Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 520-523
ตอนที่ 520 สมบัติล้ำค่าขับเคี่ยว
โดย
ProjectZyphon
จริงอย่างที่ซย่าจื้อพูด
กระถางสมบัติเก้ามังกรนี้ หลอมขึ้นเพื่อผู้ที่จะฝึกจักรพรรดิวิถีพลังมังกรโดยเฉพาะ และมีเพียงผู้สืบเชื้อสายของจักรพรรดิอย่างจ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้นถึงจะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลินสวินแม้อิจฉา ก็รู้ว่าหนทางของสมบัติชั้นนี้กับตนไม่สมกัน ไม่เหมาะกับตัวเขาเอง
ชิ้ง!
ฉับพลันหลินสวินนำดาบหักสีดำสนิทเล่มหนึ่งออกมา นิ้วมือส่งพลังออกไป คมดาบพลันบังเกิดแสงดาวแวววาวไพศาลราวผีร้ายเหนือโลกา พลานุภาพน่าหวาดหวั่นฟื้นขึ้นมา
โครม!
ก็เห็นว่าตัวกระถางสมบัติเก้ามังกรพลันบังเกิดเงามายาเก้ามังกรคำรามชูคอ แผ่กระจายพลังกำราบฟ้าดินราวถูกท้าทาย
ชั่วพริบตานี้ ราวกับว่าอาวุธเทพสองชิ้นกำลังขับเคี่ยวกัน หนึ่งกระถางหนึ่งดาบบดขยี้พลานุภาพกันเอง ในชั่วครู่หนึ่ง แสงดาวราวธารดาราม้วนกลืน มังกรครวญราวฟ้าคำรน ห้ำหั่นดุเดือดในชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณแห่งนี้
ดวงตาดำของหลินสวินจ้องการฟาดฟันที่หาได้ยากยิ่งฉากนี้ตาไม่กะพริบ
ตู้ม!
เมื่อเห็นว่าไม่อาจจัดการกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้นได้ในชั่วพริบตา ดาบหักราวถูกยั่วโทสะ ระเบิดแสงดาราน่าหวาดหวั่นยิงพุ่งออกมารอบทิศ บดขยี้ทุกสิ่ง
ระหว่างที่กำลังงุนงงอยู่ ก็เหมือนมีดาวหางเต็มฟ้ากระจายออกมากำราบกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้น
ส่วนโดยรอบกระถางสมบัติเก้ามังกรก็อวลไปด้วยพลังจักรพรรดิวิถีแกร่งกล้า เก้ามังกรพุ่งทะลุเมฆ แยกหยินหยางฟ้าดิน ขับเคี่ยวกันบนทะเลดาราพราวฟ้า
หลินสวินเห็นว่าการปะทะยิ่งทวีความรุนแรง แทบจะทำลายหอหลอมวิญญาณชั้นเก้าทั้งชั้น ก็ชักมือกลับเพื่อหยุดทุกอย่างนี้โดยไม่ลังเล
ดาบหักพลันส่งเสียงคำรามเหมือนไม่พอใจ ดิ้นรนอยู่ในมือหลินสวินราวกับหมายใจจะพุ่งเข้าฟันกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้น
จิตวิญญาณเกินธรรมดาเช่นนี้ดึงดูดซย่าจื้อที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาจันทร์เสี้ยวสีดำเป็นประกายราวอัญมณีทั้งสองหรี่ลงเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน กระถางสมบัติเก้ามังกรก็แผดเสียงคำรามของมังกรราวไม่สบอารมณ์เป็นระลอก ทำให้ผู้สรรสร้างอย่างหลินสวินก็ลอบชื่นชมว่าสมบัติชิ้นนี้สมกับเป็นสมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิวิถี เพียงจิตวิญญาณเช่นนี้ก็ไม่เหมือนชุดศึกสลักวิญญาณอื่นแล้ว
ทว่าที่ทำให้หลินสวินตื่นตะลึงก็คือดาบหักที่อยู่ในมือนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น ที่มาที่ไปไม่อาจคาดเดาได้ แต่พลังร้ายกาจพลิกฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ยามหลินสวินได้พบมันครั้งแรก ก็เห็นว่าดาบหักนี้อยู่เหนือเวิ้งฟ้า โจมตีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งจนอกสั่นขวัญแขวน ทำให้มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะส่วนหนึ่งล้วนหนีหัวซุกหัวซุน ไม่กล้าสัมผัส
และทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ดาบหักเล่มเดียวก่อขึ้น ไม่มีคนมาควบคุมสั่งการ แค่คิดก็รู้ว่าความร้ายกาจและจิตวิญญาณของมันจะสะท้านฟ้าปานไหน
ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยนำดาบหักนี้มาประมือกับอาสัญสลาย ผลลัพธ์ก็ทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน แม้จะใช้พลังทำลายล้างสูงสุดของอาสัญสลาย แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็ยากจะสร้างความสะเทือนและข่มพลานุภาพร้ายกาจของดาบหักนี้ได้!
และตอนนี้หลังจากประชันกับกระถางสมบัติเก้ามังกร ในที่สุดก็ทำให้หลินสวินได้ข้อสรุปแน่ชัดอย่างหนึ่งแล้วว่า…
ดาบหักที่หลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลนี้ ถ้าว่ากันเรื่องพลานุภาพและจิตวิญญาณแล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าชุดศึกสลักวิญญาณใดในปัจจุบันเลย
บางทีจุดด้อยเดียวของมันอาจอยู่ที่มันเป็นเพียงสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นชุดศึก ส่งเสริมพลังรอบด้านแก่ผู้ฝึกปราณได้
แต่พูดอีกที นี่ก็เป็นดาบหักที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง แต่เมื่อฟาดฟันกับอาสัญสลายหรือกระถางสมบัติเก้ามังกรต่างล้วนไม่ถูกกำราบ เท่านี้ก็พอจะรู้ได้ว่าหากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดาบหักนี้จะน่าหวาดหวั่นเพียงไหน
‘คราวหลังต้องหาโอกาสซ่อมแซมดาบหักนี้เสียแล้ว…’
หลินสวินแอบตั้งมั่นในใจ
แม้ตอนนี้เขามีฝีมือระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณ แต่กลับมองปริศนาของการหลอมดาบหักนี้ไม่ทะลุ กระทั่งไม่อาจดูออกว่าดาบหักนี้ใช้วัตถุดิบชั้นไหนหลอมขึ้น นี่ทำให้เขายิ่งรู้สึกได้ถึงความลี้ลับของมัน
เขาตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะสามารถซ่อมดาบหักนี้ได้!
“หลินสวิน สมบัติโบราณนี้เจ้าได้มาจากไหนหรือ ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบรรพกาลจากตัวมัน ดำรงอยู่ถึงตอนนี้อย่างน้อยก็น่าจะหลักแสนปีแล้ว”
ซย่าจื้อพลันส่งเสียงและเดินเข้ามา เงยใบหน้าน้อยที่งดงามราวภาพวาดขึ้นแล้วเอ่ยปากเสียงเรียบ มีเพียงยามไม่มีคนนอกเท่านั้น นางถึงจะเผยใบหน้าที่ปิดบังอยู่ใต้หมวกคลุม
เพราะนี่เป็นคำแนะนำของหลินสวิน และเพราะใบหน้านางงดงามเกินไป ผิวขาวกระจ่างเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ไร้ซึ่งตำหนิ เครื่องหน้าทั้งห้าพริ้งพรายหยดย้อยเหมือนงานชิ้นเอกจากสวรรค์ แทบจะเป็นเหมือนภาพมายา ประหนึ่งช่วงชิงความงามในใต้หล้าทั้งมวล ทำให้ฟ้าดินหมองหม่น!
หากไม่ปิดบังไว้ เพียงความงามหาใดเทียบเช่นนี้ก็สามารถก่อให้เกิดความสั่นคลอนและคลื่นลมนับไม่ถ้วนได้แล้ว นี่ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริง โบราณมีคำกล่าวว่าหญิงงามชักนำเภทภัย อีกทั้งตอนนี้ซย่าจื้ออายุยังน้อย เมื่อนางโตขึ้น มีเพียงฟ้าที่รู้ว่านางจะกลายเป็นหญิงงามโดดเด่นในโลกเช่นไร
“แสนปีหรือ”
หลินสวินอึ้งงัน พูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้า…ยังมองอะไรออกอีกบ้าง”
ซย่าจื้อร้องอืม สายตาจับจ้องดาบหักในมือหลินสวินโดยตลอดแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกได้ว่านี่เป็นสมบัติที่น่ากลัวชิ้นหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าตอนนี้มันไม่สมบูรณ์แล้ว ย่อมไม่มีทางถูกเจ้าควบคุมได้เลย”
หลินสวินมุมปากกระตุก นี่กำลังชื่นชมว่าดาบหักเล่มนี้ร้ายกาจ หรือกำลังอาศัยสิ่งนี้โจมตีว่าพลังของตนอ่อนแอเกินไปกันแน่
ชิ้ง!
ฉับพลันซย่าจื้อยกมือหยิบทวนยาวหนึ่งจั้งสองฉื่อที่ขาวราวกระดูกเล่มนั้นออกมา ดวงตาสุกสกาวฉายแววอยากรู้อยากลอง เอ่ยว่า “หลินสวิน ข้าอยากลองดาบหักเล่มนี้ดู”
ตั้งแต่หลินสวินพบกับนางครั้งแรก ทวนขาวเล่มนี้ก็อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด ที่มาไม่อาจคาดเดา และมีเพียงซย่าจื้อที่ใช้ได้ ประหนึ่งเป็นร่างเดียวกับนางอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ได้”
หลินสวินปฏิเสธเด็ดขาด รีบเก็บดาบหักลงไปแล้วเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “สองสิ่งนี้ล้วนเป็นของล้ำค่าชั้นดี หากเสียหายไปจะทำอย่างไร”
ซย่าจื้ออึ้งไป กลอกตาอย่างเห็นได้ยากยิ่ง “เจ้าคนขี้งก”
หลินสวินยิ้มปะเหลาะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าหลอมอาวุธให้เจ้าอีกชิ้นไหม”
ซย่าจื้อปฏิเสธโดยไม่ลังเลว่า “ไม่เอาล่ะ”
นางเก็บทวนยาวแล้วเดินไปที่มุมหนึ่ง ร่างอ่อนนุ่มเอนนอนบนเตียงเล็กเตียงหยึ่ง ดวงตาปิดลง ชั่วพริบตาก็หลับไป
แล้วก็มาถึงช่วงเวลานอนหลับชนิดฟ้าผ่ายังไม่สะเทือนประจำวันของซย่าจื้อ…
หลินสวินก้าวเข้าไปมองดูซย่าจื้อที่หลับสนิทอยู่เงียบๆ ต่อให้ได้พบหน้ากันเป็นประจำ แต่ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าน้อยงดงามที่ขาวกระจ่างสงบนิ่งของนางนั้น ก็ยังทำให้เขาอดตะลึงงัน จิตใจเคลิบเคลิ้มไม่ได้
ความงามเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่โลกนี้สมควรมีได้ สมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว ทำให้คนเกิดความรู้สึกเกินจริง สามารถทำให้ทุกสิ่งตื่นตะลึง พลิกฟ้าพลิกดิน
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินถึงได้ยิ้มบางๆ ออกมา โน้มตัวลงไปอุ้มซย่าจื้อขึ้นมา ใช้หมวกคลุมปิดบังใบหน้าน้อยอย่างระมัดระวัง แล้วจึงหันกายออกจากชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ
เขาปิดด่านเก็บตัวมาสองเดือนกว่าเพื่อหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกร และตอนนี้สมบัติก็หลอมเสร็จอย่างราบรื่น ย่อมได้เวลาออกไปแล้ว
หลินสวินวางแผนในใจไว้นานแล้วว่า หลังจากส่งมอบกระถางสมบัติเก้ามังกรให้จ้าวจิ่งเซวียน ก็จะเริ่มจดจ่อกับการฝึกปราณเพื่อเตรียมบรรลุระดับหยั่งสัจจะ
เมื่อหลายเดือนก่อนเขาก้าวไปถึงขั้นสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนของระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว พลังปราณ จิตวิญญาณ แม้กระทั่งพลังกายล้วนแต่ทะลวงขั้นสมบูรณ์ พลังแฝงกับรากฐานพลังทั้งหมดก็ล้วนถูกสำแดงออกมาถึงขีดสุดแล้ว
พูดได้ว่าหากหลินสวินในตอนนั้นต้องการ จะเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูแห่งระดับหยั่งสัจจะเมื่อไรก็ได้!
เพียงแต่ภายหลังด้วยวาสนาบังเอิญฉากหนึ่ง ทำให้หลินสวินหยั่งถึงพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำจากภูผาบันไดสวรรค์!
นี่ทำให้เขาพลันเกิดความรู้สึกว่าวิถียุทธ์ยังบกพร่อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้บุ่มบ่ามบรรลุระดับ
ในสายตาเขา พลังปราณ จิตวิญญาณ พลังกายถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้วแน่นอน แต่เมื่อมีพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำเพิ่มขึ้นมากะทันหัน กลับทำให้เขามีพลังและตัวแปรใหม่เพิ่มขึ้นมาในระดับมหาสมุทรวิญญาณ นี่พาให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็นำพาความไม่สมบูรณ์ในระดับขั้นมาด้วย
ไม่แน่ว่า เมื่อควบคุมพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งนี้ได้อย่างไร้ที่ติแล้ว ถึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์หมดจดอย่างแท้จริง!
เรื่องนี้หากถูกผู้ฝึกปราณอื่นๆ รู้เข้าคงต้องคลุ้มคลั่งไปแน่
ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนอื่นๆ หมายจะบรรลุระดับหยั่งสัจจะให้เร็วที่สุด แต่หลินสวินกลับดีนัก ไม่เพียงทะลวงพลังปราณถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด แม้แต่จิตวิญญาณและพลังกายล้วนถูกเคี่ยวกรำจนถึงระดับสูงสุดแล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับต้องการควบคุมพลังสัจวิถีธาตุน้ำสายนั้นให้ได้อย่างหมดจดก่อน ถึงค่อยเลือกบรรลุระดับ นี่จะไม่ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงได้อย่างไร
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ในหมู่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณทั้งใต้หล้า น่ากลัวจะหาผู้ที่เหมือนหลินสวินไม่ได้สักคน เป็นสัตว์ประหลาดที่ยังไม่เคยเหยียบย่างเข้าระดับหยั่งสัจจะ ก็สามารถหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้แล้ว!
นี่ย่อมเป็นการแหวกขนบที่เคยเป็นมา บุกเบิกสร้างปาฏิหาริย์ใหม่ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ต้องสร้างความครึกโครมในโลกการฝึกปราณแน่
แน่นอนว่าตอนนี้เรื่องที่หลินสวินครอบครองพลังแห่งสัจจะ ใต้หล้านี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ล่วงรู้ นี่เป็นความลับที่เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
……
หลินสวินออกจากการปิดด่านโดยที่ไม่ได้ทำให้ผู้ใดตกใจ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งก็คือ จ้าวไท่ไหลผู้เจ้าเล่ห์หาใดเปรียบคนนี้ กลับรอเขาที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว
ที่แท้จ้าวไท่ไหลก็มาตั้งแต่หลายวันก่อนและไม่เคยจากไปเลย รอฟังข่าวดีจากหลินสวินมาโดยตลอด
เมื่อเด็กหนุ่มนำกล่องที่ผนึกกระถางสมบัติเก้ามังกรออกมา ลมหายใจของจ้าวไท่ไหลก็เปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นขึ้นมา
สำเร็จแล้ว!
ต่อให้เชื่อมั่นในตัวหลินสวินมาก แต่เมื่อแน่ใจว่าเขาหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกรสำเร็จจริงๆ จ้าวไท่ไหลก็ยังคงตื่นเต้นและตกตะลึงอย่างยากบรรยายได้
สมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ทำให้ปฐมาจารย์สลักวิญญาณมากมายล้วนจนปัญญามาหลายพันปี บัดนี้ในที่สุดก็ถูกหลอมขึ้นมาแล้ว นี่ทำให้จ้าวไท่ไหลตื่นเต้นและสั่นสะท้านไปทั้งตัว
และถ้าภายนอกรู้เข้าว่าในระยะเวลาสองเดือน หลินสวินก็หลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดที่สองสำเร็จอีก ก็ไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความครึกโครมใหญ่โตเพียงใด
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือจ้าวไท่ไหลก็ล้วนไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป กระถางสมบัติเก้ามังกรนี้มีความเกี่ยวพันมากมายนัก ทั้งยังเป็นอาวุธสำคัญของราชวงศ์ ศาสตราคู่จักรพรรดิวิถี ย่อมไม่อาจเปิดเผยได้โดยง่าย หาไม่แล้วไม่รู้ว่าจะดึงดูดสายตาหมายปองกี่มากน้อย
“ดี! ดี! ดี!”
จ้าวไท่ไหลร้องเสียงดังลิงโลด ขาดแค่ไม่ได้ยกไม้ยกมือขึ้นร่ายรำเท่านั้น เนื้อแก้มอวบอ้วนล้วนไหวกระตุก ตบไหล่หลินสวินอย่างแรงกล่าวว่า “เจ้าหนู ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่แล้ว!”
“เช่นนั้นท่านคิดว่า ในเมื่อข้าสร้างผลงานใหญ่เช่นนี้ จะตกรางวัลให้ข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่” หลินสวินถามพลางยิ้มตาหยี
จ้าวไท่ไหลพลันระแวดระวังขึ้นมา กระแอมแล้วพูดว่า “วางใจได้ ราชวงศ์ต้องจดจำน้ำใจนี้ของเจ้าไว้แน่ เอาล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะกลับไปรายงานก่อน บางทีไม่นานนักองค์หญิงจิ่งเซวียนอาจจะมาขอบใจเจ้าด้วยตัวเองก็เป็นได้”
ยังไม่ทันพูดจบ ชายอ้วนผู้นี้ก็เหมือนเท้าทาน้ำมันไว้ หายตัวไปเร็วกว่าใครเพื่อน
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง ในใจลอบด่าเจ้าอ้วนผู้นี้ว่าช่างเจ้าเล่ห์เหมือนผี คิดจะเอาเปรียบเขายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก
——
ตอนที่ 521 หวนกลับตงหลิน
โดย
ProjectZyphon
จ้าวไท่ไหล่เพิ่งกลับไปไม่ทันไร เสิ่นทั่วได้ยินข่าวจึงมาหา เห็นได้ชัดว่าเขาก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของหลินสวินอยู่ตลอด
นี่เป็นรูปธรรมของ ‘การได้รับความสำคัญ’ กระมัง
แต่ก่อนหลินสวินยากนักที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“สำเร็จแล้วหรือ”
เสิ่นทั่วก็รู้สาเหตุที่หลินสวินปิดด่านเก็บตัวครั้งนี้ดี แต่เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้ดีว่ากระถางสมบัติเก้ามังกรถือเป็นความลับ ไม่สามารถซักไซ้มากมายได้
หลินสวินพยักหน้า ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
เห็นเช่นนี้ ต่อให้เสิ่นทั่วเตรียมใจไว้แล้วก็ยังอดสั่นไหวตกตะลึงไม่ได้ สีหน้าเหม่อลอย ครู่ใหญ่จึงทอดถอนใจออกมาว่า “ช่างเป็น…ปาฏิหาริย์นัก!”
ใช่แล้ว ใครจะไปคาดคิดได้ว่าเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น หลินสวินจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสำเร็จอีกครั้ง ทั้งไม่เคยล้มเหลวด้วย!
ที่ต้องรู้ก็คือ ตอนนั้นในงานแถลงของอาสัญสลาย หลัวเฟิงผู้เป็นปฐมาจารย์ชั้นแนวหน้าในแวดวงสลักวิญญาณเคยพูดเองว่า ที่หลินสวินหลอมอาสัญสลายออกมาได้เป็นเพราะโชคช่วยล้วนๆ ภายภาคหน้าไม่มีทางโชคดีเช่นนี้แล้ว
ตอนนั้นยังก่อให้เกิดความวุ่นวายขัดแย้งรอบหนึ่งด้วย!
หากหลัวเฟิงรู้ว่าหลินสวินในตอนนี้สามารถทำได้สำเร็จอีกครั้ง น่ากลัวจะแก้มร้อนผ่าว ใบหน้าชราหม่นหมองกระมัง
เสิ่นทั่วทอดถอนใจอยู่นานถึงได้คืนสติกลับมา ครั้งนี้ที่เขามาหาหลินสวินไม่ได้มาเพียงเพื่อทอดถอนใจ หากแต่มีเรื่องจริงจังจะแจ้ง
ที่แท้ในช่วงสองเดือนที่หลินสวินปิดด่านเก็บตัว มีผู้ฝึกปราณหลายคนมาส่งข่าวเกี่ยวกับยาแก้พิษมารพบเคราะห์มากมายไม่ขาดสาย
เพียงแต่น่าเสียดายที่เมื่อเสิ่นทั่วตรวจสอบแยกแยะทีละอัน ข่าวเหล่านั้นแทบไม่เป็นความจริง ข่าวเดียวที่น่าเชื่อได้ก็ดูไม่สมจริงอย่างมาก
ข่าวนั้นกล่าวว่าหากต้องการจะสลายมารพบเคราะห์ ทำได้เพียงไปยังจุดลึกสุดของราชสำนักจักรวรรดิมืด เพราะมารพบเคราะห์ก็แพร่ออกมาจากที่นั่น
นี่ช่างเป็นคำพูดไร้สาระที่ถูกต้องอย่างยิ่ง แม้รู้ชัดว่าข่าวนี้ย่อมไม่ใช่ข่าวเท็จ แต่ในตอนนี้จักรวรรดิจื่อเย่ากับจักรวรรดิมืดเหมือนศัตรูคู่อาฆาต อย่าว่าแต่เข้าไปในส่วนลึกเลย น่ากลัวว่าเพียงเข้าใกล้ก็จะพบกับจิตสังหารมหาศาลแล้ว
เมื่อหลินสวินได้ยินทั้งหมดนี้ก็อดตะลึงไปไม่ได้ เวลานี้เขาถึงรับรู้ได้ว่าคิดจะแก้มารพบเคราะห์ยากลำบากกว่าที่ตนคิดไว้มากมายนัก
“หรือว่าจะไม่มีวิธีอื่นแล้วขอรับ” เขาอดถามไม่ได้
ที่เกินความคาดหมายก็คือ เสิ่นทั่วกลับเอ่ยว่า “มี ได้ยินว่าลึกลงไปในทะเลกลืนวิญญาณ มีโอสถวิญญาณชนิดหนึ่งนามว่า ‘ดอกหลอมวิญญาณมหาสมุทร’ สามารถขจัดพิษประหลาดนานาชนิดในใต้หล้าได้ เพียงแต่อย่างไรก็เป็นข่าวลือ ใครก็ไม่มีทางชี้ชัดได้ว่าจริงหรือเท็จ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “อีกทั้งในทะเลกลืนวิญญาณก็อันตรายยิ่งนัก เทียบกันแล้วก็พอๆ กับเดินทางไปจักรวรรดิมืด ในนั้นเต็มไปด้วยภัยพิบัติและเภทภัยมากมาย อสูรทะเลน่าหวั่นกลัว ขนาดมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในนั้นโดยง่าย”
เมื่อหลินสวินได้รู้เรื่องเหล่านี้ก็จนใจไปครู่หนึ่ง รับรู้ได้ว่าคิดจะช่วยขจัดพิษของมารพบเคราะห์ที่อยู่ในกายพญาแร้งในเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ในใจ เขากลับจดจำชื่อดอกหลอมวิญญาณมหาสมุทรนี้ไว้
“จริงด้วย หลายวันก่อนมีจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งมา บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าส่งมา ต้องส่งให้เจ้าอ่านด้วยตัวเอง”
เสิ่นทั่วพูดพลางนำจดหมายงดงามราวหยกซองหนึ่งที่ถูกผนึกไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งออกมา
เพื่อนเก่าหรือ
หลินสวินอึ้งไป หยิบซองจดหมายมาฉีกผนึก จากนั้นก็ดึงจดหมายออกมา
แวบแรกที่เห็นเนื้อหาบนกระดาษ หลินสวินก็หรี่ตาลง หว่างคิ้วพลันเต็มไปด้วยความอึมครึมเย็นยะเยือก
เห็นบนนั้นเพียงเขียนไว้ว่า ‘ชีวิตทั้งผู้ใหญ่และเด็กหมู่บ้านเฟยอวิ๋นล้วนตกอยู่ในกำมือข้า หากเจ้าไม่อยากให้พวกเขาตาย สามวันให้หลังข้าจะรอเจ้าที่เมืองตงหลิน!’
‘จำไว้ว่าเจ้าต้องมาคนเดียว หากถูกข้าพบว่าเจ้ามีผู้ช่วย เช่นนั้นภายหลังเจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้พบคนหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเหล่านั้นอีกเลย!’
ผู้ส่ง: เหลียนเฟย
เหลียนเฟย!
เป็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งจริง หลินสวินจะลืมได้อย่างไร
เหลียนหรูเฟิงบิดาของเหลียนเฟยเคยเป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ละโมบโลภมาก หมายจะช่วงชิงทรัพย์สินทั้งหมดของหมู่บ้าน สร้างความโกรธแค้นให้ผู้คน ภายหลังถูกหลินสวินฆ่าตาย
กระทั่งยามหลินสวินเข้าเมืองตงหลิน เหลียนเฟยอาศัยอำนาจของเหยาซู่ซู่กับเหยาทั่วไห่ลอบสังหารหลินสวินหลายครั้งเพื่อแก้แค้นเขา
‘เพื่อนเก่า’ เช่นนี้ หลินสวินจะไปลืมได้อย่างไร
เพียงแต่หลินสวินไม่คิดเลยว่า ผ่านไปหลายปี เมื่อได้ข่าวเหลียนเฟยอีกครั้งจะเป็นเรื่องเช่นนี้ได้!
เขาถึงกับใช้ชีวิตของคนทั้งหมู่บ้านเฟยอวิ๋นมาข่มขู่บีบบังคับให้หลินสวินมาเจอเขาตามลำพัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นกับดักแน่!
อีกทั้งหลินสวินถึงกับมั่นใจว่า จากความกล้าของเหลียนเฟยย่อมไม่มีทางกล้าทำเช่นนี้ เบื้องหลังเขาต้องมีเหยาทั่วไห่ชักไยอยู่แน่
ทว่าหลินสวินยังคงไม่เข้าใจว่า เหยาทั่วไห่ผู้เป็นมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งในมณฑลซีหนานของจักรวรรดิ ทำไมถึงกล้าเป็นอริกับเขาตอนนี้
หรืออีกฝ่ายไม่รู้ว่า ด้วยอำนาจที่หลินสวินมีในตอนนี้ก็สามารถทำลายเขาและขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเขาลงอย่างง่ายดายได้?
สีหน้าหลินสวินปกคลุมไปด้วยหมอกทะมึน เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง หากกล่าวว่าเป็นความแค้น แน่นอนว่าระหว่างเขา เหลียนเฟย และเหยาทั่วไห่ย่อมเป็นความแค้นใหญ่หลวง
แต่ตอนนี้พวกเขาลงมือกับชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นอย่างฉับพลัน ใช้สิ่งนี้มาข่มขู่ตน หรือจะมีแผนอะไรอีก
ต้องไม่ใช่แค่การล้างแค้นธรรมดาแน่!
อิงตามอุบายและวิธีการที่เหยาทั่วไห่แสดงออกมา เขาต้องรู้ดีอยู่ก่อนแล้วว่า เวลานี้การเปิดหน้าสู้กับตนจะได้รับผลตอบแทนที่รุนแรงขนาดไหน
แต่เขายังกล้าทำเช่นนี้ เบื้องหลังต้องวางแผนอะไรไว้แน่
‘พวกเหลียนเฟยทำเช่นนี้ จะเป็นเพราะได้การสนับสนุนอย่างลับๆ จากขุมอำนาจสามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลฉือ จั่วและฉินหรือเปล่า’ หลินสวินสงบใจได้ยากอยู่บ้าง
หมู่บ้านเฟยอวิ๋น!
ที่นั่นเปรียบเสมือนบ้านหลังแรกในจักรวรรดิของหลินสวิน ชาวบ้านที่นั่นก็มองเขาเป็นเหมือนคนของตัวเอง เหมือนเป็นญาติมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ชีวิตของชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นกลับถูกคุกคามเพราะเขา นี่จะทำให้เด็กหนุ่มสงบใจได้อย่างไร
‘เหลียนเฟย…เหยาทั่วไห่…ดูท่าความแค้นในอดีตก็ควรทำให้จบสิ้นได้แล้ว!’ เนิ่นนาน หลินสวินสูดหายใจลึก ในดวงตาสีดำมีจิตสังหารเข้มข้นหาใดเทียบเผยออกมาแวบหนึ่งก่อนหายวับไป
“หลินสวิน เป็นอะไรหรือ” เสินทั่วที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้น เขารับรู้ได้อย่างฉับไวว่าสีหน้าของหลินสวินออกจะผิดปกติ
“ไม่มีอะไรขอรับ”
หลินสวินเก็บจดหมาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ผู้อาวุโส ข้าอาจจะต้องจากไปสักพัก ในช่วงนี้อยากให้ท่านช่วยข้าปิดเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ว่าข้าจากไปแล้ว”
เขาตัดสินใจจะเคลื่อนไหวคนเดียวจริงๆ ด้วยไม่กล้าเสี่ยง หากใช้อำนาจอื่นแล้วถูกเหลียนเฟยสังเกตเห็นเข้า ชีวิตชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นต้องน่าเป็นห่วงแน่!
เสิ่นทั่วเห็นหลินสวินสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้ล้อเล่น ก็รับรู้ได้ว่าหลินสวินน่าจะเจอเรื่องที่รับมือได้ยาก อีกทั้งไม่ต้องการให้ผู้อื่นยื่นมือเข้ามา
เขาพยักหน้าแล้วพูดทันใดว่า “ได้ ข้าจัดการเอง แต่หากเจ้าประสบความยุ่งยากที่ไม่อาจสะสางได้ ต้องบอกข้านะ”
หลินสวินยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับ
……
ในวันนั้นเอง หลินสวินพาซย่าจื้อออกจากสำนักศึกษามฤคมรกตอย่างเงียบเชียบกลับไปยังภูเขาชำระจิต หลังจากเล่าเรื่องให้หลินจงกับพญาแร้งฟังอย่างกระชับเรียบง่าย ก็เลือกจากมาเพียงคนเดียวโดยไม่ลังเล
ไม่มีใครปรามได้ รวมถึงพญาแร้งกับหลินจงก็ทำไม่ได้ พวกเขาทำได้เพียงเตรียมพร้อมอย่างลับๆ ทันทีที่รับรู้ว่าหลินสวินเกิดเหตุไม่คาดฝันก็จะเคลื่อนไหวทันที
ส่วนซย่าจื้อ ก็ถูกทิ้งไว้ที่ภูเขาชำระจิตเช่นกัน
นางเพิ่งแปรสภาพจากการจุติครั้งแรก เท่ากับว่าต้องฝึกปราณใหม่ตั้งแต่ต้น เดินทางไปกับหลินสวินย่อมไม่เป็นการดี
ย่ำค่ำ หลินสวินออกจากนครต้องห้ามเพียงลำพัง
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากนครต้องห้ามหลังจากเข้ามาได้หนึ่งปี
แทบไม่มีคนรู้เลยว่า หลินสวิน ปฐมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ที่ชื่อเสียงระบือนครต้องห้ามในขณะนี้ เลือกออกจากเมืองคนเดียวอย่างกะทันหันในวันนี้
แต่ตัวหลินสวินรู้ดีว่า ในนครต้องห้ามต้องมีคนจับตามองขุมอำนาจทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตนอย่างลับๆ อยู่แน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาชำระจิต สำนักศึกษามฤคมรกต หรือเหล่าขุมอำนาจอย่างอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ทันทีที่เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ ต้องถูกศัตรูที่อยู่ในความมืดรับรู้ได้ จากนั้นก็แพร่งพรายไปถึงหูของพวกเหลียนเฟยที่อยู่ไกลออกไปในเมืองตงหลิน
แม้หลินสวินจะไม่รู้ชัดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวในความมืดเหล่านี้เป็นใคร แต่เขาไม่กล้าเสี่ยง ทั้งไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ใดจริงๆ ดังนั้นจึงไม่กังวลว่าพวกเหลียนเฟยจะพลิกลิ้น
……
สองวันต่อมา
เมืองตงหลิน ชายแดนมณฑลซีหนานแห่งจักรวรรดิ
ยามเที่ยง รถรับส่งสลักวิญญาณที่ออกจากเมืองหมอกอำพรางซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลซีหนานคันหนึ่งบดขยี้ชั้นเมฆ พลางส่งเสียงครั่นครืนแสบแก้วหู ก่อนจะลงจอดที่นอกเมืองตงหลินอย่างช้าๆ
เด็กหนุ่มซึ่งแต่งกายชุดสีขาวนวลทั้งตัว รูปลักษณ์ธรรมดาไม่พิเศษเดินออกมาจากรถรับส่งสลักวิญญาณ
คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวินที่ปลอมตัวมา
กลับสู่เมืองตงหลินอีกครั้งหลังจากไปนานเกือบสามปี ทำให้เด็กหนุ่มอดทอดถอนใจและรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาไม่ได้
เมืองแรกที่เดินทางไปหลังออกจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋น ก็คือเมืองตงหลินที่อยู่ตรงหน้า
ที่นี่ หลินสวินพำนักอยู่ในเขตพลเรือนที่โกลาหลวุ่นวาย ก่อตั้งโถงทองคำ ได้รู้จักสองพ่อลูกกู่เยี่ยนผิงและกู่เหลียง
ที่นี่ เขาก่อเหตุสังหารนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่ากับขุมอำนาจที่เป็นศัตรูคู่แค้นอย่างตระกูลอู๋ เหลียนเฟย พรรคพยัคฆ์ทมิฬ
และก็เป็นที่นี่ ที่เขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถูกเหยาทั่วไห่จงใจเพ่งเล็งและกำราบในการทดสอบระดับอำเภอที่จัดขึ้นประจำปี หากไม่ใช่ราชินีรัตติกาลผู้ลึกลับท่านนั้นมาเยือน เขากับซย่าจื้อก็เกือบตายด้วยน้ำมือของเหยาทั่วไห่!
หลินสวินในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อยู่ในระดับกำลังภายในผู้หนึ่ง ตัวคนเดียวทั้งพลังยังอ่อนแอ ข้างกายมีเพียงซย่าจื้อ
แต่ตอนนี้เมื่อหลินสวินหวนกลับมาเมืองตงหลินอีกครั้งหนึ่ง ศัตรูในตอนนั้นยังคงอยู่ดังเดิม เพียงแต่เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
‘ความแค้นที่เมืองตงหลิน ต้องตัดขาดเสียที…’
หลินสวินยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่ลังเลอีก ก้าวเท้าเดินเข้าเมืองตงหลินไป
หอสุราตงหลิน
นี่เป็นหอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตงหลิน กิจการดีมาโดยตลอด ในหอสุรามีอาหารชั้นเลิศนานาชนิดจากหมู่เขาสามพันคีรี ได้รับความนิยมจากผู้ฝึกปราณอย่างยิ่ง
ยามเที่ยงตรงหอสุราตงหลินยังคึกคักเหมือนในอดีต มีผู้ฝึกปราณรวมตัวไม่น้อย ดื่มเหล้าพลางสนทนาเรื่องที่โด่งดังที่สุดในเมืองตงหลิน
ที่ข้างหน้าต่างชั้นสองของหอสุรา หลินสวินสั่งอาหารและสุรามาจำนวนหนึ่ง แล้วลงมือดื่มกินคนเดียว
บนจดหมายของเหลียนเฟยเขียนไว้ว่าให้เขามาพบที่เมืองตงหลิน ‘สามวันให้หลัง’ ทั้งไม่บอกสถานที่แน่ชัดว่าจะเจอกันที่ไหน
หลินสวินย่อมไม่มีทางปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามจูงจมูก เขามาถึงล่วงหน้าหนึ่งวันก็เพราะต้องการเตรียมการและรับมือในสิ่งที่จำเป็น
——
ตอนที่ 522 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (หนึ่ง)
โดย
ProjectZyphon
ภายในหอสุราคึกคักยิ่ง ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างถกกันเกี่ยวกับประเด็นร้อนแรงในระยะนี้
“หากพูดถึงบุคคลทรงอิทธิพลเป็นที่จับตามองที่สุดในจักรวรรดิ ย่อมต้องเป็นหลินสวินที่เดินทางออกจากเมืองตงหลินของพวกเราอยู่แล้ว!”
บางคนโพล่งเสียงออกมากะทันหัน นำมาซึ่งเสียงสมทบมากมายทันที
“ใช่แล้ว ใครจะกล้าคิดว่าเด็กหนุ่มในปีนั้นจะกลายเป็นผู้โดดเด่นพราวตาเช่นนี้ด้วยระยะเวลาแค่สามปี เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงก้องโลก ไร้คนทัดเทียม”
“นครต้องห้ามน่ะ นั่นเป็นถึงสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบเชียวนะ แต่หลินสวินกลับโผล่ออกมา โดดเด่นเป็นสง่าเหนือใครได้ นี่เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งชัดๆ!”
“ลองนับๆ ดู จนถึงตอนนี้เขาได้ที่หนึ่งการทดสอบระดับมณฑลของมณฑลซีหนาน ถึงจะไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักร ทว่ากลับได้เป็นอาจารย์คนหนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต สิ่งที่ทำให้ผู้คนพูดกันเซ็งแซ่ก็คือ เขายังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลินในนครต้องห้าม ครองภูเขาชำระจิตหนึ่งในเจ็ดสิบสองยอดเขาแห่งนครต้องห้าม และตอนนี้ยิ่งเป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ซึ่งเป็นที่จับตามองของทั่วหล้าอีกด้วย…”
บางคนกำลังเรียงรันวีรกรรมอันรุ่งโรจน์ต่างๆ นานาที่หลินสวินเคยทำไว้ พาให้ในโถงร้องอุทานขึ้นอีกระลอก
สีหน้าหลินสวินดูแปลกไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสวมบทเป็นผู้ชมด้านข้าง ฟังคนอื่นพูดถึงตนเองในระยะประชิดขนาดนี้
“พวกเจ้ารู้แต่ว่าตอนนี้หลินสวินโด่งดังคับฟ้า แต่พวกเจ้าหารู้ไม่ว่าตอนแรกในการทดสอบระดับอำเภอในเมืองตงหลินนั้น หลินสวินถูกมหายุทธ์เหยาทั่วไห่และเจ้าสำนักสำนักศึกษาตงหลินอวี๋ชางหลินร่วมมือกันกดขี่ เกือบตายอนาถ!”
ชายชราคนหนึ่งเอ่ยปากอย่างเร้นลับ พลันดึงดูดความสนใจมากมาย พากันซักไซ้ไล่เลียง
“เหตุใดอวี๋ชางหลินต้องต่อต้านหลินสวินด้วย นี่มันไม่เข้าทีไปหน่อยแล้วกระมัง”
“นี่พวกเจ้าคงไม่รู้สินะว่าหัวหน้าตระกูลอู๋ไปหาอวี๋ชางหลิน ตั้งใจจะจัดการหลินสวิน พวกเจ้าก็รู้ ตอนที่หลินสวินอยู่เมืองตงหลิน ก็ถูกตระกูลอู๋ข่มเหงประทุษร้ายตั้งหลายครั้ง!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ทันใดนั้นผู้คนมากมายต่างเข้าใจแจ่มชัด มีบางคนอดมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้ “กลัวก็แต่ตระกูลอู๋และอวี๋ชางหลินคงไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าเด็กหนุ่มที่ถูกพวกเขาข่มเหงในปีนั้น จะกลายเป็นดาวจรัสแสงดวงหนึ่งซึ่งเจิดจ้าที่สุดในจักรวรรดิตอนนี้ ต่อไปหากหลินสวินหวนกลับเมืองตงหลินอีกครั้ง พวกเขาตระกูลอู๋จะจัดการกับตัวเองอย่างไร”
หลินสวินได้ยินถึงตรงนี้ ในที่สุดก็คลี่คลายปมสงสัยในใจได้เสียที ที่แท้ในการทดสอบระดับอำเภอปีนั้น ที่อวี๋ชางหลินเจ้าสำนักสำนักศึกษาตงหลินจงใจพุ่งเป้าและกำราบตน เป็นเพราะตระกูลอู๋นั่นเอง!
ทันใดนั้นเสียงสูงแหลมเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วย…
“ฮ่าๆ ไม่ว่าหลินสวินจะร้ายกาจเพียงใด ความรุ่งโรจน์ที่เป็นของเขาก็จะปิดฉากลงในที่สุด! เท่าที่ข้ารู้ ภายในไม่กี่วันเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับหายนะแล้ว!”
เป็นชายหนุ่มสำรวยคนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีทองโอ่อ่า นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ท่าทางหยิบโหย่งชี้สั่งใต้หล้า
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา ทั้งโถงพลันฮือฮา ยากจะเชื่อได้
“บังอาจถามพี่ชายหน่อย ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือ”
บางคนอดถามไม่ได้
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองผู้นั้นมีท่าทางลึกลับ เอ่ยคำเนิบนาบ “อีกไม่กี่วัน พวกเจ้าก็จะได้รู้ผลลัพธ์แล้ว”
ผู้คนมากมายหยามเหยียด ไม่เชื่อแม้แต่น้อย คิดว่าชายหนุ่มชุดทองคนนั้นอิจฉาหลินสวิน ถึงจงใจกุเรื่องขึ้น
และก็มีส่วนน้อยที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ซักไซ้ต่อ
เพียงแต่ชายหนุ่มชุดทองคนนั้นดูคล้ายจะกังวลอยู่บ้าง ไม่กล้าพูดมากความอีก เอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ ไม่นานนักก็หยัดตัวลุกขึ้นไปชำระเงิน ก่อนรีบร้อนจากไป
เมืองตงหลินยังคงคึกคักครื้นเครง หลังจากชายหนุ่มชุดทองออกจากหอสุราไปแล้ว ตอนที่เพิ่งจะเดินผ่านตรอกหนึ่งไปก็รู้สึกแต่ว่าเจ็บแปลบที่ท้ายทอย ดวงตากลิ้งกลอกแล้วหมดสติไปทันทีทันควัน
ในห้องมืดสนิทแห่งหนึ่ง
ตอนที่ชายหนุ่มชุดทองได้สติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าตนถูกพันธนาการอยู่ตรงนั้น และกำลังเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมองเขาอย่างเงียบงัน
“เจ้าเป็นใคร ถึงขั้นกล้าเล่นเล่ห์ดักฟาดหัวข้า อยากตายแล้วหรือ” ชายหนุ่มชุดทองกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
“ข้าถามเจ้าตอบ หากคำตอบทำให้ข้าพอใจ จะปล่อยเจ้าไปทันที แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”
เด็กหนุ่มคนนั้นย่อมต้องเป็นหลินสวิน ตอนอยู่ในหอสุราหลินสวินจับสังเกตถ้อยคำที่ชายหนุ่มชุดทองคนนี้พูด บางทีผู้อื่นอาจคิดว่าเขาแค่ปล่อยข่าวโคมลอยเขย่าขวัญผู้คน แต่หลินสวินไม่คิดเช่นนั้น
“ไอ้เด็กเหลือขอ ยังกล้ามาเล่นบททรมานรีดไถเอาคำสารภาพกับข้าอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร คร้านจะมีชีวิตอยู่แล้วชัดๆ! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…”
กร๊อบ!
ไม่รอให้พูดจบ กระดูกไหล่ทั้งสองข้างของเขาก็ถูกปลดออก เจ็บจนเขาส่งเสียงร้องโหยหวน หน้าผากผุดเหงื่อพราย ใบหน้าบิดเบี้ยว
“ข้าไม่มีความอดทนมาเสียเวลากับเจ้า โอกาสมีแค่หนเดียว ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะคว้ามันไว้ได้หรือเปล่าเท่านั้น”
หลินสวินเอ่ยปากยิ้มแย้ม รอยยิ้มนั้นสงบนิ่งอ่อนโยน ไม่เป็นพิษภัยต่อมนุษย์และสรรพสัตว์ ทว่ากลับปลุกปั่นให้ชายหนุ่มชุดทองคนนั้นเกิดความหวาดกลัวอันยากจะพรรณนา
……
ตระกูลอู๋
หลินสวินยืนอยู่ในระยะไกล มองสำรวจคฤหาสน์อันเป็นของตระกูลอู๋
ตามคำพูดของชายหนุ่มชุดทอง เขาเองก็ได้ยินมาจากลูกหลานตระกูลอู๋ที่พลั้งปากพูดหลังร่ำสุราว่า อีกไม่นานนักก็จะทำให้หลินสวินตายโดยไร้แผ่นดินฝังศพ! ซ้ำยังรับรองเป็นมั่นเหมาะอีกว่าจะได้ผลลัพธ์เป็นที่แน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้
ตระกูลอู๋!
นึกถึงตระกูลอู๋ หลินสวินพลันนึกถึงอู๋เฮิ่นสุ่ยและอู๋เจี๋ยที่ตายในเงื้อมมือของตน นึกถึงเรื่องที่หลังจากเข้าเมืองตงหลินแล้วถูกตระกูลอู๋ไล่ล่าฆ่าฟัน
สวบ!
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงจุดที่เงียบสงัดลับตาคน เงาร่างพริบไหว ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลอู๋ได้อย่างง่ายดายราวกับควันจางล่องหนสายหนึ่ง
พลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของหลินสวินแผ่กว้างออกไป เคลื่อนตัวอย่างลับๆ ท่ามกลางตัวอาคารคฤหาสน์ที่เรียงริ้วเป็นทิวแถวอย่างระแวดระวัง
เมืองตงหลินเป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งติดชายแดนมณฑลซีหนาน ตระกูลอู๋ถึงแม้จะเป็นมหาอำนาจของเมือง แต่สำหรับหลินสวินในตอนนี้แล้ว ไม่ควรค่าให้ชายตาแล พลังป้องกันเหมือนของหลอกตา
อย่าว่าแต่ตระกูลอู๋เลย ต่อให้เป็นทั้งเมืองตงหลิน ก็เฟ้นหาผู้ดำรงอยู่ในระดับหยั่งสัจจะไม่เจอสักคน!
และเท่าที่หลินสวินรู้ พลังแข็งแกร่งที่สุดในตระกูลอู๋ก็ไม่พ้นระดับมหาสมุทรวิญญาณอย่างแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินย่อมไม่กังวลว่าจะประสบอันตรายถึงแก่ชีวิตอะไรเลยอยู่แล้ว มีเพียงอย่างเดียวที่ต้องระวัง คือมหายุทธ์เหยาทั่วไห่
แต่หลินสวินไม่เชื่อว่าบุคคลสำคัญระดับเหยาทั่วไห่จะนั่งบัญชาการในตระกูลอู๋
ไม่นานเขาชะงักฝีเท้า จากนั้นเงาร่างวูบไหวอีกครั้ง ก่อนเร้นกายอยู่ในเงามืดของชายคาจุดหนึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ห้องโถงที่เยื้องกับจุดที่หลินสวินซ่อนตัวอยู่ มีบุคคลสำคัญของตระกูลอู๋จำนวนมากกำลังหารือกัน
กลางโถงวิจิตร อู๋เชาฉวินหัวหน้าตระกูลอู๋ อู๋อวิ๋นซานผู้อาวุโสใหญ่ อู๋อวี้ซานผู้อาวุโสรอง อู๋หลันซานผู้อาวุโสสามต่างนั่งเรียงรายกันอย่างน่าเกรงขาม
“ถึงแม้การลงมือครั้งนี้จะเสี่ยงมาก แต่ขอเพียงกำจัดเจ้าเด็กหลินสวินนี่ให้สิ้นซาก ต่อไปพวกเราตระกูลอู๋ก็จะหลับสนิทไร้กังวล ไม่ต้องห่วงว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นจะย้อนกลับมาชำระแค้นพวกเราอีกต่อไป”
อู๋เชาฉวินเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงน่ายำเกรง
“เป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว พูดตามตรง แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึง ว่าเด็กเหลือขอในปีนั้นจะถึงกับประสบความสำเร็จน่าตื่นตาเช่นนี้ แค้นก็แต่ปีนั้นไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้ ถึงได้ปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาแผลงฤทธิ์แผลงเดช น่าเสียดายโดยแท้”
ผู้อาวุโสใหญ่อู๋อวิ๋นซานถอนหายใจ
คนอื่นๆ ก็พลอยนึกคับอกคับใจไปด้วย นับตั้งแต่รู้ว่าหลินสวินผงาดแข็งแกร่งอยู่ในนครต้องห้าม พวกเขาก็กินนอนไม่เป็นสุข หนึ่งวันผันผ่านราวหนึ่งปี เกรงแต่ว่าหลินสวินจะฝังใจกับความแค้นในปีนั้นแล้วย้อนกลับมาล้างแค้นอีกครั้ง
อย่างไรเสียปีนั้นตระกูลอู๋ของพวกเขาก็ผูกแค้นกับหลินสวินลึกล้ำเกินไป ไม่อาจมีไมตรีต่อกันได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครรู้ว่าหลินสวินจะกลับมาไล่ล่าสังหารอีกครั้งเมื่อไหร่
หากสามารถอาศัยโอกาสนี้กำจัดหลินสวินทิ้ง ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา
“เอาตามนี้เถิด การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีผู้อาวุโสเหยาทั่วไห่บัญชาการด้วยตัวเอง ย่อมมั่นใจได้เก้าในสิบส่วนอย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลเกินไปว่าหลังจากเรื่องถูกเปิดโปงแล้วจะต้องเจอกับการล้างแค้นของหลินสวิน”
อู๋เชาฉวินกำชับเสียงเข้ม
และในเวลานี้เอง ฉับพลันกลางห้องโถงใหญ่ปรากฏรุ้งศักดิ์สิทธิ์สี่สายล้อมปิดผนึกโถงใหญ่เอาไว้ราวกับฟ้าถล่ม
เสามังกรจตุลักษณ์!
นี่ย่อมต้องเป็นฝีมือหลินสวินอยู่แล้ว
ตูม!
พวกอู๋เชาฉวินตั้งรับไม่ทัน รู้สึกเพียงว่าตาลาย และมาอยู่ในเขตแดนมายาแห่งหนึ่งที่ทั่วทิศขาวโพลน มองเห็นเพียงเสาหินโบราณสี่ต้นตั้งตระหง่านคล้ายกับยันฟ้าอยู่สี่ทิศ
แย่แล้ว!
พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ควานหาทางออกอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างไรล้วนไม่อาจหลุดจากการปิดผนึกของเสาหินสี่ต้นนี้ไปได้
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนเป็นเหยเกเข้าไปใหญ่ รู้สึกได้ว่าหายนะใกล้มาเยือนอยู่เลาๆ
และในตออนนั้นเอง เงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้นในเขตแดนมายา กวาดสายตามองสำรวจพวกอู๋เชาฉวินก่อนกล่าวราบเรียบ “บอกข้ามาว่าเหลียนเฟยอยู่ที่ไหน ข้าจะให้พวกเจ้าตายสบายหน่อย”
“เจ้าเป็นใคร”
อู๋เชาฉวินสูดหายใจลึก กล่าวเสียงเคร่งขรึม
“ลืมแม้กระทั่งข้าหรือ”
หลินสวินหัวเราะน้อยๆ ก่อยเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงออกมา
“เป็นเจ้า หลินสวิน!?”
ทันใดนั้นพวกอู๋เชาฉวินต่างตกตะลึงอยู่ตรงนั้น คิดไม่ถึงสักนิดว่าหลินสวินจะถึงขั้นปรากฏตัวอยู่ในตระกูลอู๋ของพวกเขา!
เขาค้นพบเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
ต้องรู้ว่านับตั้งแต่พวกเขาตัดสินใจร่วมมือกับเหลียนเฟย ก็ไม่เคยปล่อยข่าวรั่วไหลออกไปเลยสักเสี้ยว จึงย่อมไม่อาจจินตนาการได้ว่าหลินสวินจะมาเยือนล่วงหน้าหนึ่งวัน!
“ฮ่าๆๆ ชาวบ้านในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นของเจ้าล้วนอยู่ในกำมือคุณชายเหลียนเฟย เจ้ายังกล้าทำตัวกร่างตอนนี้หรือ”
อู๋เชาฉวินหัวเราะลั่น
“งั้นหรือ”
ฟุ่บ! หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ลมกรรโชกน่าหวาดกลัวกวาดม้วนผ่าน โจมตีใส่หน้าผากผู้อาวุโสใหญ่อู๋อวิ๋นซานจนแตกเป็นเสี่ยงในชั่วอึดใจเดียว เลือดพุ่งกระเซ็น น่าอนาถหาใดเปรียบ!
“เจ้ากล้า!”
“หลินสวิน เจ้าไม่สนความเป็นตายของชาวบ้านหมูบ้านเฟยอวิ๋นพวกนั้นจริงๆ หรือ”
“บอกเจ้าให้นะ ถ้าฆ่าพวกเราแล้ว ผู้อาวุโสเหยาทั่วไห่ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่!”
พวกอู๋เชาฉวินโกรธเกรี้ยวคำราม พวกเขาไหนเลยจะคาดคิดว่าหลินสวินจะลงมือสังหารโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่อู๋อวิ๋นซานก็ต้านการโจมตีของหลินสวินไว้ไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตระหนักอย่างพรั่นพรึงว่า วันนี้หลังจากสามปีผ่านไป หลินสวินได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มระดับกำลังภายในก่อนหน้านี้ที่ได้แต่ถูกพวกเขาไล่สังหารอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มีชื่อก้องเกรียงไกรทั่วจักรวรรดิ มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณที่ทิ้งห่างพวกเขาโข พลังไพศาลดุดัน!
“ข้าไม่ได้มาพูดพล่ามกับพวกเจ้า ตอบคำถามข้ามา หาไม่ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทาง แล้วตามหาเหลียนเฟยมาคิดบัญชีด้วยตัวเอง!”
หลินสวินเปล่งเสียงราบเรียบ
ถึงเขาจะตัวคนเดียว ทว่ารอบกายกลับแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นออกมา ทำให้พวกอู๋เชาฉวินแทบจะกลั้นลมหายใจ ขนพองสยองเกล้า จิตหลุดวิญญาณกระเจิง
ไม่อาจต้านทานได้จริงๆ!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ชายแก่อย่างพวกเขาเหล่านี้ แต่ละคนเพิ่งมีเพียงปราณระดับจิตผสานวิญญาณเท่านั้น ในสายตาของหลินสวิน แทบจะล้มตึงในกระบวนท่าเดียว
“เจ้าอยากรู้อะไร”
อู๋เชาฉวินสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก สีหน้าเขียวคล้ำเอ่ยปาก ชั่วขณะนี้ ยามที่เผชิญกับหลินสวินซึ่งๆ หน้า พวกเขาถึงได้รับรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าน่าสะพรึงและสิ้นหวัง
การตายของผู้อาวุโสใหญ่อู๋อวิ๋นซานก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด
——
ตอนที่ 523 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (สอง)
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินเอ่ยกระชับได้ใจความ “เหลียนเฟยอยู่ที่ไหน”
ในสีหน้าโกรธเขียวของอู๋เชาฉวินเจือความหวาดกลัว แม้ในใจระรู้สึกอัปยศหาใดเปรียบ ทว่ากลับไม่กล้าไม่เอ่ยตอบ “พรุ่งนี้เขาถึงจะปรากฏตัว ก่อนหน้านั้นผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
หลินสวินเลิกคิ้ว “แล้วพวกเจ้าติดต่อกับเขาอย่างไร”
อู๋เชาฉวินส่ายหน้า “เมื่อจำเป็น เขาจะเป็นฝ่ายติดต่อพวกเรามาเอง”
คิ้วของหลินสวินขมวดมุ่นเล็กน้อย กล่าวว่า “พูดตามตรง ในสายตาของข้า พวกเจ้าในตอนนี้ก็ไม่พ้นเป็นแค่ขี้หมูราขี้หมาแห้งกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เชื่อว่าขอเพียงเหลียนเฟยไม่โง่ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าอาศัยแค่กำลังของพวกเจ้าก็จะสามารถต่อกรข้าได้ แต่เขากลับเลือกจะร่วมมือกับพวกเจ้า นี่เป็นเพราะอะไร”
ถ้อยคำนี้บาดหูอย่างเห็นได้ชัด ทำให้พวกอู๋เชาฉวินอัดอั้นมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทว่าความเป็นจริงนั้นแสนโหดร้าย แม้พวกเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ประมือของหลินสวินจริงๆ ต่อให้เอาทั้งตระกูลอู๋มารวมกัน ยังไม่เพียงพอจะให้หลินสวินคนเดียวลงมือฆ่าด้วยซ้ำ
นี่ก็คือความน่ากลัวของระดับมหาสมุทรวิญญาณ บางทีในนครต้องห้ามอาจจะไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไร ทว่าในเมืองเล็กๆ ชายแดนมณฑลซีหนานแห่งนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญน่าสะพรึงกลัวที่หยัดยืนอยู่เหนือเมฆคนหนึ่งแล้ว
“เพราะเขารู้ว่าพวกเรากับเจ้ามีความแค้นต่อกัน”
อู๋เชาฉวินตอบด้วยสีหน้าอึมครึม แต่ความจริงแล้วในใจเขาก็มีความสงสัยเสี้ยวหนึ่ง เหลียนเฟยเป็นถึงลูกเขยของเหยาทั่วไห่ หากคิดจะต่อกรกับหลินสวิน การเลือกร่วมมือกับขุมอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าจึงจะเป็นทางเลือกอันชาญฉลาดที่สุด
แต่เหลียนเฟยกลับเรียกหาพวกเขาตระกูลอู๋ หรือเพราะเหลียนเฟยอาจเห็นว่าพวกเขาตระกูลอู๋และหลินสวินมีความแค้นต่อกันจริงๆ?
อู๋เชาฉวินเองก็ไม่สามารถยืนยันได้
ประโยคเดียวก็ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ตระกูลอู๋คงถูกเหลียนเฟยใช้เป็นหมาก ที่น่าขันคือพวกอู๋เชาฉวินมีท่าทางเหมือนยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหลียนเฟยจับตัวชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นไปขังไว้ที่ไหน”
หลินสวินเอ่ยปากถามคำถามที่เป็นกังวลมากที่สุด
อู๋เชาฉวินยังคงส่ายหน้า แสดงถึงความไม่รู้ตามเดิม
“จริงหรือ”
กลางนัยน์ตาดำขลับของหลินสวินมีไอสังหารพุ่งผ่าน
“เป็นความจริง”
อู๋เชาฉวินฝืนเอ่ยตอบ
ปึง!
หลินสวินหรี่ตาลง แล้วพลันยกมือขึ้นตบศีรษะของผู้อาวุโสรองอู๋อวี้ซานจนแตกเป็นเสี่ยงในฝ่ามือเดียว เลือดสดไหลอาบดูคล้ายแตงโมเละอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาอู๋เชาฉวินและผู้อาวุโสสามอู๋หลันซานที่เหลืออยู่ตกใจจนแผดร้องดังสนั่นขึ้น หวาดกลัวโกรธเกรี้ยวหาใดเปรียบ
ในสายตาพวกเขา หลินสวินเป็นปีศาจชั่วร้ายตนหนึ่งชัดๆ บอกจะลงมือฆ่าคนก็ทำในทันที แทบไม่ละล้าละลังเลยแม้แต่น้อย เด็ดขาดโหดเหี้ยมอย่างน่าสะพรึง
“ข้าจะถามอีกเป็นครั้งสุดท้าย หากพวกเจ้ายังไม่สามารถทำให้ข้าพอใจได้อีก เช่นนั้นก็ให้ทั้งตระกูลอู๋ฝังร่างร่วมกับพวกเจ้าเลยแล้วกัน”
คำพูดของหลินสวินราบเรียบเอ้อระเหย แต่เมื่อเข้าสู่โสตประสาทของอู๋เชาฉวิน กลับไม่ด้อยไปกว่าอสนีฟาดกลางอากาศแจ่มใส ทำให้ทั้งตัวเขาทรุดถล่มโดยสิ้นเชิง
“ข้าพูด ข้าพูดแล้วพอใจหรือยัง อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามเรือนหลังของตระกูลอู๋ของพวกเรา…”
……
เสามังกรจตุลักษณ์ถูกเก็บไป บนพื้นมีศพนองเลือดปรากฏขึ้นศพแล้วศพเล่า ไม่ได้ไว้ชีวิตเลยสักคน
อู๋เชาฉวินและอู๋หลันซานก็ถูกหลินสวินสังหารในช่วงสุดท้ายเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเขาโหดเหี้ยมอำมหิต แต่เพราะความแค้นแบบนี้จำเป็นต้องโต้ตอบเอาคืนและขู่ขวัญ!
สวบ!
หลินสวินไม่ลังเลใดๆ เงาร่างไหววูบก่อนปรากฏกายในพื้นที่ต้องห้ามเรือนหลังตระกูลอู๋ กวาดหาคร่าวๆ ก็พบทางเข้าใต้ดินซึ่งปกคลุมด้วยรอยสลักวิญญาณจุดหนึ่งอยู่จริงๆ
รอยสลักวิญญาณระดับนี้ ย่อมไม่เป็นอุปสรรคต่อหลินสวินแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องทะลวงทำลายเขาก็เข้าไปในนั้นได้อย่างสบาย
หลินสวินในยามนี้ปลอมตัวเป็นอู๋เชาฉวิน คล้ายคลึงกับตัวจริงยิ่งนัก แม้แต่บุคลิกและสีหน้าท่าทางก็ยังเหมือนกันไม่มีผิด
นี่เป็นทักษะการปลอมตัวอย่างหนึ่งยามอยู่ค่ายกระหายเลือดที่ลูกศิษย์ทุกคนต้องสันทัด หลินสวินเองย่อมเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้ว
นี่คืออุโมงค์ที่นำไปสู่ใต้ดิน ปูทางด้วยขั้นบันไดหิน แต่ละขั้นทอดลงด้านล่าง บนผนังสองด้านของอุโมงค์แขวนคบเพลิงส่องสว่างเป็นทางยาว แผ่ลำแสงอบอุ่นกระจายออกมา
พลังจิตวิญญาณของหลินสวินแผ่กระจายออกไป เมื่อไม่พบอันตรายใดๆ ในใจจึงเริ่มเชื่อน้ำคำของอู๋เชาฉวิน ที่นี่ไม่ใช่กับดักอย่างแน่นอน แต่เดิมเป็นห้องลับที่เก็บสมบัติของตระกูลอู๋ เพียงแต่ตอนนี้ถูกย้ายออกไปแล้วเท่านั้น
เมื่อถึงปลายอุโมงค์ ปรากฏเรือนใต้ดินหลังหนึ่ง ลำแสงสว่างไสว กว้างใหญ่ไพศาล
อ้างอิงจากคำพูดของอู๋เชาฉวิน ชาวบ้านของหมู่บ้านเฟยอวิ๋นถูกคุมตัวไว้ที่นี่ คนที่เฝ้าชาวบ้านพวกนี้คือผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเหลียนเฟย ไม่อนุญาตให้คนอื่นๆ เข้าใกล้ได้โดยง่าย
“ใคร?”
ตอนที่หลินสวินมาถึง ก็มีคนส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ
“ข้าเอง”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ สาวเท้าเดินเข้าไปในเรือนใต้ดินแห่งนั้น จากนั้นหรี่ตาลงมองรูปลักษณ์ของผู้ที่ไถ่ถามเมื่อครู่
คนผู้นั้นหนวดเคราสีดำเข้ม ท่าทางองอาจ เป็นอวี๋ชางหลินเจ้าสำนักสำนักศึกษาตงหลินนั่นเอง!
คนผู้นี้เป็นที่รู้จักในนาม ‘จริงจังไม่อ่อนข้อให้ใคร’ เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่สุดในเมืองตงหลิน
ในการทดสอบระดับอำเภอเมื่อสามปีก่อน ถึงแม้อวี๋ชางหลินจะไม่เคยแสดงออกอะไร แต่หลินสวินได้รู้มาแล้วว่าผู้ที่กดดันเล่นงานตนในปีนั้น นอกจากหัวหน้าผู้คุมสอบเหยาทั่วไห่แล้ว ยังมีอวี๋ชางหลินผู้นี้ด้วยอีกคน!
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่า เจ้าสำนักสำนักศึกษาตงหลินผู้เกรียงไกร หนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับแถวหน้าของเมืองตงหลินอย่างอวี๋ชางหลิน จะมาปรากฏตัวในเรือนใต้ดินของตระกูลอู๋ได้
สิ่งนี้ทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ก่อนหน้านี้ตอนที่คาดคั้นอู๋เชาฉวิน ไม่ยักได้ยินเขาบอกว่าอวี๋ชางหลินก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน!
‘ดูท่า ก่อนตายตาแก่นั่นก็มิวายวางอุบายกับข้าสักหน คิดจะยืมมืออวี๋ชางหลินมาจัดการข้า…’
หลินสวินเข้าใจถึงสาเหตุในพริบตา
“สหายยุทธ์อู๋ เจ้ามาได้อย่างไร” อวี๋ชางหลินเอ่ยเสียงด้วยความประหลาดใจ
หลินสวินพลันรู้สึกโล่งใจ รู้ว่าอวี๋ชางหลินไม่ได้มองการปลอมตัวของตนออก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้ามาดูเสียหน่อย ถึงจะพูดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้จัดการไอ้เด็กนั่นแล้วก็เถอะ แต่ในใจข้าก็ยังไม่มั่นใจอยู่เนืองๆ”
อวี๋ชางหลินพยักหน้า กล่าวปลอบใจ “การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีใต้เท้าเหยาทั่วไห่วางแผนด้วยตัวเอง เจ้าหลินสวินนั่นต้องไร้ทางออกแน่ อย่าได้กังวลมากเกินไป”
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง กวาดสายตามองเรือนใต้ดินทั่วทิศ กลับพบว่านอกจากโต๊ะเก้าอี้วางประดับบางส่วนแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นความว่างเปล่า
“แล้วคนอื่นๆ เล่า” หลินสวินมุ่นคิ้ว ในใจกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่เลาๆ หากว่าอู๋เชาฉวินโกหก หากว่าเคยมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่…
“หัวหน้าตระกูลอู๋ ท่านมาหาข้ามีอะไรหรือ”
ฉับพลันในประตูข้างฝังหนึ่งของเรือนมีชายหนุ่มชุดโอ่อ่าเดินออกมา กล่าวพลางมุ่นคิ้ว “ไม่ใช่เคยบอกแล้วหรือว่าไม่ให้เข้าใกล้ที่นี่โดยง่าย”
หลินสวินที่ปลอมเป็นอู๋เชาฉวินหัวเราะร่วนทันควัน “ข้าก็แค่กังวลมากเกินไปหน่อย ยังไม่ได้ผลลัพธ์จึงออกจะร้อนใจอยู่บ้าง”
“วางใจ มีข้าคอยเฝ้าพวกบ้านนอกนั่นทั้งคน ไม่เกิดเรื่องสุดวิสัยเป็นแน่ ท่านรีบไปเถอะ” ชายหนุ่มในชุดโอ่อ่าสีหน้าเหยียดหยาม คล้ายกับดูหมิ่นความขี้ขลาดของอู๋เชาฉวินเต็มประดา
“ข้าเข้าไปดูสักหน่อย…ได้หรือไม่”
‘อู๋เชาฉวิน’ ตัวปลอมมีสีหน้าลังเล “พรุ่งนี้ก็จะเริ่มลงดำเนินการแล้ว ข้ากังวลว่าจะเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นอีก”
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มชุดโอ่อ่ากลับเผยสีหน้าผิดแผกออกมา จดจ้องหลินสวินครู่หนึ่งก่อนระเบิดหัวเราะกล่าวขึ้นโดยพลัน “หลินสวิน ไม่ต้องแสดงละครอีกแล้ว ใต้เท้าของข้าเดาได้แต่แรกแล้วว่าเจ้าต้องมา!”
“เจ้าพูดอะไร”
อวี๋ชางหลินงงงวย เบิกตากว้างแล้วชี้ไปที่หลินสวิน “เจ้าว่า…เขาคือหลินสวิน?”
ชายหนุ่มชุดโอ่อ่ายิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ไม่ผิด อู๋เชาฉวินเคยสาบานและรับรองว่า ก่อนวันพรุ่งนี้จะไม่ย่างกรายมาเหยียบที่นี่เป็นอันขาด ข้าเชื่อว่าเขาไม่กล้าละเมิดคำสาบานอย่างแน่นอน!”
บัดนั้นสีหน้าของอวี๋ชางหลินเปลี่ยนเป็นอึมครึม สายตาดุจสายฟ้ามองจ้องหลินสวิน
“ในเมื่อรู้ว่าข้ามา เจ้ายังไม่สะทกสะท้านอยู่เยี่ยงนี้ คงต้องมีที่พึ่งอยู่แล้วกระมัง”
หลินสวินยกมือขึ้นปลดเครื่องปลอมกายออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของตน แต่ในใจเขากลับรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย ตระหนักได้ว่าการเคลื่อนไหวนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
นัยน์ตาของอวี๋ชางหลินหดลง มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็ถูกหลอกสนิท
“ไม่ผิด ตามการคาดเดาของใต้เท้าของข้า เจ้าต้องไม่ยอมถูกจับอย่างว่าง่ายแน่นอน เดาว่าเจ้าต้องดำเนินการบางอย่าง ดังนั้นจึงส่งข้ามารอเจ้าอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ และดังคาด เจ้ามาตามที่ใต้เท้าของข้าคาดคะเนไว้จริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดโอ่อ่ามั่นใจมาก พูดจาฉะฉาน
ชั่วขณะนี้หลินสวินกลับเยือกเย็นลง “ถ้าวันนี้ข้าไม่มาเล่า”
ชายหนุ่มชุดโอ่อ่ากล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็จะส่งคนไปเชิญเจ้ามาเป็นการเฉพาะ”
เห็นชัดเจนว่าพวกเขาได้วางอุบายกันมานานแล้ว วางแผนได้ละเอียดถี่ถ้วนหาใดเปรียบ คำนึงถึงเหตุสุดวิสัยที่จะเกิดขึ้นทุกกรณี!
“ดูเหมือนว่าความร่วมมือของพวกเจ้ากับตระกูลอู๋จะเป็นเพียงข้ออ้างอย่างหนึ่ง จงใจใช้สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของข้ากระมัง” ท่าทางของหลินสวินเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ที่เจ้าพูดมันเกรงใจกันเกินไปแล้ว ว่ากันอย่างเคร่งครัด ตระกูลอู๋ก็แค่ขี้เถ้าดินปืน เชื่อว่าตอนนี้พวกเขาคงถูกเจ้าฆ่าหมดแล้วกระมัง เป็นอย่างไร ความรู้สึกของการล้างแค้นทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้างหรือไม่”
ชายหนุ่มชุดโอ่อ่าถามพลางยิ้มน้อยๆ
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน “เจ้าก็พูดเองว่าพวกเขาเป็นแค่ขี้เถ้าดินปืนเท่านั้น คิดจะระบายความเคียดแค้นในใจข้า ลำพังแค่ฆ่าพวกเขายังไม่เพียงพอ”
“เหยาชิง ตระกูลอู๋เป็นขี้เถ้าดินปืน แล้วข้านับเป็นอะไรเล่า”
อวี๋ชางหลินที่เงียบอยู่ด้านข้างมาตลอดเอ่ยปากเสียงขรึมทันควัน สีหน้ามีความเดือดดาลที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าตนก็ถูกหลอกด้วยเหมือนกัน!
“ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะ ท่านเป็นถึงสหายรักของใต้เท้าข้า ย่อมเอามาเทียบกับตระกูลอู๋ไม่ได้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังต้องให้ท่านจับตัวหลินสวินไปที่จังหวัดชิงเฟิงด้วยตัวเองขอรับ”
ชายหนุ่มชุดโอ่อ่าที่ถูกเรียกว่าเหยาชิงเอ่ยปากเชิงขอโทษ
“เฮอะ!”
อวี๋ชางหลินแค่นเสียงเย็นไม่เอ่ยคำ ถึงในใจเขาจะโกรธ แต่ก็รู้ว่าสิ่งสำคัญในภารกิจนี้คือการจัดการหลินสวิน จึงทำได้เพียงข่มใจยอมรับ
“จังหวัดชิงเฟิง?” หลินสวินมุ่นคิ้ว
“ฮ่าๆ เจ้าคงจะไม่คิดว่าพวกเราจะจัดการกับเจ้าในเมืองตงหลินแห่งนี้จริงๆ หรอกกระมัง” เหยาชิงหัวเราะลั่น แสดงถึงความเย้ยหยันและย่ามใจไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นเขาก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พวกเราเองก็ไร้หนทาง ใครใช้ให้ยามนี้เจ้าหลินสวินมีชื่อเสียงโด่งดังเกินไปกันเล่า ทั่วทั้งจักรวรรดิต่างรู้จักชื่อเสียงของเจ้ากันหมด ขุมอำนาจใหญ่ที่ผูกมิตรกับเจ้ายิ่งมีนับไม่ถ้วน หากมีคนลอบช่วยเจ้าอย่างลับๆ ท้ายที่สุดก็จะมีตัวแปรปรากฏขึ้นมากมาย”
“แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้แสร้งควงหอกเปิดศึก ในที่แจ้งล่อเจ้ามาเมืองตงหลิน แต่ในที่ลับให้เจ้าตามพวกเราไปอย่างว่าง่าย มุ่งหน้าไปจังหวัดชิงเฟิงด้วยกันโดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็น พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลใจอีกว่าจะเกิดเรื่องนอกเหนือความคาดหมายอะไรขึ้น”
กล่าวจบเหยาชิงก็หัวเราะชอบใจพลางมองหลินสวิน สายตานั้นราวกับมองเหยื่อที่ตกลงไปในหลุมพราง
“เป็นกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล[1]ที่ดีอย่างหนึ่ง เหยาทั่วไห่ให้ค่ากับข้ามากโขอยู่”
หลินสวินได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้ก็อดเลื่อมใสไม่ได้ เหยาทั่วไห่ยังเป็นคนลึกซึ้งเจ้าแผนการ วางแผนรัดกุมราวภูษาฟ้าไร้ตะเข็บจริงๆ
“แต่ว่า พวกเจ้ามั่นใจว่าข้าจะนั่งนิ่งรอความตายหรือ” หลินสวินไม่เข้าใจอยู่บ้าง
——
[1] กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล หมายถึง การสร้างภาพลวง สร้างสถานการณ์หลอก โดยปกปิดความจริงบางประการ ทำให้ศัตรูเกิดความคุ้นชินจนประมาทหละหลวม ไม่ทันระวังตัว เพื่อฉวยโอกาสในการโจมตีหรือเพื่อบรรลุผลบางประการ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น