Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 509-510
ตอนที่ 509 เปิดม่านงานแถลง
โดย
ProjectZyphon
หน้าอัครการค้าสาขาหลัก
ฟ้ายังไม่สว่าง บนสถานที่กว้างใหญ่นั้นก็เบียดเสียดไปด้วยผู้คนมืดฟ้ามัวดิน
ผู้ที่สามารถผ่านสถานที่นั้นเข้าไปยังสาขาหลักของอัครการค้าได้ หากไม่ใช่ตระกูลทรงอิทธิพลหนึ่ง ก็เป็นคนใหญ่คนโตของขุมอำนาจหนึ่ง
เฟิงชิงโยวปรากฏตัว ณ ที่นั้นอย่างน่าประทับใจ นางสวมใส่อาภรณ์ขาว ผมสีดำทิ้งตัวลงมา ใบหน้าเนียนสะอาดพริ้งเพรา ผิวหนังนุ่มเนียนละเอียด
ขณะที่หลินสวินยังไม่ผงาดขึ้นมา สาวน้อยที่มาจากตระกูลเฟิงคนนี้มีสมญานามว่า ‘เด็กสาวอัจฉริยะ’ ส่องประกายโชติช่วงเจิดจรัสบนวิถีสลักวิญญาณ
แม้จนถึงทุกวันนี้ นางก็เป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลในหมู่นักสลักวิญญาณรุ่นเยาว์ ถูกจับตามองอย่างมาก
ข้างกายนางยังมีสตรีงามที่แต่งงานแล้วตามมาด้วย นางสวมอาภรณ์เรียบง่าย กิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน ใบหน้าดุจน้ำนิ่ง ราบเรียบราวเมฆาเคลื่อน
เฟิงชิงโยวเงี่ยหูฟังพักหนึ่งก่อนย่นจมูก กล่าวกระซิบ “เทียบผ่านประตูขึ้นมาถึงสามพันเหรียญทอง ดูท่าเจ้าหลินสวินนี่คงได้รับความนิยมมากสินะ”
ฮูหยินงามยิ้มหวานพลางกล่าว “อย่างไรก็เป็นงานแถลงของปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็น”
เฟิงชิงโยวพูดอย่างสงสัย “อาจารย์ ท่านว่า ‘อาสัญสลาย’ นั่นร้ายกาจเหมือนดังข่าวลือหรือไม่”
ฮูหยินงามกล่าวอย่างง่ายๆ “ต้องดูด้วยตาตนเองถึงจะรู้”
เวลานี้ในที่ไกลออกไปพลันเกิดความไม่สงบ เห็นอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและบรรดาปรมาจารย์สลักวิญญาณคนอื่นๆ ปรากฏตัว ณ ที่นั้น
พวกเขาต่างมาจากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ล้วนเป็นบุคคลสำคัญผู้ทรงอิทธิพลบนวิถีสลักวิญญาณ ทันทีที่ปรากฏตัวก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในทันใด
เพียงแต่เมื่อพวกอวี๋เป่ยโต้วเห็นฮูหยินงามที่อยู่ข้างเฟิงชิงโยวก็ต่างหยุดกึก อึ้งตะลึง เผยสีหน้าประหลาดใจทันที ทยอยกันก้าวไปเบื้องหน้า
“คารวะฮูหยินเป่าหวา!”
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสก็มาด้วย”
พวกอวี๋เป่ยโต้วต่างก็เคารพนอบน้อม จนผู้คนใกล้เคียงมากมายล้วนส่งเสียงตื่นเต้น เท่านี้ก็รู้แล้วว่าฮูหยินงามท่านนั้นต้องเป็นคนใหญ่คนโตมากๆ คนหนึ่งแน่
“เป่าหวา ไม่เจอกันนานนะ”
ข้างๆ พวกอวี๋เป่ยโต้ว ยังมีผู้อาวุโสผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างผอมบางอยู่ด้วยคนหนึ่ง หากหลินสวินอยู่ที่นี่จะต้องจำได้แน่ ผู้อาวุโสคนนี้คือเหล่าโม่นี่เอง!
ปรมาจารย์สลักวิญญาณผู้เคยสร้างเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่ล่าสุดที่ค่ายกระหายเลือด
สีหน้าเหล่าโม่ตอนนี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นัยน์ตาสว่างวาบ เหมือนกำลังพยายามควบคุมตัวเองอยู่ ราวกับไม่กล้าเชื่อว่าจะได้พบฮูหยินงามคนนั้นที่นี่
“ศิษย์พี่โม่ ท่านก็มาด้วย ไม่ได้ยินข่าวคราวท่านมาหลายปีเลยทีเดียว”
ฮูหยินงามยิ้มเล็กน้อย
“เฮ้อ ปีนั้นข้า…”
เหล่าโม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กำลังจะพูดอะไร กลับพลันได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไกลๆ “ที่แท้ทุกท่านก็มาถึงแล้วนี่เอง”
สีหน้าเหล่าโม่อึมครึมโดยพลัน เห็นบุรุษท่าทางน่าเกรงขาม เผ้าผมหนวดเคราตัดแต่งสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยคนหนึ่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา
เมื่อเห็นบุรุษน่าเกรงขามนี้ พวกอวี๋เป่ยโต้วพลันเก็บรอยยิ้ม ประกบมือคารวะ “คารวะอาจารย์หลัว”
“พี่หลัว” ฮูหยินงามก้มหน้าให้เล็กน้อย
เหล่าโม่กลับแค่นเสียงเย็นชา สีหน้าอึมครึมยิ่งกว่าเดิม แววตาที่มองไปยังบุรุษน่าเกรงขามนั่นแฝงไปด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่าๆๆ วันนี้ช่างบังเอิญจริงๆ เพราะงานแถลงของเด็กรุ่นหลังงานหนึ่ง ถึงทำให้พวกเราได้พานพบกันอีก หาได้ยากจริงๆ ไป พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
บุรุษน่าเกรงขามหัวเราะร่า นำทุกคนไปยังสาขาหลักของอัครการค้า
…
“นั่นก็คือฮูหยินเป่าหวา บุคคลผู้เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งสาขาสลักวิญญาณของพวกเรา ขณะเดียวกันก็เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณท่านหนึ่ง ฐานะพิเศษโดดเด่นหาใครเปรียบ เพียงแต่ยี่สิบกว่าปีมานี้นางเก็บตัวศึกษาค้นคว้าวิถีสลักวิญญาณมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้นางก็มาด้วย”
สาขาใหญ่อัครการค้าเป็นอาคารเก้าชั้นหลังหนึ่ง โอ่อ่าหรูหรา กว้างขวางใหญ่โต เวลานี้ด้านหลังหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นที่เก้า เสิ่นทั่วกำลังกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
เมื่อกล่าวถึงฮูหยินเป่าหวา สีหน้าเสิ่นทั่วก็ดูเคารพนอบน้อมอย่างยากปกปิด นี่คือบุคคลในตำนานที่ยังมีลมหายใจคนหนึ่ง ชุดศึกสลักวิญญาณที่นางหลอมเองกับมือมีมากถึงห้าชิ้น แต่ละชิ้นต่างเรียกได้ว่าเป็นมหาสมบัติแห่งยุค ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
เหมือนดังชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งในมือจักพรรดิองค์ปัจจุบันนาม ‘มังกรผยองไร้โศก’ ก็เกิดจากฝีมือของฮูหยินเป่าหวา!
“นางกับเหล่าโม่มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่”
ด้านข้างนั้นหลินสวินมองเห็นเหล่าโม่ ในใจพลันเกิดคลื่นถาโถม เพียงแต่เขาเองก็สังเกตเห็นว่ายามเหล่าโม่เห็นฮูหยินเป่าหวา ก็ปรากฏอาการควบคุมตัวเองไม่อยู่และตื่นเต้นอย่างยากจะพบเห็น จึงอดแปลกใจไม่ได้
เขาจำได้ว่าอุปนิสัยของเหล่าโม่คือแปลกประหลาดโอหังอวดดี
“ทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” เสิ่นทั่วกล่าว “เพียงแต่ได้ยินมาว่าปีนั้นที่เหล่าโม่หายไปจากนครต้องห้าม ก็มีความเกี่ยวข้องกับฮูหยินเป่าหวาไม่น้อย”
“เป็นฮูหยินเป่าหวาที่บีบเหล่าโม่ออกไปหรือ” หลินสวินคิ้วขมวด
เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ ขณะจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นนัยน์ตาพลันหรี่ลง พลางกล่าว “เจ้าดู อาจารย์หลัวก็มาด้วย”
“เขาเป็นใครกัน” สายตาหลินสวินมองไป เห็นบุรุษเผ้าผมหนวดเคราสะอาดสะอ้าน ท่าทางน่าเกรงขามผู้นั้น
“หลัวเฟิง หนึ่งในปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากนักสลักวิญญาณมากมาย ในนครต้องห้ามต่างเล่าลือว่า ระดับความรู้อันลึกซึ้งบนวิถีสลักวิญญาณของเขาเป็นเลิศถึงขั้นสมบูรณ์แบบที่สุด ยากจะมีผู้ใดเทียบเคียงเขาได้”
บนสีหน้าเสิ่นทั่วปรากฏแววแปลกประหลาด “ปีนั้นที่เหล่าโม่หายไปจากนครต้องห้าม ก็มีความเกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อยเช่นกัน”
หลินสวินหรี่ตาลง “ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นตัวหลัก ผู้อาวุโส ท่านพอจะทราบไหมว่าเขากับเหล่าโม่มีความแค้นอะไรต่อกันกันแน่”
เสิ่นทั่วพูดเสียงทุ้มต่ำ “ได้ยินเพียงว่า ดูเหมือนสาเหตุเป็นเพราะฮูหยินเป่าหวา”
“เพราะนาง?”
หลินสวินมึนงงไปชั่วขณะ ในหัวปรากฏละครฉากหนึ่งของสองบุรุษชิงหนึ่งสตรีขึ้นมาตามธรรมชาติ…
“รอหลังจากงานแถลงสิ้นสุดลง เจ้าลองไปถามด้วยตนเองดู”
เสิ่นทั่วเองเกาหัวยิกๆ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
หลินสวินพยักหน้า
ตอนนั้นที่อยู่ในค่ายกระหายเลือด เหล่าโม่เคยช่วยเหลือเขาไว้มาก หากเหล่าโม่มีความแค้นกับหลัวเฟิงนั่นจริง เขาไม่มีทางนิ่งดูดายแน่
…
การมาถึงของปฐมาจารย์หลัวเฟิง ฮูหยินเป่าหวา ไม่ช้าก็แพร่กระจายไปทั่วสถานที่จัดงานแถลง ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก
สองคนนี้เป็นถึงบุคคลระดับปฐมาจารย์บนวิถีสลักวิญญาณ ถึงขั้นมาที่นี่ด้วยตนเอง ถือเป็นเรื่องที่ยากจะพบเห็น
แต่ว่าผู้ที่มาร่วมงานแถลงวันนี้ แทบจะเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจสั่นสะเทือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้คงจะไม่มีอะไรน่าตกใจมากไปกว่านี้แล้ว
เหมือนกับเวลานี้ คนใหญ่คนโตที่มาถึงสถานที่จัดงานแถลง มีทั้งผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลในนครต้องห้าม ผู้สูงศักดิ์จากราชวงศ์ แม่ทัพผู้มีอำนาจของกรมทหาร และยังมีผู้ยิ่งใหญ่จากทุกหัวระแหงของจักรวรรดิ… พูดได้ว่าแต่ละคนล้วนมีอำนาจอิทธิพลเพียงพอจะทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน
แต่มาวันนี้ คนใหญ่คนโตเหล่านี้มาอยู่รวมกัน เพียงแค่นี้ก็เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์แล้ว!
สถานที่จัดงานค่อยๆ เงียบสงบลง เวลาเริ่มงานแถลงมาถึงแล้ว
บุรุษคนหนึ่งสวมชุดพิธีการเดินขึ้นมาบนยกพื้น หลังจากขึ้นเวทีเขาทำความเคารพทั่วทิศ จากนั้นจึงเริ่มส่งเสียง เขามีนามว่าหลีอัน รูปงามอากัปกิริยางามสง่า คำพูดเต็มไปด้วยแรงดึงดูด
“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานแถลงของปรมาจารย์หลินสวิน อย่างที่ทุกท่านต่างทราบกันดี ปรมาจารย์หลินสวินแม้อายุยังน้อย กลับชื่อเสียงขจรขจายทั้งใต้หล้า กลายเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ผู้คนในนครต้องห้ามต่างรู้จักกันดี ที่หาได้ยากที่สุดคือ บนวิถีสลักวิญญาณปรมาจารย์หลินสวินมีพรสวรรค์และความรู้แจ้งเหนือจินตนาการ ไม่เพียงแต่เคยชักนำปรากฏการณ์ประหลาดอย่าง ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ เท่านั้น มาวันนี้ยังกลายเป็นอาจารย์ที่ได้รับความนิยมจากคณาจารย์และศิษย์แห่งสำนักศึกษามฤคมรกตท่านหนึ่งอีกด้วย”
“และงานแถลงวันนี้จะจัดแสดงชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งจากฝีมือปรมาจารย์หลินสวิน… ‘อาสัญสลาย’!”
พูดถึงตรงนี้ เสียงหลีอันหยุดลงชั่วขณะ ก่อนจะปรบมือไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววัยแรกแย้มนางหนึ่งนำกล่องสัมฤทธิ์ยาวหนึ่งฉื่อขึ้นมา
“ทุกท่าน อาสัญสลายอยู่ภายในกล่องสัมฤทธิ์เบื้องหน้าข้านี้”
พรึ่บ!
สายตานับไม่ถ้วนมุ่งไปยังกล่องสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าหลีอันกันพรึ่บพรั่บ ผู้คนมากมายต่างอดไม่ได้ที่จะยืดคอยาวเบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นเปล่งประกาย ราวกับว่าทำเช่นนี้จะสามารถมองเห็นสิ่งของที่อยู่ภายในกล่องสัมฤทธิ์นั่นได้
ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเฝ้ารออย่างจดจ่อ
เพียงแต่กลับเห็นหลีอันยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ก่อนที่จะแสดงชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นนี้ ขอให้ข้าได้แนะนำกระบวนการผลิตสมบัติชิ้นนี้สักเล็กน้อย”
ผู้คนมากมายแอบด่าขึ้นมาในใจทันที เเทบอยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่ ช่างยั่วน้ำลายคนเก่งเสียจริง
“คาดว่าทุกท่านคงเคยได้ยินมาแล้ว สิบวันก่อนหน้านี้ที่สำนักศึกษามฤคมรกต ปรมาจารย์หลินสวินใช้เวลายี่สิบกว่าวัน ท้ายที่สุดก็หลอมอาสัญสลายได้สำเร็จ เมื่อสมบัตินี้ปรากฏขึ้น สวรรค์ได้ประทานด่านเคราะห์อสนี ปรากฏการณ์ประหลาดเป็นประวัติการณ์ นี่เป็นเรื่องที่ในอดีตล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…”
ทุกคนต่างอดทนฟังเจ้าหลีอันนี่พูดร่ำไรเยอะแยะ
ท้ายที่สุดหลีอันจึงกล่าวสรุปว่า “สรุปง่ายๆ ก็คือ นี่ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่เหมือนชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นอื่นอย่างแน่นอน เป็นศาสตราวุธแห่งยุคที่เพียงพอจะทำให้ใต้หล้าตกตะลึงได้”
“บางทีทุกท่านอาจคิดว่าข้ากำลังคุยโวโอ้อวด แต่ข้ารับประกันได้เลยว่า หลังจากที่ทุกท่านได้เห็นความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ของสมบัตินี้ด้วยตาตนเองแล้ว จะต้องพบว่าความวิเศษมหัศจรรย์ของสมบัติชิ้นนี้เกินกว่าที่ข้าพูดแน่นอน!”
ผู้คนมากมายบนที่นั่งไม่มีใครไม่กลั้นหายใจ คำพูดครู่เดียวของหลีอันได้กระตุกต่อมอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ เปลี่ยนเป็นเฝ้าคอยยิ่งกว่าเดิม
คนใหญ่คนโตที่ใจร้อนส่วนหนึ่งเริ่มด่าออกมาอย่างอดไม่อยู่ “จะอุบกับผีอะไรนักหนา ต้องให้คนแก่ร้อนใจตายเจ้าถึงจะพอใจรึไง”
ส่วนพวกที่ความคิดลึกซึ้งหน่อยส่วนหนึ่งต่างปรากฏสีหน้าเฝ้ารออย่างยากจะปกปิด
หลีอันสูดหายใจลึก ใบหน้าพลันแดงก่ำกล่าวว่า “ทุกท่านอย่าได้ร้อนใจไป ข้าสามารถรับรองกับทุกท่านได้ว่า งานแถลงวันนี้จะต้องเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแน่นอน!”
ในน้ำเสียงสะกดข่มอาการสั่นเทาและตื่นเต้นเอาไว้ ผู้คนมากมายต่างฟังออก ทำให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นและรอคอยยิ่งกว่าเดิม
คนส่วนมากต่างเฝ้ารอคอยด้วยความร้อนใจ ไม่ว่าจะเป็นการคุยโวหรือไม่ อาศัยแค่จุดที่ชุดศึกสลักวิญญาณนี้เคยก้าวผ่านด่านเคราะห์อสนี ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดพวกเขามา
แต่คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสส่วนหนึ่งต่างขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าหลีอันคุยโวเกินไปแล้ว
ปาฏิหาริย์?
ในอดีตก็เคยมีชุดศึกสลักวิญญาณเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ ใครกล้าเรียกว่าปาฏิหาริย์บ้าง
“คนรุ่นเยาว์สมัยนี้ช่างเก็บอาการไม่อยู่เสียจริง กับแค่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาชิ้นหนึ่ง กลับทำเอางานแถลงดูโอ้อวดเกินจริงขนาดนี้ ทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้ว”
พลันมีเสียงราบเรียบดังขึ้น เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณหลัวเฟิงที่มาจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อยให้หันมองมา
แต่ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ฐานะของหลัวเฟิง ถึงแม้การพูดเช่นนี้ออกจะเป็นการข่มด้วยความอาวุโสกว่าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครสามารถคัดค้านการวิจารณ์ของปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งได้
………………
ตอนที่ 510 ทวนนี้ฝืนฟ้าตัดวิถี
โดย
ProjectZyphon
เพียงแต่สิ่งที่เกินความคาดหมายคือ เมื่อคำพูดปฐมาจารย์สลักวิญญาณหลัวเฟิงเพิ่งจบลงไม่นาน ก็มีคนยิ้มเย็นชากล่าว
“ยุคสมัยแต่ละแผ่นดินมักปรากฏอัจฉริยบุคคล ผลงานต่างเล่าขานสืบมานับร้อยปี ข้ากลับอยากจะถามว่า อะไรที่เรียกว่าทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา”
ผู้ที่เอ่ยปากคือเหล่าโม่ ย้อนถามตรงไปตรงมา ทำให้ทุกคนตรงนั้นต่างรู้สึกคาดไม่ถึง ด้วยว่ามีคนโต้แย้งหลัวเฟิงกลับไป นี่พบเห็นได้ไม่มากนัก
สีหน้าหลัวเฟิงกลับนิ่งสงบ กล่าวเนิบช้า “เหล่าโม่ รอเจ้าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมาได้เมื่อไหร่ ค่อยมาถามคำถามนี้แล้วกัน”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คิดซักไซ้ไล่เลียงข้าหรือ เจ้ายังไม่มีสิทธิพอ!
“ข้าแค่กำลังบอกเจ้าว่า วันนี้เป็นงานแถลงของหลินสวิน หากเจ้าดูแล้วไม่เจริญตาก็จากไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องมานั่งเอาความอาวุโสเข้าข่มอยู่ตรงนั้น”
เหล่าโม่แค่นเสียง
ทุกคนต่างอดประหลาดใจอยู่บ้างไม่ได้ เดาได้เลยว่าระหว่างเหล่าโม่และหลัวเฟิงต้องมีเรื่องบาดหมางอะไรกันอยู่แน่ ถ้าไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงได้โจมตีกันไปมาในสถานการณ์เช่นนี้
“เหล่าโม่!”
หลัวเฟิงสีหน้าขรึมขึ้นมาทันที น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก “ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่พอใจข้ามากสินะ ทำไม หรือเจ้าคิดจะอาศัยโอกาสนี้สะสางบัญชีเก่า”
“ทำไมจะไม่ได้”
เหล่าโม่เองก็แสดงท่าทีแข็งกร้าว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดชั่วขณะ ผู้คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างไม่คาดคิดว่าในงานแถลงนี้ ยังไม่ทันได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของ ‘อาสัญสลาย’ กลับเป็นว่ามีคนทะเลาะกันก่อนเสียแล้ว
“ทั้งสองท่านโปรดใจเย็นลงก่อน ทุกท่านต่างมาที่นี่เพื่อดูผลงานชิ้นเอกของปรมาจารย์หลินสวิน มีข้อสงสัยอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
บนยกพื้น ผู้ดำเนินงานหลีอันยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยปาก “อีกสักครู่หลังแสดงความมหัศจรรย์ของ ‘อาสัญสลาย’ ให้เห็นแล้ว เชื่อว่าทุกท่านต่างยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ยินความคิดเห็นจากปากของผู้อาวุโสหลัวเฟิงและผู้อาวุโสเหล่าโม่ เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าผู้อาวุโสแห่งแวดวงสลักวิญญาณอย่างท่านทั้งสองจะช่วยชี้แนะเพิ่มเติมด้วย”
คำพูดนี้พูดได้อย่างสวยงาม ล้อมกรอบทั้งสองคนไว้อย่างไร้ร่องรอย บอกเป็นนัยกับทั้งสองคนว่า ถ้าอยากถกเถียงกันรอหลังแสดงชุดศึกสลักวิญญาณจบแล้วก็ยังไม่สาย
“พี่หลัว เหล่าโม่ พวกท่านเห็นว่าอย่างไร”
เวลานี้ฮูหยินเป่าหวาก็เอ่ยปาก บุคลิกนุ่มนวลละมุนละไม
เหล่าโม่สีหน้าผ่อนคลายลงทันที พยักหน้าพลางตอบ “ได้ อีกครู่ข้าก็อยากลองดูว่าใครกันแน่ที่ทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา”
หลัวเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งที่ข้ามผ่านด่านเคราะห์อสนีได้ บางทีอาจทรงอานุภาพอย่างที่สุด แต่ข้าแคลงใจนักว่าจิตวิญญาณในตัวมันถูกด่านเคราะห์อสนีทำลายไปหมดแล้วหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ สิ่งที่เรียกว่าชุดศึกสลักวิญญาณก็คงเป็นแค่เปลือก แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปยากนักที่จะมองความแตกต่างเหล่านี้ออก”
จู่ๆ เขาก็พูดประโยคนี้ออกมา แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าเขามีทัศนะต่อชุดศึกสลักวิญญาณที่หลินสวินหลอมต่างออกไป!
นั่นทำให้ผู้คนจำนวนมากอดไม่ได้ที่จะใครครวญ หลัวเฟิงเป็นถึงหนึ่งในปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากนักสลักวิญญาณนับไม่ถ้วน เปรียบเสมือนผู้มีอำนาจแห่งแวดวงสลักวิญญาณ
ในเมื่อเขาแสดงความเห็นต่างออกไปเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้อื่นไม่สนใจไม่ได้
“พี่หลัวพูดได้ไม่เลว แต่ว่าการพูดเช่นนี้ตอนนี้อาจเร็วเกินไป ประเดี๋ยวลองดูด้วยตาตนเอง บางทีอาจจะได้คำตอบที่ชัดแจ้ง”
ไม่รอให้เหล่าโม่ออกปาก ฮูหยินเป่าหวาก็ชิงพูดเสียก่อน เห็นชัดว่ากังวลว่าทั้งสองจะโต้เถียงกันต่อไปอีก
ถึงตรงนี้บทละครน้อยฉากนี้ก็ปิดฉากลง
แต่ก็เป็นเพราะบทละครน้อยนี่ ทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นต่างเฝ้ารอยิ่งกว่าเดิม ชุดศึกสลักวิญญาณที่หลินสวินหลอมยังไม่ทันเริ่มออกแสดง ก็เกิดการถกเถียงกันของบุคคลสำคัญทรงอิทธิพลแห่งแวดวงสลักวิญญาณขึ้น นี่เป็นเรื่องที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอีกครั้ง สายตาต่างจับจ้องไปบนยกพื้น
หลีอันไม่พูดมากความอีก ยิ้มน้อยๆ “เวลามีค่า ต่อไปนี้ขอเชิญทุกท่านร่วมกันเป็นพยาน ให้กับผลงานชิ้นเอกหนึ่งเดียวในโลกของปรมาจารย์หลินสวิน ณ บัดนี้!”
พูดจบเขาก็หันหลังกลับเดินลงจากยกพื้นไป
ขณะเดียวกันนั้นร่างผอมบางร่างหนึ่งก็ปรากฏบนยกพื้น คนผู้นั้นรูปร่างสูงชะลูด ใบหน้าตอบคมคาย ท่าทางดูแก่ชราอยู่บ้าง ช่วงหางคิ้วแฝงไว้ด้วยประสบการณ์โชกโชน
แต่บนที่นั่งคนดูกลับเกิดความปั่นป่วนขึ้นฉับพลัน ผู้คนมากมายต่างนั่งไม่ติด ส่งเสียงตะลึงตกใจ
“นี่… ดูเหมือนเป็นทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุนในปีนั้น?”
“สวรรค์ เป็นเสิ่นจิงหลุนจริงๆ กี่ปีแล้วที่ไม่มีข่าวคราวเขา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาในตอนนี้จะแก่ชราลงเช่นนี้”
“เป็นเขาดังคาด ได้ยินว่าปีนั้นเขาติดตามรับใช้อยู่ข้างกายผู้นำตระกูลหลินอย่างถวายชีวิต จึงปิดบังชื่อแซ่ มาวันนี้ในเมื่อเขาปรากฏตัว ณ ที่นี่ จะต้องสาธิตความมหัศจรรย์ของ ‘อาสัญสลาย’ นั่นด้วยตนเองแทนหลินสวินอย่างแน่นอน”
ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุน!
หลายปีก่อนหน้านี้ คือบุคคลผู้มีอิทธิพลแห่งยุคคนหนึ่งที่ชื่อเสียงสะเทือนนครต้องห้าม เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้ารุ่นแรก แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังเคยชื่นชมยกย่องเขา
เขาในตอนนั้นสง่างามไร้มลทิน เพียงขี่ม้าขาวผ่านนครต้องห้ามก็ได้รับคำชื่นชมไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ถูกมองว่าเป็นบุคคลผู้เป็นดั่งดวงอาทิตย์อันโชติช่วง หนทางข้างหน้าไม่อาจประมาณได้
ใครเล่าจะคิดว่า หลายปีผ่านไปทั่นฮวาม้าขาวในปีนั้นจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่หลังจากตื่นเต้นแล้วก็ทอดถอนใจกันครู่หนึ่ง กาลเวลาดั่งมีดเฉือนเร่งคนร่วงโรย เสิ่นจิงหลุนในปีนั้นองอาจสง่างามเพียงใด แต่ตอนนี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งลมฝน เหมือนดวงตะวันยามโพล้เพล้ จะไม่ให้ผู้คนทอดถอนใจได้อย่างไร
ผู้กล้าที่ผงาดขึ้นพร้อมกับเขาในปีนั้น ขอแค่ไม่ร่วงหล่นไปซะก่อน วันนี้ต่างกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจสะเทือนใต้หล้า กลับเห็นจะมีเพียงเขาที่ผันตัวไปเป็นบ่าวรับใช้เฒ่าปิดบังชื่อแซ่ เกือบจะถูกผู้คนลืมเลือน หลงเหลือเพียงเสียงถอนใจไม่กี่คำ
ในที่นั้นต่างฮือฮาและทอดถอนใจไม่หยุด หลินจงซึ่งอยู่ยกพื้นกลับเหมือนไม่รู้ตัว เขามาถึงตำแหน่งตรงกลางอย่างเงียบสงบ เปิดกล่องสัมฤทธิ์นั้นเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบราวกับบ่าวรับใช้เฒ่าที่หน้าตาไม่น่าดูคนหนึ่ง ทำให้ใครๆ ต่างไม่อาจจินตนาการได้ว่า เขาในปีนั้นครั้งหนึ่งเคยโด่งดังในนครต้องห้าม สง่างามส่องใต้หล้า
วิ้ง!
เสียงใสบางเสียงหนึ่งสะท้อนขึ้นดุจเสียงธรรม ดึงดูดสายตาทุกคน ณ ที่นั้นทันที
พลันเห็นแสงแวววาวสีเทาเข้มปรากฏในมือหลินจง ในชั่วพริบตานี้เอง บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน!
หากกล่าวว่าหลินจงก่อนหน้านี้คือบ่าวรับใช้เฒ่าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ถ้าอย่างนั้นเขาในตอนนี้ก็ประหนึ่งกระบี่วิเศษที่ถูกชักออกจากฝัก จ่อปลายข่มขู่ผู้คน!
ผู้คนมากมายดวงตาเป็นประกาย กลั้นหายใจจดจ่อเงียบสนิท บรรยากาศเงียบสงัดน่ากลัว
บนยกพื้น หลินจงไม่ได้แสดงการสาธิตในทันที แต่ก้มหน้าหลุบตาลง เงียบสงบดุจภูผาสูงตระหง่าน เหมือนกับว่ากำลังจัดระเบียบตนเอง ยืนสบายๆ อยู่อย่างนั้นแต่กลับเกิดพลานุภาพน่าหวาดหวั่นไร้รูปแผ่กระจายออกมา
ในดวงตาคนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งในนั้นต่างฉายแววอัศจรรย์ พวกเขารู้สึกได้ว่าอานุภาพของหลินจงกำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับพญามังกรซึ่งจำศีลหลับสนิทในตัวเขากำลังลืมตาตื่นขึ้น!
หลินจงลืมตาขึ้น
เคล้ง!
แสงประกายสีเทาเข้มพร่ามัวในฝ่ามือเขาพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นทวนยาวสองจั้งเล่มหนึ่ง เรียบง่ายโบราณตลอดเล่ม แต่กลับอบอวลไปด้วยปราณน่าหวาดกลัว กดดันชั้นบรรยากาศจนส่งเสียงคร่ำครวญราวกับใกล้จะพังทลาย
เฮือก!
ในลานได้ยินเสียงสูดหายใจมากมาย เมื่อทวนเล่มนี้ปรากฏ พลันเกิดพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นม้วนแผ่ขยายออกไป ทำให้พวกเขาต่างขนลุกชันไปทั่วร่าง รู้สึกเจ็บแปลบ
ประหนึ่งว่าทวนยาวนั้นมีชีวิต สิ่งที่แฝงอยู่ภายในคือจิตวิญญาณอันเฉียบคมหาใดเปรียบ!
คนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ต่างเบิกตากว้าง แผ่สัมผัสการรับรู้ต่างๆ จับไปที่ปราณซึ่งอบอวลอยู่บนทวนยาวเล่มนั้น ไม่พลาดรายละเอียดแม้เพียงเสี้ยวเดียว
และในเวลานี้เอง หลินจงก็เคลื่อนไหว แววตาเขาดุจกระบี่ หว่างคิ้วเปี่ยมกำลังวังชา พลานุภาพพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
ขณะที่งุนงงกันอยู่นั้น ราวกับทั่นฮวาม้าขาวในปีนั้นได้กลับมาแล้ว มือจับทวนยาว สันโดษโดดเดี่ยว ท่องไปทั่วปฐพี ท่วงท่าสง่างามหาใดเปรียบ มองดูโลกอย่างเย้ยหยัน
ตูม!
บนยกพื้นปรากฏหุ่นกระบอกหุ้มทองแดงตัวหนึ่ง เป็นหุ่นกระบอกป้องกันคุณภาพดีที่สุดของอัครการค้า สามารถต้านทานการโจมตีอันแข็งแกร่งของระดับหยั่งสัจจะได้ มูลค่าสูงลิ่ว
แต่เมื่อหลินจงหันชี้ปลายทวนจากที่ไกลๆ ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหวเพียงนิด ชั่วพริบตาหุ่นกระบอกหุ้มทองแดงตัวนั้นก็ถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงปลิวว่อน
อาศัยเพียงปราณที่แฝงอยู่ตรงปลายทวน ก็ทำให้หุ่นกระบอกที่สามารถต้านทานการโจมตีอย่างเต็มกำลังของระดับหยั่งสัจจะกลายเป็นจุณได้!
บนที่นั่งคนดูฮือฮาโดยพลัน คนใหญ่คนโตมากมายต่างอดร้องเสียงหลงไม่ได้ เผยสีหน้าประทับใจ ทวนเล่มนี้พลังอำนาจช่างน่ากลัวเหลือเกินจริงๆ
นัยน์ตาหลัวเฟิงหดรัดวูบหนึ่ง แค่นเสียงเย็นทันใด “หากมีเพียงแค่นี้ อย่างมากก็เป็นแค่ชุดศึกสลักวิญญาณที่พลังทำลายล้างแข็งแกร่งหน่อยก็เท่านั้น”
แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าเขากลับแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น หัวใจกระตุกวูบอย่างหนักหน่วง
บนยกพื้น ทวนยาวสีเทาเข้มพลันปรากฏกระบวนรอยสลักวิญญาณอันเร้นลับแน่นหนาขึ้นมารอยแล้วรอยเล่า เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอย่างวัยขุยคำราม สุริยันจันทราผลุบโผล่อย่างคลุมเครือ
เหตุการณ์นี้ประหนึ่งสิ่งอัศจรรย์ ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก
บุคคลสำคัญรุ่นอาวุโสที่ฝึกปราณอย่างลึกล้ำบางส่วน เวลานี้สีหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนแปรไป เพราะพวกเขารับรู้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่กำลังแผ่ขยายคงอยู่ทุกอณูอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาเกิดความหวั่นหวาดในใจอย่างห้ามไม่อยู่!
และเวลานี้เฟิงชิงโยวเองก็ท่าทางมึนงงเช่นเดียวกัน บนใบหน้าเล็กงามพริ้งเพราปรากฏอาการตกตะลึง สั่นสะท้านถึงขีดสุด ทันใดนั้นนางก็พึมพำออกมา “อาจารย์ ท่านดูออกไหมว่าบนสมบัตินั่นสลักกระบวนรอยสลักวิญญาณกี่รอยกันแน่”
“หากข้าดูไม่ผิด น่าจะมีกระบวนรอยสลักวิญญาณระดับสวรรค์สี่สิบเก้ารอย…”
ฮูหยินเป่าหวาที่อยู่ด้านข้างนัยน์ตาฉายแววอัศจรรย์ “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นหนึ่ง แต่จำนวนทั้งหมดกลับอยู่ที่ทวนเล่มหนึ่ง… นี่มันผิดกฎสวรรค์! เขา… หลอมออกมาได้อย่างไร”
นางถึงกับไม่อาจรักษาความสงบนิ่งไว้ได้ จิตใจสั่นสะท้าน!
“อาจารย์ ท่านกำลังพูดอะไรกันแน่” เฟิงชิงโยวมึนงง
ฮูหยินเป่าหวาในเวลานี้เหมือนธาตุไฟเข้าแทรก ไม่ได้ใส่ใจ เอาแต่พึมพำกับตัวเอง “ไม่แปลกที่จะชักนำให้เกิดด่านเคราะห์อสนี สิ่งนี้ทำให้สวรรค์ไม่อาจอภัย พลังชีวิตที่รอดพ้นหนึ่งถึงกับผนึกอยู่บนทวนนี้ทั้งหมด นี่ต้องฝืนฟ้าตัดวิถีเชียวนะ… แต่สุดท้ายเขาทำสำเร็จได้อย่างไรกัน ไม่นึกเลยว่าจะสามารถทำให้ทวนนี้อยู่รอดบนโลกนี้ได้…”
ไม่เพียงแต่ฮูหยินเป่าหวาเท่านั้น หลัวเฟิงเองก็มองจุดนี้ออก ด้วยเหตุนี้สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อหาใดเปรียบ นัยน์ตาเบิกกว้าง ท่าทางเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
พวกอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่ง เหล่าโม่ก็สังเกตเห็นได้รางๆ เพียงแต่ไม่อาจตัดสินความเป็นจริงได้ แปลกใจสงสัยไม่หยุด
พวกเขาต่างเป็นนักสลักวิญญาณ เป็นบุคคลสำคัญผู้ทรงอิทธิพลของแวดวงสลักวิญญาณ สิ่งที่สนใจตอนนี้คือวิชาลับและกระบวนรอยสลักในการหลอมทวนเล่มนี้
แต่สำหรับคนใหญ่คนโตที่ฝึกปราณถึงขั้นมีความเชี่ยวชาญอันลึกซึ้งเหล่านั้นแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากทวนนี้เวลานี้ กลับทำให้พวกเขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
เคล้ง!
บนยกพื้น กลิ่นอายขมุกขมัวม้วนซัดกลายเป็นแสงวิญญาณต่อเนื่อง ในที่สุดก็พัฒนาเป็นชุดศึกสีเทาวาวปกคลุมลงบนร่างหลินจง พลังปราณนั้นและทวนยาวในมือประสานเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แบ่งแยกออกจากกัน เสริมพลานุภาพของหลินจงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งในพริบตานั้น!
………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น