Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 550-554
ตอนที่ 550 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน
โดย
ProjectZyphon
รุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากผืนทะเล ประหนึ่งร่างมังกรทะยานเหนือท้องนภา แสงประกายที่เปล่งออกมาสาดส่องทั่วฟ้าดิน!
นี่ประดุจดั่งปาฏิหาริย์จริงๆ
ทุกคนต่างตกตะลึง จิตใจถูกดึงดูดไป
“หุบเหวสมุทรมังกรทะยาน!”
ผู้เฒ่าเกาหยางริมฝีปากขยับพูดบางคำอย่างแผ่วเบา บนสีหน้าตื่นเต้นยากปกปิด “ปรากฏการณ์ประหลาดสะเทือนใต้หล้าเช่นนี้ยังคงอยู่ดังคาด”
“ไป!”
เขาสะบัดชายเสื้อทีหนึ่ง ยานสำเภาเอ่อล้นไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ฝ่าลมโต้คลื่นมุ่งไปใกล้จุดนั้นอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางผู้เฒ่าเกาหยางอธิบายเสียงทุ้มต่ำ สายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่ราวกับร่างมังกรนั้น แท้จริงแล้วคือปรากฏการณ์ประหลาดอย่างหนึ่ง พุ่งออกมาจากหุบเหวลึกก้นสมุทร
และ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ที่พวกเขาเสาะหาในการเดินทางครั้งนี้ ก็ซ่อนอยู่ในหุบเหวลึกก้นสมุทรนั่น!
ชั่วขณะเดียวทุกคนล้วนฮึกเหิมขึ้นมาทันที
ตั้งแต่เข้าสู่ทะเลกลืนวิญญาณจวบจนตอนนี้ เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ประสบพบเจอพิบัติทุกข์และอันตรายมากมาย ในที่สุดก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้ในใจพวกเขายากที่จะนิ่งสงบ เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง
ครืนๆ
ยังไม่รอให้เข้าประชิด เสียงคร่ำครวญราวฟ้าร้องพลันดังขึ้น สั่นสะเทือนฟ้าดิน ก็เห็นว่าตำแหน่งไกลออกไปที่รุ้งศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นมาปรากฏหุบเหวลึกหลุมหนึ่ง!
หุบเหวกลางสมุทร!
สอดส่องสายตาไป น้ำทะเลทั่วทุกสารทิศประหนึ่งไหลหลากรวมเป็นสายเดียวกัน หลั่งครืนลงไปยังส่วนลึกก้นหุบเหว เกิดเป็นเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นอันน่าหวาดกลัว
ปรากฏการณ์นั้นผิดแปลกยิ่งใหญ่สง่างาม หุบเหวลึกหลุมหนึ่งที่ปรากฏกลางผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ดูดกลืนน้ำทะเลทั่วทศทิศ ลึกล้ำยากหยั่งถึง เปรียบเสมือนปากทางเข้าสู่พิภพลึกลับ ทำให้รู้สึกสั่นสะท้าน
เมื่อเทียบกับหุบเหวลึกนี้แล้ว สุริยันจันทราราวเล็กลงถนัดตา ยามยานสำเภาเคลื่อนใกล้ก็เหมือนดั่งธุลีทรายเม็ดหนึ่ง เสมือนไม่อยู่ในสายตายิ่งกว่าเดิม
“นี่… นี่มันใช่หุบเหวลึกหลุมหนึ่งหรือเนี่ย ใหญ่เกินไปแล้ว!”
เหวินเสียงตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้าง
คนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ในใจสะทกสะท้าน พวกเขาไม่เคยเห็นหุบเหวสมุทรใหญ่เช่นนี้มาก่อน ราวกับสามารถกลืนกินฟ้าดินได้เลยทีเดียว!
ยานสำเภาพลันสั่นสะเทือนทันที ถูกพลังที่มองไม่เห็นดึงม้วนพุ่งไปยังส่วนลึกของหุบเหวกว้างใหญ่นั่น
“หยุด!”
ผู้เฒ่าเกาหยางส่งเสียงตะโกนลั่น แสงสว่างเรืองรองทั่วร่าง เผยวิชาลับออกมากว่าจะสามารถฝืนหยุดยานสำเภาไว้ได้ หักล้างแรงดึงซึ่งมองไม่เห็นนั่นออกไป
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ผู้เฒ่าเกาหยางยังคงเหงื่อตกไปทั่วร่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากยานสำเภาโชคร้ายถูกม้วนกลืนลงไปในหุบเหวสมุทรนั่น อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ราชันแห่งระดับสังสารวัฏก็เรียกได้ว่าประสบภัยพิบัติ!
คนอื่นล้วนแข็งทื่อไปทั้งร่าง เผยสีหน้าจริงจัง ตระหนักรู้ว่าหุบเหวลึกนั่นไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน ยังเต็มไปด้วยพลังกลืนกินอันน่าสะพรึงกลัว ล่อแหลมอันตรายหาใดเปรียบ
“ท่านผู้เฒ่า แดนลับอสูรมารอริยะนั่นซ่อนอยู่ภายใต้หุบเหวสมุทรนี้จริงหรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนอดถามไม่ได้
ผู้เฒ่าเกาหยางพยักหน้าพลางกล่าว “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ครั้งนี้ข้าพกมหาสมบัติชิ้นหนึ่งติดตัวมาด้วย พอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปในนั้นอย่างปลอดภัย”
ได้ยินดังนั้นคนอื่นๆ ก็ลอบเป่าปากโล่งอก หากให้พวกเขาบุกเข้าไปยังหุบเหวลึกนี่ด้วยตนเอง นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับส่งไปตาย
หลินสวินยืนอยู่ข้างจ้าวจิ่งเซวียนตลอด นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แท้จริงแล้วในใจเขาก็แอบตกตะลึงไม่หยุด ใครเล่าจะคิดว่า ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณนี้จะมีหุบเหวสมุทร ‘ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด’ อยู่หลุมหนึ่งเช่นนี้
และใครเล่าจะคิดว่า ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ นั่นจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหุบเหวสมุทรนี่
‘กบในกะลา หุบเหวสมุทรอะไร ไม่มีความรู้สักนิด นี่คือ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’! ครั้งบรรพกาลแม่น้ำแต่ละสายทั่วเทวาจักรวาลพิภพ แม้กระทั่งสายนทีในทางช้างเผือกของส่วนลึกจักรวาลล้วนไหลรวมเริ่มต้น ณ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ลึกลับนี่ทั้งสิ้น!’
ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูหลินสวิน
นั่นคือเสียงของจินตู๋อี เจ้าหมอนี่ยอมรับชะตากรรมแล้ว จนใจรับเงื่อนไขของหลินสวิน ตกปากรับคำว่าจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับหลินสวิน ขอเพียงแค่เมื่อไหร่ที่หลินสวินอารมณ์ดีก็จะปล่อยเขาไป
‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์?’
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ใช้การสื่อจิตกลับไป
‘หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ครั้งบรรพกาลมีจตุโบราณสถาน แยกออกเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มาตุภูมิเทพเซียนคุนหลุน ดินแดนแห่งศุภโชค และอัศจรรย์พิภพ ถูกขนานนามว่าเป็นจตุสถานซึ่งลึกลับที่สุดแห่งมหามรรค แม้แต่อริยบุคคลครั้งบรรพกาลต่างไม่อาจอนุมานความเร้นลับของมันได้’
หลินสวินสูดลมหายใจเย็นเยือก สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด ข่าวลือลึกลับเช่นนี้ช่างสั่นสะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เห็นหลินสวินถูกทำให้หวาดหวั่น จินตู๋อีก็อวดดีขึ้นมาทันที ก่อนกล่าวอย่างภาคภูมิ ‘มาพูดถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี่ดีกว่า ครั้งบรรพกาลรอบด้านของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมด้วยคีรีเทพห้าลูก แยกออกเป็นอิ๋งโจว เผิงไหล ฟางหู ไต้อวี่ หยวนเจี้ยว’
‘คีรีเทพแต่ละลูกบนล่างเหยียดยาวสามหมื่นลี้ ระหว่างภูเขาห่างกันเจ็ดหมื่นจั้ง ด้านบนทะลุธารดารา ด้านล่างประชิดนรกขุมที่เก้า มีเพียงอัครอริยมรรคอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะย่างก้าวบนนั้นได้ พิจารณาความอัศจรรย์ของมัน สำหรับผู้ฝึกปราณธรรมดาทั่วไป อย่าได้พูดถึงการขึ้นไปบนยอดเลย แม้แต่จะมองก็มองไม่เห็น!’
‘น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าครั้งบรรพกาลเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้น คีรีเทพห้าลูกนี้จึงไม่อยู่แล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี่…’
ได้ยินตำนานบรรพกาลเหล่านี้ ในใจหลินสวินไม่อาจนิ่งสงบยิ่งกว่าเดิม แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าลึกลับเพียงพอแล้ว บริเวณใกล้เคียงยังมีคีรีเทพห้าลูกโอบล้อมอีก!
ถึงขั้นมีเพียงอัครอริยมรรคจึงจะสามารถขึ้นไปยังคีรีเทพนั้นได้!
นี่ช่างสั่นสะเทือนใจผู้คนเกินไปแล้ว
อัครอริยมรรคเชียวนะ นั่นคือตัวตนน่ากลัวซึ่งเหยียบย่ำบนเส้นทางอมตะ ทว่ากลับมีคุณสมบัติเพียงได้ขึ้นไปยังคีรีเทพ…
‘เจ้าคางคก เจ้ารู้ไหมว่าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ซ่อนอะไรไว้กันแน่’
หลินสวินอ่อนน้อมถ่อมตนขอคำชี้แนะ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าจินตู๋อียังเป็นผู้ที่ราวกับของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ไม่เพียงแต่วินิจฉัยแยกแยะทุกสรรพสิ่ง รู้จักของล้ำค่าแปลกประหลาดอย่างถ่องแท้ ยังรู้ความลับแห่งบรรพกาลมากมาย เอาไว้ข้างตัวจะต้องเค้นประโยชน์ออกมาได้มากมายเป็นแน่
‘ไม่รู้สิ’
จินตู๋อีพลันตอบอย่างไม่ลังเล ‘แต่ที่ข้าสามารถยืนยันได้คือ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่เหมือนกับสมัยบรรพกาลแล้ว เกิดอุบัติภัยอันน่าตกตะลึงบางอย่าง มิฉะนั้นพวกเจ้าไม่มีทางมองเห็นมันแน่’
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ในใจแปลกใจสงสัยยิ่งกว่าเดิม แดนลับอสูรมารอริยะแห่งหนึ่งถึงกับซ่อนอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ นี่มันไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว
วู้ วู้ วู้…
เวลานี้จู่ๆ เสียงเป่าเขาสัตว์อันวิเวกวังเวงพลันดังขึ้นระหว่างฟ้าดิน ทำให้หลินสวินตื่นตกใจทันที ก่อนเงยหน้ามองออกไป
“มีคนมา!”
ผู้เฒ่าเกาหยางนัยน์ตาหรี่ลง คนอื่นๆ ต่างก็ถูกทำให้ตื่นตระหนกเช่นกัน
พลันเห็นบนผืนน้ำไกลสุดหล้า ปรากฏวาฬยักษ์ยาวหลายพันจั้งตัวหนึ่ง ประหนึ่งผืนดินผืนหนึ่งลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ พัดระลอกคลื่นยักษ์หมื่นจั้งมุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
บนหลังวาฬยักษ์นั่นมีเงาร่างยืนอยู่อย่างหนาแน่น มีบุรุษมีสตรี แต่ละคนบุคลิกโดดเด่นไม่ธรรมดา ท่าทางพวกเขาดูเหมือนยังเยาว์ แต่กลับไม่ด้อยไปกว่าระดับหยั่งสัจจะ!
ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดเห็นจะเป็นหญิงชราคนหนึ่ง นางผมขาวดุจหิมะ สันหลังโก่งงอ มือจับไม้เท้าไม้ไผ่สีม่วงอันหนึ่ง นั่งอยู่บนตั่งทองมรกต โอบล้อมด้วยชายหญิงกลุ่มหนึ่ง เห็นชัดว่าฐานะไม่ธรรมดา
พวกหลินสวินสีหน้าท่าทางต่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งโดยสารวาฬยักษ์มาเยือน!
กลับเห็นผู้เฒ่าเกาหยางหัวเราะเสียงดังพลางกล่าว “ที่แท้คือสหายยุทธ์แห่งเกาะท่องมรกตนี่เอง ขอเรียนถามว่าใช่ท่านย่าเทพสังหารหรือไม่”
เสียงดั่งมังกรขับขานสะเทือนนพนภา
ทันใดนั้นสายตาหมู่คนบนวาฬยักษ์ต่างค่อยๆ มองมา
“ไม่ผิด เป็นข้าเอง เรียนถามว่าสหายยุทธ์คือ?”
หญิงชราผมขาวลืมตาขึ้น มองมายังเกาหยางจากที่ห่างไกล นัยน์ตานางเผยแสงสีเขียวมรกต น้ำเสียงแหบพร่าอึมครึม ทำให้ผู้คนขนพองสยองเกล้า
นางมองมาอย่างไม่เจือพละกำลังแม้เพียงนิด แต่พอพวกหลินสวินมองกลับไป ก็ราวกับเห็นดวงตะวันเจิดจ้าสีเขียวมรกตดวงหนึ่งลอยเด่นอยู่กลางฟ้าดิน ดวงตาแสบแปลบ จิตวิญญาณสั่นระรัว ตระหนกขึ้นมาอีกระลอกอย่างห้ามไม่อยู่
หญิงชราคนนี้คือราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่ง!
“ข้าน้อยเกาหยาง มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ” เกาหยางยิ้มบางๆ พลางเอ่ยปาก
ในที่สุดท่านย่าเทพสังหารก็มีการเคลื่อนไหว กล่าวอย่างประหลาดใจ “คิดไม่ถึง ว่าในทะเลกลืนวิญญาณแห่งนี้จะได้เจอผู้สูงศักดิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หรือว่าสหายยุทธ์มาเพราะแดนลับอสูรมารอริยะเช่นกัน”
“เป็นเช่นนั้น” เกาหยางสีหน้าท่าทางเปิดเผย ไม่ต้อยต่ำไม่สูงส่ง
“ดูท่าครั้งนี้จะครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อพวกเจ้ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ข้าก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ เพียงแต่ข้าไม่อาจจะไม่เตือนสักประโยค ทันทีที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ หมายมุ่งช่วงชิงวาสนา ก็ต่างต้องพึ่งพาความสามารถของตนเอง”
น้ำเสียงเฉยชาเยียบเย็น ท่านย่าเทพสังหารพูดจบก็ถอนสายตากลับ โดยสารวาฬยักษ์มาถึงทางเข้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกบริเวณหนึ่ง
“ท่านผู้เฒ่า เกาะท่องมรกตร้ายกาจมากหรือไม่” ซูซิงเฟิงคิ้วขมวดซักถาม
คนอื่นต่างก็มึนงง แค่โลกชั้นล่างเท่านั้น เดิมพวกเขาคิดว่าคือดินแดนชั้นล่างอันรกร้างว่างเปล่าผืนหนึ่ง ไม่มีอะไรน่าใส่ใจ
ใครเล่าจะคาดคิด ว่าในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณนี้ จะเจอกับราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่งนำผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งมาด้วย
นี่ช่างไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว
“ส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมีชนเผ่าพื้นเมืองกระจายอยู่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นทายาทของหมื่นเผ่าบรรพกาล อิทธิพลมหาศาลยิ่งใหญ่ซับซ้อน ไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ”
ผู้เฒ่าเกาหยางอธิบาย “ก็เหมือนเกาะท่องมรกตนั่น เป็นอาณาเขตของ ‘เผ่าวาฬมังกร’ เผ่าวาฬมังกรไม่ใช่ธรรมดา ในช่วงบรรพกาลชื่อเสียงดุร้ายโจษจันเป็นอย่างมาก”
ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างเงียบสนิททันที
วาฬมังกร! เผ่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ธรรมดา พลังการต่อสู้ยังป่าเถื่อนถึงขีดสุด มีกำลังมหาศาลน่าหวาดกลัว สามารถย้ายภูผาเคลื่อนสมุทร เข่นฆ่าโรมรันภูตผีปีศาจด้วยมือเปล่า!
“ท่าจะยุ่งยากหน่อยแล้ว”
ผู้เฒ่าเกาหยางทอดถอนใจ “เกาะท่องมรกตอย่างเดียวยังไม่เท่าไร แต่ข้ากังวลว่าผู้ที่เสาะหาแดนลับอสูรมารอริยะครานี้ ไม่ได้มีแค่ขุมอำนาจนี้เพียงอย่างเดียว…”
เสมือนยืนยันคำพูดของเขา ไม่นานนักบนผืนทะเลก็มีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พญาหงส์ยาวประมาณร้อยจั้งตัวหนึ่งกระพือปีกสีทองอร่ามเรืองรอง ก่อนดิ่งลงมาจากฟากฟ้าอันห่างไกล
พญาหงส์หิรัณย์!
นี่เป็นนกปีศาจบรรพกาลชนิดหนึ่ง เก่าแก่โบราณถึงที่สุด พลังสายเลือดเลิศล้ำหาใดเปรียบ
แต่เวลานี้กลับมีเงาร่างมากมายยืนอยู่บนหลังพญาหงส์หิรัณย์มายังน่านน้ำผืนนี้ เห็นชัดว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆ ยายแก่เทพสังหารเจ้าก็มาด้วยรึ!”
เงาร่างสง่าผ่าเผยร่างหนึ่งยืนอยู่บนหลังพญาหงส์หิรัณย์ ผมเผ้าหนวดเคราดำสนิทราวหมึกเขียน นัยน์ตากระจ่างเสมือนดวงตะวันเจิดจรัส อหังการประหนึ่งตนยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว
นี่คือราชันระดับสังสารวัฏอีกคนหนึ่ง!
ทันใดนั้นทุกคนบนยานสำเภาใจดิ่งลึกลงอีกครั้ง
พวกเขาต่างเห็นว่าข้างๆ เงาร่างสง่าผ่าเผยนั่นก็มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วยเช่นกัน มีทั้งหญิงชาย จะต้องมาเพราะแดนลับอสูรมารอริยะเป็นแน่
“นักฆ่าอย่างเจ้ามาได้ เหตุใดคนแก่อย่างข้าจะมาไม่ได้”
ในจุดที่ห่างออกไป ท่านย่าเทพสังหารเอ่ยเสียงเย็นชา พละกำลังจริงจังไม่อ่อนข้อ
“ฮ่าๆๆ งั้นครั้งนี้ก็ลองดูว่า เป็นเจ้าผู้สืบทอดเผ่าวาฬมังกรแห่งเกาะท่องมรกตที่ร้ายกาจ หรือเป็นข้าหงส์หิรัณย์แห่งเขาวิญญาณโลหิตที่แข็งแกร่งกว่า!”
เงาร่างสง่าผ่าเผยนั่นหัวเราะร่า เสียงดั่งอสนีบาต สั่นสะเทือนจนคลื่นทะเลโหมกระหน่ำ ห้วงอากาศปั่นป่วนอลหม่าน พลังอำนาจน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด
ขณะพูดสายตาเขาพลันมองมายังพวกเกาหยางบนยานสำเภา แต่กลับไม่พูดอะไร เพียงแค่แค่นเสียงออกมาคราหนึ่งก่อนถอนสายตากลับไป
“หากข้าคาดเดาไม่ผิด คนๆ นี้น่าจะเป็นผู้นำเขาวิญญาณโลหิต ราชันหมื่นสังหารแห่งเผ่าหงส์หิรัณย์!”
ผู้เฒ่าเกาหยางสีหน้าท่าทางจริงจังเคร่งเครียดอยู่บ้าง สถานการณ์ยิ่งไม่เข้าท่าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…
พวกหลินสวินต่างตะลึงและแปลกใจไม่หยุด ไม่มีใครคิดว่าสถานการณ์จะดำเนินมาถึงขั้นนี้ คู่แข่งยิ่งมากและยิ่งอันตรายมากขึ้น!
มอ!
เพียงแต่ทั้งหมดยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ตามหลังเสียงคำรามอันเรียบง่ายลุ่มลึก วัวดำตัวหนึ่งเท้าเหยียบเมฆเพลิง ก้าวลงมาจากฟากฟ้า!
…………………
ตอนที่ 551 ประตูลึกลับ
โดย
ProjectZyphon
วัวดำตัวนั้นราวม้าศึกชั้นดีหาใดเปรียบ ทั้งตัวดำขลับเป็นเงาวาว แสงสว่างไหลเวียนหมุนวน จตุบาทราวเสาเหล็ก ย่ำเหยียบหมอกเมฆาที่เปลวเพลิงโหมกระหน่ำ เปล่งประกายเจิดจรัส
บนเมฆาเรืองรองมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณเฉกเช่นเดียวกัน มีทั้งชายและหญิง
มีเพียงเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บนหลังวัวดำ นั่นเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาน่าเกรงขามคนหนึ่ง สวมใส่เสื้อคลุมดำ ศีรษะประดับเกี้ยวสูง นัยน์ตานิ่งสงบประหนึ่งมีสุริยันจันทรากระเพื่อมคล้อยอยู่ภายใน
“เกาะหมอกตะวันรอน เผ่าวัวมารทรงพลัง!”
“แม้แต่เจ้าวัวเฒ่านี่ก็มาด้วย…”
เมื่อมองเห็นเงาร่างกลุ่มนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งของเผ่าวาฬมังกรเกาะท่องมรกต เผ่าหงส์หิรัณย์เขาวิญญาณโลหิตต่างก็ตื่นตระหนก ส่งเสียงฮือฮาไม่หยุด เผยสีหน้าจริงจังหนักแน่น
เห็นชัดว่าพวกเขากริ่งเกรงเผ่าวัวมารทรงพลังพอสมควร
ส่วนผู้เฒ่าเกาหยางก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้
เขาจำได้แล้ว ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนหลังวัวนั่น นามว่าหนิวเซี่ยวรื่อ ‘ราชันวัวมาร’ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดคนหนึ่ง หลายปีก่อนถึงขั้นเคยท่องไปในดินแดนรกร้างโบราณ เอาชนะผู้แข็งแกร่งมากมาย ชื่อเสียงเหี้ยมโหดโจษจันไปทั่ว!
ผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแห่งเกาะหมอกตะวันรอนมาถึง แม้ไม่พูดอะไรกลับทำให้ทุกฝ่ายหวาดกลัว สาเหตุล้วนเป็นเพราะหนิวเซี่ยวรื่อผู้ได้รับสมญานามว่า ‘ราชันวัวมาร’ คนนี้
ต่อให้เป็นในหมู่ขุมอำนาจชนเผ่าพื้นเมืองในทะเลกลืนวิญญาณ หนิวเซี่ยวรื่อก็เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินคนหนึ่ง ราวคลื่นยักษ์อันร้ายกาจ
“ท่านผู้เฒ่า สถานการณ์ดูไม่สู้ดีนัก”
เหวินเสียงรู้สึกว้าวุ่นใจ
เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้กับตาตนเอง พวกเขาไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าประเมิน ‘โลกชั้นล่าง’ ต่ำเกินไปอีก ช่างน่ากลัวจริงๆ เพียงแค่ชั่วเวลาไม่นานก็มีราชันระดับสังสารวัฏสามคนนำพาผู้คนแต่ละเผ่าเดินทางมา แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณก็ยังยากจะพบเห็น!
“ไม่ต้องกังวล แดนลับอสูรมารอริยะมีข้อจำกัดอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือกว่าระดับหยั่งสัจจะไม่อาจก้าวล้ำเข้าไปในนั้น”
ผู้เฒ่าเกาหยางปลอบขวัญด้วยเสียงอบอุ่น “หรือกล่าวได้ว่า คู่แข่งที่แท้จริงของพวกเจ้า มีเพียงแค่คนรุ่นราวคราวเดียวกันในขุมอำนาจพวกนั้นเท่านั้น”
ทุกคนค่อยวางใจได้บ้าง หากราชันระดับสังสารวัฏเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แดนลับอสูรมารอริยะนั่นก็ไม่ต้องเข้าไปแล้ว ถึงเข้าไปก็เหมือนไปตาย
ไม่นานก็มีขุมอำนาจมากมายหลายหลากมาถึง ต่างมาจากส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ เป็นขุมอำนาจชนเผ่าพื้นเมืองของน่านน้ำผืนนี้
เช่นเผ่าเต่าทมิฬ เผ่าม้านิลเมฆา เผ่าวิญญาณอมตะเป็นต้น ล้วนเป็นเชื้อสายหมื่นเผ่าบรรพกาล ต่างเผ่าต่างกลายเป็นขุมอำนาจฝ่ายหนึ่ง อาณาเขตตั้งอยู่ในแต่ละพื้นที่บนทะเลกลืนวิญญาณ
ขุมอำนาจมากขนาดนี้ทยอยกันมา ทำให้บริเวณใกล้เคียง ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ครึกครื้นและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้ผู้เฒ่าเกาหยางก็คาดไม่ถึง ขุมอำนาจเหล่านี้ราวกับนัดแนะกันมา ทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เขารับมือไม่ทัน
แต่สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าวาสนาระดับ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ พวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสแน่!
อีกทั้งผู้เฒ่าเกาหยางยังมีความมั่นใจ แค่อาศัยชื่อของสำนักพวกเขา ก็เพียงพอให้เกิดผลลัพธ์อันน่าหวาดหวั่น ทำให้ขุมอำนาจอื่นไม่กล้าเข้ามายุ่ง
“หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง ข้าคงคิดว่านี่เป็นการชุมนุมหมื่นเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่…”
เซียวหรันพึมพำ ผู้โดดเด่นเช่นเขาเวลานี้ก็ยากจะนิ่งสงบ
หลินสวินเองก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึง เขาเพิ่งเคยประสบพบเจอสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดพิสดารมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก ความรู้สึกนั่นราวย้อนกลับไปยังกาลเวลาแห่งบรรพกาลก็มิปาน หมื่นเผ่าพันธุ์แออัดเรียงราย เผ่ามนุษย์เป็นเพียงหนึ่งในนั้น
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ที่นครต้องห้ามไม่อาจพบเห็นได้อย่างสิ้นเชิง!
และนี่ยังทำให้หลินสวินตระหนักถึงความเร้นลับของทะเลกลืนวิญญาณยิ่งกว่าเดิม ที่นี่ไม่เพียงแต่มี ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ มี ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ หนึ่งในจตุโบราณสถานแห่งบรรพกาล
ทั้งยังมีทายาทหมื่นเผ่าบรรพกาล ต่างกลายเป็นขุมอำนาจ ครองอาณาเขตในส่วนลึกแห่งน่านน้ำ!
ประหลาดมหัศจรรย์ยากหยั่งถึง จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงตะพาบเขียวขึ้นมา ตอนแรกตะพาบเขียวติดอยู่ในชั้นแรกของโบราณสถานบรรพกาลนั่นกว่าหลายพันปี มาวันนี้กลับหลุดรอดออกมาได้
บุคคลเฉกเช่นตะพาบเขียว ครั้งนี้ก็จะนำผู้คนในเผ่าใต้อิทธิพลตนมาด้วยหรือไม่
ครืน!
ขณะที่หลินสวินคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น บนท้องฟ้าเหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง รุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่ราวกับร่างมังกรนั่นกลับพังทลายลงอย่างไม่คาดคิด กลายเป็นฝนแสงโปรยซัดสาด ลำแสงสาดส่องพรั่งพราวเพริศพริ้ง
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าฝนแสงเหล่านั้นรวมตัวอยู่เหนือน่านฟ้าหุบเหวสมุทร สาดแสงสว่างไสว ร่างเค้าโครงบานประตูที่ว่างเปล่าบานหนึ่งทีละน้อย
ทันใดนั้นเองทุกคน ณ ที่นั้นต่างพลุ่งพล่าน
ขุมอำนาจแต่ละเผ่าล้วนถูกดึงดูด แววตาเปล่งประกาย พวกเขาต่างรู้ดีว่าทางเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะใกล้จะเปิดออกแล้ว!
ฝนแสงราวลอยล่อง ร้อยถักเข้าด้วยกันเสมือนภาพมายาศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือหุบเหวสมุทร ก่อสร้างบานประตู จับรวมกันเป็นทางเดินลึกลับเส้นหนึ่ง
ประหนึ่งว่านั่นคือเส้นทางสู่โลกลี้ลับ ทำให้ผู้คนในที่นั้นสั่นสะท้านอย่างสุดซึ้ง
ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าทยอยออกมาเบื้องหน้า ครอบครองตำแหน่งที่เอื้อประโยชน์ เกือบทั้งหมดมีปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่ละคนท่าทางไม่ธรรมดา พลังตลบอบอวลไปทั่วร่างประหนึ่งหมู่ดาราระยิบระยับ
นี่คือผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แต่ละเผ่าที่จะเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะเพื่อช่วงชิงวาสนา ล้วนเป็นผู้กล้าของแต่ละขุมอำนาจ ไม่ว่าคนใดต่างเรียกได้ว่าน่าตกตะลึงหาใดเปรียบ มาวันนี้มาอยู่รวมกัน ถือเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งอย่างแท้จริง
ทางด้านแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หลินสวินก็ร่วมกับพวกจ้าวจิ่งเซวียน เคลื่อนใกล้ไปเบื้องหน้า พวกเขาเองก็แผ่พลังอานุภาพไม่ด้อยกว่าคนอื่น พลันดึงดูดสายตาให้เหลือบมองมาไม่น้อยทันที
ภายในสายตานั้นมีทั้งประหลาดใจ หยอกล้อ รังเกียจ กระหายสังหาร
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผู้ที่จะก้าวเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะครานี้ล้วนแต่เป็นเหล่าผู้คนที่ยอดเยี่ยมเจิดจรัสทั้งสิ้น เหล่าอัจฉริยะในยุคปัจจุบันต่างคนต่างมีพลังและความทะนงเป็นของตนเอง
ตอนนี้มารวมตัวกันเพื่อแข่งขันแย่งชิงวาสนาครั้งใหญ่ ใครกันแน่ที่จะเป็นอันดับหนึ่ง ใครที่ไร้ผู้ต่อกร และใครจะสามารถไขว่คว้าโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดไป
ทั้งหมดนี้ถูกลิขิตให้เผยคำตอบในแดนลับอสูรมารอริยะ!
ไม่นานนักบนท้องฟ้าเหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ประตูบานนั้นในที่สุดก็ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา ภายในประตูเปล่งประกายล้ำลึก ลำแสงลึกลับไหลบ่าเอ่อล้น
เพียงแค่เข้าไปในนั้นก็สามารถไปถึงแดนลับอสูรมารอริยะได้!
เวลานี้คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งของแต่ละเผ่าเริ่มทยอยลงมือวางแผนการ แม้แดนลับอสูรมารอริยะจะมีโชควาสนาเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็ล่อแหลมอันตรายหาใดเปรียบเช่นเดียวกัน
เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายมากเกินไป คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าต่างเตรียมแผนการเอาตัวรอดส่วนหนึ่งให้แก่คนในเผ่าของตน
ถึงอย่างไรคนที่จะเข้าไปช่วงชิงวาสนาในดินแดนลี้ลับครั้งนี้ ต่างเป็นผู้กล้าฝีมือล้ำเลิศของแต่ละเผ่า ทุกความสูญเสีย สำหรับแต่ละเผ่าแล้วเรียกได้ว่าไม่น้อยไปกว่าการถูกจู่โจมอย่างหนักหน่วง
“จำใส่ใจเอาไว้ ต้องพกยันต์จักจั่นทองติดตัวให้ดี หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะสามารถช่วยพวกเจ้าช่วงชิงโอกาสในการมีชีวิตรอดครั้งหนึ่ง”
ผู้เฒ่าเกาหยางกำชับพวกเซียวหรัน
ขณะเดียวกันเขาก็นำแผนภาพสลักลึกลับชุดหนึ่งแจกจ่ายให้เหล่าผู้สืบทอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
ภายในแผนภาพสลักลึกลับบันทึกวาสนาที่ควรค่าแก่การใส่ใจและช่วงชิงในแดนลับอสูรมารอริยะไว้ หากแต่ไม่สมบูรณ์ เป็นเพียงเศษชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น มูลค่าของมันก็น่าตกใจอย่างยิ่ง!
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ได้วางแผนมาก่อนอย่างมั่นเหมาะ เตรียมตัวมาพร้อมสรรพ
เห็นจะมีเพียงหลินสวินที่หมดคำจะพูดอยู่บ้าง เขาไม่ได้รับทั้งยันต์จักจั่นทอง และไม่ได้รับแผนภาพสลักลึกลับนั่นด้วย ช่วยไม่ได้ ใครให้เขาเป็นเพียงแค่ ‘ผู้ติดตาม’ คนหนึ่ง…
‘รอหลังจากเข้าไปแล้ว เจ้าต้องติดตามข้าให้ดี อย่าได้วิ่งไปทั่วเด็ดขาด คู่แข่งครานี้นอกจากพวกเราตรงนี้แล้วยังมีผู้แข็งแกร่งของเผ่าอื่น จะต้องอันตรายถึงที่สุดเป็นแน่’
จ้าวจิ่งเซวียนเรียกหลินสวินมาอยู่ข้างกาย ก่อนสื่อจิตกำชับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
‘นั่นแน่นอนอยู่แล้ว’
หลินสวินรับคำอย่างยินดี ในบรรดาคนกลุ่มนี้ บางทีอาจมีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่มองเขาเป็นเพื่อนจริงๆ
‘จำไว้ ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าลงมือกับพวกเรา ให้ฆ่าทิ้งซะ ผลที่ตามมาทั้งหมดข้ารับผิดชอบเอง’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันเสริมอีกประโยค สายตากวาดมองไปยังซูซิงเฟิงที่อยู่ไม่ไกลอย่างคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ
หลินสวินพยักหน้า
ขณะเดียวกันซูซิงเฟิงเองก็สื่อจิตเช่นกัน ‘ศิษย์น้องเหวินเสียง หลังจากเข้าไปแล้วจะต้องจับตาดูเจ้าเด็กนั่นอย่าให้คลาดสายตา อย่าให้สมบัติชิ้นนั้นในมือเขาถูกคนอื่นตัดหน้าชิงไปก่อนอย่างเด็ดขาด หากสามารถชิงเอาเจดีย์ที่สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคมาได้ ก็เหมือนกับได้รับวาสนาครั้งใหญ่!’
‘ศิษย์พี่ซูวางใจได้เลย’
เหวินเสียงหัวเราะคิกคักตกปากรับคำ
วู้ม!
เวลานี้ ห่วงสำริดที่พลังไหลบ่าเอ่อล้นพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลังแห่งเกาะหมอกตะวันรอน
“เริ่มลงมือเถอะ” ณ สถานที่ไกลออกไป ราชันวัวมารหนิวเซี่ยวรื่อออกปาก น้ำเสียงลุ่มลึกเคร่งขรึมราววายุอสนีบาต ปั่นป่วนไปทั่วจตุทิศ
พลันเห็นห่วงสำริดนั่นส่องประกาย สาดส่องลำแสงนับหมื่น โอบล้อมผู้แข็งแกร่งเกาะหมอกตะวันรอนเหล่านั้นพุ่งเข้าสู่บานประตูนั่น
ตึง!
เสียงปะทะอันน่าพรั่นพรึงดังก้องขึ้น ก็เห็นว่าภายในบานประตูพรั่งพราวด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ถึงกับกระแทกห่วงสำริดนั่นปลิวกลับออกมา!
นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง มาจากมือราชันวัวมาร อานุภาพอัศจรรย์ไร้ขีดจำกัด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังภายในประตูบานนั้นกลับเหมือนไม่อาจทานทน
แต่ว่าอาศัยโอกาสนี้ ผู้แข็งแกร่งแห่งเกาะหมอกตะวันรอนเหล่านั้นต่างสามารถเข้าไปในประตูได้อย่างราบรื่น หายลับจากไป ทั้งไม่ประสบสิ่งที่ไม่คาดคิด
เห็นดังนั้นคนใหญ่คนโตเผ่าอื่นๆ ก็ทยอยลงมือ คุ้มกันผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์เผ่าตนเข้าสู่บานประตู
ซ่า!
ท่านย่าเทพสังหารใช้ไม้เท้าไม้ไผ่ม่วงอันหนึ่ง สรรสร้างแสงมงคลให้โน้มลงมาปกคลุมผู้แข็งแกร่งแห่งเกาะท่องมรกต พาพวกเขาเข้าสู่บานประตูอย่างราบรื่น
ตึง!
ราชันหมื่นสังหารเผ่าหงส์หิรัณย์ตวาดออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนนำค้อนอสนีออกมา…
ชั่วขณะนั้นฟ้าดินแถบนี้ปั่นป่วนโกลาหล แสงสมบัติหลากสีสันสลับซ้อนงามแปลกตา คุ้มกันเปิดทางให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าแย่งกันเข้าสู่บานประตูนั้น
และยังมีผู้ฝึกปราณที่มาตัวคนเดียวหมายฉวยโอกาสเข้าไปข้างใน แต่เพราะไม่มีผู้แข็งแกร่งคอยหนุนส่ง พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ในบานประตูทำลายล้าง ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก!
นั่นทำให้ผู้คนมากมายต่างสิ้นหวัง ตระหนักรู้ว่าบานประตูนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้
“ไปเถอะ!”
เวลานี้ผู้เฒ่าเกาหยางก็นำเตาเทพหมื่นปักษาออกมา จำแลงเป็นเงาเทพนกปีศาจมากมาย พลานุภาพล้นฟ้า โอบล้อมพวกหลินสวินพุ่งเข้าไปในบานประตู
“เตาเทพหมื่นปักษา?”
ณ ที่ห่างไกล ราชันวัวมารเปิดปากพูด น้ำเสียงแฝงความประหลาดใจ “คิดไม่ถึงว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็มาด้วย”
ผู้เฒ่าเกาหยางสงบปากสงบคำ นัยน์ตากลับฉายแววหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง ยังดีที่ราชันวัวมารไม่ได้พูดอะไรอีก
…
“ผู้อาวุโส เจดีย์สมบัติลึกลับที่ท่านพ่อข้าได้มาหลังนั้นก็ลอยออกมาจากส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น ถูกเขารับมาได้โดยไม่ตั้งใจ”
บนผืนน้ำที่ไกลห่างออกไปยังมีเงาร่างกลุ่มหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างชายชราชุดดำอีกคน เอ่ยพูดเสียงเบา
“ผู้อาวุโส ควรลงมือได้แล้วหรือไม่ ข้ารับรองว่าแผนภาพลึกลับนั่นไม่ผิดแน่ มันลอยออกมาพร้อมกับเจดีย์สมบัติ จะต้องเกี่ยวข้องกับแดนลับอสูรมารอริยะนี่อย่างแน่นอน!”
อีกฟากหนึ่ง เด็กหนุ่มอีกคนร้อนใจจนไม่อาจรอคอยอยู่บ้าง
หากหลินสวินอยู่ตรงนี้จะต้องจำได้อย่างแน่นอน เด็กสาวและเด็กหนุ่มคนนี้ ก็คือเหยาซู่ซู่และเหลียนเฟย!
ชายชราชุดดำพิจารณาใคร่ครวญครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ราวกับตัดสินใจ กล่าวว่า “ก็ดี!”
เขาพลันเงยหน้าขึ้น นำกระดูกสัตว์ขาวกระจ่างท่อนหนึ่งออกมา แปลงเป็นหมอกแสงศักดิ์สิทธิ์ลึกลับผืนหนึ่ง ปกคลุมเหยาซู่ซู่ เหลียนเฟย และผู้ฝึกปราณบริเวณใกล้เคียงเหล่านั้น มุ่งไปยังบานประตูที่อยู่ห่างไกลพร้อมกัน
“‘กระดูกอริยะ’ ของคนเถื่อนวารี?” ณ ที่ไกลออกไป คนใหญ่คนโตมากมายถูกทำให้ตื่นตระหนก สายตาทยอยมองมาทางนี้
ชายชราชุดดำยืนอยู่ตรงนั้น เงียบสงบดุจภูเขาสูงตระหง่าน ราวกับไม่รับรู้อะไร
………………….
ตอนที่ 552 ต้นไม้น้อยสีทอง
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินตะลึงงันอยู่บ้าง
เขาสังเกตทัศนียภาพโดยรอบ อาณาเขตแถบนี้เป็นต้นไม้เก่าแก่ลายพร้อย ดูแข็งแกร่งเปี่ยมพลังหาใดเปรียบ แต่ละต้นล้วนต้องใช้เจ็ดแปดคนโอบจึงสามารถล้อมได้หมด เปลือกแก่แตกแยกออกประหนึ่งเกล็ดมังกร
บนผืนดินใบไม้ร่วงหล่นหนาแน่น เห็นชัดว่ากองสะสมนานหลายปี กรุ่นกลิ่นอายกัดกร่อน
ที่นี่คือแดนลับอสูรมารอริยะ?
เดิมหลินสวินคิดว่า ในเมื่อแดนลับอสูรมารอริยะอยู่ภายใต้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป็นโลกใต้บาดาลอย่างแน่นอน ใครเล่าจะคิดว่ากลับกลายเป็นแผ่นดินที่ต้นไม้เขียวชอุ่มผืนหนึ่ง!
แน่นอน สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดที่สุดคือ เขากับจ้าวจิ่งเซวียนแยกจากกันแล้ว!
ไม่เพียงแต่จ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้น แม้แต่คนอื่นจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างก็หาไม่เจอ…
สถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว!
หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น เดิมทีเขาเคยปรึกษากับจ้าวจิ่งเซวียนว่าจะดำเนินการด้วยกัน
แต่ใครจะไปคาดคิด ทันทีที่เข้าสู่แดนลึกลับแปลกหน้าแห่งนี้ พวกเขากลับถูกพลังที่มองไม่เห็นจับแยกกันไปคนละทาง กระจัดกระจายกันออกไป
“ให้ตาย นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เหตุใดถึงไม่เห็นพวกคุณชายแล้ว”
ที่ไกลออกไปจู่ๆ เกิดเสียงวุ่นวายขึ้น
หลินสวินพลันมองเห็นว่าในสถานที่ห่างออกไปมีเงาร่างสิบกว่าร่าง ทั้งชายและหญิง มาจากกลุ่มเผ่าแตกต่างกันไป
เห็นชัดว่าพวกเขาต่างก็คาดไม่ถึงเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหลังจากเข้ามายังแดนลึกลับจะถูกแยกกระจายกันออกไป ชั่วขณะเดียวก็ทำให้สิ่งที่พวกเขาตระเตรียมไว้ก่อนหน้าเสียแผนไปหมด
ไม่นานนักพวกเขาก็สังเกตเห็นหลินสวิน พลันสงบปากลงทันที ไม่พูดมากความอีก ทั้งยังกระจายกันออกไปอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างป้องกันตนเอง
เพราะหลังจากเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะนี้แล้ว พวกเขาก็คือคู่แข่ง ขณะที่เสาะหาวาสนา ต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันอย่างเปี่ยมล้น
หลินสวินเริ่มก้าวเท้า คิดอยากจะออกไปจากตรงนี้ให้ไว
อันที่จริงขณะที่เขาเคลื่อนไหว คนอื่นต่างก็กระจายกันออกไป มุ่งหน้ากันไปคนละทาง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากถูกคนอื่นจับจ้องระแวดระวัง เกรงจะนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่อาจคาดคะเน
“หืม? หลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วง!”
แว่วเสียงประหลาดใจหนึ่งดังมาแต่ไกล
ก็เห็นผู้ฝึกปราณจากเผ่าวิญญาณอมตะคนหนึ่งอยู่ที่รากต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง ค้นพบเถาวัลย์ม่วงท่อนหนึ่ง บนเถาวัลย์ม่วงมีเห็ดหลินจือขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเกิดขึ้นมาดอกหนึ่ง อบอวลไปด้วยแสงประกาย โชยกลิ่นหอมต้องจมูก
หลินจือหิมะดอกนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ราวเจียระไนจากหยกขาว แวววาวเปล่งประกาย แสงกระจ่างไหลบ่าเอ่อล้น
ผู้ฝึกปราณคนนี้ย่อตัวลง หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง ก่อนลงมือขุดอย่างระมัดระวัง หมายขุดเถาวัลย์ม่วงท่อนนั้นออกมาอย่างสมบูรณ์
ปึง!
ทันใดนั้นเองเสียงแหวกอากาศดังก้องขึ้น แสงทมิฬสายหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวอสนีบาต ทะลุผ่านศีรษะของผู้ฝึกปราณคนนั้น เปิดฉากฝนโลหิตแถบหนึ่ง
ผู้ฝึกปราณคนนั้นดวงตาเบิกกว้างฉายแววคับแค้นไม่พอใจ ลงไปนอนกองท่ามกลางบ่อโลหิต
นั่นเป็นลูกศรสีดำดอกหนึ่ง แม่นยำรวดเร็ว เหี้ยมโหดหาใดเปรียบ ปลิดชีพในดอกเดียว จู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผู้ฝึกปราณนั่นไม่ทันได้ตอบสนองก็จบชีวิตลงตรงนั้น
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงใจสั่นสะท้าน อำมหิตเกินไปแล้ว! เพิ่งจะเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะ ก็ถูกคนยิงสังหารอย่างไร้เยื่อใย
“สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ใช่ของที่เจ้าแตะต้องได้รึ” เงาร่างแข็งแรงกำยำหนึ่งก้าวเข้ามา ก่อนช่วงชิงหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วงไป
นั่นคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่ง ผมสีโลหิตหนาทึบทั้งศีรษะ นัยน์ตาดุจคมดาบน่าพรั่นพรึง มือถือเกาทัณฑ์ยักษ์คันหนึ่ง พละกำลังสะกดผู้คน
“พวกเจ้าจงดูให้ดี เขตหวงห้ามนี้ถูกข้า ‘เผ่าสิงห์โลหิต’ ยึดครองไว้แล้ว วาสนาทั้งหมดในนี้ล้วนเป็นของพวกข้า ใครกล้าแตะต้อง มันผู้นั้นต้องตาย!”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันกวาดสายตามองทั่วทิศ ตวาดเสียงกร้าวราวราชสีห์แผดเสียงคำราม น้ำเสียงเจือไอสังหารเข้มข้นแผ่ซ่านออกมา
พูดจบ เงาร่างเขาก็วูบหายไปยังส่วนลึกของผืนป่า
ผู้คนมากมายต่างโกรธแค้น แต่พวกเขาต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เมื่อสูญเสียการปกป้องดูแลจากผู้แข็งแกร่งของเผ่าตน ยามพบเจอการข่มขู่กดดันเช่นนี้ก็ได้แต่หักห้ามใจเอาไว้
“เจ้าหมอนั่นดูเหมือนจะเป็นสือจวิ้นอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งเผ่าสิงห์โลหิต นิสัยโอหังแข็งกร้าว บ้าเลือดหาใครเสมอเหมือน”
มีคนพูดเสียงเบา
“ระวังหน่อย ไม่ได้ยินรึไง ในป่าที่อยู่ไกลออกไปนั่นยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตอีกมาก!”
ผู้คนไม่น้อยต่างพบว่าในผืนป่าอันห่างไกลตะคุ่มมัว ผู้แข็งแกร่งของเผ่าสิงห์โลหิตกลับไม่ได้แยกย้ายกันออกไป
หลินสวินเองก็สังเกตเห็นทั้งหมด อดขมวดคิ้วไม่ได้ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตนั่นเผด็จการเกินไปแล้ว วิธีการก็เหี้ยมโหดถึงขีดสุด
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างเริ่มถอยร่นออกห่างจากบริเวณนี้ ไม่ยอมปะทะเผ่าสิงห์โลหิตซึ่งหน้า
และมีอีกหลายคนยังอยู่ต่อ เพราะพวกเขารู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตรวมตัวกันเช่นนี้ เกรงว่าจะค้นพบวาสนาอะไรบางอย่างจึงต้องการปิดล้อมที่นี่ ไม่ยอมให้ผู้อื่นมาแตะต้อง
ท้ายที่สุดหลินสวินก็ตัดสินใจซ่อนคมในฝัก เขาตัวคนเดียว ยังไม่รู้ถึงเบื้องลึกของแดนลับอสูรมารอริยะอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่อยากให้มีปัญหาแทรกซ้อนมาเพิ่มอีก
ผืนป่ารกชัฏ หลินสวินก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาในเวลานี้แบกธนูวิญญาณไร้แก่นสาร มือถือดาบหักมั่น ตื่นตัวและรอบคอบ
เขาย่อมไม่กล้าประมาทเป็นธรรมดา ที่นี่คือแดนลับอสูรมารอริยะ ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งแฝงตัวอยู่มากมาย ใครจะรู้ว่าเก็บซ่อนอันตรายและการดักปล้นสังหารมากเท่าไหร่
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ
เสียงกัมปนาทแปลกประหลาดราวมังกรคำรามพลันก้องดังขึ้นจากด้านหลัง
หลินสวินชะงักเท้าชั่วขณะก่อนหันกลับไปมอง ก็เห็นสถานที่ไกลออกไป บนฟากฟ้าปรากฏไอหมอกสีทองลอยขึ้นม้วนทะยาน เสมือนดั่งเมฆมงคลแสงสมบัติ เจือเสียงมังกรคำรามปั่นป่วนโถมกระหน่ำ ปรากฏการณ์ประหลาดน่าอัศจรรย์
หากหลินสวินจำไม่ผิด ตรงนั้นคือบริเวณที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่!
“ดูท่าพวกเขาจะพบวาสนาสะเทือนใต้หล้าบางอย่างในที่นั้นจริงดังคาด จึงเกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าเช่นนี้…”
หลินสวินกล่าวเสียงแผ่วเบา
ในใจเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้เดินกลับไป
ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า จะต้องดึงดูดผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมาแย่งชิงแน่นอน เป้าหมายใหญ่เกินไปแล้ว ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ ปรากฏการณ์ประหลาดนั่นบังเกิดขึ้นบนโลก จะต้องเกิดการต่อสู้อย่างบ้าระห่ำสยดสยองฉากหนึ่งเป็นแน่
เป็นจริงดังคาด เพียงไม่นานเสียงเข่นฆ่าโรมรันอย่างดุเดือดดังก้องขึ้น เสียงคำรามโกรธแค้นราวอสนีบาต แม้จะห่างออกไปมากแต่ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
หลินสวินเงยหน้ามองออกไปทางนั้น ก็เห็นเงาร่างมากมายทะลวงทะยานต่อสู้กันอย่างดุเดือด คาวเลือดเดือดพล่านหาใดเปรียบ
แต่สิ่งที่พวกเขาต่อสู้แย่งชิงกันนั้น กลับเป็นต้นไม้น้อยสีทองต้นหนึ่ง แสงที่แผ่ออกมาเสมือนดวงตะวันเจิดจ้า สีทองเรืองรองอร่ามตา ย้อมห้วงอากาศเป็นสีทองงามตระการ
อีกทั้งต้นไม้น้อยสีทองนั่นราวมีจิตวิญญาณ สามารถหายตัวบินหลบกลางอากาศ บรรดาผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่ต้องการไขว่คว้ามัน ไม่เพียงแต่ต้องโรมรันประหัตประหารดุเดือดเท่านั้น ยังต้องป้องกันไม่ให้มันวิ่งหนีหายไปอีกด้วย สถานการณ์ผิดแปลกสับสนอลหม่าน
นี่มันต้นไม้ล้ำค่าอะไรกัน ถึงขั้นมีจิตวิญญาณกายสิทธิ์เช่นนี้ ทั้งยังสามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าได้
หลินสวินเผยสีหน้าประทับใจอย่างอดไม่อยู่ นี่ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเป็นแน่ ยากพบเห็นหาใครเสมอเหมือน มีความมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ
แต่ท้ายที่สุดหลินสวินยังคงควบคุมตนเองอย่างเต็มที่ ไม่ได้เข้าไปแก่งแย่งช่วงชิง เพราะในช่วงเวลาอันสั้นก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายถูกดึงดูดมา พุ่งทะยานเข้าไปในฉากต่อสู้อันดุเดือดนั่น
คนมากเกินไปก็อันตรายเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะนำชีวิตไปเสี่ยง
หลินสวินออกเดินทางต่ออีกครั้ง
เพียงแต่ว่าจากเรื่องนี้ทำให้เขาตระหนักถึงความไม่ธรรมดาของ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ นี่ยิ่งกว่าเดิม แผ่กระจายวาสนามากมาย ทั้งยังให้กำเนิดโอสถวิญญาณที่ยากพบเห็น ไม่อาจพบเจอในโลกภายนอก
‘เจ้าคางคก เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวแดนลับอสูรมารอริยะที่อยู่ภายใต้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือไม่’
ระหว่างทาง หลินสวินเอ่ยถามจินตู๋อี
‘แดนลับอสูรมารอริยะอะไร ข้ารู้เพียงว่า ครั้งบรรพกาลเคยมีอริยมรรคมากสามารถไม่น้อยเข้าไปยังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และก็ไม่เคยกลับออกมาอีก บางคนกล่าวว่าพวกเขาร่วงหล่นไปแล้ว บ้างกล่าวว่าอริยมรรคผู้เก่งกาจเหล่านั้นพบเจอสิ่งเร้นลับที่แท้จริงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเข้าสู่พิภพอีกแห่งหนึ่ง’
น้ำเสียงจินตู๋อีแฝงความอวดดี ‘ดูท่าทางเจ้าถ่อมตนขอคำชี้แนะแบบนี้ ข้าว่าเจ้าอย่าคิดเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เลยจะดีที่สุด ปราณของเจ้าใช้การไม่ได้เกินไป เพียงแค่เข้าไปก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย’
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ ‘เจ้าคางคก ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’
จินตู๋อีถูกทำให้ตกใจโดยพลัน ตะโกนออกมา ‘เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าเจ้า… เจ้าเข้ามายังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว? แถมยังไม่ตาย? เป็นไปไม่ได้ เจ้าอ่อนแอขนาดนั้น ทำไมยังมีชีวิตรอดอยู่ได้’
หลินสวินตัดบทคำพูดพร่ำของเขา เล่าเรื่องที่ตนเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะให้เขาฟัง
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… เหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อสร้างทางลึกลับเคลื่อนย้ายโบราณ… มิน่าล่ะเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่…’
จินตู๋อีดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว ก่อนจะกล่าวอย่างเร่าร้อน ‘เยี่ยมยอดจริงๆ สามารถก่อสร้างทางลึกลับอัศจรรย์เช่นนี้เหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ ฝีมือเช่นนี้จะต้องเป็นอัครอริยมรรคเท่านั้นจึงจะสำแดงออกมาได้!’
ยังไม่รอให้หลินสวินได้เอ่ยปาก เขาก็พูดน้ำลายแตกฟองต่อ ‘เจ้าคนข้างนอกนั่น ครั้งนี้เจ้าได้พัฒนาแล้ว! ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่าในดินแดนลึกลับนี่ต้องมีวาสนายิ่งใหญ่ยากจินตนาการแน่นอน!’
‘ข้ารู้อยู่แล้ว’
หลินสวินแทบจะกลอกตาใส่ ในที่สุดเขาก็แน่ใจว่าเจ้าคางคกเรื้อนจินตู๋อีนี่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแดนลับอสูรมารอริยะสักนิด
‘เจ้ารอก่อนสิ ถึงแม้ข้าไม่รู้ที่มาของแดนลี้ลับนี้ แต่ก็มองมูลค่าของวาสนาและสมบัติลึกลับส่วนหนึ่งออก มิสู้… เจ้าปล่อยข้าออกไป พวกเราร่วมมือกันเสาะหาวาสนาเป็นอย่างไร’
จินตู๋อีใช้วิธีพูดหว่านล้อม ‘เจ้าลองคิดดู มีข้าคอยชี้แนะ วาสนาที่ไหนจะหลุดหนีจากมือเจ้า นี่คือโอกาสที่หาได้ยาก ตามปกติแล้วข้าจะไม่ตกปากรับคำใครง่ายๆ นะ’
‘ช่างมันเถอะ วาสนาก็คือวาสนา สิ่งที่ทดสอบก็คือโชควาสนาของแต่ละคน ไหนเลยจะสามารถให้เจ้าได้มาครองโดยง่าย เจ้าคางคก เจ้าน่ะอยู่นิ่งๆ ไปเถอะ!’
หลินสวินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไม่พูดไร้สาระกับจินตู๋อีอีก ทันทีที่เจ้าคางคกเรื้อนนี่ออกมา จะต้องไม่ให้ความร่วมมือดีๆ แน่ ไม่แน่ว่าอาจจะหลบหนีไปด้วย
ไม่นานนักหลินสวินก็ออกมาจากป่าผืนนั้น มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง
ทอดสายตามองจากจุดนี้ไปก็สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน การต่อสู้ในส่วนลึกของผืนป่าได้ปิดฉากลงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้นไม้น้อยสีทองอันวิเศษมหัศจรรย์ต้นนั้น ท้ายที่สุดตกอยู่ในมือผู้ใด
หืม?
ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า บนหน้าผาสูงชันอีกฟากหนึ่งมีโอสถวิญญาณต้นหนึ่งขึ้นอยู่ ฝนแสงลอยละล่องซ้อนสลับ โชยกลิ่นหอมกำจร แสงมันวาวนั่นประดุจดั่งแสงจันทร์พร่าเลือนบริสุทธิ์
สมบัติชั้นดี!
หลินสวินนัยน์ตาฉายแวววาบ เพียงแค่สูดกลิ่นหอมโอสถเพียงครั้งก็ทำให้เขาปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว เลือดลมไหลเวียน รู้สึกกะปรี้กะเปร่า
ไม่ต้องสงสัยเลย โอสถวิญญาณต้นนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถึงขั้นเหนือกว่าหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วงต้นที่เห็นก่อนหน้าหนึ่งขั้น
เพียงแต่เมื่อหลินสวินคิดจะเก็บมัน ลูกศรวิญญาณสีดำดอกหนึ่งก็ยิงออกมา เสียงดีดผึงพุ่งตรงไปยังหน้าผา ทำให้หินผาพังทลายสั่นสะเทือนไม่หยุด
หลินสวินเบี่ยงตัวหลบ แม้ดูตระหนกแต่ไม่ได้รับอันตราย ก่อนมองไปยังที่ห่างไกล
ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่งยืนอยู่ไกลออกไป มือถือเกาทัณฑ์ยักษ์ ผมสีโลหิตทั้งศีรษะประดุจเปลวเพลิง กลิ่นอายสะกดข่มผู้คน แววตาดุดัน
สือจวิ้น!
หลินสวินคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบเจ้าหมอนี่อีก เขาไม่ได้ไปแย่งชิงต้นไม้น้อยสีทองนั่นหรอกรึ ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“หญ้าแสงจันทร์ต้นนี้ข้าจองไว้แล้ว เจ้ามีความเห็นอะไรไหม”
สายตาสือจวิ้นเคร่งขรึมเย็นชา กวาดมองหลินสวินราวใบมีดคมกริบ คำพูดแฝงการข่มขู่อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
………………..
ตอนที่ 553 สัมพันธ์ลี้ลับแดนศักดิ์สิทธิ์
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินมองไปด้านหลังสือจวิ้น ที่นั่นยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตจำนวนหนึ่ง ล้วนถือศาสตราวุธ สีหน้าเย็นชา
“ไม่คัดค้าน” หลินสวินสูดหายใจลึก สะกดกลั้นความไอสังหารภายในใจ
“ถึงยังไงเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน!” สือจวิ้นยิ้มเย็น สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ก่อนดึงหญ้าแสงจันทร์ต้นนั้นจากไป
“เอ๋ ธนูคันนี้ของเจ้าไม่เลวนี่ เอามาให้ข้าดูหน่อยซิ” ทันใดนั้นนัยน์ตาสือจวิ้นฉายแวววาบ มองมายัง ‘ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’ ข้างหลังหลินสวิน
“สหายยุทธ์ เจ้าทำเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง” หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง แท้จริงเตรียมพร้อมจะลงมือไว้แล้ว ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเองก็เป็นของล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่ง ใช้ลอบสังหารศัตรู ที่ลี้ลับเกิดคาดเดาที่สุดคือไม่อาจปัดป้องได้
ขณะเดียวกันธนูคันนี้มีพลานุภาพอัศจรรย์สองอย่างคือ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ และ ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ เพียงแค่จุดนี้ก็ใช่ว่าสมบัติทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่มีทางมอบธนูนี้ให้แน่
“สือจวิ้น เวลาเหลือไม่มากแล้ว ธิดาเทพกำลังรอพวกเราอยู่” ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยปาก เตือนสือจวิ้นว่าไม่อาจล่าช้าอีกต่อไป
สือจวิ้นมุ่นคิ้ว ยอมปล่อยไปชั่วคราว กล่าวว่า “มาเถอะ มากับพวกเรา”
“มีอะไรรึ” หลินสวินถาม ตีหน้าซื่อเก็บดาบหักและธนูวิญญาณไร้แก่นสาร
“อย่าพูดมาก ให้เจ้าไปก็รีบไป!” สือจวิ้นหมดความอดทนอยู่บ้าง สีหน้าท่าทางข่มขู่สุดกำลัง ไม่เห็นหลินสวินอยู่ในสายตาสักนิด
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ตระหนักว่าในทิศทางอื่นมีผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่เหมือนกับเขา ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตบีบบังคับคุมตัวประหนึ่งนักโทษมารวมกันอยู่ตรงนี้
หลินสวินหรี่นัยน์ตาลง เหลือบมองสือจวิ้นเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ข่มกลั้นเอาไว้ ไม่ได้ลงมือทันที
สือจวิ้นรู้สึกหนาวเยือกอย่างไม่มีสาเหตุ เพียงแต่ความรู้สึกนี้พริบตาเดียวก็หายไป ทำให้เขาแทบจะนึกว่าคิดไปเอง
“รีบไป เวลาเหลือไม่มากแล้ว ธิดาเทพกำลังเรียกหาพวกเรา ตำหนักที่ซ่อนโอสถเทพนั่นใกล้ปรากฏขึ้นแล้ว” ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตะโกนลั่น
นั่นเป็นชายวัยกลางคนที่อาจหาญแข็งแกร่งคนหนึ่ง นัยน์ตาดุจอสนีบาต ฉายแววเย็นเยือกน่าตระหนก ท่วงทำนองมรรคแผ่กระจายทั่วร่าง เห็นชัดว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะรุ่นอาวุโสคนหนึ่ง ศักยภาพทรงพลังน่าหวาดกลัว
เขามีนามว่าเป้าหยา เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิต
“ทุกท่าน เดินทางไปด้วยกันเถอะ” เป้าหยาเปิดปากพูดคุย
หลินสวินได้แต่ข่มกลั้นอดทน เดินทางไปพร้อมกับผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิต
มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากถูกจับกุมมาเหมือนกับเขา
ภายหลังหลินสวินจึงรู้ว่าเผ่าสิงห์โลหิตต้องการใช้พวกเขาเป็นเบี้ย มุ่งหน้าไปยังสถานที่ล่อแหลมอันตรายเกินคาดเดาแห่งหนึ่งเพื่อแสวงหาวาสนา
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป
พวกเขาทั้งกลุ่มปรากฏตัวอยู่กลางทะเลทรายผืนหนึ่ง
ทะเลทรายเสมือนไร้ขอบเขต ไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต ปกคลุมไปด้วยกรวดทรายสีทองอร่าม
ไม่เหมือนทะเลทรายของโลกภายนอก ท้องฟ้าและผืนดินที่นี่เย็นเยียบเสียดกระดูกถึงที่สุด แม้ว่าเป็นเวลากลางวันก็เต็มไปด้วยอากาศหนาวเย็นอันน่าประหวั่น ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เมื่อพวกหลินสวินมาถึงที่แห่งนี้ พบว่ายังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตอีกกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว รอคอยอยู่ตรงนั้น
ผู้นำคือหญิงสาวงามงดสีหน้าท่าทางหยิ่งทะนงเย็นชาคนหนึ่ง ผมสีโลหิตนุ่มสลวยทั้งศีรษะ รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง สวมเสื้อคลุมสีดำ ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ให้ความรู้สึกงดงาม เย็นชา แปลกแตกต่างไม่เหมือนใคร
“คำนับธิดาเทพ!”
เมื่อเห็นหญิงสาวคนนี้ พวกเป้าหยาสือจวิ้นต่างเปลี่ยนเป็นเคารพนอบน้อมขึ้นมา เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้สถานะสูงส่งในเผ่าสิงห์โลหิต ต้องเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคนหนึ่งแน่นอน
“นั่นคือธิดาเทพหลินหลางเผ่าสิงห์โลหิตรึ”
“น่าจะเป็นนาง ได้ยินว่าผู้หญิงคนนี้จิตใจอำมหิต ฝีมือโหดเหี้ยม พลังปราณทั่วร่างลึกล้ำยากหยั่งถึง พวกเราตกอยู่ในเงื้อมมือนาง ผลที่ตามช่างน่าหนักใจเหลือเกิน”
บรรดาผู้ฝึกปราณที่ถูกจับกุมมาพวกนั้นส่งเสียงกระซิบกระซาบ สีหน้าเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและกลัดกลุ้มใจ
หลินสวินกลับสีหน้าท่าทางนิ่งสงบ พิจารณาทุกสิ่งรอบด้านอย่างไม่เป็นที่สังเกต
“ธิดาเทพ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เป้าหยาก้าวไปข้างหน้าก่อนถามเสียงเบา
“ไม่สาหัสนัก” หลินหลางส่ายศีรษะ
“น่าแค้นใจนัก บุตรเทพอวี่เซียวเซิงเผ่าวาฬมังกรนั่น ถึงขั้นกล้าอาศัยช่วงชุลมุนดักซุ่มโจมตี แค้นนี้ต้องชำระ!” สือจวิ้นกัดฟันกรอด ส่งเสียงออกมาด้วยความโกรธ
“ไม่เพียงแต่ชำระแค้น ยังต้องชิงต้นกล้า ‘รุกขทรัพย์วิญญาณทอง’ ที่อริยะเพาะปลูกนั่นกลับมา! บนนั้นสลักความลับแห่งมหามรรคธาตุทอง คือสมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดิน ไม่อาจตกอยู่ในเงื้อมมือเผ่าวาฬมังกรเด็ดขาด!” เป้าหยากล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
“พอได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีโอกาสให้สะสาง เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือเข้าไปยังตำหนักหลังนั้นโดยเร็วที่สุด ภายในนั้นซ่อนโอสถเทพซึ่งครอบครองความอัศจรรย์ของศุภโชค มิอาจสูญเสียไปได้”
ธิดาเทพหลินหลางโบกมือ นำทุกคนเริ่มดำเนินการ มุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลทราย
‘ต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทอง…’
หลินสวินตะลึงงัน ในที่สุดก็รู้ว่าต้นไม้น้อยสีทองที่เห็นในป่าก่อนหน้านี้ ถึงกับเป็นต้นไม้ล้ำค่าซึ่งให้กำเนิดความลี้ลับแห่งมหามรรคธาตุทอง!
นี่ช่างหาได้ยากยิ่งนัก เรียกได้ว่าเป็นสิ่งไร้เทียมทาน เพียงแค่เพาะปลูกลงไป ชั่วขณะเดียวก็สามารถหยั่งถึงความเร้นลับของมหามรรคธาตุทอง
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้เรียกได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้ แม้อยู่ในดินแดนโบราณก็ยากจะพบเห็นอย่างยิ่ง
เห็นชัดว่ากล้าไม้ล้ำค่าต้นนี้เดิมถูกเผ่าสิงห์โลหิตหมายตาไว้ แต่ผลระหว่างต่อสู้แย่งชิงกัน กลับถูกบุตรเทพเผ่าวาฬมังกรอวี่เซียวเซิงซุ่มโจมตีช่วงชิงไป
และธิดาเทพเผ่าสิงห์โลหิตหลินหลางนี่ ก็ได้รับบาดเจ็บจากการลอบโจมตีครั้งนั้น
ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจคิดมากความ ด้วยพวกเขาถูกพามายังส่วนลึกของทะเลทราย
ที่นี่ลมหนาวเย็นยะเยือกเสียดกระดูก ฟ้าดินถึงกับมีผลึกหิมะโปรยปรายโรยร่วง ลอยล่องล้อลม ประดุจดังขนห่านแวววาวเป็นประกาย
แม้หลินสวินจะอาศัยพลังปราณ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบเสียดกระดูกอยู่ระลอกหนึ่ง หนาวเกินไปแล้ว กระแสลมนั่นเสมือนลมยะเยือกเย็นพัดผ่าน ราวกับสามารถแช่แข็งทุกสรรพสิ่ง
ที่ทำให้หลินสวินงงงันมากที่สุดคือ ในทะเลทรายที่อุดมไปด้วยพายุหิมะ ลมหนาวเสียดกระดูก กลับปรากฏทะเลสาบหินหนืดแห่งหนึ่ง!
ทะเลสาบนั้นรัศมีเกือบพันจั้ง หินหนืดสีแดงเข้มม้วนซัดแผดเสียงคำราม ปะทุคลื่นอัคคีโหมกระหน่ำ เกิดอุณหภูมิสูงแสบร้อนหาใดเปรียบ
ผลึกหิมะที่โปรยปรายร่วงหล่นนั้น ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกหลอมละลายหายไปกลางอากาศ
นี่ช่างเป็นภาพมหัศจรรย์หาดูได้ยากอย่างหนึ่ง กลางทะเลทราย ไม่เพียงมีลมหิมะพัดเสียดกระดูก ยังมีทะเลสาบหินหนืดเดือดพล่านแห่งหนึ่ง คล้ายกับหนึ่งหยินหนึ่งหยาง ก่อเกิดหมุนเวียนวัฏจักร เติมเต็มสีสันอันเร้นลับ ณ ที่นี้
“ถึงแล้ว”
เหล่าผู้คนเผ่าสิงห์โลหิตแววตาเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ก่อนหยุดฝีเท้า
ธิดาเทพหลินหลางนำธงสีเหลืองผืนหนึ่งออกมา โบกสะบัดเพียงแผ่วเบา พลันปรากฏหมอกแสงเปล่งประกายสลับทับซ้อนผืนหนึ่งแผ่ขยายออกมา
ทันใดนั้นปรากฏการณ์เบื้องหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป พลันเห็นบนทะเลสาบหินหนืดนั่นปรากฏทางเดินตรงดิ่งสายหนึ่งเชื่อมต่อไปยังใจกลางทะเลสาบ
ณ ที่นั้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปรากฏเกาะหนึ่งแห่ง ตลบอบอวลไปด้วยปราณม่วงทองพร่ามัว พอจะมองเห็นภูเขาลูกหนึ่งรางๆ สูงตระหง่านโดดเด่นหนักแน่นมีพลังราวกับหอคอยม่วงอำพัน แผ่กระจายแสงศักดิ์สิทธิ์เร่าร้อน มองเห็นเป็นระยะๆ
ที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงที่สุดคือ บนยอดเขานั่นยังมีตำหนักหลังหนึ่ง ตัวอาคารก่อร่างสร้างขึ้นจากไม้เก่าแก่เขียวชอุ่ม หลายจุดล้วนกระดำกระด่างไหม้เกรียม คล้ายกับเคยถูกอสนีบาตฟาดผ่า แผ่กระจายกลิ่นอายลึกลับยากจะเอ่ยออกมา
“โอสถเทพในตำนานซ่อนอยู่ในนั้นรึ” สือจวิ้นกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แววตาเร่าร้อนเจือความกระสันอยากและโลภโมโทสัน
คนอื่นต่างก็ตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า พายุหิมะม้วนกลืน ทะเลสาบหินหนืดซัดสาดโหมกระหน่ำ บาทวิถีเส้นหนึ่งเชื่อมต่อตรงไปยังเกาะใจกลางทะเลสาบ ภูเขาม่วงอำพันบนเกาะสูงเด่นตั้งตระหง่าน อบอวลด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และบนยอดเขายังมีตำหนักโบราณเขียวชอุ่มหลังหนึ่ง เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เร้นลับโดดเด่น
ภาพอันน่าพิศวงเช่นนี้ทำให้ทุกคนตาเป็นมัน ต่างรู้ดีว่าที่นี่ต้องซ่อนวาสนาอันยิ่งใหญ่ไว้แน่!
เพียงแต่สถานที่นี้ก็ล่อแหลมอันตรายถึงขีดสุด แม้ยังไม่กล้ำกรายเคลื่อนใกล้ แต่ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงพลังต้องห้ามเร้นลับไหลเวียนหมุนวนในห้วงอากาศ ไม่อาจระบุแต่น่าประหวั่น
สำหรับหลินสวินซึ่งเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ เมื่อได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตนเองก็ตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม สั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น
ที่แห่งนี้ช่างเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งจริงๆ ก่อเกิดปัญจธาตุ วิวัฒน์เป็นความเร้นลับไร้สิ้นสุด ผลึกหิมะคือน้ำ หินหนืดคือไฟ บาทวิถีดั่งดิน ภูผาคือทอง ตำหนักคือไม้…
ถังขั้นยังมีพลังแห่งวาโยแฝงอยู่ในผลึกหิมะ พลังแห่งอสนีบาตคงค้างอยู่ทั่วจตุรทิศของตำหนัก!
เขาม่วงอำพันกดทับเหนือหินหนืด คือรูปแบบของ ‘เพลิงหลอมสุวรรณ’ พฤกษาข่มคีรีก็มีลักษณ์แห่งการแปรจุติ…
ประหนึ่งปรากฏการณ์แต่ละแห่ง ไม่ว่ามีรูปหรือไร้รูป ล้วนเชื่อมต่อสอดประสาน กลมกลืนกับธรรมชาติ ขานรับซึ่งกันและกัน ก่อเกิดเป็นห้วงบรรยากาศอันสมบูรณ์!
วิธีเช่นนี้เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เทียมฟ้า!
ในปีนั้นเป็นใครกันที่สร้างสิ่งต้องห้ามอั่นน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ได้
ถึงขั้นชิงศุภโชคมาจนสิ้น ลึกลับไร้ขีดจำกัด!
แต่ขณะเดียวกันไอสังหารที่แฝงอยู่ในนั้นก็ทำให้หลินสวินมือเท้าเย็นเฉียบ อาศัยความเชี่ยวชาญในด้านการสลักวิญญาณของเขาในปัจจุบัน ยังยากจะมองอานุภาพที่แท้จริงภายในนั้นออก
แค่คิดก็รู้แล้วว่า ทันทีที่ผลีผลามบุกเข้าไป ผลที่ตามมาต้องไม่อาจคาดเดาได้เป็นแน่!
“ทุกท่าน ที่นี่คือดินแดนแห่งวาสนาแห่งหนึ่งในแดนลับอสูรมารอริยะ อาจซ่อนศุภโชคยิ่งใหญ่เอาไว้ ครั้งนี้พวกเจ้าโชคดีนักที่สามารถค้นพบสถานที่แห่งนี้กับพวกเรา ตอนนี้พวกเจ้าจงเริ่มดำเนินการเถิด”
ทันใดนั้นเป้าหยาแห่งเผ่าสิงห์โลหิตเปล่งเสียงออกมา
เมื่อสิ้นเสียง บรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตพวกนั้นก็เริ่มบีบบังคับพวกหลินสวินไปเบื้องหน้า ให้พวกเขาเดินนำสำรวจเส้นทาง แต่พวกตนกลับติดตามมาเบื้องหลัง
ผู้ฝึกปราณที่ถูกจับตัวมาเหล่านั้นสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที มีโทสะและหงุดหงิดอยู่บ้าง เกือบจะหลุดปากด่ายกใหญ่ แสวงหาวาสนาด้วยกันซะที่ไหน เห็นชัดว่าให้พวกเขาเป็นเบี้ยใช้แล้วทิ้ง!
“กลัวอะไร พวกเราก็อยู่ด้านหลังพวกเจ้า หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา แน่นอนว่าต้องช่วยพวกเจ้าอยู่แล้ว” สือจวิ้นกล่าวพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
ขณะพูดเขาชี้ไปยังผู้ฝึกปราณคนหนึ่งในนั้น “เจ้า เดินเป็นคนแรก! หากไม่ทำตามจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!”
ผู้ฝึกปราณนั่นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าแปรเปลี่ยน วิงวอนร้องขอเสียงเบา “ทุกท่าน ข้าขอมอบสมบัติล้ำค่าติดตัวทั้งหมดให้ ขอแค่พวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้า…”
ฟุ่บ!
ไม่รอให้พูดจบ พลันเห็นปลายกระบี่พุ่งวาบ ศีรษะผู้ฝึกปราณคนนั้นถูกตัดขาด โลหิตกระเซ็นประหนึ่งน้ำพุพวยพุ่ง เกิดเป็นภาพนองเลือดอันน่าพรั่นพรึง
ผู้ที่ลงมือคือธิดาเทพหลินหลาง ผมสีโลหิตทั้งศีรษะของนางพลิ้วไสว บนใบหน้างามผุดผ่องฉายแววเย็นชาหยิ่งทะนง เมินเฉยจนน่าหวาดกลัว
“พวกเจ้าไม่มีทางเลือก ไม่นำไปข้างหน้าก็จงตายซะ” สายตานางกวาดมองบรรดาผู้ฝึกปราณที่ถูกจับมา ราวกับจ้องมองคนตายกลุ่มหนึ่ง
‘ผู้หญิงคนนี้เหี้ยมโหดอำมหิตดังคาด…’ ในใจหลินสวินเครียดขมึง ด้วยรู้ว่านี่คือนางมารคนหนึ่ง
ทุกคนแม้ในใจคับแค้นไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจไม่ก้มหัวยอมรับ ล้วนถูกวิธีของธิดาเทพหลินหลางขู่ขวัญ
“การฝึกปราณของพวกข้าต้องทวนกระแสน้ำขึ้นไป ไม่หวาดหวั่นอุปสรรคนานัปการ ทันทีที่ประสบภยันตรายก็กลัวกันหัวหด จากนี้จะประสบความความสำเร็จอะไรได้”
เป้าหยาเอ่ยพูดเรียบๆ “นี่คือโชควาสนาอย่างหนึ่ง พวกเจ้าต้องคว้าโอกาสไว้ให้ได้! อย่าทำให้ความเหนื่อยยากของพวกข้าเสียเปล่า”
ผู้ฝึกปราณสิบกว่าคนต่างเงียบสนิท ในใจด่าออกมายกใหญ่ ไอ้แก่นี่ช่างหน้าด้านใจทมิฬ เห็นชัดว่าส่งพวกเขาไปตาย ก็ยังดันทุรังพูดจาทรงเกียรติสง่าผ่าเผย น่าแค้นใจถึงที่สุด
แต่ว่าสถานการณ์บีบบังคับ พวกเขาได้แต่ยอมจำนน
ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาถูกข่มขู่ให้นำทางไปข้างหน้า ก้าวย่ำไปบนทางเหนือทะเลสาบหินหนืดสายนั้น มุ่งสู่เส้นทางลึกลับที่ทอดสู่เกาะใจกลางทะเลสาบ
……………………..
ตอนที่ 554 ระฆังสำริดสีเลือด
โดย
ProjectZyphon
ทะเลสาบหินหนืดเดือดคลั่ง เกิดคลื่นไฟแผดเผาอันน่าสะพรึงปะทุใส่อากาศ
เส้นทางที่นำไปสู่เกาะกลางทะเลสาบกว้างเพียงสี่ฉื่อ ยาวร้อยจั้ง ตรงเหมือนไม้บรรทัด ไม่กลัวหินหนืดหลอมละลาย
ฮูม!
ทันทีที่เขาก้าวเท้าไปบนทางสายนี้ อากาศพลันแผ่คลื่นผนึกต้องห้ามอันน่าพรั่นพรึงออกมาทันที ภาพรอยสลักวิญญาณแน่นขนัดบินว่อน แสงประกายวาบวาวน่ากลัว
“อ๊าก…”
ผู้ฝึกปราณที่เป็นผู้นำเพิ่งก้าวขึ้นไปบนทางเส้นนี้ ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกคมดาบตัดขาด จู่ๆ ก็ระเบิดแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นฝนเลือดร่วงลงสู่พื้น
นี่ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปฉับพลัน ความหนาวเย็นพวยพุ่งในใจ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เพิ่งจะก้าวไปได้ก้าวเดียว ก็มีคนประสบเคราะห์แล้ว น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
“ผู้อาวุโส ที่แห่งนี้คือสถานที่มรณะ ไปแล้วไม่สามารถกลับมาได้อีกนะ!” มีคนเว้าวอนสีหน้าขาวซีด คำนับคารวะไม่หยุด ขอร้องให้ปล่อยเขาไป
ในเวลานี้เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตอย่างพวกสือจวิ้น เป้าหยาและธิดาเทพหลินหลางต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ตกใจกับผนึกต้องห้ามของสถานที่แห่งนี้
เพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็สังหารไปหนึ่งคนแล้ว ใครจะกล้าจินตนาการเล่า
ธิดาเทพหลินหลางก้าวออกมาข้างหน้า ในมือถือธงเหลือง นัยน์ตาเย็นเยียบเปล่งประกายแวววาว มองไปเบื้องหน้าราวกับกำลังอนุมานอะไรบางอย่าง
ครู่หนึ่งนางจึงชี้นิ้วไปที่ผู้ฝึกปราณคนที่อ้อนวอนพร้อมพูดว่า “เจ้า ก้าวขึ้นซ้ายไปห้าก้าว ยืนบนตำแหน่งตะวันตกเฉียงใต้ แล้วเดินไปข้างหน้าอีกสามก้าว”
ผู้ฝึกปราณคนนั้นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไป สุดท้ายก็กัดฟันเดินหน้าสำรวจทางตามคำชี้แนะของธิดาเทพหลินหลาง
ตามคาด ครั้งนี้เขาไม่ได้ประสบเคราะห์
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตลอบโล่งอก ตราบใดที่ผนึกต้องห้ามนี้ยังไม่ถูกทำลาย แม้พวกเขาจะจับผู้ฝึกปราณมากมายเพียงใดไปสำรวจทางก็ไร้ประโยชน์
โชคดีที่ธิดาเทพหลินหลางพอจะอนุมานทางรอดได้บ้าง ทำให้พวกเขามีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้งและมุ่งมั่นจะคว้าวาสนาบนเกาะกลางทะเลสาบ
หลินสวินคอยสังเกตอย่างเงียบๆ เมื่อเขาเห็นธิดาเทพหลินหลางแนะนำเส้นทาง ก็อดจะประหลาดใจไม่ได้ ตระหนักได้ว่านางมารคนนี้ก็มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การสลักวิญญาณอย่างลึกซึ้ง
“ก้าวไปทางขวาหนึ่งก้าว ยืนในตำแหน่งตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก้าวเดินไปทางตะวันตก” ธิดาเทพหลินหลางชี้แนะต่อ
ผู้ฝึกปราณคนนั้นฝืนทำตามคำสั่ง
ฟุ่บ!
แต่แล้วพอผู้ฝึกปราณทำตามจนเสร็จ ร่างกายของเขาเพิ่งจะหยุดบนตำแหน่งนั้น ทั้งร่างกายาก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟอันน่าสะพรึง กลายเป็นขี้เถ้าทันทีโดยไม่มีแม้แต่โอกาสกรีดร้องด้วยซ้ำ!
เร็วเกินไปแล้ว!
เปลวไฟนั่นราวกับโปร่งใส เผด็จการหาที่เปรียบ ประหนึ่งเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเผาผลาญสรรพสิ่งได้
ผู้ฝึกปราณคนนั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับหยั่งสัจจะ ทว่ายังไม่ทันได้ตอบสนองก็ประสบเคราะห์กลายเป็นขี้เถ้าไป ภาพนั้นชวนให้หนังหัวชาวาบ เหงื่อเย็นซึมไปทั้งตัว
สุดท้ายมีคนรับความกดดันเช่นนี้ไม่ไหว พลันหมุนตัวจะวิ่งหนีห่างออกไปอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ตะเบ็งเสียงว่า “ข้าไม่ไปตาย! ไม่ไป!”
“ไม่ไปก็ตาย!”
เป้าหยาส่งเสียงหัวเราะเหี้ยมโหด ชักทวนสีเลือดเล่มหนึ่งออกมาโบก เสียงฟุ่บดังขึ้นคราหนึ่งก็ตัดหัวคนผู้นั้นลง ละอองเลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้นดิน
ฉากนองเลือดนี้ทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง นี่คือการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อขู่และบีบบังคับพวกเขา ใครกล้าไม่ทำตาม นี่ก็คือจุดจบ!
“หึ ล้มเหลวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็กลัวจนไม่กล้าเดินหน้าต่อแล้ว ในอนาคตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร รีบตายไปซะยังดีกว่า”
เป้าหยาส่งเสียงอย่างเย็นชา ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นโกรธถึงขีดสุด เจ้าหมอนี่ช่างไร้ยางอายและโหดร้ายเกินไปแล้ว น่าชิงชังอย่างที่สุด
“สหายท่านนี้ ตาเจ้าแล้ว ไป ขึ้นไปฟังคำชี้แนะของธิดาเทพ!” เป้าหยาชี้ไปที่ผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง
คนผู้นั้นหน้าขาวซีด อยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้า
ในที่สุดสีหน้าของเขาดูไร้ความรู้สึก ก้าวไปข้างหน้า ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ก็จะถูกฆ่าทันที อย่างไรก็มีแต่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ลองสู้ดูสักตั้ง
เพียงแต่ถึงจะมีคำชี้แนะของธิดาเทพหลินหลาง สุดท้ายเขาก็ล้มลงอย่างไร้เสียง ถูกลำแสงไร้รูปตัดหัว นอนจมกองเลือดและระเหยหายไปในทันที
ทุกคนขนพองสยองเกล้า นี่คือหนทางสู่ดินแดนแห่งวาสนาซะที่ไหน เป็นทางมรณะที่กลืนกินชีวิตต่างหาก!
แม้แต่ธิดาเทพหลินหลานยังมีสีหน้าเคร่งขรึม ภายในนัยน์ตาวับวาวด้วยแสงเย็นเยียบน่ากลัว ดำเนินการอนุมานอย่างสุดความสามารถ
“ข้าจะสู้กับพวกเจ้า!” จู่ๆ ก็มีคนตะเบ็งเสียงขึ้นมา โจมตีอย่างอุกอาจ พุ่งสังหารไปทางสือจวิ้นที่อยู่ใกล้ที่สุด
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฟุ่บ เขาพลันถูกเป้าหยาสะบัดทวนฟันเอวจนร่างขาดเป็นสองท่อน ตายคาที่พร้อมความเคียดแค้น
“แมลงเม่าบินเข้ากองไฟหรือ น่าขัน!” เป้าหยาดูถูก
ทุกคนต่างโกรธมาก สีหน้าเขียวคล้ำกำหมัดแน่น ในใจอัดอั้นอย่างที่สุด ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเห็นพวกเขาเป็นเบี้ย ไม่สนความเป็นความตายของพวกเขา โหดเหี้ยมเย็นชาอย่างที่สุด
หลินสวินเงียบมาโดยตลอด ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเองก็กำลังสอดส่องและอนุมานพลังผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมที่แห่งนี้อยู่เช่นกัน
“ธิดาเทพ เวลากระชั้นชิด จะยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่สู้…ใช้สมบัติลับของเผ่าเปิดทางเล่า” ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งเอ่ยอย่างกังวล
ธิดาเทพหลินหลางขมวดคิ้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ “สมบัติลับชิ้นนั้นจะเอามาใช้ง่ายๆ ไม่ได้ ให้เวลาข้าอีกหน่อย”
สมบัติลับหรือ?
เหล่าผู้ฝึกปราณที่ถูกจับตัวมาลอบก่นด่าในใจ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเหล่านี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว พกสมบัติลับมาด้วยแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมเอาออกมาใช้ แต่จะเอาชีวิตของพวกเขาไปสำรวจทาง น่าชิงชังจริงๆ!
“เจ้าหนู เจ้าเตรียมตัว อีกเดี๋ยวก็ถึงตาเจ้าลงมือแล้ว”
เป้าหยากวาดสายตาไปหยุดที่หลินสวินแล้วสั่งเสียงเย็น
ดวงตาดำขลับของหลินสวินหรี่ลง สุดท้ายก็รับคำ
เพียงแต่ในเวลานี้จู่ๆ สือจวิ้นก็เดินเข้ามา พูดอย่างเย้ยหยัน “ก่อนลงมือ ส่งธนูในมือเจ้ามาก่อน ข้าจะช่วยเก็บไว้ให้เจ้า”
เห็นได้ชัดว่าเขายังคงอาลัยอาวรณ์ ‘ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’ ของหลินสวิน กลัวว่าถ้าหลินสวินประสบเคราะห์ ธนูนี้จะหายไปด้วย จึงชิงสร้างความลำบากใจให้หลินสวินก่อน!
หลินสวินเหลือบตามองสือจวิ้น แววตาไร้ซึ่งความรู้สึก
แต่สายตานี้ทำให้สือจวิ้นเย็นวาบในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกอึดอัดพิกล สีหน้าเขาพลันมืดทะมึนกล่าวเสียงเคร่ง “ยังไม่รีบส่งมา หรือต้องให้ข้าลงมือเอง”
เคร้ง! ดาบแหลมกระดูกขาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ไอสังหารพันรอบ สายตาเมื่อครู่นี้ของหลินสวินทำให้เขาอึดอัดมาก ในใจร้อนรนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ต้องการจะฆ่าหลินสวินในทันที
“แย่แล้ว มีคนมา!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตะโกนก้อง พลันทำให้พวกธิดาเทพหลินหลาง สือจวิ้น เป้าหยาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ก็เห็นว่าในทะเลทรายที่ห่างไปไกลมีวงแสงงดงามปรากฏ กำลังเคลื่อนมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันเข้าสู่แดนแห่งวาสนาบนเกาะกลางทะเลสาบก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้แล้ว มีศัตรูเข้ามาแย่งชิงแข่งขัน ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตร้อนรนไม่น้อย
แม้แต่สือจวิ้นยังไม่สนใจจะเล่นงานหลินสวินแล้ว มีศัตรูภายนอกเข้ามา นี่เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาช่วงชิงต้นกล้าของ ‘รุกขทรัพย์วิญญาณทอง’ ก็ถูกบุตรเทพอวี่เซียวเซิงแห่งเผ่าวาฬมังกรแอบแย่งชิงไป พวกเขาไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“ช่างเถอะ เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน!”
ธิดาเทพหลินหลางพลันกัดฟันโบกมือออกมา ระฆังสำริดสีเลือดใบหนึ่งปรากฏขึ้น ลึกล้ำเก่าแก่ แผ่ท่วงทำนองมรรคน่าประหวั่นออกมา
เสียงวู้มดังขึ้นคราหนึ่ง ระฆังสำริดสั่นสะท้าน คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่นลายมรรคอันลึกลับ แผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
“ไป!”
ในเวลาเดียวกันนั้นธิดาเทพหลินหลางก็ควบคุมระฆังสำริดสีเลือด ให้มันปกคลุมทุกคนเอาไว้ แล้วพุ่งไปที่เกาะกลางทะเลสาบ
ครืน โครม โครม!
บนทางเดิน ผนึกต้องห้ามน่าสะพรึงตื่นจากการหลับใหล ปรากฏสัญลักษณ์ลายลับไม่มีที่สิ้นสุด แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้า เปลวเพลิง ลำแสง พายุและปรากฏการณ์ประหลาดน่าหวาดหวั่นมากมายเข้าสกัดกั้น
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าระฆังสำริดสีเลือดนั่นเป็นสมบัติที่ลึกลับน่าพรั่นพรึง มันส่งเสียงธรรมกังวานทรงพลัง ทำลายสรรพสิ่ง สลายพลังต้องห้ามทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าวิเศษลี้ลับและไร้เทียมทาน
ระยะทางร้อยจั้งหายไปในชั่วพริบตา
ไม่นานทุกคนก็ไปถึงเกาะกลางทะเลสาบอย่างปลอดภัย
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตต่างยิ้มแย้มยินดี ถอนหายใจยาว แต่สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกปราณที่ถูกจับมากลับดูแย่มาก
ระฆังสำริดสีเลือดใบนี้แข็งแกร่งเพียงนี้ สามารถพุ่งผ่านเส้นทางนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตกลับไม่ยอมใช้ เอาชีวิตของพวกเขาไปสำรวจเส้นทาง ช่างต่ำช้านัก!
มีเพียงหลินสวินที่ดูนิ่งสงบไม่น้อย เขาคิดอยู่แล้วว่า ในเมื่อเผ่าสิงห์โลหิตหมายตาสถานที่แห่งนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเตรียมตัว
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า ระฆังสำริดสีเลือดที่ธิดาเทพหลินหลางเอาออกมาจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ทำลายได้แม้แต่ผนึกต้องห้ามน่ากลัวนั่น เป็นสมบัติลับที่เหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!
“น่าชังนัก!”
แม้ว่าจะมาถึงเกาะกลางทะเลสาบอย่างราบรื่นแล้ว แต่สีหน้าของธิดาเทพหลินหลางกลับเย็นชาน่าหวาดกลัว ใบหน้างดงามซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าการใช้ระฆังสำริดสีเลือดเมื่อครู่นี้ทำให้นางเสียแรงไปมาก
ตอนนี้สายตาของนางมองไปที่ฝั่งทะเลสาบซึ่งอยู่ห่างออกไป ก็พลันเห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งมาถึงตรงนั้น ผู้เป็นหัวหน้าคือคนหนุ่มในชุดคลุมหยก คิ้วดาบดวงตาดารา ท่าทางองอาจน่าเกรงขามยิ่ง
“อวี่เซียวเซิง เจ้าอีกแล้ว!”
เพียงมองเห็น ธิดาเทพหลินหลางก็จำอีกฝ่ายได้แล้ว เป็นบุตรเทพของเผ่าวาฬมังกร ก่อนหน้านี้ตอนแย่งชิงต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทอง นางก็ถูกอีกฝ่ายลอบจู่โจม ไม่เพียงได้รับบาดเจ็บ แม้แต่รุกขทรัพย์วิญญาณทองก็ถูกชิงไปด้วย
ตอนนี้เจ้าหมอนี่นำผู้แข็งแกร่งในเผ่ามาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าจงใจจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ[1]อีกแล้ว!
“ฮ่าๆๆ เกาะอริยะปัญจธาตุ! นี่คือสถานที่แห่งมหาวาสนาในแดนลับอสูรมารอริยะ ตำนานเล่ากันว่าโอสถเทพต้นหนึ่งซ่อนอยู่ในนี้ ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องหลินหลาง มิฉะนั้นคงหาที่นี่ไม่เจอ”
หน้าทะเลสาบอวี่เซียวเซิงหัวเราะลั่น น้ำเสียงเบิกบาน หากคนไม่รู้เรื่องราวคงนึกว่าเขากับธิดาเทพหลินหลางเป็นสหายที่สนิทกัน
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเหล่านั้นสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมา ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อพบศัตรูยิ่งพาให้เดือดดาล
“ไม่ต้องสนใจเขา เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องขึ้นไปบนภูเขาเทพม่วงอำพัน ชิงวาสนาในตำหนักนั่นก่อน!”
ธิดาเทพหลินหลางสูดหายใจเข้าลึกๆ สายตามองไปยังยอดเขาที่เต็มไปด้วยไอสีทองม่วง
“ธิดาเทพ ข้าไปกับท่าน”
สือจวิ้นรีบพูดพลางเช็ดมือถูหมัด
“ไม่ พวกเจ้าอยู่ที่นี่ รอรับคำสั่งจากข้า บนนั้นมีเคราะห์สังหารมากมาย ยิ่งคนขึ้นไปมาก อันตรายที่จะประสบก็ยิ่งรุนแรง”
ธิดาเทพหลินหลางรีบพูด
แม้สือจวิ้นจะไม่จำยอม แต่ก็ต้องยอมรับ จู่ๆ สายตาของเขาก็มองไปที่พวกหลินสวินแล้วกล่าวว่า “จะเอาอย่างไรกับคนพวกนี้”
เห็นได้ชัดว่าธิดาเทพหลินหลางไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องเล็กแบบนี้ พูดตรงไปตรงมาว่า “แล้วแต่พวกเจ้าจะจัดการ แค่ไม่ปล่อยให้รอดไปได้ก็พอแล้ว”
ในขณะที่พูดร่างของนางก็แวบหายราวกับแสงรุ้ง เคลื่อนตัวขึ้นไปบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยไอสีทองม่วงนั่น
ส่วนสายตาของสือจวิ้นกลับมองมายังพวกหลินสวินอย่างเหี้ยมโหด…
——
[1] ตีชิงตามไฟ หมายถึง การฉกฉวยโอกาส หาประโยชน์ยามผู้อื่นอ่อนแอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น