Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 511-512

 ตอนที่ 511 อาสัญสลาย

โดย

ProjectZyphon

หลินจงถือทวนยืนโดดเด่น แผ่นหลังตรงแน่ว รอบกายอบอวลไปด้วยกระบวนรอยสลักวิญญาณคลุมเครือขมุกขมัว หากกล่าวว่าเขาก่อนหน้านี้ครอบครองดาบคมโดดเด่นในใต้หล้า เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็มีพลังปราณไพศาลที่พาให้คนหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นมา


นี่ จึงจะเป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบของชุดศึกสลักวิญญาณ!


ต่างจากอาวุธวิญญาณและสมบัติวิญญาณในโลกา เมื่อทวนอยู่ในมือ ก็พัฒนาเป็นชุดศึกปกคลุมร่างกาย ทำให้พลังและอานุภาพของผู้ฝึกปราณเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าดิน!


คำว่า ‘ชุดศึก’ ก็มาจากสิ่งนี้


ทั้งที่นั้นเงียบเชียบไร้เสียง สายตาพวกคนใหญ่คนโตแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ส่วนนักสลักวิญญาณล้วนจิตใจสั่นไหว ไม่อาจสงบลงได้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นชุดศึกสลักวิญญาณที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง กลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์นั้น อธิบายได้อย่างหมดจดว่าอย่างไรเรียกได้ว่างานฝีมือชั้นเทพ


สวบ!


เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนยกพื้น มือถือกระบี่วิญญาณเล่มหนึ่งพุ่งจู่โจมไปที่หลินจง


นี่คือบุรุษชุดดำที่สีหน้าดุดันผู้หนึ่ง มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง เป็นผู้ที่อัครการค้าจัดมาให้ เพื่อพิสูจน์อานุภาพของชุดศึกสลักวิญญาณโดยเฉพาะ


กระบี่วิญญาณในมือบุรุษชุดดำมีสีแดงสดราวเปลวเพลิง แสงวิญญาณโชติช่วง นี่เป็นสมบัติระดับสวรรค์สูงค่าชิ้นหนึ่ง ราคาแพงลิ่ว และเป็นฝีมือของอัครการค้าเช่นเดียวกัน


ฮูม!


ทันทีที่ปรากฏตัว เงาร่างบุรุษชุดดำหายวับ กระบี่วิญญาณในมือพลันเปลี่ยนสภาพเป็นฝนเพลิงเต็มฟ้าโปรยปรายลงมา


ฝนเพลิงทุกสายล้วนเป็นกลายสภาพจากจิตกระบี่ดุดันที่ไม่อาจเทียบเทียมได้ เต็มไปด้วยพลังแห่งสัจวิถีธาตุไฟอย่างแท้จริง


ฝนเพลิงหลายสายเทลงมาอย่างหนาแน่นปกคลุมฟ้าดิน พลังอันโชติช่วงขั้นนั้น โจมตีห้วงอากาศให้เป็นรูเหมือนรังผึ้ง เผาผลาญจนสิ้น


“หม่าเถิง! วิชากระบี่ฝนเพลิง!”


มีคนร้องออกมาอย่างตกตะลึงด้วยรู้ฐานะของบุรุษชุดดำ ทั้งยังรู้ชื่อวิชาของการโจมตีนี้ว่าเป็นวิชากระบี่ที่มีชื่อเรื่องความดุดันอหังการ


เพียงแต่เมื่อเสียงร้องตกใจดังขึ้น ภาพที่เกินความคาดหมายก็ปรากฏ


ยามห่ากระบี่สีเพลิงเต็มฟ้าเทลงมา กำลังจะปกคลุมหลินจงจนมิด ก็เห็นแสงเทพเทาเข้มที่ประหนึ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาพุ่งออกมา ชั่วพริบตาฝนกระบี่เต็มฟ้าก็ถูกขจัดจนสิ้น!


ก็เหมือนรอยเปื้อนบนผ้าเขียนภาพ ถูกคนใช้น้ำใสสะอาดชะล้างอย่างง่ายดาย ดูไม่ต้องพยายามมากนัก


ทุกคนพลันตกตะลึงอ้าปากค้าง การจู่โจมที่แข็งแกร่งที่สุดของหม่าเถิงไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกสลายสิ้น และตั้งแต่เริ่มจนจบ หลินจงก็ยังไม่ได้ลงมือ…


เห็นได้ชัดว่า นั่นคือพลังของชุดศึกสลักวิญญาณ!


หม่าเถิงสีหน้าเปลี่ยนไป ร้องตะโกนเสียงยาวออกมา ยกกระบี่ชูขึ้นแล้วฟันลงมาอย่างเดือดดาล ไอกระบี่ราวมังกรเพลิงปรากฏกลางอากาศ


การโจมตีนี้ยิ่งน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ควบรวมพลังทั้งหมดของหม่าเถิง เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดการโจมตี ทำให้คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสหลายคนล้วนลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ ยกยอไม่หยุดหย่อน


และในเวลานี้ในที่สุดหลินจงก็เคลื่อนไหว มือเขาถือทวนยาวแต้มไปในอากาศอย่างเบามือ


ทุกสิ่งล้วนหยุดนิ่งลง ราวกับว่ายามนี้เวลาหยุดเดิน แข็งทื่อในพริบตานี้


ไอกระบี่ที่ดุดันร้ายกาจดุจมังกรเพลิงนั้น ก็ประหนึ่งถูกมือใหญ่ไร้รูปกำไว้แน่น ติดอยู่เช่นนั้นไม่อาจฟันลงไปได้


เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!


เสียงแตกที่ทำให้ตื่นตระหนกพลันดังขึ้น ก็เห็นว่าห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงที่มีหลินจงเป็นศูนย์กลางระเบิดสลายเป็นเสี่ยงๆ ราวกระจก กระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ


นี่…


ดวงตาของทุกคนแทบหลุดออกมา นี่มันสลายทำลายห้วงอากาศแล้ว! ต้องมีพลังน่าหวาดหวั่นขนาดไหนถึงจะทำได้ถึงขั้นนี้


เปรี้ยง!


ห้วงอากาศยิ่งถล่มลงมาอย่างฉับพลัน เหมือนฟองคลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเบิดออก เพียงแต่ฟองคลื่นล้วนเป็นสิ่งที่แปรสภาพมาจากห้วงอากาศที่ผันผวน


ไอกระบี่ราวมังกรเพลิงนั้นถูกทำให้จมลง แตกเป็นเสี่ยงและหายไปในทันใด เหมือนเรือโดดเดี่ยวกลางคลื่นใหญ่ ยากต้านทานอย่างไม่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด


สีหน้าของผู้มีอำนาจในที่นั้นพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้แต่บุคคลน่าหวั่นกลัวที่มีชื่อสะท้านไปทั่วอย่างราชันเลือดเหล็กและเทพเศรษฐียังอดประทับใจไม่ได้


พลังทำลายล้างที่เต็มเปี่ยมในการโจมตีนี้ ช่างถึงขั้นที่เกินธรรมดาสามัญยิ่ง!


โครม!


ในที่สุดกระบี่วิญญาณในมือหม่าเถิงก็ถูกโจมตีจนสลาย กลายเป็นละอองแสงปลิวว่อน


เสียงร้องตกใจดังขึ้นในที่นั้น หลายคนพากันนั่งไม่ติดลุกพรึบขึ้นมา ด้วยห้วงอากาศที่แปรปรวนกลายสภาพเป็นระเบิดนั้นม้วนกลืนยกพื้น อีกนิดก็จะกลืนหม่าเถิงไปทั้งตัว และใกล้จะแล้วพุ่งออกมาจากยกพื้น


แต่ในเวลานั้นทวนยาวในมือหลินจงสั่นสะเทือนคราหนึ่ง พลังปราณไพศาลไร้รูปพลันบังเกิด ทำให้พลังระเบิดซึ่งประหนึ่งเพลิงทำลายล้างที่กระจายออกมานั้นหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง


ภาพน่าหวาดหวั่นราวทำลายล้างนั้นพลันสลายไปเช่นนี้ ความรู้สึกแบบนี้ยากจะรับไหวจนแทบทำให้กระอักเลือด!


ส่วนเวลานี้ ทั้งร่างของหม่าเถิงโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ สีหน้าซีดเผือด


แม้พูดว่าครั้งนี้เขาถูกจัดมาทดสอบพลังชุดศึกสลักวิญญาณ แต่ชั่วขณะเมื่อครู่นั้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงไอแห่งความตายที่ถึงแก่ชีวิต ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังไร้ทางสู้ ดิ้นรนต่อต้านไม่ได้เลย น่ากลัวเกินไปแล้ว


ทุกคนพากันสั่นสะท้านด้วยความกลัว รวมถึงนักสลักวิญญาณอย่างพวกหลัวเฟิง ฮูหยินเป่าหวา และรวมถึงเหล่าผู้มีอำนาจที่ครอบครองพลังชั้นยอดในศาสตร์การฝึกปราณด้วย


ในที่นั้นเงียบเชียบ เงียบจนขนาดเข็มเล่มหนึ่งตกลงบนพื้นยังได้ยิน


ชิ้ง!


หลินจงเก็บชุดศึกสลักวิญญาณเข้าไปในกล่องสำริดอีกครั้ง


ในเวลาเดียวกันนี้ หลีอันปรากฏตัวบนยกพื้นทันที เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ทวนนี้มีนามว่าอาสัญสลาย พลานุภาพที่แน่ชัด ‘เป็นความลับ’”


การแนะนำนี้แม้เรียบง่าย ทว่าทรงพลัง!


อาสัญสลาย!


คิดถึงภาพน่าตกตะลึงทุกฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นึกถึงห้วงอากาศที่ระเบิดสลายราวฟองคลื่นนั้น นึกถึงพลังทำลายล้างที่พาให้ทุกคนขนหัวลุก ทุกคนต่างต้องยอมรับว่า นี่เป็นชุดศึกสลักวิญญาณที่ต่างจากชุดอื่นอย่างแน่แท้


มันช่างเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก ราวกับคมดาบทำลายล้างเล่มหนึ่ง เมื่อปรากฏขึ้นสู่โลกา ก็พาให้ทุกอย่างแหลกสลายมอดมรณาไปสิ้น!


หลังจากความเงียบเพียงครู่สั้นๆ บนที่นั่งผู้ร่วมงานก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อุ่นหนาฝาคั่งวุ่นวายไปหมด


คนใหญ่คนโตที่ได้เห็นพลานุภาพของอาสัญสลายด้วยตาตนเอง ทุกคนเวลานี้ล้วนไม่อาจนิ่งสงบได้แล้ว ชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งกลับสำแดงพลังทำลายล้างเย้ยฟ้าเช่นนี้ นี่ช่างพบเห็นได้ยากยิ่งนัก


พวกเขาล้วนแน่ใจว่าพลานุภาพที่สำแดงออกมาเมื่อกี้เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่ง ความอัศจรรย์และพลังที่แท้จริงนั้น อาจมีเพียงหลินสวินและหลินจงเท่านั้นที่ล่วงรู้!


แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น สมบัตินี้ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นในโลกา อย่างน้อยก็ไม่ด้อยกว่าชุดศึกสลักวิญญาณที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือบางชุดในจักรวรรดิตอนนี้เลยสักนิด


“แต่นี้ไป ในจักรวรรดิจะมีสมบัติล้ำค่าโดดเด่นในใต้หล้าเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น”


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การอุบัติขึ้นของอาสัญสลายต้องสะเทือนโลกาเหมือนพลังทำลายล้างของมันแน่”


“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ คนรุ่นเยาว์คนหนึ่งอย่างหลินสวินกลับมีความสามารถในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ หนทางข้างหน้าไม่อาจจำกัดได้แล้วสินะ”


ในที่นั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังขึ้น


เวลานี้ฮูหยินเป่าหวากลับสงบนิ่ง นางนั่งเงียบอยู่เช่นนั้น ตกอยู่ในห้วงความคิด เมื่อเทียบกับความสงบนิ่งบนใบหน้า ในใจนางกลับไม่อาจเยือกเย็นลงได้เลย นางไม่เหมือนกับผู้อื่น ด้วยมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่ง นางยิ่งเข้าใจเอกลักษณ์ของ ‘อาสัญสลาย’ อย่างไม่ต้องสงสัย


ไม่ใช่เพราะพลานุภาพของมันน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก แต่เป็นเพราะกลวิธีที่หลอมมันออกมาช่างเทียบเท่ากับการฝืนฟ้าตัดวิถี สัมผัสเข้ากับข้อห้ามแต่ไม่สลาย ช่วงชิงพลังสรรค์สร้างสรรพสิ่ง!


นางไม่อาจคาดคิดได้ว่าหลินสวินหลอมมันขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่ อีกทั้งใครเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาลับหลอมอาวุธเช่นนี้ให้เขา แต่นางกลับมีความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างหนึ่ง…


นางตกอยู่ในภวังค์ความคิด


“กระบี่เบิกฟ้า…”


ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของฮูหยินเป่าหวาพลันฉายแวววาบขึ้นมา ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ กลิ่นอายของอาสัญสลาย เหมือนกระบี่เบิกฟ้าในมือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน มีคลื่นพลังที่คล้ายคลึงยิ่งนัก!


“อาจารย์ กระบี่เบิกฟ้าถูกหลินสวินซ่อมแซมนานแล้ว หรือท่านมองอะไรออกหรือเจ้าคะ”


เฟิงชิงโยวที่อยู่ข้างกันสงสัย นางรู้สึกได้ว่าอาจารย์ในวันนี้แปลกไปจากปกติ


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”


ในใจฮูหยินเป่าหวาเดาออกได้รางๆ ว่าอาจารย์ของหลินสวินเป็นใคร สีหน้าอดปรากฏแววซับซ้อนขึ้นมาไม่ได้


“ชิงโยว เจ้าคิดจะติดตามข้างกายหลินสวินเพื่อเรียนรู้หรือไม่”


ฮูหยินเป่าหวาเอ่ยขึ้นมาฉับพลัน


เฟิงชิงโยวนิ่งอึ้งไปในทันใด ดวงตาโตสีดำสนิทเบิกกว้าง กล่าวว่า “อาจารย์ ท่านจะให้ข้าไปเรียนกับเขาหรือเจ้าคะ”


ฮูหยินเป่าหวาส่งเสียงอืม พูดอย่างเหม่อลอยว่า “เจ้าไปใคร่ครวญดูก็ได้”


เฟิงชิงโยวกัดริมฝีปากเรียบลื่น อึดอัดใจอยู่บ้าง หลินสวินอายุน้อยกว่าตนเสียอีก หากติดตามเขาเพื่อเรียนรู้ ช่าง…น่าขายหน้ายิ่ง!


นางรู้ว่าหลินสวินเก่งกาจ ไม่ใช่ผู้ที่ตนจะเทียบได้ แต่ความหยิ่งยโสในใจกลับทำให้นางก้มหัวให้เขาได้ยาก…


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้นไม่ขาดสาย แต่กลับไม่มีคนใหญ่คนโตสักคนจากไปในตอนนี้ เพราะพวกเขารู้ดีว่างานแถลงครั้งนี้เพิ่งเริ่มขึ้น ต่อไปรอเมื่อหลินสวินออกโรงจึงจะเป็นฉากเด็ด!


ด้วยฐานะของพวกเขาแต่ละคนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล ฐานันดรสูงส่งยิ่งในจักรวรรดิ เหตุใดถึงมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ในครั้งนี้เล่า


นอกจากต้องการประจักษ์ชุดสลักวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ด้วยตาตัวเองแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องการอาศัยโอกาสนี้แย่งชิงโอกาสครั้งหนึ่ง


ส่วนจะเป็นโอกาสอะไรกันแน่นั้น อีกครู่หนึ่งก็จะรู้


“เมื่อครู่ไม่ใช่มีคนพูดว่าหลินสวินทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตาหรือ ตอนนี้ข้ากลับอยากถามสักคำว่าเป็นหลินสวินทำตัวเกินหน้าเกินตา หรือเป็นใครบางคนใช้ความอาวุโสเข้าข่มกันแน่”


ทันใดนั้นเหล่าโม่ก็เอ่ยปาก ทำให้หลายคนชำเลืองมอง และนึกถึงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเมื่อครู่


อย่างที่คิด เมื่อได้ยินคำนี้สีหน้าหลัวเฟิงเคร่งขรึมในทันใด แต่เขาก็ระงับอารมณ์ไว้ได้ พูดโดยไม่ชักสีหน้าว่า “เพราะมีข้อสงสัย จึงสามารถสำแดงเอกลักษณ์และความมหัศจรรย์ของสมบัตินี้ได้ เหล่าโม่ เจ้าพูดเช่นนี้ก็ดูใจแคบไปนะ”


เขาหยุดไปครู่แล้วพูดต่อว่า “อีกทั้งทุกคนต่างก็รู้ว่า การหลอมชุดศึกสลักวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตามากที่สุด ครั้งนี้หลินสวินทำสำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าภายหลังเขาจะหลอมสมบัติเช่นเดียวกันนี้ได้โดยราบรื่น”


ถ้อยคำนี้ไม่แสดงความรู้สึกชัดเจน แต่หากตั้งใจฟังกลับฟังออกว่า หลัวเฟิงแน่ใจว่าที่หลินสวินหลอมอาสัญสลายออกมาได้ล้วนเป็นเพราะโชคช่วย ภายภาคหน้าน่ากลัวจะไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว


แต่ที่หลัวเฟิงพูดก็ไม่ใช่เรื่องเท็จ เพราะในกาลก่อนมีตัวอย่างลักษณะเดียวกันนี้มากมาย สาเหตุก็เพราะการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณมีอัตราการล้มเหลวสูงยิ่ง ต่อให้เป็นบุคคลระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณก็เคยล้มเหลวไปหลายครั้ง


หากไม่เป็นเช่นนี้ ชุดศึกสลักวิญญาณจะหายากและสูงค่าเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า


เพียงแต่วาจาที่เขาพูดเช่นนี้ออกมา มีน้ำเสียงแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ขอแค่ไม่โง่ก็ล้วนฟังออก


เหล่าโม่สีหน้าถมึงทึง ในความเห็นของเขาคำพูดนี้ของหลัวเฟิงร้ายกาจเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังสาปแช่งหลินสวิน!


แต่ไม่รอให้เหล่าโม่เอ่ยปากโต้กลับ ก็ได้ยินเสียงสงบนิ่งเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น


“พูดเช่นนี้ ปรมาจารย์หลัวเฟิงกำลังคาดการณ์ว่า ภายภาคหน้าเป็นไปได้ยากที่ข้าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้อีกใช่หรือไม่”


………………….


ตอนที่ 512 บุญคุณความแค้นในตอนนั้น

โดย

ProjectZyphon

ร่างในชุดสีขาวนวลทั้งตัว รูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวสีดำรวบไว้หลังศีรษะอย่างลวกๆ เผยให้เห็นใบหน้าสุภาพหล่อเหลาอบอุ่น ดวงตากระจ่างลึกล้ำ


เมื่อหลินสวินปรากฏกายบนยกพื้น สายตาของทุกคนทั้งที่นั้นก็พากันทอดมองไปที่เขาทันใด เมื่อได้เห็นหลินสวินด้วยตาเข้าจริง หลายคนก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่บ้าง


อ่อนวัยเกินไปแล้ว


ก็เหมือนเด็กหนุ่มข้างบ้านท่าทางงดงาม ในช่วงวัยของเขา ส่วนใหญ่ยังกำลังฝึกปราณและพัฒนาตัวเองอย่างแข็งขันราวกับลูกวัวแรกเกิด แม้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่คิดจะให้เขาบนหัวงอกออกมาสุดท้ายก็ต้องใช้เวลาสั่งสมอยู่ดี


แต่หลินสวินนั้นต่างออกไป ความสำเร็จที่เขาทำได้ถึงตอนนี้ ก้าวข้ามคนวัยเดียวกันไปนานแล้ว ทำให้ทั้งใต้หล้าล้วนหวั่นกลัวเขา


ใครจะคาดคิดได้ว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้ผู้หนึ่ง ตอนนี้จะบรรลุเข้าสู่ขั้นเกินธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ พาให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นอาวุโสมากมายล้วนล้าหลังไล่ไม่ทันได้เล่า


อีกทั้งใครจะคาดคิดว่า ความรุ่งเรืองราวดาวหางของเด็กหนุ่มผู้นี้ ผ่านลมฝนและการเคี่ยวกรำมากมาย แต่กลับไม่เคยถูกเล่นงานให้ล้มลง


อย่างไรเรียกผู้กล้าจากสวรรค์


ก็อย่างนี้อย่างไรเล่า!


โดดเด่นเกินใครในโลกา พรสวรรค์น่าตื่นตาต่างจากทั่วไป!


เวลานี้ในใจผู้มีอำนาจในที่นั้นล้วนอดบังเกิดความคิดหนึ่งไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มที่ราวปีศาจเช่นนี้หากให้เวลาเขาได้ก้าวหน้ามากพอ ภายหลังจะเปล่งประกายน่าตื่นตะลึงเช่นใดกัน


มีเพียงหลัวเฟิงที่สีหน้าอึมครึม ถ้อยคำยามหลินสวินเพิ่งปรากฏตัวนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เกรงใจอยู่บ้าง


“เหอะๆ ที่ข้าพูดก็เป็นเรื่องจริง ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนักสลักวิญญาณคนใด ยามหลอมชุดศึกสลักวิญญาณก็ไม่อาจรับรองว่าจะประสบความสำเร็จได้ สหายน้อย เจ้าโดดเด่นน่าตื่นตา พาให้ข้าเกิดความคิดเสียดายผู้มีความสามารถ แต่อย่างไรก็ยังอ่อนวัยนัก การไม่รู้ชัดเรื่องหลอมชุดศึกสลักวิญญาณก็พอจะเข้าใจได้”


หลัวเฟิงเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ วาจาราบเรียบ ท่าทางสมเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำท่อนหลังมีน้ำเสียงกระทบกระเทียบหลินสวิน


นัยแฝงในคำพูดก็คือ เจ้าโดดเด่นสะดุดตาก็จริง แต่ยังอ่อนวัยเกินไป สิ่งที่ต้องเรียนรู้ยังมีอีกมากนัก!


หลินสวินบนยกพื้นยิ้มสดใส เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดราวหิมะ “ข้าจำได้ว่าท่านเพิ่งพูดว่า เหล่าโม่ไม่มีคุณสมบัติมากพอให้ท่านแจกแจงอะไรได้ เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็อยากพูดว่า แม้ข้ายังเด็ก แต่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้แล้ว คิดจะชี้แนะข้าหรือ ท่านคิดว่ามีคุณสมบัติไหม”


กลุ่มคนบนที่นั่งผู้ชมอดแสดงสีหน้าเหยเกไม่ได้ ไม่คิดว่าทันทีที่หลินสวินปรากฏตัว กลับพูดจาท้าทายหลัวเฟิงเสียก่อนแล้ว


หลัวเฟิงเป็นใคร


คนผู้นี้เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่ประสบความสำเร็จยิ่งผู้หนึ่งของสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ได้รับความเคารพยกย่องจากนักสลักวิญญาณในใต้หล้า สถานะสูงส่งเกินธรรมดา


หลินสวินกลับไม่เกรงใจไปขัดแย้งกับเขาเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นประหลาดใจ


แต่เมื่อคิดดู ทุกคนก็เข้าใจ ในนครต้องห้ามตอนนี้ ใครไม่รู้บ้างว่าหลินสวินเป็นคนหนุ่มผู้หนึ่งที่เหิมเกริมไม่หวั่นเกรงใคร ไม่รู้จักว่าความหวาดกลัวคืออะไร


ขนาดกลุ่มคนระดับตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉินและราชวงศ์แห่งจักรวรรดิยังไม่อยู่ในสายตา ย่อมไม่หวั่นเกรงหลัวเฟิงแน่แล้ว


หลัวเฟิงสีหน้าถมึงทึง ถูกคนรุ่นหลังเยาว์วัยผู้หนึ่งตั้งคำถามต่อหน้าประชาชี ทั้งวาจายังไม่น่าฟัง นี่ย่อมเป็นการท้าทายอำนาจและเกียรติภูมิของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย


“หลินสวิน คนหนุ่มชอบเอาชนะหยิ่งยโสเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่หากคิดว่าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งออกมาก็จะไม่สนขื่อแป จาบจ้วงใต้หล้า เช่นนั้นก็ถือว่าผิดมหันต์แล้ว!”


เขาเอ่ยเสียงขรึม ท่าทางเกรงขามน่ากลัว


“หลัวเฟิง เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หลินสวินไปทำตัวไม่สนขื่อแปตั้งแต่เมื่อไร เจ้าอย่าปรักปรำมั่วสิ เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นเจ้าใช้ความอาวุโสเข้าข่มก่อน อะไรกัน หลินสวินเพียงโต้กลับประโยคเดียว ก็ทำให้เจ้าอับอายจนเดือดดาลแล้วหรือ”


เหล่าโม่ผุดลุกขึ้น ตะคอกออกไปอย่างโกรธเคือง


เขารู้ดีว่าบางครั้งคำพูดก็สามารถทำลายคนคนหนึ่งได้ ฐานะของหลัวเฟิงในแวววงสลักวิญญาณของจักรวรรดิสูงส่งยิ่ง ทันทีที่คำพูดในวันนี้ของเขาแพร่งพรายออกไปย่อมต้องก่อให้เกิดข่าวลือโคมลอย ทำให้นักสลักวิญญาณที่ไม่รู้เรื่องจริงไม่พอใจหลินสวินได้


เช่นนั้นแล้วย่อมกระทบกระเทือนชื่อเสียงของหลินสวินอย่างรุนแรงแน่


“เหล่าโม่ ดูฐานะเจ้าด้วย ตอนนี้เจ้ายังดำรงตำแหน่งในสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เบื้องล่างหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้ คิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าหรือ”


หลัวเฟิงส่งเสียงหึหยัน สีหน้ายิ่งน่าเกรงขาม


เขาหัวเสียแล้ว ผู้ที่อยู่ที่นี่วันนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อไปทั่ว แต่เขากลับถูกหลินสวินและเหล่าโม่ท้าทายอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้ระงับสีหน้าไว้ไม่อยู่


“ขู่ข้าหรือ”


เหล่าโม่สีหน้าอึมครึม


เวลานี้หลินสวินพลันยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าไม่เตือนข้าก็เกือบลืมไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังทัน ตอนนี้ ข้าขอเชิญเหล่าโม่เข้าสู่ภูเขาชำระจิตตระกูลหลินของข้าอย่างเป็นทางการ!”


สีหน้าหลินสวินหนักแน่นจริงจัง


นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการทำนานแล้ว ตอนนี้ในเมื่อหลัวเฟิงกล้าบีบเหล่าโม่ เช่นนั้นเขาย่อมไม่เกรงใจแล้ว


เมื่อเอ่ยออกไป ทั้งที่นั้นก็ฮือฮา เป็นเพียงงานแถลงเท่านั้น ตอนนี้กลับผูกบุญคุณความแค้นที่ข้องเกี่ยวกับเหล่าโม่ครั้งหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดคิดได้


เวลานี้เหล่าโม่ตื่นเต้นจนมุมปากกระตุก เขารับรู้ได้ว่าสาเหตุที่พอหลินสวินปรากฏตัวก็พุ่งเป้าต่อกรกับหลัวเฟิงนั้น เห็นได้ชัดว่าเพื่อช่วยเหลือตน!


“น่าขัน! เจ้าหนุ่ม เจ้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว นักสลักวิญญาณของสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เจ้าคิดจะพาไปก็พาไปได้ที่ไหน”


หลัวเฟิงหัวเราะเสียงดัง “ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมเรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่ได้อย่างเหล่าโม่ มีคุณูปการใหญ่ยิ่งต่อจักรวรรดิ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้เขาออกไป”


วาจาเด็ดขาด ไม่ให้โอกาสหลินสวินเลย!


ทุกคนล้วนลอบพยักหน้า สำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ นั่นเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของจักรวรรดิ ถูกราชวงศ์และกองทัพควบคุมโดยตรง


หลินสวินคิดจะดึงเหล่าโม่ไปย่อมเป็นเรื่องยากยิ่ง


กลับเห็นว่าหลินสวินสีหน้าเย็นชา กล่าวว่า “ท่านพูดผิดแล้ว เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่เป็นสิ่งที่ข้ากับเหล่าโม่คิดค้นขึ้นมาด้วยกัน และในตอนนั้นเหล่าโม่ก็ถูกพวกท่านบีบบังคับจับไป ไม่ได้รับใช้พวกท่านอย่างสมัครใจ หากไม่ใช่ว่าเวลานั้นเหล่าโม่ปกป้องข้าอย่างสุดความสามารถ เกรงว่าข้าก็คงถูกพวกท่านจับไปด้วยนานแล้ว! จนกระทั่งวันนี้ข้าไม่ได้คิดบัญชีกับพวกท่านก็ถือว่าปรานีมากแล้ว!”


เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ทั้งที่นั้นล้วนตื่นตระหนก!


ต่างคิดไม่ถึงว่า ที่แท้เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่ที่ลือชื่อในจักรวรรดิขณะนี้จะเป็นผลงานของหลินสวินด้วย!


ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ตอนนั้นสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิถึงกับเคยลงมือกับเหล่าโม่และหลินสวิน… หากนี่เป็นเรื่องจริงก็น่าตระหนกเกินไปแล้ว


ชั่วครู่เดียวทั้งงานก็เงียบสนิท เหล่าคนใหญ่คนโตมีสีหน้าแปลกแตกต่างกัน


“โกหกทั้งเพ!”


หลัวเฟิงโกรธจนตะโกนเสียงดัง โมโหเดือดดาล


“จะจริงหรือหลอกกันแน่ ในใจท่านรู้ดีที่สุด ข้าก็คร้านจะโต้เถียงกับท่าน รอภายภาคหน้าข้าย่อมหาวิธีพูดถามหาความเป็นธรรม!”


หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ในดวงตาดำมีแววเยียบเย็นไหลเคลื่อน เรื่องนี้อัดอั้นอยู่ในใจเขามานานปี แต่ตอนนี้ในเมื่อถอดหน้ากากออกแล้ว เขาย่อมไม่เกรงใจอีก


เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เหล่าโม่ปกป้องตนในตอนนั้น หลินสวินต้องทำเช่นนี้


“นี่เจ้ากำลังท้าทายสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิหรือ”


หลัวเฟิงสีหน้าเหี้ยมเกรียม ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น


“สำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิรับใช้จักรวรรดิ ไม่ใช่อาณาเขตของท่านหลัวเฟิงเพียงผู้เดียว ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนสำนักเสียหน่อย”


หลินสวินสีหน้ายิ่งสงบนิ่ง “ข้าทำเช่นนี้เพียงต้องการจับผู้ร้ายที่ซ่อนอยู่ในความมืด คืนความยุติธรรมให้เหล่าโม่!”


“น่าขัน น่าขันเสียจริง”


หลัวเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างเดือดดาล “เด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าพูดจาเลอะเทอะ คิดว่าจะพาเหล่าโม่ไปจากสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิเช่นนี้ได้จริงหรือ”


เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดแทบจะควบคุมไม่ได้อยู่รอมร่อ


“พี่หลัว สงบคำลงหน่อยเถอะ เรื่องในตอนนั้นเกี่ยวข้องแค่กับท่าน เหล่าโม่และข้า อย่าให้อับอายผู้อื่นเลย”


ทันใดนั้นฮูหยินเป่าหวาก็ทอดถอนใจเบาๆ ใบหน้างามสง่าเรียบง่ายฉายแววขุ่นข้อง


ทุกคนยิ่งตื่นตระหนก เวลานี้ถึงเพิ่งรับรู้ว่า ที่แท้เบื้องหลังของการปะทะกันครั้งนี้ยังมีความลับที่ปิดไว้ไม่ให้ผู้อื่นได้รับรู้


“ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นเพราะพวกเราสามคนเท่านั้น หลินสวิน เจ้าก็อย่ายื่นมือเข้ามายุ่งเลย ให้ข้าสะสางเอง ข้าเหล่าโม่อ่อนแอมาครึ่งชีวิต หากไม่ตัดบุญคุณความแค้นครั้งนี้ด้วยตัวเองก็คงตายตาไม่หลับ!”


เหล่าโม่กัดฟันพูดออกมาอย่างไม่ลังเล สายตาที่มองไปยังหลินสวินมีทั้งความซาบซึ้งและอ้อนวอน ทำให้หลินสวินอดสะท้านใจไม่ได้


เขาอึ้งไปจนในที่สุดก็ถอนใจเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก


หลัวเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่นาน ส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป


ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่ประสบความสำเร็จยิ่งผู้หนึ่งของสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ วันนี้กลับถูกทำให้โมโหจนเตลิดไป ใครก็คิดไม่ถึงจริงๆ


ระหว่างเขา เหล่าโม่ และฮูหยินเป่าหวามีความแค้นอย่างไรกันแน่


ไม่มีใครรู้


ขนาดหลินสวินยังรู้เพียงครึ่ง


แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เพราะหลินสวินแทรกแซงในวันนี้ทำให้ความแค้นของพวกเขาถูกยกขึ้นมาใหม่ น่ากลัวว่าใช้เวลาไม่นานก็จะจบลงได้แล้ว


‘เหล่าโม่ ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะยืนอยู่ข้างเจ้าตลอดไป ข้าล่ะอยากเห็นว่าหลัวเฟิงจะกล้าทำเช่นไร!’


หลินสวินสื่อจิตให้เหล่าโม่ ทำให้ฝ่ายหลังมีสีหน้าอ่านยากขึ้นมา ทั้งซาบซึ้งทั้งทอดถอนใจ


ละครคั่นฉากเล็กๆ นี้จบลงอย่างรวดเร็ว


แม้บรรยากาศในเวลานี้ไม่ครึกครื้นเท่าก่อนหน้านี้ แต่เมื่อหลินสวินประกาศขึ้นเองว่าหากใครสามารถหาวิธีแก้มารพบเคราะห์ได้ ก็จะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งให้คนผู้นั้นด้วยตัวเอง บรรยากาศก็ครึกโครมขึ้นในทันใด


แท้จริงแล้วข่าวนี้หลายคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่ยามนี้เมื่อได้รับการยืนยันจากปากของหลินสวินเอง ถึงทำให้พวกเขามั่นใจว่าหลินสวินไม่ได้พูดเล่น!


มารพบเคราะห์!


นี่เป็นยาพิษที่หายากยิ่งชนิดหนึ่ง พิษสงลึกลับถึงตาย ลือว่าแพร่มาจากเผ่ามืด เมื่อร่างกายถูกพิษนี้ พลังปราณก็จะถูกกักขังเหมือนถูกทำให้พิการ ทั้งต้องรับความทุกข์ยากของการถูกมารในใจจู่โจมไปตลอด


ผู้มีอำนาจที่อยู่ในงานล้วนเริ่มไตร่ตรอง ลอบตั้งมั่นในใจว่าหลังจากงานแถลงครั้งนี้จบลง ก็จะเสาะหาวิธีแก้พิษมารพบเคราะห์อย่างสุดกำลัง!


“แน่นอนว่าตอนที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณ วัตถุดิบวิญญาณต้องเตรียมด้วยตัวเอง ข้ารับภาระเองไม่ไหว ช่วยไม่ได้ หลังจากหลอมอาสัญสลาย ตอนนี้ข้าขัดสนจริงๆ”


หลินสวินพูดพลางยักไหล่


เสียงหัวเราะชอบใจระลอกหนึ่งดังขึ้นในงาน


ไม่นานนักหลินสวินก็เดินลงไปจากยกพื้น ส่งมอบธุระให้หลีอันดำเนินการต่อ


“ทุกท่าน พวกเราอัครการค้าได้รับความเห็นชอบจากปรมาจารย์หลินสวินแล้ว และเพื่อมอบของสมนาคุณให้ทุกท่านในงาน ในฤกษ์งามยามดีนี้จะประมูลสิทธิพิเศษหนึ่ง!”


ทันทีที่หลีอันเอ่ยปากก็ดึงดูดความสนใจจากทั้งงานในทันใด


“สหายที่ประมูลได้สิทธิพิเศษนี้ จะได้รับโอกาสที่ปรมาจารย์หลินสวินแล้วจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณให้ด้วยตัวเองขอรับ!”


ทั้งงานฮือฮาขึ้นเต็มที่ ผู้มีอำนาจหลายคนจิตใจสั่นระรัว ‘วาสนา’ ที่พวกเขารอคอยอยู่ในใจมาโดยตลอด ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!


ใช่แล้ว สิทธิ์หลอมอาวุธวิญญาณของหลินสวิน สำหรับพวกเขาแล้วก็เหมือนวาสนาดีครั้งหนึ่ง


เพราะว่านี่เกี่ยวข้องกับชุดศึกสลักวิญญาณ!


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)