Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 513-519
ตอนที่ 513 การประมูลที่ดุเดือดหาใดเปรียบ
โดย
ProjectZyphon
“ทุกท่าน เพราะสิทธิ์นี้มีความเกี่ยวพันยิ่งใหญ่ จึงมีเรื่องที่ต้องกล่าวไว้ก่อน”
บนยกพื้น หลีอันสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้ที่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับตระกูลฉือ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินห้ามเข้าร่วมประมูล”
ทั้งงานพลันเงียบลงในทันใด ความหมายของข้อเรียกร้องนี้ก็ชัดเจนยิ่งแล้ว เป็นการแจ้งแก่ทุกคนในใต้หล้าว่าหลินสวินไม่มีทางให้ความช่วยเหลือด้านการหลอมอาวุธใดๆ แก่สามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“เช่นเดียวกัน หลังจากการประมูลนี้จบลง หากถูกอัครการค้าของข้าค้นพบว่าสิทธิ์นี้ตกอยู่ในมือของผู้ที่ข้องแวะกับตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว และตระกูลฉิน จะมีสิทธิ์เรียกคืนสิทธิ์นี้”
เมื่อหลีอันพูดออกไปเช่นนี้ ก็เป็นการแสดงท่าทีของอัครการค้าอย่างชัดเจนเช่นกัน ทำให้ผู้มีอำนาจในที่นั้นระส่ำระสาย
เห็นได้ชัดว่าอัครการค้าตัดสินใจหนุนหลังหลินสวินแล้ว และไม่เสียดายว่าจะผิดใจกับสามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงนั้น!
นี่ทำให้หลายคนลอบทอดถอนใจ หลินสวินในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แนวโน้มความรุ่งเรืองของเขาเริ่มทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่ระดับอัครการค้าแสดงท่าทีสนับสนุนอย่างเปิดเผยแล้ว นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง
ไม่นานนักการประมูลก็เริ่มขึ้น ราคาขั้นต่ำสามหมื่นเหรียญทอง ราคาพอๆ กับเรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่หนึ่งลำ เรียกได้ว่าน่าตกใจ แต่เมื่อได้เห็นความพิเศษของอาสัญสลายแล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
“ห้าหมื่น!”
มีคนส่งเสียงขึ้น เสนอราคาครั้งแรกก็ขึ้นไปถึงห้าหมื่น ทำให้หลายคนสูดหายใจเย็นเยียบ
เหรียญทองจักรวรรดิมีมูลค่าสูงยิ่ง สำหรับขุมอำนาจใหญ่กลุ่มหนึ่งแล้ว ห้าหมื่นเหรียญทองก็เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยแล้ว
เพียงเพื่อประมูลสิทธิ์หลอมชุดศึกสลักวิญญาณสิทธิ์หนึ่งเท่านั้น ก็เกิดการประชันราคาที่บ้าคลั่งเช่นนี้แล้ว นี่ทำให้คนใหญ่คนโตที่กำลังจะเคลื่อนไหวอยู่เดิมล้วนลังเล
“หกหมื่น!”
ผู้ที่เสนอราคาคือราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย นี่ทำให้ราชันแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียนที่อยู่ข้างๆ เขาพลันขมวดคิ้ว สื่อจิตพึมพำว่า ‘ตาแก่ เจ้าเข้าไปร่วมเฮโลกับเขาทำไม’
สีหน้าดุดันน่าเกรงขามของหนิงปู้กุยปรากฏแววเจ้าเล่ห์รางเลือน แต่ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบไร้อารมณ์ สื่อจิตกลับไปว่า ‘เจ้าแก่เย่ เจ้าจะเข้าใจอะไร นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าหนูหลินสวินนั่นหาเหรียญทองเพิ่มอีกหน่อย ที่นี่มีคนกระเป๋าหนักไม่น้อย ไม่ถือโอกาสนี้บีบเอาเงินสักก้อน พลาดไปก็น่าเสียดายยิ่ง’
เย่ชิงเทียนหัวเราะ ‘เช่นนั้นข้าก็สร้างความครึกครื้นด้วยดีกว่า”
เพียงแต่ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากเสนอราคา ในงานก็มีคนเสนอราคาสูงเทียมฟ้าแล้วว่า “หนึ่งแสนเหรียญทอง!”
ในที่นั้นเงียบลง คนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ล้วนสีหน้านิ่งขรึม นิ่วหน้าไม่หยุดหย่อน สำหรับพวกเขาหลายคนแล้ว หนึ่งแสนเหรียญทองไม่ถือเป็นตัวเลขที่เกินเลย แต่หากเพียงเพื่อประมูลสิทธิ์สิทธิ์เดียว ก็ดูน่าตกใจพอสมควร
อย่างไรเสียในโลกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงหลินสวินผู้เดียวที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้
ทันใดนั้นก็มีผู้มีอำนาจส่วนหนึ่งถอนตัวจากการประมูล เพราะพวกเขาดูออกแล้วว่า คนใหญ่คนโตที่เสนอราคาหนึ่งแสนนั้นมาจากตระกูลเซี่ยที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การประมูลต่อมาต้องเป็นเวทีที่สุดยอดผู้มีอำนาจในใต้หล้าประชันกัน ขุมอำนาจอื่นที่ด้อยกว่าไม่มีทางยื่นมือไปแทรกได้เลย
หนิงปู้กุยกับเย่ฉิงเทียนสบตากัน ทันใดนั้นก็พากันยิ้มแป้น เดิมทีพวกเขายังคิดจะเป็นหน้าม้า แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้พวกเขาแล้ว
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น”
“หนึ่งแสนสามหมื่น!”
“หนึ่งแสนห้าหมื่น!”
อย่างที่คิด การประมูลต่อมาผู้ที่เสนอราคาเป็นขุมอำนาจที่มีอำนาจเทียมฟ้าอย่างตระกูลเซี่ย ตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ขุมอำนาจขุนนางบรรดาศักดิ์ กรมทหาร ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณก็ล้วนเข้าร่วมอย่างที่ทุกคนคาดไว้
“สองแสน”
คนใหญ่คนโตจากตระกูลฮวาผู้นั้นหงุดหงิดแล้ว จึงเสนอราคาสูงเสียดฟ้าที่พาให้ทุกคนอ้าปากค้าง ทำให้รอบตัวพลันไร้เสียง ราคาเท่านี้น่าหวาดหวั่นอยู่บ้างจริงๆ
“สามแสน”
ทันใดนั้นเสียงรื่นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ในที่นั้นอื้ออึงขึ้น เพื่อสิทธิ์เดียวเท่านั้น ตัวเลขนี้น่าตื่นตะลึงยิ่งแล้ว ซื้อได้กระทั่งเรือรบขนาดใหญ่ของจักรวรรดิลำหนึ่ง
แต่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดก็คือ ผู้ที่เสนอราคากลับเป็นฮูหยินเป่าหวาแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต!
แต่คิดดูก็เข้าใจได้ ฮูหยินเป่าหวามีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่ง สิ่งที่นางไม่ขาดที่สุดน่ากลัวว่าจะเป็นเงินทอง!
ก็เหมือนคำพูดนั้นที่ลือกันนานที่สุดในจักรวรรดิว่า สิ่งที่ลอดผ่านสิบนิ้วมือของนักสลักวิญญาณล้วนเป็นทรายสีทองที่ไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
“หลังจากมีสถานะและพลังปราณถึงระดับหนึ่งแล้ว เงินทองตามความหมายของคนทั่วไปก็จะกลายเป็นของไม่มีราคา เงินทองมากมายสามารถแลกเปลี่ยนกับวิชาตกทอดของตระกูลวิชาหนึ่งหรือ ทั้งสามารถแลกโอกาสอายุยืนครั้งหนึ่งได้หรือ ไม่ได้หรอก!”
บางคนทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงเออออมากมาย
“ดังนั้นสิทธิ์นี้ ข้าต้องได้มา”
ฉับพลันเสียงหัวเราะดังก็ก้องกังวานขึ้น แล้วเสนอราคาประมูลออกมา “ห้าแสน!”
“เจิ้นไห่อ๋อง เจิ้นไห่อ๋องนี่!”
“ฮ่า คราวนี้มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้ว ขนาดผู้มีอำนาจในราชวงศ์ก็นั่งไม่ติดแล้ว”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในงาน
เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวเป็นบุคคลระดับตำนาน ต่อหน้าเขา ขนาดคนระดับหนิงปู้กุยหรือเทพเศรษฐียังต้องเกรงใจอยู่สามส่วน ไม่ใช่เพราะหวาดหวั่นเกรงกลัว แต่เป็นเพราะเคารพ
ฮูหยินเป่าหวาใคร่ครวญเล็กน้อย ในที่สุดก็ส่ายหน้าแล้วถอนตัวจากการประมูล ห้าแสนเหรียญทอง ตัวเลขนี้บ้าระห่ำไปแล้ว
ต่อให้ตระกูลนางจะร่ำรวยกว่านี้ก็ต้องชั่งใจไตร่ตรองว่าคุ้มค่าหรือไม่กันแน่
“หกแสน!”
ตัวแทนตระกูลฮวาผู้นั้นยังดึงดันกัดฟันเสนอตัวเลขที่ยิ่งน่าหวาดหวั่นออกมา เขาเทหน้าตักแล้ว ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด มีเพียงตระกูลฮวาของเขาที่ขาดแคลนชุดศึกสลักวิญญาณ พวกเขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
ต่อให้ต้องประชันกับราชนิกูลอย่างเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว พวกเขาก็ถอยไม่ได้
“เจ็ดแสน”
เพียงแต่ที่ทำให้ตัวแทนตระกูลฮวาผู้นั้นหนักใจก็คือ เสนอราคากันถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากเจิ้นไห่อ๋อง กลับยังมีคนแทรกเข้ามาอีก
ตระกูลเซี่ยนั่นเอง!
“ขออภัย คุณชายเก้าตระกูลข้ากำลังจะไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ จำต้องมีชุดศึกสลักวิญญาณติดมือ พวกข้าก็ตั้งใจว่าต้องได้สิทธิ์นี้”
ผู้มีอำนาจจากตระกูลเซี่ยผู้นั้นเอ่ยปากพลางยิ้มบางๆ
คุณชายเก้าตระกูลเซี่ย ย่อมเป็นดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง!
“ฮ่าๆ ดูท่าทุกคนจะมีเป้าหมายเดียวกัน หลานข้าคนหนึ่งก็กำลังคิดจะไปดินแดนรกร้างโบราณอยู่พอดีเลย ข้าเป็นผู้อาวุโส ย่อมต้องมอบสมบัติคู่มือชิ้นหนึ่งให้เขา”
จ้าวจิ่วเซียวกล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง ทั้งเสนอราคาประมูลแปดแสนออกมา
นี่ทำให้หลายคนไม่อาจนิ่งสงบได้ รับรู้ว่าการประมูลวันนี้เห็นได้ชัดว่าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดุเดือดนองเลือดเสียแล้ว รูปการณ์ที่บ้าระห่ำปานนี้ บุคคลสำคัญหลายคนก็เพิ่งพบเป็นครั้งแรก ช่างเป็นภาพที่น่าสะท้านใจยิ่งแล้ว
“เก้าแสน!”
ตัวแทนตระกูลฮวากัดฟันกรอด
“หนึ่งล้าน!”
ตัวแทนตระกูลเซี่ยแน่วแน่ไม่ลังเล
“หนึ่งล้านหนึ่งแสน!”
จ้าวจิ่วเซียวยิ่งไม่เกรงใจสักนิด
บ้าไปแล้ว!
เมื่อได้ยินตัวเลขที่พาให้ใจหายใจคว่ำออกมา ทำให้ผู้มีอำนาจทั้งงานล้วนอึ้งไปบ้าง พวกเขาเป็นเจ้าเป็นนายที่ไม่ขาดเงิน แต่สู้เอาเป็นเอาตายอย่างดุเดือดเช่นนี้เพื่อสิทธิ์เพียงสิทธิ์เดียว กลับไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
ในที่สุดสิทธิ์นี้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงเสียดฟ้าที่หนึ่งล้านหกแสนเหรียญทอง เมื่อได้รู้ผล ทั้งงานก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบ ขนาดหลีอันที่อยู่บนยกพื้นยังนิ่งเหม่ออยู่เช่นนั้น คืนสติกลับมาไม่ได้
……
วันนี้ข่าวที่สิทธิ์หลอมอาวุธชิ้นเดียวของหลินสวินถูกประมูลไปในราคาหนึ่งล้านหกแสน กลายเป็นข่าวพาดหัวที่ครึกโครมไปทั่วนครต้องห้ามอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าอยู่ที่ใดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวกับอาสัญสลายก็มืดฟ้ามัวดิน ทุกคนกำลังถกเถียงกันว่าชุดศึกสลักวิญญาณที่รอดจากด่านเคราะห์อสนีมาได้มีพลังโดดเด่นขนาดไหน ถึงกับทำให้ผู้มีอำนาจต้องประมูลสิทธิ์หลอมอาวุธสิทธิ์หนึ่งมาให้ได้โดยไม่เสียดายค่าตอบแทน
พลานุภาพที่แท้จริงของอาสัญสลายนั้นเป็นความลับไม่ได้แสดงออกมา แต่เพียงผู้มีอำนาจที่เข้าร่วมงานแถลงต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อเทียบกับชุดศึกสลักวิญญาณอื่นที่มีอยู่บนโลกย่อมเกินล้ำทุกสิ่ง
นี่ทำให้คนยิ่งสงสัย ยังไม่ต้องยกเรื่องอาสัญสลายมาพูด เพียงแค่เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวใช้เงินสูงลิ่วถึงหนึ่งล้านหกแสนเหรียญทองชิงสิทธิ์มา จะคุ้มหรือไม่กันแน่
“คุ้ม!”
ว่ากันว่า นี่เป็นความเห็นต่อเรื่องนี้ของฮูหยินเป่าหวาแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต เพียงคำง่ายๆ คำเดียว กลับมีพลังโน้มน้าวที่สะท้านใจคนได้
ส่วนหลินสวินอาศัยงานแถลงนี้ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังไม่เป็นสองรองใครในคราเดียว กลายเป็นปฐมาจารย์เพียงผู้เดียวในรุ่นเยาว์ที่เป็นที่จับตามองของใต้หล้า!
ถูกต้อง ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณด้วยตัวคนเดียวได้ ไม่จำเป็นต้องผ่านการรับรองอะไรอีกก็ได้ตำแหน่ง ‘ปฐมาจารย์’ ไปครองอย่างเต็มภาคภูมิ!
ส่วนผลงานเด่นของเขาอย่าง ‘อาสัญสลาย’´ก็กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่น่าตื่นตาอีกชิ้นหนึ่งของจักรวรรดิ ทำให้นักสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้
…….
หลินสวินไม่รู้เรื่องเหล่านี้ชัดนัก ด้วยเมื่อการประมูลเพิ่งเริ่ม เขากับหลินจงก็ออกไปตามทางลับที่อัครการค้าจัดไว้ให้แล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เห็นงานประมูลอันดุเดือดหาใดเทียบนั้นด้วยตาตัวเอง และย่อมไม่รู้ว่าเพียงสิทธิ์เดียวก็ทำให้เขาได้เงินหนึ่งล้านหกแสนเหรียญทองในคราเดียว
หลินสวินเวลานี้นั่นอยู่บนเกี้ยวสมบัติ มุ่งหน้ากลับไปยังภูเขาชำระจิตพร้อมหลินจง
เขาไม่ได้กลับภูเขาชำระจิตมาพักหนึ่งแล้ว มีบางเรื่องที่ต้องหารือกับพวกพญาแร้งเสียหน่อย
“จูเหล่าซานไปฝึกปราณยังหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ลึกไปในพระราชวัง หากไม่ผิดพลาด น่าจะใช้เวลาไม่นานก็สามารถบรรลุขั้นได้… ในงานแถลงครั้งนี้ก็ประกาศข่าวเสาะหายาแก้พิษ ‘มารพบเคราะห์’ ด้วย เชื่อว่าเพียงได้ยาแก้พิษมา ก็จะช่วยพญาแร้งคลี่คลายความเจ็บปวดบนร่างกาย ได้รับพลังที่เคยมีมาอีกครั้ง…”
หลินสวินใคร่ครวญเรื่องราวระหว่างทาง นิ่วหน้าพึมพำไม่หยุดหย่อน
หลินจงมองกรอบหน้าหล่อเหลาคมสันของเด็กหนุ่มข้างกาย ในใจพลันบังเกิดความเห็นใจ นายน้อยเพิ่งอายุสิบหกปี คนนอกเพียงเห็นด้านที่เขายิ่งใหญ่ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่นี้ เขาต้องแบกรับความกดดันและอันตรายไว้มากน้อยเพียงใด
โครม!
ทันใดนั้นคลื่นการต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามาแต่ไกล ทำให้หลินสวินที่ตกอยู่ในภวังค์ในเกี้ยวสมบัติกับหลินจงตื่นตัวขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” หลินจงถาม
“มีพวกตาไร้แววซุ่มอยู่ตรงนั้น แขกทั้งสองท่านไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราอัครการค้าได้ส่งกำลังพลมาเพียงพอ รับรองว่าจะส่งพวกท่านทั้งสองถึงภูเขาชำระจิตอย่างปลอดภัย”
ผู้ขับเกี้ยวสมบัติคือชายสูงวัยผมสีดอกเลาผู้หนึ่งที่มาจากอัครการค้า ถูกเทพเศรษฐีจัดมาเพื่อคุ้มครองและส่งหลินสวินกับหลินจง
‘ดูท่าเพื่อฆ่าข้า พวกเขาคงระงับโทสะไว้ไม่อยู่แล้ว’
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย สงบนิ่งราวกำลังครุ่นคิด
____
ตอนที่ 514 รอดตายหวุดหวิด
โดย
ProjectZyphon
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บนฟ้ามีฝนละเอียดโปรยปราย นำพาความชื้นสู่ห้วงอากาศ
หลินสวินและหลินจงโดยสารอยู่บนเกี้ยวสมบัติที่เคลื่อนไปตามถนนราวใยแมงมุมอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ระหว่างทางได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงต่อสู้ราวอัสนีบาตไหวสะเทือนดังขึ้นเป็นครั้งคราว
แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งก็เงียบหายไป ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในเกี้ยวสมบัติ หลินสวินสีหน้าผ่อนคลาย ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าศัตรูที่ซุ่มอยู่ตามถนนต้องมาจากหนึ่งในพวกตระกูลฉือ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินแน่
หรืออาจเป็นขุมอำนาจทั้งสามตระกูลร่วมมือกันก็เป็นได้
ที่พวกเขามาซุ่มตรงนั้นล่วงหน้าก็เดาได้อย่างง่ายดาย เพราะใครก็รู้ว่าวันนี้หลินสวินจะจัดงานแถลงที่อัครการค้า
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงซุ่มระหว่างทางไม่ช้าก็เร็วหลินสวินต้องปรากฏตัวจนได้
เพียงแต่หลินสวินก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะถึงกับระงับความโมโหไว้ไม่อยู่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหลังจากรับรู้ได้ว่าตนมีแนวโน้มก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งนัก ก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคาม ไม่อาจยอมทนให้ตนเติบใหญ่ได้อีกแล้ว
“ยังดี ครั้งนี้อัครการค้าตระเตรียมกำลังคนมากมาย หาไม่แล้วระหว่างทางนี้อาจต้องรับศึกหนักที่ไม่อาจคาดการณ์ได้…”
หลินสวินแง้มม่านของเกี้ยวสมบัติ สายตาทอดไปไกลและเห็นบุปผาโลหิตดอกหนึ่งเบ่งบานในห้วงอากาศที่ไกลสุดสายตา สีแดงสดงดงามน่าหวั่นใจ
หลินจงเตือนอยู่ข้างๆ ว่า “นายน้อย จะชะล่าใจไม่ได้นะขอรับ ในเมื่อพวกเขากล้าลงมือ ต้องเตรียมตัวมาอย่างสมบูรณ์แน่”
หลินสวินส่งเสียงอืมแล้วกล่าวว่า “ลุงจง ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของจักรวรรดินี้ เคยมีเรื่องตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงถูกทำลายเกิดขึ้นหรือไม่”
หลินจงส่ายหัว “แทบจะไม่มีขอรับ”
ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มเจื่อน “นายน้อย ท่านอย่าลืมสิขอรับว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกูลหลินของพวกเราก็เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แต่ตอนนี้…”
หลินสวินอึ้งไป ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เกี้ยวสมบัติเดินหน้าไปตามทาง ตลอดทางราบเรียบเงียบสงบ แต่หลินสวินกับหลินจงรู้ดีว่าในที่ที่ตนมองไม่เห็นกำลังเกิดการต่อสู้นองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
เอี๊ยด!
ทันใดนั้นเกี้ยวสมบัติพลันหยุดลง ล้อเกี้ยวเสียดสีกับพื้นดินเข้าอย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงชวนเสียวฟัน แทบจะในเวลาเดียวกันชายสูงวัยที่ขับเกี้ยวก็ตะโกนเสียงทุ้มว่า “ทั้งสองท่านระวังตัวขอรับ!”
ตูม!
แรงน่าหวาดหวั่นซัดเข้ามา เกิดเป็นพลังทำลายล้าง เกี้ยวสมบัติถูกบีบอัดจนจะแตกออกเหมือนอยู่กลางพายุในทันใด
หลินสวินกับหลินจงพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลสักนิด
ในขณะเดียวกัน เกี้ยวสมบัติที่ปกคลุมไปด้วยรอยสลักวิญญาณหนาแน่นระเบิดสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปลิวกระจายอย่างครึกโครม
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด เกี้ยวสมบัตินี้เป็นสิ่งที่เทพเศรษฐีจัดการด้วยตัวเอง สามารถรับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ แต่ตอนนี้กลับพังทลายอย่างง่ายดาย แค่คิดก็รู้ว่าศัตรูที่มาโจมตีต้องมีพลังระดับกระบวนแปรจุติ!
อย่างที่คาด การต่อสู้ดุเดือดกำลังเกิดขึ้นไกลออกไป ชายสูงวัยที่ขับเกี้ยวประจัญบานกับเงาร่างในชุดสีดำร่างหนึ่งอยู่
นี่ถือเป็นการประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติครั้งหนึ่ง ทักษะและวิชาลับที่ใช้เหนี่ยวนำพลังมหามรรคแห่งฟ้าดิน น่ากลัวเหลือคณา
สิ่งนี่ทำให้หลินสวินรู้สึกสังหรณ์ใจ รับรู้ได้ว่าต่อให้อัครการค้าตระเตรียมกำลังคนอย่างรัดกุมมากแล้ว แต่เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าศัตรูจะใช้กำลังคนที่น่ากลัวเช่นนี้เพื่อมาสังหารตน
ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ!
ในหมู่ขุมอำนาจชั้นสูงล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับเสาเทพค้ำทะเล จะไม่เคลื่อนไหวโดยง่าย
สวบ!
ทันใดนั้นคมกระบี่สว่างจ้าแสบตาก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับไว พุ่งโจมตีผ่านห้วงอากาศเข้ามา
ชั่วพริบตานั้นกลิ่นอายอันตรายน่าหวาดหวั่นที่ยากบรรยายบังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้ทั้งตัวหลินสวินเจ็บแปลบขึ้นมา นัยน์ตาหดรัด
ผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่ง!
ศัตรูที่มาจู่โจมครั้งนี้ไม่ได้มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติเพียงคนเดียว!
“หาที่ตาย!”
หลินจงตะคอกเสียงดัง พุ่งทะลุเมฆขึ้นไป อาสัญสลายปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดังชิ้ง พลังสีเทาขมุกขมัวไหลเอ่อออกมา ปกคลุมทั่วร่างหลินจง
เปรี้ยง!
การต่อสู้ปะทุขึ้น และเวลานี้หลินสวินก็ดูออกทั้งหมดแล้วว่า นายของคมกระบี่สว่างจ้านั้นก็เป็นผู้ฝึกปราณที่ปกปิดร่างกายด้วยชุดดำ ดูรูปลักษณ์ไม่ออกเช่นกัน
นี่เป็นถึงนครต้องห้าม เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ แม้จะพูดว่าแถบนี้เป็นชานเมืองเงียบเหงายิ่งนัก แต่อย่างไรเสียก็อยู่ในขอบเขตของนครต้องห้าม
แต่ศัตรูกลับกล้าซุ่มกำลังพลระหว่างทาง ถึงขั้นใช้ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ นี่พิสูจน์ได้ว่าเพื่อสังหารหลินสวิน พวกเขาไม่เสียดายค่าตอบแทนทั้งสิ้นแล้ว!
‘หากมีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติมาอีกคน วันนี้คงยุ่งยากเสียแล้ว…’
หลินสวินยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏสีหน้าขึงขัง
ราวกับจะทำให้การคาดเดาของหลินสวินเป็นเรื่องจริง ทายเรื่องไม่ดีเช่นนี้ถูกเข้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มเพียงรู้สึกว่าภาพข้างหน้าพร่ามัว ลำแสงสี่สายตกลงมาจากฟ้า!
ชั่วพริบตาทัศนวิสัยของเขาก็แปรผันไป กลายเป็นมาอยู่ในภาพมายาสีขาวโพลนไร้ขอบเขต เสาหินสี่ต้นพุ่งสู่ฟ้า ตระหง่านขึ้นสี่ทิศบนพื้นดินสุดขอบ
บนเสาหินนั้นประทับด้วยภาพโบราณซับซ้อน แผ่พลังต้องห้ามที่น่าหวาดกลัวออกมา
สวบ!
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งลองฝ่าออกไป แต่ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวหายตัวอย่างไรกลับไม่มีทางหลุดออกจากการผนึกของเสาหินสี่ต้นนั้นได้!
พูดอีกอย่างก็คือ ภาพมายานี้ก็เหมือนคุกที่ขังหลินสวินไว้ภายใน
“เวลามีค่า ไอ้หนู พวกเราก็ควรมาคุยกันได้แล้ว”
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งที่ปกปิดตัวด้วยชุดคลุมสีดำก็ปรากฏขึ้น ทั่วกายพลุ่งพล่านไปด้วยแสงสีดำ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน
อย่างที่คิด เป็นผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่ง!
หลินสวินรู้สึกหนักใจ รับรู้ได้ว่าอันตรายถึงแก่ชีวิตที่แท้จริงมาแล้ว
“อย่าคิดว่าจะโชคดีหลุดพ้นไปได้อีก ถูกกักขังอยู่ใน ‘เสามังกรจตุลักษณ์’ นี้ ภายในชั่วหนึ่งถ้วยชา ต่อให้ราชันระดับสังสารวัฏมา ก็ไม่อาจทำอะไรได้”
ชายชุดดำเสียงแก่ชรา มีน้ำเสียงโหดเหี้ยมเย็นชา
“เจ้าต้องการพูดคุยเรื่องอะไร”
ขณะนี้หลินสวินกลับใจเย็นนัก มองออกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้หมายจะลงมือกับตนตั้งแต่แรก
“ง่ายมาก ปล่อยพลังจิตวิญญาณเสีย ให้ข้าควบคุมจิตวิญญาณของเจ้าชั้นหนึ่ง ข้าไม่เพียงรับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไป ทั้งยังมีชีวิตต่อไปอย่างดีด้วย”
ชายชุดดำมือไพล่หลัง เงาร่างของเขาสูงใหญ่ แผ่นหลังตรงแน่ว แสงสีดำน่าหวาดหวั่นพันพัวอยู่รอบกาย ราวกับเป็นราชันที่เดินออกมาจากนรก น่าอกสั่นขวัญแขวน
“เจ้าคิดจะควบคุมข้าหรือ” หลินสวินนิ่วหน้า
“นี่เป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า หาไม่ เจ้าคิดว่าข้าจะเลือกมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเจ้าตอนนี้ ไม่ใช่ฆ่าเจ้าทันทีหรือ”
ชายชุดดำหัวเราะเสียงเบา เขาดูมั่นใจในตัวเองนักว่าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ได้กังวลเลยว่าหลินสวินในตอนนี้จะเล่นตุกติกอะไรได้
“หากข้าไม่รับปากล่ะ”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาสีดำฉายแววเยียบเย็น
“ไม่ต้องลองถ่วงเวลาแล้ว วันนี้เจ้าทำได้เพียงรับปาก”
ชายชุดดำพูดพลางหายตัวไปในอากาศ เวลาต่อมาก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลินสวิน ยื่นมือมาคว้าคอหลินสวินไว้แล้วยกตัวเขาขึ้น
ว่องไวเกินไปแล้ว ช่างเหมือนหายตัวในพริบตาราวปีศาจ สำแดงพลังของระดับกระบวนแปรจุติออกมาอย่างหมดจด ทำให้หลินสวินไม่มีโอกาสดิ้นรนต่อต้านเลย!
“ข้าเพียงใช้แรงนิดหน่อย ชีวิตเจ้าก็จะจบสิ้นในพริบตา ไอ้หนู เผชิญหน้ากับความเป็นจริงเถิด ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์พลิกฟ้ากว่านี้ แต่อย่างไรก็ยังไม่ได้เติบโต จะฆ่าเจ้าในตอนนี้ง่ายเสียยิ่งกว่าฆ่าเป็ดฆ่าไก่อีก”
ชายชุดดำเอ่ยปากอย่างสบายใจ น้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ได้จงใจเหยียดหยาม แต่เป็นท่าทางโอหังที่แสดงออกมาเองโดยไม่รู้ตัว
ก็เป็นเช่นนี้จริง ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ เด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งย่อมดูไม่สลักสำคัญและอ่อนแอยิ่งนัก
เพียงแต่หลินสวินเวลานี้กลับดูใจเย็นถึงที่สุด ต่อให้ถูกบีบคออยู่จนแทบหายใจไม่ออก สีหน้าเขาก็ยังคงสงบนิ่งหาใดเทียบ “เจ้ารู้ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้หรือไม่”
กร๊อบ!
เสียงเพิ่งดังออกมา ชายชุดดำก็หักกระดูกแขนซ้ายของหลินสวิน เจ็บจนหลินสวินร้องอู้อี้ในคอ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว เหงื่อกาฬไหลมาจากหน้าผาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายชุดดำผู้นี้ต้องเป็นคนโหดเหี้ยมไร้ความเมตตา การข่มขู่ของเขาก็ตรงไปตรงมาที่สุด นั่นก็คือใช้วิธีที่ร้ายกาจที่สุดวิธีหนึ่งไปทำร้ายและบีบบังคับให้หลินสวินจำนน!
“ไอ้หนู เจ้าไร้เดียงสาไปแล้ว วันนี้ข้ากล้าลงมือกับเจ้าที่นี่ ก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ต่างๆ มานานแล้ว”
ชายชุดดำยิ้มบางๆ มองจากมุมของหลินสวิน เห็นเพียงฟันขาวสะอาดหนาแน่นของฝ่ายตรงข้าม ดูน่าหวั่นกลัวยิ่งนัก
“ดูท่าวันนี้ข้าพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่ตายก็ต้องศิโรราบใช่ไหม”
หลินสวินเก็บกลั้นความเจ็บปวดที่แขนหัก ริมฝีปากยังคงฝืนยิ้มบางๆ
“ถูกต้อง เจ้าเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเลือกทางที่เป็นประโยชน์กับทั้งข้าและเจ้า”
ชายชุดดำพยักหน้า
“ถุย!”
ทันใดนั้นหลินสวินก็ถ่มน้ำลายออกมา มันตกใส่ตำแหน่งกรามล่างของชายชุดดำผู้นั้น ของเหลวใสๆ นั่นไหลลู่ไปตามผิว
“ไอ้แก่ เจ้าฝันไปเถอะ”
หลินสวินพูดชัดถ้อยชัดคำ ยิ้มสดใสนัก
ชายชุดดำเงียบไปแล้ว ทำให้คนรับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่าเขาถูกน้ำลายที่ถ่มออกมาโดยกะทันหันนี้ยั่วโมโหแล้ว
บางทีตั้งแต่เขาฝึกปราณมาถึงตอนนี้ คงไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ถูกคนถ่มน้ำลายใส่หน้า นี่ทำให้เขาไม่อาจข่มความเดือดดาลในใจได้
เด็กหนุ่มที่ทำได้เพียงนั่งรอความตายผู้หนึ่ง กลับใจกล้าคับฟ้าเช่นนี้ ใช้วิธีชั้นต่ำมาเหยียดหยามเขา ต่อให้เป็นเทพเซียนมาเยือนก็คงถูกยั่วโมโหถึงขีดสุด
ปัง!
เวลาต่อมาหลินสวินก็ถูกจับกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง กระดูกทั่วร่างเกือบแตกสลาย อดส่งเสียงอู้อี้ออกมาไม่ได้
จากนั้นชายชุดดำผู้นั้นก็หัวเราะน่ากลัวออกมา “ไม่ต้องรีบ ข้ายังมีเวลาทรมานเจ้าตั้งมากก่อนเจ้าจะยอมสยบ!”
เขาพูดพลางใช้เท้าหนึ่งเหยียบลงไป เสียงดังกร๊อบอื้ออึง มือซ้ายทั้งมือของหลินสวินถูกบดขยี้ เลือดสีแดงฉานพรั่งพรูออกมา
เมื่อได้ยินเสียงกระดูกระเบิดแหลก เลือดกระเซ็นกระสายนั้น ชายขุดดำก็ส่งเสียงครางด้วยความพอใจ แล้วจึงยกเท้าขึ้นจะเหยียบมือขวาของหลินสวินอีก
หลินสวินพลันกลิ้งตัวบนพื้น หลบไปอีกด้านหนึ่ง
ชายชุดดำหัวเราะจิ๊จ๊ะแปลกประหลาด “ดูสิ เหมือนหนอนตัวหนึ่งกำลังกลิ้งดิ้นรนอยู่บนพื้น น่าเสียดายนะ วันนี้หากข้าไม่ได้ระบายความเดือดดาลที่อยู่ในใจ ข้าคงไม่รามือแต่เพียงเท่านี้”
เขาพูดพลางใช้เท้าเหยียบไปที่หลินสวินอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้ใช้มือ แต่ใช้ฝ่าเท้าเหยียบหลินสวินลงกับพื้น เหยียดหยามและทรมานเขาอย่างถึงที่สุด
“ไอ้แก่! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงหรือ”
หลินสวินถลันตัวลุกขึ้นคำรามดุดัน
ชายชุดดำอึ้งไป
และในเวลานี้เอง เขาพลันเห็นว่ามีแสงสีดำยิงพุ่งออกมาจากมือหลินสวิน
ชายชุดดำยื่นมือออกมาจับแสงสีดำนี้ไว้ในมือ
“เหอะๆ ถึงตอนนี้แล้วยังคิดเล่นตุกติกลอบจู่โจมหรือ ไอ้หนู เจ้านี่ไม่ยอมแพ้จริงๆ นะ! แต่ว่าที่ข้าอยากได้ที่สุดก็คือเด็กไม่ยอมคนแบบเจ้านี่ล่ะ ทรมานแล้วถึงค่อยรู้สึกพอใจหน่อย”
ชายชุดดำหัวเราะร่า พลิกฝ่ามือก็เห็นเพียงหนอนที่เล็กละเอียดราวเมล็ดขาวกลุ่มหนึ่ง พลันยิ่งหัวเราะชอบใจ
“หนอนหรือ ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าอาศัยหนอนพวกนี้จะพลิกสถานการณ์ได้หรือ”
ชายชุดดำถากถางอย่างไม่เกรงใจ
กลับเห็นว่าหลินสวินหุบยิ้ม พยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้แน่นอน”
ชายชุดดำอึ้งไป ในตอนนี้เองหนอนเหล่านั้นในฝ่ามือเขาก็พลันเจาะเข้าไปในเลือดเนื้อของเขา ราวถูกปลุกจากห้วงนิทราลึก
นี่…
ชายชุดดำใจสั่นสะท้าน ประสบการณ์กรำศึกมานานปีทำให้เขารับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมถึงอันตรายอย่างที่สุด สีหน้าอดเปลี่ยนไปในบัดดลไม่ได้
เขากระตุ้นพลังอย่างบ้าคลั่ง หมายจะบีบให้หนอนเหล่านี้ออกมา
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ พลังปราณระดับกระบวนแปรจุติของเขาที่สามารถตัดภูผาผ่าสมุทรได้ กลับไม่อาจไล่หนอนออกไปได้
หนอนกลุ่มนั้นเหมือนดั่งมายา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ร่างแท้จริง สามารถทะลุทุกสิ่ง ไม่อาจขวางกั้นหรือกักขังได้เลย
แย่แล้ว!
ชายชุดดำใจสั่นสะท้านยิ่ง เกิดความหวาดผวายากบรรยาย นี่มันหนอนบ้าอะไรกัน ทำไมถึงลึกลับเช่นนี้
ไม่รอให้เขาได้ทำความเข้าใจ ก็รับรูได้ว่าห้วงนิมิตเจ็บปวดขึ้นโดยพลัน เหมือนถูกสายฟ้าสว่างวาบฟาดฟันฉีกขาดอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เขาสั่นโคลงไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่ได้ ร้องโหยหวนน่าหดหู่ออกมา
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือความเจ็บปวดนี้ไม่ได้จบลง หนอนแต่ละตัวเหมือนฝูงฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือด พุ่งไปยังห้วงนิมิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง กัดกินและฉีกทึ้งจิตวิญญาณของเขาไม่หยุดหย่อน
พลังวิญญาณของระดับกระบวนแปรจุตินั้นแข็งแกร่งตั้งเท่าไร แต่เมื่อพบกับการโจมตีเช่นนี้ถึงกับยากรับมือได้ ไม่อาจต่อต้านได้เลย
“ไม่! ไม่! ไม่…”
ชายชุดดำร้องเสียงดังอย่างคลุ้มคลั่ง สองมือทึ้งศีรษะอย่างเสียจริตราวเจ็บปวดถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งกระตุกอย่างรุนแรงประหนึ่งเป็นลมบ้าหมู
หลินสวินที่อยู่ไกลออกไปก็อดสยดสยองไม่ได้ นั่นคือหนอนกินเทพ เป็นสิ่งที่ได้มาจาก ‘เขตต้องห้ามโลหิตร้าง’ ในแดนวิญญาณโบราณ หลังจากถูกเขานำกลับมาก็ผนึกเก็บไว้ในร่างมาโดยตลอด
ทว่าขนาดเขายังคิดไม่ถึงว่าพลังของหนอนกินเทพนี้จะน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ถึงกับทำให้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติยังไม่อาจต้านทานได้!
——
ตอนที่ 515 ฝ่าวงล้อมหนาแน่น
โดย
ProjectZyphon
“สารเลว! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ชายชุดดำคำรามออกมา เวลานี้เขาเลือดไหลจากเจ็ดทวาร ร่างกายกระตุกเกร็งเพราะเจ็บปวดยิ่ง แปรเปลี่ยนเป็นเหมือนบ้าคลั่ง
เขาพุ่งเข้าจู่โจมหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าก่อนตายเขาต้องลากหลินสวินไปด้วย
ผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง ต่อให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่เมื่อคลุ้มคลั่งก็น่ากลัวยิ่งนัก
ตูม!
แสงสีดำพุ่งสู่ฟ้าทำให้ห้วงอากาศระเบิดออก พลังมหามรรคที่มีอยู่นั้นราวกับบทลงโทษจากสวรรค์ มีกลิ่นอายทลายฟ้าผลาญปฐพี
หลินสวินย่อมไม่อาจนั่งรอความตายได้ โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งอย่างเต็มกำลังไว้ก่อนแล้ว หลบหนีห่างออกไป รอบกายเขาในตอนนี้พลุ่งพล่านไปด้วยแสงเทพสีฟ้าอ่อนโชติช่วง ราวกับเป็นรุ้งเทพล้อมกาย ยากจับต้อง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในพื้นที่แถบนี้เต็มไปด้วยเสี้ยวเงาที่หลินสวินทิ้งไว้ นั่นเป็นการแสดงถึงความเร็วขีดสุดอย่างหนึ่ง
ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เมื่อใหญ่จะสามารถท่องไปในเก้าชั้นฟ้า เมื่อเล็กสามารถซ่อนเร้นในธุลี นี่ไม่ได้เป็นการพูดเกินเลย
ดังเช่นตอนนี้ ห้วงมายานี้แม้ถูกเสามังกรจตุลักษณ์ปิดผนึกไว้ ไม่อาจหลบหนีได้ แทบถูกการโจมตีของชายชุดดำนั้นปกคลุมมิด
แต่หลินสวินกลับหาช่องว่างในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่าหนีออกมาได้
หากไม่เป็นเช่นนี้ น่ากลัวจะถูกสังหารในพริบตาแล้ว!
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงพลังปราณของระดับกระบวนแปรจุติ สูงกว่าหยั่งสัจจะถึงหนึ่งระดับใหญ่ พลังทำลายล้างที่สำแดงออกมานั้น พลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่อาจตั้งรับได้เลย
ยังดีที่จิตวิญญาณของชายชุดดำผู้นั้นได้รับความเสียหายใหญ่หลวง การรับรู้พังทลายไปแล้ว ทำให้การโจมตีของเขายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ส่งผลให้หลินสวินมีโอกาสตอนหลบหนีออกมา
“ไอ้เด็กเลว เจ้าโผล่มาเดี๋ยวนี้นะ!”
ชายชุดดำส่งเสียงคำรามราวสัตว์ป่า พุ่งไปมาในแถบนี้ประหนึ่งมารร้ายที่คลุ้มคลั่งตนหนึ่ง
พลังมหามรรคน่าหวาดหวั่นสำแดงออกมา แม้โจมตีไม่โดน แต่ยังคงทำให้หลินสวินสะท้านใจ เหมือนเต้นระบำอยู่บนปลายดาบ
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ต่อให้หลินสวินมีพลังการต่อสู้เย้ยฟ้าในระดับมหาสมุทรวิญญาณ กระทั่งสามารถฆ่าผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลานุภาพของระดับกระบวนแปรจุติ ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังกดดันน่าหวาดหวั่นราวหายใจไม่ออก
นี่เป็นเพราะระดับต่างกันมากเกินไป ทำให้พลังต่างชั้นกันยิ่งนัก หลินสวินสงสัยว่าต่อให้ตนครอบครองอาสัญสลายก็เป็นคู่ต่อสู้ให้ไม่ได้
ตู้ม!
หลินสวินคิดมากอีกไม่ได้แล้ว การโจมตีของชายชุดดำยิ่งบ้าระห่ำและน่ากลัว เพิ่มแรงกดดันให้เขาขนานใหญ่
ในระหว่างที่เขาหลบหนีถูกลมกรรโชกกวาดโดนอยู่หลายครั้ง ความรู้สึกนั้นช่างเหมือนถูกฟ้าผ่า เนื้อหนังและกระดูกทั้งร่างเกือบหักสลาย เลือดลมแปรปรวนพลิกตลบ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นวิกฤตหนักหนาที่สุดที่หลินสวินเคยประสบตั้งแต่ฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พื้นที่นี้เป็นเหมือนห้วงมายาที่ถูกผนึกโดยสมบูรณ์ คนจากโลกภายนอกเข้ามาไม่ได้ คนที่อยู่ภายในก็ฝ่าออกไปไม่ได้เช่นกัน ทำให้หลินสวินได้แต่หลบหนีอย่างเต็มที่
ความรู้สึกนั้นเหมือนโฉบอยู่บนเส้นทางมรณะ ขอแค่ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็สามารถจบชีวิต ณ ที่นั้นได้!
“หลินสวิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ นี่เจ้ากำลังสังหารญาติ! ผิดคุณธรรมครั้งใหญ่!”
ชายชุดดำร้องโหยหวนบ้าคลั่ง เสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่า ชุดดำทั้งกายถูกทำให้แหลกสลายยุ่งเหยิง เผยให้เห็นใบหน้าชราที่เหยเกเปื้อนเลือด
“ผิดคุณธรรมบ้าบออะไรกัน! ไอ้แก่เวร เจ้ารีบหลับตาไปเกิดใหม่เถอะ!”
หลินสวินหัวเราะหยัน
“อ๊ากๆๆ…”
ชายชุดดำดูยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว เขาพลันคุกเข่ากับพื้น สองมือกุมศีรษะ ส่งเสียงหวีดร้องแหลมน่าหดหู่หาใดเทียบ ทั้งร่างกระตุกไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่ากำลังจะรับไม่ไหวแล้ว
แต่หลินสวินไม่กล้าชะล่าใจ ไม่ออมมือเลย ใช้พลังทั้งหมดสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งออกมา
การโจมตีกลับก่อนตายของผู้มีปราณระดับกระบวนแปรจุติน่าหวาดหวั่นที่สุด หลินสวินไม่ต้องการถูกชายชุดดำลากตนลงน้ำไปด้วยในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้
ฉับพลันทันใด ชายชุดดำก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดจ้องเขม็งไปยังหลินสวินราวสัตว์ร้าย แผ่กระจายความแค้นและความไม่ยินยอมไร้ที่สิ้นสุดออกมา
“ข้าแค้น! แค้นที่ไม่สามารถฆ่าลูกหลานเนรคุณอย่างเจ้าด้วยมือตัวเองได้!”
เสียงเหมือนสาปแช่ง ชัดถ้อยชัดคำ ความแค้นคับฟ้า ทั้งยังมีความเสียดายที่ไม่อาจปล่อยวางได้
ในที่สุดชายชุดดำก็หงายหลังกับพื้นเสียงดังตุ้บ พลังปราณที่ปะทุบ้าคลั่งทั้งร่างเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ
หลินสวินซึ่งยืนอยู่ไกลออกไปยังคงระแวดระวัง
ฉัวะๆๆ!
ไม่นานนักแสงสีดำสายแล้วสายเล่าพลันพุ่งออกมาจากศีรษะของชายชุดดำ นั่นก็คือหนอนกินเทพแต่ละตัว!
ที่ทำให้หลินสวินอึ้งที่สุดก็คือ ทันทีที่หนอนเหล่านี้พุ่งออกมาก็จู่โจมมาทางเขา
ช่างเป็นฝูงสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง!
หลินสวินลอบด่าในใจ แต่ก็ไม่หลบหนี สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ใช้เคล็ดเวทบริกรรมเต็มกำลัง กำหนดสมาธิตรึกตรองภาพ ‘ดาราจักรโคจร’
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนอนกินเทพที่พุ่งเข้าสู่ห้วงนิมิตเหล่านี้ก็ถูกเคล็ดเวทบริกรรมกำราบ จมสู่ความเงียบงันเหมือนคราวก่อน
เพียงแต่ที่ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วก็คือ หลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าหนอนกินเทพที่มีทั้งสิ้นสิบหกตัวนี้ ขนาดตัวกลับใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนเท่าตัว ร่างอันเป็นจุดแสงสีดำราวมายาเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยือกที่น่าหวาดผวา
‘หรือว่าหลังจากพวกมันกลืนกินจิตวิญญาณเข้าไปจะยังพัฒนาเปลี่ยนแปลงและเติบโตได้เองอีก’
หลินสวินครุ่นคิด
เขาผนึกหนอนน่ากลัวที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคบรรพกาลเหล่านี้อย่างระมัดระวัง ครั้งนี้สามารถแปรเปลี่ยนอันตรายเป็นปลอดภัยได้ก็เพราะหนอนกินเทพช่วยไว้ สามารถใช้เป็นอาวุธไม้ตายยามคับขันได้อย่างหนึ่ง
ขนาดมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติยังต้านทานไม่ได้ แค่คิดก็รู้ถึงความลึกลับและน่ากลัวของพวกมันแล้ว
หลินสวินเดินมายังหน้าศพชายชุดดำผู้นั้นแล้วดึงผ้าสีดำที่ปิดหน้าเขาไว้ ถึงได้เห็นชัดว่าเป็นชายสูงวัยที่มีผมเผ้าหนวดเคราสีเงิน
เพียงแต่เขาใบหน้ามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง แก้มบิดเบี้ยวเขียวคล้ำดุร้าย ต่อให้ตายไปสีหน้าก็ยังคงมีความแค้นและความไม่ยินยอมที่ไม่อาจสลายไปได้ดังเดิม
ฟู่!
เห็นเช่นนี้หลินสวินก็ถอนหายใจเต็มที่ อดไม่ได้ที่จะใช้เท้าข้างหนึ่งเตะที่แก้มของชายชุดดำเหมือนปลดปล่อย
เขาย่อมมีความเดือดดาลและความขุ่นเคืองที่ยากบรรยาย ถูกซุ่มโจมตีครั้งนี้เหมือนเอาชีวิตมาแขวนอยู่บนเส้นด้าย เกือบตายเสียแล้ว จะไม่ให้เขาขุ่นเคืองได้อย่างไร
ก็เหมือนตอนนี้ แขนซ้ายของเขาถูกหัก อีกทั้งกระดูกมือซ้ายยังแหลกเหวอะหวะ ทั้งหมดนี้ก็ต้องโทษชายชุดดำผู้นี้!
ฮูม!
เสาหินสี่ต้นที่อยู่ในห้วงมายานี้พลันเกิดคลื่นไหวเคลื่อน เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคลุมเครือมืดหม่น เห็นได้ชัดว่าเมื่อสูญเสียการควบคุมของชายชุดดำ อานุภาพของเสามังกรจตุลักษณ์ที่ว่านี้ก็เริ่มมลายไป
ในที่สุดห้วงมายาก็ระเบิดสลายหายไปเป็นละอองแสงพร้อมเสียงครั่นครืนที่ดังจนหูแทบดับ ส่วนเสาหินสี่เสานั้นกลับแปรสภาพเป็นคันฉ่องสำริดสี่แผ่นตกสู่พื้นเสียงดังเคร้ง
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เก็บคันฉ่องสำริดสี่แผ่นนั้นขึ้นมา
คันฉ่องสำริดทุกแผ่นยาวเพียงเก้าชุ่น จะเป็นโลหะก็ไม่ใช่ จะเป็นหยกก็ไม่เชิง หนักอึ้งยิ่งนัก อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าพันจิน!
พื้นผิวของคันฉ่องต่างประทับภาพสัตว์เทพบรรพกาลสี่ภาพ มีมังกรฟ้าที่แหวกว่ายในธารดารา กำลังแผดเสียงชูคอ มีหงส์เพลิงที่สยายปีเริงระบำในเก้าชั้นฟ้า กลืนกินทะเลเพลิงหลอมนรก มีเต่าดำที่หัวเป็นมังกร กายเป็นเต่าและหางเป็นงู ประทับอยู่บนชั้นสูงสุดของสวรรค์ ผงกหน้าให้ฟ้าดิน มีพยัคฆ์ขาวที่เหยียบภูเขาศพทะเลเลือด สังหารหมู่เทพมาร คำรามก้องโลกา
ทั้งสี่ภาพนี้แทนอานุภาพจตุลักษณ์ ลึกลับยากคาดเดา โดยรอบภาพทุกภาพล้วนประทับลวดลายพิสดารของยุคบรรพกาล สะท้อนให้เห็นทิวทัศน์โบราณเช่นสัจธรรมฟ้าดิน สุริยันจันทราธารดารา มวลไม้และสรรพสัตว์เป็นต้น
เสามังกรจตุลักษณ์!
นี่เป็นสมบัติลับชุดหนึ่ง เพียงมองปราดเดียวก็ดูออกว่าสมบัติชุดนี้ต้องผ่านกาลเวลายาวนานไม่สิ้นสุดมาจนถึงปัจจุบัน หลายจุดมีรอยขีดข่วนและรอยขมุกขมัวให้เห็น พลังไพศาลหนาแน่น
‘ในเวลาหนึ่งถ้วยชา ขนาดราชันระดับสังสารวัฏยังโจมตีเข้าไปไม่ได้ นี่ต้องเป็นของล้ำค่าชั้นยอดชุดหนึ่งแน่’
หลินสวินเก็บไว้อย่างไม่เกรงใจ ตัดสินใจว่าภายหลังจะหาเวลาค้นคว้าและทะนุบำรุงเสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจเป็นสมบัติล้ำค่าที่ใช้คุ้มกายได้ชิ้นหนึ่ง
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เห็นสถานการณ์ของโลกภายนอกในที่สุด
การต่อสู้ในโลกภายนอกยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดหาใดเทียบ ชายชราที่ขับเกี้ยวสมบัติติดพันอยู่กับชายชุดดำผู้หนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง หลินจงที่ถืออาสัญสลายอยู่ในมือก็กำลังประจัญบานกับชายชุดดำอีกคนหนึ่ง
เพียงแต่เมื่อรับรู้ได้ว่าเสามังกรจตุลักษณ์สลายไป ส่วนหลินสวินกลับยังมีชีวิตและปรากฏตัว พลันทำให้ชายชุดดำสองคนนั้นสั่นสะท้านยิ่ง
“ภารกิจล้มเหลว หนี!”
“ถอนตัว!”
ชายชุดดำสองคนนั้นเลือกหลบหนีอย่างไม่ลังเลสักนิด เงาร่างหายตัวฉับไว ชั่วพริบตาก็หนีจากไปไม่เห็นเงา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตระหนักได้ว่าวันนี้ยากจะหาโอกาสฆ่าหลินสวินได้อีก ด้วยเหตุนี้จึงเลือกหนีไปอย่างไม่ลังเล
ชายชราที่ขับเกี้ยวสมบัติกับหลินจงไม่ได้ตามไป พวกเขาพะวงกับความปลอดภัยของหลินสวิน กังวลใจว่าจะถูกฉวยโอกาสตอนพวกตนไม่อยู่
เมื่อตอนนี้เห็นหลินสวินมีชีวิตรอดเดินออกมา แค่คิดก็รู้ว่าจะประหลาดใจและตื่นเต้นขนาดไหน
“ข้าไม่เป็นไร ลุงจง ท่านรู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
หลินสวินชี้ไปที่ศพชายชุดดำที่อยู่บนพื้นไม่ไกลนัก
หลินจงมองไปปราดหนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปราวถูกอสนีบาต ดวงตาเบิกกว้าง ร้องเสียงหลงว่า “ทำไมถึงเป็นเขาได้!?”
หลินสวินพลันเกิดสังหรณ์ไม่ดีในใจ ปฏิกิริยาเช่นนี้ของหลินจงทำให้เขานึกถึงถ้อยคำบ้าคลั่งก่อนที่ชายชุดดำจะตายในทันใด
สวบ!
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เก็บศพนั้นขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ลุงจง อยู่ที่นี่นานไปไม่ดี กลับไปค่อยว่ากันเถิด”
เวลานี้หลินจงเหมือนเพิ่งตื่นจากห้วงนิทรา พยักหน้าอย่างหนักใจ ใบหน้ายังคงตกอยู่ในภวังค์ เห็นได้ชัดว่าฐานะของชายชุดดำกระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จากนั้นพวกเขาจึงหายตัวจากไปกลางสายฝนโปรยปราย
…….
ในวันเดียวกันกับที่งานแถลงจบลง ข่าวหลินสวินถูกลอบสังหารก็แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ข่าวกระจายออกไปในนครต้องห้ามอย่างครึกโครม ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่สูงเสียดฟ้า
ผู้ฝึกปราณหลายคนล้วนหวาดผวา หลินสวินตอนนี้เป็นถึงปฐมาจารย์เยาว์วัยที่มีชื่อสะท้านใต้หล้าผู้หนึ่ง แต่ในวันเดียวกับที่เขาเปิดตัวอาสัญสลาย กลับถูกซุ่มโจมตีจนนองเลือดหาใดเปรียบ เป็นใครทำเรื่องนี้กันแน่
คำตอบต่างชี้ไปยังตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสามตระกูลอย่างตระกูลฉือ จั่วและฉินโดยพร้อมเพรียง ด้วยทุกคนรู้ว่าพวกเขากับหลินสวินมีความแค้นที่ไม่อาจคลี่คลายได้อยู่
แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าฟันธงเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนมากมายนัก อำนาจของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเพียงพอจะทำให้ไม่ว่าผู้ฝึกปราณผู้ใดก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่หลินสวินถูกลอบสังหารนี้ก็กระเทือนจิตใจทุกคนในนครต้องห้าม ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจทุกด้านราวพายุ!
——
ตอนที่ 516 คนใหญ่คนโตเต็มนครหลวง
โดย
ProjectZyphon
ภูเขาชำระจิต
ฝนเม็ดเล็กโปรยปราย อวลไอปกคลุมอยู่ในอากาศ
ในตำหนักชำระจิต มีเพียงหลินสวิน หลินจง พญาแร้งและเสี่ยวเคอเพียงสี่คน
บาดแผลที่แขนซ้ายของหลินสวินได้รับการดูแลแล้ว ร่างของเขาเคยได้พลังจากมุกนักบุญอมตะเคี่ยวกรำอยู่หลายครั้ง จึงมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ต่อให้ไม่ทายารักษาแผล ใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้สมบูรณ์
“หลินเฟยเฟิง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขา…” พญาแร้งพึมพำอย่างทอดถอนใจ
บนพื้นมีศพเย็นเยียบศพหนึ่งวางนอนอยู่ เป็นชายชุดดำที่ถูกหนอนกินเทพกลืนกินจิตวิญญาณจนตายไป
เพียงแต่ทุกคนรวมทั้งตัวหลินสวิน ต่างคิดไม่ถึงว่าตัวตนที่แท้จริงของชายชุดดำผู้นี้กลับเป็นหลินเฟยเฟิง ผู้อาวุโสตระกูลหลินแห่งยอดวายุ!
ถ้าอิงตามสาแหรกแล้ว หลินสวินยังต้องเรียกเขาว่า ‘ท่านปู่สี่’ ด้วยซ้ำ!
บรรยากาศในห้องโถงดูหนักอึ้ง
หลินสวินเงียบเชียบไม่พูดจา ในใจกลับเข้าใจในที่สุดว่า เหตุใดก่อนที่หลินเฟยเฟิงจะสิ้นใจถึงคำรามเดือดดาลใส่ตน พูดว่าเขากำลัง ‘สังหารญาติ’ ผิดคุณธรรมครั้งใหญ่!
“ตอนนั้นเขาย่อมรู้ถึงตัวตนของนายน้อยอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับไม่สนใจสิ่งใดหมายจะสังหารท่าน นี่เป็นเพียงความโหดเหี้ยมเสียที่ไหน ช่างไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน! เขายังละอายใจต่อบรรพชนตระกูลหลินอยู่หรือไม่ เสื่อมเกียรตินัก!”
หลินจงคำรามเสียงต่ำ เบ้าตาแทบถลน เขาดูเสียอาการยิ่ง เพราะคิดไม่ถึงอย่างแท้จริงว่าผู้ที่ลอบโจมตีหลินสวินในครั้งนี้กลับเป็นคนในตระกูลหลินเสียเอง!
ผู้อาวุโสคนหนึ่ง กลับลงมือปลิดชีพคนรุ่นหลังในตระกูลด้วยมือตนเอง วิธีการก็ทารุณนัก! จิตใจจะโหดเหี้ยมได้ปานไหน
“ครั้งนี้ยังดีที่นายน้อยปลอดภัย หากสุดท้ายถูกเขาทำร้าย ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายเพียงใด ข้าก็ต้องได้อาบเลือดตระกูลหลินแห่งยอดวายุ!”
หลินจงโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลย
“ลุงจง อย่าโกรธไปเลย ข้าคาดไว้นานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้”
หลินสวินที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยปากในที่สุด สีหน้าเขาดูสงบนิ่งผิดปกติ ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์สักนิด แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หลินจงปวดใจ
นายน้อยคิดแต่จะฟื้นฟูความรุ่งเรืองของตระกูลหลินในวันวาน จะไปคิดได้อย่างไรว่าผู้ที่ทำร้ายเขามากที่สุดไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นพวกนั้น แต่เป็นคนในตระกูลหลินด้วยกันเอง
“เหตุใดพวกเขา…ถึงทำเช่นนี้ หรือว่าไม่อาจยอมให้นายน้อยควบคุมตระกูลหลินได้จริงๆ” หลินจงพึมพำ
“ง่ายดายนัก หลินสวินยิ่งรุ่งเรืองขึ้นก็ทำให้พวกเขานั่งไม่ติดที่แล้ว หากไม่ลงมือ ภายหลังก็จะหาโอกาสกำจัดหลินสวินไม่ได้อีก”
เวลานี้พญาแร้งดูใจเย็น วิเคราะห์เสียงเบา “แต่ว่า การเคลื่อนไหวลอบโจมตีสังหารครั้งนี้ของพวกเขา ต้องมีขุมอำนาจใหญ่กลุ่มอื่นหนุนหลัง หาไม่อาศัยความกล้าของพวกเขาย่อมไม่มีทางกล้าเดินหมากบ้าระห่ำเช่นนี้ เพราะเมื่อล้มเหลว พวกเขาไม่มีทางรับผลลัพธ์ได้”
หลินจงอึ้งไป “ท่านพญาแร้ง ท่านจะบอกว่าเบื้องหลังยังมีขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฉือ จั่วและฉินสนับสนุนหรือ”
พญาแร้งพยักหน้า
“น่าชังนัก!” หลินจงกัดฟันกรอด ตอนนั้นขุมอำนาจสามตระกูลรองร่วมมือกับศัตรูภายนอก เข้ามาฉกชิงทรัพย์สินตระกูลหลิน บัญชีนี้ยังไม่ได้สะสางเลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับจับมือกับศัตรูภายนอกอีกครั้งอย่างไม่เสียดาย ร่วมกันลอบสังหารหลินสวิน ความผิดนี้ช่างสมควรตายนัก!
สายตาพญาแร้งทอดมองไปยังหลินสวิน “เมื่อหลินเฟยเฟิงตายไป ตระกูลหลินแห่งยอดวายุก็เหมือนมังกรไร้หัว นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะรวมพวกเขากลับมา”
หลินสวินนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น ส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าจะให้เวลาพวกเขาได้ไตร่ตรองสามปี ในช่วงเวลานี้ข้าจะไม่ลงมือ”
“นายน้อย แต่พวกมันยิ่งได้คืบจะเอาศอก ไม่เห็นข้อเสนอแนะของพวกเราอยู่ในสายตาเลย ทั้งตอนนี้ยิ่งต้องการฆ่าท่านถึงจะพอใจ พวกเราจะนั่งรอความตายเช่นนี้หรือขอรับ”
หลินจงไม่เข้าใจ ขัดเคืองแทนหลินสวิน
“หลินสวินปรานีเกินไป ไม่ต้องการก่อบาปสังหารใหญ่ตอนนี้ ทั้งยังหวังว่าคนในตระกูลรองเหล่านั้นจะรู้จักกลับเนื้อกลับตัว”
เสี่ยวเคอที่ไม่พูดไม่จามาตลอดถอนหายใจแผ่วเบา นางเข้าใจหลินสวินที่สุด ยามปฏิบัติต่อศัตรู เขาโหดเหี้ยมจนไม่เหลือทางรอดให้ แต่ยามปฏิบัติต่อคนในตระกูล สุดท้ายเขาก็ไม่มีทางทำใจแข็งได้
“เช่นนี้ก็ดี”
พญาแร้งพูดออกมาอย่างเกินความคาดหมาย “การตายของหลินเฟยเฟิง เป็นการสั่นกระดิ่งเตือนไปยังขุมอำนาจสามตระกูลรองเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกเขารู้ว่าหลินสวินในตอนนี้ไม่ใช่คนที่จะสามารถทำร้ายได้ เชื่อว่าภายหลังต่อให้พวกเขาแค้นหลินสวินมากกว่านี้ ก็ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามโดยง่าย”
หลินจงนิ่วหน้า “แต่หากมีความช่วยเหลือจากตระกูลฉือ จั่วและฉินเล่า”
พญาแร้งยิ้มบางๆ ดวงตากระจ่างฉายแววหลักแหลม “พวกเขาเสียโอกาสดีที่สุดในการลอบสังหารหลินสวินไปแล้ว ต่อไปนอกเสียจากหลินสวินออกจากนครต้องห้าม หาไม่แล้วพวกเขาย่อมไม่กล้าลงมืออีก”
“นี่เป็นเพราะเหตุใด” หลินจงประหลาดใจอยู่บ้าง
“ก็เพราะหลินสวินพิสูจน์คุณค่าของตนเองต่อคนทั้งใต้หล้าแล้ว เขาในตอนนี้กลายเป็นปฐมาจารย์ที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้ผู้หนึ่งแล้ว!”
“ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ หรือสำนักศึกษามฤคมรกต หรือแม้แต่ขุมอำนาจใหญ่กลุ่มอื่น ก็ไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!”
พญาแร้งพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากข้าเดาไม่ผิด ในวันนี้จักรวรรดิจะต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้ออกมา!”
เวลานี้ แม้แต่หลินสวินและเสี่ยวเคอก็ล้วนไหวหวั่น ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
…….
เป็นไปตามที่พญาแร้งคาดการณ์ไว้ ในวันนั้นเอง ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิก็มีราชโองการประกาศแก่ใต้หล้าว่า นครต้องห้ามเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ ไม่ว่าผู้ใดกล้าใช้กำลังพลในที่นี้ตามอำเภอใจ ต้องได้รับการลงโทษอย่างหนัก!
เนื้อหาของราชโองการกว้างมาก ทว่าความหมายกลับชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อราชวงศ์ประกาศออกราชโองการเช่นนี้ออกมาในวันที่หลินสวินเพิ่งถูกลอบสังหาร เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนขุมอำนาจบางกลุ่มว่า ในนครต้องห้ามนี้ใครกล้าลอบสังหารเขา ก็รอรับไฟโทสะจากราชวงศ์ได้เลย!
นี่ทำให้เกิดเสียงฮือฮาอื้ออึงไปทั่ว
ที่ต้องรู้ก็คือ ก่อนหน้านี้หลายคนนึกว่าหลินสวินผิดใจกับราชวงศ์อย่างยิ่งเพราะเรื่องที่บีบให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า
ใครจะคาดคิดได้ว่าในเวลาเช่นนี้ ราชวงศ์จะไม่ถือสาแค้นเก่า กลับออกตัวแสดงท่าทีปกป้องอย่างแข็งขันต่อเหตุที่หลินสวินถูกลอบสังหาร
นี่ช่างเกินความคาดหมายไปแล้ว
แต่ก็ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่า ตั้งแต่หลินสวินหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้ ก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว คุณค่าของเขามากนัก ถึงกับสามารถทำให้ราชวงศ์เปลี่ยนแปลงท่าทีได้!
และในวันเดียวกัน กลุ่มอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษามฤคมรกต อัครการค้า ตระกูลหนิงราชันเลือดเหล็ก ตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุก ตระกูลเย่ราชันแห่งทะเลตะวันออก… ก็ทยอยประกาศอย่างชัดเจน ประนามการลอบสังหารครั้งนี้อย่างรุนแรง ทั้งยังแสดงท่าทีชัดแจ้งว่าร่วมสนับสนุนการตัดสินใจของราชวงศ์ จะไม่ยอมให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
เมื่อคำประกาศต่างๆ ออกมา ช่างเหมือนสายฟ้าฟาดสายแล้วสายเล่า ทำให้นครต้องห้ามสั่นสะเทือน
ขุมอำนาจยักษ์ใหญ่มากมายเช่นนี้ร่วมกันแสดงท่าทีปกป้องหลินสวินเพียงผู้เดียว นี่ช่างหาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ก่อนหน้าของจักรวรรดิ!
ใครจะคิดว่า หลินสวินเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาในนครต้องห้ามไม่ถึงหนึ่งปีคนนี้ ตอนนี้กลับมีชื่อเสียงใหญ่โตเช่นนี้ได้
ทุกคนรับรู้ได้ว่าหลินสวินผงาดขึ้นมาอย่างที่สุดแล้ว ไม่สามารถเทียบกับแต่ก่อนได้อีก เขาในตอนนี้สามารถทำให้ขุมอำนาจใหญ่มากมายเป็นปากเสียงแทนเขาได้ ทำให้ราชวงศ์เปลี่ยนท่าที ชื่อเสียงที่รุ่งเรืองนี้ครอบคลุมไปทั่วนครต้องห้าม!
“ต่อไปตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต เกรงว่าจะผงาดในนครต้องห้ามอีกครั้งตามหลินสวินแล้ว…”
หลายคนทอดถอนใจทำนองนี้
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลฉือ จั่วและฉินน่ากลัวจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามง่ายๆ อีก”
นี่เป็นความคิดของผู้คนมากมาย
…….
วันนี้ ขุมอำนาจสายรองตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุล้วนอึมครึมเงียบเชียบ ผู้คนจิตใจหวาดผวาไม่สงบ
บางทีพวกเขาอาจคิดไม่ถึงเช่นกันว่า หลินสวินในตอนนี้จะมีอิทธิพลใหญ่โตปานนี้ ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่ในจักรวรรดิล้วนแสดงท่าทีสนับสนุนเขาอย่างชัดเจน
พวกเขาไม่รู้ว่าหลินสวินจะมาคิดบัญชีกับพวกเขาอย่างฉับพลันหรือไม่ ทั้งยังไม่รู้ว่าคนในตระกูลรองอย่างพวกเขาจะได้รับการโจมตีกดดันที่น่ากลัวปานไหน
แต่พวกเขาล้วนรู้ชัดว่าพวกเขาได้เสียโอกาสและพลังที่จะต่อกรกับหลินสวินอีกครั้งแล้ว ในวันหน้าต้องลำบากแน่…
…….
นครต้องห้ามวันนี้ถือเป็นเวทีของหลินสวินเพียงผู้เดียวอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทั้งเรื่องงานแถลงของเขา ทั้งเรื่องที่เขาถูกลอบสังหาร ทั้งเรื่องที่ราชวงศ์กับขุมอำนาจใหญ่แสดงท่าทีชัดเจนต่อเรื่องนี้ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงฮือฮาอื้ออึงไม่รู้เท่าไรใต้ฟ้านครต้องห้าม เหมือนคลื่นใหญ่ทรงพลังลูกแล้วลูกเล่า
หลินสวิน!
ชื่อนี้เหมือนมีเวทมนต์ ตั้งแต่ปรากฏตัวในนครต้องห้ามครั้งแรกก็ไม่เคยเงียบเชียบหรือหม่นหมองลงเลย
……
หลินสวินต้องกลับไปยังสำนักศึกษามฤคมรกตก่อนกำหนด
ช่วยไม่ได้ หลังจากรู้ว่าเขาถูกลอบสังหารได้รับบาดเจ็บ ก็มีขุมอำนาจมากมายส่งตัวแทนถือของขวัญนานาชนิดมาเยี่ยมเยียนที่ภูเขาชำระจิต
นอกจากอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ตระกูลกง ยังมีขุมอำนาจอื่นที่ไม่เคยติดต่อด้วยเลยบางกลุ่มถือโอกาสนี้มาเยี่ยมด้วย
เพราะคนที่มาเยี่ยมเยียนมากมายนัก หากมารับแขกทีละคน ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร หลินสวินจึงทำได้เพียงหลบหลีกด้วยความจนใจ ส่งเรื่องทั้งหมดให้หลินจงและพญาแร้งจัดการ
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินอึดอัดใจก็คือ กลับมาสำนักศึกษามฤคมรกตก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบ เพิ่งกลับมาก็ถูกเสิ่นทั่วแจ้งอย่างเริงร่าว่าอาจารย์ทั้งสาขาสลักวิญญาณหารือกันอย่างละเอียดแล้ว ตัดสินใจเลือกหลินสวินเป็นรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ
สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่เป็นเกียรติที่ยากจะได้รับอย่างหาใดเทียบ กระทั่งเรียกว่าเป็นการสร้างหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ได้เลย
อย่างไรเสียสำนักศึกษามฤคมรกตในกาลก่อน ผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าได้ ก็ไม่มีเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินสวินสักคน!
เพียงแต่ข้อเสนอนี้ถูกหลินสวินปฏิเสธอย่างแข็งขัน ตอนนี้เขาสะดุดตาเกินไปแล้ว ได้รับการจับตามองมากเกินไปด้วย ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าคนกลัวมีชื่อเสียงหมูกลัวอ้วน ในเวลาพิเศษเช่นนี้ หากรับตำแหน่งรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณอีก ต้องยิ่งดึงดูดความสนใจมากขึ้นแน่
นี่ทำให้เสิ่นทั่วแสดงสีหน้าท้อใจ จากไปพร้อมความผิดหวัง
หลินสวินได้แต่ยิ้มเจื่อน ที่เขาอยากทำตอนนี้คือเก็บตัวและอยู่เงียบๆ ให้ได้มากที่สุดระยะหนึ่ง ไม่คิดจะดึงดูดสายตาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกแล้ว
เพียงแต่เมื่อหลินสวินตัดสินใจจะทำตัวเงียบสักพักหนึ่ง กลับพบว่าทำได้ยากยิ่ง เสิ่นทั่วเพิ่งจากไปไม่นาน จ้าวไท่ไหลที่ยิ้มสนิทสนมก็พาองค์หญิงจิ่งเซวียนที่ปลอมตัวเป็นชายมา…
แทบจะในเวลาเดียวกัน ผู้มีอำนาจที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงผู้หนึ่งก็มาเยี่ยมเยียน ทำให้เขาดีใจที่ได้รับความโปรดปรานอยู่บ้าง
——————
ตอนที่ 517 จุตินพชาติ
โดย
ProjectZyphon
ในโถงใหญ่สาขาสลักวิญญาณ
จ้าวไท่ไหลกับองค์หญิงจิ่งเซวียนรออยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าพวกเขามาเพื่อหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกร
หลินสวินเคยรับปากเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ย่อมไม่อาจปฏิเสธไม่เข้าพบได้
เพียงแต่เวลาเดียวกับที่เขามาถึงห้องโถง บุคคลทรงอำนาจที่คิดไม่ถึงผู้หนึ่งก็ตามมาด้วย ทำให้เขารู้สึกดีใจที่ได้รับความโปรดปรานอย่างอดไม่ได้
เมื่อเห็นคนผู้นั้น จ้าวไท่ไหลและองค์หญิงจิ่งเซวียนก็พากันตะลึง รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ
คนผู้นั้นใบหน้าซูบตอบ ท่าทางเรียบง่าย มีกลิ่นอายละซึ่งทางโลกราวนกกระเรียนป่าท่องเมฆา
เขาย่อมต้องเป็นเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต!
หลินสวินคิดไม่ถึงว่าบุคคลในตำนานซึ่งประหนึ่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางท่านนี้จะมาหาตนก่อนได้
“ทั้งสองท่านรอสักครู่ ข้ามาหาหลินสวินด้วยมีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งต้องสะสาง”
เจ้าสำนักเอ่ยปาก น้ำเสียงสงบนิ่ง มีพลังจูงใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แม้ในใจหลินสวินจะสงสัย แต่ย่อมไม่ปฏิเสธ เขากับเจ้าสำนักออกมาจากห้องโถงด้วยกันในทันใด
“ขนาดเจ้าสำนักยังต้องมาเชิญด้วยตัวเองเช่นนี้ ดูท่าเจ้าเด็กนี่จะได้รับความสำคัญกว่าที่ข้าคาดไว้นะ…” จ้าวไท่ไหลทอดถอนใจไม่หยุดหย่อน
“ท่านอาเก้า ท่านรู้ไหมว่าเจ้าสำนักท่านนี้ฝึกปราณถึงระดับไหนแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนถามเสียงเบา นางยังคงแต่งกายด้วยชุดม่วงทั้งตัว ริมฝีปากแดงฟันขาว สง่างามโดดเด่น ใบหน้าพริ้งพรายสดใสเป็นธรรมชาติ
จ้าวไท่ไหลนิ่งคิดอยู่นานแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ความยิ่งใหญ่ของเขาราวห้วงน้ำ มรรคของเขาราวมายา ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง”
จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้ว สั่นสะท้านในใจ
…….
สวบ!
หลินสวินถูกเจ้าสำนักพาตัวออกมา เดินตามเขามาก้าวเดียวพลันรับรู้ได้ถึงวิถีดาราตรงหน้า ราวกับแหวกว่ายกลางธารเวลาอันยืดยาว
เมื่อทัศนวิสัยตรงหน้าแจ่มชัด ก็มาถึงหน้าภูเขางดงามที่ห้อมล้อมด้วยหมอกเซียนลูกหนึ่ง ที่นั่นมีธารน้ำไหลเอื่อยสายหนึ่ง ริมธารเป็นกระท่อมฟางเรียบง่ายที่ทำได้เพียงกันลมกันฝนหลังหนึ่ง
หลินสวินสีหน้าเหม่อลอย หลุดปากถามว่า “ผู้อาวุโส นี่เป็นวิชาเคลื่อนย้ายหรือขอรับ”
นี่ช่างน่าตื่นตะลึงนัก
ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในสาขาสลักวิญญาณ เวลาต่อมาก็ปรากฏตัวที่หน้าภูเขาที่เงียบสงบบริสุทธิ์ประหนึ่งตัดขาดจากโลกลูกนี้เสียแล้ว
เวลาชั่วดีดนิ้วเท่านั้นกลับเหมือนพุ่งทะยานผ่านโลก ไม่ต่างอะไรกับวิชาเคลื่อนย้ายในตำนานเลย
“นี่เป็นวิชาเล็กน้อยเพียงเศษเสี้ยวของวิชาลับแห่งการเคลื่อนย้ายห้วงอากาศเท่านั้น รอเมื่อเจ้าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุติก็จะสามารถพบวิถีนี้ได้”
เจ้าสำนักเอ่ยตอบ ชี้ไปที่กระท่อมฟางริมธารที่อยู่ไกลออกไปพลางพูดว่า “มีสหายเก่าผู้หนึ่งรอเจ้าอยู่ ไปเถิด”
หลินสวินจึงเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่า เดิมทีคราวนี้ไม่ใช่เจ้าสำนักเรียกหาตน แต่เป็นผู้อื่น!
เป็นใครกันแน่นะ
หลินสวินก้าวเท้าเดินไป
กระท่อมฟางเรียบง่ายตั้งอยู่ริมธาร เบื้องหลังเป็นภูเขาเขียวที่มีเมฆเซียนอบอวล วิเวกผุดผ่อง กว้างใหญ่สงบเงียบ มีกลิ่นอายหวนคืนสู่ธรรมชาติ
หลินสวินยืนอยู่หน้ากระท่อม พูดเสียงเบาว่า “ข้าน้อยหลินสวินคารวะผู้อาวุโส”
“เข้ามาเถิด ไม่ต้องมากพิธี”
เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังออกมา
หลินสวินจิตใจสั่นไหว ผลักประตูเข้าไป อย่างที่คิด เป็นเงาร่างสหายเก่าที่คุ้นเคยคนหนึ่ง!
นั่นเป็นชายชราผู้หนึ่ง หนวดเคราเผ้าผมดุจสีเงิน สวมชุดเครื่องแบบราชสำนักที่ตัดเย็บพอดีตัว หลังตรงแน่ว ต่อให้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่งก็ยังคงดูจริงจัง มารยาทเพรียบพร้อม
ชายชราผู้นั้นที่ติดตามข้างกายราชินีรัตติกาล!
“ผู้อาวุโส เหตุใดถึงเป็นท่าน”
หลินสวินตกใจ ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาแล้วว่าราชินีรัตติกาลต้องการข้ามอมตะเคราะห์ครั้งแรก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกศัตรูโจมตีจึงย้ายตำหนักรัตติกาลไป
เดิมคิดว่าจะไม่ได้พบชายชราผู้นี้อีกพักใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับปรากฏตัวที่สำนักศึกษามฤคมรกตในตอนนี้!
“นั่งเถิด ข้ามีเวลาไม่มาก ครั้งนี้เพียงใช้เจตจำนงจำแลงร่างมา ใช้ได้ไม่นานก็จะหายไป”
ชายชราพูดพลางยิ้มบางๆ ยังเมตาและอ่อนโยนดังเดิม
หลินสวินพยักหน้า นั่งขัดสมาธิลงอีกด้านหนึ่ง เวลานี้ถึงได้รับรู้อย่างเฉียบแหลมว่า พลังปราณบนกายของชายชราต่างออกไปอยู่บ้าง ดูคลุมเครือคล้ายไม่มีจริง ทำให้ผู้อื่นคาดเดาไม่ได้
นี่ก็คือร่างแยกร่างหนึ่งที่เกิดจากการใช้เจตจำนงจำแลงร่างหรือ
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินจิตใจสั่นระรัว ต้องมีพลังปราณที่น่าหวาดหวั่นขนาดไหนถึงมีทักษะอัศจรรย์เกินธรรมดาเช่นนี้ได้
“เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาคร่าวๆ แล้วว่าก่อนหน้านี้คุณหนูออกจากจักรวรรดิจื่อเย่า มุ่งหน้าไปยังดินแดนลี้ลับเพื่อก้าวผ่านอมตะเคราะห์เป็นครั้งแรก”
ชายชราพุ่งตรงประเด็น ไม่พูดพร่ำทำเพลง บางทีคงเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขามีเวลาไม่มาก ร่างจำแลงเจตจำนงนี้ก็จะหายไป
“น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ล้มเหลวเสียแล้ว ไม่ได้แพ้ให้สวรรค์ ทั้งไม่ได้แพ้เพราะตัวเอง แต่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือศัตรู เฮ้อ!”
ชายชราทอดถอนใจแผ่วเบา ความไม่ยินยอมที่อยู่ในน้ำเสียงนั้นทำให้หลินสวินอดไหวหวั่นไม่ได้ อมตะเคราะห์ครั้งแรกล้มเหลวแล้วหรือ
นี่คงไม่ได้หมายความว่าราชินีรัตติกาลลึกลับผู้นั้นได้…
“คุณหนูยังไม่สิ้น”
ชายชราพูดขึ้นทันใด “เพราะก่อนอมตะเคราะห์ที่แท้จริงจะมาเยือน คุณหนูก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว นางรู้ตัวว่าต้องล้มเหลว จึงสำแดงวิชาจักจั่นทองลอกคราบ รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่คุณหนูทำได้เพียงจำศีลอย่างเงียบเชียบไปพักใหญ่”
หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก ในสมองเขาคิดถึงราชินีรัตติกาลผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว
สตรีที่ท่วงท่าสง่างาม สามารถใช้คำว่าเทียมฟ้ามาบรรยายได้ผู้หนึ่ง ผมยาวเกล้าสูงใช้ปิ่นไม้ฉลุลายปักษาเพลิงสีดำเล่มหนึ่งเสียบไว้เป็นมวย นางดูอ่อนเยาว์มาก ผิวพรรณอ่อนนุ่มเปล่งปลั่ง ละเอียดบอบบาง นัยน์ตาสีท้องฟ้ามีความเฉยชาที่มีเพียงคนชั้นสูงจึงจะมีได้
ที่หลินสวินจำได้ดีที่สุดก็คือ บนนิ้วก้อยซ้ายเรียวเล็กขาวสะอาดของนางสวมแหวนฝังอัญมณีสีดำอยู่วงหนึ่ง แหวนนั้นมีรูปร่างราวนัยน์ตาแนวตั้งเบิกกว้างดวงหนึ่ง น่าหวั่นกลัวหาใดเทียบ ราวกับเป็นดวงตาของมารร้ายจากนรก สามารถเก็บชิงวิญญาณได้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสตรีผู้นี้รวมความโบราณ สง่างามและเพริศแพร้วไว้ในตัวคนเดียว ทั้งร่างแผ่กระจายความเย็นชาและความน่าเกรงขามที่เป็นของคนชั้นสูง
ไม่มีใครสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของนางอย่างชัดเจน เพราะในสายตาของผู้อื่น นางก็เหมือนเงาที่อาบไล้อยู่ภายในเงามืด ความมืดเช่นนั้นราวสามารถทำให้สรรพสิ่งในโลกาจ่อมจมได้!
ต่อให้หลินสวินไม่ได้รู้สึกอันใดต่อราชินีรัตติกาล แต่กลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สตรีนางนี้พิเศษและแข็งแกร่งนัก ทำให้เมื่อเขาคิดถึง ก็นึกย้อนถึงรายละเอียดทุกอย่างของนางได้อย่างลึกซึ้ง!
ราชินีผู้ลึกลับเช่นนี้ กลับถูกศัตรูกล้ำกราย ทำลายโอกาสก้าวข้ามอมตะเคราะห์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป น่ากลัวจะทำให้ทั้งใต้หล้าตกอยู่ในความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
ฉับพลันนั้นหลินสวินที่ความคิดโลดแล่นก็ถูกคลื่นพลังระลอกหนึ่งทำให้ตกใจตื่น ก็เห็นว่าชายชราที่อยู่ตรงข้ามยกหินหยกดำที่ยาวราวจั้งหนึ่งออกมา
มองดูแล้วเหมือนโลงศพใบหนึ่ง สีและความแวววาวดำสนิทราวราตรีนิรันดร์ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเปล่าเปลี่ยวและเย็นเยียบ
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว ด้วยสายตาของหลินสวินถูกภาพภายในหินหยกดำนั้นดึงดูด
ภายในเป็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ หมวกม่านปิดบังใบหน้าส่วนใหญ่ เผยคางเล็กที่เกลี้ยงเกลาขาวกระจ่าง
สองมือของนางวางซ้อนกันบนท้องน้อย เกี่ยวกระหวัดเป็นท่ามุทราประหลาด นอนนิ่งอยู่เช่นนั้น สงบนิ่งผ่อนคลายราวกับตกอยู่ในห้วงนิทรานิรันดร์
ซย่าจื้อ!
หลินสวินจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้าง เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าในเวลาแบบนี้จะพบนางด้วยวิธีเช่นนี้
จะสามปีแล้ว!
เด็กหญิงในตอนนั้น หลังจากถูกราชินีรัตติกาลพาตัวไปก็หายไปโดยสิ้นเชิงเหมือนระเหยไปจากโลกนี้
แต่วันนี้ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง นาง…กลับถูกผนึกอยู่ในหยกสีดำก้อนหนึ่ง!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
หรือว่า นางเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ครู่เดียวความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินก็กระเพื่อมไหว ยุ่งเหยิงไปหมด เอ่ยว่า “อาวุโส นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“นางไม่เป็นอะไร เพียงแต่กำลังแปรสภาพ”
ชายชราอธิบายเสียงนุ่ม
“แปรสภาพหรือ”
“ใช่ แปรสภาพ”
ชายชราสีหน้านิ่งสงบ มีพลังที่พาให้ผู้อื่นใจเย็นลง “ซย่าจื้อสืบทอดวิชาของคุณหนู ตั้งแต่เข้าไปในปราสาทรัตติกาลก็เริ่มฝึก ‘คัมภีร์จุตินพชาติ’ ทุกครั้งที่มีการตื่นขึ้นของพลัง ก็จะมีการจุติดับสูญครั้งหนึ่งตามมา ดังนั้นจึงเกิดการแปรสภาพราวเกิดใหม่ทำนองนี้ด้วย”
“ก่อนหน้านี้ซย่าจื้อบรรลุระดับกระบวนแปรจุติแล้ว เริ่มจุติและเกิดใหม่ครั้งแรก พลังที่ฝึกปราณมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะแปรสภาพเป็นพลังแฝง ทำให้ร่างกาย กระดูกและพรสวรรค์ของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด”
“เพียงแต่หลังจากนางตื่นขึ้นครั้งนี้ก็จะต้องเริ่มฝึกปราณใหม่ทั้งหมด ก็พูดได้ว่า ทักษะยุทธ์และพลังปราณก่อนจุติกำเนิดใหม่จะไม่มีอยู่แล้ว แต่จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังแฝงอย่างหนึ่ง กลายเป็นรากฐานให้นางฝึกปราณใหม่อีกครั้ง”
หลินสวินสั่นสะท้านในใจ นี่มันวิชาอะไรกัน ถึงได้เย้ยฟ้าเช่นนี้!?
จุติหนึ่งครั้ง ก็เหมือนขจัดสิ้นวิถียุทธ์ กลับมาหล่อเลี้ยงตนเองใหม่แล้วเริ่มฝึกปราณอีกครั้ง นี่ก็เหมือนเกิดใหม่มาฝึกปราณทุกครั้ง น่าตกใจเกินไปแล้ว
หลินสวินถึงกับทำใจเชื่อได้ยาก โลกนี้จะมีวิชาลึกลับเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างมหัศจรรย์เกินจินตนาการ
“ก่อนจุติครั้งนี้ ซย่าจื้อเคยพูดว่า หลังจากแปรสภาพแล้วต้องฝึกปราณอยู่ข้างกายเจ้า หาไม่ต่อให้ต้องหลับใหลชั่วนิรันดร์ก็ไม่เสียใจ”
ชายชราสีหน้าอ่านยากอยู่บ้าง
ในใจหลินสวินบังเกิดกระแสความอบอุ่นและรู้สึกผิดที่ยากบรรยาย เด็กน้อยคนนี้ที่แท้ก็คิดคำนึงถึงตนมาโดยตลอด
ต่อให้รู้เช่นนี้ หลินสวินก็ยังไม่เข้าใจ จึงถามว่า “เหตุใด…นางถึงทำเช่นนี้”
“เพราะทุกครั้งที่นางจุติ ที่ถูกขจัดไปไม่ได้มีเพียงวิชายุทธ์กับพลังปราณ ยังมีความทรงจำในอดีต นาง…กลัวจะลืมเจ้า”
ชายชราเอ่ยสาเหตุที่แท้จริงออกมา
นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
สูญเสียความทรงจำ!
เมื่อคิดว่าหลังจากซย่าจื้อฟื้นขึ้นมาแล้วจะจำตนไม่ได้ ไม่อาจนึกถึงเรื่องราวในวันวานได้อีก ในใจหลินสวินพลันเกิดความเดือดดาลที่พูดไม่ถูกขึ้นมา!
นี่มันวิชาบ้าบออะไรกัน!?
จริงอยู่ว่าวิชานี้เย้ยฟ้านัก ไม่อาจคาดคิดได้ยิ่ง แต่ทำให้สูญเสียความทรงจำในอดีตทุกครั้งที่จุติ นี่มันโหดร้ายขนาดไหน
สีหน้าหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น่าดู หากรู้อยู่ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ เขายอมไม่ให้ซย่าจื้อถูกราชินีรัตติกาลผู้นั้นพาตัวไปเสียดีกว่า!
สีหน้าชายชราฉายแววรู้สึกผิด ขณะกำลังจะพูดอะไรกลับได้ยินเสียงหักถี่ดังเปรี๊ยะๆ ขึ้น
ก็เห็นว่าหยกสีดำยาวราวจั้งนั้นกลับเกิดรอยแตกหักในเวลานี้!
การแปรสภาพของซย่าจื้อสมบูรณ์แล้วหรือ
ในใจหลินสวินรัดเกร็งในทันใด เขาพลันไม่กล้าเผชิญหน้าอยู่บ้าง กลัวว่าเมื่อซย่าจื้อฟื้นขึ้นมาจะลืมทุกอย่าง มองเขาเป็นคนแปลกหน้า…
——
ตอนที่ 518 ความทรงจำหนึ่งเดียว
โดย
ProjectZyphon
เปรี๊ยะ!
ในที่สุด เสียงแตกดังระเบิดขึ้น หยกสีดำแปรสภาพเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงริน ในเวลาเดียวกัน ซย่าจื้อที่หลับลึกอยู่ในนั้นก็หยัดกายขึ้น
ร่างของนางยังอ่อนนุ่มดังแต่ก่อน แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าถูกหมวกม่านบดบัง ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ทั้งร่างอวลไปด้วยพลังปราณราวรัตติกาลวังเวงคลุมเครือเป็นชั้นๆ
“คำนวณเวลาดูก็ควรฟื้นได้แล้ว” ใบหน้าอ่อนโยนของชายชราปรากฏแววพึงพอใจ ทั้งตื่นเต้นอย่างยากปกปิด
ซย่าจื้อนิ่งอยู่เช่นนั้นราวไม่รับรู้อะไร
ส่วนหลินสวินเวลานี้อึ้งงันไปแล้ว ปากต้องการจะเรียกชื่อซย่าจื้อ แต่กลับกลัวว่าอีกฝ่ายจะจำตนไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นต้องกระทบกระเทือนจิตใจทุกข์ตรมหาใดเปรียบแน่
ในใจเขาสับสน สีหน้าอึมครึมไม่สงบ หากเสียความทรงจำไป เช่นนั้นแล้วซย่าจื้อที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นซย่าจื้อที่ตนคุ้นเคยไหม
บรรยากาศในกระท่อมเงียบเชียบไปครู่หนึ่ง
ชายชราถอนใจเสียงดัง ราวกับเข้าถึงจิตใจของหลินสวินในเวลานี้ จึงถามไปอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าไม่ต้องผิดหวังเสียใจไป ตามที่ข้ารู้ หลังจากผ่านการจุติเก้าครั้ง ความทรงจำในอดีตก็จะถูกเปิดออกอีกครั้ง แปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์และการรับรู้ต่างๆ และนางจะได้รับสิ่งเหล่านั้นกลับมา”
หลินสวินสีหน้าเศร้าหมอง จุติและกำเนิดใหม่เก้าครั้งหรือ เช่นนั้นจะต้องรอถึงเมื่อไร
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หากซย่าจื้อฝึกปราณล้มเหลวกลางทางเล่า นางจะยังจำตนได้อยู่ไหม
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัวอย่างเฉียบพลัน รับรู้ว่าซย่าจื้อที่อยู่ไม่ไกลทอดสายตามายังตน จากนั้นก็เอ่ยว่า “หลินสวิน ข้าหิวแล้ว”
เสียงนั้นกังวาน สงบนิ่งและล่องลอยเหมือนแต่ก่อน
แต่ก็เพราะคำพูดไม่กี่คำนี้ กลับทำให้หลินสวินและชายชราล้วนอึ้งงันอยู่เช่นนั้นในทันใด มีท่าทางไม่เชื่อหูตัวเอง ซย่าจื้อนาง…เรียกชื่อหลินสวินออกมา!
นี่ไม่ได้หมายความว่านางยังจำหลินสวินได้หรือ
ความกระวนกระวาย ผิดหวังและขัดเคืองในใจหลินสวินก่อนหน้านี้ เวลานี้ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจโดยสมบูรณ์ พูดเสียวสั่นเครือว่า “ซย่าจื้อ เจ้ายังจำข้าได้หรือ”
ซย่าจื้ออึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ข้าไปลืมเจ้าตอนไหน”
หลินสวินคลี่ยิ้มแล้ว เป็นยิ้มสดใสกว่าปกติ ในใจถูกความปรีดาแทนที่ ผุดลุกขึ้นกอดซย่าจื้อไว้แล้วพูดพลางหัวเราะร่าว่า “ฮ่าๆ เจ้ายังจำข้าได้! สวรรค์มีตาแล้ว ทำเอาข้ากังวลใจเสียเปล่าเลย ฮ่าๆๆ…”
ชายชรากลับยังฉงนอยู่บ้าง สีหน้าเคร่งขรึม หรือว่าการจุติล้มเหลวเสียแล้ว เหตุใดซย่าจื้อยังรักษาความทรงจำเกี่ยวกับหลินสวินไว้ได้
ซย่าจื้อเมื่อถูกหลินสวินกอดไว้และเห็นเขายิ้มอย่างดีอกดีใจราวคนบ้าเช่นนั้น ก็อดขมวดคิ้วงดงามของนางไม่ได้ ยิ่งสงสัยจึงถามว่า “หลินสวิน เหตุใดเจ้าถึงได้ทำตัวเป็นเด็กน้อยเช่นนี้”
ทำตัวเป็นเด็กน้อย…
หลินสวินชะงักไป พลันยิ่งยินดีขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่วิธีการพูดของซย่าจื้อหรือ นางโดดเด่นและสุขุมเช่นนี้เสมอ ไม่เหมือนกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันเอาเสียเลย
“ซย่าจื้อ เจ้าไม่ได้ทำพลาดตอนฝึกคัมภีร์จุตินพชาติใช่ไหม” ชายชราอดไม่ได้จึงเอ่ยถาม
เสียงของซย่าจื้อพลันเย็นชา “หลินสวิน เขาเป็นใคร”
ชายชรางงงัน หลินสวินเองก็ด้วย “เจ้า…จำเขาไม่ได้หรือ”
ซย่าจื้อส่ายหัว “จำไม่ได้”
เวลานี้หลินสวินและชายชราก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
หลินสวินปล่อยซย่าจื้อแล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า “ซย่าจื้อ เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าตอนนี้ยังจำอะไรได้บ้าง”
ซย่าจื้อนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า อย่างอื่นข้าก็ลืมไปหมดแล้ว”
น้ำเสียงนางเรียบเฉย เสียงพูดเลื่อนลอย เหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ ไม่แน่บางทีสำหรับนางแล้ว ขอแค่จำหลินสวินได้ ต่อให้ลืมสรรพสิ่งในโลกนี้ก็ไม่เป็นไร
หลินสวินอดไม่ไหวหัวเราะออกมา เขาพลันพบว่าขอเพียงซย่าจื้อจำเขาได้ เรื่องอื่นก็ไม่สลักสำคัญแล้ว
“ให้ข้าตรวจสอบดูหน่อย”
ชายชรายื่นมือออกมาจับข้อมือของซย่าจื้อไว้ แต่เขาไม่ทันได้คว้ามือ ก็ถูกซย่าจื้อใช้นิ้วมืออ่อนนุ่มขาวสะอาดทิ่มไปยังดวงตาของชายชราอย่างรวดเร็วรุนแรง
เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ร้ายกาจ!
ทำให้หลินสวินเหมือกลับไปสมัยอยู่ที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ตอนนั้นฝีมือยามนางจู่โจมสัตว์ร้ายและประมือกับตนก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
นี่แทบจะเป็นสัญชาตญาณ ทว่าแม่นยำจนน่ากลัว!
เห็นได้ชัดว่านางลืมชายชรา มองเขาเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว เมื่อเขาเข้าใกล้ ก็ทำให้นางโต้กลับอย่างดุดันไร้ความปรานีทันที!
เพียงแต่การโต้กลับของซย่าจื้อโต้เสียแรงเปล่า ถูกชายชราผนึกลงอย่างง่ายดาย ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็รีบเอ่ยปากว่า “ท่านลุงผู้นี้ไม่ใช่คนไม่ดี เขาเพียงจะตรวจร่างกายให้เจ้า”
ท่านลุง?
ชายชราอดกลอกตาไม่ได้ แต่หลังเห็นซย่าจื้อสงบลงไม่ตอบโต้ เขาก็หน่ายจะมากความแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่งชายชราก็ปล่อยมือด้วยความงงงวย
“ผู้อาวุโสเป็นอย่างไรบ้าง” หลินสวินถาม
“ไม่มีปัญหาอะไร การแปรสภาพครั้งแรกสมบูรณ์มาก คัมภีร์จุตินพชาติกลายเป็นสัญชาตญาณหนึ่งในการฝึกปราณของนางแล้ว ไม่หลงเหลือข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ทว่า…”
ชายชรานิ่วหน้า “เหตุใดนางถึงยังจำเจ้าได้”
“เป็นเช่นนี้ไม่ยิ่งดีหรือ” หลินสวินยิ้มอย่างดีใจ
“เฮ้อ” ชายชราถอนใจเบาๆ เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่แน่บางทีอาจทำได้เพียงรอให้ราชินีรัตติกาลฟื้นจากการจำศีลถึงจะให้คำอธิบายที่แน่ชัดได้
“หลินสวิน ข้าหิวแล้ว” ซย่าจื้อเอ่ยปากอีกครั้ง เสียงกังวานน่าฟังเหมือนเสียงสวรรค์
หลินสวินพลันไม่คิดถึงสิ่งอื่น พูดขึ้นอย่างดีอกดีใจว่า “ข้าจะไปย่างปลาให้เจ้ากิน!”
เขาพุ่งออกไปจากกระท่อม หาวัตถุดิบจากที่นั่น ตรงเข้าจับปลาตัวใหญ่อวบอ้วนหาใดเทียบสิบกว่าตัวจากริมธาร ก่อกองไฟ หลังจากชำแหละและล้างปลาก็ใช้กระบี่วิญญาณเสียบเข้าไปแล้วเริ่มย่างไฟ
แม้ไม่มีเครื่องปรุง แต่ในตัวปลาเหล่านี้มีพลังวิญญาณเล็กละเอียด หลังย่างเสร็จจึงมีกลิ่นหอมสดใหม่ มีรสชาติดีเป็นพิเศษ
ซย่าจื้อตามออกมา นั่งนิ่งอยู่ข้างกายหลินสวิน สองมือเนียนละเอียดกอดเข่า ตอนนี้พลบค่ำแล้ว แสงอัสดงบนขอบฟ้าราวเปลวเพลิง สาดแสงสายัณห์สีส้มแดงย้อมภูเขาเขียว
ที่ริมธารน้ำใสกระจ่าง กองไฟลุกโชน ปลาย่างสีน้ำตาลทองมีมันไหลออกมาส่งกลิ่นหอมยั่วยวน หลินสวินกับซย่าจื้อนั่งตรงนั้น ช่างเป็นภาพที่งดงามนัก
ตรงหน้ากระท่อม ชายชราจ้องมองภาพนี้ หลังจากผ่านไปนานในที่สุดก็ยิ้มอย่างวางใจ ไม่แน่บางที ให้นางฝึกปราณอยู่ข้างกายหลินสวินก็จะมีการรับรู้ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกระมัง…
“จะไปแล้วหรือ” ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักปรากฏตัวหน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อไร
ชายชราพยักหน้า “ก่อนคุณหนูจะจำศีล เคยมีลางบอกเหตุรับรู้ล่วงหน้าว่ามหามรรคฟ้าดินเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่นาน มหาสงครามครั้งใหญ่จะเปิดฉาก หากเจ้าสนใจก็เตรียมตัวไว้ก่อนได้ จักรวรรดิจื่อเย่านี้ ท้ายที่สุดแล้วก็จะเป็นสิ่งที่จะถูกมหามรรค…ละทิ้ง”
“ไม่ต้องรีบร้อนไป อีกนานกว่าจะเกิดมหาสงคราม ที่แห่งนี้แม้จะเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับดินแดนรกร้าง แต่ที่นี่ก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างภาพลักษณ์ภายนอก หาไม่แล้วคุณหนูตระกูลเจ้าก็คงแผลงฤทธิ์ที่นี่ไม่ได้นานขนาดนี้หรอก”
เจ้าสำนักมีวาจาเนิบสบายเหมือนสายลมแผ่วเบา
“ก็อาจจะนะ ก่อนไป มีคำขอร้องไร้เหตุผลอย่างหนึ่ง ขอให้สหายยุทธ์อย่าได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งมรรควิถีของนาง” สายตาของชายชรามองไปยังซย่าจื้อที่อยู่ข้างกองไฟ
“เคราะห์กรรมของนางผูกโยงกับตำหนักรัตติกาลของพวกเจ้ามากเกินไป ข้าไม่เข้าไปแทรกแซงสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว” เจ้าสำนักรับปากอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณยิ่ง”
เวลานี้เงาร่างชายชราเลือนรางขึ้น แปรสภาพเป็นละอองแสงแล้วหายไป
ภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว แม้หลังจากซย่าจื้อแปรสภาพจุติครั้งแรก จะยังรักษาความทรงจำเกี่ยวกับหลินสวินไว้ได้ แต่นี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อมรรควิถีของนาง
นี่ก็เพียงพอแล้ว
“สหายยุทธ์รักษาตัวด้วย”
เจ้าสำนักประสานมืออยู่นาน ดวงตากร้านโลกบังเกิดแววลุ่มลึก เหมือนมองปริศนาของเก้าชั้นฟ้าสิบชั้นดินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ทอดมองไปยังร่างของหลินสวินและซย่าจื้อ ก่อนจมสู่ห้วงความคิด
ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้าอย่างเงียบเชียบ แล้วถอนหายใจ
ไม่เพียงแต่ซย่าจื้อ แม้แต่เส้นทางของหลินสวินเขาก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปได้ง่ายๆ ตั้งแต่ได้เห็นความพิเศษของหลินสวินในกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ เขาก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีหนทางเป็นของตนเอง ไม่อาจแทรกแซงได้
ที่เขาพอจะทำได้ ก็คงเป็นการปกป้องอย่างเงียบๆ ในสำนักศึกษามฤคมรกตแห่งนี้ อย่างไรเสียตอนนี้หลินสวินก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกขาดจากสำนักศึกษาได้ เขาไม่อาจนิ่งดูดาย
……
ท่าทางยามซย่าจื้อกินอาหารละเมียดละไมนัก เหมือนกลิ่นอายเยือกเย็นไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่นางมอบให้ผู้อื่น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะกินช้า
เห็นว่ามือน้อยของนางกำลังฉีกเนื้อปลาเปล่งปลั่งราวหิมะ ปากเล็กๆ ก็เคี้ยวงุบงับ ทุกครั้งที่กินปลาหมดตัวหนึ่ง จะเป็นเวลาที่หลินสวินย่างปลาอีกตัวหนึ่งเสร็จพอดี ควบคุมเวลาได้แม่นยำยิ่งนัก
ท้องเล็กๆ ของนางเหมือนหลุมดำหลุมหนึ่ง สามารถกินปลาสิบกว่าตัวจนเกลี้ยง เวลานี้ถึงเช็ดปากอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยวิจารณ์ว่า “หลินสวิน รสออกจะจืดไปนะ ครั้งหน้าอย่าลืมใส่เกลือเยอะหน่อย”
หลินสวินพลันกลั้นอึ้งไป ซย่าจื้อพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ
ทันใดนั้นเขาก็ตบหน้าผากแล้วผุดลุกขึ้น “ข้าลืมไปเรื่องหนึ่ง”
ราตรีมาเยือน
ในห้องโถง จ้าวไท่ไหลพึมพำอย่างไม่พอใจยิ่งว่า “ดื่มชาจนรากจะงอกจากปากแล้ว เจ้าหนูนั่นยังไม่โผล่หัวมา ช่างเหิมเกริมนัก!”
จ้าวจิ่งเซวียนกลับไม่ทุกข์ไม่ร้อน พูดพลางยิ้มบางๆ ว่า “ท่านอาเก้า รากจะงอกมาจากปากได้อย่างไรเล่า”
จ้าวไท่ไหลพลันรู้สึกเก้อกระดาก ถลึงตาแล้วพูดว่า “ไร้สาระ นี่มันคำหยาบ ถามเช่นนี้ได้หรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดพลางหัวเราะคิกคัก “รู้แล้วยังพูดคำหยาบต่อหน้าข้า ท่านไม่กังวลว่าข้าจะทูลเสด็จพ่อหรือ”
ในเวลานี้เองหลินสวินก็ปรากฏตัวแล้ว จ้าวไท่ไหลพลันเปลี่ยนเรื่อง พูดอย่างขัดเคืองว่า “เจ้าหนู เจ้าไม่จริงใจเท่าไรนะ ทิ้งพวกเราไว้ที่นี่ไม่ถามไม่ไถ่เลยหรือ”
“นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักเชิญหรือขอรับ ข้าจะกล้าหลู่เกียรติพวกท่านทั้งสองได้อย่างไร” หลินสวินยักไหล่
จ้าวไท่ไหลพลันกลอกตา หลินสวินอ้างชื่อเจ้าสำนัก ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาจะกล้าไปกล่าวโทษเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกตได้อย่างไร
นั่นไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
“สหายยุทธ์หลินสวิน นี่ก็สายมากแล้ว ข้าจะพูดสั้นๆ เจ้าน่าจะรู้จุดประสงค์ที่พวกเรามาเป็นอย่างดี ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะเริ่มลงมือเมื่อไร”
จ้าวจิ่งเซวียนลุกขึ้นพูดพลางยิ้มบาง รูปลักษณ์งดงามโดดเด่น ต่อให้ปลอมตัวเป็นชายก็ยากจะบดบังความงามผุดผ่องเช่นนั้นได้
หลินสวินพูดอย่างชัดเจนว่า “อีกเจ็ดวันก็แล้วกัน ช่วงเวลานี้ข้าต้องเตรียมตัวใคร่ครวญให้ดี”
“ได้!”
ดวงตาของจ้าวจิ่งเซวียนฉายแววชื่นชม
มีเพียงจ้าวไท่ไหลที่รู้สึกแปลกๆ เจ้าหนูเจ้าเล่ห์หาใดเทียบนี่พูดจาดีๆ เช่นนี้เป็นตั้งแต่ตอนไหน
__
ตอนที่ 519 ข่าวลือฟ้าเปลี่ยน
โดย
ProjectZyphon
ในที่สุดจ้าวไท่ไหลก็มอบถุงเก็บของถุงหนึ่งกับแผนภาพผืนหนึ่งให้หลินสวิน
ในถุงเก็บของมีวัตถุดิบวิญญาณนานาชนิดที่จำเป็นในการหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกร รวมทั้งสิ้นหนึ่งพันกว่าอย่าง ร้อยกว่าชิ้นในนั้นล้วนเรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบวิญญาณล้ำค่าหายากทั้งสิ้น
ส่วนแผนภาพนั้นเป็นแบบของกระถางสมบัติเก้ามังกร อายุของแผนภาพเห็นชัดว่ายาวนานมากแล้ว ล้วนเป็นรอยเหลืองเก่าคร่ำคร่า มีกลิ่นอายตกตะกอนผ่านกาลเวลา
ตามที่จ้าวไท่ไหลแนะนำ เมื่อแรกตั้งจักรวรรดิก็เคยมีกระถางสมบัติเก้ามังกรใบหนึ่ง น่าเสียดายที่ถูกทำลายไปตั้งแต่สงครามครั้งที่หนึ่งแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาราชวงศ์แห่งจักรวรรดิวาดหวังมาตลอดว่าจะสามารถหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกรใบหนึ่งออกมาอีกครั้ง ที่น่าจนใจก็คือ ข้อกำหนดในการหลอมกระถางนี้คลุมเครือและยุ่งยากนัก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถหลอมได้
หลินสวินกางแผนภาพออกกวาดสายตาอ่าน ไม่นานก็สะท้านในใจ ด้วยถูกแบบอัศจรรย์ในนั้นดึงดูด
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้สติกลับมา พ่นลมหายใจยาวแล้วทอดถอนใจชื่นชมว่า “การออกแบบกระถางนี้ช่างอัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา เรียกได้ว่าเป็นงานฝีมือล้ำเลิศจากสวรรค์ พบเห็นได้ยากยิ่ง ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหลายสิ่ง เรียนรู้อะไรหลายอย่าง”
เขาพูดจบก็พลันมองดูจ้าวไท่ไหลกับจ้าวจิ่งเซวียน “ทั้งสองท่านไม่กังวลว่าแผนภาพนี้จะถูกข้าแพร่งพรายออกไปหรือ”
จ้าวไท่ไหลพลันหัวเราะ แสดงสีหน้าเหยียดหยันว่าเจ้าหนูนี่ช่างตื้นเขินไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียจริง
ขนาดจ้าวจิ่งเซวียนยังอดยิ้มละไมไม่ได้ อธิบายว่า “ต่อให้ภาพนี้ตกอยู่ในมือผู้อื่นก็เป็นเพียงเศษกระดาษไร้ประโยชน์ ข้อแรก หากไม่ใช่ปฐมาจารย์สลักวิญญาณก็ย่อมไม่มีทักษะหลอมกระถางนี้ได้ ข้อสอง เพราะวัตถุดิบวิญญาณที่ใช้หลอมกระถางนี้หายากยิ่ง ต่อให้ใช้อำนาจของราชวงศ์สะสมมานานนับพันปี ก็เพิ่งรวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นได้ครบอย่างยากลำบาก”
หลินสวินตะลึงไปแล้วลอบทอดถอนใจ ก็จริง กระถางสมบัติเก้ามังกรนี้เป็นถึงชุดศึกสลักวิญญาณที่เรียกได้ว่าโดดเด่นในใต้หล้าชิ้นหนึ่ง แค่มูลค่ามหาศาลของวัตถุดิบวิญญาณที่จำเป็น ก็ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่มีกำลังหลอมได้แล้ว!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้แผนภาพหายไป ผลกระทบก็ไม่ใหญ่โต
หลินสวินศึกษาแผนภาพอย่างละเอียดซ้ำไปซ้ำมาอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าสนใจจะหลอมกระถางนี้มาก แต่เกรงว่าจะใช้เวลาไม่น้อย”
“ไม่เป็นไร ขอเพียงหลอมออกมาได้ ข้ารอได้” ดวงตาสุกใสของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งประกายยินดี
“อืม ให้เสร็จสิ้นภายในสามเดือนจะเป็นการดีที่สุด เพราะอีกไม่นานหลานข้าคนนี้ก็ต้องออกจากจักรวรรดิกลับไปยังดินแดนรกร้างโบราณแล้ว” จ้าวไท่ไหลเอ่ยเสียงขรึม
“ไม่น่ามีปัญหา” หลินสวินนิ่งคิดแล้วจึงรับปาก
“สหายยุทธ์หลินสวิน เช่นนั้นก็ฝากด้วย” จ้าวจิ่งเซวียนพูดพลางกุมมือคารวะ
“เรียกข้าว่าหลินสวินก็ได้” หลินสวินยิ้มสดใส เขามีความรู้สึกที่ดีต่อจ้าวจิ่งเซวียนมาโดยตลอด แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิง แต่จิตใจและลักษณะท่าทางสง่างามไม่แพ้บุรุษโดดเด่นผู้ใดเลย
จ้าวจิ่งเซวียนส่งเสียงอืม ดวงตาสุกสกาวจ้องมองหลินสวิน พลันหัวเราะร่าออกมาจนเห็นฟันงามสีขาวเปล่งประกายแล้วพูดว่า “แม้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้ามองฐานะของข้าออก แต่เจ้าก็เรียกข้าว่าจ้าวเสวียนเถิด”
นางงดงามเพริดแพร้ว แม้จะปลอมตัวเป็นชาย แต่ตอนนี้ยามระบายยิ้มสดใสบนใบหน้า ริมฝีปากสีแดงสดเปล่งปลั่ง ฟันงามขาวสะอาด กลับมีกลิ่นอายความงามเป็นเอกลักษณ์ที่บดบังหญิงงามทั้งปวงได้
“เช่นนี้ดียิ่งแล้ว” หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน
จ้าวไท่ไหลทนดูต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง รู้สึกว่าเวลานี้หลินสวินยิ้มน่าเกลียดยิ่ง เหมือนตั้งใจเข้าหาจ้าวจิ่งเซวียน ทำเอาเขาอยากตีคนจนทนไม่ไหว จึงกระแอมขึ้นแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เอาล่ะ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน พวกเราขอลาล่ะ”
พูดจบก็ดึงแขนเสื้อจ้าวจิ่งเซวียนให้รีบจากไป แม้แต่หน้าก็ไม่หันมามอง
“หลินสวิน เช่นนั้นข้าจะรอฟังข่าวดีนะ” จ้าวจิ่งเซวียนโบกมืออำลา
หลินสวินยิ้มบางๆ และพยักหน้า สายตามองส่งพวกเขาจากไป ถึงได้พึมพำว่า “ที่แท้องค์หญิงคนนี้ก็งดงามปานนี้…”
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะแล้วส่ายหัว ฐานะของจ้าวจิ่งเซวียนสูงส่งเกินไป เหมือนสุริยันจันทราบนท้องนภา บิดาของนางเป็นถึงจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน มารดาเป็นจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ขนาดที่ร่ำเรียนของนางยังเป็นดินแดนพิสุทธิ์ที่โดดเด่นเกินใต้หล้าแห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ
หากเขากล้าคิดอะไรเกินเลย น่ากลัวจะถูกราชวงศ์ตามสังหารอย่างเต็มกำลังทันทีแน่
……
ตั้งแต่วันนี้ไป ข้างกายหลินสวินก็มีซย่าจื้อเพิ่มขึ้นมา เหมือนกลับไปสมัยอยู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ในใจมีความรู้สึกสงบมั่นคงอย่างบอกไม่ถูก
อีกทั้งหลินสวินก็ปิดด่านอีกครั้งแล้ว ยังคงเลือกชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณดังเดิม เพียงแต่ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วตรงที่ซย่าจื้อก็อยู่ด้วย
เสียงวิพากษ์วิจารณ์และความวุ่นวายของโลกภายนอกเหมือนห่างไกลออกไป ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อจิตใจของหลินสวินได้อีก
นี่อาจเรียกได้ว่า ยึดมั่นในปณิธานและจุดยืนของตน ไม่สนใจความผันผวนภายนอก
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
หลินสวินหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกรครั้งนี้ จิตใจสงบราบเรียบ เยือกเย็นสุขุม ยามยุ่งก็มานะจนลืมสิ้นเรื่องกินนอน ยามพักก็พูดคุยกับซย่าจื้อ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไร้กังวล
ส่วนซย่าจื้อวันๆ นอกจากกินก็นอน ยามเงียบสามารถไม่พูดคุยได้ทั้งวัน ดูน่ารักน่าชังนัก
พลังปราณในอดีตของนางถูกขจัดไป แต่หลินสวินกลับสังเกตได้ว่าพลังของนางเพิ่มขึ้นอย่างคงที่แทบจะตลอดเวลา!
นี่ช่างน่าตกใจไปแล้ว
แต่พอคิดถึงว่าตั้งแต่ซย่าจื้อจากตนไปครั้งก่อนก็เพิ่งผ่านไปสามปี นางสามารถฝึกปราณจนบรรลุระดับกระบวนแปรจุติได้ ก็ไม่ดูประหลาดขนาดนั้นแล้ว
ตามที่ชายชราตำหนักรัตติกาลท่านนั้นพูด หลังจากเริ่มจุติครั้งแรกตามคัมภีร์จุตินพชาติแล้ว มรรควิถีและพลังปราณในอดีตจะแปรสภาพเป็นพลังแฝงมหาศาลทั้งหมด ทำให้ซย่าจื้อเปลี่ยนแปลงไปใหม่โดยสิ้นเชิง
แค่คิดก็รู้ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้พลังปราณของซย่าจื้อต้องไม่เหมือนปกติ
นี่ทำให้หลินสวินอดทอดถอนใจเป็นครั้งคราวไม่ได้ว่า ผู้คนในโลกเรียกเขาว่าปีศาจพลิกฟ้า แต่ไม่ว่าจะเทียบกับจ้าวจิ่งเซวียนหรือซย่าจื้อ เขาก็หยิ่งผยองไม่ได้เลยสักนิด นี่ย่อมเป็นการกระทบจิตใจไม่น้อยครั้งหนึ่ง
ยังดีที่จิตใจเขาแน่วแน่พอ รู้ดีว่าขอเพียงฝึกปราณต่อไป ใช่ว่าจะด้อยกว่าผู้อื่น
การช่วงชิงมหามรรคใครจะเป็นที่หนึ่ง
ต้องเปิดตาเปิดใจดูต่อไป!
พูดตอนนี้ยังเร็วไป รอภายหลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหามรรค ฝ่าฟันโลกา จึงจะเป็นยามที่รู้สูงรู้ต่ำอย่างแท้จริง
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยไป เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลินสวินในโลกภายนอกก็ค่อยๆ แผ่วลง หลังจากอึกทึกครึกโครม ทุกสิ่งก็คืนสู่ความสงบในที่สุด นี่เป็นสัจจธรรม
ผู้คนในโลกาล้วนยอมรับสถานะและเกียรติภูมิของหลินสวินในเวลานี้ ก็ต้องดูว่าในวันข้างหน้าเขาจะเฉิดฉายเพียงชั่วคราวเหมือนดาวตก หรือส่องแสงโดดเด่นชั่วนิรันนดร์ดุจดวงตะวัน
โลกภายนอกแปรเปลี่ยนผันผวน ไม่ขาดเรื่องครึกโครมอยู่ตลอด และก็ไม่มีทางให้มีคนโดดเด่นครองความสะดุดตาได้เพียงผู้เดียว
ไม่นานมานี้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับดินแดนรกร้างโบราณพัดโหมไปทั่วนครต้องห้าม
“ได้ยินหรือยัง ศิษย์สาขายอดยุทธศาสตร์ของสำนักศึกษามฤคมรกตยี่สิบคนที่มีกู้อวิ๋นถิงรวมอยู่ด้วย ถูกส่งไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!”
“ไม่เพียงแต่พวกเขา ผู้โดดเด่นรุ่นเยาว์จากเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง รวมถึงขุมอำนาจใหญ่คับฟ้าบางกลุ่มก็เริ่มเคลื่อนไหวออกจากจักรวรรดิแล้ว”
“ทำเช่นนี้ทำไมกัน”
“ได้ยินว่าเพราะจักรวรรดิเรามหามรรคบกพร่อง ภายหลังสถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก และจะส่งผลกระทบต่อหนทางฝึกตนของผู้ฝึกปราณได้!”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน ว่ากันว่าหากผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะไม่ออกไปอีก ชั่วชีวิตนี้ก็ยากจะบรรลุระดับกระบวนแปรจุติได้ นี่ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์หรือพื้นฐาน แต่เป็นเพราะผลกระทบจากมหามรรคบกพร่อง”
“นี่จะเกิดฟ้าเปลี่ยน[1]หรือ”
“อย่าพูดมั่วๆ น่า ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นแค่ข่าวลือ ใครก็ชี้ชัดไม่ได้ว่าจริงหรือเท็จ แต่หากสามารถเข้าไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณได้ เช่นนั้นย่อมเป็นโชคดีที่หาได้ยาก ได้ยินว่าที่นั่นเป็นดินแดนพิสุทธิ์สำหรับฝึกปราณที่กว้างใหญ่หาใดเทียบ รุ่งเรืองเฟื่องฟู เต็มไปด้วยร่องรอยเซียนนับไม่ถ้วน!”
ข้อวิจารณ์ทำนองนี้ไม่นานก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนครต้องห้าม เป็นจริงหรือเท็จ ใครก็ฟันธงไม่ได้
แต่ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน ในนครต้องห้ามต่างลือไปทั่วแล้วว่า ผู้โดดเด่นรุ่นเยาว์ที่ทะลวงเข้าระดับหยั่งสัจจะอย่างดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังแห่งตระกูลเซี่ย ซ่งอวิ๋นจี้คุณชายใหญ่ตระกูลซ่ง กู้อวิ๋นถิงจากสำนักศึกษามฤคมรกต สือซวนคุณชายใหญ่แห่งอัครการค้าล้วนออกจากจักรวรรดิไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณแล้ว
นี่ย่อมทำให้ผู้คนสงสัยว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือไม่!
เนื่องจากคลื่นลมนี้กระจายออกไป ทำให้ทุกคนในจักรวรรดิเกิดความไหวหวั่น สุดท้ายยังคงเป็นราชวงศ์ที่ออกหน้าสยบความวุ่นวายนี้ลงไป
แต่ลับหลัง การแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับยังดำเนินต่อ ไม่แน่ว่าบางทีเมื่อเวลาคับขันมาถึง อาจจะเกิดการปะทุออกอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้
หลินสวินย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ เขาอยู่บนชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก แต่กลับไม่เหี่ยวเฉา
ถึงกับพูดได้ว่าเขาชื่นชอบชีวิตเงียบสงบที่สบายใจไร้กังวล เพียงต้องจดจ่อกับการทำงาน ตั้งใจฝึกปราณเช่นนี้
สองเดือนผ่านไป
ที่ชั้นเก้าหอหลอมวิญญาณพลันมีเสียงโครมครามราวมังกรคำรามดังสะท้านไปทั่ว สร้างความตกใจให้ผู้คนไม่รู้เท่าไรในทันใด
เพียงแต่ไม่นาน ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ก็เงียบลงและหายไป ไม่ได้ดึงดูดความสนใจและเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากนัก
ส่วนในชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ เงามายามังกรฟ้าเก้าตัวชูคอพุ่งทะลวงห้วงอากาศ ส่งเสียงคำรามเป็นระลอก สั่นสะเทือนจนห้วงอากาศบังเกิดวงคลื่น และที่ศูนย์กลางของเงามายาเก้ามังกร มีกระถางใบหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ กระถางนี้มีสามขาสองหู พื้นผิวมีลวดลายลึกลับส่องประกายไหววูบ ดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง
ในที่สุดเงามายาเก้ามังกรก็เร้นกายเข้าไปในกระถาง ปรากฏการณ์ประหลาดมากสีสันมลายไป แปรเปลี่ยนเป็นเรียบง่าย น่าเกรงขามและโอ่อ่า
เมื่อพินิจโดยละเอียด กระถางใบนั้นปากกลืนฟ้าดิน สองหูแบ่งหยินหยาง สามขาก่อกำเนิดสรรพสิ่ง มีพลานุภาพนั่งบัญชาการใต้หล้าทั่วทิศ อานุภาพค้ำยันฟ้าดิน สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ!
สำเร็จแล้ว!
ดวงตาหลินสวินอดฉายแววลุ่มหลงไม่ได้ นี่ก็คือกระถางสมบัติเก้ามังกร ชุดศึกสลักวิญญาณในตำนานที่ปฐมจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเคยใช้
ต่อให้มันไม่เคยข้ามด่าเคราะห์มาก่อน แต่พลานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาก็ยังคงหนักแน่นเกรียงไกรหาใดเทียบ มีท่วทำนองเทพดุจโอบรับห้วงนิรันดร์ ยิ่งใหญ่เหลือคณา
“หลินสวิน กระถางนี้มีท่วงทำนองแห่งจักรพรรดิวิถี หากใช้พลังแห่งจักรพรรดิควบคุม จะได้ครอบครองพลานุภาพที่ไม่อาจคาดคิดได้”
ซย่าจื้อก็ตกใจ ยืนจ้องกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้น แล้วพูดด้วยเสียงสงบนิ่งล่องลอยว่า “แต่ว่ามันไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าอย่าเอาแต่คิดถึงมันจะดีที่สุด หาไม่จะเป็นอุปสรรคต่อวิถีทางของเจ้าเอง”
หลินสวินอึ้งงัน อดประหลาดใจไม่ได้ เด็กน้อยซย่าจื้อคนนี้รู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ
——
[1] ฟ้าเปลี่ยน สื่อถึงการเกิดความเปลี่ยนแปลง สามารถใช้อธิบายถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งยังมีความหมายถึงเปลี่ยนการปกครองได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น