Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 548-549
ตอนที่ 548 ฝันท่องบรรพกาล
โดย
ProjectZyphon
“เจ้า…จะหน้าไม่อายไปแล้วกระมัง ข้าไม่เคยเห็นคนถ่อยแบบเจ้าเลย!” จินตู๋อีโกรธเคืองจนตัวสั่นระริก ด่าทอยกใหญ่
เขาโมโหมากจริงๆ เดิมทีถูกหลินสวินใช้แสงมรรคทองนิลกาฬฟาดก็ทำให้ตนคับข้องใจมากจนต้องก้มหัวให้
จะคิดได้อย่างไรว่าต่อให้เขาพูดทุกอย่างโดยดี เด็กหนุ่มก็ยังไม่คิดจะปล่อยตนไป นี่ทำให้เขาทนไม่ไหวในทันที
“ปล่อยเจ้าไปตอนนี้ เกิดเจ้าแพร่งพรายเรื่องเจดีย์สมบัติของข้าจะทำอย่างไร”
ไม่ทันที่จินตู๋อีเอ่ยปาก หลินสวินก็พูดต่อว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าไม่ได้ต้องการออกจากสุสานสมุทรฝังมรรคหรอกหรือ รอเมื่อข้าออกไปก็จะพาเจ้าไปด้วย ถือเสียว่าเป็นการชดเชยให้เจ้าแล้ว”
“เจ้าคนหน้าด้าน!” จินตู๋อีร้องเสียงดังอย่างไม่พอใจถึงที่สุด
“อย่าเพิ่งด่าสิ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าอยากจะติดอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตหรือ” หลินสวินยิ้มถาม
“หน้าด้าน! ใจดำ! ข้าดันเชื่อคำพูดเฮงซวยของเจ้าเมื่อครู่ ช่างหลอกข้าได้!” จินตู๋อียังด่าทอไม่หยุดหย่อนเหมือนเดิม
หลินสวินไม่โมโห สายตากวาดไปยังท่อนล่างของจินตู๋อี พลันพูดขึ้นว่า “เจ้าคางคก ขาที่สามของเจ้าล่ะ คงไม่ได้…ซ่อนอยู่ตรงนั้นกระมัง”
สายตาของเขามองไปยังเป้าของจินตู๋อี สีหน้าล้อเลียนร้ายกาจ
ใบหน้าหล่อเหล่าของจินตู๋อีแดงซ่านอย่างหาใดเทียบ มือทั้งสองข้างกุมเป้าไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ท่าทางทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย คลุ้มคลั่งหาใดเทียบ
เขากัดฟันกรอด คำรามเสียงดังราวฟ้าผ่า “เจ้าๆๆ…สารเลว! วิปลาส! ไร้ยางอาย! หากข้าออกไปได้ จะแล่เนื้อเจ้าให้หมากิน!”
หลินสวินหัวเราะร่าพูดว่า “เจ้าคางคก รู้จักเวล่ำเวลาถึงจะเป็นยอดบุรุษ เจ้าก็สงบใจลงตรงนี้เสียหน่อย รอคิดได้เมื่อไรพวกเราค่อยมาคุยกันดีๆ”
หลินสวินพูดจบก็ไม่สนใจว่าจินตู๋อีจะว่าร้ายอย่างไร เก็บเจดีย์สมบัติไร้อักษรลงไปทั้งอย่างนั้น
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ภายหลังหากไม่ใช่ยามจำเป็น จะไม่เปิดเผยสมบัติลับนี้เด็ดขาด!
ดาบหักยังดี ขอเพียงไม่ปรากฏลายมรรคลึกลับเหล่านั้น ก็เป็นเพียงดาบหักร้ายกาจน่าตื่นตายิ่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางดึงดูดความสนใจมากมายนัก
แต่เจดีย์สมบัติไร้อักษรนี้ไม่เหมือนกัน ทั้งเรือนหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค เกิดถูกเห็นเข้าต้องชักนำเภทภัยที่ไม่อาจคาดคะเนได้แน่
ฮูม!
ในห้องปรากฏลูกไฟส่องสว่างเจิดจ้าไหลหลั่งไปด้วยท่วงทำนองมรรคสิบกว่าลูก
นี่เป็นเศษเสี้ยวเจตจำนง มีทั้งหมดสิบสองชิ้น เป็นสิ่งที่ขู่เข็ญช่วงชิงกลับมาจากปากของจินตู๋อี
ในเศษเสี้ยวเจตจำนงทุกชิ้นล้วนบรรจุประสบการณ์การฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลไว้ แม้คลุมเครือและไม่สมบูรณ์ แต่มูลค่าเหลือคณา ไม่มีทางหาได้ในโลกภายนอก!
เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอย่างเซียวหรัน จ้าวจิ่งเซวียน ต่างได้เศษเสี้ยวเจตจำนงมาเพียงสองสามชิ้นเท่านั้น
พูดได้ว่า หากถกกันว่าในการต่อสู้กับวิญญาณอาฆาตครั้งนี้ใครได้ของไปมากที่สุด นอกจากผู้เฒ่าเกาหยางแล้ว ย่อมเป็นหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!
ฟู่!
หลินสวินพ่นลมหายใจออกยาวๆ สลัดความคิดวุ่นวายในสมอง แล้วนำเศษเสี้ยวเจตจำนงขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็นำที่เหลือทั้งหมดผนึกและเก็บไว้
ต่อมาเขานั่งขัดสมาธิ แผ่จิตรับรู้ นำเศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นนั้นม้วนเข้าไปในห้วงนิมิต เริ่มสงบใจหยั่งรู้
เศษเสี้ยวเจตจำนงที่ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลาทว่าไม่หายไป แม้คลุมเครือไม่สมบูรณ์ แต่ภายในกลับมีการหยั่งถึงและประสบการณ์การฝึกปราณของผู้แข็งแกร่ง!
ขอเพียงหยั่งรู้และทำความเข้าใจมัน ไม่แน่ว่าอาจมองทะลุได้ถึงหนทางฝึกปราณของยุคบรรพกาลได้ ต้องเกื้อหนุนการฝึกปราณในภายหลังแน่
……
ทะเลกลืนวิญญาณเงียบสงัด ไอหมอกขมุกขมัวอบอวลไปตามทาง บรรยากาศประหลาดน่าหวาดหวั่น
ห้องของซูซิงเฟิง บนยานสำเภา
“ศิษย์พี่ซู คิดว่าท่านก็ต้องดูออกว่าผู้ติดตามข้างกายศิษย์พี่จ้าวนั่นไม่ธรรมดา”
เหวินเสียงในชุดหลากสีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์นุ่มนิ่มน่าฟัง เหมือนเด็กน้อยที่ร่าเริงน่ารักคนหนึ่ง แต่ดวงตาเวลานี้กลับดูลุ่มลึก
“เจ้ามาหาข้าก็เพราะอยากพูดเรื่องนี้หรือ”
ซูซิงเฟิงในชุดแดงทั้งตัวนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแทบเรียกได้ว่าสวยงดงามเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เหอะๆ ศิษย์พี่ซู พวกเราไม่ต้องมาปิดบังกันหรอก บนยานสำเภาลำนี้ใครไม่รู้บ้างว่าท่าน ‘ตั้งแง่’ กับหลินเสวียนผู้นั้นอยู่”
เหวินเสียงหัวเราะเอื่อยแล้วพูดว่า “ท่านอย่าพูดเชียวว่าเพียงเพราะเล่นงานผู้ติดตามของท่าน ถึงทำให้ท่านเกลียดเจ้าคนนี้”
ซูซิงเฟิงนิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า “แล้วเจ้าว่าข้าทำเพราะอะไร”
เหวินเสียงสีหน้าเคร่งเครียดสื่อจิตว่า ‘ศิษย์พี่ซู มาถึงตอนนี้แล้วจะต้องปกปิดทำไม ว่ากันตามจริงข้าก็สนใจสมบัติในมือเจ้าเด็กนั่นเหมือนกับท่าน!’
เหวินเสียงยิ้มบางๆ ‘หากข้าเดาไม่ผิด เจดีย์สมบัติในมือหลินเสวียนผู้นั้นไม่ธรรมดา น่าจะหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค ตัวเรือนราวกระจก สำแดงสีทองเจิดจ้า กลิ่นอายพิเศษเช่นนั้นทำของปลอมไม่ได้แน่!’
ประกายในตาซูซิงเฟิงไหวเคลื่อน จมอยู่ในความเงียบงัน
เหวินเสียงเอ่ยต่อว่า ‘เหล็กเทพศุภโชคเชียวนะ สมบัติล้ำค่าหายากชั้นนี้ แม้อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณก็ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนน้ำลายหก ก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตไม่อาจคาดได้ ใครจะไปคิดว่าในมือข้ารับใช้จากโลกชั้นล่างคนหนึ่งจะมีสมบัติล้ำค่าระดับนี้ได้ ช่างน่าอัศจรรย์ไปแล้ว’
เวลานี้ในที่สุดซูซิงเฟิงก็ไม่ปิดปากเงียบอีกต่อไป ดางตากวาดมองไปยังเหวินเสียงแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้า…คิดจะลงมือกับเจ้าเด็กนั่นหรือ’
เหวินเสียงหัวเราะคิกคักกล่าวว่า ‘ข้าต้องอยากทำแน่ เพียงแต่กังวลว่าศิษย์พี่ซูจะไม่ตกลง’
‘หึ!’
ซูซิงเฟิงส่งเสียงหึหยัน สีหน้าเรียบเฉย ‘เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าสนใจสมบัติชิ้นนี้จริง แต่ยังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเหล็กเทพศุภโชคจริงหรือไม่กันแน่’
พูดถึงตรงนี้มุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างดูถูก ‘อีกทั้ง เจ้าคิดว่านอกจากข้าก็ไม่มีใครติดใจสมบัตินี้แล้วหรือ’
คนอื่นหรือ
เหวินเสียงอึ้งไป นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย พลันหัวเราะและตอบกลับไปว่า ‘ดังนั้น ข้าถึงได้มาปรึกษาศิษย์พี่ซูดูสักหน่อยว่าเรื่องนี้จะสะสางอย่างไรดี’
‘ข้าบอกเจ้าได้ว่า เซียวหรันกับอวิ๋นเช่อต้องสังเกตเห็น ส่วนศิษย์น้องกงหยางอวี่ เขาอาจจะดูความลึกลับออก แต่ด้วยนิสัยเขา ต้องไม่มาแย่งชิงกับพวกเราแน่’
ซูซิงเฟิงน้ำเสียงเนิบนาบ ‘ดังนั้นความคิดที่เจ้าหมายจะแย่งสมบัตินี้มา ไม่แน่ว่ายังต้องไปถามเซียวหรันกับอวิ๋นเช่อ’
‘ศิษย์พี่เซียวหรันเขา…’ เหวินเสียงตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อพูดถึงเซียวหรัน ดวงตาของซูซิงเฟิงก็ฉายแววหวั่นกลัววูบหนึ่ง จากนั้นพลันยิ้มเหี้ยม ‘ทำไม หรือเจ้าคิดว่าเซียวหรันเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินธรรมดาผู้หนึ่งจริงหรือ หากไม่มีฝีมือกับเล่ห์เหลี่ยมแล้วล่ะก็ เขาจะมีตำแหน่งอย่างวันนี้ได้หรือ’
เหวินเสียงอึ้งไป สายตาไหววูบกล่าวว่า ‘พูดเช่นนี้ ศิษย์พี่เซียวหรันก็มีความคิดอยากเล่นงานคนผู้นี้ด้วยหรือ’
ซูซิงเฟิงสีหน้าราบเรียบกล่าว ‘ไม่ได้อยาก แต่ต้องทำแน่! ในหมู่ศิษย์อย่างพวกเรา เซียวหรันเป็นคนเดียวที่ข้ามองไม่ออก ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งคาดเดาได้ยาก’
‘เช่นนั้นไม่ทราบว่าศิษย์พี่ซูคิดจะทำเช่นไร’ เหวินเสียงพลันถามขึ้น
‘รอเข้าไปในแดนลับอสูรมารอริยะแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียเขาก็หนีไปไหนไม่ได้ ที่พวกเราต้องคิดก็คือ จะผ่านด่านเซียวหรันกับอวิ๋นเช่อไปได้อย่างไร’
ซูซิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
‘พวกเราหรือ’ เหวินเสียงพลันหัวเราะขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าพูดว่า ‘เช่นนั้นก็ขออวยพรล่วงหน้าให้พวกเราร่วมมือกันอย่างสนุกสนานก็แล้วกัน’
‘ศิษย์น้องเหวินเสียง ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนเจ้าไม่เคยเห็นเหล็กเทพศุภโชคเลย เหตุใดตอนนี้ถึงแน่ใจได้ล่ะว่าเจดีย์สมบัติในมือเจ้าหนูนั่นหลอมจากวัสดุนี้’
ฉับพลันซูซิงเฟิงก็ถามขึ้น สายตาราวสายฟ้าจ้องเขม็งไปที่เหวินเสียง
‘ก็…’
เหวินเสียงกำลังจะพูดออกมา แต่พลันสำนึกได้ว่าไม่เหมาะจึงหัวเราะเคอะเขินพูดขึ้นทันใด ‘ศิษย์พี่ซู ข้าต้องเก็บเป็นความลับ แต่ท่านวางใจได้ นี่จะไม่กระทบการร่วมมือของเราแน่’
ซูซิงเฟิงไม่แสดงสีหน้า เพียงแค่ร้องอ้อ
……
หลายวันผ่านไปในชั่วพริบตา มีผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ ระหว่างทางน่าหวาดหวั่นแต่ไม่มีอันตราย ไม่เกิดเรื่องเสี่ยงภัยหนักหน่วงอีก
แต่การต่อสู้และเหตุล่อแหลมประปรายก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้
ในน่านน้ำนี้ประหลาดนัก ไม่เพียงมีวิญญาณอาฆาตซุกซ่อนอยู่ ยังมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอื่นอีก บ้างแปรสภาพมาจากซากศพ บ้างพุ่งออกมาจากก้นทะเล บ้างถึงกับจำแลงมาจากเมฆหมอกสายฟ้า!
แต่ล้วนไม่ถึงกับอันตรายมากมาย ถูกผู้เฒ่าเกาหยางสังหารราบเพียงผู้เดียว
กระทั่งหลังยานสำเภาข้ามเกาะกลางทะเลที่สร้างจากกองกระดูกขาวนับไม่ถ้วน ผู้เฒ่าเกาหยางก็บอกข่าวน่าตื่นเต้นกับทุกคนว่า…ไม่เกินสามวันก็จะถึงทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะแล้ว!
ยามค่ำ
หลินสวินฟื้นจากการเข้าฌาน สีหน้าเหม่อลอย
เศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นแรกถูกเขาหลอมไปแล้ว เพียงแต่…ในใจเขากลับยังหลงเหลือภาพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความรู้สึกของเขาได้รับผลกระทบ
หลายวันนี้หลินสวินเหมือนฝันถึงสิ่งงดงามนองเลือด
ตัวเขาในฝันแปรสภาพเป็นผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง
เดินทางไกล ฝึกปราณ ต่อสู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้เห็นมหานครโบราณที่ใหญ่โตแข็งแกร่ง ข้ามผ่านทะเลทรายที่มีสรรพสิ่งไร้ที่สิ้นสุด ปีนภูเขาเทพที่ยื่นเข้าไปในเก้าชั้นฟ้า กระทั่งได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดอย่างดวงตะวันโชติช่วงสิบดวงลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน!
ทั้งได้พบศัตรูน่ากลัวนับไม่ถ้วน มารอสูรเดินพาดผ่าน สัตว์อสูรกำเริบเสิบสาน หมื่นเผ่าอยู่ร่วมกัน มีพลังมหามรรคที่แตกต่างกัน ทรงพลังในใต้หล้า คำรามสะท้านฟ้าดิน ดำเนินมหาสงครามสะท้านโลกา ก่อให้เกิดเคราะห์ภัยมากมายไม่รู้เท่าไร
ประสบการณ์เหล่านี้ราวกับเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ทำให้หลินสวินเกือบหลงอยู่ในนั้น ลืมว่าตนเป็นใครกันแน่
โชคดีที่ประสบการณ์เหล่านี้ไม่สมบูรณ์และคลุมเครือ ไม่ปะติดปะต่อ เหมือนพบเข้ากับช่วงชีวิตส่วนหนึ่ง การรับรู้ของหลินสวินจึงไม่ถึงกับจ่อมจม
“ยุคบรรพกาล…ที่แท้ก็น่ากลัวปานนั้น…”
หลินสวินทอดถอนใจเบาๆ ประสบการณ์ที่หลอมจากเศษเสี้ยวเจตจำนงครั้งนี้หายากยิ่งนัก ทำให้เขาได้เห็นสภาพมุมหนึ่งของยุคบรรพกาล ได้สัมผัสกับความรุ่งเรืองและน่าหวาดหวั่นของอารยธรรมโบราณ
การได้พบได้เห็นเช่นนี้ ตอนนี้แปรสภาพเป็นสำนึกและประสบการณ์ล้ำค่า หลอมรวมเป็นการฝึกปราณของตน แม้ไม่ได้ยกระดับการฝึกปราณอะไร แต่การตกตะกอนประสบการณ์เช่นนี้กลับทำให้หลินสวินมีความรับรู้ต่อพลัง การฝึกปราณ และการฝึกยุทธ์ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
วู้ม!
ทันใดนั้น ท่ามกลางความมืดมิดในห้องพลันเกิดคลื่นพลังที่เล็กละเอียดยิ่งคลื่นหนึ่ง แทบจะเวลาเดียวกัน รังสีเย็นเยียบก็ปรากฏ แทงตรงมาที่ศีรษะของหลินสวินจากข้างหลัง!
รวดเร็วและกะทันหันเกินไปแล้ว!
ทุกห้องในยานสำเภาลำนี้ล้วนปกคลุมด้วยรอยสลักลึกลับ ทั้งมีผู้แข็งแกร่งระดับผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ ใครจะไปคาดคิดได้ว่าจะมีคนแทรกซึมเข้ามาในห้องหลินสวินอย่างเงียบเชียบ แล้วลงมือลอบสังหารในทันใดเช่นนี้
ตึง!
ในชั่วขณะเฉียดอันตรายนั้น คอของหลินสวินก็บิดไปอีกทางอย่างประหลาด พร้อมปล่อยหมัดโต้กลับกระแทกใส่รังสีเย็นเยียบนั้นในเวลาเดียวกัน
แต่รังสีเย็นเยียบนั้นยังทิ้งรอยแผลน่ากลัวไว้รอยหนึ่งบนคอของเขา เลือดสดไหลริน!
——
ตอนที่ 549 ปริศนามือสังหาร
โดย
ProjectZyphon
ชิ้ง!
รังสีเย็นเยียบบังเกิดขึ้นทันใดแล้วแปรสภาพเป็นจิตกระบี่ ฝ่ายหลังเป็นเงาร่างราวไร้รูป ประหนึ่งเงามืดที่ไม่มีจริง
เร็วเกินไปแล้วจริงๆ จิตกระบี่นี้พุ่งเข้ามาใกล้อีกครั้ง จู่โจมตรงไปยังศีรษะหลินสวิน เหมือนโผล่ขึ้นกลางอากาศ เปลี่ยนแปลงฉับพลันเกินคาดคิด
การโจมตีนี้เรียกได้ว่าเป็นการจู่โจมที่น่าตื่นตะลึง จิตกระบี่ก็ดุดันน่ากลัว หมายจะโจมตีให้โดนในครั้งเดียว หากถูกแทงเข้าย่อมทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณสูญสิ้น ไม่มีทางฟื้นคืนชีวิตมาได้อีก
ชิ้ง!
เวลาดุจเคลื่อนช้าลง จิตกระบี่นั้นยังไม่ทันมาถึง ผมดำปอยหนึ่งของหลินสวินก็ถูกตัดขาด จิตกระบี่ที่เสียดแทงกระดูกทำให้ทั้งร่างของเขาเหมือนตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หลินสวินส่งเสียงคำรามขุ่น ร่างกายพลันบิดรูป หลบหนีไปจากที่เดิม
นี่คือการใช้พลังขั้นสูงสุดของก้าวย่างชือน้ำแข็งวิธีหนึ่ง!
แต่นี่ยังไม่พอ ต่อให้ทะลวงความเร็วสูงสุดไปแล้ว ก็ยังหนีกระบี่ที่โจมตีมานี้ไม่พ้น จิตกระบี่นั้นสัมผัสไปถึงผิวกระดูกแล้ว
ฝีมือของมือสังหารคนนี้เรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่น ทันทีที่ถูกเล็งเป้าก็เหมือนหนอนเกาะติดกระดูก ทั้งดุดันไม่มีใครเทียบ เพียงหลบหนีย่อมไม่เพียงพอ
ชั่วเสี้ยววินาทีนี้หลินสวินประสบกับวิกฤตที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ไม่ว่าจะใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ หรือเพลงดาบวัฏจักรฟ้าก็สายไปแล้ว
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ โอกาสสังหารที่มือสังหารเลือกนั้นแม่นยำเกินไป ลอบโจมตีหลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิจากข้างหลัง ทำให้เขาไม่สามารถรับมือตรงๆ ได้
ตูม!
ก็เห็นว่าหลินสวินไม่หลบหนีอีก แต่ในชั่วเสี้ยววินาทีนี้ หลังของเขาราวมังกรตัวใหญ่ ชูคอพุ่งทะยาน กระแทกตัวขึ้นอย่างรุนแรง!
ปะทะฟู่ซี่!
วิชาลับร่างที่สองของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร!
สันหลังราวมังกรใหญ่ ควบรวมพลังทั้งร่างแล้วปะทุออกไปโดยพลันในเวลานี้ ก็เห็นว่าเบื้องหลังของหลินสวิน ราวกับมีเงาร่างมังกรฟู่ซี่ตัวหนึ่งปรากฏขึ้น หัวมังกร ร่างเต่า หางกิเลน กรงเล็บหงส์ไฟ เกล็ดที่ปกคลุมราวหลอมขึ้นจากหินเหล็กกล้า พลานุภาพเหลือคนา
ในยุคบรรพกาล ภายใต้การปะทะของมังกรฟู่ซี่ ก็เพียงพอทำให้เสาค้ำสวรรค์ทรุดลง สรรพสิ่งถูกทำลายย่อยยับ
และเวลานี้วิชาลับนี้ก็ถูกหลินสวินสำแดงออกมาโดยพลันในช่วงเวลาคับขัน ก็เห็นว่าฟู่ซี่ตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากหลัง ชนเข้ากับจิตกระบี่นั้น
โครม!
เสียงปะทะน่าหวั่นกลัวดังขึ้น เงาร่างเทพของฟู่ซี่ระเบิดเป็นเสี่ยง แต่กลับทำให้หลินสวินหลบการโจมตีนี้ได้อย่างระทึกใจหาใดเปรียบ ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้หลินสวินได้รับบาดเจ็บ หลังศีรษะมีบาดแผลหนึ่งแห่ง แทบทะลุไปถึงกะโหลก!
เลือดไหลอย่างรวดเร็ว ย้อมเส้นผมเขาเป็นสีแดง
ต่อให้พลังที่แท้จริงของหลินสวินจะเย้ยฟ้าแค่ไหน หากศีรษะถูกเจาะทะลุก็ไม่มีทางรอดได้แน่ แต่ตอนนี้แม้โชคดีพ้นเคราะห์มรณะได้ครั้งหนึ่ง แต่กลับทำให้หลินสวินคับแค้นใจแทบคลั่ง
ตั้งแต่เขาฝึกปราณมายังไม่เคยเสียท่ามากขนาดนี้ แทบจะถูกคนอื่นแทงทะลุสมองแล้ว!
ชิ้ง!
ดาบหักพาดข้ามห้วงอากาศ ฟันไปอย่างเดือดดาล
เพียงแต่เวลานี้เสียงถอนใจเบาๆ ดังขึ้นเหมือนเสียดายอยู่บ้าง ต่อมาในห้องก็ไม่เห็นเงาร่างราวมายานั้นอีก
โครม!
หลินสวินจะยอมได้อย่างไร เขาพุ่งออกจากห้อง มองไปรอบทิศ กลับเห็นแต่ทะเลกลืนวิญญาณกว้างใหญ่ ยานสำเภาเงียบเชียบ จะยังมีเงาของศัตรูอีกหรือ
นี่ทำให้หลินสวินอึดอัดใจ สีหน้าเย็นเยียบจนน่ากลัว ตั้งแต่เริ่มจนจบ ขนาดศัตรูก็มองไม่เห็น นี่ช่างเป็นการหยามเหยียด!
“หลินสวิน เกิดอะไรขึ้นหรือ”
แม้การเคลื่อนไหวตรงนี้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่อย่างไรเสียก็อยู่บนยานสำเภา ไม่นานก็ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนตกใจ เงาร่างนางหายตัวอย่างว่องไวมาปรากฏตัวข้างกายหลินสวิน
เมื่อเห็นว่าศีรษะกับคอของเด็กหนุ่มกำลังเลือดไหล หน้านางพลันเปลี่ยนเป็นอึมครึม ดวงตากระจ่างฉายจิตสังหารหนาแน่น “มีคนลอบสังหารเจ้าหรือ”
หลินสวินส่งเสียงอืม
เวลานี้พวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ ซูซิงเฟิงและเหวินเสียงก็ล้วนตื่นตระหนก พากันปรากฏกายขึ้น ขนาดกงหยางอวี่ก็มาด้วย
เมื่อได้รู้ว่าหลินสวินถูกลอบสังหารในห้อง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล้วนแสดงสีหน้าตกใจ เหมือนคาดไม่ถึง
ยานสำเภานี้เป็นอาณาเขตของพวกเขา ถูกผู้เฒ่าเกาหยางควบคุมอยู่ ศัตรูที่ไหนจะแทรกซึมเข้ามาอย่างไร้เสียงได้
หลินสวินสูดลมหายใจลึก เก็บกลั้นความขัดเคืองในใจ สายตาเริ่มกวาดไปยังพวกเซียวหรันอย่างไม่ทิ้งร่อยรอยไว้ทีละคน
มือสังหารสามารถปรากฏตัวบนยานสำเภา แทรกซึมเข้ามาในห้องของเขาได้ ทำให้หลินสวินสงสัยว่าศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณหมายปองร้ายตน
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจิ่งเซวียนก็รับรู้ได้ถึงจุดนี้ ดวงตากระจ่างเย็นเยียบ กวาดมองพวกเซียวหรันแล้วพูดว่า “ไม่คิดว่าจะมีคนทนผู้ติดตามข้างกายข้าคนหนึ่งไม่ได้!”
“ศิษย์น้องจ้าว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือเจ้าสงสัยว่าในหมู่พวกเรามีคนลงมือกับเจ้าหนูนี่หรือ” ซูซิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ เขาพบว่าสายตาของจ้าวจิ่งเซวียนจับสังเกตมาที่เขาโดยตลอด นี่ทำให้เขาอึดอัดนัก
“หรือท่านคิดว่ายังมีศัตรูภายนอกสามารถแทรกซึมเข้ามาในยานสำเภานี้ได้เล่า” จ้าวจิ่งเซวียนย้อนถาม
“นั่นก็ไม่แน่” ซูซิงเฟิงสีหน้าเรียบเฉย
“ศิษย์พี่จ้าว นี่ท่านปรักปรำศิษย์พี่ซูแล้วนะ เมื่อครู่เขากับข้ากำลังคุยกัน จะมีโอกาสไปฆ่าคนได้อย่างไร” เหวินเสียงพูดเสียงใส
“หึ!” จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างเย็นชา “ก็ไม่แน่ว่าเป็นเจ้าสองคนร่วมกันลงมือ!”
เหวินเสียงพลันโอดครวญ ทำหน้าตาอดสู
แต่ซูซิงเฟิงกลับสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง พูดเสียงขรึมว่า “ศิษย์น้องจ้าว เจ้านี่ออกจะพูดอะไรเลอะเทอะเสียแล้ว หากข้าอยากฆ่าเจ้าหนูนี่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ให้ยุ่งยากมากความหรอก!”
“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมต้องตามหาผู้ร้ายที่ซ่อนอยู่หลังม่าน แต่ก่อนจะทำเช่นนี้ทุกท่านอย่าเพิ่งสงสัยไปทั่ว จะกลายเป็นปรักปรำคนดีแทน”
เซียวหรันเอ่ยปากแล้ว เสียงอ่อนโยนเนิบนาบ
“ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว บนยานสำเภาถึงกับมีมือสังหารปรากฏตัว สำหรับพวกเราแล้วก็ถือเป็นคำเตือนอย่างหนึ่งว่าไม่อาจเผลอเรอได้”
กงหยางอวี่พยักหน้าเออออ
ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงโดยไม่ถูกคลี่คลาย เหตุผลก็เป็นเพราะตอนนี้หลินสวินเป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่ง ฐานะต่ำต้อย ไม่ควรค่าให้พวกเขาสนใจมากนัก
อีกอย่างก็เพราะผู้ร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ทำให้พวกเขาทำได้เพียงปล่อยไป
……
ในห้อง หลินสวินกำลังทำแผลอย่างระวัง ยังดีที่เป็นแผลภายนอกไม่ได้รุนแรงอะไร แต่เมื่อนึกถึงการลอบสังหารที่เพิ่งประสบไปเมื่อครู่ กลับทำให้หลินสวินไม่มีทางผ่อนคลายได้
บนยานสำเภาลำนี้ ใครกันแน่ที่ต้องการฆ่าตน
หลินสวินย่อมนึกถึงซูซิงเฟิง เพราะก็มีเพียงเขาที่น่าสงสัยที่สุด!
อย่างไรเสียซูซิงเฟิงก็ไม่ได้เผยความเป็นปฏิปักษ์กับตนแค่ครั้งสองครั้ง
จ้าวจิ่งเซวียนย่อมคิดถึงจุดนี้เช่นกัน ใบหน้างามเย็นชาราวน้ำแข็ง กัดฟันงามแน่นเอ่ยว่า “ต้องเป็นซูซิงเฟิงผู้นี้ล่ะ! เจ้าคนสมควรตายคนนี้ลงมือโหดเหี้ยมนัก!”
“อาจจะไม่ใช่เขา”
กลับเห็นว่าหลินสวินพลันส่ายหน้า “เจ้ายังเดาได้ว่าเขาไม่ชอบข้า คนอื่นก็ย่อมเดาได้เช่นกัน ซูซิงเฟิงก็ไม่ใช่คนโง่ เขาต้องรู้ดีว่าหากลอบสังหารข้า ต้องทำให้เจ้าคิดแค้นแน่”
จ้าวจิ่งเซวียนอึ้งไป “ถ้าไม่ใช่เขาจะเป็นใครได้อีก บนยานสำเภานี้ก็มีเพียงศิษย์น้องอวิ๋นเช่อที่โดดเด่นด้านวิชากระบี่ เชี่ยวชาญมหามรรคปลิดชีพ เจ้าว่าจะเป็นเขาหรือไม่”
หลินสวินนึกย้อนถึงรายละเอียดทั้งหมดตอนเขาถูกลอบสังหารแล้วเอ่ยว่า “คนที่ลอบสังหารข้าต้องเชี่ยวชาญวิชากระบี่ลับที่น่ากลัวมากวิชาหนึ่ง แต่ในเมื่อเขากล้าเผยตัว ต้องไม่กังวลว่าจะแพร่งพรายฐานะของตัวเองแน่ ข้าว่า…ไม่น่าใช่อวิ๋นเช่อ”
“เช่นนั้นเป็นใครกันแน่” จ้าวจิ่งเซวียนนิ่วหน้า
“ไม่ว่าเป็นใคร ในเมื่อคิดจะฆ่าข้า ย่อมต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ไม่แน่พวกเขาอาจจะถูกใจของบางอย่างที่อยู่กับข้า หรือไม่ก็ไม่ต้องการให้ข้าอยู่ข้างกายเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้แบบไหน พวกเราก็ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นแล้ว”
เวลานี้หลินสวินเหมือนคิดตกแล้ว พูดเสียงต่ำว่า “เมื่อชี้ชัดคนร้ายไม่ได้ ทุกคนบนยานสำเภาลำนี้ก็ล้วนน่าสงสัย”
“ทุกคนหรือ รวมถึง…ผู้เฒ่าเกาหยางด้วยหรือ” ดวงตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนแข็งทื่อ
“ถูกต้อง” หลินสวินพยักหน้า ดวงตาสีดำลุ่มลึก
…….
มือสังหารเป็นใครกันแน่
ไม่มีใครรู้ แต่ตั้งแต่คืนนี้ไป บรรยากาศบนยานสำเภาก็แปรเปลี่ยนเป็นลึกลับและอึดอัดขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ระหว่างศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้นต่างก็มีความคิดเป็นของตัว
“ไม่ใช่เจ้าจริงหรือ”
ในห้อง ซูซิงเฟิงขมวดคิ้วถามเหวินเสียงที่อยู่ตรงข้าม
เหวินเสียงพูดอย่างจนใจว่า “ถ้าเป็นข้า เจ้าหนูนั่นตายไปนานแล้ว จะให้เขามีชีวิตจนวิ่งออกมาได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็เป็นหนึ่งในพวกเซียวหรันกับอวิ๋นเช่อแล้วล่ะ” ซูซิงเฟิงสายตาลุ่มลึก ตกอยู่ในห้วงความคิด
เหวินเสียงแววตาไหววูบ ซูซิงเฟิงสงสัยว่าเป็นเขา ในใจเขาจะไม่สงสัยซูซิงเฟิงได้อย่างไร
พวกเขาล้วนรู้แล้วว่าในมือหลินสวินมีสมบัติลับไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง ใครก็ย่อมอยากจะแย่งชิงมันไว้
“ยุ่งยากเสียจริง” ครู่ใหญ่ซูซิงเฟิงก็ถอนหายใจ
“อยากไปหยั่งเชิงเซียวหรันกับอวิ๋นเช่อหน่อยไหม” เหวินเสียงเอ่ยถาม
ซูซิงเฟิงส่ายหัว “ไม่ต้อง พวกเขาไม่ยอมรับหรอก หยั่งเชิงไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือจับตาดูเจ้าเด็กหลินเสวียนนั่น ขอเพียงจับตาดูเขาไว้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าเจดีย์สมบัติหลังนี้จะถูกชิงไปอย่างเงียบเชียบแล้ว”
เหวินเสียงพลันพยักหน้า “เช่นนี้แล้ว เมื่อมือสังหารนั่นปรากฏตัวอีกก็จะรู้ตัวตนของเขา”
ยามเขาพูด สายตาก็ชำเลืองมองซูซิงเฟิงอย่างคล้ายตั้งใจแต่ไม่ตั้งใจ กลับเห็นว่าฝ่ายหลังไม่แสดงสีหน้า ดูความรู้สึกไม่ออกเลยสักนิด
ในทะเลกลืนวิญญาณเงียบสงัดแปลกประหลาด อวลไอหมอกทึบราวไร้ขอบเขต มีอันตรายและเคราะห์มรณะที่ไม่อาจล่วงรู้และน่ากลัวกระจายตัวอยู่
เดิมนี่ก็ทำให้ทุกคนระวังตัวอยู่แล้ว ตอนนี้บนยานสำเภากลับมีมือสังหารที่ผลุบโผล่เหมือนผีผู้หนึ่ง ทำให้ทุกคนอดรู้สึกหนักอึ้งในใจไม่ได้
บรรยากาศหนักอึ้งเช่นนี้ดำเนินต่อไปถึงวันที่สาม ในที่สุดก็สิ้นสุดลง
เพราะเวลานี้ยานสำเภาแล่นออกจากน่านน้ำเงียบสงัดแล้ว ทิวทัศน์ตรงหน้าพลันเปลี่ยนไป
ท้องฟ้าครามกระจ่างไพศาลไร้ของเขต คลื่นทะเลสีดำซัดกระเพื่อมส่งเสียงซู่ซ่ามีชีวิตชีวา
ก่อนหน้านี้น้ำทะเลเงียบเชียบ แปลกประหลาดน่ากลัว อันตรายมากมายบังเกิดขึ้นอย่างไร้เสียง แต่ตอนนี้กลับต่างไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นภาพนี้ หลายคนต่างก็รู้สึกผ่อนคลาย
“จะถึงแล้ว”
ผู้เฒ่าเกาหยางเดินออกมาจากห้องโดยสาร สายตาทอดไปไกล สีหน้าระบายความปรีดา
จิตใจของคนอื่นๆ ก็ฮึกเหิมเพราะเรื่องนี้ จะถึงแดนลับอสูรมารอริยะในตำนานแล้วหรือ
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับมองย้อนไปยังทางที่ผ่านมา น่านน้ำตรงนั้นเต็มไปด้วยไอหมอกทะมึน เงียบสงัดน่ากลัว ดูประหลาดและมีเค้าลางไม่ดี
‘นี่คงออกจากเขตสุสานสมุทรฝังมรรคแล้วกระมัง…’
หลินสวินพึมพำในใจ
“รีบดูตรงนั้นเร็ว สวรรค์! คงไม่ใช่มังกรจริงๆ ใช่ไหม”
ทันใดนั้นเหวินเสียงในชุดหลากสีก็ร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก ชี้ไปยังที่ไกลออกไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น
สายตาทุกคนมองไป ก็เห็นว่าบนผิวน้ำทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา มีรุ้งเทพแวววาวสะดุดตาสายหนึ่งพุ่งขึ้นทะลุเมฆ แสงช่วงโชติที่สาดออกมาส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน
เมื่อทอดมองไปไกล ก็เหมือนมังกรตัวหนึ่งกระโจนชูคอไกวหางออกมาจากน้ำทะเล พุ่งทะยานไปเหนือชั้นเมฆ มีพลังสั่นสะเทือนยากบรรยาย!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น