Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 544-545

 ตอนที่ 544 ภิกษุตาบอดกับสตรีหมอก

โดย

ProjectZyphon

กระบวนท่าสอยจันทรา!


ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ดาบแตกระเบิดแสงเรืองมายาราวธารดาราแล้วขยายออกไปรอบทิศ คมดาบราวจันทราเคลื่อนคล้อยในธารดารา


ดูพร่ามัว แต่เมื่อปรากฏขึ้นเหล่าวิญญาณอาฆาตที่อยู่ใกล้เคียงก็หายไปในชั่วพริบตาราวหิมะละลายในน้ำ กลายเป็นภาพน่าอกสั่นขวัญแขวน


นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งหลินสวินสำแดงออกมาในตอนนี้ ยิ่งเสริมด้วยพลานุภาพของดาบแตก ก็ทำให้พลังของกระบวนท่าสอยจันทราสูงขั้นขึ้นอย่างสิ้นเชิง


ศักดิ์สิทธิ์ ล่องลอย แต่ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกทำลาย!


ทว่าดอกบัวเย็นเยือกแปลกประหลาดดอกนั้นเปล่งแสงสีดำราวกับลมหายใจ มันไม่ได้สนใจการโจมตีนี้ แต่ตกกระทบลงบนดาบแตก


อ่อนโยน แช่มช้อย มีกลิ่นอายประหลาดน่าหวาดหวั่น


หลินสวินเพียงรู้สึกว่ามือหนักอึ้ง ความรู้สึกเหมือนถูกภูเขาเทพกดลงบนดาบแตก พลังน่าหวั่นกลัวหาใดเทียบนั้นกดดันจนกล้ามเนื้อและกระดูกทั้งร่างของเขาส่งเสียงเสียดสีไม่อาจแบกรับได้ เลือดลมผันผวน เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด


เปรี้ยง!


ดอกบัวสีดำแปลกประหลาดเบ่งบานบนดาบแตก กลีบดอกเปล่งประกายดำมืดเยียบเย็นราวรัตติกาลนิรันดร์ กลิ่นอายที่กำจายออกมาแทบจะครอบงำจิตวิญญาณไว้ในนั้น


นัยน์ตาหลินสวินปรากฏแววเหม่อลอย จิตใจใกล้จะเสียการควบคุม พลังของดอกบัวนั้นพิสดารและแข็งแกร่งยิ่ง อบอวลบนดาบแตก ทำให้เด็กหนุ่มยากต้านทาน


ในระหว่างที่เหม่อลอยอยู่ หลินสวินก็เห็นว่าในส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาตมีหัวกะโหลกสีดำหัวหนึ่งลอยอยู่ ไฟวิญญาณเรื่อเรือง


ที่น่าประหลาดใจก็คือ บนหัวกะโหลกนั้นมีเงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างคลุมด้วยจีวรสีเลือดขาดรุ่งริ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวที่แตกเป็นลายพร้อย เหมือนภิกษุรูปหนึ่ง แต่กลับดูน่ากลัวแปลกประหลาดอย่างหาใดเทียบ


บนศีรษะล้านเลี่ยนของเขาประทับดอกบัวสีดำที่เบ่งบานดอกหนึ่ง อบอวลไปด้วยแสงน่าพิศวงสะเทือนโลกาประหนึ่งมีชีวิต!


เขาหลับตานั่งนิ่งไม่ขยับ จีวรสีเลือดรุ่งริ่ง ดูประหนึ่งนิพพานแล้ว แต่กลับมีพลังคุกคามน่าสะพรึงเหมือนเจ้าแห่งนรก


นี่คือใครกัน


หลินสวินรู้สึกเหมือนคลื่นพายุน่าหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในใจ สติสัมปชัญญะพร่าเลือน คิดว่าเกิดภาพหลอน


ในกองทัพวิญญาณอาฆาตกลับมีเงาร่างน่าหวาดหวั่นเหมือนภิกษุเงาหนึ่ง แต่งกายด้วยจีวรย้อมเลือด มือถือลูกประคำกระดูกขาว ศีรษะประทับดอกบัวพิสดาร นั่งขัดสมาธิบนหัวกะโหลกสีดำ!


ภาพนี้น่าหวาดหวั่นไปแล้ว เต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงแปลกประหลาด!


หลินสวินรู้สึกว่าตนกำลังจะจมลง ใกล้จะประคองตัวเองไว้ไม่อยู่ พลังของดอกบัวดำบนดาบแตกกำลังแผ่ออก ทำให้เขาเหมือนถูกกักขังและกดทับ ประหนึ่งกำลังก้าวสู่ความตาย


ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้


ในกองทัพวิญญาณอาฆาตนอกจากราชันที่สวมเกี้ยวประดับบนผมตนหนึ่ง ทำไมถึงยังมีภิกษุที่พิสดารเช่นนี้ได้


เขาเป็นใครกันแน่


หรือจะเป็นราชันอีกคนหนึ่ง


หาไม่แล้วเหตุใดพลังถึงได้น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้สิ้นหวังเช่นนี้ ไม่มีทางต้านทานได้เลย…


หลินสวินรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนยิ่งรางเลือน ทัศนวิสัยเปลี่ยนเป็นเลื่อนลวง กลิ่นอายความตายอย่างแรงกล้าทิ่มแทงจนเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว


วู้ม!


ในตอนนี้เอง ดาบแตกในมือเขาพลันส่งเสียงคำรามสะท้านขวัญราวเสียงธรรมอันยิ่งใหญ่ แสงดาวแวววับพลุ่งพล่านดุจเปลวเพลิง แผดเผาดอกบัวสีดำที่ติดอยู่บนดาบแตกอย่างเร่าร้อนรุนแรง!


ทันใดนั้นหลินสวินสะท้านไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนได้ทำลายตรวนที่พันธนาการร่างตนไว้ สติพลันฟื้นคืนมา


เขาถึงเพิ่งเห็นตอนนี้ว่าบนดาบแตกที่อยู่ในมือปรากฏสัญลักษณ์ลายมรรคที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้จะแน่นขนัด แต่เห็นได้ชัดว่าเว้าแหว่งและพร่าเลือน ไม่ได้สมบูรณ์


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อสัญลักษณ์ลายมรรคนั้นปรากฏขึ้น ก็ทำให้ดาบแตกมีพลังอันเป็นเอกลักษณ์ที่อธิบายไม่ถูก ชั่วอึดใจก็เผาบัวดำพิสดารนั้นให้เป็นเถ้าถ่าน!


เสียงร้องประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน


ก็เห็นว่าลึกเข้าไปในกองทัพวิญญาณอาฆาต เงาร่างภิกษุที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกะโหลกสีดำนั้น ลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้


ทว่าที่น่าหวาดหวั่นก็คือ กระบอกตาของเขาเป็นโพรงว่างเปล่าไม่มีดวงตา เหมือนหุบเหวลึกที่ทะลวงผ่านไปยังนรกคู่หนึ่ง ทั้งยังคงมีเลือดไหลออกมา…


ภาพนั้นแปลกประหลาดน่าตกใจถึงที่สุด ทำให้หลินสวินหายใจติดขัด ขนหัวลุกเกรียว แม้ไม่มีนัยน์ตา แต่เมื่อเขา ‘มอง’ มา ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกเทพมารโบราณกาลเพ่งดู เหงื่อกาฬไหลอาบทั่วร่าง ขนาดนิ้วมือยังกระดิกไม่ได้


ส่วนลายมรรคเว้าแหว่งลึกลับที่อยู่บนดาบแตกนั้นก็หายไป กลับสู่ความเงียบงัน ช่วยอะไรหลินสวินไม่ได้เลย


หลินสวินเคยประมือกับสุ่ยเชียนซานผู้เป็นราชันระดับสังสารวัฏที่มาจากสำนักคนเถื่อนวารี ตอนนั้นก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นเดียวกับตอนนี้


แต่ว่าเขายังคงรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าเมื่อเทียบกับสุ่ยเชียนซานแล้ว เงาร่างภิกษุที่มีกลิ่นอายลี้ลับมืดมิดนั้นยิ่งน่ากลัวเสียกว่า!


“เป็นเขา…”


เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับไม่ได้พูดจามานานมากแล้ว ทำให้เสียงยิ่งอู้อี้คลุมเครือ


ใจหลินสวินเต้นแรง เงาร่างภิกษุนั่นกำลังพูดอยู่!


แต่ว่า ‘เขา’ นี่คือใคร


เด็กหนุ่มดูออกว่ากระบอกตากลวงโบ๋ราวเหวนรกของภิกษุผู้นั้นไม่ได้มองที่ตน แต่เป็นดาบแตกที่อยู่ในมือตน!


หรือว่า ‘เขา’ นี่จะเป็น ‘มัน’ ที่พูดอยู่นี้คือดาบแตกหรือ


“วันคืนไร้สิ้นสุดผ่านไป เขาตายไปนานแล้ว…”


ฉับพลันมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้เย็นยะเยือก มีความเย็นชาเสียดแทงกระดูก ทำให้แก้วหูหลินสวินแทบแตก จิตวิญญาณราวถูกทิ่มแทง มุมปากพลันมีเลือดสดๆ ไหลออกมา


เพียงแค่เสียงเดียว ทั้งยังไม่ได้พุ่งเป้าหลินสวิน กลับทำให้จิตใจของเขาบอบช้ำอย่างหนัก!


ในความเลือนรางหลินสวินเห็นเงาร่างอ้อนแอ้นเงาหนึ่ง ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคย จากนั้นพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ระหว่างทางไม่นานมานี้พวกเขาเคยเห็นศพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเล


ศพนั้นเป็นของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณสามตาบรรพกาล บนร่างมีแต่วิญญาณอาฆาตหนาแน่น ทว่าระหว่างที่หลินสวินไม่ทันได้ใส่ใจ ก็ชำเลืองเห็นว่ามีเค้าร่างอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น จากนั้นก็หายไปในชั่วพริบตา


ตอนนั้นหลินสวินยังนึกว่าตาฝาด แต่เวลานี้เมื่อเขาได้เห็นเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นอีกครั้ง ร่างนั้นก็ยืนอยู่ข้างเงาร่างภิกษุ!


เพียงแต่เงาร่างนั้นถูกปกคลุมอยู่ในแสงทะมึนพร่าเลือนราวภาพลวงตา ไม่อาจเห็นลักษณะที่ชัดเจนได้


“เป็นเขา!”


เงาร่างภิกษุเหมือนไม่พอใจอยู่บ้าง น้ำเสียงโกรธเคือง


ร่างอรชรอ้อนแอ้นเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดว่า “ไปเถอะ ที่จริงพวกเราล้วนพลาดแล้ว…”


เสียงนั้นกลับมีความผิดหวังและอ้างว้างไร้ที่สิ้นสุด


“พลาดหรือ”


เงาร่างภิกษุส่งเสียงทอดถอนใจ เบ้าตาที่ว่างเปล่าเป็นโพรงนั้นไม่ ‘มอง’ มายังดาบแตกของหลินสวินแล้ว หลับตาลงอีกครั้ง


ต่อมาไม่ว่าจะเป็นเงาร่างงามนั้นหรือเงาร่างของภิกษุ กลับหายไปเหมือนฟองมายาในชั่วพริบตา


ส่วนหลินสวินเพียงรู้สึกว่าทั้งร่างผ่อนคลายขึ้นราวได้ชีวิตใหม่ ความกดดันและอึดอัดในจิตวิญญาณมลายสิ้น


เมื่อมองไปยังกองทัพวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็ไม่อาจสัมผัสอะไรได้อีก ราวกับเมื่อครู่เป็นฝันร้ายแปลกประหลาด เงาร่างภิกษุกับร่างอรชรนั้นไม่เคยมีอยู่จริง


หลินสวินหน้าซีดเผือด ทั้งร่างชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น เขาแน่ใจว่าเมื่อกี้ต้องไม่ใช่ภาพฝัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง!


กระทั่งตอนนี้เขาก็ลืมเงาร่างภิกษุพิสดารนั้นไม่ลง เบ้าตาว่างเปล่าไม่มีลูกตา หัวกะโหลกสีดำ จีวรย้อมเลือด ลูกประคำกระดูกขาวลายพร้อย รวมถึงภาพดอกบัวดำแปลกประหลาดบนหัว…


ส่วนเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นยิ่งลึกลับกว่า ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยไอทะมึนขมุกขมัว ไม่อาจเห็นหน้าชัดเจน…


พวกเขาเป็นใคร


ทั้งเหตุใดหลังจากปรากฏตัวขึ้นก็หายไป


ในใจหลินสวินเหม่อลอย


ฆ่า!


เพียงแต่ไม่นานเขาก็ไม่อาจใส่ใจสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยกองทัพวิญญาณอาฆาตนั้นกำลังพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ท่าทางฮึกเหิมน่าหวาดกลัวหาใดเทียบ


แต่หลินสวินเสียความปรารถนาจะต่อสู้ไปแล้ว เงาร่างวูบไหว เคลื่อนตัวเข้าใกล้ยานสำเภา


ทุกอย่างที่ประสบในวันนี้ล้วนพิสดารและคาดเดายากยิ่งนัก เขาต้องสงบใจลงให้ได้


…….


น่านน้ำนี้เดือดพล่าน ไอสังหารปั่นป่วนสภาพอากาศ


ใกล้กับยานสำเภา พวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ ซูซิงเฟิง จ้าวจิ่งเซวียนยังคงต่อสู้อย่างรุนแรงหาใดเปรียบ


หวูดๆๆ!


ทว่าไม่นานนัก เสียงเขาสัตว์ทุ้มต่ำอึมครึมและน่ากลัวดังขึ้นระลอกหนึ่ง นี่เป็นเหมือนคำบัญชา มองเห็นว่ากองทัพวิญญาณอาฆาตมืดฟ้ามัวดินนั้นเริ่มถอยกลับไปดุจกระแสน้ำ


ถอยทัพกลับแล้ว!


พวกจ้าวจิ่งเซวียนล้วนงงงัน จากนั้นก็พลันโล่งอก สู้กันมาถึงตอนนี้ พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย หว่างคิ้วแต่ละคนล้วนปิดบังความเหนื่อยล้าได้ยาก


ส่วนเหล่าผู้ติดตามของพวกเขาได้รับความเสียหายรุนแรง สิ้นชีพไปถึงครึ่งหนึ่ง ตายอนาถในการต่อสู้เมื่อครู่


ต่อให้เป็นพวกที่ไม่ตายไปก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ละคนเลือดไหลไปทั้งตัว ถูกส่งขึ้นไปบนยานสำเภา


“ศิษย์น้องจ้าว ดูท่าผู้ติดตามข้างกายเจ้าคนนั้นจะประสบเคราะห์เสียแล้ว” ซูซิงเฟิงเอ่ยปากขึ้นโดยพลัน สีหน้าของเขาเจือแววหยอกล้อ ชำเลืองมองจ้าวจิ่งเซวียน


คนอื่นก็ล้วนอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าซูซิงเฟิงจะใส่ใจข้ารับใช้คนหนึ่งข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนเอาตอนนี้


ทันใดนั้นพวกเขาก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ราวกับเดาอะไรได้


“ศิษย์พี่ซู ท่านกำลังหัวเราะเยาะข้าหรือ”


จ้าวจิ่งเซวียนนิ่วหน้า น้ำเสียงมีความขุ่นเคือง ไม่มีความใจเย็นและผ่อนคลายอย่างแต่ก่อน


นางรุ่มร้อนใจ การต่อสู้เมื่อครู่นางเห็นหลินสวินถูกวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งตนหนึ่งลอบจู่โจมกับตา แต่ตอนนั้นนางก็ถูกศัตรูพัวพันอยู่ ไม่มีพลังไปช่วยเหลือได้


ไม่คิดเลยว่า ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นร่องรอยของหลินสวินแล้ว


จนกระทั่งตอนนี้กองทัพศัตรูล้วนถอยทัพไป แต่กลับไม่เห็นหลินสวิน นี่จะไม่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนกังวลได้อย่างไร


คนอื่นมองว่าหลินสวินเป็นผู้ติดตาม แต่นางรู้ดีว่าฐานะของหลินสวินพิเศษยิ่ง ไม่อาจเทียบกับผู้ติดตามได้เลย หากเขาประสบเคราะห์จริง นางต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่


“เอาล่ะ พวกเรากลับขึ้นไปบนยานสำเภาก่อน เรื่องที่ต้องทำตอนนี้ก็คือรอผู้เฒ่าเกาหยางกลับมา”


ซูหรันเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน วาจาแม้ไม่ทรงพลัง แต่ผู้อื่นกลับไม่กล้าแย้ง


อีกทั้งเมื่อยกผู้เฒ่าเกาหยางขึ้นมา พวกเขาก็ล้วนหวาดหวั่นในใจ ในศึกเมื่อครู่ ผู้เฒ่าเกาหยางถือเตาเทพหมื่นปักษาไว้ในมือ ต่อกรกับราชันวิญญาณอาฆาตตนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าในการต่อสู้นี้ผู้เฒ่าเกาหยางจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่…


นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหนักใจ ทะเลกลืนวิญญาณกว้างใหญ่ไพศาล อันตรายนับไม่ถ้วน เคราะห์สังหารมากมาย หากไม่มียอดฝีมือระดับผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว


“เอ๋ ศิษย์พี่จ้าว ท่านดูนั่นสิ ผู้ติดตามของท่านยังมีชีวิตอยู่”


ทันใดนั้นเด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียงเอ่ยปากพลางชี้ไปยังที่ไกลออกไป


จ้าวจิ่งเซวียนสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาสุกใสมองไปก็เห็นว่าบนผิวน้ำทะเลที่อวลไปด้วยเมฆหมอกสีดำ มีเงาร่างสูงโปร่งเงาหนึ่งเคลื่อนตัวออกมา เมื่อพินิจดู นั่นไม่ใช่หลินสวินหรอกหรือ


พริบตานั้นดวงตาสุกใสของจ้าวจิ่งเซวียนก็เปล่งประกายยินดีล้นปรี่ ความกังวลและความรู้สึกผิดในใจหายวับไป


ทว่าซูซิงเฟิงกลับอึ้งงัน คิ้วขมวดขึ้นอย่างยากสังเกต ตัวตกอยู่ในส่วนลึกของกองทัพศัตรู แต่เจ้าผู้ฝึกปราณตัวน้อยในโลกชั้นล่างคนนี้ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ด้วย?


——


ตอนที่ 545 เศษเสี้ยวเจตจำนง

โดย

ProjectZyphon

การกลับมาอย่างปลอดภัยของหลินสวินทำให้ทุกคนล้วนตื่นตะลึง


มีชีวิตรอดกลับมาจากส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาต นี่เป็นเรื่องที่ขนาดพวกเขายังไม่แน่ใจว่าจะทำได้ กระนั้นตอนนี้ หลินสวินผู้ติดตามจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งกลับทำได้!


นี่ช่างดูผิดธรรมดาเกินไปแล้ว


ชั่วขณะหนึ่งสายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินอดเจือความประหลาดใจไม่ได้ ทุกคนต่างครุ่นคิด


พวกเขาล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในยุคนี้ ถือเป็นผู้กล้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ ย่อมไม่ขาดสติปัญญาและวิจารณญาณ พอจะใคร่ครวญได้เลาๆ ว่าผู้ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนคนนี้ น่ากลัวจะไม่เรียบง่ายอย่างภายนอก


ทันทีที่หลินสวินกลับมาก็รับรู้ได้อย่างฉับไวถึงบรรยากาศแปลกๆ นี้ ราวกับทุกคนล้วนคาดไม่ถึงอยู่บ้างที่ตนปรากฏตัว


ทันใดนั้นหลินสวินก็ซวนเซ เกือบตกลงไปในทะเลกลืนวิญญาณ จ้าวจิ่งเซวียนรีบเข้าไปประคองไว้แล้วพาเขาขึ้นยานสำเภา


“หลินเสวียน เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือ” จ้าวจิ่งเซวียนถามอย่างใส่ใจ


“ไม่…ไม่เป็นไร…” หน้าหลินสวินซีดเผือดไร้สี เหมือนจะต้องการพิสูจน์ว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ เขาฝืนหยัดกายขึ้น แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พลันกระอักเลือดสีแดงสดออกมา สีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง


“เจ็บหนักขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก!” จ้าวจิ่งเซวียนตำหนิ


“ไม่เป็นไรจริงๆ” หลินสวินฉีกยิ้ม เพียงแต่เพิ่งพูดจบ เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ใบหน้าสุภาพหล่อเหลายิ่งซีดขาวลงไปอีก


“อย่าอวดเก่งเลย กลืนลูกกลอนโอสถนี้ลงไป” จ้าวจิ่งเซวียนนำลูกกลอนวิญญาณสีเขียวหยกเหมือนเนตรมังกรเม็ดหนึ่งออกมา แล้วส่งให้หลินสวิน


“ขอบคุณมากขอรับคุณหนู” หลินสวินกุมมือคารวะอย่างซาบซึ้ง


“ไม่คิดว่าผู้ติดตามศิษย์น้องจ้าวคนนี้จะดวงแข็งนัก ยังสามารถฝ่าวงล้อมของกองทัพวิญญาณอาฆาตกลับมาได้ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ” ซูซิงเฟิงสีหน้าเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงฉายแววถากถางคลุมเครือ


จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้ว ในใจขุ่นเคือง ซูซิงเฟิงคนนี้ไม่ได้พุ่งเป้าหลินสวินแค่ครั้งสองครั้งแล้ว นี่ทำให้นางเริ่มทนไม่ไหว


เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นว่าเซียวหรันยิ้มละมุนกล่าวว่า “บางครั้งโชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ เอาล่ะ คนกลับมาได้ก็เป็นเรื่องดี อย่าพูดอะไรอีกเลย”


เมื่อเขาเอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นจ้าวจิ่งเซวียนหรือซูซิงเฟิงก็ล้วนเงียบกริบไม่ส่งเสียง


เห็นได้ชัดว่าสถานะของเซียวหรันพิเศษนัก ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่เคารพ


เมื่อละครคั่นเล็กๆ ฉากนี้ผ่านไป ก็ไม่มีใครสนใจหลินสวินอีก ทำให้เขาลอบถอนหายใจโล่งอก เขาไม่ได้อยากถูกจำได้เพราะความสามารถเตะตาเกินไป


‘หลินสวิน ไม่เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องหน่อยไหม’ จ้าวจิ่งเซวียนสื่อจิตเสียงเบา


‘ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เมื่อกี้เพียงตั้งใจกระอักเลือดออกมาให้พวกเขาดูสักหน่อย’ หลินสวินสื่อจิตตอบกลับอย่างรวดเร็ว


ทันใดนั้นสายตาของจ้าวจิ่งเซวียนก็ฉายแววประหลาดขึ้นมา ชำเลืองมองหลินสวินเหมือนตำหนิ แล้วสื่อจิตว่า ‘พูดเช่นนี้ เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลยหรือ’


หลินสวินฉีกยิ้มนัยว่ายอมรับ


‘เจ้านี่มันเลวนัก หลอกให้ข้าเป็นห่วงเก้อ’ ดวงตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งประกาย ริมฝีปากเปล่งปลั่งยกขึ้นเล็กน้อย


‘เฮ้อ ข้าก็ไม่มีทางเลือกนะ ข้าถูกซูซิงเฟิงเพ่งเล็งแล้ว หากถูกผู้อื่นจับจ้องเพราะความสามารถเตะตาเกินไปอีก เช่นนั้นจะไม่ดีเอา นี่ข้า…ก็ถือว่าเข้าใจโลก รู้รักษาตัวได้กระมัง’


หลินสวินยักไหล่


จ้าวจิ่งเซวียนหัวเราะ ทันใดนั้นก็พูดอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า ‘เจ้าทำได้ไม่เลวสาเหตุที่ข้าให้เจ้ารับหน้าที่ผู้ติดตามก็เพราะกังวลว่าเจ้าจะถูกจำได้ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณ หากถูกพวกเขารู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าเข้า ต้องเกิดเรื่องคาดไม่ถึงมากมายแน่’


ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งเคลื่อนตัวจากเวิ้งฟ้าไกล ลอยละล่องลงบนยานสำเภา เขามีท่วงท่าราวเซียน หนวดเคราเผ้าผมขาวราวหิมะ เป็นผู้เฒ่าเกาหยางนั่นเอง!


“ท่านผู้เฒ่า ท่านกลับมาแล้วหรือ”


“ท่านผู้เฒ่า ได้ฆ่าราชันวิญญาณอาฆาตนั่นหรือไม่ขอรับ”


พวกเซียวหรันเอ่ยปากถามเซ็งแซ่ เกาหยางกลับมา ทำให้พวกเขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีหัวหน้าสั่งการแล้ว


“ครั้งนี้แม้ไม่ได้ฆ่าเจ้านั่นให้ตาย แต่ว่า ข้ากลับชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงส่วนหนึ่งในตัวมันได้สำเร็จ!”


เกาหยางเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม เขาในตอนนี้ดูสะบักสะบอมไปบ้าง บนเสื้อเปื้อนรอยเลือดไม่น้อย แต่สีหน้ากลับมีความยินดีและตื่นเต้นอย่างยากบดบัง


ทุกคนสะท้านใจยิ่ง อิจฉาตาร้อนกันขึ้นมา เศษเสี้ยวเจตจำนงของราชันตนหนึ่ง นี่เป็นสมบัติล้ำค่าเหนือสิ่งใด ในนั้นบรรจุการหยั่งรู้และประสบการณ์ฝึกปราณของราชันผู้หนึ่งอยู่ หากหลอมมันได้ ย่อมมีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประมาณค่าได้ต่อการฝึกปราณของตน!


มิน่าเล่าผู้เฒ่าเกาหยางถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้…


ทุกคนเคลิบเคลิ้มนัก อดอิจฉาไม่ได้


“เจ้าคนที่ประลองกับข้านั่น เป็นเสี้ยวความคิดที่แปรสภาพจากผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง ตอนนี้มีพลังของราชันระดับสังสารวัฏแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็คาดเดาได้เลยว่า ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลคนนั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งข้ายังสงสัยเลยว่าเขาเป็นอริยะผู้หนึ่ง”


ผู้เฒ่าเกาหยางทอดถอนใจ ทำให้ทุกคนสะท้านอีกครั้ง เสี้ยวความคิดหนึ่ง ผ่านการเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุดแต่ไม่สลายไป ตอนนี้ถึงขั้นก้าวไปอยู่ในระดับสังสารวัฏแล้ว นี่…จะน่าหวาดหวั่นปานไหน


เงาร่างราชันวิญญาณอาฆาตตนนั้นปรากฏขึ้นในสมองหลินสวินอย่างอดไม่อยู่ ยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน บนหัวสวมเกี้ยวประดับที่เหมือนหลอมจากทองเซียน มือถือกระบี่กระดูกขาว ก้มมองใต้หล้า พลานุภาพสะท้านสะเทือน!


แต่ตัวตนเช่นนี้ กลับเป็นเสี้ยวความคิดที่แปรสภาพจากผู้แข็งแกร่งสมัยบรรพกาลผู้หนึ่ง นี่ช่างเกินคาดคิดนัก


ทว่าที่ทำให้หลินสวินตกใจที่สุดก็คือ ผู้เฒ่าเกาหยางที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์สุดยอดผู้หนึ่ง ในการต่อสู้กับราชันวิญญาณอาฆาตตนนี้ไม่เพียงไม่พ่ายแพ้ กลับยังช่วงชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงสายหนึ่งจากอีกฝ่ายมาได้ นี่ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!


หลินสวินไตร่ตรองโดยละเอียด ฉับพลันนึกถึงเตาเทพหมื่นปักษาที่ผู้เฒ่าเกาหยางนำออกมา พอจะชี้ชัดได้ว่า ที่ผู้เฒ่าเกาหยางทำได้เช่นนี้ น่ากลัวจะเกี่ยวข้องกับสมบัติชิ้นนี้


อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงสมบัติสำคัญพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ไม่ด้อยไปกว่าอาวุธเทพ!


หาไม่แล้วด้วยพลังปราณของผู้เฒ่าเกาหยาง คิดจะโจมตีข้ามระดับให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งล่าถอย แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


ราชันคืออะไร


ก็คือตัวตนชั้นยอดที่เริ่มหยั่งถึงกฎแห่งสังสารวัฏ สามารถมีอำนาจเหนือโลกาได้!


บุคคลน่ากลัวระดับนี้ก็เหมือนไร้ศัตรู แทบไม่มีทางถูกผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติล้มได้ราวกับเย้ยฟ้า


“ท่านผู้เฒ่า ที่ข้าก็มีเศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นหนึ่ง ขอให้ท่านดูสักครั้ง”


ฉับพลันเซียวหรันเอ่ยปาก บนฝ่ามือปรากฏดวงแสงเปล่งประกายช่วงโชติดวงหนึ่ง มีท่วงทำนองมรรคอันลึกลับไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง มองรูปร่างที่แท้จริงไม่ชัดเจน


ทันใดนั้นสายตาทุกคู่บนยานสำเภาก็ถูกดึงดูด


เซียวหรันอธิบายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้มาจากร่างวิญญาณอาฆาตที่ถูกข้าสังหารตนหนึ่งในการต่อสู้เมื่อครู่”


ผู้เฒ่าเกาหยางนำไปถือไว้ในมือแล้วมองดู จากนั้นจึงพูดชื่นชมว่า “นี่เป็นรอยประทับเจตจำนงที่เหลืออยู่ของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลท่านหนึ่งจริงๆ ภายในมีประสบการณ์และความหยั่งรู้ของผู้แข็งแกร่งผู้นี้อยู่ ที่น่าเสียดายก็คือ มันคลุมเครือและไม่สมบูรณ์เกินไป”


ทุกคนได้ยินดังนั้นก็อดผิดหวังไม่ได้


“อย่าดูถูกสิ่งนี้ นี่เป็นถึงรอยประทับเจตจำนงที่เหลืออยู่ของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเชียวนะ…”


ผู้เฒ่าเกาหยางชี้แนะอย่างมีน้ำอดน้ำทน


ในยุคบรรพกาลมีผู้แข็งแกร่งมากมายนัก ผู้ที่สามารถทิ้งเสี้ยวความคิดไว้ได้โดยทั่วไปล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดแห่งยุค พลังของพวกเขาแข็งกล้ามาก หลังจากสิ้นชีพไปถึงสามารถทิ้งรอยประทับ ร่องรอย เจตจำนงที่แตกเป็นเสี่ยงส่วนหนึ่งไว้ได้ ไม่หวั่นว่าจะสึกกร่อนไปตามกาล ดำรงอยู่จนตอนนี้


เสี้ยวความคิดเหล่านี้เติบโตขึ้นเพราะวาสนา อาศัยเจตจำนงที่แตกเป็นเสี่ยงฝึกปราณใหม่อีกครั้ง ดังนั้นจึงกลายเป็นวิญญาณอาฆาตอย่างที่เห็นทุกวันนี้


แน่นอนว่าวิญญาณอาฆาตทั่วไปแปรสภาพมาจากความอาฆาตแค้น แต่ยอดฝีมือวิญญาณอาฆาตกลับครอบครอง ‘เจตจำนงแตกเป็นเสี่ยง’ ดังนั้นถึงได้ยิ่งทรงพลังขึ้น


อย่างราชันวิญญาณอาฆาตตนนั้น ก็เป็นตัวแทนที่ชัดเจนที่สุด


ส่วน ‘เศษเสี้ยวเจตจำนง’ ที่เซียวหรันเก็บมาได้ แม้ดูคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ถือเป็นสิ่งที่ผู้โดดเด่นแห่งบรรพกาลผู้หนึ่งทิ้งไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง หากนำไปหลอม จะส่งเสริมการฝึกปราณของตนอย่างยิ่ง


ด้วยคำอธิบายนี้ ทุกคนก็ล้วนเคลิบเคลิ้มพากันตื่นเต้น ด้วยในการสังหารดุเดือดเมื่อครู่ ไม่เพียงเซียวหรันที่ได้รับเศษเสี้ยวเจตจำนง พวกเขาแต่ละคนเองก็ได้มาเช่นกัน


“โธ่ ถ้ารู้เช่นนี้ก่อน ข้าก็จะตั้งใจไปฆ่ายอดฝีมือวิญญาณอาฆาตพวกนั้น แล้วชิงเศษเสี้ยวเจตจำนงในตัวพวกเขามา”


เด็กน้อยในชุดหลากสีเหวินเสียงถอนใจ เขาเพิ่งได้เศษเสี้ยวเจตจำนงมาสองชิ้นจึงไม่พอใจยิ่งนัก


สิ่งที่ผู้อื่นได้มาก็ไม่ต่างกันนัก เมื่อพูดถึงวาสนานี้ก็ล้วนเสียดายเหมือนเหวินเสียง


นี่เป็นถึงเศษเสี้ยวเจตจำนงที่ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ หากสามารถหลอมและหยั่งถึงได้ ถึงขั้นที่สามารถรับรู้ได้ถึงวิถีแห่งการฝึกปราณเมื่อครั้งบรรพกาล! นี่เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง!


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับตื่นเต้นยิ่งนัก ในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาใช้เจดีย์สมบัติไร้อักษรกำราบผู้แข็งแกร่งวิญญาณอาฆาตได้ถึงสิบกว่าตน!


แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาย่อมไม่แพร่งพรายเด็ดขาด


“นี่ก็คือทะเลกลืนวิญญาณ แม้จิตสังหารปกคลุมไปทั่ว เต็มไปด้วนอันตราย แต่ในทะเลกลับมีวาสนาที่ไม่อาจคาดคิดมากมาย อย่างเศษเสี้ยวเจตจำนงนี้ ขนาดในดินแดนรกร้างโบราณยังพบได้น้อยนัก”


ผู้เฒ่าเกาหยางทอดถอนใจแล้วเอ่ยแนะว่า “ไม่ต้องท้อใจไป รอเข้าไปในแดนลับอสูรมารอริยะ จะยิ่งมีวาสนามากกว่านี้รอพวกเจ้าช่วงชิง”


สายตาทุกคนล้วนฉายแววไหวกระเพื่อม


ผ่านการสังหารฆ่าฟันเมื่อครู่มา พวกเขาต่างเข้าใจแล้วว่า วาสนาในทะเลกลืนวิญญาณเรียกได้ว่าหายากเกินที่ใดในใต้หล้า ต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง!


นี่ทำให้พวกเขายิ่งตั้งตาคอยแดนลับอสูรมารอริยะที่กำลังจะได้พบแห่งนั้น


……


ยานสำเภาเดินทางต่อไป น่านน้ำกว้างใหญ่ไพศาลและลึกลับคืนสู่ความเงียบเชียบ ไอหมอกมืดมัวอบอวล ลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้


ทุกคนล้วนกลับเข้าไปในห้องผู้โดยสารแล้ว เพิ่งผ่านศึกใหญ่มาครั้งหนึ่ง ส่งผลให้พวกเขาใช้พลังไปมากยิ่ง จำต้องฟื้นพลังปราณกลับมา


บนยานสำเภามีผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ ทำให้พวกเขาไม่กังวลว่าจะเกิดอันตรายใด


‘ดูท่า ไม่ว่าจะเป็นพวกเซียวหรันหรือผู้เฒ่าเกาหยาง พวกเขาล้วนไม่รับรู้ว่าภิกษุประหลาดกับเงาร่างลึกลับนั้นเคยปรากฏตัวขึ้น…’


หลินสวินก็กลับไปยังห้องของตน นึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ ในใจเขาอดสงสัยอยู่บ้างไม่ได้


ภิกษุประหลาดกับเงาร่างลึกลับนั้น ต้องมีพลังของผู้แข็งแกร่งระดับสังสารวัฏแน่ กระทั่งยังน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ แต่การปรากฏตัวของพวกเขากลับไม่ดึงดูดให้ผู้อื่นสังเกตเห็น มีเพียงตนที่เคยเผชิญหน้ากันซึ่งหน้า นี่ช่างน่าตกใจเกินไปแล้ว


หรือว่า…


พวกเขาจะถูกตนดึงดูดงั้นหรือ


ไม่ใช่!


ดาบแตกต่างหาก!


หลินสวินนำดาบแตกขึ้นมาสังเกตใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง


สมบัติโบราณชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นในดินแดนรกร้างโบราณ ลึกลับและทรงพลัง ครอบครองพลานุภาพที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้า แม้ไม่สมบูรณ์ แต่อานุภาพไม่ด้อยกว่าอาสัญสลายหรือกระถางสมบัติเก้ามังกร


แต่เมื่อผ่านเรื่องราววันนี้มา กลับทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ที่มาของดาบแตกเล่มนี้ดูท่าจะลึกลับและทรงพลังกว่าที่ตนคาดไว้!


__

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)