Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 546-547
ตอนที่ 546 เด็กหนุ่มชุดเขียว
โดย
ProjectZyphon
ดาบแตกหักสีดำสนิท ยาวไม่เกินหนึ่งฉื่อกว่า รอยหักเรียบลื่น เหมือนถูกหักแตกตอนประจันหน้ากับคมมีดแหลมคมหาใดเกินบางอย่าง
เพียงโคจรพลัง ดาบหักก็จะปะทุแสงดาราแวววาวโชติช่วงราวนิมิตออกมา เรียกได้ว่าเป็นคมมีดร้ายกาจพลิกฟ้าเล่มหนึ่ง
หลินสวินพินิจอย่างละเอียด ใช้พลังจิตวิญญาณสัมผัส กลับพบว่าภายในดาบหักนั้นประหนึ่งท้องนภา เวิ้งว้างไร้ขอบเขต ถึงกับมีกลิ่นอายไพศาลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
เหมือนว่าภายในดาบหักเป็นโลกว่างเปล่าโลกหนึ่ง แสดงให้เห็นแต่ ‘ความว่างเปล่า’ ประหนึ่งท้องฟ้า ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้
“ประหลาด ลายมรรคเว้าแหว่งเหล่านั้นไปไหนแล้ว…”
หลินสวินนิ่วหน้าพึมพำ
เขาจำได้อย่างแจ่มชัดว่าตอนนั้นมีดอกบัวสีดำแปลกประหลาดดอกหนึ่งร่วงลงมา เกือบกำราบตนเข้า ในเวลาคับขัน เป็นเพราะดาบหักเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาด บังเกิดลายมรรคโบราณแน่นขนัดแถบหนึ่ง ในชั่วพริบตาก็แผดเผาดอกบัวสีดำนั้นให้สลายไป
และเป็นความเปลี่ยนแปลงประหลาดครั้งนี้เอง ที่ช่วยชีวิตหลินสวินไว้
เพียงแต่เวลานี้ไม่ว่าหลินสวินจะใช้อะไรสืบเสาะ กลับไม่อาจหาร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับลายมรรคเหล่านี้ได้!
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกได้ถึงความลึกลับคาดเดาไม่ได้ของดาบหักเล่มนี้
‘เป็นเขา…’
‘วันคืนไร้สิ้นสุดผ่านไป เขาตายไปนานแล้ว…’
‘ไปเถอะ ที่จริงพวกเราล้วนพลาดแล้ว…’
‘พลาดแล้วหรือ’
เสียงสนทนาของภิกษุประหลาดกับเงาร่างลึกลับนั้นดังสะท้อนในสมองของหลินสวิน ทั้งนึกถึงเบ้าตาน่ากลัวกลวงโบ๋ของภิกษุนั้นอย่างไร้สาเหตุ!
เวลานั้นเขากำลัง ‘มอง’ มายังดาบหักอย่างเห็นได้ชัด เหมือนจะจำอะไรได้ ถึงได้ปรากฏกายขึ้นมา เพียงแต่ท้ายที่สุดก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด เขากับเงาร่างลึกลับนั้นก็หายไป
หรือว่า ‘เขา’ จากปากของพวกเขาจะหมายถึงเจ้านายเก่าของดาบหักเล่มนี้
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมา เก็บดาบหักนั้นกลับไป ใคร่ครวญไปเขาก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ทำได้เพียงกลบความสงสัยนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ
ไม่แน่อาจมีสักวัน ยามที่พลังแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้ว อาจมองทะลุความลับของดาบหักนี้ได้กระมัง…
วิ้ง!
เจดีย์สมบัติไร้อักษรถูกเด็กหนุ่มนำออกมา ลอยหมุนติ้วกลางห้วงอากาศ มีแสงสีทองเจิดจ้าศักดิ์สิทธิ์พันพัว
‘ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะทำให้ข้าได้เศษเสี้ยวเจตจำนงมากน้อยแค่ไหน หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…’
หลินสวินรุ่มร้อนใจ กุมเจดีย์สมบัติไว้ในมือแล้วเริ่มค้นดู
“หืม”
เพียงแต่เมื่อเด็กหนุ่มเห็นสภาพภายในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติได้ชัดเจน เขาก็พลันเบิกตาโต สีหน้าแข็งทื่อเหมือนเจอผีเข้าอย่างจัง
ด้วยเห็นว่าภายในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ แสงมรรคทองนิลกาฬราวห้อทะยาน โคจรว่องไวอยู่ในนั้น รุ่งเรืองสงบนิ่ง สาดส่องแสงน้อยนิดกระจัดกระจายราวภาพนิมิตมายา
เพียงแต่เวลานี้กลับมีเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งมั่นคงอยู่ตรงนั้น ในปากและจมูกพ่นแสงสีทองออกมา กำลังกลืนกินไอชั่วร้ายของยอดฝีมือวิญญาณอาฆาตตนหนึ่ง
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเงาร่างของยอดฝีมือวิญญาณอาฆาตนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือ ไม่นานก็มลายหายไป ถูกกลืนกินจนสิ้น
เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นดูดปาก ปลายลิ้นสีแดงสดแลบเลีย ส่งเสียงถอนใจอย่างยังไม่หนำใจออกมา
เจ้านี่เป็นใครกัน
ทำไมถึงปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติไร้อักษร
หลินสวินฉงนใจ ภาพเมื่อครู่น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว ระหว่างที่เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้หายใจทางปากและจมูกก็กลืนกินยอดฝีมือวิญญาณอาฆาตไปตนหนึ่ง ภาพพิสดารหาใดเปรียบ
ที่ต้องรู้ก็คือ ไอชั่วร้ายบนกายยอดฝีมือตนนั้นน่ากลัวถึงขีดสุด สามารถกัดกร่อนจิตวิญญาณอย่างไม่อาจฟื้นฟูได้ ผู้ฝึกปราณผู้อื่นกลัวแต่จะหลบไม่ทัน แต่เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้กลับกินสิ่งนี้เป็นอาหาร!
หรือว่ายอดฝีมือวิญญาณอาฆาตสิบกว่าตนที่ตนจับมาได้ จะถูกเจ้านี่กินหมดแล้ว!?
หลินสวินบังเกิดไฟโทสะยากบรรยายขึ้นในใจ เวลานี้ชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติว่างเปล่า มีเพียงเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้เดียว ทั้งยังเห็นภาพการกลืนกินที่น่าหวาดหวั่นเมื่อกี้กับตา ทำให้เขาชี้ชัดได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือตัวการ!
บ้าเอ๊ย!
นั่นเป็นถึงรอยประทับเจตจำนงทุกตนเลยนะ ตอนนี้…ถูกเขากินเสียแล้วหรือ
หลินสวินก็ไม่อาจสงบใจได้ ร้องออกมาด้วยความเดือดดาล เดิมนึกว่าครั้งนี้สิ่งที่ตนได้รับจะมากมาย มากกว่าศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณพวกนั้นเสียอีก จะไปคิดได้อย่างไรว่าพริบตาเดียวกลับเกิด ‘เคราะห์กรรม’ เช่นนี้ได้
“หึ! เจ้ามนุษย์ เจ้ามาแล้วหรือ ยังไม่รีบคารวะเปิ่นหวัง[1]อีก!”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุดเขียวก็เหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง รีบลุกพรวดพราด สองมือไพล่หลัง ส่งเสียงตะโกนน่ายำเกรง สายตาสีทองเจิดจ้าราวรุ้งเทพ
บุคลิกรูปลักษณ์เขาดูหล่อเหลางดงามยิ่ง ริมฝีปากแดงฟันขาว คิ้วหนาราวน้ำหมึก ตรงแน่วดังดาบ ใต้คิ้วเป็นนัยน์ตาสีทองเปล่งปลั่ง ใบหน้าคมสัน มีกลิ่นอายมารแปลกประหลาด
ซูซิงเฟิงก็หน้าตางดงามหล่อเหลามากแล้ว แต่เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ทั้งยังมีกลิ่นอายถือดีที่เป็นเอกลักษณ์
เวลานี้มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีทองราวสายฟ้า ใบหน้าเผยให้เห็นความหยิ่งผยอง เสียงที่เปล่งออกมาก็ลุ่มลึกน่ายำเกรง ทำให้หลินสวินอดหรี่ตาไม่ได้
“เปิ่นหวังหรือ”
เขาถึงกับกล้าตั้งตัวเองเป็นราชาเลยหรือ
หลินสวินฉงนในใจ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าที่เอวของเด็กหนุ่มชุดเขียวมีด้ามดาบด้ามหนึ่งแขวนอยู่ ถูกผ้าที่ย้อมไปด้วยเลือดพันไว้ พิสดารลึกลับ
“เจ้าก็คือวิญญาณอาฆาตตนนั้นหรือ”
หลินสวินพลั้งปากถามไป
เขานึกออกแล้ว ตอนที่ตนฆ่าวิญญาณอาฆาตที่มีสติปัญญา เจ้าเล่ห์เพทุบายที่จะลอบจู่โจมตนนั้น หลังจากถูกตนฟันขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียวกลับไม่ตายไป แต่ถูกตนกำราบในเจดีย์นี้แทน
ตอนนั้นเพราะวิญญาณอาฆาตนี้ ถึงได้ดึงดูดยอดฝีมือวิญญาณอาฆาตมากมายมาล้อมโจมตีตน หมายจะช่วยเจ้านี่กลับไป
นี่ก็ทำให้หลินสวินชี้ชัดได้ว่า เจ้าคนที่มีด้ามดาบพิสดารนั้นต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่
เพียงแต่เขากลับไม่อาจเชื่อมโยงเจ้านี่กับเด็กหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าได้จริงๆ เพราะทั้งสองต่างกันเกินไปแล้ว
ทว่าด้ามดาบประหลาดนั้นกลับอยู่ในมือเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ ทำให้เขาต้องกังขาฐานะของเจ้าคนนี้
“บังอาจ! ก่อนหน้านี้ที่เสียมารยาทกับเปิ่นหวัง เปิ่นหวังยังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังกล้ามองเปิ่นหวังเป็นสวะอย่างวิญญาณอาฆาต ช่างสมควรตายเสียจริง!”
เด็กหนุ่มชุดเขียวตวาด สีหน้าเย่อหยิ่งน่าเกรงขาม เรียกตัวเองว่าเปิ่นหวัง ท่วงท่าจองหองมองข่มทุกสิ่ง
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็แน่ใจแล้วว่า เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ก็คือวิญญาณอาฆาตหน้าไหว้หลังหลอกตนนั้น!
“ถ้าเป็นแต่ก่อน มดตัวน้อยเช่นเจ้า เปิ่นหวังดีดนิ้วก็ทำให้เจ้าสลายกลายเป็นธุลีแล้ว ครั้งนี้เห็นว่าเจ้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งไม่อยากมากเรื่องกับเจ้า รีบคุกเขาสำนึกผิดเสีย อัญเชิญเปิ่นหวังออกไป จะละเว้นโทษตายให้เจ้า!”
เด็กหนุ่มชุดเขียวตะคอกดัง ท่าทางจองหองเย่อหยิ่งนัก
“อ้อ ในเมื่อเจ้าเก่งกาจปานนี้ เหตุใดถึงไม่ออกมาเองเล่า ยังต้องให้ข้าเชิญเจ้าออกไปหรือ”
หลินสวินสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่เชื่อคำพูดนี้เลยสักนิด
ตอนนั้นเจ้านี่ถูกตนฟันขาดเป็นสองท่อน ไม่เพียงกินวิญญาณอาฆาตที่ตนจับมาสิบกว่าตัว ยังกล้าออกคำสั่งตนอย่างเหิมเกริม ทำให้หลินสวินก็โมโหเดือดดาลไม่น้อย
“หึ! เปิ่นหวังให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งนะ ในเมื่อเจ้าไม่เห็นคุณค่า ก็อย่าหาว่าเปิ่นหวังสำแดงวิชาไร้เทียมทาน แค่การโจมตีเดียวก็ทำลายเจดีย์สมบัตินี้ได้ก็แล้วกัน!”
เด็กหนุ่มชุดเขียวสีหน้าเหี้ยมเกรียม ใบหน้างามหล่อเหลาถือดีร้ายกาจเต็มไปด้วยจิตคุกคาม “แต่ถึงตอนนั้น เจ้าก็ไม่มีโอกาสเสียใจแล้ว!”
หลินสวินโกรธจันจนกลายเป็นหัวเราะ มั่นใจว่าเจ้านี่กำลังแกล้งอวดเบ่ง จึงพูดว่า “ไอ้ลูกหมา คนเฮงซวยอย่างเจ้ากินเศษเสี้ยวเจตจำนงของข้าไปเยอะขนาดนั้น ยังกล้ามาขู่ข้าหรือ”
เด็กหนุ่มชุดเขียวอึ้งไป ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกไม่เข้าที
แต่เขาก็ยังสงบใจ กระแอมหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “เด็กน้อยอย่างเจ้าเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีดีนะ หายากเสียจริง ทำให้เปิ่นหวังอดเสียดายไม่ได้ ช่างเถอะ เปิ่นหวังจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก อย่างไรก็ต้องการมอบโอกาสให้เจ้าครั้งหนึ่ง ขอเพียงเจ้า…”
“ไม่ต้องแล้ว”
หลินสวินยิ้มเสแสร้ง เผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะทั้งปาก เอ่ยว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าจะให้เจ้ารู้สถานการณ์ตัวเองให้ดีเสียหน่อย”
เด็กหนุ่มชุดเขียวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็เริ่มกังวลใจ แต่ยังฝืนสงบใจแล้วพูดว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร เปิ่นหวังเรียนรู้หลักธรรมฟ้าดิน ครอบครองวิชามากมายทั้งในอดีตถึงปัจจุบัน มอบวิชาให้เจ้าส่งๆ สักวิชา เจ้าก็ใช้ไม่หมดสิ้นแล้ว จะบรรลุธรรมก็เป็นเรื่องแค่เอื้อมมือ…”
ไม่ทันพูดจบเขาก็ร้องโหยหวน ด้วยถูกแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งฟาดบนร่าง ยืนซวนเซก่อนล้มเสียงดังตุ้บลงไปกับพื้น สะบักสะบอมยิ่งนัก
“โธ่ นี่หรือราชันที่ครอบครองวิชามากมาย”
หลินสวินยิ้มสดใสนัก มือก็เคลื่อนไหวไม่ชักช้า ควบคุมแสงมรรคทองนิลกาฬฟาดไปยังเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้
เขาโมโหจะแย่แล้ว ยอดฝีมือที่มีรอยประทับเจตจำนงเหล่านั้นถูกกินจนเรียบ ทำให้เขาเจ็บปวดใจ หากไม่เล่นงานเด็กหนุ่มชุดเขียวนี้ดีๆ คงรู้สึกผิดต่อรอยประทับเจตจำนงที่ถูกกินไปพวกนั้น!
สวบๆๆ!
แสงมรรคทองนิลกาฬสายแล้วแสงเล่าลู่ลง เหมือนแส้เทพสีทองเจิดจ้าฟาดลงมา แวววาวสะดุดตา ดุดันน่าหวาดหวั่น
ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นร้องโหยหวนไปพลางยกปลายเท้าหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางสะบักสะบอมเหมือนหนูติดจั่น
“เจ้ามนุษย์! นี่เจ้าหาที่ตายให้ตัวเองอยู่นะ!”
“โอ๊ย ไอ้เวรเอ๊ย เจ้ายังกล้าโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เจ้ารอก่อนเถอะ เมื่อเปิ่นหวังออกไป จะฆ่าเจ้าไม่เหลือซากเลย!”
“อ๊ากๆๆ อย่า…อย่าทำแบบนี้ เปิ่นหวังยอมแพ้แล้ว เปิ่นหวังขอโทษเจ้า พอใจหรือยัง”
เด็กหนุ่มชุดเขียวร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่อง ถูกฟาดจนขนหัวลุก เสื้อผ้าขาดวิ่น บนหลังมีแต่รอยแผลเลือดไหล
เขาเมื่อครู่นี้ยังหยิ่งผยองร้ายกาจ โอหังถือดี เหิมเกริมยิ่งนัก แต่เขาในตอนนี้กลับร้องงอแง ครวญครางร้องขอชีวิต เปลี่ยนไปมากนัก
หลินสวินจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะขอชีวิตอย่างไรก็ไม่โอนอ่อนตาม ยังคงลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ต่อไป
เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินตกใจก็คือ เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้แม้อวดเบ่ง ชอบคุยโว แต่กลับทนการโจมตีอย่างประหลาด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ถูกแสงมรรคทองนิลกาฬฟาดฟันเช่นนี้ น่ากลัวจะรับไม่ไหวจนบาดเจ็บสาหัสปางตายไปนานแล้ว
แต่เจ้านี่ยังอยู่ดี เหมือนแมลงสาบที่ตีไม่ตาย
“เจ้ารังแกกันมากไปแล้ว! เปิ่นหวังขอชีวิตจากเจ้าเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว เจ้ายังใจดำเช่นนี้ เจ้าคิดจะเอาชีวิตเปิ่นหวังจริงหรือ เจ้ารู้ไหมว่าเปิ่นหวังเป็นใคร เจ้ารู้ไหมว่าราชันวิญญาณอาฆาตนั่นเหตุใดถึงต้องอ่อนน้อมเกรงใจเปิ่นหวัง”
เด็กหนุ่มชุดเขียวหวีดร้องบ้าคลั่ง เขาก็โมโหเต็มทีแล้ว ใบหน้างามงดเต็มไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและเดือดดาล
แต่คำขู่เช่นนี้ไม่มีประโยชน์เลย หลินสวินกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น
ในที่สุดนัยน์ตาสีทองเจิดจ้าของเด็กหนุ่มชุดเขียวก็เต็มไปด้วยเลือด โมโหถึงขีดสุด ส่งเสียงหวีดแหลมยาวยืดออกมา เพียงแต่คำที่พูดออกมากลับทำให้หลินสวินตาเบิกกว้าง
“หยุดๆๆ นายท่านไว้ชีวิตข้าเถอะ!”
เด็กหนุ่มชุดเขียวครวญครางอย่างเจ็บปวดถึงขีดสุด เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เห็นได้ว่าในใจเขาเวลานี้อับจนและเจ็บปวดคับแค้นนัก
หลินสวินก็ถูกเจ้าคนนี้ทำให้ตกใจ พลันยิ้มเหี้ยมแล้วพูดว่า “ไว้ชีวิตเจ้าหรือ กินเศษเสี้ยวเจตจำนงของข้ายังคิดจะให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าหรือ เพ้อเจ้อ!”
ยามที่พูด แสงมรรคทองนิลกาฬก็ฟันลงมา กระแทกเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มชุดเขียวอย่างจัง
ตุ้บ!
ที่ทำให้หลินสวินตะลึงก็คือ หลังจากแสงทองไหววูบ เด็กหนุ่มชุดเขียวก็หายไปแล้ว บนพื้นกลับมีคางคกสีทองเจิดจ้าตัวหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ทั้งยังมีสามขาอีกด้วย…
——
[1] เปิ่นหวัง หมายถึง ข้าผู้เป็นราชา เป็นคำที่ราชาใช้เรียกแทนตัวเอง
ตอนที่ 547 คางคกทองสามขา
โดย
ProjectZyphon
แวดวงการฝึกปราณของจักรวรรดิมีคำพูดเล่นลิ้นคำหนึ่งว่า คางคกสามขาหายาก แต่ผู้ฝึกปราณสองขามีอยู่ทั่วไปหมด
ทว่าตอนนี้ หลินสวินก็พบคางคกสามขาตัวหนึ่งเข้าแล้ว!
ครู่ต่อมาสายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นแปลกไป เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ที่แท้ก็เป็นคางคกตัวหนึ่งที่ฝึกปราณจนบรรลุมรรคหรือ
คางคกตัวนี้ใหญ่เท่าอ่างสำริด ทั้งร่างมีสีทองเจิดจ้าราวทองคำ ส่องแสงมงคล ดวงตาดุจเหรียญทอง ขาสามขาหมอบอยู่กับพื้น ไม่เหมือนอสูรมาร แต่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมทั้งร่าง ดูพิเศษยิ่งนัก
“อ๊บๆ!”
เวลานี้มันดูคับข้องใจยิ่ง กระพุ้งแก้มสองข้างเต้นตุบ ส่งเสียงเหมือนคางคกดังสะเทือนสะท้านราวอัสนีบาต
“ที่แท้เจ้าไม่ใช่วิญญาณอาฆาต แต่เป็น…คางคกตัวหนึ่งหรือ” หลินสวินถาม
คำพูดนี้เหมือนดาบที่ทิ่มแทงความศักดิ์ศรีของคางคกอย่างรุนแรง ทำให้มันกระโดดสูงขึ้นสามฉื่อในคราวเดียว แล้วคำรามอย่างเดือดดาลว่า “ข้าคือคางคกทอง! เป็นคางคกทองสามขาเลื่องชื่อในบรรพกาล ไม่เป็นสองรองใคร เกิดขึ้นเพื่ออำนวยโชคชะตาฟ้าดิน! สัตว์เทพเห็นข้าก็ต้องหมอบลง อริยะบรรพกาลพบข้าก็ต้องคารวะ! เจ้า…เจ้าหนูอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร!”
มันร้องอ๊บๆ ด้วยเสียงกังวาลราวสายฟ้า เผยความคับข้องและขุ่นเคือง
“คางคกทองสามขาหรือ”
หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ ยุคบรรพกาลในตำนานมีสิ่งมีชีวิตพิเศษเช่นนี้จริง ศักดิ์สิทธิ์แต่กำเนิด รู้แยกแยะสรรพสิ่ง สามารถปัดเป่าภัยพิบัติ เปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชค ครอบครองพลังลึกลับที่ไม่อาจคาดคิด
ขณะเดียวกันคางคกทองสามขาก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ลือกันว่าปากกว้างจนกลืนกินสุริยันจันทราได้ ในท้องสามารถบรรจุฟ้าดิน พลังต่อสู้ก็เย้ยฟ้าถึงที่สุด
เพียงแต่นี่ก็เป็นเพียงคำร่ำลือ หลินสวินไม่เชื่อนักว่าเจ้าตัวหน้าไหว้หลังหลอก ไร้ยางอาย ชอบลอบกัดและคุยโวตรงหน้านี้ จะมีที่มาที่ไปน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก
“เจ้ามนุษย์ เจ้าก็ได้เห็นร่างจริงของข้าแล้ว แม้ว่าตอนนี้ข้าจะสลัดความลำบากไม่พ้นตัว แต่อาศัยแสงมรรคทองนิลกาฬนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าข้าได้ สู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนกัน ข้าจะชี้บอกโชคลาภวาสนาให้เจ้าครั้งหนึ่ง ส่วนเจ้าก็ปล่อยข้าไป ว่าอย่างไร”
คางคกทองสามขาใช้น้ำเสียงปรึกษาเอ่ยปาก เห็นได้ชัดว่ามันถูกแสงมรรคทองนิลกาฬฟาดฟันจนกลัวแล้ว ไม่กล้าข่มขู่อีก
คนอยู่ตกอยู่ในกำมือต้องก้มหัวให้ คางคกทองสามขาก็ทำได้เพียงปลอบใจตนเองเช่นนี้
หลินสวินถอนหายใจ “ดูท่า เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองสินะ”
ฮูม!
ยามเขาพูด แสงมรรคทองนิลกาฬก็โคจร ทำให้คางคกทองสามขาตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงก ร้องว่า “เจ้าจะเอาอย่างไรแน่ถึงจะปล่อยข้าไป”
“ตอบคำถามข้ามาก่อน” หลินสวินพูดพลางยิ้มให้
“ว่ามา” คางคกทองสามขาเอ่ยอย่างไม่ลังเล
มันกลัวจริงๆ แล้ว ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกคับข้องอย่างหาใดเทียบ หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่น เมื่อเห็นฐานะของมันแต่ละคนเป็นต้องคารวะแทบจะเชิดชูมันเป็นสมบัติล้ำค่าหาใดเทียม เหมือนหลินสวินที่ไหน ไม่ว่าจะไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ไม่ยอมจำนน ใช้วิธีการโหดเหี้ยม ช่างเสียสติบ้างคลั่งเสียจริง!
“เจ้าชื่ออะไร”
“จินตู๋อี บนฟ้าและใต้หล้ามีเพียงผู้เดียว! ว่าอย่างไร สุดยอดหรือไม่ เฮ้ยเดี๋ยวก่อน อย่าลงมือ! มีอะไรพูดกันดีๆ…”
“เศษเสี้ยวเจตจำนงเหล่านั้นของข้าถูกเจ้ากินหมดแล้วใช่หรือไม่”
“เศษเสี้ยวเจตจำนงคืออะไร”
“ยังไม่พูดตามจริงอีกหรือ”
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น คางคกทองสามขาถูกแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งฟาดใส่อย่างน่าอดสู โอดครวญร้องระงม
“นี่ ที่ข้าพูดยังใช้ไม่ได้หรือ” เขาสีหน้าเศร้าสร้อยคอตก ปากก็พ่นลูกไฟเปล่งประกายเจิดจ้าที่มีท่วงทำนองมรรคไหลหลั่งสิบกว่าดวงออกมา
เป็นเศษเสี้ยวเจตจำนงจริงๆ!
หลินสวินพลันยินดี เดิมทีเขาเพียงถามลองเชิงดู ไม่คิดว่าสมบัติเหล่านี้จะยังอยู่จริง ไม่ได้ถูกหลอมไป
ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้น พูดพลางยิ้มเหี้ยมว่า “คางคกอย่างเจ้ามันเป็นตัวร้ายน่ารังเกียจ ไม่ฟาดเจ้าแรงๆ ก็คงไม่รู้จักให้ความร่วมมือ!”
คางคกทองสามขาใบหน้าเกร็งกระตุก เงียบเชียบไม่ส่งเสียง เห็นได้ชัดว่ากลัวอำนาจกดขี่ของหลินสวินเข้าแล้ว จำต้องก้มหัวให้
ต่อมาหลินสวินก็ถามคำถามอีก คางคกทองสามขาให้ความร่วมมืออย่างยิ่งดังคาด ไม่กล้าเล่นตุกติกอีกเลย
ที่แท้เขาก็ชื่อจินตู๋อีจริงๆ ตั้งแต่ได้สติก็เร่ร่อนใน ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ แห่งนี้มาโดยตลอด
สุสานสมุทรฝังมรรคที่ว่าก็คือน่านน้ำที่พวกหลินสวินอยู่ในขณะนี้ ลือกันว่าเป็นสถานที่ฝังมหามรรคบรรพกาลเอาไว้ ประหนึ่งสุสานที่ฝังกลบผู้แข็งแกร่งบรรพกาลไม่รู้เท่าไร
หลินสวินอดตกใจไม่ได้เมื่อรู้ความลับนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
สุสานสมุทรฝังมรรค!
หากข่าวลือนี้เป็นจริง ก็ทำให้ผู้ที่ได้ยินเข้าตกใจนัก
แม้สติรับรู้ของจินตู๋อีตื่นขึ้นแล้ว แต่กลับลืมไปหลายเรื่อง จำได้เพียงชื่อของตน นอกนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย
ร้อยปีมานี้เขาหาทางออกมาโดยตลอด ด้วยต้องการออกจากสุสานสมุทรฝังมรรคเพื่อตามหาความทรงจำในอดีตของตน
เพียงแต่ที่จนใจก็คือ เขายังหาทางออกไม่ได้ ก็ถูกคนอื่นจับขังไว้เสียแล้ว!
คนที่ขังเขาไว้ก็คือราชันกองทัพวิญญาณอาฆาตนั้น ถูกขนานนามอย่างเคารพให้เป็น ‘ราชาวิญญาณ’
ทว่าราชาวิญญาณไม่ได้มีพิษภัยต่อเขา เพียงแต่ขังเขาไว้ไม่ให้ออกมา
จากนั้นจินตู๋อีก็แปรสภาพตัวเองให้เป็นวิญญาณอาฆาตตนหนึ่ง รั้งอยู่ข้างกายราชาวิญญาณ ช่วยไม่ได้ เขาอยากจากไปก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงอยู่ต่อ
กระทั่งวันนี้ เดิมทีเขาเห็นว่าราชาวิญญาณต่อสู้ดุเดือดกับมนุษย์ กำลังเตรียมตัวอาศัยโอกาสนี้หลบหนี คิดไม่ถึงว่ากลับถูกหลินสวินจับกุม…
หลินสวินเมื่อได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ก็เข้าใจบางเรื่องในที่สุด ราชาวิญญาณที่ว่าก็คือราชันวิญญาณอาฆาตที่ห้ำหั่นกับผู้เฒ่าเกาหยางตนนั้น!
เขาเอ่ยถามขึ้นฉับพลัน “เหตุใดราชาวิญญาณไม่ฆ่าเจ้า แต่ให้เจ้าอยู่ข้างกายเขาเล่า”
จินตู๋อีพลันแสดงสีหน้าหยิ่งผยองภาคภูมิ “ข้าเป็นใครเล่า เป็นคางคกทองสามขาที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนฟ้าและใต้หล้า ต่อให้ราชาวิญญาณนั่นร้ายกาจและกล้าหาญกว่านี้ ก็ไม่กล้าไม่เคารพข้า!”
เจ้านี่เริ่มได้ใจอย่างเห็นได้ชัดเสียแล้ว…
หลินสวินหน่ายจะมากความกับเขาแล้ว นิ่งคิดครู่หนึ่งก็พลันนิ่วหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยว่า “ในเมื่อวันนี้เจ้าอยากถือโอกาสหนีไป ทำไมถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ ลอบโจมตีข้าด้วย”
จินตู๋อีกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “โธ่ โรคเก่ามันกำเริบน่ะ พอเห็นสมบัติหายากเข้าก็ยั้งใจตัวเองไว้ไม่อยู่…”
“หมายความว่าอย่างไร” หลินสวินเลิกคิ้ว
สายตาจินตู๋อีกวาดไปรอบชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ พลันพูดขึ้นอย่างขัดเคืองว่า “ก็ไม่ใช่เพราะเจดีย์เฮงซวยนี่หรอกหรือ! โผล่ตอนไหนไม่โผล่ ดันมาโผล่เอาตอนนี้ ไม่ได้จงใจจะล่อข้าหรือ น่าชังนัก น่าชังเสียจริง! หากไม่ใช่เพราะมัน ข้าก็คงหลุดพ้นได้โลดแล่นในใต้หล้าแล้ว จะมา…ติดอยู่ในนี้ได้อย่างไร”
หลินสวินตะลึง ครู่ใหญ่เขาถึงเข้าใจในที่สุดว่า ที่แท้เจ้านี่ก็ถูกเจดีย์สมบัติไร้อักษรดึงดูดเข้า
หลินสวินถามอย่างสงสัยว่า “เจ้ารู้ที่มาที่ไปของสิ่งนี้หรือไม่”
“ไม่รู้” จินตู๋อีตอบอย่างชัดเจน
แต่เขาเหมือนกลัวผิดใจกับหลินสวิน จึงอธิบายอย่างอดทนอีกว่า “แม้ข้าไม่รู้ที่มาที่ไปของเจดีย์นี้ แต่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้เป็นสมบัติโบราณชั้นยอดชิ้นหนึ่ง กลิ่นอายของมันพิเศษนัก หากไม่เป็นเช่นนี้จะดึงดูดความสนใจข้าได้หรือ”
หลินสวินอดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจดีย์สมบัตินี้ก็สามารถทำให้คางคกสามขาตัวนี้ตาลุกวาวได้ ถึงกับยอมสละโอกาสหนีรอดเพื่อช่วงชิงไว้กับตัว ที่มาของมันย่อมไม่อาจดูเบาได้
“ข้าว่า ต่อไปเจ้าอย่าใช้สมบัตินี้สุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า หาไม่จะชักนำเภทภัยถึงตายมาให้เจ้าแน่”
จินตู๋อีเตือนขึ้นในทันใด “เจดีย์สมบัตินี้เหนือธรรมดาเกินไป พวกเราสายเลือดคางคกทองสามขารับรู้สรรพสิ่งได้แต่กำเนิด รู้แยกแยะของล้ำค่าทั้งมวล แต่เจดีย์สมบัตินี้กลับพิเศษยิ่ง ทั้งตัวเรือนสร้างจาก ‘เหล็กเทพศุภโชค’ ที่บริสุทธิ์ที่สุด แต่กลับมีคลื่นพลังลึกลับคลุมเครือ ทำให้มันยิ่งพิเศษและโดดเด่นเกินธรรมดา ประหลาดยิ่งแล้ว…”
เหล็กเทพศุภโชค!
เดิมทีหลินสวินไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘เหล็กเทพศุภโชค’ ในใจก็พลันหวั่นไหวอย่างรุนแรง สูดลมหายใจเย็นเยียบ เขามีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ย่อมรู้มูลค่าของเหล็กเทพศุภโชคเป็นอย่างดี สิ่งนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบเทพอย่างแท้จริง!
วัตถุดิบเทพชั้นนี้สูญสิ้นไปจากโลกตามสายน้ำแห่งกาลเวลาไปนานแล้ว
ต่อให้เป็นยุคบรรพกาล ขอเพียงมีก้อนขนาดเท่าหัวแม่โป้งปรากฏขึ้นสักก้อนหนึ่ง ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายสะท้านฟ้า พาให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนแก่งแย่งกันจนเลือดไหลเป็นแม่น้ำ!
พูดอย่างไม่เกินเลยว่า เพียงคำว่า ‘เหล็กเทพศุภโชค’ ก็ถึงกับสามารถก่อให้เกิดการแก่งแย่งช่วงชิงในหมู่ราชันระดับสังสารวัฏได้!
และเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือ ทั้งเรือนใหญ่เท่าฝ่ามือ สูงราวเก้าชุ่น สร้างจากเหล็กเทพศุภโชคทั้งเรือน!
ไม่ต้องพูดถึงที่มาที่ไปของเจดีย์นี้ เพียงอาศัยวัตถุดิบเทพที่สร้างขึ้นมา หากแพร่งพรายออกไปไม่รู้ว่าจะดึงดูดสายตาคิดช่วงชิงและอิจฉามากมายแค่ไหน
เวลานี้เจดีย์สมบัติไร้อักษรในสายตาของหลินสวินก็ผิดแผกไปจากเดิม มีสีสันลึกลับยากบรรยายเพิ่มเข้ามา
รูปลักษณ์ของมันเก่าแก่ ตัวเจดีย์มีแปดมุม สีกระจกหยกใสเก่าแก่ เพียงแต่แสงที่ปกคลุมอยู่แสดงสีทองงดงาม ดูโอ่อ่าหรูหรา
เห็นได้ชัดว่าสีของเหล็กเทพศุภโชคนั้นประหนึ่งกระจกโบราณ อวลไปด้วยกลิ่นอายงดงามโอฬาร!
แม้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ตัวเจดีย์กลับแบ่งเป็นแปดส่วน แต่ละส่วนมีลักษณะต่างกันออกไป ปรากฏลักษณ์ประหลาดของสุริยันจันทราภูผาสายนที ฟ้าเสถียรดินขนาน เทพธรรมบาลแลหมู่ดาว สัตว์ตำนานบรรพกาลเป็นต้น
ราวกับเป็นร่องรอยของพิภพเทวาบรรพกาล แบ่งออกเป็นแปดส่วน ประทับอยู่บนตัวเรือนเจดีย์ มีกลิ่นอายเทพแข็งแกร่งที่โอบรับนิรันดร์กาล
ในระหว่างที่เคลิบเคลิ้มอยู่นั้น หลินสวินราวกับเห็นทิวทัศน์โบราณนั้น…
ก่อนกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด ท้องนภาไพศาล พื้นดินไร้ขอบเขต มีเจดีย์สมบัติหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน ค้ำยันใต้หล้า กำราบแปดทิศ แสงสมบัติส่องทั่วเก้าทวีป!
‘ดาบหักก็ว่าลึกลับมากแล้ว แต่ตอนนี้ที่มาที่ไปของเจดีย์สมบัติไร้อักษรก็คาดเดาไม่ได้เช่นนี้…ช่างพาให้คิดไม่ถึงจริงๆ…’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ
สายตาเขามองไปยังตัวอักษร ‘ไร้’ ที่ไม่สมบูรณ์บนยอดเจดีย์นั้น ทุกขีดทุกเส้นดุจท่วงทำนองมรรคจากฟ้ามารวมตัวกัน แม้ไม่สมบูรณ์ แต่มีความรู้สึกกดดันน่าหวาดหวั่นอยู่ในที
เวลานี้ในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติก็ได้ยินเสียงฟุ่บคราหนึ่ง จินตู๋อีแปลงกายเป็นเด็กหนุ่มชุดเขียวอีกครั้ง หล่อเหลา เปี่ยมเสน่ห์ หยิ่งผยอง ดวงตาเจิดจ้าราวรุ้งทอง
“ที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว คราวนี้เจ้าก็ควรจะปล่อยข้าไปได้แล้วกระมัง”
จินตู๋อีสูดหายใจลึกถามออกไป
“ปล่อยหรือ ใครบอกว่าจะปล่อยเจ้าไปเล่า”
หลินสวินมีท่าทีแปลกใจ อันที่จริงหลังจากได้รู้ว่าเจ้านี่เป็นคางคกทองสามขาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปเลย!
ล้อเล่นน่า!
คางคกทองสามขาเชียวนะ สัตว์ประหลาดบรรพกาลในตำนาน มีพลังลึกลับไม่อาจคาดเดา สามารถเรียกโชคเร้นเคราะห์ ขับไล่มารหลบภัยพิบัติ ทั้งยังรอบรู้สรรพสิ่ง สามารถจำแนกสมบัติล้ำค่าของเทพเทวา
เจ้าตัวปุ่มป่ำน่ารักน่าชังเช่นนี้ อื้ม ต้องเก็บไว้ข้างกายตัวเอง!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น