Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 532-540
ตอนที่ 532 ตัดสินคนจากภายนอก
โดย
ProjectZyphon
ยามพลบค่ำ ตะวันเคลื่อนคล้อยลับแผ่นฟ้า
นครต้องห้ามประตูเมืองตะวันออก ขบวนแปลกประหลาดขบวนหนึ่งหลั่งไหลมา ผู้ชายสวมหนังสัตว์เก่าคร่ำคร่า ผู้หญิงสวมผ้าป่านเนื้อหยาบ เด็กน้อยส่วนหนึ่งเปลือยก้นว่างเปล่าเปลือยเท้าวิ่งไปทั่ว มากมายยิ่งใหญ่มากกว่าหนึ่งร้อยคน
ทหารยามของจักรวรรดิที่เฝ้าประตูเมืองต่างมึนงงอยู่บ้าง นี่มันคนบ้านนอกจากที่ไหนกัน เสื้อผ้าก็ช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าจะต้องออกมาจากชนบทเล็กๆ ห่างไกลความเจริญอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น! เข้าแถว ทำการตรวจสอบ!”
ทหารยามนายหนึ่งตะโกนลั่น คนเหล่านี้ผิดปกติเกินไปแล้ว ที่นี่คือนครต้องห้าม เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ จะให้คนมั่วซั่วเข้ามาได้อย่างไร?
เพี๊ยะ!
เพิ่งพูดจบ ทหารยามนายนี้ก็ถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดเข้าไปเต็มๆ เล่นเอาเขาสับสนมึนงง หัวสมองเบลอไปหมด
ที่ทำให้เขาตกตะลึงนิ่งอึ้งที่สุดคือ คนที่ตบเขานั้นก็คือหัวหน้าทหารยาม!
“ใต้เท้า เหตุใดท่าน…” ทหารยามถามเสียงสั่นเครือ
กลับเห็นหัวหน้าทหารยามไม่สนใจเขาเพียงนิด รีบเร่งเดินไปยังขบวนแปลกประหลาดกลุ่มนั้นราวกับไฟลนก้น ใบหน้าที่อดีตเคยเคร่งขรึมเย่อหยิ่ง เวลานี้กลับเผยรอยยิ้มอบอุ่นนอบน้อมหาใดเปรียบ
ทหารยามตะลึงงันอยู่ตรงนั้นทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน นั่นไม่ใช่คนบ้านนอกที่เหมือนกับขอทานกลุ่มหนึ่งหรอกรึ ควรค่าต่อการทำเช่นนี้หรือ
เห็นหัวหน้าทหารยามและหนุ่มน้อยคนหนึ่งพูดเสียงเบาคุยอะไรกันสักอย่าง และยิ้มหน้าบานโค้งตัวลง พยักหน้าโก้งค้อมเอวหลีกทางให้ชาวบ้านเหล่านั้น ไม่แม้แต่ทำการตรวจสอบอย่างที่เคยเพียงนิดก็ปล่อยไปทั้งอย่างนั้น!
จนกระทั่งขบวนแปลกประหลาดขบวนนั้นจากไป หัวหน้าทหารยามยังคงโค้งตัวอยู่เหมือนเดิม โบกมือบอกลาอย่างกระตือรือร้นหาใดเปรียบ
ท่าทางเช่นนั้นดูเอาใจใส่กระตือรือร้นยิ่งกว่าส่งญาติพี่น้องตนเองเสียอีก ทหารยามที่เมื่อครู่ถูกตบไปทีหนึ่งลูกตาแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? ปีนั้นตอนที่หัวหน้ารับแม่ของเขาเข้ามายังนครต้องห้าม ยังไม่นอบน้อมกระตือรือร้นขนาดนี้ด้วยซ้ำ!
เวลานี้เองหัวหน้าทหารยามปาดเหงื่อเดินกลับมา เมื่อเห็นทหารยามนั่น ขาข้างหนึ่งพลันเตะออกมาทันทีก่อนด่าว่า “เจ้าเด็กเวรนี่ แต่ก่อนฉลาดเป็นกรด ทำไมวันนี้ตาบอดซะได้!? เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อกี้เกือบทำข้าตายไปด้วยแล้ว!”
ทหารยามถูกถีบลงกับพื้น กลับไม่สนใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กล่าวว่า “หัวหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หัวหน้าทหารยามตอบอย่างเดือดดาล “เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูไม่ออกหรือว่านั่นคือหลินสวิน แม้แต่หลิงเทียนโหวยังเคยถูกเขาถล่มมาแล้ว คนแบบนี้ใช่คนที่เจ้ากับข้าหาเรื่องได้รึ”
ทหารยามชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบสนองขึ้นมาทันควัน ร้องออกมา “เขา… เขาคือคนที่… คนที่…” ถูกทำให้ตกตะลึงซะจนพูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา
“ใช่ ก็เขานั่นแหละ! เจ้าหมอนี่ตอนนี้ยิ่งใหญ่นัก ในนครต้องห้ามนี่เกรงว่าคงมีน้อยคนที่กล้าหาเรื่องเขา…”
หัวหน้าทหารยามทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง
แต่ทหารยามนั่นกลับตะลึงงันอยู่ตรงนั้น บุคคลระดับนี้เหตุใดจึงพาคนบ้านนอกกลุ่มหนึ่งเข้าเมือง
หากเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะหัวหน้าออกหน้าให้ ตนไม่ใช่ว่าขัดใจนายน้อยผู้โดดเด่นเป็นสง่าในนครต้องห้ามและมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วคนนี้ไปแล้วหรอกรึ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทหารยามก็สั่นสะท้านไปทั่วร่าง นึกกลัวไม่หยุด
…
ขบวนนั้นย่อมต้องเป็นชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นที่กลับมาพร้อมหลินสวิน
ระหว่างทางที่โดยสารเรือรบอินทรีเหินกลับมา เหล่าผู้ฝึกปราณอย่างพวกมู่หวั่นซูที่มาจากอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ตระกูลกงเหล่านี้ต่างทยอยแยกย้ายกันไป
หลังจากส่งหลินสวินและชาวบ้านเหล่านี้กลับมายังนครต้องห้าม เรือรบอินทรีเหินที่เป็นของกองทัพเลือดเหล็กก็กลับไป
เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นกับชาวบ้านเหล่านี้ หลินสวินจึงคิดจะพาพวกเขาไปพำนักบนภูเขาชำระจิต ถึงอย่างไรที่แห่งนั้นก็ใหญ่เพียงพอ สามารถมอบแดนสุขาวดีผืนหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างอุ่นใจได้อย่างสมบูรณ์
“ท่านพ่อ เมื่อครู่ใต้เท้าที่เฝ้าประตูเมืองคนนั้นดูเหมือนจะกลัวพี่หลินสวินมากเลยนะ”
อิงหลิวเอ๋อร์กล่าว
สามปีผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กแก่นที่ปีนั้นเคยได้รับการชี้แนะวิชายุทธ์จากหลินสวินก็เติบโตเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยคนหนึ่ง ผิวสีน้ำตาลแดง ฟันขาวดุจหิมะ ดวงตาหมุนวนไหลเคลื่อนไปมา ฉลาดปราดเปรียวอย่างเห็นได้ชัด
อิงหาวเกาหัวน้อยๆ กล่าวคลุมเครือ “น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” จากนั้นเขาก็ถลึงตา “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย อย่าจุ้นไม่เข้าเรื่อง ที่นี่คือนครต้องห้าม เมืองหลวงของจักรวรรดิ ข้าอยู่มาชั่วชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามา เจ้าลูกชายอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้พี่หลินสวินของเจ้าเชียว!”
ไม่เพียงแต่อิงหาวเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ชาวบ้านคนอื่นต่างก็คิดแบบเดียวกัน ตั้งแต่เข้ามายังนครต้องห้าม มองเห็นความเจริญรุ่งเรืองหาใดเปรียบ ทัศนียภาพที่หลายหลากแปลกตาทั้งหมดนั่น พวกเขาต่างถูกทำให้ตกตะลึง ไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อสายตาตัวเอง รู้สึกราวกับก้าวเข้าสู่อาณาจักรเซียนในตำนาน
ตลอดชีวิตพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในหมู่เขาสามพันคีรีที่ห่างไกล ไม่ต้องพูดถึงการเข้านครต้องห้ามเลย แทบไม่มีโอกาสเข้าเมืองตงหลินที่อยู่ชายแดนจักรวรรดิด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้หลินสวินพาพวกเขาเข้าสู่นครต้องห้ามโดยตรง ทำให้พวกเขาทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล ตลอดทางรู้สึกว่ามีดวงตาไม่เพียงพอ
เดิมทีหลินสวินคิดจะว่าจ้างเกี้ยวสมบัติส่วนหนึ่งบรรทุกพวกเขาไปยังภูเขาชำระจิต แต่ข้อเสนอนี้กลับถูกหัวหน้าหมู่บ้านเซียวเทียนเริ่นปฏิเสธ
ตามที่เขากล่าว ชีวิตนี้พวกเขาเข้ามายังนครหลวงแห่งจักรวรรดิเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าอยากอาศัยโอกาสนี้มองดูความรุ่งเรือง เจิดจรัส เจริญเฟื่องฟูนี้ทั้งหมดด้วยตาตนเองทีละก้าวเป็นธรรมดา
หลินสวินเข้าใจจิตใจของพวกเขาดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ปฏิเสธ และพาพวกเขาเดินมาตามช่วงถนนอันเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้
เพียงแต่ตลอดทางกลับทำให้หลินสวินคิ้วขมวดอยู่บ้าง เพราะพวกเขาขบวนนี้ช่างแปลกประหลาดเกินไป การแต่งกาย ลักษณะท่าทาง และรูปร่างหน้าตาของเหล่าชาวบ้านนั้น ได้รับเสียงเหน็บแนมเย้ยหยันไม่น้อย ยิ่งนำมาซึ่งความรังเกียจและท่าทางขับไล่ไสส่งมากมาย
นี่ทำให้ความดีใจและตื่นเต้นภายในใจของชาวบ้านเหล่านั้นหดหายลงไปไม่น้อย เปลี่ยนเป็นเงียบสงบ พวกเขาไม่ได้โง่ สามารถรับรู้ถึงความรังเกียจและกีดกันที่อบอวลไปตลอดทางเป็นธรรมดา
“หลินสวิน พวกเรา… ทำให้เจ้าเสียหน้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเรารีบไปยังภูเขาชำระจิตนั่นที่เจ้าบอกเถอะ”
ป้าเฉี่ยวสีหน้าละอายใจ พูดเสียงต่ำอย่างรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง
สายตาของชาวบ้านคนอื่นต่างก็จ้องมองมา
หลินสวินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ป้าเฉี่ยว อย่าได้คิดมาก นครต้องห้ามก็เป็นเช่นนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกที่ตัดสินคนจากภายนอกอยู่บ้าง”
เขาพูดพลางมองไปบนท้องฟ้า ก่อนกล่าว “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ข้าพาทุกคนไปกินข้าวก่อน หลังจากนั้นค่อยกลับบ้านกัน!”
พวกเด็กๆ อย่างอิงหลิวเอ๋อร์โห่ร้องยินดีขึ้นมาทันที พวกเขาหิวมาตั้งนานแล้ว
หอสรวลทรัพย์
หอสุราแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดในนครต้องห้าม สร้างขึ้นบนใจกลางทะเลสาบกว้างใหญ่ สูงร้อยฉื่อ ทั้งอาคารราวก่อขึ้นจากหินหยก ปรากฏแสงเหลือบเจิดจรัสยามค่ำคืน งามตระการหาใดเปรียบ
เมื่อเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมากมายมหาศาล สาวใช้คนงามที่เรียงแถวต้อนรับแขกอยู่นอกหอก็ตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ในอดีตที่ผ่าน ผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยซึ่งเข้าออกหอสรวลทรัพย์ต่างก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคม
แต่ค่ำวันนี้กลับมีชาวบ้านนับร้อยที่แต่งตัวอัปลักษณ์วิ่งเข้ามา ทำให้เหล่าสาวใช้คนงามเกือบจะคิดว่ามีคนจงใจมาหาเรื่องแล้ว
“คุณชาย ไม่ทราบว่าท่านได้ทำการจองไว้หรือไม่” สาวใช้นางหนึ่งสะกดกลั้นกิริยาเอาไว้ ถามหลินสวินด้วยเสียงแผ่วเบา นางดูออกว่าหลินสวินคือผู้นำ
“พวกเรามากินข้าว ช่วยเตรียมให้พวกเราสักหน่อยแล้วกัน” หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก
“นี่…” สาวใช้นั่นลำบากใจอยู่บ้าง “คืนนี้ห้องส่วนตัวในหอถูกจองไว้หมดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มิสู้คุณชายท่าน… เปลี่ยนสถานที่ดีไหมเจ้าคะ”
หลินสวินชะงักกึก จองไว้หมดแล้ว?
“หลินสวิน งั้นพวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะ นี่มัน… ที่นี่ราวกับวิหารเซียน ให้พวกเราเข้าไปกินข้าวก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น ใบหน้าเจียมตัว
ชาวบ้านคนอื่นต่างก็มึนงงไม่มากก็น้อย พวกเขาชีวิตนี้ไม่เคยมาใช้บริการยังสถานที่เช่นนี้มาก่อน ต่างไม่กล้าจินตนาการว่าที่นี่คือหอสุราแห่งหนึ่ง ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก
ฉากนี้กระตุ้นให้สาวใช้พวกนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรืดออกมา นั่นทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นรู้สึกเจียมตัวและเกรงใจยิ่งกว่าเดิม
ชาวเขาที่กรำแดดกรำฝนในทุ่งนาทั้งวันเหล่านี้ ไหนเลยจะเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ สีหน้าท่าทางต่างเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง
หลินสวินกลับสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที สายตากวาดมองไปยังสาวใช้พวกนั้น ทำให้พวกนางทุกคนเก็บงำใบหน้าเปื้อนยิ้มไปชั่วขณะ เพียงแต่ท่าทีกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาก
แม้ว่าพวกนางล้วนถูกอบรมเรื่องการปฏิบัติตัวมาอย่างดี แต่การปฏิบัติตัวเช่นนี้ก็อยู่ที่ว่าใช้กับแขกประเภทใด แต่ในสายตาพวกนาง หลินสวินเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งยังพาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาด้วย แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คุณชายร่ำรวยสูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางใด แน่นอนว่าไม่อาจทำให้พวกนางนอบน้อมถ่อมตน ปฏิบัติตัวอย่างมีมิตรจิตมิตรใจได้
หลินสวินคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนาง แค่สาวใช้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกนางลำบากใจ
เดิมทีเขาคิดจะพาชาวบ้านกลุ่มนี้มากินอาหารดีๆ สักมื้อ ได้เห็นทัศนียภาพชั้นดีที่สุดของนครต้องห้ามสักหน่อย ใครจะคิดว่าต้องเจอกับเรื่องราวเช่นนี้ ทำให้หมดสนุกไปหน่อยจริงๆ
เวลานี้ที่ไกลออกไปพลันเกิดเสียงตวาดไม่พอใจเสียงหนึ่งดังขึ้น “ขอทานจากไหนเยอะแยะเนี่ย หอสรวลทรัพย์นี่กลายเป็นเขตพรรคกระยาจกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“หวังหู่ พวกเจ้าไปดูซิ อย่าให้พวกขอทานนี่เกะกะขวางทาง!”
ตามหลังเสียงตวาดนั่น คนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากที่ห่างไกล เป็นกลุ่มชายหญิงรุ่นเยาว์ แต่ละคนสวมใส่อาภรณ์แพรเลิศหรู บุรุษรูปสง่า สตรีงามงด ไม่ธรรมดายิ่งนัก
ข้างกายยังตามมาด้วยข้ารับใช้กลุ่มหนึ่ง เสียงตวาดนั่นออกมาจากกลุ่มข้ารับใช้คนหนึ่ง
และขณะที่พูด ข้ารับใช้เหล่านั้นพุ่งตรงมาข้างหน้าราวกับพวกอันธพาลก็มิปาน หมายผลักชาวบ้านที่ขวางทางเหล่านั้น เปิดทางให้กับบรรดาชายหญิงรุ่นเยาว์ที่ตามมาด้านหลัง
หลินสวินเดิมก็คับข้องใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นคนพวกนั้นไร้มารยาทเช่นนี้ก็อารมณ์ไม่ดีทันที หายตัววูบไปปรากฏ ณ ที่นั้น สะบัดชายเสื้อเพียงครั้ง พลันเกิดคลื่นลมรุนแรงม้วนพัดออกไป
พลั่ก! พลั่ก!
เกิดเสียงพัดกระจัดกระจาย บรรดาข้ารับใช้ที่พุ่งเปิดทางพวกนั้นต่างไม่ทันได้ตอบสนองก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ถูกกระแทกปลิวออกไปอย่างหนักหน่วง แต่ละคนจมูกปากกบเลือด กลิ้งลงไปกองกับพื้น น่าอเนจอนาถถึงที่สุด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก และก็จบลงเร็วมากเช่นกัน ยามเหล่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นที่เดินตามมามีปฏิกิริยาตอบสนอง ข้ารับใช้ก็นอนอยู่กับพื้นร้องโอดโอยไม่หยุดแล้ว
“รนหาที่ตาย!”
คุณชายคนหนึ่งโกรธมาก
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็ถูกคนข้างๆ คนหนึ่งห้ามไว้ “อย่าใจร้อน”
คนที่พูดคือชายหนุ่มร่างสูงท่วงท่าสง่างามคนหนึ่ง เห็นชัดว่าเขาจำหลินสวินได้ เพียงแต่แววตาที่มองมานั้นกลับฉายแววชั่วร้าย กระทั่งมีความอาฆาตแค้นและเกลียดชังเสี้ยวหนึ่ง
“ข้าก็ว่าอยู่ว่าเป็นใคร ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้า ทำตัวอันธพาลนัก! ไม่ถามไถ่อะไรก็หมายจะลงมือกับคนของข้าหรือ”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดปราด เมื่อมองเห็นใบหน้าของหนุ่มสาวเหล่านั้นชัดเจน ก็จำ ‘คนคุ้นเคย’ บางคนในนั้นได้
เป็นพวกองค์หญิงหลิงหวงและฉีอวี้แห่งสาขายอดยุทธศาสตร์!
คนที่ห้ามคุณชายนั่นไว้เมื่อครู่ ก็คือฉีอวี้
………………
ตอนที่ 533 เจ้าของหลังม่าน
โดย
ProjectZyphon
เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงตวาดว่าอย่างไม่เกรงใจของหลินสวิน สีหน้าของพวกฉีอวี้ องค์หญิงหลิงหวงต่างก็อึมครึมและไม่น่าดูอยู่บ้าง
คืนนี้พวกเขามาร่วมงานเลี้ยง ไหนเลยจะคิดว่ายังไม่ทันได้เข้าประตูใหญ่หอสรวลทรัพย์ กลับต้องมาเจอกับหลินสวิน!
หากเป็นก่อนหน้านี้ ด้วยนิสัยหยิ่งผยองเอาแต่ใจขององค์หญิงหลิงหวง คงอาละวาดไปนานแล้ว แต่นับจากที่หลินสวินกลายเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ชื่อเสียงสั่นสะเทือนใต้หล้า แม้แต่ราชวงศ์ยังเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขา องค์หญิงหลิงหวงจึงไม่กล้าหุนหันพลันแล่นอีก
เด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ดูเหมือนอายุยังน้อยกว่าพวกเขา แต่สถานะและอำนาจในทุกวันนี้ ล้ำหน้าคนรุ่นเดียวกันไปมากโข
ด้วยเหตุนี้แม้ฉีอวี้ที่เคยถูกหลินสวินบีบบังคับให้คุกเข่า เวลานี้ก็ได้แต่ควบคุมความชิงชังและความโกรธภายในใจอย่างเต็มที่
“ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เจ้ากลับไม่สนใจใยดี ทำให้ข้ารับใช้ของข้าบาดเจ็บ หลินสวิน เจ้าทำเช่นนี้ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ”
ฉีอวี้สูดหายใจลึก เอ่ยปากเสียงแข็ง
หลินสวิน!
ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เหล่าคนหนุ่มสาวที่อยู่ข้างกายฉีอวี้และองค์หญิงหลิงหวงพวกนั้นต่างอ้าปากค้าง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้เป็นใคร!
นี่ก็คือบุคคลโหดร้ายป่าเถื่อนที่ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วคนหนึ่ง อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้บรรดาคนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งมา ก็เกรงว่าจะไม่ยอมขัดใจเจ้าหมอนี่โดยง่าย
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากเจ้าหมอนี่มันวิปริตเกินไป ในนครต้องห้ามทุกวันนี้ เป็นคนเหี้ยมโหดที่ผู้คนต่างให้การยอมรับ ไม่มีใครอยากหาเรื่องกับคนเช่นนี้หรอก
“เจ้าบอกว่าข้าทำเกินไปหรือ”
หลินสวินมุ่นคิ้ว กวาดตามองฉีอวี้อย่างเย็นชา “ดูท่า เจ้ายังคิดว่าคนรับใช้พวกนั้นของเจ้าเมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรผิด?”
ฉีอวี้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถูกสายตาของหลินสวินมองจนพลันอึดอัดไปทั้งตัว ถึงแม้เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวิน ในใจก็กลัวลนลานเหมือนเดิม
ช่วยไม่ได้ ครั้งก่อนที่ช่วยกู้อวิ๋นถิงแย่งชิง ‘เขาวัวขุย’ เขาถูกหลินสวินกำราบให้คุกเข่าในคราเดียว ในใจจึงหลงเหลือเงามืดอยู่
เขากัดฟันพูด “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ใครจะรู้ว่าคนพวกนั้น… คือคนของเจ้า”
สายตาเขามองไปยังชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นที่อยู่ไม่ไกล ในใจก็รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมพอควร พวกคนสวมใส่ชุดน่าเกลียดราวกับขอทานกลุ่มหนึ่ง ใครจะคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ใหญ่หลวงกับหลินสวิน
หากรู้เรื่องพวกนี้แต่แรก พวกเขาจะยอมหลบลี้หนีไปให้ไกล!
“ขอโทษ!”
หลินสวินคร้านจะพูดมากความ พูดสั้นกระชับได้ใจความ
“เจ้า…”
ฉีอวี้สีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ให้เขาลูกหลานสายตรงตระกูลฉีอันสง่างามน่าเกรงขามขอโทษชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเนี่ยนะ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป หลังจากนี้จะให้เขาเป็นผู้เป็นคนอย่างไรได้อีก
“หลินสวิน แม้ราชวงศ์ของข้าไม่คิดจะสืบสาวเอาความความผิดของเจ้าในอดีตอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถไม่เกรงกลัวฟ้าดินได้!”
องค์หญิงหลิงหวงทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรู้สึกว่าคืนนี้พวกเขาทนมาเพียงพอแล้ว แต่หลินสวินยังคงกัดแน่นไม่ปล่อย นั่นทำให้นางอดรนทนไม่ไหวทันที
“เหอะๆ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเป็นตัวแทนราชวงศ์แห่งจักรวรรดิได้งั้นรึ”
หลินสวินถามกลับ เขาไม่เคยรู้สึกดีกับองค์หญิงหลิงหวงที่เอาแต่ใจหยิ่งผยองเช่นนี้ เห็นนางทำท่าโอหังอวดดีมาตำหนิตน ทำให้หลินสวินอารมณ์ไม่ดีทันที เทียบกับองค์หญิงจิ่งเซวียนแล้ว อันธพาลคนนี้ยิ่งทำให้คนไม่ชอบเข้าไปใหญ่
“หลินสวิน เจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่”
องค์หญิงหลิงหวงหน้าเขียว
“ข้าบอกไปแล้ว ขอโทษ”
หลินสวินใบหน้าไร้ความรู้สึก “มิฉะนั้น วันนี้พวกเจ้าใครก็อย่าหวังจะได้กลับไป!”
ที่นี่คือหน้าหอสรวลทรัพย์ เป็นเวลาค่ำคืนที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด เขตพื้นที่บริเวณนี้ยังมีผู้คนสัญจรไปมา การเคลื่อนไหวของพวกเขาตรงนี้ทำให้ผู้คนใกล้เคียงมากมายตื่นตระหนกตกใจ ต่างพากันส่งสายตามองมา ส่งเสียงกระซิบกระซาบ
“ที่แท้เขาก็คือหลินสวิน ท่าทีดูไม่เกรงกลัวสิ่งใดจริงอย่างที่เล่าลือ แม้แต่พวกองค์หญิงหลิงหวง ฉีอวี้ล้วนไม่อยู่ในสายตา”
“แหะๆ น่าสนใจ คืนนี้ไม่มาเสียเที่ยว มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”
“พวกที่เหมือนกับขอทานนั่นเป็นใคร ทำไมหลินสวินถึงกับฉีกหน้าพวกองค์หญิงหลิงหวงเพื่อพวกเขา”
“ชู่ว! หุบปาก! ขอทานอะไร เจ้าอยากตายก็อย่าลากข้าไปเกี่ยวด้วยสิ ถ้าถูกหลินสวินได้ยินเข้า เจ้าอย่าได้บอกว่ารู้จักข้าเชียว!”
ส่วนเหล่าสาวใช้คนงามที่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูหอสรวลทรัพย์นั้น เวลานี้แต่ละคนต่างตะลึงงันอยู่กับที่ นิ่งอึ้งราวกับรูปปั้นดิน
หลินสวิน!
เมื่อครู่… คนที่ถูกพวกนางปฏิเสธไม่ให้เข้าไป ถึงกับเป็นเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์ซึ่งสั่นสะเทือนนครต้องห้ามคนนั้น!
แต่ว่า ทำไมเขาถึงพาคนบ้านนอกกลุ่มหนึ่งมาล่ะ! นี่มัน นี่มัน…
ชั่วขณะเดียวสาวใช้พวกนั้นต่างสับสน ในใจรู้สึกร้อนอกร้อนใจ สีหน้าปรวนแปร เกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายเป็นอันมาก
ที่น่าเสียดายคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินต่างไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางแม้แต่น้อย
เพียงแต่เมื่อชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นถูกพวกข้ารับใช้ของฉีอวี้ล่วงเกิน หลินสวินก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
หากยังไม่เอาความอีก ก็จะกลายเป็นว่าเขาหลินสวินจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็ได้!
ด้วยเหตุนี้ เวลานี้ท่าทีหลินสวินจึงหนักแน่นถึงที่สุดอย่างเห็นได้ชัด ขอโทษ ไม่ขอโทษก็อย่าหวังได้กลับไป! ถึงแม้เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต หลินสวินก็ไม่สนใจ
อย่างไรในนครต้องห้ามทุกวันนี้ หลินสวินไม่กังวลว่าจะยังมีใครกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเขา
“เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการข่มขู่ผู้คนเช่นนี้”
น้ำเสียงฉีอวี้ราวกับลอดออกมาจากไรฟัน ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองอยู่ ถูกหลินสวินบีบบังคับอยู่ตรงนี้ ต้องการให้พวกเขาขอโทษชาวบ้านพวกนั้น นั่นทำให้เขาปรากฏสีหน้ารับไม่ได้
“ทำไม เจ้ายังคิดจะลงมือกับข้างั้นสิ”
นัยน์ตาดำขลับของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ
“เจ้า…”
ฉีอวี้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว เจ้าหลินสวินนี่เซ้าซี้เกินไป ไม่ลดราวาศอก เหมือนกับหินที่อยู่ในส้วมทั้งเหม็นทั้งแข็งจริงๆ
ขณะเดียวกันภายในใจเขาก็หวาดกลัวอยู่บ้าง ครั้งก่อนถูกหลินสวินทำให้พ่ายแพ้ ทำให้เขาเสียหน้าไม่เหลือ ไม่อาจเงยหน้าขึ้นในสาขายอดยุทธศาสตร์ หากครานี้ลงมือกับหลินสวินแล้วถูกกำราบอีกครั้ง นั่นคงต้องอับอายไปถึงตระกูล
“หลินสวิน ข้าว่าพอแค่นี้เถอะ”
หัวหน้าหมู่บ้านเซียวเทียนเริ่นก้าวออกมาข้างหน้า เอ่ยปากเสียงทุ้มต่ำ เขาไม่อยากให้หลินสวินล่วงเกินผู้คนมากเกินไปเพราะพวกเขา มันไม่คุ้มค่า
ชาวบ้านคนอื่นต่างก็พยักหน้า พวกเขาไหนเลยจะมองไม่ออก หลินสวินกำลังออกหน้าแทนพวกเขา เพียงแต่พวกเขาก็ดูออกว่าฐานะของหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าเป็นผู้ดีมีสกุลของตระกูลมหาอำนาจ พวกเขาไม่อยากให้หลินสวินลำบากใจเพราะเรื่องนี้
หลินสวินชะงัก ทอดถอนใจอยู่ภายใน ชาวบ้านเหล่านี้ต่างล้วนซื่อสัตย์เจียมตนยิ่งนัก ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ไม่อยากให้ตนไปล่วงเกินคนอื่น
เวลานี้พลันมีเสียงก้องราวระฆังเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ห่างไกล “ทำผิดแล้วก็ขอโทษ ยังมีอะไรให้เสียหน้าอีก”
ผู้ที่กล้าส่งเสียงออกมาตอนนี้เห็นชัดว่าต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดา ด้วยเหตุนี้เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น จึงดึงดูดสายตาไม่น้อยทันที
นั่นคือชายวัยกลางคนร่างผอมบางคนหนึ่ง ชุดสีเทาทั้งตัว ใบหน้าคมคาย แข็งแกร่งเด็ดขาด ร่างที่ดูเหมือนที่ไม่สะดุดตานั้นราวกับแฝงไว้ด้วยภูเขาไฟลูกหนึ่ง มีกลิ่นอายที่พร้อมปะทุให้ผู้คนหวาดกลัวได้ตลอดเวลา
เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว!
ผู้คนมากมายในที่นั้นใจสะท้าน ที่แท้เป็นท่านอ๋องในตำนานคนนั้นนั่นเอง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่คาดคิดคือ คำพูดของเขาเมื่อครู่ เห็นชัดว่าไม่ได้อยู่ข้างองค์หญิงหลิงหวงสักนิด!
นี่ทำให้ผู้คนตระหนกตกใจยิ่งนัก
“ท่านอา ข้าจะไม่ขอโทษ ท่านไม่เห็นหรือว่าเจ้าหมอนี่ระรานคนอื่นขนาดไหน!”
องค์หญิงหลิงหวงน้อยใจอยู่บ้าง พูดอย่างโกรธเคือง
จ้าวจิ่วเซียวชะงักงัน เห็นชัดว่าจนปัญญาอยู่บ้าง ท้ายที่สุดก็ทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง สายตามองไปทางหลินสวินพลางกล่าว “สหายน้อยหลินสวิน มิสู้ให้ข้ากล่าวขอโทษแทนเป็นอย่างไร”
หา! ผู้คนในที่นั้นต่างตกใจฮือฮา จ้าวจิ่วเซียวเชียวนะ! เจิ้นไห่อ๋องของจักรวรรดิผู้สง่างามน่าเกรงขาม เพื่อคลี่คลายการโต้เถียงกันเหตุการณ์หนึ่ง ถึงกับกล่าวขอโทษคนรุ่นหลังอย่างหลินสวิน คาดไม่ถึงจริงๆ
“ในเมื่อผู้อาวุโสออกปาก ผู้น้อยก็จะไม่เอาความ เพียงแต่ผู้น้อยหวังว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดเรื่องราวเช่นนี้อีก”
หลินสวินกล่าวด้วยความเคารพ เขาได้แต่เลิกแล้วกันไป จ้าวจิ่วเซียวก็มาแล้ว เขาไหนเลยจะสามารถไล่บี้ไม่ปล่อยได้อีก
จ้าวจิ่วเซียวพยักหน้า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเรื่องราวคลี่คลายลงแล้ว ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยขอลาก่อน”
หลินสวินไม่คิดอยู่ต่อ ฟ้ามืดแล้ว เขาต้องรีบหาสถานที่ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ได้อิ่มท้อง
เขามีปราณอยู่ในตัว ไม่กินอาหารก็ได้ แต่ชาวบ้านเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา ไม่อาจทานทนต่อความหิวโหยแต่แรก
“ประเดี๋ยวก่อน!”
กลับเห็นจ้าวจิ่วเซียวกล่าวว่า “เจ้าพาคนมากมายขนาดนี้มา เหตุใดยังไม่เข้าไปในหอสรวลทรัพย์ก็จะจากไปเสียแล้วล่ะ”
ไม่รอให้หลินสวินได้อธิบายก็มีชายชราท่าทางเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่งเข้ามาอย่างรีบเร่ง พูดอะไรบางอย่างเสียงเบาข้างหูจ้าวจิ่วเซียว
ครู่หนึ่งจ้าวจิ่วเซียวพลันเข้าใจกระจ่าง สีหน้าราบเรียบกล่าวกับพ่อบ้านคนนั้นว่า “เรื่องนี้เจ้าไปจัดการ จำไว้ต้องกลับมารายงานข้า”
พูดจบเขาก็เดินมาข้างหน้า ยิ้มพลางกล่าวกับหลินสวิน “เหตุการณ์เมื่อครู่ข้ารู้หมดแล้ว ไป ข้าจะเตรียมสถานที่สังสรรค์ที่หนึ่งให้พวกเจ้าด้วยตนเอง”
หลินสวินส่ายศีรษะ “ช่างเถิดขอรับ ไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด”
จ้าวจิ่วเซียวมุมปากปรากฏรอยยิ้มขื่น กดเสียงต่ำพลางกล่าว “เจ้าหนุ่ม หอสรวลทรัพย์แห่งนี้เป็นอาณาเขตของข้า หากให้ผู้คนในใต้หล้ารู้ว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าพาเพื่อนมาพบปะสังสรรค์แต่กลับถูกปฏิเสธอยู่หน้าประตู เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
หลินสวินอึ้งงันไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่ที่อยู่หลังม่านหอสรวลทรัพย์แห่งนี้ จะเป็นเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว!
เขาเข้าใจกระจ่างโดยพลัน มิน่าที่แห่งนี้ถึงชื่อเสียงยิ่งใหญ่เช่นนี้ จนถึงทุกวันนี้ถึงขั้นไม่มีใครกล้าก่อเรื่องในนั้น ที่แท้เพราะมีเจิ้นไห่อ๋องสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนี่เอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจขัดศรัทธา”
หลินสวินก็ตรงไปตรงมาดี พยักหน้ารับคำ
“ฮ่าๆๆ ไปเถอะ คราก่อนข้าเทหมดหน้าตัก ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวมครบหนึ่งล้านกว่าเหรียญทองซื้อสิทธิ์หลอมอาวุธของเจ้ามาหนึ่งครั้ง อาศัยโอกาสนี้ ข้าก็อยากจะคุยกับเจ้าอยู่เหมือนกัน”
จ้าวจิ่วเซียวหัวเราะร่า
จากนั้นนั้นก็พาหลินสวินและชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นทั้งกลุ่มเข้าไปในหอสรวลทรัพย์
แต่สิ่งที่เห็นกับตาทั้งหมดนั้น ผู้คนละแวกใกล้เคียงต่างทอดถอนใจพักหนึ่ง นี่เพราะเป็นหลินสวินหรอก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไหนเลยจะได้การต้อนรับเช่นนี้จากเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว
พวกองค์หญิงหลิงหวงและฉีอวี้สีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ท้ายที่สุดก็ได้แต่จนปัญญาอดกลั้นอารมณ์ไว้ ช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่มีความสามารถไปเอาเรื่องกับหลินสวินจริงๆ นอกเสียจากว่าจะฉีกหน้าถึงที่สุด แต่นั่นต้องเป็นวิธีที่สูญเสียทั้งสองฝ่ายเป็นแน่ ได้ไม่คุ้มเสีย
และเมื่อพวกเขาต่างเข้าไปยังหอสรวลทรัพย์ ชายชราพ่อบ้านที่เคยพูดคุยกับเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวคนนั้นก็ก้าวเดินไปหน้าประตู สายตานิ่งสงบกวาดมองไปยังสาวใช้รับแขกที่งดงามสิบกว่าคนนั่น
น้ำเสียงเขาไร้ซึ่งอารมณ์เพียงเสี้ยว กล่าวว่า “เรื่องราวเมื่อครู่พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ข้าต้องการคำตอบที่น่าพึงพอใจ”
สาวใช้พวกนั้นสีหน้าซีดเผือด รู้ตัวว่าครานี้พุ่งชนหายนะครั้งใหญ่เข้าให้แล้ว
…………………..
ตอนที่ 534 วิบัติมหามรรค
โดย
ProjectZyphon
หอสรวลทรัพย์ โถงเมฆินทร์
ในโถงโอ่อ่าอลังการ แสงไฟสว่างไสว มีแขกมากันมากมายจนไม่เหลือที่ว่าง
ชาวบ้านเป็นร้อยคนในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นมาร่วมงานเลี้ยง โต๊ะตรงหน้าเต็มไปด้วยผลไม้ อาหารอันเลิศรสและเหล้าชั้นดีมากมาย
สาวใช้งดงามเดินอยู่ในงาน คอยรินเหล้าชา บริการอย่างใกล้ชิด
ชาวบ้านที่ปกติอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แรกๆ ก็รู้สึกเก้อเขินไม่เป็นธรรมชาติและระมัดระวัง
เพียงแต่หลังจากดื่มเหล้าร้อนแรงสองสามจอกลงท้องไป ก็ปลดปล่อยทันที กินกันคำโต คร้านจะใส่ใจกฎเกณฑ์มารยาทอะไร สำเริงสำราญยิ่ง
เด็กน้อยแต่ละคนวิ่งเล่นไปมาอย่างมีความสุข เล่นกันอย่างสนุกสนาม
ถึงกระนั้นสาวใช้เหล่านั้นก็ไม่กล้าเผยสีหน้าแปลกๆ แม้แต่น้อย พวกนางได้ถูกสั่งเอาไว้แล้ว และรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าหอสรวลทรัพย์ จะกล้าละเลยในหน้าที่ได้อย่างไร
หลินสวินกำลังคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน เล่าถึงเรื่องราวในสามปีที่แยกจากกัน และส่งเสียงถอนหายใจเป็นระยะ ๆ
จวบจนกระทั่งตอนหลัง หัวหน้าหมู่บ้านดื่มมากจนมึนเมา ในขณะที่ปากก็ยังคงถอนหายใจ “อยู่มาครึ่งชีวิต ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาในนครต้องห้าม ที่นี่มัน…เด็ดจริงๆ!”
หลินสวินหัวเราะทันที
สำหรับเขา ชาวบ้านเหล่านี้เป็นเหมือนคนในครอบครัวของตน การที่สามารถพาพวกเขาเข้ามาในนครต้องห้ามและมาอยู่บนภูเขาชำระจิต ทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกแช่มชื่นอย่างมาก
ไม่นานเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวก็มาถึง หลินสวินรีบลุกขึ้นต้อนรับและเชิญจ้าวจิ่วเซียวเข้าร่วมโต๊ะ
หลังจากทักทายกันหลินสวินก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสวางแผนจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณเมื่อไหร่”
จ้าวจิ่วเซียวถอนหายใจ หว่างคิ้วเผยความเหนื่อยล้าอย่างลึกซึ้ง “ตอนนี้ยังไม่รีบ หลานของข้าออกเดินทางไปแสวงหามรรคที่ดินแดนรกร้างโบราณก่อนกำหนดแล้ว”
หลินสวินชะงัก เขารู้ว่าจ้าวจิ่วเซียวยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน คนที่รักใคร่ที่สุดก็คือหลานชายจ้าวจื่ออวิ๋น
สิทธิ์การหลอมที่จ้าวจิ่วเซียวประมูลมาในงานแถลงของอัครการค้าช่วงก่อนหน้านี้ ก็เตรียมไว้ให้กับจ้าวจื่ออวิ๋น
เมื่อพูดถึงจ้าวจื่ออวิ๋น ก็เป็นอีกคนที่เป็นบุคคลชั้นยอด เป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ในสาขายอดยุทธศาสตร์
เมื่อเทียบกับจ้าวจื่ออวิ๋นแล้ว ฉีอวี้ก็ด้อยกว่าระดับหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้อ สิ่งที่จนปัญญาที่สุดคือ จนถึงตอนนี้ข้ายังเตรียมวัตถุดิบวิญญาณสำหรับหลอมชุดศึกสลักวิญญาณไม่ครบ ยังจะพูดถึงการหลอมได้อย่างไร”
จ้าวจิ่วเซียวยิ้มขื่น “ในตอนนี้คงต้องรอให้ข้าเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อน ค่อยตามเจ้าไปหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดนี้”
หลินสวินเองก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
เหตุใดชุดศึกสลักวิญญาณจึงหายากเช่นนี้
เหตุผลประการแรกเพราะการหลอมนั้นยากลำบากเกินไป เหตุผลประการที่สองคือวัตถุดิบวิญญาณที่ต้องใช้หายากและมีค่ามาก อย่าว่าแต่คนธรรมดา แม้แต่ผู้มีอิทธิพลชั้นสูงหลายคนยังยากจะรวบรวมได้ครบ
อย่างเช่นจ้าวจิ่วเซียว เป็นถึงเจิ้นไห่อ๋องแห่งจักรวรรดิ เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงโด่งดังและสะดุดตาระดับไหน แต่แม้จะอยู่ในฐานะระดับนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถรวบรวมวัตถุดิบวิญญาณที่จะใช้หลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งได้ครบ!
จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ชุดศึกสลักวิญญาณเป็นสมบัติสำคัญหนึ่งเดียวในโลก ไม่ใช่ว่าใครคิดจะหลอมก็หลอมได้
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก จู่ๆ จ้าวจิ่วเซียวก็พูดขึ้นมาว่า “หลินสวิน เจ้าจะไปดินแดนรกร้างโบราณเมื่อไหร่”
หลินสวินตะลึง คำถามนี้ค่อนข้างกะทันหันและทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย พลันส่ายหน้าพูดว่า “ยังไม่เคยคิดเรื่องนี้ขอรับ”
จ้าวจิ่วเซียวเองก็เหมือนจะประหลาดใจไม่น้อย มองหลินสวินแล้วจึงพูดว่า “ต่อไปในฟ้าดินแถบนี้ มหามรรคบกพร่องจะค่อยๆ รุนแรงขึ้น และแน่นอนว่าจะส่งผลต่อการฝึกตนของผู้ฝึกปราณ ตามการคาดคะเนของราชครูบนหอดูดาวหลวง อย่างมากไม่เกินสิบปีการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘วิบัติมหามรรค’
วิบัติมหามรรค!
หลินสวินหัวใจสะท้าน ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่เขาหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกรอยู่บนชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ ‘วิบัติมหามรรค’ นี้ได้สร้างความฮือฮาและเสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือด
ต่อมาเพราะราชวงศ์ออกหน้าจึงปิดข่าวดังกล่าวไว้ได้
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น คลื่นยักษ์มากมายก็ยังคงบ่มตัวอยู่เงียบๆ ปัจจุบันขุมอำนาจใหญ่มากมายต่างเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้ ต้องการส่งลูกหลานคนสำคัญของตระกูลตนเข้าไปยังดินแดนรกร้างโบราณ ออกจากโลกที่กำลังจะเกิด ‘วิบัติมหามรรค’ แห่งนี้
อย่างเช่นกู้อวิ๋นถิงแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต เซี่ยอวี้ถังแห่งตระกูลเซี่ย คุณชายใหญ่สือซวนแห่งอัครการค้า… รวมถึงลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมแห่งสาขายอดยุทธศาสตร์ ต่างก็เดินทางไปยังดินแดนรกร้างโบราณตั้งนานแล้ว
“ตามข้อมูล วิบัติมหามรรคที่จะเกิดขึ้นในสิบปีให้หลังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เหตุการณ์นี้จะดำรงอยู่นานเพียงใดไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ เมื่อวิบัติมหามรรคเริ่มขึ้น เส้นทางทั้งหมดสู่ดินแดนรกร้างโบราณก็จะถูกปิดกั้นและทำลาย”
จ้าวจิ่วเซียวเปิดเผยความลับหนึ่ง “นี่ก็หมายความว่า ถ้าอยากไปยังดินแดนรกร้างโบราณในอีกสิบปีข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
จ้าวจิ่วเซียวเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ในราชวงศ์ มีชื่อเสียงสะเทือนโลกา คำพูดของเขาไม่มีทางเป็นเท็จ เรื่องนี้ทำให้หลินสวินไม่สบายใจอย่างมาก
วิบัติมหามรรค!
เป็นวิบัติภัยแบบไหนกัน
สิ่งที่สรุปได้คือ เคราะห์พิบัติในครั้งนี้เป้าหมายที่ชัดเจนก็คือผู้ฝึกปราณ จะส่งผลกระทบและขัดขวางการฝึกปราณ รวมทั้งตัดเส้นทางในการแสวงมหามรรคของพวกเขา!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การไปยังดินแดนรกร้างโบราณกลายเป็นปัญหาที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับผู้ฝึกปราณมากมาย
เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณได้!
จากนั้นจ้าวจิ่วเซียวก็บอกถึงเหตุผลที่มาที่ไป ว่าถ้าอยากเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณจะต้องมีคนนำทางเข้าไป มิเช่นนั้นก็จะไม่มีทางเข้าไปได้เลย
และคนที่สามารถเป็น ‘ผู้นำทาง’ ได้ ก็มีเพียงขุมอำนาจสำนักโบราณที่มีอิทธิพลในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น
มีเพียงสำนักโบราณระดับนี้ จึงจะสามารถเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า ใช้วิธีชั้นสูงสุดในการกำหนดพิกัดกลางความว่างเปล่าเพื่อดำเนินนำทาง!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะเห็นได้ว่าการเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณนั้นยากเพียงใด เพราะในจักรวรรดิจื่อเย่า ผู้ที่สามารถเชิญให้คนของสำนักโบราณแห่งดินแดนรกร้างโบราณนำทางได้ แทบจะมีจำนวนเพียงนับนิ้ว!
ที่มั่นใจได้ตอนนี้ก็มีเพียงขุมอำนาจใหญ่ส่วนน้อย เช่นราชวงศ์ สำนักศึกษามฤคมรกต หอดูดาวหลวงจักรวรรดิ กรมทหาร เจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเป็นต้น
แน่นอนว่าขุมอำนาจอื่นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่มีน้อยมากจริงๆ
เมื่อรู้เรื่องราวเหล่านี้ หลินสวินก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ‘วิบัติมหามรรค’ ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้านี้ กลับนำพามาซึ่งความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หลินสวินไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย
“เรื่องนี้เจ้ารู้เอาไว้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเผยแพร่ออกไป เลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวายและผลกระทบโดยใช่เหตุ”
จ้าวจิ่วเซียวพูดจบก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ
หลินสวินนั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง ดื่มกินคนเดียว วิบัติมหามรรค…หรือจะต้องไปที่ดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้นจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงทั้งหมดนี้ได้?
ตนก็ควรจะเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้ด้วยหรือไม่
หลินสวินนึกได้อย่างกะทันหันว่า บางทีเรื่องนี้อาจจะไปถามจ้าวจิ่งเซวียนได้ นางกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณ น่าจะต้องรู้มากกว่า
……
คืนนั้นหลินสวินได้พาชาวบ้านจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นกลับไปภูเขาชำระจิต จัดแจงที่พักอาศัยให้พวกเขาด้วยตัวเองพร้อมกับหลินจง
เนื่องจากใคร่ครวญดูแล้วว่าชาวบ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา หลินสวินจึงกำชับเป็นพิเศษว่า นับจากนี้บนภูเขาชำระจิต ห้ามมิให้เกิดเรื่องกลั่นแกล้งกดดันชาวบ้านจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหากหลินสวินรู้เรื่องนี้จะถูกลงโทษอย่างหนัก!
กว่าจะจัดแจงทุกอย่างเสร็จก็ดึกมากแล้ว
“ข้ามีความคิดหนึ่ง ในอนาคตสามารถคัดเลือกคนหนุ่มสาวที่มีคุณสมบัติไม่เลวจากชาวบ้านเหล่านี้ บ่มเพาะพวกเขาให้ดี ต่อไปจะได้เป็นกำลังคนโดยแท้จริงของเจ้า ตอนนี้อาจจะยังไม่โดดเด่น แต่ถ้าค่อยๆ เติบโตไปทีละก้าว ก็สามารถถ่วงดุลกับคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้ ต่อไปแม้เจ้าไม่อยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าทำวุ่นวายอะไร
พญาแร้งยังไม่นอนและช่วยหลินสวินวิเคราะห์เรื่องต่างๆ บนภูเขาชำระจิต
ภูเขาชำระจิตในวันนี้เติบโตได้ไวกว่าที่ผ่านมาและเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้ย้ายกลับมาตั้งถิ่นฐานที่ภูเขาชำระจิตทั้งหมดแล้ว ทำให้อิทธิพลของภูเขาชำระจิตเพิ่มขึ้นไปอีกระดับใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มจะเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีปัญหาหนึ่งที่ละเอียดอ่อน เพราะปัจจุบันทายาทสายตรงของภูเขาชำระจิตมีเพียงหลินสวินคนเดียวเท่านั้น!
หากหลินสวินอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าไปทั้งชีวิตก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายหลินสวินก็จะแต่งงานมีลูก สืบสายเลือดรุ่นสู่รุ่น ในเวลานั้นทายาทสายตรงของตระกูลหลินก็จะแตกกิ่งก้านออกไปอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งขึ้นมา
แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หลินสวินผงาดเร็วเกินไป ตอนนี้เขาอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้นก็โด่งดังไปทั่วหล้าแล้ว ในนครต้องห้ามนี้แทบจะมีน้อยคนที่เทียบได้
สำหรับหลินสวิน ถ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ เขาจะต้องออกจากจักรวรรดิจื่อเย่าเพื่อค้นหาเวทีที่กว้างขึ้น!
มิฉะนั้นหากเขาอยู่ที่นี่ ก็ยากจะแสดงศักยภาพ หนทางการฝึกปราณตลอดชีวิตของเขาจะถูกจำกัดเพียงในโลกนี้
และถ้าหลินสวินจากไป ในระยะสั้นอาจจะไม่ส่งผลกระทบอันใด แต่ถ้านานไปบนภูเขาชำระจิตก็อาจจะเกิดสถานการณ์หลายอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกคนในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคงไม่เต็มใจให้พวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงคุมอำนาจในภูเขาชำระจิต
นี่เป็นเรื่องปกติมาก ถึงอย่างไรเมื่อฝูงมังกรไร้หัว สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายที่สุดก็คือการแย่งชิงอำนาจ
นี่ยังเป็นการวิเคราะห์ที่ธรรมดาที่สุด หากในสองปีข้างหน้ารวมตระกูลสายรองทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุเป็นหนึ่งเดียวกัน สถานการณ์บนภูเขาชำระจิตจะต้องซับซ้อนกว่าเดิมอย่างแน่นอน!
สิ่งที่พญาแร้งพูดในตอนนี้เป็นการเตือนหลินสวินให้บ่มเพาะกำลังคนของตน เพื่อใช้อำนาจสายนี้ควบคุมและถ่วงดุลเหล่าตระกูลสายรองในอนาคตยามเขาจากไป
เมื่อหลินสวินได้ยินเรื่องทั้งหมด ก็อดชื่นชมวิสัยทัศน์และสติปัญญาของพญาแร้งไม่ได้ สุดท้ายเขาก็พยักหน้า เห็นด้วยกับคำแนะนำของพญาแร้ง
เพราะหลังจากรู้ข่าวเรื่อง ‘วิบัติมหามรรค’ หลินสวินก็ต้องพิจารณาเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง นั่นคือเขาควรไปดินแดนรกร้างโบราณเมื่อไหร่!
ไม่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของวิบัติมหามรรคเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือ สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ และอวิ๋นชิ่งไป๋ก็อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน
อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นผู้ร้ายที่ก่อเหตุนองเลือดบนภูเขาชำระจิตในปีนั้น หากหลินสวินต้องการล้างแค้นให้บิดามารดาและญาติพี่น้อง ก็ต้องไปที่ดินแดนรกร้างโบราณ!
——
ตอนที่ 535 ลางแห่งมหาพิภพ
โดย
ProjectZyphon
จูเหล่าซานกลับมาแล้ว!
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อหลินสวินตื่นจากสมาธิก็ตื่นตระหนกกับข่าวดังกล่าว เขาเดินออกจากตำหนักชำระจิตก็เห็นจูเหล่าซานกลับมาแล้วจริงๆ
เพียงแต่แตกต่างจากที่ผ่านมา จูเหล่าซานราวกับถอดรูปแปลงร่าง ร่างกายของเขายังคงสูงใหญ่กำยำราวกับภูผา แต่รูปลักษณ์ของเขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่แข็งราวกับหินเต็มไปด้วยพลังอันงดงามที่ยากจะบรรยาย
เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสบายๆ ก็สามารถพาให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่เชื่อมต่อกับฟ้า กดข่มจักรวาล กวาดมองอย่างเย็นชากระชากวิญญาณ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากฝึกปราณหลายเดือนในหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ส่วนลึกของวังหลวง ในที่สุดเขาก็ทลายกำแพงและบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติ
เดิมทีจูเหล่าซานเหลืออายุขัยเพียงไม่กี่ปี แต่เพราะการบรรลุปราณของเขาในครั้งนี้ อายุขัยจึงยืดออกไป อย่างน้อยภายในห้าร้อยปีก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย
หลินสวินปลื้มใจมาก การกลับมาของจูเหล่าซานทำให้ภูเขาชำระจิตได้มหายุทธ์ระดับสำคัญเพิ่มมาอีกคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ขอบคุณมาก!”
จูเหล่าซานประสานหมัด โค้งคำนับให้หลินสวินด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น
หากไม่ได้การแนะนำและช่วยเหลือจากหลินสวิน เขาคงไม่สามารถเข้าไปฝึกปราณในหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงได้แน่ สำหรับเขา การบรรลุครั้งนี้ไม่ใช่เพียงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ เขาไม่ต้องกังวลกับปัญหาอายุขัยอีกต่อไป เหมือนกับการได้เกิดใหม่!
นี่ถือเป็นบุญคุณครั้งใหญ่!
“กลับมาก็ดีแล้ว”
หลินสวินยิ้มสดใสมาก
ในวันเดียวกันเขาได้จัดประชุมตระกูลเป็นครั้งแรกที่ตำหนักชำระจิต ในฐานะผู้นำตระกูลหลิน!
ผู้เข้าร่วมประชุมได้แก่ผู้อาวุโสหลินเป่ยกวงแห่งแสงอุดร หลินไหวหย่วนแห่งแสงอุดร และบุคคลสำคัญหลายคนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
นอกจากนี้ยังมีหลินจง พญาแร้ง จูเหล่าซาน ชื่อเซวี่ย หยางหลิง ผู้เฒ่าเตียวเป็นต้น
แม้แต่เซียวเทียนเริ่นจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นก็ถูกเชิญมาด้วย
บรรยากาศของห้องโถงดูจริงจัง หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก แม้ว่าเขาจะดูเด็ก แต่หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำและขัดเกลามานานปี ทำให้เขามีพลังอำนาจหนักแน่นที่ไร้รูปร่างสายหนึ่ง
ปฐมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ อาจารย์สำนักศึกษามฤคมรกต นักสลักวิญญาณพิเศษในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ… ฐานะและเกียรติภูมิแต่ละอย่างทำให้หลินสวินยิ่งดูโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างน้อยยามนี้ในนครต้องห้าม ไม่ว่าคนในรุ่นราวคราวเดียวกันหรือเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ต่างไม่กล้าดูถูกหลินสวิน!
เวลานี้ทุกสายตามารวมกันอยู่ที่หลินสวิน ไม่มีใครกล้าเผยความดูแคลนและหย่อนยานแม้แต่เสี้ยวเดียว
ในวันนี้ หลินสวินมีคุณสมบัติที่เป็นผู้นำตระกูลหลิน รวมถึงครอบครองและควบคุมทุกภูเขาชำระจิตทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในการประชุมครั้งนี้ หลินสวินได้กล่าวอย่างรวบรัดและกระชับ โดยแต่งตั้งให้พญาแร้งเป็นผู้ดูแลอาวุโสต่างสกุล วางแผนควบคุมทุกเรื่องในภูเขาชำระจิต
แต่งตั้งให้เสี่ยวเคอเป็นผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาชำระจิต รับคำสั่งจากพญาแร้งโดยตรง
แต่งตั้งจูเหล่าซานและหลินจงให้เป็นผู้คุ้มกันของตระกูล ทำงานรับคำสั่งจากหลินสวินโดยตรง
ในขณะเดียวกัน หลินสวินได้จัดแจงเหล่าคนสำคัญของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่มีการคัดค้านตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่คือสิ่งที่หลินสวินหารือกับพญาแร้งเมื่อคืน ด้วยการฟื้นตัวของภูเขาชำระจิต ถึงเวลาที่จะประกาศใช้กฎและข้อบังคับใหม่แล้ว
แม้แต่เซียวเทียนเริ่นก็ได้รับการแต่งตั้งจากหลินสวินให้เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง รับผิดชอบเรื่องราวต่างๆ ของชาวบ้านในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นโดยเฉพาะ
……
“ปู่สี่ของเจ้าเขา…”
หลังการประชุม ผู้อาวุโสเป่ยกวงไปหาหลินสวินตามลำพัง สีหน้าสับสน “แม้ว่าเขาจะทำผิด แต่เจ้าก็อย่าคิดแค้นคนในตระกูลของเขามากเกินไปเลย… อย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกหลานตระกูลหลินของเรา”
ปู่สี่ของหลินสวินก็คือหลินเฟยเฟิง ญาติที่ใช้เสามังกรจตุลักษณ์ขังหลินสวินเอาไว้ หมายจะเอาชีวิตเขา
“ท่านปู่ห้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำเกินเลย แต่ว่าความผิดที่พวกเขาก่อไว้จะต้องถูกสะสาง มิฉะนั้นก็เป็นการยากที่จะทำให้ทุกคนเชื่อถือได้”
หลินสวินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดี”
ผู้อาวุโสเป่ยกวงถอนหายใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป คล้ายว่าการตายของหลินเฟยเฟิงจะทำให้เขาดูโดดเดี่ยวและหดหู่ไม่น้อย
แต่หลินสวินก็ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาเกือบจะถูก ‘ท่านปู่สี่’ คนนั้นของตนฆ่าแล้ว!
……
ในวันเดียวกัน หลินสวินได้พาซย่าจื้อออกจากภูเขาชำระจิตและกลับไปสำนักศึกษามฤคมรกต
เรื่องบนภูเขาชำระจิตจัดการเข้าที่เข้าทางแล้ว มีจูเหล่าซาน หลิงจง พญาแร้ง ผู้อาวุโสเป่ยกวงและหลินไหวหย่วนนั่งบัญชาการ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรอีก
รออีกสองปีให้หลัง เมื่อรวมสามสายรองอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ตระกูลหลินทั้งตระกูลจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินยังทิ้งอาสัญสลายไว้ที่ภูเขาชำระจิต ให้อยู่ในความดูแลของหลินจงแต่เพียงผู้เดียว นี่เป็นอาวุธล้ำค่าในโลกที่สามารถเปลี่ยนขุมกำลังของฝ่ายหนึ่งได้ เชื่อว่าในอนาคตขอเพียงหลินจงใช้งานได้อย่างดี ก็สามารถทำให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดได้
การกลับมาสำนักศึกษามฤคมรกตในครั้งนี้ หลินสวินมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก นั่นคือเขาต้องการไปฝึกตนที่ภูผาบันไดสวรรค์ เพื่อหยั่งรู้พลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำขึ้นไปอีก เตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ!
แต่แล้วแผนที่วางเอาไว้ก็ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ในวันที่หลินสวินกลับสำนักศึกษามฤคมรกต จ้าวจิ่งเซวียนก็มาเยือน
“ทำไมหรือ หรือกระถางสมบัติเก้ามังกรมีปัญหาอะไร”
หลินสวินฉงนใจ
วันนี้จ้าวจิ่งเซวียนยังคงปลอมเป็นชาย สวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัว ดวงตากระจ่างฟันขาวประกาย ท่าทางสง่ากระฉับกระเฉง งดงามสะดุดตาอย่างเป็นเอกลักษณ์
นางยิ้มเล็กน้อยเผยให้เห็นฟันขาวเป็นประกาย เสียงใสราวกับน้ำพุ “ไม่ใช่แบบนั้น ข้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณด้วยตนเอง ความลึกลับของสมบัติชิ้นนี้เกินความคาดหมายของข้าอย่างสิ้นเชิง อาศัยมัน ทำให้ข้ามีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้นได้”
“ยอดเยี่ยม!”
หลินสวินชื่นชมจากใจจริง
เขาได้ยินเรื่องนี้จากจ้าวไท่ไหลแล้ว ด้วยพลังและพรสวรรค์ของจ้าวจิ่งเซวียนแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวเกินไป จึงถูกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันสะกดข่มระดับปราณเป็นเวลาสิบปีเต็ม ปัจจุบันพลังปราณจึงยังอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นเท่านั้น
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น นางกลับกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าเพราะกระถางสมบัติเก้ามังกร นางจึงสามารถข้ามระดับไปเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติได้ นี่ดูน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ ยิ้มพูด “ฝีมือเจ้าก็ไม่ได้แย่ ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าอยู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ หากพูดถึงพลังต่อสู้แล้วยังด้อยกว่าเจ้ามาก อย่างน้อยๆ ข้าก็ต้านทานการโจมตีกะทันหันของราชันแห่งระดับสังสารวัฏไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจิ่งเซวียนก็รู้รายละเอียดการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตระกูลเหยาแล้ว
หลินสวินอึ้ง “เป็นแค่เรื่องบังเอิญ คงไม่มีครั้งที่สองอีก จริงสิ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอคำชี้แนะจากเจ้า”
“ว่ามาสิ” จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างสนใจ
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับพิบัติมหามรรค” หลินสวินถามสิ่งที่สงสัยออกไปโดยไม่คิดปกปิด “ข้าสงสัยมากว่าภัยพิบัตินี้จะมีผลกระทบมากแค่ไหน”
“พิบัติเคราะห์นี้เกินจินตนาการ และเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความลับแห่งสวรรค์ แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณ ผู้เป็นอมตะส่วนหนึ่งก็ล้วนไม่อาจคาดการณ์อันตรายได้”
สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนดูจริงจังขึ้นมา “แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ การเกิดขึ้นของพิบัติเคราะห์ครั้งนี้ จะทำให้ทั้งใต้หล้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจขึ้น!”
“ทั้งใต้หล้า? รวมทั้งดินแดนรกร้างโบราณด้วยหรือ”
หลินสวินใจสะท้าน
“ใช่ แต่สำหรับดินแดนรกร้างโบราณ จะยังไม่ได้รับผลกระทบมากเกินไปอีกนาน ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดบางทีอาจเป็นโลกที่เราอยู่ในปัจจุบัน”
จ้าวจิ่งเซวียนไม่ปิดบัง “จากการคาดการณ์ของผู้อาวุโสหลายคน ภัยพิบัติครั้งนี้เต็มไปด้วยตัวแปร เป็นโชคหรือเคราะห์ก็ยากคาดเดา”
พูดถึงตรงนี้ดวงตากระจ่างใสของนางก็วาบแววประหลาด “ตอนนี้ในดินแดนรกร้างโบราณยังคงมีอีกหนึ่งคำทำนายที่แพร่กระจายอยู่ กล่าวว่าเมื่อพิบัติมหามรรคเกิดขึ้น ก็เป็นลางบอกว่ายุคนี้จะปรากฏมหาพิภพที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงตอนนั้นหมื่นผู้กล้าทั่วหล้ารวมตัวกัน หมู่ดาวส่องประกาย ปีศาจอัจฉริยะนับไม่ถ้วนถูกกำหนดให้ถือกำเนิด และจะมีสำนักลี้ลับที่อยู่ในยุคบรรพกาลปรากฏขึ้น หมื่นวิถีรวมอยู่ แย่งชิงโลกา!”
“นี่เรียกอีกอย่างว่า ‘มหาสงคราม’!”
พูดถึงตอนท้าย ในน้ำเสียงเจือความรู้สึกมุ่งหวังบางๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อเอ่ยถึง ‘มหาสงคราม’ นี้ จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้
หลินสวินหัวใจสะท้าน เขาเองก็ตื่นตะลึงเช่นกัน ไม่คิดว่าการปรากฏของ ‘พิบัติมหามรรค’ จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงเช่นนี้
นี่เปรียบเหมือนลางบอกเหตุ ‘ฟ้าเปลี่ยน’ อย่างแท้จริง!
แววประหลาดในดวงตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนหายไป สีหน้าเผยความเลื่อนลอย กล่าวว่า “แต่ยังเป็นลางว่า นี่คือความโกลาหลของโลกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จะเกิดพิบัติเคราะห์ที่ไม่คาดคิด และจะมีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต้องกล้ำกลืนความคับแค้น ถึงตอนนั้นจะต้องเกิดการแย่งชิงในกลียุค สิ่งมีชีวิตจบสิ้น”
หลินสวินอึ้งค้างอยู่กับที่
มหาพิภพ?
กลียุค?
ภายใต้มหามรรคนี้ เมื่อเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ก็จะถูกกำหนดให้มีเภทภัยและการทำลายล้างตามมาใช่หรือไม่
และนี่ก็คือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ล้วนมาจาก ‘พิบัติมหามรรค’ สิ่งนี้เปรียบเสมือนพลังล่องหน ที่จะชักนำให้เกิดมหาสงครามหรือกลียุคอันยากจะคาดคิด!
“แน่นอนว่าอีกนานมากกว่าเรื่องทั้งหมดจะเริ่มขึ้น อย่างน้อยภายในหนึ่งร้อยปี ในดินแดนรกร้างโบราณไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวง่ายๆ ว่า “แต่ว่าสิ่งที่สามารถคาดเดาได้คือ ปัจจุบันแต่ละสำนักในดินแดนรกร้างโบราณล้วนกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งนี้ สั่งสมความแข็งแกร่งอย่างที่สุด หมายจะเยื้อแย้งความโชคดีของตนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่สั่นสะเทือนโลกนี้”
‘เหลือเวลาเตรียมความพร้อมอีกเพียงร้อยปีเท่านั้น…’ หลินสวินครุ่นคิด แต่ลึกๆ กลับแอบโล่งอก
ข่าวทั้งหมดนี้กะทันหันเกินไปสำหรับเขา ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก แต่โชคดีที่อย่างน้อยยังมีเวลาเตรียมตัว
ทว่าสิ่งที่สามารถคาดเดาได้คือ ด้วยการมาเยือนทีละก้าวๆ ของพิบัติมหามรรค โลกทั้งใบจะสูญเสียความสันติสุขลงเรื่อยๆ!
“หลินสวิน ข้ามาหาเจ้าคราวนี้ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”
ทันใดนั้นจ้าวจิ่งเซวียนก็เอ่ยขึ้น บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนในครั้งนี้
“เรื่องใด” หลินสวินถาม
“อีกสามวัน สำนักที่ข้าอยู่จะมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งพาผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งมาเยือนโลกนี้ โดยวางแผนว่าจะไปเสาะหาแดนลับบรรพกาลแห่งหนึ่งในทะเลกลืนวิญญาณ ที่นั่นเต็มไปด้วยผนึกต้องห้ามที่ผู้มีความสามารถในสมัยบรรพกาลวางเอาไว้ ข้าอยากให้เจ้าไปกับพวกเรา บางทีอาจจะเป็นวาสนาหนึ่งสำหรับเจ้า”
จ้าวจิ่งเซวียนเชื้อเชิญ “และเท่าที่ข้ารู้ มีความเป็นไปได้มากว่าในแดนลับบรรพกาลจะมี ‘ดอกหลอมวิญญาณสมุทร’!”
——
ตอนที่ 536 เหล่าผู้ติดตามที่เย่อหยิ่ง
โดย
ProjectZyphon
พรึ่บ!
สามวันต่อมา บนท้องฟ้าสีคราม ยานสำเภาลำหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของจักรวรรดิสู่ทะเลกลืนวิญญาณด้วยความเร็วสูง บดขยี้ชั้นเมฆสีขาวจนละเอียด
ภายในยานสำเภางดงามสะดุดตาราวกับพระราชวัง แบ่งออกเป็นห้องๆ
ในห้องหนึ่งหลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะ ฟังหนุ่มสาวบริเวณนั้นคุยกันอย่างเหม่อๆ
สามวันก่อน เมื่อเขาได้ยินว่าแดนลับบรรพกาลในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมี ‘ดอกหลอมวิญญาณสมุทร’ หลินสวินก็ตอบรับคำเชิญของจ้าวจิ่งเซวียนโดยไม่ลังเล
เพราะถ้าได้โอสถวิญญาณชนิดนี้มา ก็สามารถแก้พิษมารพบเคราะห์ในร่างพญาแร้งได้อย่างง่ายดาย!
สำหรับ ‘วาสนา’ ที่จ้าวจิ่งเซวียนพูดถึง หลินสวินกลับไม่ได้สนใจนัก
ปัจจุบันเขาไม่ขาดเคล็ดวิชาในการฝึกปราณ และไม่ขาดสมบัติใช้งาน สิ่งที่เขาขาดอาจจะเป็นด่านทดสอบเพื่อบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะเท่านั้นก็เป็นได้
สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ภายใต้คำแนะนำของจ้าวจิ่งเซวียน การออกเดินทางครั้งนี้หลินสวินทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามชั่วคราว
และมีตัวตนใหม่คือ…หลินเสวียน
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในโลกเล็กๆ ที่ทรุดโทรมและมหามรรคไม่สมบูรณ์นี้ ยังมีแดนลับบรรพกาลซ่อนอยู่”
ชายชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ
“แต่ไม่ว่าอย่างไรโลกชั้นล่างนี้ก็แห้งแล้งเกินไป ยังเทียบดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราไม่ได้สักนิด สำนักอิทธิพลที่พอจะเข้าท่ายังหาไม่เจอแม้แต่สำนักเดียว แค่คิดก็รู้ว่าโลกชั้นล่างนี้ย่ำแย่เพียงใด”
บางคนเผยสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางเหมือนกำลังวิพากษ์วิจารณ์การแผ่นดิน
“เป็นจริงดังว่า คราวนี้หากไม่ใช่เพื่อค้นหาโบราณสถานบรรพกาลแห่งหนึ่ง ชีวิตนี้ข้าไม่ขอมาที่บ้าๆ แบบนี้เด็ดขาด”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เท่าที่ข้ารู้ ในโลกชั้นล่างก็มีผู้มีอิทธิพลที่เก่งกาจ เพียงแต่น้อยมากเท่านั้น”
ชายหญิงเหล่านั้นพากันเอ่ยปาก คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่า เหมือนกับกลุ่มคนชนชั้นสูงเยือนถิ่นทุรกันดาร เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจ
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกไร้สาระ
ชายหญิงเหล่านี้ไม่ใช่ศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักของจ้าวจิ่งเซวียน แต่เป็นผู้ติดตามของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักพวกนั้น!
เป็นแค่ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง ยังกล้าคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายว่าโลกที่จักรวรรดิจื่อเย่าตั้งอยู่เป็นสถานที่ที่เสื่อมโทรมล้าหลัง ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ช่างน่าขันเกินไปแล้ว
หลินสวินคร้านจะโต้แย้งพวกเขา จึงนั่งดื่มกินอยู่คนเดียว
สถานะปัจจุบันของเขาคือผู้ติดตามของจ้าวจิ่งเซวียน จึงถูกจัดให้อยู่ที่นี่ รวมตัวกับเหล่าผู้ติดตามของลูกศิษย์ในสำนัก
ส่วนพวกศิษย์ในสำนัก ตั้งแต่หลินสวินขึ้นยานสำเภาลำนี้ก็ได้เห็นจากระยะไกลเพียงแวบเดียว ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์ใดๆ
ทว่าก่อนหน้านี้หลินสวินเคยได้ยินจ้าวจิ่งเซวียนพูดว่า ลูกศิษย์ของสำนักที่มาในครั้งนี้มีประมาณหกเจ็ดคน มีทั้งชายและหญิง เป็นศิษย์สำนักโบราณที่มีชื่อว่า ‘แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ’ ในดินแดนรกร้างโบราณเช่นเดียวกับนาง
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
นี่ทำให้หลินสวินนึกถึง ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ ที่เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตกล่าวถึงโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าสำนักโบราณทั้งสองนี้คงจะยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกัน
ผู้ที่นำขบวนในครั้งนี้คือผู้อาวุโสที่มีปราณอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ชื่อว่าเกาหยาง
“ได้ยินมาว่า แดนลับบรรพกาลที่เรากำลังจะสำรวจในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่อสูรมารศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลท่านหนึ่งเหลือทิ้งไว้ ภายในมีผนึกต้องห้ามหนาแน่นและอันตรายยิ่ง ทว่าในนั้นก็ยังมีวาสนาน่าตะลึงมากมาย อย่างโอสถเซียน ของมีค่า สมบัติแห่งช่วงเวลาบรรพกาล… มีครบทุกสิ่งที่ควรมี แม้กระทั่งมรดกของอสูรมารศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นด้วย!”
ทันใดนั้นผู้ติดตามคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างลึกลับ ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
หลินสวินเองก็เคยได้ยินจ้าวจิ่งเซวียนพูดว่า แดนลับบรรพกาลที่จะสำรวจในครั้งนี้ตั้งอยู่ในอาณาเขตลี้ลับแห่งหนึ่งในทะเลกลืนวิญญาณ ภายในเป็นเหมือนโลกใบเล็กซึ่งมีวาสนาที่ไม่อาจจินตนาการมากมาย
ในขณะเดียวกัน ที่แห่งนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสถานที่แห่งการเข่นฆ่าหนักหน่วง เต็มไปด้วยผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึง หากไม่มีการเตรียมการที่เพียงพอ แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏเข้ามาในนั้น โอกาสรอดยังน้อยมาก!
แน่นอนว่าครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้เตรียมพร้อมอย่างดี เท่าที่ฟังจากจ้าวจิ่งเซวียน ผู้อาวุโสเกาหยางมีแผนที่ขาดๆ ของแดนลับบรรพกาลอยู่ในมือ อีกทั้งมีสมบัติที่สำคัญติดตัว เพียงพอที่จะสลายเคราะห์สังหารจำนวนมาก พาพวกเขาเข้าไปได้อย่างปลอดภัย
ทว่าเข้าไปเป็นเรื่องหนึ่ง จะได้วาสนามาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นแดนลับบรรพกาลที่น่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นสถานที่ที่อสูรมารศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสิ้นชีพในท่านั่งสมาธิ วาสนาที่บุคคลระดับนี้ทิ้งเอาไว้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร
“อสูรมารศักดิ์สิทธิ์! ถูกยกย่องให้เป็นอริยะ ล้วนผ่าน ‘อมตะเคราะห์เก้าครั้ง’ มาแล้ว เป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวในหนทางแห่งอริยมรรค มีพลานุภาพเชื่อมสวรรค์ที่สามารถควบคุมดวงดาราและท่องไปในมหามรรค!”
มีคนส่งเสียงอย่างตะลึง
“หากแดนลี้ลับแห่งนี้ถูกทิ้งไว้อสูรมารศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งจริงๆ ย่อมเป็นวาสนาใหญ่ที่ยากจะพบเจอเลยทีเดียว! แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณปรากฏให้เห็นน้อยนัก”
“โลกชั้นล่างที่แห้งแล้งและล้าหลังเช่นนี้ เหตุใดจึงมีวาสนาใหญ่ระดับนี้ได้ เหลือเชื่อจริงๆ”
คนอื่นๆ ต่างทอดถอนใจ
“หึๆ เช่นนี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของเราก็ได้เปรียบพอดีไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่าเพื่อช่วงชิงโชควาสนาที่หาได้ยากครั้งนี้ สำนักของเราให้ผู้อาวุโสเกาหยางนำสมบัติกำราบสำนักมาด้วย! พวกเราติดตามเข้าไป ขอเพียงทำผลงานได้ดี วาสนานี้ก็จะเป็นของเราด้วยอย่างแน่นอน!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ สายตาของผู้ติดตามหลายคนต่างร้อนระอุและมุ่งหวังขึ้นมา
ในใจหลินสวินอดหัวเราะเยาะไม่ได้ หากวาสนาระดับนี้ได้มาง่ายเพียงนั้น เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในจักรวรรดิจื่อเย่าคงหาเจอตั้งนานแล้ว มีหรือที่จะถึงตาพวกเจ้า
ใช่แล้ว หลินสวินไม่เชื่อสักนิด ว่าด้วยความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวของเหล่าคนใหญ่คนโตในปัจจุบันอย่างเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต ราชินีแห่งรัตติกาล ราชครูหอดูดาวหลวง จะไม่รู้ว่ามีแดนลับบรรพกาลเช่นนี้อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ!
ในเมื่อแดนลี้ลับแห่งนี้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นการยืนยันได้ว่าวาสนาที่อยู่ในนั้นต้องมีความลึกลับ ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปแตะต้องได้
“น้องหลินเสวียน เหตุใดเจ้าจึงเงียบมาตลอดเล่า”
ทันใดนั้นชายชุดสีเหลืองข้างๆ หลินสวินก็พูดขึ้นและเคลื่อนสายตามองมา “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับแดนลับบรรพกาลนี้”
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินอ้าปากก็มีคนหลุดขำออกมา “เลี่ยวจวิ้น เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนตัวน้อยๆ ในโลกชั้นล่าง คงไม่เคยได้ยินชื่อแดนลับบรรพกาลด้วยซ้ำ เจ้ากลับไปถามความเห็นเขาต่อเรื่องนี้ ล้อเล่นหรือเปล่า ฮ่าๆๆ…”
คนอื่นๆ เองก็หัวเราะ สีหน้าเย้าแหย่ เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
พวกเขาทุกคนต่างรู้ฐานะของหลินสวิน แม้จะเป็นผู้ติดตามของคุณหนูจิ่งเซวียน แต่พลังปราณกลับอยู่ในระดับกลางของโลกชั้นล่าง ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือกว่าโดยไม่รู้ตัว ทะนงตัวมองหลินสวินเป็นผู้น้อย ไม่ได้เห็นเขาในสายตาเลยสักนิด
แม้ในระหว่างการสนทนากัน ก็แทบไม่มีใครยอมเปิดบทสนทนากับหลินสวิน
เพราะฉะนั้นตอนได้ยินเลี่ยวจวิ้นถามหลินสวิน พวกเขาจึงอดนึกขำไม่ได้ รู้สึกเหมือนเป็นการสีซอให้ควายฟัง
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ เล่นจอกเหล้าในมือ แต่ในใจกลับกำลังคิดว่า แม้แต่ผู้ติดตามเหล่านี้ยังหยิ่งผยองขนาดนี้ แล้วเจ้านายของพวกเขาจะขนาดไหน
“ข้าเคยได้ยินว่าในโลกชั้นล่างมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อหลินสวิน ปัจจุบันมีชื่อเสียงคับฟ้า อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้นก็เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว ทั้งยังหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งสำเร็จ แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณของเราก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หายาก”
ทันใดนั้นมีคนเอ่ยอย่างครุ่นคิด
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ พลันเรียกเสียงฮือฮาขึ้นมา
“ปฐมาจารย์สลักวิญญาณงั้นหรือ คุยโวกระมัง ที่ทุรกันดารอย่างโลกชั้นล่างจะมีคนที่โดดเด่นเพียงนี้เชียว”
“อย่าเหมารวมสิ อย่างคุณหนูจิ่งเซวียนก็มาจากโลกชั้นล่างมิใช่หรือ”
“หากเรื่องนี้เป็นจริง หลินสวินคนนี้คงไม่ธรรมดา บุคคลระดับนี้สักวันจะต้องเข้ามาฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณของเราแน่ ฉวยโอกาสนี้ทำความรู้จักเอาไว้ก็ไม่เลว”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
และในยามนี้ชายหนุ่มชุดฟ้าที่อยู่ตรงหน้าพลันเชิดหน้าขึ้นมองหลินสวินพร้อมเอ่ย “นี่ หลินเสวียนคนนั้นน่ะ เจ้าก็แซ่หลิน รู้จักหลินสวินหรือไม่ เขาเก่งอย่างที่เล่าขานกันหรือไม่”
ทันใดนั้นทุกสายตาพลันหันมองหลินสวิน
กลับเห็นหลินสวินกล่าวสบายๆ “ไม่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วย ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด”
“เจ้าเป็นผู้ติดตามของคุณหนูจิ่งเซวียนเชียวนะ แต่ยังไม่รู้ว่าหลินสวินเก่งจริงๆ หรือไม่ ดูเหมือนว่าข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวินคนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเกินจริง ไม่คู่ควรให้พูดถึง”
ชายหนุ่มเสื้อฟ้ายิ้มเยาะ “จะว่าไปก็จริง ก็แค่โลกชั้นล่าง ที่ทุรกันดารแบบนั้นจะมีคนที่พลิกฟ้าขนาดนี้ได้อย่างไร”
ทันใดนั้นพวกเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเขาเพิ่งมาถึงโลกนี้ ยังไม่เข้าใจทุกอย่าง แต่กลับตัดสินไปแล้วว่าที่ทุรกันดารแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอัจฉริยะพลิกฟ้าปรากฏ
เมื่อหลินสวินได้ยินแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าควรบอกว่าคนพวกนี้หยิ่งผยองหรือความรู้ตื้นเขิน ในใจจึงยิ่งคร้านจะสนใจคนพวกนี้
เดิมทีหลินสวินยังเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อคนในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านี้ คิดว่าในเมื่อมาจากสำนักเดียวกันกับจ้าวจิ่งเซวียนย่อมไม่ธรรมดา
น่าเสียดายที่เพียงปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามเหล่านี้ก็ทำให้หลินสวินเอือมระอาแล้ว
นี่มันคนประเภทไหนกัน เป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น เอ่ยปากพูดแต่ละครั้งก็มีแต่ ‘โลกชั้นล่าง’ ‘คนชั้นล่าง’ ‘ถิ่นทุรกันดาร’ พวกนี้ วางมาดสูงส่งหยิ่งผยองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
ทว่าหลินสวินคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ทว่ากลับถูกผู้ติดตามเหล่านี้ดูถูก คำพูดเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ
“หลินเสวียน ในเมื่อเจ้าสามาถเป็นผู้ติดตามของคุณหนูจิ่งเซวียนได้ คงเป็นบุคคลที่เก่งกาจในระดับหนึ่ง เพราะถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงไม่ถูกคุณหนูจิ่งเซวียนเลือก ฉวยโอกาสนี้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันหน่อยเป็นอย่างไร ให้ข้าได้รู้จักระดับวิถียุทธ์โลกชั้นล่างของพวกเจ้า”
จู่ๆ ชายหนุ่มเสื้อฟ้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมชี้ปลายทวนไปที่หลินสวิน กระตุ้นความสนใจของผู้คนมากมายทันที
“ความคิดนี้ดี ไหนๆ ก็ว่างอยู่แล้ว หลินเสวียน เจ้าแลกเปลี่ยนความรู้กับหวงสือหน่อยเป็นไร”
“หึๆ ข้าว่าช่างเถอะ รังแกผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่าง หากแพร่ออกไปในดินแดนรกร้างโบราณจะโดนหัวเราะเยาะเอาได้”
“แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง ไม่ต้องจริงจัง”
เหล่าผู้ติดตามต่างคนต่างแย่งกันพูด ยุยงเสี้ยมสอน
“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็จะถึงทะเลกลืนวิญญาณแล้ว เรื่องสำคัญรออยู่”
หลินสวินนั่งหน้านิ่งพลันปฏิเสธลวกๆ แลกเปลี่ยนความรู้อะไรกัน นี่มันเย้ยหยันกันชัดๆ จงใจจะสร้างความอับอายให้หลินสวินก็เท่านั้น
“ทำไม แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง แค่นี้ก็ไม่ไว้หน้ากันหรือ”
ชายหนุ่มเสื้อฟ้าที่นามว่าหวงสือพลันแค่นเสียงเย้ยหยัน ลุกขึ้นมองหลินสวินอย่างเยียบเย็น “รีบมาเถอะ อย่างปอดแหกทำให้ทุกคนหมดสนุก!”
——
ตอนที่ 537 เหตุการณ์เข้าใจผิด
โดย
ProjectZyphon
หวงสือในชุดสีฟ้ารูปร่างแข็งแกร่งกำยำ ดวงตาเรียวยาวราวกับใบมีด ยามนี้อ้าปากพูด คำพูดของเขาเหมือนดาบดุจกระบี่ ยกตนข่มท่าน
ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา ร้องให้หลินสวินรับคำท้า มิฉะนั้นจะเป็นการไม่ไว้หน้า
หลินสวินขมวดคิ้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะไม่เกรงใจและลงมือทันที
เพียงแต่ฐานะในตอนนี้ของเขาเป็นเพียงผู้ติดตาม ในเมื่อจ้าวจิ่งเซวียนไม่ต้องการให้เขาเปิดเผยฐานะที่แท้จริง นั่นก็หมายความว่า ที่นางจัดการแบบนั้นย่อมต้องมีความหมายแอบแฝง
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินทำได้เพียงพยายามรักษาความสงบเสงี่ยมและหน้าที่ที่ผู้ติดตามพึงมีอย่างสุดความสามารถ
“อย่าดีกว่า ข้าออกไปรับลมสักหน่อย” หลินสวินถอนหายใจแล้วลุกขึ้นหมุนตัวจะออกจากห้องไป
ไม่ได้สนใจผู้ติดตามเหล่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
เพียงแต่การกระทำเช่นนี้ของเขากลับทำให้สีหน้าของหวงสืออึมครึมลง “ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้จักรับเอาไว้ อยากไปงั้นหรือ ข้าอนุญาตหรือยัง!”
ในขณะที่พูด เขาพลันก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ลงมือราวกับสายฟ้า นิ้วทั้งห้าเหมือนเป็นกรงเล็บอันแหลมคมที่มีแสงดำพันอยู่รอบๆ หมายจะคว้าแขนของหลินสวินอย่างรุนแรงจากข้างหลัง
ฉึบ!
อากาศถูกฉีกราวกับผ้า เกิดเสียงแหลมบาดหู
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการโจมตีนี้ของหวงสือไม่ใช่การข่มขู่และหยั่งเชิงอย่างแน่นอน ไม่คิดปรานีสักนิด ดูโหดเหี้ยมดุดันอย่างที่สุด
จากเรื่องนี้ก็ดูออกว่าเขาเหิมเกริมอย่างมากเพราะมีที่พึ่ง ไม่เห็นหลินสวินในสายตา แน่นอนว่าไม่กลัวว่าจะล่วงเกินหลินสวินด้วย
ความเย็นเยียบแวบผ่านเข้ามาในดวงตาดำของหลินสวิน สีหน้ายังคงเรียบเฉยแต่ความจริงในใจเริ่มกรุ่นโกรธแล้ว ก่อนหน้านี้เขาโดนท้าทายและดูถูกมาตลอด แต่ก็ไม่ได้สนใจ ถือซะว่าแมลงวันกลุ่มหนึ่งกำลังบิน
แต่ตอนนี้เดิมเขาคิดว่ายอมมากพอแล้ว ไม่อยากฉีกหน้ากัน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นเป็นความอ่อนแอ ยิ่งทำตามอำเภอใจ ได้คืบเอาศอก!
กร๊อบ! กร๊อบ!
หลินสวินไม่หันกลับด้วยซ้ำ ราวกับไม่รับรู้ถึงการโจมตีด้านข้างหลัง ทว่าในร่างกายของเขากลับมีเสียงกระทบของกระดูกดังอย่างแผ่วเบา ราวกับขวานด้ามยาวคำราม
ส่วนกระดูกสันหลังของเขาตอนนี้ราวกับมังกรตัวใหญ่ พลันเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ประหนึ่งคันธนูที่ถูกง้างจนตึง มีพลังอันน่าสะพรึงกำลังก่อตัวขึ้น
เพียงแต่ถ้ามองจากภายนอกก็ยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้
และนี่ก็ทำให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ คิดว่าการตอบสนองของหลินสวินเชื่องช้า เหมือนกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยตอบโต้เลยสักนิด ทำให้พวกเขาอดผิดหวังไม่ได้ ผู้ฝึกปราณในโลกชั้นล่างช่างอ่อนแอเกินไปแล้ว…
ทว่าพริบตาต่อมาพวกเขาก็ได้ยินเสียงปังดังสนั่น และเห็นว่าฝ่ามือของหวงสือเพิ่งจะตบลงบนไหล่หลินสวิน ก็ราวกับโดนฟ้าผ่า กระโดดถอยไปสิบกว่าก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่ หน้าตาบิดเบี้ยว สูดหายใจเข้าด้วยความตะลึง ดูเหมือนเจ็บปวดมาก
นี่ทำให้ทุกคนอึ้ง พลันส่งเสียงหัวเราะเกรียวกราว
“หวงสือ นี่มันอะไรของเจ้า โดนแมงป่องต่อยหรือไร”
“ฮ่าๆๆ เหตุใดอีกฝ่ายยังไม่ได้ตอบโต้เจ้าก็ถอยหลังไปเองแล้ว ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้นะ”
“หวงสือ เจ้าล้อข้าเล่นหรือ เลิกเล่นได้แล้ว จริงจังหน่อย ให้ความร่วมมือหน่อย เจ้าทำแบบนี้จะดูแย่มาก”
ได้ยินเสียงหัวเราะเกรียวกราวเหล่านั้น สีหน้าของหวงสือก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ โกรธจนหายใจหนักหน่วงหน้าอกนูนพองขึ้นมา ทว่าเขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
เมื่อครู่นี้มือขวาของเขาเหมือนตบบนภูเขาไฟที่กำลังปะทุอยู่ เกิดแรงสะเทือนสะท้อนกลับอันน่าหวาดหวั่น ทำให้มือขวาของเขาชาวาบและเจ็บแปลบ
เพียงแต่ไม่นานหวงสือโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแล้ว
เพราะหลินสวินในตอนนี้ราวกับไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ได้หันกลับมามองเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ยกเท้าเดินหน้าต่อเพื่อออกจากห้อง
ท่าทีมองข้ามแบบนี้จะให้หวงสือทนได้อย่างไร
“วันนี้เจ้าไม่สู้ ก็อย่าคิดว่าจะได้ไปไหน!”
หวงสือคำราม ผมยาวปลิวพลิ้ว เปล่งแสงประกายทั่วร่าง แสงไฟแต่ละสายราวกับลุกโชนปกคลุมเงาร่างของเขา กลิ่นอายเหิมหาญกำจาย ราวกับเตาหลอมที่เผาสรรพสิ่งให้มอดไหม้
ตูม!
เขาออกตัวอีกครั้ง พลังในครั้งนี้แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ ต่างหรี่ตา รู้สึกประหลาดใจเมื่อตระหนักได้ว่าหวงสือใช้พลังทั้งหมด!
ต้องรู้ว่าผู้ติดตามเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งและได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี อีกทั้งการที่สามารถติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้ ศักยภาพและความสามารถย่อมไม่ธรรมดา
อย่างเช่นหวงสือ อายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น กลับมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นปลาย ทั้งยังครอบครองวิชาลับมากมาย หากอยู่ในโลกภายนอก ก็เพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกปราณโดดเด่นคนหนึ่ง!
ทว่ายามนี้หวงสือกลับใช้พลังทั้งหมดกับผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่างคนหนึ่ง ย่อมต้องทำให้คนอื่นๆ อดรู้สึกตะลึงไม่ได้
ทันใดนั้นพวกเขาต่างตื่นเต้น รู้สึกว่าแบบนี้จึงจะสนุกมากพอและควรค่าให้ดู เมื่อครู่นี้หวงสือถูกสะเทือนเซถอย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง จึงถูกพวกเขาหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
โครม!
คราวนี้หวงสือยังคงตบหนึ่งฝ่ามือใส่ไหล่ของหลินสวิน เพียงแต่พลังและอานุภาพแตกต่างจากเมื่อครู่นี้
ในการคาดการของทุกคน ภายใต้การโจมตีครั้งนี้ หากหลินเสวียนยังไม่หลบเลี่ยงก็จะต้องแย่แน่
ในหัวของหลายคนถึงขั้นปรากฏภาพที่หลินสวินถูกตบจนไหล่แหลกละเอียด เลือดพุ่งออกจากจมูกปาก
แต่แล้ว…
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตะลึงคือ ครั้งนี้หลินสวินยังเหมือนไม่รับรู้ถึงอันตรายที่อยู่ด้านหลัง ไม่หันกลับมาเลย!
และที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือ ครั้งนี้ฝ่ามือของหวงสือเพิ่งจะกระทบไหล่ของหลินสวิน ก็ราวกับถูกภูเขาใหญ่บดทับ แขนขวามีเสียงกระดูกแตกดังแกรก ร่างทั้งร่างยิ่งสะเทือนจนปลิวออกอย่างแรงราวกับว่าวที่สายขาด กระแทกลงบนพื้นห่างออกไปสิบกว่าจั้งดังปัง
เขากระอักเลือดออกมาจากปากและจมูก ส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าซีดเซียวเหงื่อท่วม สภาพเหมือนถูกมังกรเหยียบมาก็ไม่ปาน ดูย่ำแย่อย่างที่สุด
ทั้งห้องเงียบกริบ
ทุกคนอึ้งตะลึง!
ใบหน้าของผู้ติดตามเหล่านั้น จากที่ดูตื่นเต้นและเย้ยหยัน ได้ถูกความเคร่งเครียดเข้ามาแทนที่อย่างสิ้นเชิง
พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสถานการณ์แล้ว!
ครั้งแรกที่หวงสือสะเทือนถอยไป อาจจะเพราะประเมินศัตรูต่ำเกินไปและไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง
แต่ครั้งที่สองหวงสือใช้พลังทั้งหมดแล้ว แต่กลับยิ่งพ่ายแพ้อย่างอนาถกว่าเดิม สะเทือนจนปลิวออก กระดูกแขนขวาแตก เลือดพุ่งออกจากจมูกปาก ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งที่สอง หลินสวินก็ไม่ได้หันกลับมามองเลยตั้งแต่ต้นจนจบและไม่เคยตอบโต้ อาศัยเพียงพลังภายในร่างของตนก็สามารถตอบโต้จนหวงสือบาดเจ็บได้!
ผลลัพธ์เหนือความคาดหมายของเหล่าผู้ติดตาม เด็กหนุ่มที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่าง กลับมีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
ความผ่อนคลาย เย้ยหยัน เย่อหยิ่งและทะนงตัวของพวกเขากลายเป็นความประหลาดใจและเหลือเชื่อ
ส่วนหลินสวินกลับเดินไปโดยไม่สนใจ
เพียงแต่ในใจกลับลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ อานุภาพของ ‘ปะทะฟู่ซี่’ วิปริตดังคาด!
ปะทะฟู่ซี่!
ร่างที่สองของ ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ เป็นวิชาลับต่อสู้ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ แฝงด้วยพลังมหาศาล ดุจตะวันจันทรากระทบห้วงฟ้า ราวขุนเขากดอัดห้วงสมุทร
ฟู่ซี่ตามตำนาน ร่างเดิมเป็นสัตว์เทพบรรพกาลที่มีพลังเขย่าฟ้า หัวมังกร ลำตัวเต่า หางกิเลน กรงเล็บหงส์ไฟ ทั่วร่างหุ้มด้วยเกล็ดที่ประหนึ่งสร้างขึ้นจากหินเหล็กชั้นดี มีพลังที่บริสุทธิ์เหนือจินตนาการ
ภายใต้การโจมตีเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เสาสวรรค์พังทลาย ทุกอย่างดับสลาย!
และวิชาลับ ‘ปะทะฟู่ซี่’ นี้ เป็นการอนุมานตามพลังของสัตว์เทพฟู่ซี่ โดยยืดกระดูกสันหลังของร่างกายมนุษย์เป็นศูนย์กลาง รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในนั้น ครั้นสำแดงออกมา กระดูกสันหลังก็จะประหนึ่งธนูที่ขึ้นสายตึง ทำให้เกิดแรงสะท้อนกลับยิ่งใหญ่รุนแรง
ช่วงก่อนหน้านี้หลินสวินเพิ่งจะสัมผัสถึงความลี้ลับของ ‘ปะทะฟู่ซี่’ และได้รับเคล็ดวิชาอันเป็นร่างสองของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร จากอักษร ‘เคราะห์’ อันคลุมเครือเก่าแก่ที่เจิดจรัสราวกับทองซึ่งปรากฏในห้วงนิมิต
อักษร ‘เคราะห์’ นี้ก็คือมรดกของ ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ หลินสวินได้รับมาจาก ‘เก้าศิลาประตูมังกร’ ในตอนที่รับรองการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ยามนั้นยังชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าที่สั่นสะเทือนไปทั้งนครต้องห้าม… เสียงร้องแห่งเก้ามังกร
แม้ว่ายังไม่เข้าใจความลี้ลับของ ‘ปะทะฟู่ซี่’ อย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะลงมือครั้งแรก ก็สามารถทำให้หวงสือบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดาย เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความน่าสะพรึงของปะทะฟู่ซี่แล้ว
หลินสวินเชื่อว่า ยิ่งหยั่งถึงและควบคุมวิชานี้ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น อานุภาพที่แสดงออกมาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
เห็นหลินสวินกำลังจะเดินออกจากประตูห้อง เงาร่างของผู้ติดตามคนหนึ่งพลันพุ่งเข้าหาหลินสวินราวกับสายฟ้า
“ทำร้ายคนแล้วคิดจะหนีหรือ หยุดเดี๋ยวนี้!”
ท่ามกลางเสียงตะคอก ผู้ติดตามคนนั้นหมายฟาดฝ่ามือใส่ท้ายทอยหลินสวิน เขาเป็นชายหนุ่มในชุดดำ สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา การลงมือยิ่งดุดันอย่างที่สุด ไม่เหมือนกับหวงสือ เขาคิดจะตบศีรษะหลินสวินให้แหลกละเอียด!
การโจมตีนี้เป็นการโจมตีอย่างฉับพลันโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัว เร็วดั่งสายฟ้า ทำให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ ต่างคาดไม่ถึง
แต่เพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ติดตามหรือชายหนุ่มชุดดำที่โจมตี ต่างรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเบลอ เงาร่างของหลินสวินพลันแวบหลบไปอยู่ข้างๆ
ท่าร่างอันยอดเยี่ยมเกินคาดนี้สุดยอดมาก เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าหลินสวินจะหลบเลี่ยงการโจมตีที่กะทันหันโหดเหี้ยมนี้ได้อย่างง่ายดาย
“หืม?”
ชายหนุ่มชุดดำหัวใจสะท้าน เพียงแต่ยามเขาคิดจะเปลี่ยนกระบวนท่า ก็เห็นประตูห้องที่ปิดแน่นอยู่ถูกเปิดออกจากด้านนอกกะทันหัน
ชายในชุดคลุมแดงรูปร่างสูงโปร่งสง่างามคนหนึ่งปรากฏตัวนอกประตู
เมื่อมองจากมุมนี้ การโจมตีของชายหนุ่มชุดดำเหมือนมุ่งเป้าไปที่ชายชุดคลุมแดงที่อยู่นอกประตูอย่างไรอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าชายชุดคลุมแดงก็เข้าใจผิดเช่นกัน เมื่อเห็นการโจมตีนี้ ไม่ทันได้มองให้ชัดด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนลงมือ เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก
ตูม!
เพียงสะบัดแขนเสื้อเท่านั้น เป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ ธรรมดาอย่างที่สุด แต่กลับเหมือนค้อนยักษ์กระแทกชายหนุ่มชุดดำจนปลิวออกไป หน้าอกยุบ เลือดไหลออกจากเจ็ดทวาร ได้ยินเสียงพลั่กดังขึ้น ชายหนุ่มชุดดำก็พลันตาเหลือกสลบไปราวกับสุนัขตาย โดยไม่ทันได้ร้องเจ็บด้วยซ้ำ
พูดไปดูเหมือนช้าทว่าทุกอย่างนั้นรวดเร็วยิ่ง ตั้งแต่ชายหนุ่มชุดดำลงมือ ตามด้วยหลินสวินหลบเลี่ยง จนกระทั่งการปรากฏตัวของชายชุดคลุมแดง ทั้งหมดแทบจะจบลงเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เร็วจนเหลือเชื่อ!
จวบจนกระทั่งตอนนี้ที่ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นถูกโจมตีจนหมดสติไปในครั้งเดียว ทุกคนต่างอึ้งค้างอยู่กับที่ บรรยากาศเงียบและแปลกประหลาด
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดแบบนี้ขึ้น!
ส่วนชายหนุ่มชุดดำคนนั้น…ก็หมดสติไปอย่างไม่เป็นธรรมเลยจริงๆ!
เพิ่งจะลงมืออย่างอาฆาตแค้น ไม่เพียงไม่สามารถรั้งหลินสวินไว้ได้ กลับยังถูกชายชุดคลุมแดงที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเห็นเป็นศัตรูและซัดจนสลบไป…
——
ตอนที่ 538 กดข่มอย่างแข็งกร้าว
โดย
ProjectZyphon
ชายชุดคลุมสีแดงรูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ผมสีดำประบ่า เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณขาวราวกับหยก
เขาสวมเสื้อคลุมสีแดง รัดเอวด้วยเข็มขัดหยกขาว สวมรองเท้าหุ้มข้อสีดำ รูปลักษณ์หล่อเหลาจนสามารถยกคำว่างดงามมาอธิบายได้
ทว่ากลิ่นอายของเขากลับน่ากลัวอย่างยิ่ง ยืนอยู่เฉยๆ แต่กลับมีท่วงทำนองมรรควนเวียนรอบตัว ทะลักล้นราวกับเปลวเพลิง ไหลเวียนไม่รู้หยุด น่าพรั่นพรึงไร้ใดเปรียบ
ทันทีที่เขาเข้ามา ภายในห้องนอกจากเด็กหนุ่มชุดดำที่หมดสติไปแล้ว ผู้ติดตามคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน แม้แต่หวงสือที่บาดเจ็บสาหัสยังดิ้นรนลุกขึ้น
“คารวะคุณชายซิงเฟิง!”
สีหน้าของผู้ติดตามเหล่านั้นนอบน้อมอย่างที่สุด ไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งทะนงตนอย่างเมื่อครู่นี้สักนิด เหมือนหนูเจอแมวไม่มีผิด
ตอนนี้หลินสวินยืนอยู่อีกด้าน พอเห็นชายชุดคลุมแดงปรากฏตัว ดวงตาดำลึกล้ำของเขาก็อดหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้
ซูซิงเฟิง!
ตอนที่ออกเดินทาง จ้าวจิ่งเซวียนเคยพูดถึงว่า ซูซิงเฟิงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวแทนศิษย์สายในของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ พรสวรรค์โดดเด่น คุณสมบัติยอดเยี่ยม ปีนี้เพิ่งอายุสิบเก้าเท่านั้น ก็มีพลังปราณในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นแล้ว
ตอนนี้เพียงมองจากกลิ่นอายของซูซิงเฟิงก็ทำให้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ คนผู้นี้แข็งแกร่งมาก ทำให้เขาเองยังรู้สึกถึงความกดดันสายหนึ่ง
หลินสวินเป็นคนที่เคยสังหารระดับหยั่งสัจจะกับมือ ทั้งยังเคยปะทะกับผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะอย่างเหยาทั่วไห่มาแล้ว แต่เมื่อเทียบกับซูซิงเฟิง คนอื่นๆ ก็ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นี่จะต้องเป็นบุคคลอัจฉริยะระดับผู้กล้าที่มาจากสำนักโบราณในดินแดนรกร้างโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย ใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบได้!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ซูซิงเฟิงเอามือไพล่หลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำ สายตาประดุจสายฟ้ากวาดมองภายในห้อง เพิ่งจะเข้าห้องก็เกือบจะถูกโจมตี ทำให้เขาไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ติดตามคนหนึ่งเดินขึ้นไป อธิบายเสียงเบา
ทันใดนั้นคิ้วกระบี่ของซูซิงเฟิงก็เลิกขึ้น บนใบหน้างดงามหล่อเหลาเผยแววเย็นชา มองมาทางหลินสวินแล้วกล่าว “เจ้าเป็นผู้ติดตามของศิษย์น้องจ้าวหรือ”
น้ำเสียงไม่มีเจตนาของการกล่าวโทษ แต่เมื่อผนวกกับอานุภาพความน่าเกรงขามรอบตัวเขา กลับทำให้รู้สึกถึงการกดดันอันน่าสะพรึง
“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้า
ซูซิงเฟิงร้องอ้อคำหนึ่ง พลันยื่นแขนขวาออกไปสะบัดแขนเสื้อ แสงไฟดุจห้อทะยานพุ่งออกมา เป็นเหมือนแส้ยาวที่เกาะตัวขึ้นด้วยเปลวเพลิง แผดเผาอย่างรุนแรง
เขาลงมือกะทันหันมาก ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ การโจมตีนี้กลับมุ่งเป้าไปที่หวงสือ!
เพี๊ยะ!
แส้เพลิงเจิดจ้าตวัดโฉบเพียงเบาๆ ก็ตีจนหวงสือหนังเปิดเนื้อแตก รอยแส้น่าสะพรึงกลัวนั่นแฝงพลังสัจวิถีธาตุไฟ เผาทำลายผิวหนังของหวงสือ มุดเข้ากระดูก ทำเอาเขาร้องโหยหวนคุกเข่ากับพื้น เจ็บปวดอย่างรุนแรงจนกระตุกไปทั้งตัว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้เขากลับไม่กล้าเอ่ยวาจาแค้นเคืองแม้แต่คำเดียว กัดฟันแน่นอดทนอยู่อย่างนั้น
ทุกคนต่างสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หวงสือเป็นผู้ติดตามข้างกายซูซิงเฟิง ใครจะคิดว่าซูซิงเฟิงจะลงมืออย่างรุนแรงกับผู้ติดตามของตน
อีกทั้งพวกเขาต่างเห็นอย่างชัดเจน ว่าการโจมตีนี้ของซูซิงเฟิงไม่ออมมือเลยสักนิด!
“แพ้ให้กับผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่างคนหนึ่ง หน้าของข้าถูกขยะอย่างเจ้าทำขายหน้าจนสิ้นแล้ว!”
ใบหน้าหล่อเหลางดงามของซูซิงเฟิงเย็นชา น้ำเสียงเยียบเย็น ทำให้คนอื่นๆ ถึงกับเหงื่อตก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดซูซิงเฟิงจึงสั่งสอนหวงสือ
มีเพียงหลินสวินเท่านั้นที่รู้สึกว่าคำพูดของซูซิงเฟิงเสียดหู ผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่างหมายความว่าอย่างไร การแพ้ให้เขาเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากงั้นหรือ
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”
หวงสือพูดในขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ตอนนี้ซูซิงเฟิงหันมามองหลินสวินอีกครั้ง “ข้าไม่สนว่าเป็นเพราะเหตุผลใด ในเมื่อผู้น้อยอย่างเจ้ากล้าทำร้ายผู้ติดตามของข้าก็ต้องชดใช้ เห็นแก่ศิษย์น้องจ้าว ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง คุกเข่าโขกหัวแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
น้ำเสียงเย็นชาแฝงความดูถูกที่ทำให้รู้สึกดดัน ราวกับจักรพรรดิผู้สูงส่งออกคำสั่งอย่างไม่อนุญาตให้ขัดขืน
ผู้ติดตามเหล่านั้นตาเป็นประกายเผยความตื่นเต้น แม้แต่หวงสือที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้ายังเผยความอาฆาตแค้น
หลินสวินอึ้ง ราวกับรู้สึกว่าตนฟังผิด กล่าวว่า “ท่านบอกให้ข้าคุกเข่าโขกหัวงั้นหรือ”
นัยน์ตาของซูซิงเฟิงเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบ น่าสะพรึงกลัวราวกับคมมีด “ข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง!”
หลินสวินไม่คิดเลยจริงๆ ว่าซูซิงเฟิงจะเผด็จการเพียงนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบทำอะไรตามอำเภอใจ กดข่มอย่างแข็งกร้าว ยามนี้ยิ่งบังคับให้หลินสวินคุกเข่า!
นี่เท่ากับการรังแกกันโดยไม่คิดปิดบังเลยสักนิด
คำว่าเผด็จการเป็นอย่างไร
ก็แบบนี้อย่างไรเล่า
“ท่านควรทำความเข้าใจก่อนว่า เป็นลูกน้องของท่านลงมือหาเรื่องข้าก่อน ไม่ใช่ความผิดของข้า”
สุดท้ายหลินสวินก็ตัดสินใจทน ไม่ได้แตกหักกันทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่จ้าวจิ่งเซวียน เขาคงเดินออกไปตั้งนานแล้ว
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไป
ผู้ติดตามเหล่านั้นอึ้งไปทันที สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ เจ้าหมอนี่เป็นแค่ผู้ติดตามโลกชั้นล่างเท่านั้น กลับ…กลับกล้าไม่ไว้หน้าคุณชายซิงเฟิงเชียวหรือ
แม้แต่ซูซิงเฟิงเองยังอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเจอคนที่กล้าขัดคำสั่งตนเช่นนี้
ทันใดนั้นไอสังหารแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา พลันสะบัดแขนเสื้อ แสงเพลิงสายหนึ่งที่ราวกับสายฟ้าโฉบออกมาอย่างดุดันรุนแรง เต็มไปด้วยพลังเผาไหม้น่ากลัว พุ่งแทงไปทางหลินสวิน
เร็ว!
เร็วเกินไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงการควบคุมพลังได้อย่างสมบูรณ์ของผู้กล้าระดับหยั่งสัจจะวัยเยาว์ เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันรู้สึกละอายใจเพราะเทียบไม่ได้
หลินสวินสัมผัสได้ถึงอันตราย ดวงตาดำขลับพลันหรี่ลงเล็กน้อย ความขึ้งโกรธแวบผ่านเข้ามา ซูซิงเฟิงเป็นคนที่ทำตามอำเภอใจและเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด
ปัง!
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินโต้ตอบ ก็เห็นมือขาวผ่องงดงามของจ้าวจิ่งเซวียนที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่คว้าจับไว้เบาๆ สลายแสงเพลิงนั้น
“ศิษย์พี่ซู โปรดระวังการกระทำด้วย”
จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าราบเรียบ ดวงตากระจ่างนิ่งสงบ ชุดสีม่วงทั้งตัวดูโดดเด่นอย่างมาก
“ศิษย์น้องจ้าว ผู้ติดตามคนนี้ของเจ้าใจกล้าคับฟ้า ข้าเพียงลงมือสั่งสอนสักหน่อยเท่านั้น เจ้าก็จะขัดขวางแล้วหรือ”
ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ว
“คนของข้า ถ้าจะต้องสั่งสอนก็ควรเป็นข้าที่สั่งสอน ศิษย์พี่ซูทำเช่นนี้เห็นจะเป็นการล้ำเส้น ข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ขอตัว”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดจบก็พาหลินสวินเดินออกจากห้องไป
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าอยากแตกหักกับข้าเพียงเพราะผู้น้อยคนหนึ่งหรือ”
นัยน์ตาซูซิงเฟิงมีประกายเพลิงพลุ่งพล่าน ใบหน้าหล่อเหลางดงามปรากฏไอสังหารที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ดูน่าหวาดหวั่นยิ่ง
“นั่นก็ต้องดูว่าศิษย์พี่ซูจะเอาอย่างไร”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างราบเรียบโดยไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ แต่ท่าทีกลับเด็ดเดี่ยวยิ่ง อยากสั่งสอนหลินสวินหรือ เช่นนั้นก็ต้องผ่านด่านนางไปก่อน!
จวบจนกระทั่งเงาร่างของนางและหลินสวินหายไป สุดท้ายซูซิงเฟิงก็ยังไม่ได้ลงมือ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นเยียบจนน่ากลัว สายตาราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโหม มีไอสังสารน่าสะพรึงกลัวไหลเวียนอยู่
เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกจากตัวเขาก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องทั้งกดดันและเงียบสนิท ผู้ติดตามเหล่านั้นแทบจะหยุดหายใจ เหงื่อซึมไปทั่วกาย
สุดท้าย จู่ๆ ซูซิงเฟิงก็ระบายยิ้ม สายตาเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบไร้ซึ่งความรู้สึก ในใจใคร่ครวญ ‘ดูเหมือนว่าผู้ติดตามที่ชื่อหลินเสวียนคนนั้นจะสำคัญกับศิษย์น้องจ้าวอย่างมากสินะ…’
……
บนดาดฟ้ายานสำเภา จ้าวจิ่งเซวียนและหลินสวินยืนอยู่เคียงข้างกัน ทอดสายตามองไป ธาราขุนเขาและผืนแผ่นดินราวกับเงาที่แฉลบผ่านไป ถูกยานสำเภาทิ้งเอาไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว
ลมพัดกรรโชกจนก้อนเมฆปั่นป่วน จ้าวจิ่งเซวียนในชุดม่วงดวงตากระจ่างฟันขาว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน บุคลิกโดดเด่นสง่างาม
‘ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก’ นางสื่อจิต เสียงพูดราวกับสายน้ำใสไหลริน ไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงแห่งธรรมชาติ
‘ไม่เป็นไร’ หลินสวินยิ้ม
‘ไม่เป็นไรจริงๆ นะ’
‘เจ้าโดนสุนัขกัดแล้วจะกัดคืนหรือ’ หลินสวินยิ้มพูด
‘แน่นอนว่าไม่ แต่ข้าจะตั้งหม้อ ตุ๋นสุนัขดุตัวนั้นกินซะ’
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ ยิ้มกล่าว ฟันขาวของนางเป็นประกาย ริมฝีปากแดงยกโค้งดูเย้ายวน บวกกับบุคลิกงามสง่าโดดเด่นของนาง ยิ่งมีสเน่ห์ที่ชวนให้รู้สึกใจสั่นหวั่นไหว
‘ฮ่าๆๆ คำพูดนี้ถูกใจข้านัก เสียดายที่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงผู้ติดตาม อยากกินเนื้อสุนัขตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ได้’
หลินสวินหัวเราะลั่น เขารู้สึกดีกับจ้าวจิ่งเซวียนมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่านางจะเป็นธิดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แต่กลับไม่มีนิสัยหยิ่งยโส ตรงกันข้ามนางเป็นคนอ่อนโยน เรียบง่ายสบายๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ถ้าพูดถึงเรื่องของจิตใจและบุคลิก ก็ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าบุรุษอัจฉริยะ
‘เจ้าทนไปก่อน รอเข้าไปในแดนลับบรรพกาล ข้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ จะแยกกันลงมือ แย่งชิงวาสนาด้วยความสามารถของตน ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่’
จ้าวจิ่งเซวียนเกลี่ยผมทัดหู
หลินสวินพยักหน้า
ทั้งสองต่างสื่อจิต จึงไม่กังวลว่าคนอื่นจะได้ยิน
ติ้งๆ แต้งๆ~~
ยามนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงพิณไพเราะดังแว่วมาจากหัวยานสำเภา
หลินสวินหันไปก็เห็นว่าบนดาดฟ้ามีชายคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ตรงหน้าเข่ามีกู่เจิงวางพาดอยู่ เขากำลังดีดกู่เจิง นิ้วทั้งสิบดีดดึงสาย เสียงดนตรีราวกับเสียงธรรมชาติหมุนวน พาให้จิตวิญญาณสงบสุข
ชายคนนี้รูปร่างผอมบาง ดูแล้วอายุไม่เกินยี่สิบสาม ยี่สิบสี่ปี ชุดสีขาวอันเรียบง่ายพลิ้วไหวตามสายลม บุคลิกล่องลอยราวกับควันเมฆ ให้ความรู้สึกสงบราวกับถูกชะล้างมลทินออกไปจนหมด
พอสายตาของหลินสวินมองไป ชายคนนั้นก็เหมือนจะสัมผัสได้ จึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้หลินสวินอย่างอบอุ่นและเป็นมิตร
หลินสวินชะงักไป พอมองอีกครั้งชายคนนั้นก็เก็บสายตาก้มหน้าดีดกู่เจิงต่อแล้ว
‘นั่นเป็นศิษย์พี่สามของข้า เซียวหรัน’
จ้าวจิ่งเซวียนสื่อจิตเสียงเบา แนะนำฐานะของชายคนนี้ ‘เขาเป็นอัจฉริยบุคคลแห่งยุคที่ไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ข้าชื่นชมที่สุดในบรรดาศิษย์สายในของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ’
‘เขาเกิดมาพร้อมกับ ‘แสงวิญญาณมหามรรค’ อันลึกลับ ตอนอายุสามปีถูกพาเข้ามาฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เมื่ออายุสิบห้าปีได้กลายเป็นหนึ่งในสามศิษย์สายในที่โดดเด่น’
‘ปัจจุบันเขาฝึกปราณมาเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น ในบรรดาศิษย์สายในของสามสิบหกยอดเขาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แทบจะไม่มีใครสยบเขาได้แล้ว’
‘โลกภายนอกต่างลือกันว่า ต่อให้เทียบกับผู้กล้าและปีศาจในแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณอื่นๆ ภายในดินแดนรกร้างโบราณ ศิษย์พี่เซียวหรันก็สามารถอยู่แนวหน้าได้ แต่เขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบการแก่งแย่ง นิสัยก็อ่อนโยน จึงแทบไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้พลังปราณของศิษย์พี่เซียวหรันแข็งแกร่งถึงระดับไหนแล้ว’
ได้ยินทั้งหมดนี้ ภายในใจหลินสวินก็อดหวาดเกรงไม่ได้ เขารู้ดีว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของจ้าวจิ่งเซวียนน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ใครจะคิดว่าแม้แต่จ้าวจิ่งเซวียนยังชื่นชมเซียวหรัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าพรสวรรค์บนเส้นทางฝึกปราณของคนผู้นี้ชวนตะลึงเพียงใด!
——
ตอนที่ 539 นานาวีรชนผู้กล้า นับดูที่ปัจจุบัน
โดย
ProjectZyphon
เสียงกู่เจิงดังอย่างต่อเนื่อง นิ้วมือทั้งสิบของเซียวหรันแผ่วเบาปราดเปรียว ปัดไปตามสายกู่เจิงราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล ให้ความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
เสียงกู่เจิงนั่นเหมือนน้ำพุใสไหลริน ราวกับแสงจันทร์ไหลเคลื่อนร่ายระบำ เรียบง่ายสง่างาม กลมกลืนเงียบสงบ รังสรรค์ภาพงดงามดุจดั่งภาพวาดบทกวี
แม้แต่หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนยังอดดื่มด่ำไปกับมันไม่ได้ เสียงที่ยอดเยี่ยมราวกับเสียงธรรมชาตินี้เจือกลิ่นอายท่วงทำนองแห่งมรรครางๆ พาให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกเซียน ประหนึ่งรับฟังแก่นแท้แห่งมหามรรค
เสียงกระพือปีกดังแว่วขึ้น กลับเป็นนกกระจอกเขียว เหยี่ยว ห่านและนกอินทรีเทาถูกดึงดูดมา
พวกมันสยายปีกบินว่อนมากกว่าร้อยตัว ราวกับร้อยวิหคมาคำนับ เข้ากับเสียงอันไพเราะของกู่เจิง ขับเน้นให้เซียวหรันดูประหนึ่งเซียน เป็นศูนย์รวมความงดงามและศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวาล
เมื่อเห็นภาพมหัศจรรย์เช่นนี้หลินสวินก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เซียวหรันคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แค่บรรเลงดนตรีเท่านั้น ยังแฝงไว้ซึ่งมหามรรคลึกล้ำ บุคคลระดับนี้สักวันจะต้องมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ดึงดูดสายตาจากทั่วทิศ
แต่ไม่นานก็มีเสียงร้องแหลมของนกดังโหยหวนมาจากบนยานสำเภา ทำลายเขตแดนสุนทรีที่เกิดจากเสียงกู่เจิง
เซียวหรันชะงักไป มุมปากเผยความจนใจ
เมื่อหลินสวินมองขึ้นไป พลันเห็นว่าบนใบเรือสูงชะลูดมีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ กำลังจับนกกระจอกเขียวตัวหนึ่งไว้ ใช้ฟันกัดคอมันแล้วดูดเลือดสด ตรงมุมปากยังมีเลือดหยดลงมา
นี่คือภาพคาวเลือดภาพหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดดำดูเรียบง่ายและสุภาพอย่างมาก หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ยามเขาดูดเลือดนกกระจอกเขียวกลับให้ความรู้สึกสยดสยอง
“เจ้าอยากกินเนื้อหรือ”
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของหลินสวิน เด็กหนุ่มชุดดำพลันก้มหน้าถามหลินสวินพร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
หลินสวินส่ายศีรษะ
เด็กหนุ่มชุดดำร้องอ้อคำหนึ่งแล้วดูดเลือดต่อ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เป็นเสียงที่เขาฆ่านกกระจอกเขียว ทำลายการบรรเลงกู่เจิงของเซียวหรัน เพียงแต่เซียวหรันเองก็เหมือนจนปัญญากับเขา
‘เขาชื่ออวิ๋นเช่อ เป็นอันดับที่หกของศิษย์สายในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เป็นเด็กหนุ่มที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาด อย่าเห็นว่าเขายิ้มแย้มอ่อนโยน เรียบง่ายสบายๆ เชียว เขาเป็นคนที่เลือดเย็นที่สุดในบรรดาศิษย์ร่วมสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ฝึกยังเป็นมหามรรคปลิดชีพ คนที่เป็นศัตรูกับเขาจะต้องถูกเขาสังหารอย่างแน่นอน’
เสียงของจ้าวจิ่งเซวียนดังขึ้นข้างหู ทำให้หลินสวินหัวใจกระตุกวูบอีกครั้ง มหามรรคปลิดชีพ? เด็กหนุ่มที่เป็นดั่งสัตว์ประหลาด?
มองดูเด็กหนุ่มดูดเลือดนกกระจอกเขียวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ใบหน้าดูดื่มด่ำแล้ว หลินสวินพลันรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
เจ้าคนที่สายตามีรอยยิ้มอยู่ตลอดคนนี้ คล้ายว่าจะเป็นเหมือนตนเอง เป็นคนเหี้ยมโหดที่ชอบใช้รอยยิ้มปกปิดตัวตน…
‘เจ้าต้องระวังจะตกเป็นเป้าของเขา หากเขาเห็นเจ้าเป็นศัตรูเมื่อไหร่ ก็จะแตกหักอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น นิสัยไร้เยื่อใยและเย็นชาอย่างที่สุด’
เสียงของจ้าวจิ่งเซวียนแฝงการตักเตือน ‘แม้ว่ายามนี้เขาจะมีพลังปราณเพียงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่ก็สามารถใช้พลังต่อสู้ของตัวเองสังหารผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งสมบัติใดๆ!’
ตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็มองเด็กหนุ่มที่ชื่ออวิ๋นเช่ออย่างจริงจัง เขาเองเคยสังหารระดับหยั่งสัจจะมาแล้ว จึงรู้ดีว่าการที่อวิ๋นเช่อทำได้ขนาดนี้หมายความถึงอะไร
“ศิษย์พี่จ้าว ท่านนินทาข้าอยู่หรือ”
อวิ๋นเช่อพลันก้มหน้าลงยิ้มถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างสบายๆ
อวิ๋นเช่อส่ายหน้า พลันชี้มาที่หลินสวินพร้อมพูดว่า “เจ้าเป็นผู้ติดตามที่พิเศษมาก ข้าได้กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์จากตัวเจ้า”
พูดจบเขาก็ยิ้มพลางพลิกตัวลงจากใบเรือแล้วหายไปบนดาดฟ้า
“เขาหมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินตะลึง มึนงงไปหมด
กลับเห็นจ้าวจิ่งเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หว่างคิ้วเผยความอึมครึม ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เจ้าต้องระวังเขาให้มาก”
“ศิษย์น้องจ้าวไม่ต้องใส่ใจ อวิ๋นเช่อไม่ทำอะไรลูกน้องเจ้าหรอก”
เซียวหรันที่อยู่ห่างออกไปพูดด้วยเสียงอบอุ่น
“เป็นแบบนั้นจะดีที่สุด”
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้ม
“พี่จิ่งเซวียน กอดๆ~”
เสียงกระจ่างใสออดอ้อนเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้น พลันเห็นว่าในห้องที่อยู่ไม่ไกลนักมีเด็กผู้ชายในชุดหลากสีคนหนึ่งก้าวออกมา ผมมัดสูงชี้ฟ้า สวมห่วงสมบัติสีเงินยวงไว้ที่คอ ดวงตาฉลาดเฉลียว ท่าทางดูซุกซน
เขาวิ่งมาอย่างรวดเร็ว หมายจะโผเข้ากอดจ้าวจิ่งเซวียน แต่กลับเห็นจ้าวจิ่งเซวียนยกขาขึ้นถีบเด็กชายชุดหลากสีออกไปอย่างรุนแรง
หลินสวินมองตาค้างอยู่บ้าง เด็กที่น่ารักขนาดนี้ เหตุใดจ้าวจิ่งเซวียนจึงลงมืออย่างไม่เกรงใจเลย
กลับเห็นเงาร่างของเด็กชายชุดหลากสีคนนั้นแวบหายกลางอากาศแล้วลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง แยกเขี้ยวยิงฟันลูบหน้าท้องพูด “ไม่กอดก็ไม่กอด ทำไมต้องถีบกันด้วย ว่าแต่ศิษย์พี่จ้าวแต่งเป็นชายแล้วงดงามเหลือเกิน คนงามอย่างท่านไม่ให้ข้ากอดถือว่าน่าเสียดายมาก”
ในขณะที่พูด ดวงหน้าเล็กอ่อนเยาว์น่ารักกลับเผยสีหน้าผีลามกที่น้ำลายแทบหก
หลินสวินแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ส่วนจ้าวจิ่งเซวียนผู้สงบและสดใสกลับสีหน้าทะมึนขึ้นมา พูดด้วยไอสังหารพลุ่งพล่าน “ศิษย์น้องเหวิน ถ้าเจ้ากล้าทำเช่นนี้อีก เชื่อหรือไม่ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา แล้วสับ…ของรักของเจ้าซะ!”
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ เมื่อครู่นี้เพิ่งจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ยามนี้เขาแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเองด้วยแล้ว คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่โดดเด่นอย่างจ้าวจิ่งเซวียนจะพูดจาเหี้ยมโหดเช่นนี้
เด็กชายชุดหลากสีคนนั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัวเช่นกัน พลันพูดอย่างลำบากใจ “ศิษย์พี่จ้าวระงับโทสะด้วย ต่อไปข้าจะไม่หยอกท่านแล้วพอใจหรือยัง”
ในขณะที่พูดเขาก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนจึงกลับเป็นปกติ เห็นท่าทางอึ้งงันของหลินสวิน ใบหน้างามก็อดร้อนผ่าวไม่ได้ กระแอมกล่าว “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้านั่นเป็นพวกลามกคนหนึ่ง อย่าเห็นว่าอายุยังน้อย ความจริงเขาฝึกปราณมายี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เพราะฝึกวิชาลับที่ชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมเลือดคืนตะวัน’ จึงกลายเป็นสภาพนี้”
หลินสวินถึงได้เข้าใจในยามนี้ ในใจอดตะลึงไม่ได้ เคล็ดวิชาหลอมเลือดคืนตะวันหรือ ในโลกนี้มีวิชาอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อเพียงนี้ด้วย ทำให้คน ‘กลับคืนวัยเยาว์’ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดนัก
จากการแนะนำของจ้าวจิ่งเซวียน ในที่สุดหลินสวินก็รู้ว่า ที่แท้เด็กชายชุดหลากสีคนนี้มีนามว่าเหวินเสียง เป็นอัจฉริยะอีกคนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เพียงแต่อุปนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญหาที่เปรียบไม่ได้ โปรดปรานการยั่วเย้าเพศตรงข้าม ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผู้หญิง ทำลายผู้หญิงมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่
แต่พลังต่อสู้ของคนผู้นี้จะต้องน่าสะพรึงกลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น เพราะ ‘เคล็ดวิชาหลอมเลือดคืนตะวัน’ ที่เขาฝึก เป็นวิชาที่มีอานุภาพยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง ในระหว่างการต่อสู้สามารถระเบิดพลังอันเหนือจินตนาการ!
“สัตว์ประหลาดอีกคนแล้ว”
หลินสวินพึมพำ
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงฝีเท้าที่มีจังหวะเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น พลันเห็นแกะเขียวที่ดูเย่อหยิ่งเดินเชิดหน้าราวกับชนชั้นสูงสง่างาม เข้ามาหาเซียวหรันที่อยู่ห่างแล้วอ้าปากพูดว่า “ศิษย์พี่สาม ผู้อาวุโสเกาหยางเรียกท่านไปพบ”
เสียงของแกะเขียวตัวนี้ดูทุ้มต่ำไพเราะ เต็มไปด้วยเสน่ห์
เซียวหรันพยักหน้าโดยพลัน อุ้มกู่เจิงขึ้นมา พยักหน้าให้จ้าวจิ่งเซวียนและหลินสวินพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินเข้าท้องเรือไป
ส่วนแกะเขียวตัวนั้นก็ก้าวกีบที่เรียวและแข็งแรงไปตามจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ หายตัวตามหลังเซียวหรันไป โดยไม่สนใจจ้าวจิ่งเซวียนและหลินสวินเลยแม้แต่น้อย ดูเย่อหยิ่งอย่างมาก
‘นี่ต้องเป็นอสูรมารบำเพ็ญอย่างแน่นอน!’
หลินสวินมองดูทั้งหมดนี้ และสังเกตเห็นกลิ่นอายที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะจากแกะเขียวตัวนั้น
ตามคาด คำบอกเล่าในครู่ต่อมาของจ้าวจิ่งเซวียนเป็นการยืนยันเรื่องนี้
“นั่นคือศิษย์น้องกงหยางอวี่ เขาเป็นทายาทสายเลือดบริสุทธิ์ของ ‘เผ่าวิญญาณแกะเขียว’ เผ่าวิญญาณแกะเขียวเป็นเผ่าใหญ่เผ่าหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ บรรพบุรุษเคยมีผู้เป็นอมตะที่แท้จริงนั่งบัญชาการ อิทธิพลเข้มแข็งเกรียงไกรอย่างยิ่ง”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของจ้าวจิ่งเซวียน “อย่าเห็นว่าศิษย์น้องกงหยางอวี่เป็นคนเย่อหยิ่งสง่างาม ความจริงเขาเป็นศิษย์ที่นิสัยดีที่สุดในสำนัก จิตใจเมตตามาก แน่นอนว่าตัวเขาจะไม่ยอมรับเรื่องนี้ และเจ้าไม่ควรทำให้เขาขุ่นเคืองจะดีที่สุด แม้ว่าเขาจะนิสัยดี แต่เมื่อเดือดดาลขึ้นมาก็ไม่มีใครหยุดเขาได้”
กงหยางอวี่!
เผ่าวิญญาณแกะเขียว!
บรรพบุรุษเคยมีผู้เป็นอมตะที่แท้จริง!
หลินสวินอดถอนหายใจไม่ได้ ช่างสมกับที่เป็นดินแดนรกร้างโบราณ เพียงแค่ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแห่งเดียว ก็มีศิษย์อัจฉริยะทรงอานุภาพสารพัด หลายหลากมากมาย ทำให้หลินสวินทอดถอนใจไม่หยุด
เซียวหรันที่บุคลิกล่องลอยราวกับควันเมฆ ลึกลับเกินคาดเดา…
อวิ๋นเช่อที่ฝึกมหามรรคปลิดชีพ ภายนอกดูสดใสและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วจิตใจเย็นชาไร้ปรานีที่สุด…
เหวินเสียงที่เหมือนเด็ก แต่กลับเจ้าชู้เจ้าสำราญหาที่เปรียบไม่ได้…
บวกกับซูซิงเฟิงที่เผด็จการดุดัน กดข่มผู้คน รวมทั้งกงหยางอวี่ที่เมื่อครู่นี้ปรากฏตัวเพียงแวบเดียว ลูกศิษย์แต่ละคนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณล้วนสร้างภาพจำอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับหลินสวิน
เอกลักษณ์ที่ชัดเจนนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดกลับน่ากลัวอย่างมาก เพราะนี่หมายความว่าลูกศิษย์เหล่านี้ได้ค้นพบทางของตัวเอง จึงดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร!
แม้แต่จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเช่นนี้ด้วยไม่ใช่หรือ
‘ผู้กล้าทั่วหล้ารวมตัวกัน หมู่ดาวส่องประกาย หมื่นวิถีรวมอยู่ แย่งชิงโลกา!’ หลินสวินพลันนึกถึงทำนายของ ‘มหาสงคราม’ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เพียงแค่ลูกศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านี้ ก็ทำให้หลินสวินรู้สึกรางๆ ว่า บางทีในอีกร้อยปีข้างหน้า เมื่อ ‘มหาสงคราม’ เริ่มขึ้น ถ้าลูกศิษย์เหล่านี้ยังไม่ตายจะต้องกลายเป็นหนึ่งในคนที่แย่งชิงโลกาแน่นอน!
พอคิดว่าคนพวกนี้เป็นเพียงศิษย์ส่วนน้อยของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเท่านั้น และแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยังเป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ!
จากประเด็นนี้สามารถอนุมานได้ว่า ในสำนักโบราณอื่นๆ ของดินแดนรกร้างโบราณจะต้องมีผู้กล้าที่โดดเด่นและปีศาจที่สะท้านโลกมากกว่านี้อย่างแน่นอน!
‘หลินสวิน เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้เห็นแล้ว พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่จะไปค้นหาวาสนาในโบราณสถานบรรพกาลเหมือนกับข้า’
ยามนี้สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนดูเคร่งขรึมขึ้นมาและสื่อจิตว่า ‘แต่ความสัมพันธ์ของลูกศิษย์ในสำนักเราไม่ได้เรียบง่ายเหมือนภายนอก ถึงขั้นที่เพื่อช่วงชิงวาสนา อาจเกิดความขัดแย้งและแก้ปัญหาด้วยการต่อสู้ แม้ต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ตายก็จะไม่ปรานีสักนิด’
‘เพราะฉะนั้นข้าอยากให้เจ้าเตรียมพร้อม ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครจะลงมือกับเรา ก็จะปรานีไม่ได้เด็ดขาด!’
หลินสวินอึ้ง ยามนี้เพิ่งตระหนักได้ว่า ต่อให้เป็นในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ระหว่างลูกศิษย์เหล่านี้ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันที่โหดร้าย ไม่ใช่เรียบง่ายอย่างที่ตนเห็น
‘คิดไม่ถึงเลยใช่ไหม ความจริงรอให้เจ้าเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณก็จะเข้าใจว่า ที่นั่นแม้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ แต่ก็เป็นสถานที่แห่งความเป็นจริงและโหดร้ายที่สุดเช่นกัน…’
จ้าวจิ่งเซวียนถอนหายใจเบาๆ หน้าผากเกลี้ยงเกลาเผยความกลัดกลุ้มรางๆ
——
ตอนที่ 540 อะไรคือระดับหยั่งสัจจะ
โดย
ProjectZyphon
ภายในห้อง หลินสวินใคร่ครวญเพียงลำพัง
หลังจากได้เห็นเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียงและคนอื่นๆ ที่เป็นดั่งผู้กล้าแห่งยุค ทำให้อารมณ์ของหลินสวินไม่สงบนัก
ดินแดนรกร้างโบราณ!
เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกปราณที่กว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองอย่างไรกันแน่
‘จะต้องรีบยกระดับความสามารถแล้ว…’
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงสูดหายใจลึก ในดวงตาดำลึกล้ำกลับสู่ความราบเรียบ จิตใจก็พลอยสงบนิ่ง ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ตามไปด้วย
บุคคลเฉกเช่นพวกเซียวหรันแม้จะสะดุดตา แต่หลินสวินจะไม่มีทางได้รับผลกระทบเพราะเรื่องนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้ปัจจุบันยังไม่บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ เขาก็ไม่กลัวพวกเซียวหรันเลยแม้แต่คนเดียว!
นี่คือความเชื่ออย่างแน่วแน่อย่างหนึ่ง เป็นการยึดมั่นในมรรควิถีของตน หากไม่มีจิตใจที่มั่นคงในการก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ต่อไปก็ยากจะประสบความสำเร็จในด้านการฝึกปราณ
ฮูว~
ลมหายใจของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเนิบช้าและยาวขึ้น เริ่มสงบจิตใจทำสมาธิ รับรู้และสัมผัสกับของสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งที่หยั่งถึงมาก่อนหน้านี้
ในจิตวิญญาณของเขา ท่วงทำนองแห่งวารีที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นเกิดคลื่นกระเพื่อม นั่นคือท่วงทำนองแห่งมรรค เป็นแก่นแท้จริงอันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งในสัจวิถีธาตุน้ำ
ตามความคิดก่อนหน้านี้ของหลินสวิน เขาต้องการควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วจึงเริ่มดำเนินการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ!
ระดับหยั่งสัจจะ!
ระดับใหญ่ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณเกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ครั้งใหญ่ เมื่อบรรลุสู่ระดับนี้ จะสามารถหยั่งรู้และควบคุมมหามรรคแห่งฟ้าดิน เปิดถ้ำผสานแห่งหนึ่งในร่างกายของตน
สิ่งใดคือถ้ำผสาน
คือความพร่ามัวเลือนรางเหมือนอยู่ในถ้ำสถิตแห่งความว่างเปล่า และเป็นเหมือนต้นแบบมหามรรคแห่งตน ขอเพียงหลอมกลั่นสำเร็จ พลังแห่งสัจจะมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณควบคุมได้ รวมทั้งการหยั่งถึงและวิถียุทธ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตจะถูกประทับเอาไว้บนนั้น!
เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็จะกลายเป็นถ้ำสวรรค์หยั่งสัจจะ!
ความว่างเปล่าของถ้ำผสาน ควบคุมต้นแบบมหามรรค ประหนึ่งเป็นการเปิดร่องรอยของโลกใบใหญ่ภายในร่างกาย นี่ก็คือระดับหยั่งสัจจะ!
ถึงตอนนั้น ภายในถ้ำสวรรค์ประทับสัจจะมหามรรค แก่นวิชาที่หยั่งถึง วิถียุทธ์ รวบรวมต้นกำเนิดทั้งร่างของผู้ฝึกปราณ ยิ่งถ้ำสวรรค์แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็หมายความว่าอานุภาพที่ผู้ฝึกปราณสามารถสำแดงออกมาได้ยิ่งน่าสะพรึงกลัว
มีเพียงผู้ที่บรรลุสู่ระดับนี้เท่านั้น จึงจะถูกเรียกว่า ‘มหายุทธ์’
คำว่า ‘มหา’ เป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นและแข็งแกร่ง!
เมื่อบรรลุสู่ระดับนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดและตรงไปตรงมาที่สุด คืออายุขัยจะยืนยาวถึงหกร้อยปี…
ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วหลินสวินก็สามารถบรรลุสู่ระดับนี้ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเขาควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำได้เสี้ยวหนึ่ง ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ตนที่อยู่ในระดับมหาสมุทรได้เกิดสภาพที่เรียกว่า ‘มหามรรคบกพร่อง’ จึงเลือกที่จะอยู่ในระดับนี้ต่อ
โดยสรุปก็คือ หลินสวินต้องการให้พลังปราณ จิตวิญญาณ กายหยาบ รวมทั้งพลังสัจจะมหามรรคไปถึงระดับสมบูรณ์อย่างที่สุดก่อน ถึงค่อยเริ่มยกระดับรอบด้านในระดับหยั่งสัจจะ!
……
ครึ่งวันหลังจากนั้น
ยานสำเภาแล่นผ่านอากาศ ในที่สุดก็มาถึงชายแดนฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิ เมื่อมองไปรอบๆ ทะเลที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นในสายตา
ทะเลนั้นกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด เชื่อมต่อกับท้องฟ้า กว้างขวางโอ่อ่าอย่างที่สุด แต่ที่น่าประหลาดคือน้ำทะเลเป็นสีดำลึกและไม่สงบ คลื่นน้ำซัดสาดคำรามรุนแรงน่าขนพองสยองเกล้า เสียงนั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง สะเทือนฟ้าดิน
นี่ก็คือทะเลกลืนวิญญาณ!
ไม่เพียงแค่ในจักรวรรดิจื่อเย่าเท่านั้น แม้แต่ในจักรวรรดิมืด ท้องทะเลอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวนี้ก็เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดัง
เหตุผลเพราะว่าทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป มีภัยพิบัติและไอสังหารที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุดกระจายอยู่ในนั้น มีหลุมอากาศว่างเปล่าที่สร้างความปั่นป่วนขวางกั้นอยู่ระหว่างท้องฟ้าและทะเล มีสายฟ้ารุนแรงที่สามารถทำลายล้างโลกได้ มีภูเขาไฟอันน่าสะพรึงกลัวที่ปะทุจากก้นทะเล มีคลื่นยักษ์ พายุน้ำวน…
นอกจากนี้ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณยังมีสัตว์ทะเล อสูรมารทะเล วิญญาณผู้ล่วงลับ จิตวิญญาณร้ายที่ทรงพลัง… ถึงขั้นที่ไม่ขาดแคลนสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่แปลกประหลาดหายาก!
เป็นเวลาหลายพันปีที่ทะเลกลืนวิญญาณแห่งนี้เป็นดั่งสถานที่ต้องห้าม ทำให้สีหน้าของผู้คนต้องเปลี่ยนไปทุกครั้งที่พูด แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังไม่กล้าเข้ามาง่ายๆ
มีคำเล่าลือว่าทะเลกลืนวิญญาณนี้มีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว และเคยเกิดสงครามระหว่างเทพมาร เป็นที่ฝังศพของวิญญาณวีรชนนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้ยังมีคำเล่าลือที่เกินจริงยิ่งกว่า นั่นคือทะเลกลืนวิญญาณอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดและลึกลับนี้ ความจริงเกิดจากน้ำตาเพียงหยดเดียวของเซียนเท่านั้น…
แต่ไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริงได้
โชคดีที่ในทุกๆ ปีทะเลกลืนวิญญาณจะมี ‘ช่วงจำศีล’ สามเดือนติดต่อกัน ระหว่างนั้นเหล่านักผจญภัยที่มาจากจักรวรรดิจะเข้ามาแสวงหาวาสนาในทะเลกลืนวิญญาณ
แม้ว่าท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้จะน่ากลัวมาก แต่ถ้าไม่เข้าไปในส่วนลึกก็จะปลอดภัย อีกทั้งภายในแม้จะมีอันตรายมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็มีสมบัติจากธรรมชาติที่หายากมากผืนแผ่นดิน อย่างเช่นปะการังเพลิงวิญญาณ ไขกระดูกหยกวิญญาณทะเลและอื่นๆ
ทว่าในฤดูกาลนี้ยังคงอยู่ใน ‘ช่วงแปรปรวน’ ของทะเลกลืนวิญญาณ ดังนั้นเมื่อยานสำเภาของพวกหลินสวินมาถึง บริเวณชายฝั่งจึงเงียบเชียบ แทบไม่มีใครเลย
“นี่คือทะเลกลืนวิญญาณหรือ ตามบันทึกโบราณ ที่แห่งนี้เป็นที่แห่งมหันตภัย ภายในเต็มไปด้วยไอสังหาร ลึกลับอย่างยิ่ง”
บนดาดฟ้าของยานสำเภาพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียงยืนมองทะเลกลืนวิญญาณที่อยู่ในระยะไกล สีหน้าต่างแฝงความตะลึง
ในสายตาของพวกเขา เหนือทะเลกลืนวิญญาณนี้ อากาศแปรปรวน สายฟ้าผ่าทั่ว ลมพายุคำราม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ใช้คำว่า ‘มหันตภัย’ มาเปรียบเทียบยังไม่เพียงพอ!
หลินสวินเองก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เขาเคยถูกกระแสน้ำวนหนึ่งม้วนเข้าไปในโบราณสถานบรรพกาลในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณโดยบังเอิญ ในนั้นหลินสวินได้พบกับตะพาบเขียวที่ถูกกักขังไว้ภายในมานานหลายพันปี
ทว่าเมื่อมาเยือนทะเลกลืนวิญญาณหนนี้ หลินสวินจึงพบว่าทะเลอันกว้างใหญ่นี้น่ากลัวกว่าที่เขาคิดอยู่มาก!
ทันใดนั้นหัวใจของหลินสวินพลันสั่นไหว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ที่บรรดาคนในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต้องการเสาะหา คือ ‘โบราณสถานบรรพกาล’ ที่ตะพาบเขียวถูกขังอยู่?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว สีหน้าของหลินสวินก็แปลกประหลาดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ เขาจำได้แม่นว่าตะพาบเขียวถูกขังอยู่ในชั้นแรกของโบราณสถานแห่งนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้นตะพาบเขียวพูดเองว่าโบราณสถานนั่นน่าจะมีหลายชั้น แต่แค่ผนึกต้องห้ามของชั้นที่สองก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถสั่นสะเทือนได้ ถ้าเข้าไปก็มีแต่ตาย!
ตอนที่หลินสวินจากมายังคิดอยู่ว่า ในอนาคตถ้ามีโอกาส จะต้องกลับมาสำรวจในโบราณสถานบรรพกาลแห่งนั้นอีกครั้ง
แต่ไม่คิดว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสองปี เขาก็ได้กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้มาในฐานะผู้ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียน
“สถานที่แห่งมหันตภัยระดับทะเลกลืนวิญญาณนี้ หายากมากในดินแดนรกร้างโบราณ โลกชั้นล่างนี้ไม่ได้ธรรมดาแบบที่เล่าลือกันดังคาด…”
ทันใดนั้นเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับชายชราหนวดเคราขาวดั่งหิมะ มีสง่าราศีเดินออกมาจากท้องเรือ
พวกเซียวหรันคารวะโดยพลัน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
และบรรดาผู้ติดตามยิ่งดูระมัดระวัง ประสานมือยืนอยู่อีกด้าน ไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าชายชราคนนี้คือผู้เฒ่าเกาหยางแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูงสุด
หลินสวินอดรู้สึกเกรงไม่ได้ เขาเคยเห็นชายชราคนนี้ตั้งแต่ตอนที่ก้าวขึ้นยานสำเภาลำนี้แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นได้เห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้นและยังไม่ได้รู้สึกแตกต่างแต่อย่างไร
ทว่ายามนี้เมื่อได้สัมผัสในระยะประชิด ทำให้เขาราวกับได้เห็นแสงอันศักดิ์สิทธิ์สะดุดตาสาดลงบนโลก เป็นประกายเจิดจรัส พาให้รู้สึกถึงแรงกดดันยากอธิบาย
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
หลินสวินเองก็เคยเห็นคนที่เพิ่งบรรลุสู่ระดับกระบวนแปรจุติอย่างจูเหล่าซาน ถึงขั้นที่เคยสังหารหลินเฟยเฟิงผู้ยิ่งใหญ่อาวุโสระดับกระบวนแปรจุติมาแล้ว
ทว่าไม่ว่าจะเป็นจูเหล่าซานหรือหลินเฟยเฟิง เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าเกาหยาง ก็เหมือนเอาแสงหิ่งห้อยไปเทียบกับแสงตะวันจันทรา ต่างกันอย่างลี้ลับ
หลินสวินถึงขั้นเกิดภาพลวงตาว่า ต่อให้เทียบกับ ‘สุ่ยเชียนซาน’ ราชันระดับสังสารวัฏที่มาจากจักรวรรดิมืดคนนั้น ระดับของผู้เฒ่าเกาหยางก็แตกต่างกันไม่มาก!
นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้หลินสวินตกตะลึงในใจ สัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้ แม้ยังเทียบราชันระดับสังสารวัฏไม่ได้ แต่พลังกลับห่างกันไม่มากแล้ว ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก
จากการแนะนำของจ้าวจิ่งเซวียนก่อนหน้านี้ แม้แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ผู้เฒ่าเกาหยางคนนี้ยังเรียกได้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ระดับแนวหน้า พลังปราณลึกล้ำเกินคาดเดา ลือกันว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ระดับสังสารวัฏตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ก็เท่านั้น
“ท่านผู้เฒ่า โลกชั้นล่างไม่ธรรมดาอย่างไร ข้าว่าก็งั้นๆ”
ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ว เขาในชุดคลุมดำมีเข็มขัดหยกขาวคาดอยู่บนเอว ผมดำพลิ้วไหว ดวงหน้าหล่อเหลางดงามเย็นชา ดูโดดเด่นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกโลกชั้นล่างมากโข พอได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของผู้เฒ่าเกาหยางจึงออกจะไม่เห็นด้วย
“โลกชั้นล่างมหามรรคบกพร่อง แม้ไม่อาจเทียบดินแดนรกร้างโบราณ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘ความบกพร่อง’ ของมหามรรคเช่นนี้ เกิดขึ้นจากสาเหตุใด”
ประโยคเดียวจากผู้เฒ่าเกาหยางทำให้ทุกคนต่างจมสู่ห้วงความคิด
ปัญหานี้เกี่ยวโยงไปถึงปริศนาแห่งฟ้าดิน เป็นระดับที่พวกเขาไม่อาจเอื้อม จึงไม่เคยสังเกต ยามนี้เมื่อผู้เฒ่าเกาหยางพูดถึง จึงพลันสงสัยขึ้นมา
“ยามพวกเจ้าขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าก็จะเข้าใจเองว่า การที่โลกชั้นล่างสามารถคงอยู่อย่างยาวนานนับตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ย่อมไม่ได้แย่อย่างที่พวกเจ้าคิด เสียดายที่แม้ว่านับตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบันมีผู้เก่งกาจมากมายเข้ามาสืบสาวเหตุผลที่ซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายต่างต้องคว้าน้ำเหลว”
สายตาของผู้เฒ่าเกาหยางทอดมองไปยังทะเลกลืนวิญญาณอันห่างไกล นัยน์ตานั่นลึกล้ำและกว้างไกล ราวกับสามารถสะท้อนภาพสรรพสิ่งแห่งฟ้าดิน “อย่างเช่นทะเลกลืนวิญญาณนี้ ภายในมีความลับมากมายซ่อนอยู่ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยถูกคลี่คลายทั้งหมด”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา แม้แต่หลินสวินยังอดคิดไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัวมอง ‘โลกชั้นล่าง’ จากมุมนี้
“คำพูดของท่านผู้เฒ่าเป็นความจริง เช่นเดียวกับโบราณสถานบรรพกาลที่เรากำลังจะไปสำรวจในครั้งนี้ เล่าลือกันว่าอสูรมารอริยะท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้ ฝึกตนจนเป็นอริยะ ปัจจุบันในดินแดนรกร้างโบราณแทบจะไม่มีผู้ที่สามารถฝึกตนจนกลายเป็นอริยะได้”
เซียวหรันพูดขึ้น เขาในชุดสีขาวเรียบๆ บุคลิกเลื่อนลอยราวกับควันเมฆ จิตวิญญาณโดดเด่น มีลักษณะที่ทำให้ไม่อาจมองข้ามได้
“ใช่แล้ว เพียงแค่อมตะนพเคราะห์ จวบจนปัจจุบันยังน้อยมากที่จะมีคนทะลวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเส้นทางสู่อริยะ ยากเกินไปแล้ว…”
ผู้เฒ่าเกาหยางถอนหายใจ
“อย่างไรอสูรมารอริยะบรรพกาลก็เป็นคนในยุคบรรพกาล อีกร้อยปีเมื่อมหาสงครามมาเยือน ถึงตอนนั้นฟ้าดินนี้จะเจิดจ้ารุ่งโรจน์ ชะตาฟ้าจะเปลี่ยนไป ในบรรดาคนรุ่นเราถูกกำหนดให้มีอัจฉริยะที่สั่นสะเทือนไปทั่วปรากฏตัวขึ้นมากมาย และจะมีคนที่ทะยานก้าวข้ามอมตะเคราะห์ เข้าสู่เส้นทางแห่งอริยะ!”
เด็กชายชุดหลากสีพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนเยาว์แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง ทำให้ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน
สายตาของเกาหยางเผยความชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “คำพูดนี้เป็นความจริง ดังนั้นในร้อยปีนี้พวกเจ้าจะต้องรีบเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด มหาสงครามที่ว่านี้ คือวิถีมรรคนับหมื่นจะเกิดขึ้นพร้อมกัน วาสนาชะตาฟ้านี้จะต้องสร้างยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของการฝึกปราณที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน ใครสามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้ คนนั้นก็จะสามารถก้าวขึ้นมาโดดเด่นและสร้างตำนานเหนืออดีตและปัจจุบัน!”
สีหน้าของเหล่าผู้กล้าอย่างเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ เหวินเสียว จ้าวจิ่งเซวียนและกงหยางอวี่ต่างเผยความมุ่งหวัง
แม้แต่บรรดาผู้ติดตามยังตื่นเต้นไปด้วย มหาสงคราม สร้างเส้นทางตำนานที่เหนืออดีตและปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณคนไหนบ้างจะไม่ปรารถนา
หลินสวินเองก็ฟังจนเลือดเดือดพลุ่งพล่าน เพียงแต่ไม่นานก็สงบลง มหาสงครามยังหมายความถึงโลกแห่งมหันตภัย ผู้กล้ามากมายบนโลกจะลุกขึ้นพร้อมกัน ปีศาจอัจฉริยะไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จะปรากฏตัวขึ้น ดูเหมือนจะเป็นความรุ่งโรจน์ แต่การแก่งแย่งแข่งขันก็จะโหดร้ายอย่างที่สุด!
อย่าว่าแต่ในอีกร้อยปีเลย แค่อยากอยู่รอดได้อย่างราบรื่นท่ามกลางการชิงดีชิงเด่นจนมหาสงครามมาเยือน ล้วนถูกกำหนดให้มาพร้อมกับการแก่งแย่งที่อันตรายมากมาย!
ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะมั่นใจได้ว่าตนจะอยู่รอดได้เป็นศตวรรษ แม้จะมีชีวิตรอด แล้วใครจะรับประกันได้ว่าระดับพลังปราณจะบรรลุสู่ระดับสังสารวัฏ
ต่อให้ก้าวสู้ระดับสังสารวัฏ แต่ใครจะรับรองได้อีกว่าจะสามารถช่วงชิงวาสนาอันยิ่งใหญ่ได้
ยาก!
ยากเกินไปแล้ว!
เพียงแค่ความฮึกเหิมแน่นอนว่าไม่เพียงพอ
“ที่พาพวกเจ้ามาสำรวจแดนลับอสูรมารอริยะในครั้งนี้ สำนักล้วนทำเพื่อให้พวกเจ้าเติบใหญ่โดยเร็วที่สุด จึงตั้งใจจัดให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ”
ผู้เฒ่าเกาหยางพูดเนิบช้า “แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ว่าวาสนาทั้งหมดล้วนต้องพึ่งความสามารถของตนในการช่วงชิงมา!”
ไม่จำเป็นต้องกำชับ พวกเซียวหรันก็รู้อยู่แล้ว สีหน้าจึงสงบราบเรียบมาก
“ออกเดินทาง!”
ผู้เฒ่าเกาหยางสะบัดแขนเสื้อควบคุมยานสำเภา มุ่งหน้าไปยังทะเลกลืนกินที่อยู่ห่างออกไปด้วยตัวเองโดยไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้
ครื้นโครม…
ยามนี้หลินสวินรู้สึกเหมือนกำลังเคลื่อนย้ายในพริบตา ยานสำเภาเปล่งประกาย เผยลวดลายโบราณอันลึกลับ กลายเป็นแสงประกายเจิดจรัสปกคลุมไปทั้งยานสำเภา
ท้องฟ้าเหนือทะเลกลืนวิญญาณเต็มไปด้วยสายฟ้าและพายุ ทันทีที่เข้าใกล้ยานสำเภาก็ถูกพลังล่องหนหนึ่งพุ่งไปคลี่คลาย
สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ ตอนที่ตรงหน้าปรากฏพื้นที่ปั่นป่วนในห้วงอวกาศที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ยานสำเภากลับไม่มีท่าทีว่าจะหลบ พลันพุ่งทะลุผ่านไป!
เฮือก!
หลินสวินสูดหายใจเข้าอย่างตกใจ ความปั่นป่วนในห้วงอากาศน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง สามารถกักตัวราชันระดับสังสารวัฏไว้ภายในได้ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ จะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ร่างสลายพลังยุทธ์ดับสูญ
แต่ตอนนี้ยานสำเภากลับประหนึ่งแล่นอยู่บนพื้นเรียบ ทะลุผ่านไปอย่างง่ายดาย…
ในตอนนี้หลินสวินถึงตระหนักได้ว่า ยานสำเภาลำที่พวกเขานั่งอยู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติลับที่มีอานุภาพเหนือความคาดหมาย!
และครั้งนี้เพื่อเข้าสู่ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้เตรียมความพร้อมมามาก
สิ่งที่ปรากฏในสายตาหลินสวินตอนนี้เป็นภาพที่แปลกประหลาดมาก แม้ว่าท้องฟ้าจะเกิดสายฟ้าคะนอง อากาศปั่นป่วน พายุในทะเลโหมกระหน่ำทั่วท้องฟ้า… แต่ยานสำเภาก็ยังส่องแสงระยิบระยับ เผยลวดลายอันลึกลับและคลี่คลายภัยพิบัติเหล่านี้จนเหมือนไม่มีตัวตน ราวกับอยู่บนพื้นเรียบ!
และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ความเร็วของยานสำเภาก็ค่อยๆ ชะลอลง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป
ไม่มีทั้งสายฟ้าคะนอง พายุรุนแรงและความปั่นป่วนบนอากาศ แม้แต่ผิวน้ำทะเลสีดำยังสงบไร้คลื่น เงียบผิดปกติจนน่ากลัว!
การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้ไม่เพียงไม่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายจนหายใจไม่ทั่วท้อง
และในยามนี้เอง สีหน้าของผู้เฒ่าเกาหยางพลันจริงจังขึ้นมา…
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น