว่าเขาก็ไม่ยอมถูกพัวพัน ฉวยช่องว่างใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง พุ่งตัวไปยังหมู่เขาลึกที่สลับซับซ้อนซึ่งอยู่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณเหินกราดเกรี้ยวไม่ยอมความ แต่กลับไม่กล้าตามไปสังหาร
นี่ทำให้หลินสวินอดยิ้มเยาะไม่ได้ เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ตอนที่ชายวัยกลางคนถาม ผู้ฝึกปราณเผ่าวิญญาณเหินคนอื่นๆ ต่างเข้ามาใกล้เงียบๆ เห็นได้ชัดว่าคิดจะล้อมเขาเอาไว้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ที่สำคัญที่สุดคือ หลินสวินรับรู้ได้ว่าบริเวณรอบๆ ยังมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ซ่อนตัวอยู่ และต่างลอบจับตามองทางนี้
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกระแวง เมื่อลงมือขึ้นมาจึงย่อมไม่มีความเกรงใจ
แม้ว่าในแดนลับอสูรมารอริยะจะอันตราย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าที่เข้ามาในดินแดนนี้ต่างหากที่อันตรายกว่า!
เพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชค พวกเขาล้วนทำได้ทุกอย่าง
‘ต้องรีบยกระดับพลังปราณซะแล้ว…’
หลินสวินรู้สึกกังวลขึ้นมา ประสบการณ์ที่พบเจอก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอันตรายของสถานการณ์อย่างลึกซึ้ง และพลอยรู้สึกกดดันขึ้นมา
เห็นว่าหลินสวินจากไป ผู้แข็งแกร่งที่ลอบจับตามองทางนี้อยู่ต่างหัวใจกระตุกวูบ ไม่ได้ตามไปโจมตี ด้วยตระหนักได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหลินสวิน รู้ว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ต้องเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์อย่างแน่นอน ตัวคนเดียวแต่กลับกล้าสังหารเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณเหินอย่างไม่ปรานี!
ไม่นานเงาร่างของหลินสวินก็หายเข้าไปในภูเขาลึก
‘เหตุใดที่แห่งนี้จึงดึงดูดผู้แข็งแกร่งมามากมายเพียงนี้’
หลินสวินฉงนใจ ระหว่างทางเขาสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่า มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งมากมายต่างกำลังเคลื่อนไปทางผืนทะเลทรายนั่น
จวบจนกระทั่งสองชั่วยามหลังจากนั้น หลินสวินซ่อนตัวอยู่ในที่มืด และรู้เรื่องทุกอย่างจากเสียงพูดคุยของผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งที่พลังปราณไม่สูงมาก
ที่แท้ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของเกาะอริยะปัญจธาตุ!
การเคลื่อนไหวครั้งนั้นดังสะเทือนฟ้าดิน แม้แต่บนฟากฟ้ายังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าสะพรึงกลัว จึงดึงดูดความสนใจจากทั่วทุกสารทิศ คิดไปว่าตรงนั้นอาจจะปรากฏศุภโชคอันยิ่งใหญ่
หลังจากหลินสวินรู้เรื่องเหล่านี้ สีหน้าพลันแปลกประหลาดไป ที่นั่นมีศุภโชคจริงๆ เพียงแต่มันได้หายไปพร้อมกับการจมลงของเกาะอริยะปัญจธาตุตั้งนานแล้ว แม้ไปก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรอย่างแน่นอน
‘หึๆ ทะเลทรายนั่นอันตรายยิ่ง มีพญาเผิงปีกทอง มีเอกพญางู และมีแมงป่องพิษห้าสีที่น่าพรั่นพรึงเกินคาดเดา หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้นะ…’
หลินสวินส่ายหน้า ไม่คิดมากไปกว่านี้
“ได้ข่าวหรือยัง เผ่าวัวมารทรงพลัง แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณและยอดฝีมือจากเผ่าอื่นๆ บางส่วนหมายตาสถานที่แห่งวาสนาเดียวกัน”
ตอนที่หลินสวินเตรียมจะจากไป ก็ถูกคำพูดของผู้ฝึกปราณคนนี้ดึงดูดทันที
“ได้ยินมาแล้ว สถานที่แห่งวาสนานั่นเหมือนจะเป็นแท่นมรรคของ ‘อสูรมารอริยะ’ ในตำนานท่านนั้น มีมรดกอันไร้เทียบเคียงซ่อนอยู่ เพียงแต่ยังไม่เคยมีใครค้นพบ”
“สถานที่ระดับนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปได้ เท่าที่ข้ารู้ ยอดฝีมือจากขุมกำลังบางส่วนมีไม่น้อยที่ยอมแพ้ไป ไม่ยอมเข้าร่วมด้วย”
แท่นมรรคของอสูรมารอริยะหรือ
หลินสวินตกใจ พลันนึกถึงแผนภาพลึกลับที่ผู้เฒ่าเกาหยางมอบให้พวกจ้าวจิ่งเซวียน หรือว่าแผนภาพลับนั่นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแท่นมรรคของอสูรวิญญาณ?
หากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว และจะต้องทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนบ้าคลั่งอย่างแน่นอน ถ้าเป็นโลกภายนอก เกรงว่าต่อให้เป็นเหล่าคนใหญ่คนโตก็ยังต้องลงมือด้วยเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นยังคงวิพากษ์วิจารณ์และคาดเดาต่อ แต่ไม่มีข่าวอะไรที่มีค่าแล้ว หลินสวินจึงจากไปเงียบๆ อย่างไม่ลังเล
“ต้องไปฝึกปราณยกระดับพลังต่อสู้ก่อน!”
หลินสวินเดินเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา และเริ่มหาที่ปลอดภัยที่เหมาะกับการปิดด่านฝึกปราณ
ระหว่างทางเขาพบอย่างน่าดีใจว่า ภายในภูเขาเหล่านี้มีโอสถวิญญาณหายากมากมาย และยังมีวัตถุดิบวิญญาณที่อัศจรรย์หลายอย่าง
“กุหลาบรัศมี จักจั่นม่วงหกขา แมลงขาเงิน…” ดวงตาของหลินสวินเป็นประกาย พวกนี้ล้วนเป็นสมบัติหายากที่แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วในจักรวรรดิจื่อเย่า แต่กลับพบเห็นได้ที่นี่
ในขณะเดียวกัน เขาก็พบแร่ธาตุหายากมากมาย อย่างเช่น ‘เลือดแดงชาด’ ‘หินแสงสมบัติ’ ‘ทองแดงแสงสุริยน’ เป็นต้น
“เถาวัลย์สมบัติเอกอุ!”
ตอนที่หลินสวินพบเถาวัลย์ต้นหนึ่งที่มีแสงน้ำบริสุทธิ์รินไหลโดยบังเอิญก็จ้องตาไม่กะพริบ ในใจยินดีอย่างมาก
เถาวัลย์นี้หนาประมาณนิ้วโป้ง ยาวเพียงเจ็ดชุ่น ภายนอกมีลวดลายคลื่นน้ำไหลริน เติบโตในรอยแตกระหว่างหิน ไม่สะดุดตาเลยสักนิด
แต่ขอเพียงเป็นผู้มีความรู้ ย่อมรู้ว่านี่คือของมีค่า!
ภายในเถาวัลย์นี้มีน้ำแท้เอกอุ ไม่เพียงแค่เป็นยาได้ ยังสามารถหลอมโอสถสมบัติไร้เทียมทาน ทั้งยังสามารถหลอมรอยมรรคของน้ำแท้เอกอุออกมาได้อีกด้วย มีประโยชน์อย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่อการหยั่งรู้และควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำ!
หลินสวินกำลังกังวลว่าจะควบคุมพลังของสัจวิถีธาตุน้ำที่ตนหยั่งถึงอย่างไรพอดี แต่ตอนนี้เถาวัลย์สมบัติเอกอุสร้างความมั่นใจอย่างมากให้เขาอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากเด็ดเถาวัลย์สมบัติเอกอุมา หลินสวินก็มุ่งหน้าต่อไป
หลายวันหลังจากนั้น เขาค้นพบเทือกเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง จึงลงมือขุดถ้ำ วางกระบวนรอยสลักวิญญาณตัดกลิ่นอายแล้วเริ่มปิดด่าน
หลินสวินเตรียมจะปิดด่านมาตั้งนานแล้ว เพื่อบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะอย่างเต็มกำลัง เสียดายที่ถูกเรื่องต่างๆ รบกวนมาโดยตลอด จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้
และยามนี้หลังจากได้เห็นความน่ากลัวของแดนลับอสูรมารอริยะ และตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของตนกำลังอันตราย ทำให้หลินสวินตัดสินใจเริ่มการทะลวงระดับในที่สุด
……
ในภูเขา ถ้ำพำนักที่หลินสวินขุดนั้นถูกแยกตัดขาดจากโลกภายนอก
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ไม่ได้เร่งรีบฝึกปราณ แต่เอาเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาก่อน
“เจ้าคางคก เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย”
หลินสวินส่งจิตสำรวจชั้นแรกของเจดีย์ก็เห็นว่าจินตู๋อีนั่งขัดสมาธิอยู่ เผ้าผมยุ่งเหยิง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด
ตอนแย่งชิงคัมภีร์สีทองกับธิดาเทพหลินหลาง จินตู๋อีถูกมุกอสนีโลหิตสวรรค์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้หลินสวินอดเป็นห่วงหน่อยๆ ไม่ได้
คางคกทองสามขาตัวนี้แม้จะดูค่อนข้างอันตราย ต่ำช้า เย่อหยิ่ง และคุยโวเกินไปหน่อย แต่ครั้งนี้กลับช่วยหลินสวินไว้มาก เห็นเขาบาดเจ็บเพียงนี้ในใจก็ให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ข้า…ข้าไม่เป็นไร…”
จินตู๋อีลืมตาขึ้น สีหน้าซีดเซียว นัยน์ตาที่เดิมทีเป็นสีทองอร่ามก็มืดมนไร้แสง ท่าทางน่าสงสารอย่างคนบาดเจ็บสาหัส
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกผิด เอ่ยว่า “เจ้าคางคก คราวนี้ต้องขอโทษด้วย รอเจ้าหายแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที”
จินตู๋อีกลับถอนหายใจ พูดด้วยเสียงอ่อนแรง “หากเจ้าอยากชดเชยให้ข้าจริง ก็ยกโสมราชันโคมสมบัติให้ข้าเถอะ บางทีอาจมีแค่มันที่สามารถฟื้นฟูมรรควิถีที่บาดเจ็บรุนแรงของข้า…”
ในขณะที่พูดเขาก็ไออย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีดบวมแดง ท่าทางเหมือนกำลังจะขาดใจตาย
“นี่…”
หลินสวินอึ้งไป ตามหลักแล้วเจ้าคางคกช่วยเขาไว้มากขนาดนี้ แม้ให้กินโสมราชันโคมสมบัติไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ตอนที่ได้ยินเจ้าคางคกเอ่ยปากขอเอง หลินสวินกลับรู้สึกตะหงิดๆ
เห็นว่าหลินสวินลังเล จินตู๋อีเหมือนร้อนใจขึ้นมาอยู่บ้าง ไออย่างรุนแรงพลางหายใจหอบพูดเสียงอ่อนแรง “เฮ้อ ถ้าให้โสมราชันโคมสมบัติไม่ได้ หญ้ากิเลนนั่นก็พอจะได้อยู่ ข้า…ข้า…”
พูดพลาง เขาก็กระอักเลือดออกมา ร่างกายสั่นคลอน ยิ่งอ่อนแรงเข้าไปใหญ่
เห็นเช่นนี้หลินสวินกลับยิ่งสงสัย “เจ้าคางคก เช่นนั้นข้ายกโอสถสมบัติให้เจ้าทั้งสองต้นเลย ขอเพียงแค่ช่วยรักษาบาดแผลของเจ้าได้ เสียโอสถวิญญาณแค่สองต้นไม่ใช่ปัญหา”
“จริงหรือ” จินตู๋อีตาเป็นประกาย พลันรีบกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก โสมราชันโคมสมบัติต้นเดียวก็พอแล้ว อ้อ แน่นอนว่าถ้าได้หญ้ากิเลนด้วย ข้าคงกลับคืนสู่สภาพสูงสุดได้อย่างแน่นอน…”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันน้ำตาคลอ ไอพลางกล่าว “แน่นอนว่า ข้ารู้ว่าคำขอนี้มันเกินไปหน่อย งั้น…เจ้าก็ดูตามความเหมาะสมเถอะ”
เพี๊ยะ!
พูดจบแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งก็ฟาดใส่ตัวเขาราวกับแส้
จินตู๋อีร้องโหยหวนกระโดดเหยง แยกเขี้ยวยิงฟันคำรามอย่างเดือดดาล “ระยำเอ๊ย เจ้าหนูเจ้าทำบ้าอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้าใกล้จะตายแล้ว”
“แหม ใกล้จะตายแล้ว ยังมีแรงกระโดดขึ้นมาด่าข้าอีกหรือ” หลินสวินยิ้มเย็น
“ข้า…”
จินตู๋อีสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นเขาพลันทรุดลงไปกองกับพื้น ตัวกระตุก เลือดไหลออกปาก พึมพำอย่างอนาถ “แย่แล้ว ข้าจะตายแล้ว เมื่อครู่นี้ต้องเป็นแสงสายัณห์ยามตะวันรอนแน่[1]…”
“แสงสายัณห์ยามตะวันรอนหรือ”
ในขณะที่หลินสวินพูด แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งก็ตกลงมาอีกครั้งและกดดันอยู่ตรงหน้าจินตู๋อี “เช่นนั้น ข้าลองอีกครั้ง?”
มองแสงมรรคทองนิลกาฬที่อยู่ใกล้เพียงคืบ จินตู๋อีสีหน้าเปลี่ยนไป ดูกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก ร่างกายหยุดกระตุกและปากก็ไม่กระอักเลือดแล้ว
ครู่ใหญ่ใบหน้าของเขาพลันดูหมดอาลัยตายอยาก พึมพำด้วยท่าทางที่สิ้นหวังอย่างที่สุด “ให้ตาย อยากได้ของดีจากมือคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกอย่างเจ้าสักนิด ช่างยากเย็นเหลือเกิน…”
………………….
[1] แสงสายัณห์ยามตะวันรอน เป็นการเปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่สติกลับมาแจ่มชัด ดูมีกำลังวังชาก่อนจะสิ้นชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น