Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 524-527
ตอนที่ 524 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (สาม)
โดย
ProjectZyphon
เหยาชิงหัวเราะลั่นอีกครั้งพลางกล่าว “มันแน่อยู่แล้ว ใต้เท้าของข้าเคยพูดเอาไว้ ขอแค่เจ้ากล้าปรากฏตัวที่นี่เพียงลำพัง ก็พิสูจน์แล้วว่าชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นมีความสำคัญต่อเจ้าอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายตัวคนเดียวเด็ดขาด”
เขาหยุดไปชั่วชณะก่อนจะกล่าวต่อ “ดังนั้นขอเพียงเจ้ายังสนใจชีวิตของชาวบ้านพวกนั้นอยู่ เจ้าก็ทำได้แค่ตามข้าไปอย่างว่าง่าย”
ในน้ำเสียงนั้นมีความย่ามใจเจืออยู่ นั่นเป็นความรู้สึกที่ถือไพ่เหนือกว่า ราวกับคำนวณไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
กล่าวเสร็จเหยาชิงพลันหมุนกายเดินเข้าไปในประตูข้างของเรือนใต้ดิน ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง ในมือของเขาหิ้วชายวัยกลางคนซึ่งหมดสติอยู่คนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้ผิวคล้ำกรำแดด รูปร่างบึกบึน แกนกระดูกใหญ่ สวมชุดหนังสัตว์คร่ำคร่า มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวบ้านที่มักทำงานตรากตรำกลางทุ่งนา มีร่องรอยถูกแดดเผาลมพัดตามร่างกาย
ท่านอาเถี่ยซาน!
ในที่สุดหลินสวนิก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป หัวใจบีบแน่นรุนแรง ชายวัยกลางคนที่หมดสติผู้นี้คือเถี่ยซานจริงๆ
ครั้งแรกที่หลินสวินเข้าสู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ชาวบ้านคนแรกที่ได้เจอ ยังจำได้แม่นว่าเป็นเถี่ยซานที่นั่งทอดถอนใจใบหน้ากลัดกลุ้มอยู่ในนาข้าววิญญาณ
และยังจำได้ถึงอาการกระโดดโลดเต้น ยินดีมีความสุขของเขาหลังจากที่ตนช่วยกำจัดศัตรูพืชในนาข้าววิญญาณ
นี่คือชายวัยกลางคนที่ซื่อตรง กระตือรือร้นและเรียบง่ายคนหนึ่ง หากไม่ใช่การแนะนำของเขา คงยากที่หลินสวินจะเข้าสู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นได้ตั้งแต่แรก
ทว่าตอนนี้ เถี่ยซานกลับถูกคนคุมขัง หมดสติ เป็นตายไม่อาจรู้!
สัมผัสได้อย่างฉับไวถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหลินสวิน ทำให้เหยาชิงอดส่งเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจออกมาไม่ได้ กล่าวเนิบนาบ “เจ้าดู นี่เป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เจ้าเป็นห่วงมากที่สุด เชื่อว่าเจ้าน่าจะมั่นใจอย่างที่สุดแล้วว่าพวกเราไม่ได้หลอกลวงเจ้า ชาวบ้านคนอื่นๆ ตอนนี้ล้วนถูกจัดแจงอย่างดีให้อยู่ในจังหวัดชิงเฟิง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นอกจากจะตามข้าไปแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกว่าเจ้าจะยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก”
เวลานี้แม้แต่อวี๋ชางหลินที่อยู่ข้างๆ ยังมีสีหน้าตะลึง เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าแผนการและกลยุทธ์ของเหยาทั่วไห่จะละเอียดถี่ถ้วนเยี่ยงนี้ นี่มันแหฟ้าตาข่ายดินชัดๆ ทำให้หลินสวินไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้ดิ้นรนขัดขืน!
จะเห็นได้ว่าเพื่อต่อกรกับหลินสวิน เขาเตรียมการและวางแผนไว้ไม่น้อย เล่ห์เหลี่ยมและฝีมือเช่นนี้ เห็นชัดว่าน่ากลัวเกินไปจริงๆ
หลินสวินนิ่งเงียบ นับตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเถี่ยซาน เขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องย่ำแย่ที่สุดเกิดขึ้นจนได้
ไม่ได้ถึงขนาดเกินความคาดหมาย เพียงแต่…
ภายในใจกลับมีความเกลียดชังยากบรรยายอย่างหนึ่งกำลังก่อหวอดอยู่ ดั่งภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ แทบจะควบคุมไม่อยู่
ในส่วนลึกของนัยน์ตาดำขลับของเขา มีหุบเหวอันยากจะหยั่งถึงปรากฏขึ้น ประหนึ่งมีลมมรสุมสั่งสมอยู่ในนั้น เยียบเย็นจนผู้คนใจสะท้าน
พริบตานั้นอวี๋ชางหลินตัวแข็งทื่อ ในใจหนาวเยือกอย่างอธิบายไม่ได้ ทั่วสรรพางค์กายเริ่มสั่นเทิ้ม สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่ากลัวหาใดเปรียบจากร่างของหลินสวิน ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งจวนเจียนสิ้นลม
นี่…
เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้
หัวใจของอวี๋ชางหลินสั่นสะท้าน เมื่อสามปีก่อน ในสายตาเขาหลินสวินเทียบมูลฝอยยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ปราชัยในการโจมตีเดียว ทว่าหลินสวินในปัจจุบัน เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกตะลึงงันสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!
สวบ!
ตอนที่อวี๋ชางหลินยังงุนงงอยู่นั้น หลินสวินก็ขยับตัว ก้าวสวบออกไปดุจสายฟ้า คว้าลำคอเหยาชิงไว้ได้ในคราเดียว
จิตสังหารน่ากลัวราวกับคมดาบไร้เทียมทาน กรีดแทงจนสีหน้าเหยาชิงซีดเผือด รูม่านตาขยายกว้าง จิตหลุดวิญญาณกระเจิง
“เจ้า…เจ้ายังกล้ากระทำอุกอาจอีก เจ้าคงรู้ว่าหากสังหารข้าไป ชาวบ้านพวกนั้นก็ต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเลือดด้วยเหมือนกัน!” เหยาชิงแผดเสียง พยายามทำให้ตนเยือกเย็นลง
กร๊อบๆ…
หลินสวินไม่ไยดีเขา มือขวาบีบลำคอเขาแน่น มือซ้ายกลับเหมือนคีมเหล็ก บีบกระดูกไหล่และท่อนแขนของเขาแตกทีละชุ่น พลันเห็นเลือดเนื้อของเขาระเบิดกระจายออกมา กลายเป็นฝนโลหิตเข้มข้นไหลหลั่งลงมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
เหยาชิงส่งเสียงโหยหวน น่าอนาถหาใดเปรียบ ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับไม่สามารถหลุดพ้นได้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่สามารถทำให้หลินสวินหยุดการเคลื่อนไหวลงได้
ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของหลินสวินล้วนไม่เปลี่ยนแปลง
วิธีที่เขาใช้ตอนนี้ มีชื่อเป็นที่รู้จักในค่ายกระหายเลือดว่า ‘น้ำตกแดงชาด’ นี่คือการทรมานรูปแบบหนึ่ง เป็นการใช้ฝีมือที่เชี่ยวชาญแม่นยำบดขยี้ร่างศัตรูทีละชุ่น ฝนโลหิตราวกับน้ำตกไหลริน เป็นภาพสีแดงชาดงดงาม
และในกระบวนการนี้ ต้องให้ผู้ถูกทรมานรู้สึกตัวตลอดเวลา ให้ตระหนักถึงความเจ็บปวดยามร่างกายถูกบดขยี้ทีละชุ่น ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนคาวเลือดทั้งทางตา หู และวิญญาณ
หากการทรมานยังไม่สิ้นสุด แต่ศัตรูชิงตายไปก่อน นั่นคือฝีมือยังไม่ดีพอ ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของ ‘น้ำตกแดงชาด’ พูดออกไปคงถูกครูฝึกของค่ายกระหายเหล่านั้นหัวเราะเยาะเอาได้
แน่นอน การทรมานรูปแบบนี้โดยปกติมักใช้กับพวกเผ่ามืด เพียงแต่ตอนนี้ถูกหลินสวินนำมาใช้กับเหยาชิงเท่านั้น
ความเชี่ยวชาญใน ‘น้ำตกแดงชาด’ ของหลินสวินย่อมเยี่ยมยอดไร้ใดเปรียบ
เขาในปีนั้นภายใต้การชี้แนะด้วยตัวเองของเสี่ยวเคอและเสี่ยวหม่าน ได้ฝืนทนกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูก สังหารสัตว์ปีศาจไปไม่รู้ตั้งเท่าไรกว่าจะจับเคล็ดสำคัญของการทรมานรูปแบบนี้ได้อยู่หมัด
หากครูฝึกค่ายกระหายเลือดเหล่านั้นได้มาเห็นฉากนี้เข้า คงจะต้องร้องชื่นชมฝีมืออันน่าทึ่งของหลินสวินอย่างแน่นอน
นี่เป็นเหมือนงานศิลปะอย่างหนึ่งชัดๆ!
เพียงแต่เป็นงานศิลปะที่นองเลือดและโหดเหี้ยม บังเกิดอานุภาพที่พาให้คนใจสั่นสะท้านไหวเป็นพิเศษอย่างหนึ่ง คนทั่วไปได้เห็น กลัวแต่จะตกใจขวัญหนีดีฝ่อ สำรอกจนลมจับ
ใต้ดินอันกว้างใหญ่ว่างเปล่า เลือดเนื้อดั่งสายฝน ไหลหลั่งร่วงริน แดงชาดร้อนระอุ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องชวนอนาถ เจ็บปวด และน่าสังเวชใจจนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกมนุษย์ได้
ภายใต้การควบคุมของหลินสวิน อย่าว่าแต่วางวายเลย แม้แต่หมดสติยังเป็นไปไม่ได้!
อวี๋ชางหลินที่อยู่ห่างออกไปอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ประดุจมองดูเพชฌฆาตจากอเวจี สำแดงคาวเลือดและความโหดเหี้ยมด้วยวิธีการแสนอำมหิตถึงขีดสุด
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เหงื่อกาฬดุจสายฝน ทั่วร่างสั่นเทิ้ม เกิดความครั่นคร้ามที่ทิ่มแทงรุนแรงจนแทบอยากอาเจียน
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสในระดับมหาสมุทรวิญญาณที่กรำแดดกรำฝนมานานคนหนึ่ง อวี๋ชางหลินก็นับว่ามากประสบการณ์ ทว่าตอนที่ได้เห็นฉากนองเลือดเช่นนี้กับตาตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่า อะไรที่เรียกว่าตายดีกว่าอยู่!
สิ่งที่ทำให้เขาสั่นสะท้านมากที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของหลินสวินเยือกเย็นยิ่งนัก เฉยเมยประหนึ่งเป็นคนนอกวง
และในเวลานี้อวี๋ชางหลินเพิ่งตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง โดยไม่รู้ตัว เขาปลุกปลอบความคิดเข้าไปช่วยชีวิตเหยาชิงไม่ขึ้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว!
กระทั่งไม่กล้าประจัญหน้าสบสายตากับหลินสวินตรงๆ ด้วยซ้ำ…
……
ท้ายที่สุดเหยาชิงก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย เพียงแต่เขามีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการตายไปเลยสักนิด
สองแขนสองเท้าของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว เหมือนกับ ‘ตะบองมนุษย์’ ที่ถูกตัดกิ่งก้านทิ้ง นอกจากเศษเสี้ยวสติที่เหลืออยู่แล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนพิการเลย
และในตอนนี้หลินสวินจึงได้เอ่ยวาจา “ขออภัย จิตสังหารใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว ต้องการระบายออกเสียหน่อย”
นัยน์ตาสองข้างของเหยาชิงเหม่อลอย ริมฝีปากถูกกัดสะบั้นไปนานแล้ว สีหน้าซีดขาว เต็มไปด้วยกลิ่นอายหดหู่สิ้นหวังไร้ทางช่วย
“เจ้า…เจ้าจะต้องไม่ได้ตายดีแน่…” ริมฝีปากสั่นระรัว ลมหายใจของเหยาชิงรวยริน น้ำเสียงคล้ายกับเค้นออกมาจากทรวงอก อ่อนแอหาใดเปรียบ และเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
“อันที่จริงเจ้าเองก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง ในเมื่อเหยาทั่วไห่ส่งเจ้ามา ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจ้าเป็นขี้เถ้าดินปืนเหมือนกับพวกตระกูลอู๋นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายล้วนไม่สำคัญเลย”
หลินสวินกล่าววาจาเนิบช้า “ต่อให้ข้าสังหารเจ้าเสียตอนนี้ เจ้าคิดว่าเหยาทั่วไห่จะฆ่าชาวบ้านทั้งหมดในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเพื่อเจ้าหรือ เป็นไปไม่ได้ เขาต้องการใช้ชาวบ้านเหล่านั้นมาข่มขู่ข้า ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้พบข้า คงไม่กล้าทำเช่นนี้เป็นอันขาด”
ริมฝีปากเหยาชิงสั่นเทา คล้ายกับปั่นป่วนมาก สายตาที่จดจ้องหลินสวินเคียดแค้นหาใดเปรียบ มีท่าทีไม่เชื่อเลยสักนิด
“ไม่ยอมรับก็เอาเถิด บางครั้งความจริงก็โหดร้ายเช่นนี้แหละ ทำเป็นไม่รู้อะไรเลย บางทีตอนที่ตายไปในใจอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”
น้ำเสียงของหลินสวินแผ่วเบาและสงบนิ่ง เหมือนพูดคุยกับสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้อวี๋ชางหลินซึ่งอยู่ห่างออกไปมองดูด้วยอาการหนังศีรษะชา มือไม้เย็นเยียบ ประดุจตกสู่หุบเหวน้ำแข็ง
ทั้งที่เด็กหนุ่มคนนั้นดูสุภาพอ่อนโยน ท่าทางไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งใดแท้ๆ ทว่าใครเลยจะจินตนาการได้ว่า ภายใต้หนังหุ้มของเขายังซ่อนปีศาจร้ายที่อำมหิตเลือดเย็นเอาไว้ตนหนึ่ง
“เจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน ตายอย่างอนาถยิ่งกว่าข้าเ!” ก็ไม่รู้ว่าเหยาชิงไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ใบหน้าซับสีเรื่อประหลาด แผดคำรามเสียงแหลม
เพียงแต่น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุด เขาก็คล้ายสูญเสียพลังชีวิต นอนแผ่อยู่ตรงนั้น สีหน้าปกคลุมด้วยสีเทาเขียวชั้นหนึ่ง
“งั้นหรือ”
หลินสวินหัวเราะ ปิดเปลือกตาของเหยาชิงอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “ขอโทษนะ เจ้ามันก็แค่ตัวประกอบที่วิ่งวุ่นตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อครู่ไม่ควรทรมานเจ้าจริงๆ นอนให้สบายเถิด เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นขี้เถ้าดินปืนอีก…”
เหยาชิงเบิกตาแทบถลน ก่อนสิ้นลมในเฮือกสุดท้าย
และในเวลานี้ หลินสวินค่อยๆ หยัดตัวขึ้นมองไปทางอวี๋ชางหลินที่อยู่ห่างออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน อวี๋ชางหลินสั่นเทิ้มไปทั้งกาย กล่าวด้วยสีหน้าปั้นยาก “เจ้าไม่กังวลว่าหากเหยาทั่วไห่โกรธขึ้นมาจริงๆ จะฆ่าชาวบ้านบางส่วนก่อนเป็นการข่มขวัญเจ้าหรือ”
หลินสวินย้อนถาม “เจ้าคิดว่าหากครั้งนี้ข้าไปจังหวัดชิงเฟิง เหยาทั่วไห่จะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตหรือ”
อวี๋ชางหลินนิ่งเงียบทันควัน
หลินสวินเอ่ยต่อไป “เช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีก หากข้าตายไป เหยาทั่วไห่จะยอมปล่อยชาวบ้านเหล่านั้นหรือไม่”
อวี๋ชางหลินนิ่งเงียบอีกระลอก ข้อนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเพื่อปกปิดความลับที่ฆ่าหลินสวินตาย เหยาทั่วไห่ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ชาวบ้านพวกนั้นมีโอกาสรอดชีวิตอีกแน่นอน!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลินสวินมีท่าทีเยือกเย็น มองไม่เห็นถึงความแปรปรวนทางอารมณ์เลยสักเสี้ยว แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้อวี๋ชางหลินรู้สึกว่าน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้า…คิดจะจัดการกับข้าอย่างไร” น้ำเสียงอวี๋ชางหลินแผ่วเบาคลุมเครือ เขารู้ดี ชั่วขณะนี้เขาจำต้องเผชิญหน้ากับปัญหาข้อนี้
“โทษตายเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นยากหนีพ้น”
หลังจากนั้นไม่นานหลินสวินก็โน้มกายลง แบกเถี่ยซานที่หมดสติอยู่ขึ้นมา จากนั้นจึงหมุนกายออกจากทางใต้ดินแห่งนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแยแสอวี๋ชางหลินที่ถูกทอดทิ้งเลยสักแวบเดียว เขาแก่แล้ว แม้แต่ความกล้าจะต่อต้านยังมลายสิ้น ไม่อาจเรียกลมพายุอะไรได้อีก
…..
เมืองตงหลินยังคงคึกคักจอแจ รถราวิ่งขวักไขว่
ไม่มีใครรู้ว่าบุคคลสำคัญทั้งหมดของตระกูลอู๋ล้วนสิ้นชีพ และไม่มีใครรู้ว่าอวี๋ชางหลินเจ้าสำนักสำนักศึกษาตงหลินซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วเมือง วันนี้ได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว
นอกเมืองตงหลิน
รถรับส่งสลักวิญญาณที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดชิงเฟิงขบวนแรกสุดได้ออกเดินทางแล้ว
แต่ว่า กลับมียานสำเภาเก่าคร่ำเรียบง่ายลำหนึ่งจอดรออยู่ตรงนั้นตลอด ตอนที่หลินสวินแบกเถี่ยซานมาถึง ยานสำเภาก็บรรทุกทั้งสองคนแล้วทะยานสู่อากาศทันที
ยานสำเภาดูคล้ายเก่าคร่ำเรียบง่าย แต่ในเวลานี้กลับหายลับไปที่ขอบฟ้าอย่างกะทันหันด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!
____
ตอนที่ 525 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (สี่)
โดย
ProjectZyphon
ยานสำเภาดูคล้ายเก่าแก่เรียบง่าย ทว่าภายในกลับตกแต่งอย่างวิลิศมาหรา มีพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าทึ่งก็คือสองฝั่งของยานสำเภายังมีปืนใหญ่สลักวิญญาณใหม่ล่าสุดสิบหกกระบอกกระจายอยู่ด้วย!
นี่ไม่ใช่ยานสำเภาธรรมดาลำหนึ่งที่แสนเรียบง่ายขนาดนั้นอย่างแน่นอน
ภายในห้องโดยสาร มู่หวั่นซูมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามอย่างค่อนข้างจะปลงตกเล็กน้อย กลีบปากแดงอิ่มเผยอขึ้นหน่อยๆ เผยให้เห็นเรียวฟันขาวกระจ่าง กล่าวว่า “จากฐานะในจักรวรรดิของเจ้ายามนี้ ยังมีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นอีก”
หลินสวินเองก็มองสำรวจ ‘เพื่อนเก่า’ ที่อยู่ตรงข้ามเช่นกัน มู่หวั่นซูเป็นสตรีงามพิลาสนางหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย สาวสะพรั่งมีเสน่ห์ สวยงามอรชรอ้อนแอ้น ดุจผลท้อน้ำผึ้งเอิบอิ่มผลหนึ่ง จริตจะก้านล้มหลาม
นางยังคงเป็นดั่งวันวาน สวมชุดกระโปรงดำที่ตัดเย็บเข้ารูป ทำให้เห็นเรือนร่างสูงโปร่งอย่างชัดแจ้ง และสะท้อนกลิ่นอายน่าดึงดูดชวนเคลิ้มฝันอย่างหนึ่งออกมาจากผิวขาวเนียนราวกับหยกมันแพะนั้น
ครั้งแรกที่ได้พบกันในปีนั้น หลินสวินยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พักอาศัยในหมู่บ้านเฟยอวิ๋น ส่วนในปีนั้นมู่หวั่นซูกลับเป็นถึงผู้รับผิดชอบอัครการค้าแห่งเมืองตงหลิน
สามปีผ่านไป สถานการณ์และฐานะของหลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นดิน ได้รับความสนใจจากทั่วมุมโลก ส่วนมู่หวั่นซูออกจากเมืองตงหลินไปเป็นผู้รับผิดชอบอัครการค้าแห่งมณฑลซีหนานตั้งนานแล้ว
“พี่หวั่นซูสวยขึ้นกว่าแต่ก่อนอีก” หลินสวินเองก็ปลงตกเช่นเดียวกัน บนเนื้อตัวของมู่หวั่นซูมีกลิ่นอายสง่างามมากประสบการณ์และความชาญฉลาดอย่างหนึ่ง เหมือนดอกกุหลาบที่เบ่งบานผ่านลมฝนดอกหนึ่ง ทำให้ยิ่งมีเสน่ห์เอ่อล้นมากขึ้น
มู่หวั่นซูนิ่งไป ร้องชิเบาๆ คราหนึ่ง ดวงตาไหวเคลื่อนพลางกล่าวค่อนแคะ “นี่มันเวลาไหนแล้ว เด็กเหลือขออย่างเจ้ายังพูดจาแถไถไหลลื่นอยู่อีก อยากโดนตีหรือ”
หลินสวินเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน สองมือไขว้ขัดที่ท้ายทอยก่อนกล่าวกลั้วหัวเราะ “พบพานเรื่องใหญ่ต้องทำใจให้นิ่งสงบ ข้าแสดงความเคร่งเครียดมากเกินไปก็ไร้ประโยชน์”
สีหน้ามู่หวั่นซูผุดแววอ่อนโยนกล่าว “เจ้าอย่าได้กังวลมากเกินไป ทางจังหวัดชิงเฟิงเริ่มเคลื่อนไหวแล้วตามที่คาดเอาไว้”
หยุดไปชั่วขณะนางพลันหัวเราะเย็นชาขึ้นมา “เหยาทั่วไห่ก็ช่างบ้าดีเดือดโดยแท้ คิดจริงๆ หรือว่าแค่ตระกูลเหยาของเขาคนเดียวจะสามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ บางทีอยู่ในมณฑลซีหนาน เขาสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ แต่ในสายตาของขุมอำนาจใหญ่อย่างแท้จริง เขาก็ไม่พ้นเป็นแค่หมาเฒ่าตัวหนึ่งเท่านั้น หากคิดจะจัดการเขา มีแค่พลังของอัครการค้าก็เพียงพอจะฆ่าล้างโคตรเขาได้แล้ว!”
หลินสวินกล่าว “ท่านคิดว่าเหยาทั่วไห่กำลังเล่นกับไฟหรือ”
“แล้วไม่ใช่หรือ” มู่หวั่นซูย้อนถาม
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก น้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้เหยาทั่วไห่เลือกจะหาเรื่องข้าในเวลานี้ นี่เห็นชัดว่าเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาหาใดเปรียบอย่างหนึ่ง คนมีตาต่างรู้ดี อย่าว่าแต่เขาเหยาทั่วไห่ ต่อให้รวมทั้งตระกูลเหยาเข้าด้วยกัน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสั่นคลอนข้าแม้สักเสี้ยว แต่เขากลับทำแบบนี้ ท่านว่า เขามีแผนการอะไรอีก”
มู่หวั่นซูครุ่นคิดก่อนกล่าว “เจ้าคงไม่ได้คิดว่า ยังมีขุมอำนาจอื่นคอยสนับสนุนอย่างลับๆ ให้เหยาทั่วไห่ทำเช่นนี้หรอกกระมัง”
หลินสวินเอ่ย “นี่ก็เป็นความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง”
ท่าทีของมู่หวั่นซูเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ถ้าพูดเช่นนี้ละก็ พวกเราต้องเตรียมกำลังเพิ่มอีกหรือไม่”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่ต้อง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงอัครการค้าเท่านั้น ยังมีกำลังของตระกูลหนิงราชันเลือดเหล็ก ตระกูลเย่ราชันแห่งทะเลตะวันออก และตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุกร่วมมือกันอย่างลับๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตัวแปรมากขึ้นไปอีก”
กลางนัยน์ตาสุกใสของมู่หวั่นซูผุดแววประหลาด ยามนี้ถึงได้ตระหนักว่าที่แท้หลินสวินก็เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมสำหรับเรื่องนี้แต่แรกแล้ว
ฉับพลันภายในใจของนางก็อดรู้สึกปลงตกอีกครั้งไม่ได้ เพิ่งจะผ่านไปสามปีเท่านั้น หลินสวินก็ได้ครอบครองอำนาจอันแกร่งกล้าถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางไม่สามารถจินตนาการได้เลยสักนิด
“พี่หวั่นซู เหตุใดท่านถึงเอาแต่จ้องข้า บนหน้าข้ามีดอกไม้บานออกมาหรืออย่างไร” หลินสวินพูดหยอกเย้าพลางหัวเราะคิกคัก
มู่หวั่นซูส่งเสียงขัดเคืองออกมา ดวงตากลมโตงดงามจับจ้องหลินสวินอย่างมาดร้าย “เจ้าพูดความจริงกับข้ามา ครั้งนี้เจ้าเตรียมพลหนุนหลังไปเท่าไรแล้วกันแน่”
หลินสวินกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “ไม่มาก แต่น่าจะพอใช้งานอยู่”
ครั้งนี้หลินสวินออกจากนครต้องห้ามเพียงลำพังและไม่ได้รบกวนขุมอำนาจใดๆ เลยก็จริง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินจะไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังอย่างคนโง่งมปัญญาทึบเสียหน่อย!
มีพลังแต่ไม่ใช้ กลับคิดจะไปตามนัดอย่างฮึกเหิม บุกทะลวงถ้ำเสือบ่อมังกรเพียงลำพัง นี่ไม่เรียกว่าห้าวหาญเต็มเปี่ยม แต่เรียกว่าสมองพังไปแล้วต่างหาก
หลินสวินพยายามฝึกปราณมาจนป่านนี้ กว่าจะครอบครองบารมีและฐานะอย่างวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ สิ่งที่ต้องการก็มิใช่พลังที่จะแก้ไขสถานการณ์หากวันใดวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นหรอกหรือ
แต่จะว่าไป แค่ตระกูลเหยาตระกูลเดียว อย่าว่าแต่หยิบยืมพลังของขุมอำนาจอื่นเลย ลำพังอาศัยแค่พลังที่หลินสวินมีในปัจจุบันก็เพียงพอจะทำให้อีกฝ่ายสยบแทบเท้าได้แล้ว
ทว่าหลินสวินกลับไม่เลือกทำเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่าเหยาทั่วไห่ไม่ใช่ไอ้งั่ง ในเมื่อกล้าทำถึงเพียงนี้ คงต้องเตรียมการไว้ครบครันเรียบร้อยแล้ว
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินระแวดระวังมากขึ้น แน่นอน ที่ระวังไม่ใช่เหยาทั่วไห่ แต่เป็นพลังซึ่งอยู่เบื้องหลังเหยาทั่วไห่ต่างหาก!
ดังนั้นก่อนออกจากนครต้องห้าม เขาจึงสั่งความกับพญาแร้งและหลินจงอย่างลับๆ ให้เริ่มช่วยเขาจัดวางและลอบติดต่อขุมอำนาจอื่น
อาทิเช่น อัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ตระกูลกงเป็นต้น
อัครการค้าในฐานะที่เป็นร้านค้าอันดับหนึ่งในจักรวรรดิ อิทธิพลครอบคลุมใต้หล้า พวกตระกูลหนิง ตระกูลเย่ก็ไม่ทิ้งห่างกันเท่าใดนัก
คิดจะไม่ให้ศัตรูไหวตัวทันแล้วจัดเตรียมวิธีบางอย่างไปช่วยเหลือหลินสวิน นี่ยิ่งง่ายดายนัก
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หากเทียบกับยักษ์ใหญ่อย่างพวกอัครการค้าแล้ว ตระกูลเหยาที่เหยาทั่วไห่อาศัยอยู่นั้นแทบไม่ควรค่าให้ชายตาแลเลยสักนิด พลังที่หลินสวินใช้งาน จุดประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อต่อกรกับเหยาทั่วไห่เลยแม้แต่น้อย
“ข้าจะไปดูท่านอาเถี่ยซานเสียหน่อย”
หลินสวินหยัดตัวขึ้น เดินมุ่งหน้าไปยังห้องเงียบสงบห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลังห้องโดยสาร
เถี่ยซานเพียงสลบไปเท่านั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บ สิ่งนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็พิสูจน์แล้วว่า ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้พบตน ศัตรูก็ไม่กล้าทำอะไรมากเกินขอบเขต
……
จังหวัดชิงเฟิง
ยามรัตติกาลดั่งสีหมึก ในฐานะสถานที่ประจำจังหวัด จังหวัดชิงเฟิงย่อมเฟื่องฟูกว่าเมืองตงหลินมากเป็นธรรมดา
แม้จะมาเยือนยามค่ำคืน ในเมืองใหญ่ก็ยังคงสว่างไสว รถราวิ่งกันขวักไขว่ ผู้คนพลุกพล่าน หลั่งไหลไม่ขาดสาย
หอนางโลม หอสุรา แหล่งการพนันต่างก็ต้อนรับช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของวัน
หอสามเลิศ
นี่คือหอนางโลมแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในจังหวัดชิงเฟิง เป็นสถานเริงรมย์อันศักดิ์สิทธิ์ในดวงใจคุณชายเจ้าสำราญนับไม่ถ้วน ด้วยว่าแม่นางในหอสามเลิศไม่เพียงแต่งดงามดึงดูดเท่านั้น ยังมีทักษะ ‘สามเลิศ’ ติดกาย พาให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหลงใหลอีกด้วย
สิ่งที่เรียกว่า ‘สามเลิศ’ คืออะไร?
แบ่งออกเป็นร่ายรำล้ำเลิศ ขับร้องล้ำเลิศ ศิลปะในหับห้องล้ำเลิศ!
กิจการหอสามเลิศในราตรีนี้ยังคงร้อนแรงหาใดเปรียบ ทั้งคุณชายเสเพลจอมอวด พ่อค้ามั่งคั่งกระเป๋าตุง ผู้ฝึกปราณโด่งดังที่มีตำแหน่งแห่งหนไม่ธรรมดา บุคคลร่ำรวยในตระกูลมากอำนาจ ต่างแห่แหนมาที่นี่เพื่อร่ำสุราเที่ยวนารี
ภายในห้องรับรองหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดแพรไหมคนหนึ่งเริ่มหัวเสีย วันนี้เขาจองแม่นางคนหนึ่งที่เพิ่งมาใหม่ในหอสามเลิศ ได้ยินว่ารูปงามปานล่มเมือง ดุจบุปผาประหนึ่งหยก สิ่งที่หายากที่สุดคือเรือนร่างยังผ่องแผ้วอยู่
ทว่ารอมาหนึ่งถ้วยชาแล้วก็ยังไม่เห็นตัวคน สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มชุดแพรไหมเริ่มอดทนไม่ไหวบ้างแล้ว ครั้งนี้เขาลอบหนีออกจากตระกูลมา จะค้างในหอสามเลิศไม่ได้เด็ดขาด
แอด!
ขณะที่ชายหนุ่มชุดแพรจวนจะหมดความอดทนนั้น ประตูห้องพลันถูกผลักออก เผยให้เห็นเงาอรชรทรงเสน่ห์เย้ายวน
นี่คือเด็กสาวนางหนึ่ง เรือนผมดำราวกับน้ำตก อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ดวงหน้างดงามเฉยเมย ผิวพรรณกระจ่างเกลี้ยงเกลาดั่งหยก มีกลิ่นอายสูงส่งไม่อาจเอื้อมถึง
สายตาของชายหนุ่มชุดแพรเปลี่ยนเป็นร้อนระอุโดยพลัน ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นหนักหน่วง สาวงามที่โดดเด่นปานน้ำแข็ง แม้จะอยู่ในหอสามเลิศก็เป็นของหายาก
ไม่คิดเลยว่าจะถูกตนสัมผัส!
“เหยาอวี้คุน?”
หญิงสาวเอื้อนวาจา น้ำเสียงใสกระจ่าง เย็นเยียบราวกับน้ำแร่ภูเขาสายหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดแพรนิ่งไป “แม่นางรู้จักข้าคนนี้ด้วยหรือ”
ความรู้สึกขยะแขยงฉายขึ้นบนสีหน้าหญิงสาว กล่าวว่า “เป็นเจ้าก็ดี ตามข้ามาสักเที่ยวเถิด”
ชายหนุ่มชุดแพรสั่นสะท้านไปทั่วกาย ความปรารถนาในใจมอดดับ ตระหนักได้ว่าสถานการณ์มีปัญหา!
ตึง!
เพียงแต่เขายังไม่ทันแม้แต่จะตั้งรับ ก็รู้สึกว่าศีรษะปวดแปลบก่อนจะหมดสติไปในทันที
……
ร้านใบเฟิงดอกกุ้ย
นี่คือหอสุราที่แตกต่างไม่เหมือนใครแห่งหนึ่ง ผู้ที่สามารถเข้านอกออกใน ณ ที่แห่งนี้ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลร่ำรวยมีชื่อเสียงในจังหวัดชิงเฟิงทั้งสิ้น
เหยาฟางเฟยร่ำสุราคลายทุกข์อยู่เพียงลำพัง
“คุณหนูฟางเฟยใช่หรือไม่”
บุรุษคนหนึ่งประชิดเข้ามา หล่อเหลาสง่างาม รูปงามอย่างยิ่ง
“เจ้าเป็นใคร”
เหยาฟางเฟยเอ่ยอย่างระวังตัว
“ผู้มีวาสนาคนหนึ่ง มาที่นี่ด้วยความชื่นชม อยากเชิญชวนคุณหนูฟางเฟยร่วมดื่มด้วยกันสักจอก”
ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ขออภัย ข้าไม่ว่าง”
เหยาฟางเฟยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพียงแต่คำพูดนางเพิ่งสิ้นสุด ก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นยื่นแขนออกมาโอบรอบไหล่นาง เห็นได้ชัดว่าใจกล้าและตรงไปตรงมาเกินไป
เหยาฟางเฟยเพิ่งคิดจะบันดาลโทสะ ตบเจ้าคนหน้าหนาคนนี้สักฉาด พลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดสนิท เรือนร่างอ่อนปวกเปียก ทรุดล้มเข้าสู่อ้อมกอดของชายหนุ่มคนนั้น
“สุราดีบวกกับหญิงงาม ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนภิรมย์เพียงใดหนอ แต่น่าเสียดาย ไร้สุขให้เสพสม…”
ชายหนุ่มดื่มสุราในจอกหมดรวดเดียวแล้วยกเหยาฟางเฟยขึ้นพาดบ่า สาวเท้าฉับๆ เดินออกไปด้านนอกร้านใบเฟิงดอกกุ้ย
ในราตรีเฉกเช่นสีหมึกคืนนี้ เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นในพื้นที่และสถานที่แตกต่างกันในจังหวัดชิงเฟิง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ทำให้ใครแตกตื่นแม้แต่น้อย
…….
ร้านค้าตระกูลเหยา
นี่เป็นหนึ่งในกิจการภายใต้ตระกูลเหยา ก่อนหน้านี้สิบกว่าวันได้ปิดร้านพักกิจการ กล่าวว่าต้องตุนสินค้า จึงปิดกิจการชั่วคราว
เพียงแต่ในคืนนี้กลับมีคนชุดดำหนึ่งกลุ่มปรากฏตัวในร้านค้าตระกูลเหยาเงียบๆ เข้าควบคุมผู้รับผิดชอบทั้งน้อยใหญ่ ตลอดจนคนรับใช้ผู้ติดตามทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยให้เกิดการต่อต้านใดๆ และไม่เคยปล่อยให้ใครก็ตามหนีไปได้
ภูเขาเหมืองลูกหนึ่งที่อยู่นอกจังหวัดชิงเฟิงออกไปหลายสิบลี้ ที่นี่ก็เป็นกิจการของตระกูลเหยาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในค่ำคืนนี้ สมาชิกตระกูลเหยาทั้งหมดที่รับผิดชอบดูแลภูเขาเหมืองต่างอันตรธานหายไปกะทันหันราวกับระเหยได้ก็ไม่ปาน
รัตติกาลในจังหวัดชิงเฟิงเฟื่องฟูและมีเสน่ห์ นานาสีสัน
เพียงแต่ใครเลยจะคาดคิด ว่าภายใต้ฉากหน้าอันเงียบสงบนี้จะเกิดการหายตัวไปอย่างลึกลับหลายสิบเหตุการณ์ขึ้น
ทั้งคนที่หายตัวไปล้วนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเหยาทั้งสิ้น
สีรัตติกาลยิ่งมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว ภายในห้องโถงใหญ่อันเรืองรองของตระกูลเหยากลับยังคงสว่างไสวอยู่
เหยาทั่วไห่นั่งในตำแหน่งกลาง ท่าทางผ่าเผย นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นโดยไม่เอ่ยวาจา
ราตรีนี้ยาวนานกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
แต่ขอเพียงผ่านพ้นคืนนี้ไป พรุ่งนี้ บางทีอาจจะได้ต้อนรับรุ่งอรุณใหม่เอี่ยมกระมัง…
เหยาทั่วไห่ลอบใคร่ครวญในใจและเฝ้ารอคอย
ทว่ารุ่งอรุณยังไม่ทันมาเยือน กลับมีเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นจากที่ห่างไกล ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด เห็นชัดว่ามันบาดหูได้ถึงเพียงนี้
เหยาทั่วไห่พลันมุ่นคิ้วขึ้นทันใด
——
ตอนที่ 526 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (ห้า)
โดย
ProjectZyphon
“ใต้เท้า ท่าไม่ดีแล้วขอรับ นายน้อยอวี้คุนเรือนผู้อาวุโสใหญ่ คุณหนูฟางเฟยเรือนผู้อาวุโสสาม นายน้อยอวี้ถิงเรือนผู้อาวุโสเก้า…”
ชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนเป็นพ่อบ้านพุ่งพรวดเข้ามาในห้องโถงใหญ่ พร้อมกับรายงานชื่อเจ็ดแปดชื่อออกมาด้วยอาการตื่นตระหนก “พวกเขา…พวกเขา….หายตัวไปแล้วขอรับ!”
เหยาทั่วไห่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้เคยบอกแล้วหรือว่าระยะนี้ห้ามมิให้คนในตระกูลออกไปข้างนอก เหตุใดพวกเขาถึงหายตัวไปได้”
“เอ่อ…”
พ่อบ้านถูกถามจนนิ่งไป หน้าถอดสี
“ส่งคนออกไปตามหาหรือยัง”
เหยาทั่วไห่ถาม
“ส่งคนไปแล้วขอรับ บ่าวแค่กังวลใจว่าหากพวกเขาออกไปในตอนนี้ หากเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา กลัวแต่ว่าจะส่งผลกระทบต่อแผนการของใต้เท้าขอรับ”
พ่อบ้านสีหน้าจนด้วยเกล้า
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ข้าวางแผนมานาน ไม่กังวลว่าหลินสวินจะสามารถก่อคลื่นลมอะไรขึ้นมาได้ เจ้าไปเถิด อย่าปล่อยให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไป เลี่ยงมิให้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ”
เหยาทั่วไห่บัญชาเสียงเคร่งขรึม
พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วออกไปทันที
เหยาทั่วไห่นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง จมสู่ภวังค์ความคิด
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สีนภาย่ำรุ่งแล้ว แสงอรุณกวาดล้างความมืดมิด ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน
และในเวลานี้เองเหยาทั่วไห่หยัดกายขึ้น พึมพำเบาๆ ในใจ ‘หลินสวิน หากวันนี้เจ้าไม่มา บางทีต่อไปนี้ผู้ใดก็ไม่อาจขัดขวางเจ้าให้ยิ่งใหญ่คับฟ้าได้ แต่ถ้าวันนี้เจ้ามา ก็มิอาจรอดพ้นหายนะครั้งนี้อย่างแน่นอน!’
……
ยามท้องนภาย่ำรุ่ง หลินสวินปรากฏตัวด้านนอกประตูเมืองของจังหวัดชิงเฟิงเพียงลำพัง
เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
หลินสวินก็มาถึงอาณาเขตตระกูลเหยา
อาณาเขตตระกูลเหยานั้นหาเจอได้ง่ายยิ่งนัก ทั่วทั้งจังหวัดชิงเฟิง ตระกูลเหยาเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลใหญ่ที่สุด และควบคุมจังหวัดชิงเฟิงอย่างเหนียวแน่นมานานหลายร้อยปี
กล่าวได้ว่าในจังหวัดชิงเฟิง แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลเหยาก็ว่าได้
แน่นอนว่าหากหลินสวินคิดจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับอาณาเขตของตระกูลเหยา ก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว
ที่นี่คือยอดเขาเรียงรายว่างเปล่าแถบหนึ่ง มีสิบกว่ายอด เว้านูนทอดยอด ประหนึ่งง้าวเรียงรายเสียบทะลุเวหา สูงลิ่วโอฬาร
ตระกูลเหยา ตั้งอยู่เบื้องหน้าของยอดเขาแถบนี้
ในเวลานี้แสงยามเช้าสาดส่อง ยอดเขาห่างออกไปอาบชุ่มด้วยหมอกอุษา เปล่งประกายจับตา ที่ตีนเขามีอาคารที่สร้างประชิดแนวเขาอยู่เรียงราย โอ่อ่าอร่ามแวววาว
สิ่งที่ต่างไปจากอดีตก็คือห้วงอากาศเหนือพื้นที่ที่ถูกยึดครองโดยตระกูลเหยามีไอเข่นฆ่าลอยคลุ้งอยู่รำไร พวยพุ่งสู่ท้องนภา เหิมเกริมราวกับควันสัญญาณเตือนศัตรู ทำให้สายลมหมอกเมฆเปลี่ยนสี ไม่กล้าเข้าใกล้
นั่นเป็นกลิ่นอายสังหารอย่างแน่นอน!
หลินสวินทอดมองจากระยะไกล ก็รู้ทันทีว่านั่นคือไอสังหารหนาหนักจากร่างผู้ฝึกปราณ รวมตัวกันกลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในส่วนลึกของตระกูลเหยาตอนนี้ได้วางหลุมพรางสังหารไว้หนาแน่นเป็นที่เรียบร้อย เปรียบได้กับถ้ำเสือบ่อมังกร แค่รอให้หลินสวินมาถึงเท่านั้น
เพียงแต่เกรงว่าใครก็คงคิดไม่ถึง ว่าหลินสวินจะมาเยือนในเวลาย่ำรุ่งอรุณเช่นนี้ ฉะนั้นยามที่มองเห็นเงาร่างของหลินสวิน คนคุ้มกันตระกูลเหยาที่คอยเฝ้าระวังอยู่บนหอสังเกตการณ์จึงผงะไปอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้มาเยือนคือผู้ใด!?” คนคุ้มกันคนนั้นตะโกนลั่น
ตูม!
สิ่งที่ตอบคำถามเขาคือพลังดาบไพศาลที่พุ่งทะยานขึ้นไป ฉีกทึ้งห้วงอากาศ ฟันฉับลงมา เฉกเช่นรุ้งศักดิ์สิทธิ์หลายสิบจั้งที่ร่วงหล่นสู่โลก ทรงพลังเผด็จการ
หอสังเกตการณ์ที่สูงสิบจั้งกว่าพังทลายลงมาในบัดดล คนคุ้มกันคนนั้นถูกกลบฝังตายอนาถอยู่ในนั้นทันที
ครืนๆ~~
ฝุ่นละอองลอยคลุ้ง พลังดาบนี้แข็งแกร่งเกินไป ไม่เพียงแต่ผ่าหอสังเกตการณ์จนถล่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังผ่าประตูใหญ่วิจิตรของตระกูลเหยาแตกเป็นรอยอีกด้วย
“บังอาจ!”
“สารเลวหน้าไหนกล้าแจ้นมากำเริบเสิบสานที่ตระกูลเหยาของข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร!”
ทันใดนั้นส่วนลึกของตระกูลเหยามีเงาร่างสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าประตูใหญ่ท่ามกลางเสียงตะโกนเป็นระลอกนั้น
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ผมดำปลิวไสว เงาร่างสูงโปร่งเหยียดตรง ดวงหน้าหล่อเหลาสุภาพราบเรียบไม่ไหวติง
ในมือเขาถือดาบหักที่แสงดาราไหลเวียนอยู่เล่มหนึ่ง เปล่งประกายพราวตา ขับเน้นบุคลิกของเขาให้โดดเด่นเป็นสง่า
“ทำไม ข้าหลินสวินมาแล้ว เจ้าเหยาทั่วไห่กลับไม่กล้าออกมาพบกันสักหน่อยหรือ”
หลินสวินเอ่ยปาก เสียงดั่งฟ้าร้อง ซัดสาดครืนโครมออกไป กึกก้องทั่วสารทิศ ทำเอาเงาร่างที่พุ่งออกมาเหล่านั้นต่างผงะอย่างอดไปไม่ได้ พลันส่งเสียงฮือฮาไม่รู้จบ
“เป็นเจ้าเด็กนั่น!”
“ฮ่าๆๆ ข้านึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเจ้าคนที่มาทิ้งชีวิตเนี่เอง แจ้นมาตระกูลเหยาของข้าไวขนาดนี้ เพราะรีบร้อนอยากไปเกิดใหม่ใช่หรือไม่”
“ถึงขั้นกล้าพังประตูตระกูลเหยาของข้า ครั้งนี้ไอ้หนูอย่างเจ้าได้ตายแน่!”
บรรดาคนตระกูลเหยาหัวเราะลั่น ท่าทางฉายแววเหยียดหยันและตื่นเต้น บ้างก็อยากรู้อยากเห็น ในบรรดาพวกเขาส่วนใหญ่ก็เพิ่งได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินสวินเป็นครั้งแรก
เพียงแต่ตอนที่เห็นกับตานั้น ยังคงยากจะทำใจเชื่ออยู่บ้าง เด็กหนุ่มสุภาพหล่อเหลาเช่นนี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นบุคคลทรงอิทธิพลมีชื่อเสียงก้องโลกคนหนึ่งไปแล้ว
หลินสวินไม่ได้สนใจคำเยาะเย้ยเหล่านั้น สายตาลุ่มลึกสงบนิ่ง ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะตัวคนเดียว แต่กลับมีกลิ่นอายเยือกเย็นโอหัง
“หลินสวิน เป็นเจ้าดังคาด”
ไม่นานนักเหยาทั่วไห่ก็ปรากฏตัว ท่วงท่าผ่าเผย คิ้วตาดุจสายฟ้า น่าครั่นคร้ามอยู่ครามครัน
สามปีก่อนตอนที่หลินสวินเข้าเมืองตงหลินเป็นครั้งแรก ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเหยาทั่วไห่แล้ว เขาถูกขนานนามว่าเป็นยอดฝีมือที่เป็นรองเพียงผู้บัญชาการทหารมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิหลิ่วอู่จุนเท่านั้น
ชื่อเสียงและข่าวลือเกี่ยวกับเขามีมากมายนับไม่ถ้วน ประหนึ่งว่าเป็นผู้ที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง พลังอำนาจแกร่งกล้า
เพียงแต่ในสายตาของหลินสวินตอนนี้ เหยาทั่วไห่มีเพียงสถานะเดียว นั่นก็คือศัตรูของเขา!
“ข้ามาแล้ว ชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นพวกนั้นเล่า”
หลินสวินเอ่ยปากเสียงหนัก
“สหายตัวน้อยรักษาคำพูดดังคาด ข้าผู้แซ่เหยาเลื่อมใสนัก”
เหยาทั่วไห่หัวเราะเบาๆ พลางโบกมือ
ไม่นานนักชาวบ้านเนื้อตัวมอมแมมกลุ่มหนึ่งก็ถูกพาตัวออกมา มีจำนวนมากกว่าร้อยคน อยู่กันอย่างหนาแน่น ต่างมีสีหน้าหดหู่มึนงง ประหนึ่งเป็นซากศพเดินได้
ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้ากันถึงสามปี ทว่าหลินสวินยังคงจำพวกหัวหน้าหมู่บ้านเซียวเทียนเริ่น นายพรานอิงหาว โจวจง ป้าเฉี่ยวได้ในแวบแรก…
เพียงแต่ตอนที่เห็นพวกเขาถูกลากตัวออกมาเหมือนนักโทษ แม้ว่าหลินสวินจะบอกตัวเองให้ใจเย็นไว้ก่อนแล้ว ทว่าส่วนลึกภายในใจกลับยังเกิดความเดือดดาลและเคียดแค้นซึ่งยากจะควบคุม
ชาวบ้านเหล่านี้ใสซื่อเพียงใด แต่แค่เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตน จึงถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ช่วงหลายวันมานี้ไม่รู้ว่าประสบกับความเจ็บปวดและการทรมานไปเท่าใดแล้ว!
“หัวหน้าหมู่บ้าน!”
ทันใดนั้นหลินสวินก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ข้ามารับพวกท่านกลับบ้านแล้ว!”
น้ำเสียงสั่นสะเทือนฟ้าดิน แผ่กระจายรอบอาณาบริเวณ
ทันใดนั้นชาวบ้านที่ท่าทางมึนงงเหล่านั้นต่างตื่นตกใจ พากันเงยหน้าขึ้นมองไปทางหลินสวินที่อยู่ไกลออกไป
“นั่นมัน…เจ้าหนูหลินสวิน?”
“เป็นเขา ไม่ได้เจอกันสามปี เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว”
“แย่แล้ว! เจ้าเด็กโง่นี่ ทำไมถึงได้วิ่งมาคนเดียว เขาไม่รู้เชียวหรือว่านี่เป็นกับดัก”
ตอนที่ได้เห็นหลินสวิน ชาวบ้านเหล่านั้นต่างตื่นเต้นยิ่งยวด เพียงแต่ไม่นานหลังจากที่ตระหนักถึงจุดประสงค์ของหลินสวินแล้ว พวกเขาก็เริ่มร้อนรนและกระสับกระส่ายทันใด
“หลินสวิน เหตุใดเจ้าถึงได้หัวทึบเยี่ยงนี้ เจ้าคิดว่าเจ้ามาแล้ว พวกเขาก็จะปล่อยพวกเราไปอย่างนั้นหรือ รีบไปเสีย! ไม่ต้องสนใจพวกเรา ขอแค่มีชีวิตต่อไป ช้าเร็วก็ต้องช่วยพวกเราแก้แค้นในสักวันอยู่ดี!”
เซียวเทียนเริ่นร้องคำรามลั่น
“ใช่แล้ว เจ้ารีบไปซะ! ชีวิตของพวกเราไม่มีค่าหรอก ตายก็ตายสิ หลินสวินเจ้าจะตายไปพร้อมกับพวกเราอย่างคนโง่เง่าไม่ได้เด็ดขาดนะ!”
ป้าเฉี่ยวผมเผ้ากระเซิง พลอยร้องตะโกนขึ้นมาด้วย
“พี่หลินสวิน พวกเราได้ปรึกษากันไว้แต่แรกแล้วว่ายอมตายดีกว่าปล่อยให้คนชั่วพวกนี้เป็นต่อ ดังนั้นท่านรีบหนีไปเร็วเข้าสิ!”
อิงหลิวเอ๋อร์ก็ส่งเสียงร้องด้วยสีหน้าร้อนรนเช่นกัน
หลินสวินได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ภายในใจทั้งซาบซึ้งทั้งเดือดดาล สองมือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว แทบอดรนทนไม่ไหวอยากจะสังหารตระกูลเหยาเหลือเดนพวกนั้นให้หมดในทันที!
เพี๊ยะ!
ทันใดนั้นสมาชิกตระกูลเหยาคนหนึ่งก็ฟาดแส้เข้าใบหน้าของเซียวเทียนเริ่น ทิ้งรอยแผลอาบเลือดไว้หนึ่งรอย
“ถ้าแหกปากอีกจะฆ่าพวกเจ้าซะ!”
นั่นเป็นชายกำยำสายตามุ่งร้าย ยามเอ่ยคำแส้ก็โบกสะพัด ฟาดใส่ชาวบ้านเหล่านั้นจนผิวหนังถากแตก กรีดร้องอย่างอนาถไม่หยุดหย่อน
“หยุดนะ!” หลินสวินตาแทบถลนออกมา
“ฮ่าๆ เจ้าให้ข้าหยุดก็จะหยุดได้หรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน” ชายกำยำหัวเราะลั่น
ยามเอ่ยวาจาเขาก็หวดแส้ลงไปอีกครั้งอย่างดุดัน ฟาดใส่หน้าอกของชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านข้างจนเลือดพุ่งกระเซ็น ส่งเสียงโหยหวนก่อนฟุบลงกับพื้น
“เจ้าวางใจ อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร!” หลินสวินสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก ฝืนระงับอารมณ์คุกรุ่นภายในใจของตนเอาไว้ น้ำเสียงราวกับเค้นลอดออกมาจากไรฟัน
“เอาล่ะ ต่อไปก็ควรคุยกิจธุระกันได้แล้ว” เหยาทั่วไห่เปล่งเสียง หยุดยั้งการกระทำของชายกำยำผู้นั้นเอาไว้
“ว่ามา หาข้ามีธุระใด” น้ำเสียงของหลินสวินเย็นเยียบ
“สหายตัวน้อยผ่อนคลายลงหน่อย ครั้งนี้ข้าให้เจ้ามา ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียหน่อย ตรงกันข้ามสำหรับเจ้าแล้ว บางทีอาจจะเป็นโชคดีอันใหญ่หลวงอย่างหนึ่งก็ได้ ขอเพียงเจ้าใช้โซ่ตรวนเส้นนี้ผูกมัดตัวเองเอาไว้ ข้าขอใช้ชื่อหัวหน้าตระกูลเหยามารับรองว่าจะปล่อยตัวชาวบ้านพวกนี้ไปทันที นอกจากนี้ยังจะมอบโชคดีให้เจ้ากับมือตัวเองด้วย”
เหยาทั่วไห่เปล่งเสียงราบเรียบ กล่าวไม่รีบไม่ร้อน ยามเอ่ยวาจาเขาพลันโบกแขนเสื้อ เหวี่ยงโซ่ยาวนับสิบจั้งเส้นหนึ่งออกมาเสียงดังเคร้งคร้าง ก่อนร่วงตุบลงพื้นในบริเวณไม่ไกลนัก
โซ่เส้นนั้นเหมือนถูกสร้างมาจากกระดูกขาว คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือกน่ากลัว มีแสงโลหิตสายแล้วสายเล่าฟุ้งออกมาอยู่รางๆ กลายเป็นเงามายาที่โหดเหี้ยมชั่วร้าย ส่งเสียงราวกับผีร้ายกำลังร่ำไห้โหยหวน น่าหวาดหวั่นถึงขีดสุดอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะมองด้วยสายตาของหลินสวินก็อดรู้สึกสั่นสะท้านในใจไม่ได้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายรุนแรงอย่างหนึ่งจากโซ่สายนั้น ทำให้เขาเองก็รู้สึกหนาวสะท้านเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อถูกโซ่เส้นนี้ล่าม เกรงว่าจะทำให้ผู้ฝึกปราณสูญเสียพลังในการต่อสู้และขัดขืนไปทันที!
“หากข้าไม่ตกลงเล่า” หลินสวินเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาวาบแววสายฟ้าเย็นชา มองไปทางเหยาทั่วไห่
“สหายตัวน้อย เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ดีว่าหากเจ้าไม่ตอบตกลง ไม่เพียงแต่ชาวบ้านเหล่านี้เท่านั้นที่จะตายเพราะเจ้า อีกทั้งในอาณาเขตตระกูลเหยาของข้า เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะมีโอกาสหนีรอดไปได้อยู่อีกหรือ”
เหยาทั่วไห่เอ่ยปากเนิบนาบ มีท่าทางมั่นใจว่าคุมสถานการณ์โดยรวมได้อยู่หมัด
“ตอนนี้ข้าให้เวลาเจ้าไตร่ตรองสามลมหายใจ ทุกครั้งที่เกินหนึ่งลมหายใจไป ข้าก็จะสังหารชาวบ้านหนึ่งคน โอกาสมีเพียงครั้งเดียวแล้ว หวังว่าสหายตัวน้อยจะลงมือทำหลังจากคิดทบทวนแล้ว”
เหยาทั่วไห่กล่าวพลางเอาสองมือไพล่หลัง ท่าทางราบเรียบเย็นชา
ข้างกายของเขา คนตระกูลเหยากลุ่มหนึ่งก็พากันหัวเราะเยาะ สายตาที่มองไปทางหลินสวินประหนึ่งว่ามองดูคนตายคนหนึ่ง เปี่ยมด้วยความขบขันและฮึกเหิม
“หลินสวิน เจ้ารีบไปเร็ว อย่าได้ตอบตกลงเป็นอันขาด!”
“พวกนี้ล้วนเป็นคนชั่วทั้งนั้น คำพูดของพวกเขาเชื่อถือไม่ได้สักนิด!”
“รีบไป…!”
ชาวบ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้นต่างร้องเสียงดัง ทั้งร้อนรนและเดือดดาล เตือนหลินสวินให้รีบออกไปโดยเร็วที่สุด อย่าได้สนใจพวกเขา
สิ่งนี้ทำให้คนตระกูลเหยายิ่งได้ใจมากขึ้นอีก ไม่ได้ห้ามปราม เพราะพวกเขาเชื่อว่าต่อให้หลินสวินอยากหนี ครั้งนี้แม้นติดปีกก็ยากจะบินหนีแล้ว!
——
ตอนที่ 527 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (หก)
โดย
ProjectZyphon
เวลาไตร่ตรองสามลมหายใจ!
เห็นได้ชัดว่าเป็นการกดดันทางใจรูปแบบหนึ่ง เห็นชัดว่าเหยาทั่วไห่ไม่คิดจะให้หลินสวินมีโอกาสได้ใคร่ครวญ
ยอมรับมัน หรือไม่ก็…
รอชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้นถูกสังหาร!
เหยาทั่วไห่มีชื่อเสียงมานานหลายปี ฉลาดล้ำลึก ในเมื่อเขากล้าพูดขนาดนี้ ก็อย่าได้คาดหวังว่าเขาจะปรานีใดๆ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ถูกไล่ต้อนเข้าสู่หลุมพรางเพียงลำพัง ภายใต้ความกดดันสูงระดับนี้กลัวแต่จะพังครืนไปนานแล้ว
แต่หลินสวินไม่ได้เป็นเช่นนั้น เวลานี้ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นไร่ที่สิ้นสุด แต่สีหน้าท่าทางกลับเยือกเย็นและราบเรียบมากขึ้นเรื่อยๆ
“เหยาทั่วไห่ เจ้าคิดว่าโค่นข้าได้แน่แล้วจริงหรือ”
น้ำเสียงของหลินสวินเองก็เห็นได้ชัดว่าดูสงบผิดปกติ ไม่เจือความแปรปรวนทางอารมณ์ เสมือนว่าการข่มขู่ของเหยาทั่วไห่ไม่เคยสร้างผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
เคร้ง!
ฝ่ามือของเหยาทั่วไห่ผุดกระบี่วิญญาณที่ใสราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง และพาดเข้าที่ลำคอของชาวบ้านคนหนึ่ง
จากนั้นเขากล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะลองดู”
ชั่วขณะนี้บรรยากาศลพันเปลี่ยนเป็นเงียบกริบทันใด ไร้ซึ่งเสียงนกกา ภายในใจทุกคนล้วนตึงเครียด คล้ายกับขอเพียงหลินสวินไม่ทำตามสักนิดเดียว ก็จะนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดอันแสนโหดร้ายฉากหนึ่ง
หลินสวินไม่ได้พูดพล่ามอีกต่อไป ยกมือขึ้นโบกกลางอากาศหนึ่งครา
หลายคนต่างอึ้งงัน จนถึงป่านนี้แล้ว เจ้าหนุ่มนี่ยังจะโบกมือทำอะไรอีก
มีเพียงเหยาทั่วไห่ที่คล้ายจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ม่านตาพลันหดลง
โครม!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เบื้องหลังหลินสวินมีเสียงก้องปานอสนีฟาดดังสนั่นระลอกหนึ่ง เรือรบระดับกลางแห่งจักรวรรดิที่มีความยาวร้อยจั้งลำหนึ่งแหวกชั้นเมฆมาเยือนด้วยเสียงโครมครัน ประดุจป้อมปราการกลางอากาศ
เรือรบอินทรีเหิน!
บนนั้นติดตั้งอาวุธหนักที่สามารถฆ่าล้างผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะได้ โดยทั่วไปจะเห็นได้เฉพาะในสนามรบชายแดนอันกว้างขวางเท่านั้น
แต่ตอนนี้เรือรบลำดังกล่าวกลับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตระกูลเหยาในจังหวัดชิงเฟิงแบบปุบปับ สิ่งนี้ทำให้คนตระกูลเหยาเหล่านั้นล้วนมีท่าทางอึ้งค้างอย่างกลั้นไม่อยู่
จังหวัดชิงเฟิงแห่งนี้เป็นอาณาเขตของพวกเขาตระกูลเชียวนะ!
ทว่าตอนนี้ เรือรบระดับกลางของจักรวรรดิลำหนึ่งกลับปรากฏขึ้นแบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็น เล็ดลอดหูตาของพวกเขาตระกูลเหยาไปได้ นี่ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
หว่างคิ้วของเหยาทั่วไห่ผุดความเคร่งขรึมขึ้น กลางนัยน์ตามีลำแสงอสนีพวยพุ่ง แต่กลับไม่ได้ตื่นตระหนก เพียงแต่มองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ เท่านั้น
ตูม!
และในเวลานี้เอง เรือรบอินทรีเหินร่อนลงมา ประตูห้องโดยสารเปิดออก มีเงาร่างกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินออกมาจากด้านใน ดูอุ่นหนาฝาคั่ง ทรงอำนาจใหญ่หลวง
เงาร่างเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเหนือธรรมดา แต่ละคนท่วงท่าหนักแน่น กลิ่นอายแข็งแกร่ง ถึงขั้นไม่ขาดผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะ!
อีกทั้งไม่ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น แต่มาเป็นกลุ่ม…
นี่หมายความว่าอย่างไร
ทั่วทั้งจังหวัดชิงเฟิง ล้วนหาผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะไม่ค่อยเจอเท่าใด ทว่าตอนนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะปรากฏกายขึ้นกลุ่มหนึ่ง ภาพไหนเลยจะเป็นเพียงความตระการตา มันคือเรื่องน่าตกใจตะลึงโลกชัดๆ!
กระทั่งทอดสายตาไปทั่วทั้งมณฑลซีหนาน หากคิดจะระดมมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะมากมายขนาดนี้ ยังเป็นเรื่องยากเหลือแสน!
หรือนี่จะเป็นกำลังเสริมที่หลินสวินเชิญมา?
คนตระกูลเหยาเหล่านั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกไม่มั่นคง
ในแผนการครั้งนี้ พวกเขาใช้กลยุทธ์จำพวก ‘ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม’ ‘ปิดฟ้าข้ามทะเล’ ล่อหลินสวินจากนครต้องห้ามเข้าสู่เมืองตงหลิน จากนั้นก็ลวงจากเมืองตงหลินมาจังหวัดชิงเฟิง ทุกอย่างนี้ล้วนทำเพื่อหลีกเลี่ยงพลังของขุมอำนาจอื่นๆ ที่จะปรากฏตัวเข้ามาช่วยหลินสวินทั้งนั้น
ทว่าใครเลยจะคาดคิด สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ยังเกิดขึ้นจนได้!
“ไอ้เด็กเหลือขอต่ำทรามคนนี้ รู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่มาตายเปล่าคนเดียวแน่!”
“สารเลว เขาทำได้อย่างไรกัน เวลาแค่สองวันเท่านั้น เขาระดมผู้ช่วยตั้งมากมายขนาดนี้จากที่ไหนกัน”
“จากรายงานเห็นได้ชัดว่าหลังออกจากนครต้องห้ามเจ้าหลินสวินนี่ก็ไม่ได้รบกวนขุมอำนาจอื่นใดเลย แต่เหตุใดถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้อีก”
คนตระกูลเหยาตะลึงโกรธและด่าว่า ไม่ได้ย่ามใจเหมือนก่อนหน้าอีก ตระหนักได้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่เข้าที ในใจกระวนกระวายอยู่บ้าง
“หลินสวิน หากเจ้าคิดว่าเชิญผู้ช่วยส่วนหนึ่งมา แล้วจะสามารถช่วยชีวิตชาวบ้านพวกนี้กลับไปได้ เช่นนั้นก็เป็นความผิดพลาดมหันต์แล้ว!”
เหยาทั่วไห่เอ่ยปากพูดเสียงขรึม แม้จะอยู่ในเวลานี้ เขาก็ยังไม่ระส่ำระสายให้เห็น แน่วแน่สงบนิ่ง
หลินสวินไม่อาจไม่ยอมรับ เหยาทั่วไห่เป็นคู่ประมือที่ยากต่อกรที่สุดคนหนึ่งจริงๆ อย่างน้อยความอหังการที่ไม่ว้าวุ่นเมื่อเผชิญกับอันตรายเช่นนี้ ใช่ว่าคนทั่วไปจะทัดเทียมได้
เพียงแต่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น หลินสวินยังไม่ได้เอ่ยคำ สีหน้าของเหยาทั่วไห่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวเสียงหลงว่า “เป็น…เป็นไปได้อย่างไร”
เนื่องจากขณะนี้ เขาตะลึงงันมองเห็นว่ามีเงาร่างคล้ายนักโทษกลุ่มหนึ่งถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา ลำเลียงออกมาจากด้านในเรือรบอินทรีเหิน
มีไม่ต่ำกว่าร้อยคน!
และเงาร่างที่ถูกควบคุมไว้เหล่านี้ ล้วนเป็นคนในตระกูลเหยาของพวกเขาทั้งสิ้น!
ต่อให้เป็นความเยือกเย็นของเหยาทั่วไห่ ภายในใจตอนนี้ก็อดผุดความหวาดหวั่นเสี้ยวหนึ่งขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
ตั้งแต่หลินสวินออกจากนครต้องห้ามจนถึงตอนนี้ เวลาไม่ถึงสามวัน ไม่เพียงสามารถระดมพลผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งรุดมาหน้าเสริมกำลัง ยังสามารถจับกุมคนตระกูลเหยาทั้งหมดที่กระจายตัวอยู่ทุกแห่งหนเอาไว้ได้ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ควรรู้ว่าจังหวัดชิงเฟิงแห่งนี้อยู่ใต้เปลือกตาของเขาเหยาทั่วไห่ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขากลับไม่เคยสัมผัสถึงความผิดปกติเลยสักเสี้ยว!
ด้วยเหตุนี้แค่คิดก็รู้ว่า พลังที่ยื่นมือเข้าช่วยหลินสวินครั้งนี้แข็งแกร่งเพียงใดแล้ว
“สวรรค์! นายน้อยอวี้คุนจากเรือนผู้อาวุโสใหญ่ คุณหนูฟางเฟยเรือนผู้อาวุโสสาม นายน้อยอวี้ถิงเรือนผู้อาวุโสเก้า… พวกเขา…พวกเขาทั้งหมดถูกจับได้อย่างไร”
เวลานี้คนตระกูลเหยาพวกนั้นต่างก็ส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ มือไม้เย็นวาบ แต่ละคนท่าทางอึมครึมไหววูบ สั่นสะท้านไปกับภาพดังกล่าว
เดิมพวกเขานึกว่าหลินสวินถูกพวกเขาจูงจมูกเดินแต่แรกแล้ว การมาตัวคนเดียวในครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการมาตายเปล่า
ทว่าไม่คิดเลยว่า เรือรบอินทรีเหินลำหนึ่งจะปรากฏขึ้นกะทันหัน ไม่เพียงนำกลุ่มผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะอันแข็งแกร่งมาเท่านั้น กระทั่งยังจับกุมสมาชิกนับร้อยคนในตระกูลเหยาของพวกเขาไว้อีกด้วย!
โดยเฉพาะเหล่าคนที่เดินอยู่ด้านหน้า ล้วนเป็นลูกหลายสายตรงในตระกูลเหยา!
ทันใดนั้นบรรยากาศทั่วลานเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มาเร็วเกินไป ทำให้ทั้งตระกูลเหยาตกสู่ความสะทกสะท้าน ยากจะสงบลงได้
สายลมโหยหวน กวาดม้วนฟ้าดิน
เรือรบอินทรีจอดเทียบอยู่บนพื้นกว้าง ผู้แข็งแกร่งที่รุดหน้ามาสมทบกลุ่มหนึ่งรวมตัวอยู่เบื้องหลังหลินสวิน ภายใต้การนำของมู่หวั่นซู
ส่วนคนตระกูลเหยาที่ถูกจับกุมเหล่านั้น แต่ละคนสีหน้าซึมเซาห่อเหี่ยว เผยตัวอยู่เบื้องหน้าตระกูลเหยาที่อยู่ห่างออกไปประหนึ่งนักโทษก็ไม่ปาน
สถานการณ์ตรงหน้าเพียงมองดูก็เข้าใจ
หลินสวินไม่ได้มาคนเดียว ยังนำกำลังยิ่งใหญ่แข็งแกร่งและน่ากลัวขบวนหนึ่งมาด้วย ในนั้นมีอิทธิพลของอัครการค้า และก็มีกำลังพลที่มาจากตระกูลหนิง ตระกูลเย่ และตระกูลกง ในเวลานี้เมื่อรวมเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการพานพบของผู้แข็งแกร่ง พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม
ส่วนคนตระกูลเหยาที่ถูกจับเหล่านั้น กลายเป็นไพ่เด็ดใบหนึ่งในมือหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย พลิกผันและเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้ของหลินสวินทันใด
“คนรุ่นหลังน่ากลัวจริงหนอ ภายในสามวันก็เตรียมการตั้งมากมายขนาดนี้ได้สำเร็จโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำให้ข้าอดเปิดโลกไม่ได้”
หลังนิ่งเงียบเนิ่นนาน เหยาทั่วไห่ก็เปล่งเสียงทอดถอนใจออกมา ตอนนี้เขายังคงไม่ถูกสั่นคลอนความมั่นใจอยู่ดี สงบและเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแค่ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะตาแก่อย่างเจ้าต่ำทรามเกินไป ไยข้าต้องนำพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาด้วย”
หลินสวินส่งเสียงเย็นเยียบ “หยุดพูดพล่ามแล้วปล่อยชาวบ้านเหล่านั้นเสีย ข้าก็จะปล่อยตัวคนตระกูลเหยาของพวกเจ้าทันทีเหมือนกัน”
“แลกเปลี่ยน?”
นัยน์ตาดำของเหยาทั่วไห่ลุ่มลึก
“หัวหน้าตระกูล! ไม่ได้เป็นอันขาดนะ! หากทำเช่นนี้ข้อได้เปรียบของพวกเราก็จะ…”
“หัวหน้าตระกูล สถานการณ์ในวันนี้พวกเราคว้ามาได้อย่างยากลำบาก จะปล่อยให้ไอ้ลูกหมาหลินสวินสมปรารถนาหรือ”
“ในฐานะคนตระกูลเหยา ก็ควรตระหนักถึงการเสียสละเพื่อตระกูล ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายได้โดยเด็ดขาด!”
คนตระกูลเหยาเหล่านั้นต่างร้อนรนตะโกนเสียงดังขึ้นมา พวกเขามองเห็นทะลุปรุโปร่ง วันนี้หลินสวินนำกำลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งมา หากปล่อยชาวบ้านพวกนั้นไปก็เท่ากับทำให้หลินสวินไม่ต้องพะวงหลังอีก เช่นนั้นต่อไปการต่อสู้แสนเลวร้ายก็จะปะทุขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
กระทั่งเป็นไปได้ว่าตระกูลเหยาอาจจะประสบกับความล่มสลายที่ไม่สามารถจินตนาการได้!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครก็ไม่เต็มใจปล่อยให้หลินสวินได้สมดั่งปรารถนา
“ทำตามที่เขาบอก แลก!”
สิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายก็คือ เหยาทั่วไห่ในยามนี้มุ่งมั่นอย่างมาก พูดเฉียบขาด “พวกเขาก็เป็นคนตระกูลเหยาเหมือนกับข้า หากสามารถเอาชีวิตพวกชั้นต่ำไร้ค่าพวกนี้แลกพวกเขากลับมาได้ ข้าเหยาทั่วไห่ย่อมไม่มีความลังเลใดๆ ”
“พวกชั้นต่ำไร้ค่า?”
ประกายเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตาหลินสวิน “ในสายตาของข้า คนตระกูลเหยาของพวกเจ้ารวมกันทั้งหมด ยังเทียบไม่ได้กับความเลอค่าของชาวบ้านเหล่านั้นแม้แต่คนเดียว!”
เหยาทั่วไห่สีหน้าราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์ เหมือนคร้านจะโต้เถียงกับหลินสวินแล้ว
จากนั้นทั้งสองฝ่ายเริ่มแลกเปลี่ยนตัวประกัน ขั้นตอนไม่ได้ชวนตื่นเต้น เพียงแต่ฝั่งตระกูลเหยาแต่ละคนกลับถลึงตาแทบถลน รู้สึกว่านี่เป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง
และยามหลินสวินรับชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้นกลับมา ธนูที่ง้างสายตึงมาตลอดในใจในที่สุดก็คลายลง คล้ายกับตัดความกลัดกลุ้มหนักอึ้งในใจนั้นทิ้งไปได้แล้ว
พวกหัวหน้าหมู่บ้านเซียวเทียนเริ่นต่างตื้นตันจนพูดจาสะเปะสะปะ ไม่คิดเลยสักนิดว่าวันนี้จะยังมีโอกาสได้รับชีวิตใหม่อยู่อีก
หลินสวินมอบพวกเขาให้มู่หวั่นซู่พาเข้าไปพักผ่อนในเรือรบอินทรีเหิน คราวนี้จึงทอดสายตามองไปทางเหยาทั่วไห่ที่อยู่ห่างออกไป
ชั่วขณะนั้นพลังของหลินสวินพลันเปลี่ยนไป จิตสังหารที่เก็บกดไว้ในใจเนิ่นนานปะทุออกมา ชาวบ้านที่เขาห่วงใยมากที่สุดได้รับการช่วยเหลือแล้ว และตอนนี้ก็ควรจะคิดบัญชีนี้เสียที!
ด้านหลังของหลินสวิน ผู้แข็งแกร่งที่เป็นบุคคลสำคัญจากอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ และตระกูลกง ในเวลานี้ต่างรวมตัวพร้อมบุกทุกเมื่อ
ไอสังหารไร้รูปราวกับควันสัญญาณเตือนศัตรู พวยพุ่งสู่เบื้องบน ทำให้ฟ้าดินแปรเปลี่ยน เปี่ยมด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันโหมคลั่ง
ด้านตระกูลเหยา แต่ละคนกลับสีหน้าเคร่งขรึม กัดฟันกรอด พวกเราต่างรู้ดี ต่อไปต้องเป็นการต่อสู้อันเลวร้ายฉากหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แน่นอน
นี่โยงไปถึงความเป็นความตายของตระกูลเหยา!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ภายในใจของพวกเขาเศร้าโศกก็คือ ไม่มีชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้นเอาไว้ข่มขู่ ลำพังพลังตระกูลเหยาของพวกเขา กลัวแต่วันนี้ยากจะหยุดยั้งฝีเท้าของศัตรูเอาไว้ได้
ไม่ใช่ว่าพวกเขามองโลกในแง่ร้าย แต่เพราะพลังที่ศัตรูใช้ในครั้งนี้แข็งแกร่งเกินไป เป็นกลุ่มผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะทั้งนั้น!
อาศัยแค่พลังระดับนี้ ก็สามารถเดินวางโตในมณฑลซีหนานได้แล้ว!
ตระกูลเหยาของพวกเขาเป็นแค่ผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายหนึ่งในจังหวัดชิงเฟิงเท่านั้น ทั้งตระกูลก็มีเพียงเหยาทั่วไห่คนเดียวที่ยืนอย่างภาคภูมิใจในระดับหยั่งสัจจะ แล้วนี่จะไม่ให้พวกเขามองโลกในแง่ร้ายได้อย่างไรกัน
ทว่าในยามนี้ เหยาทั่วไห่กลับยังคงสงบนิ่งหาที่เปรียบมิได้ ถึงขนาดที่ในดวงตามีแสงอสนีพลุ่งพล่าน เจือแววฮึกเหิมเร่าร้อนที่ยากจะสังเกตได้
เขากวาดมองหลินสวินรวมถึงผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหลินสวินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทันใดนั้นพลันยิ้มน้อยๆ แผดเสียงขึ้นว่า “หลินสวิน เจ้าคิดว่าตัวเองชนะแล้วจริงๆ หรือ ผิดแล้ว! ข้าเคยบอกแต่แรกแล้ว ทุกอย่างในวันนี้เจ้าถูกลิขิตให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเชิญผู้ช่วยมาเท่าไร ก็ต้องพินาศย่อยยับอยู่ดี!”
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น