Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 504-506
ตอนที่ 504 ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน
โดย
ProjectZyphon
พลบค่ำ
ตะวันเคลื่อนคล้อยใกล้ลับแผ่นฟ้า ชายชราคนหนึ่งจูงลาหนุ่มตัวหนึ่งเข้ามายังนครต้องห้าม
บนลาหนุ่มมีร่างบางอรชรนั่งอยู่ สวมชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยให้เห็นเพียงคางน้อยๆ ขาวกระจ่างเรียบเนียน ผิวพรรณไร้รอยตำหนิราวหยกมันแพะ
ในเมืองอึกทึกครึกครื้นดั่งเช่นเคย เรื่องราวทางโลกมากมาย เจริญรุ่งเรืองราวกับกลุ่มควันลอยตลบ
“หลินสวินคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ใครจะกล้าจินตนาการว่าเขาจะประสบความสำเร็จ”
“อะไรคือปาฏิหาริย์งั้นรึ ก็นี่อย่างไร ได้ยินว่าเมื่อทวนเล่มนั้นปรากฏขึ้น สวรรค์ก็ประทานด่านเคราะห์อสนีม่วง แต่โบราณกาลมายากที่จะได้พบเห็น!”
“นับจากนี้ไปใครยังจะกีดขวางหนทางผงาดง้ำของหลินสวินได้อีก บ้าระห่ำแล้วอย่างไร กำเริบเสิบสานแล้วอย่างไร คนเขามีความสามารถแน่จริง!”
ชายชราจูงลาหนุ่มย่างก้าวไปบนท้องถนนที่คึกคักคราคร่ำไปด้วยผู้คน ตลอดทางสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดเห็นจะเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับหลินสวิน
นั่นทำให้บนสีหน้าของชายชราเจือแววประหลาดสายหนึ่ง ไม่เจอกันเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มคนนี้สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้แล้วงั้นรึ
ชายชราเหลือบตามองร่างบางอรชรซึ่งนั่งอยู่บนลาหนุ่มร่างนั้นอย่างอดไม่ได้
น่าเสียดาย เนื่องจากถูกหมวกปีกกว้างบดบังใบหน้า ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจน
“หลินสวินมานครต้องห้ามตั้งแต่เมื่อไหร่”
ทันใดนั้นภายใต้หมวกปีกกว้างพลันมีเสียงสงบเงียบเสนาะหูดุจเสียงจากธรรมชาติดังขึ้น ใสเย็นสะอาดเหมือนกับน้ำพุที่หลั่งไหลเรื่อยเฉื่อย ไพเราะเพราะพริ้งยากจะอธิบาย
“ประมาณหนึ่งปีแล้ว”
ชายชรากล่าวตอบ
“ทำไมข้าถึงไม่รู้”
“ต่อให้รู้แล้วก็ไม่อาจพบหน้ากันได้ ท่านยังต้องเติบโตและบำเพ็ญตน เขาก็ต้องเดินไปบนเส้นทางของตนเอง ทางที่ดีไม่พบกันเสียดีกว่า”
ชายชราอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนหนึ่งประโยค
บนลาหนุ่ม ร่างบางอรชรตกอยู่ในความเงียบ
“กลับมาคราวนี้ อาจจะพบเจอเรื่องราวที่เสี่ยงอันตรายกว่าเดิม เวลาของคุณหนูมีไม่มากแล้ว นางหวังว่าท่านจะสามารถเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด”
ชายชราเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เมื่อท่านมีพลังที่แข็งแกร่งพอ ก็สามารถทำเรื่องที่ตนเองต้องการทำได้ และไม่ต้องได้รับการคัดค้านอันใดอีก”
“เจ้าหมายถึงหลังจากกลับไปคราวนี้ มีช่วงเวลายาวนานที่ข้าไม่สามารถออกมาได้อีกงั้นรึ”
บนลาหนุ่ม น้ำเสียงไพเราะใสเย็นดังขึ้น
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนพยักหน้าตอบ “ประมาณนั้น”
ตลอดทางที่เดินไปข้างหน้า เด็กสาวตัวน้อยนิ่งเงียบตลอด จนกระทั่งมาถึงทางแยกอันคึกคักเส้นทางหนึ่ง นางพลันยกมือขึ้นให้ลาหนุ่มหยุดลง
ข้างทางแยกนั้นคือโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษามฤคมรกตวันนี้จนน้ำลายแตกฟอง
“เจ้าสำนักออกหน้า ถอนตำแหน่งของจ้าวจั้นเย่ราวลมสารทฤดูพัดกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นก็มิปาน ขับไล่เขาออกจากสำนักศึกษา แล้วยังทำให้เหล่าบุคคลสำคัญคนอื่นๆ ไม่อาจไม่ก้มหัวลง ไม่กล้าเป็นศัตรูกับหลินสวินอีก เห็นจะมีเพียงตระกูลจั่ว ฉิน ฉือ สามตระกูลที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เห็นได้ว่าพวกเขาไม่เคยคิดปล่อยหลินสวินไปแต่แรก”
“นั่นน่ะสิ กล้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้าสำนัก เกรงว่าจะมีเพียงตระกูลจั่ว ฉิน ฉือ สามตระกูลเท่านั้นแหละ ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะต่อกรกับหลินสวินเช่นไร”
“ความแค้นนี้ยากจะคลี่คลายลงได้จริงๆ ได้ยินมาว่าเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นบนภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็มีสามตระกูลนี้อยู่เบื้องหลัง ความแค้นบาดหมางใหญ่หลวงถึงขั้นนี้ ไม่อาจคลี่คลายเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก”
สาวน้อยฟังอยู่ข้างๆ ครู่ใหญ่แล้วพลันกล่าว “ก่อนจะกลับไป ข้าอยากไปดูสถานที่บางแห่ง”
ชายชราเหมือนเดาอะไรออก บนใบหน้าเมตตาอ่อนโยนปรากฏความจนปัญญาที่ยากจะได้เห็น ครู่ใหญ่จึงพูดว่า “มากสุดหนึ่งชั่วยาม”
“ได้”
คำตอบของสาวน้อยสั้นกระชับได้ใจความ
…
ยอดเขากระเรียนเหิน
นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจของตระกูลทรงอิทธิพล เป็นอาณาเขตของตระกูลฉือ รูปร่างคล้ายกับกระเรียนเหินทะยานขึ้นเหนือเมฆ ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน
ยามโพล้เพล้วันนี้ เด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งบนลาหนุ่มโดยมีชายชราผู้หนึ่งจูงได้มาถึงเบื้องหน้ายอดเขากระเรียนเหิน
หน้ายอดเขามีผู้คุ้มกันกร้าวแกร่งจำนวนหนึ่งปกป้องประตูทางเข้าอยู่ หลังจากเห็นชายชราและเด็กหญิงก็มีคนหนึ่งเดินออกมาทันที ตะโกนถามเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นใคร มายังตระกูลฉือข้าด้วยเรื่องอันใด”
แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้น สายตามองยอดเขากระเรียนเหินเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าวตอบ “ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน”
น้ำเสียงช่างงดงามดุจเสียงธรรมชาติ แต่ความหมายในคำพูดกลับพาให้ผู้คนตระหนกตกใจ
ผู้คุ้มกันคนนั้นชะงักงันไปครู่หนึ่ง แทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง หลายปีที่ผ่านมามีใครหน้าไหนกล้ามาลำพองในอาณาเขตของตระกูลฉือบ้าง
แต่วันนี้กลับมีแม่นางน้อยคนหนึ่งมาประกาศว่าจะฆ่าคนซะอย่างนั้น!
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
“ฆ่าคน?”
ผู้คุ้มกันสีหน้าพิลึกพิลั่น “หนูน้อย เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ใด”
“รู้ ตระกูลฉือ”
เด็กหญิงน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้คุ้มกันไม่พอใจทันที “รู้แล้วยังจะกล้ามาพูดเพ้อเจ้อ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้กลับไป!”
เคร้ง!
แม่นางน้อยน้อยเหยียดมือบางขาวกระจ่างออกมาข้างหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏทวนหนึ่งเล่ม ความยาวประมาณหนึ่งจั้ง ตัวทวนแผ่แสงดาราเย็นยะเยือกพร่าเลือนเสมือนภาพมายา
นางสวมชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าไว้ เรือนร่างอรชร เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เมื่อนางกุมทวนประกายดาราเล่มนั้นกลับประหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!
ไอสังหารยากอธิบายเข้าปกคลุมพื้นที่แถบนั้น ราวกับความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์มาเยือน ทำให้ฟ้าดินล้วนมืดสลัว ประหนึ่งจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด
แต่แม่นางน้อยกลับเสมือนราชันที่ยืนเด่นท่ามกลางความมืดนั้น มือจับทวนมั่น กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด!
ฟุ่บ!
พริบตาเดียวเท่านั้น ผู้คุ้มกันคนนั้นไม่ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ ลำคอก็ถูกปลายทวนไร้รูปตัดขาด เลือดสดสาดกระจาย ล้มลงกับพื้นโดยไร้สุ้มเสียง
ดวงตาเขาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความงุนงง แม้ตายแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเช่นนี้ เหตุใดจึงกล้ามาฆ่าคนหน้ายอดเขากระเรียนเหินตระกูลฉือ!
นางเป็นใคร?
ชายชราจูงลาหนุ่มยืนเงียบๆ อยู่อีกด้าน สีหน้าราบเรียบไร้คลื่นลม ยังคงมีความอ่อนโยนเมตตาเหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่สายตาที่มองแม่นางน้อยในบางครั้ง จะเผยแววซับซ้อนยากเข้าใจวูบหนึ่ง
“บังอาจ!”
“ถึงกับกล้าฆ่าคนในอาณาเขตตระกูลฉือของข้า รนหาที่ตาย!”
ผู้คุ้มกันพวกนั้นที่เฝ้าประตูเขาอยู่ห่างๆ ต่างถูกทำให้ตื่นตกใจ แผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล ชัดดาบศึกพุ่งตรงเข้ามา
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เด็กหญิงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ ชายชุดคลุมดำพลิ้วไหว ประหนึ่งเปลี่ยนเป็นเงาในความมืดมิด มีเพียงทวนในมือที่ตลบอบอวลไปด้วยประกายดาราราวภาพฝัน
เพียงนางสะบัดข้อมือ ผู้คุ้มกันแต่ละคนที่พุ่งเข้ามาก็ราวกับถูกใบมีดคมกริบไร้รูปกวาดผ่าน ลำคอถูกตัดขาด ร้องทุรนทุรายก่อนจะล้มลงกับพื้นแล้วตายไป
นี่เป็นภาพวาดนองเลือดอันน่าพรั่นพรึง ความมืดมิดดุจผืนฉากปกคลุมที่แห่งนี้ บนพื้นมีร่างไร้วิญญาณนอนเลือดอาบทั่วผืนดิน
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครเห็นว่าเด็กหญิงลงมืออย่างไร และไม่มีใครสามารถดิ้นรนขัดขืนได้อย่างสิ้นเชิง
เหมือนกับว่าเมื่อถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดลึกล้ำนั้น ชีวิตจักถูกปลิดชีพวาย
“รีบๆ ไปรายงานเร็วเข้า มีศัตรูบุกโจมตี!”
ในประตูหน้ามีคนตะโกนเสียงดังลั่น
ไม่นานก็มีคนในตระกูลฉือถูกทำให้ตื่นตระหนก ทยอยกันออกมา
ที่นี่คือนครต้องห้าม ตระกูลฉือเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพล เกือบพันปีมานี้ล้วนไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาล่วงเกิน
แต่มาวันนี้กลับมีคนกล้ามาประชิดประตูหน้า ฆ่าสังหารอย่างเปิดเผย ถือเป็นการยั่วยุตระกูลฉืออย่างร้ายแรง!
เด็กหญิงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้สักก้าว นิ่งเงียบราวราตรีรัตติกาลที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ประหนึ่งว่าในสายตาของนาง ไม่เคยรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าถอยหนีและหวาดกลัว
ฟุ่บๆๆ!
เมื่อผู้ฝึกปราณตระกูลฉือพุ่งออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ล้วนถูกความมืดมิดแถบนั้นปกคลุม และถูกช่วงชิงชีวิตไปอย่างรวดเร็วรุนแรงโดยไม่มีข้อยกเว้น
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสามารถดิ้นรนหลบหนี
ตะวันสาดแสงดั่งโลหิต แต่กลับไม่อาจขับไล่ความมืดมิดและกลิ่นคาวเลือด ณ ที่แห่งนี้ไปได้ บนพื้นเรียงรายไปด้วยศพ เลือดสีแดงสดข้นคลั่กไหลชโลม ย้อมพื้นดินให้กลายเป็นสีโลหิต
นี่คือการสังหารหมู่
เด็กหญิงยืนนิ่งสงบอยู่อย่างนั้น มือคว้าจับทวนยาวราวกับภาพฝันเล่มหนึ่ง ทำให้ความมืดมิดมาเยือน ตัดสินเป็นตายอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ
จนกระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะสี่คนเข้าโจมตี ในที่สุดเด็กหญิงก็เริ่มขยับตัว เพียงแต่การขยับตัวนั้นดูตามแต่ใจและเรียบง่ายมากเช่นเดิม
เพียงแค่โบกสะบัดทวนยาวในมือเล็กน้อย ในความมืดนั่นก็ปรากฏดวงดาวสีเลือดดวงแล้วดวงเล่าร่วงหล่นจากกลางอากาศ
ทว่าในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั้งสี่คนกลับถูกพิฆาต ณ ตรงนั้น พวกเขาเพิ่งจะเรียกสมบัติของตนเองออกมา เตรียมสำแดงวิชาลับของตน กำลังจะฆ่าศัตรูด้วยเพลิงพิโรธที่สุมอก… แต่กลับกลายเป็นเหมือนต้นหญ้าไร้ค่า ถูกกวาดล้างสังหารสิ้น!
เวลานี้ในที่สุดบุคคลสำคัญของตระกูลฉือก็ถูกทำให้ตื่นตระหนก บนยอดเขากระเรียนเหินบังเกิดเสียงตะโกนดังลั่นราวฟ้าผ่า…
“ตำหนักรัตติกาล! พวกเจ้าถึงกับกล้าลงมือกับตระกูลฉือของข้ารึ!?”
“ควรไปแล้ว”
ชายชราที่คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ มาตลอดได้ยินดังนั้นก็ก้าวมาอยู่ข้างกายเด็กหญิง แต่มิได้ว้าวุ่นอันใด สีหน้ายังคงอ่อนโยนเมตตาและสงบนิ่งดังเดิม
“อืม”
เด็กหญิงพยักหน้า นางมาเพื่อฆ่าคน ไม่ได้มาเพื่อรนหาที่ตาย รู้ว่าหากรั้งอยู่ต่อไปจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายจำนวนมาก
พริบตานั้นสองคนและหนึ่งลาหนุ่มก็หายไปจากตรงนั้น
“เจ้าทาสชั้นต่ำ! พวกเจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว ข้าจะไปปราสาทรัตติกาลทวงคืนความเป็นธรรมด้วยตนเองให้จงได้!”
บนยอดเขากระเรียนเหิน เสียงคำรามด้วยความคับแค้นแผดดังขึ้น ราวกับเทพองค์หนึ่งกำลังระบายความเดือดดาล สั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้า เมฆาวาโยพลันเปลี่ยนสี
…
ยอดเขาเมฆาหวน
อาณาเขตของตระกูลจั่ว หนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
ยามอาทิตย์อัสดง หนึ่งชายชรา หนึ่งเด็กหญิง และหนึ่งลาหนุ่มปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้
“ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน”
หลังจากที่เด็กหญิงเอ่ยประโยคนี้จบ การเข่นฆ่านองเลือดก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น
ครั้งนี้สังหารไปสี่สิบหกศพ เลือดหลั่งย้อมปฐพี
เมื่อพวกคนใหญ่คนโตของตระกูลจั่วมีปฏิกิริยาตอบสนอง ชายชราและเด็กหญิงก็ลอยล่องหายไปอีกครา
ต่อจากนั้นเรื่องราวอย่างเดียวกันก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้งที่ยอดเขาตะวันคราม ที่แห่งนี้คืออาณาเขตตระกูลฉิน หนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
จนกระทั่งดวงตะวันคล้อยลงต่ำ เมื่อราตรีกาลอันมืดมิดมาถึง เวลาหนึ่งชั่วยามได้หมดลงแล้ว
เด็กหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กล่าวว่า “ต้องมีสักวัน ข้าจะกำจัดสามตระกูลนี้ให้สิ้นซาก”
ท้ายที่สุดชายชราไม่อาจนิ่งสงบได้อีก ยิ้มขื่นอย่างจนใจ
“ไปเถอะ”
ชายชราจูงลาหนุ่มพาเด็กหญิงจากไป
แต่ในค่ำคืนนี้ เรื่องราวการเข่นฆ่านองเลือดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉือ จั่ว และฉิน ก็แพร่กระจายไปทั่วนครต้องห้ามด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง นำพาความปั่นป่วนโกลาหล ทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนที่ยากจะเอ่ย
เกือบพันปีมานี้ ใครเล่าจะกล้ายั่วยุตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง นั่นคือขุมอำนาจใหญ่ซึ่งอยู่เหนือสุดในจักรวรรดิ มีอิทธิพลสะท้านฟ้า อานุภาพร้ายกาจ!
แต่มาวันนี้กลับมีเด็กหญิงนามซย่าจื้อปรากฏตัวหน้าตระกูลฉือ จั่ว และฉินติดต่อกัน เปิดฉากฝนโลหิตคาววายุฉากแล้วฉากเล่าด้วยท่าทางเปิดเผย!
…………………
ตอนที่ 505 คลื่นลมผันเปลี่ยน วาจายั่งยืน
โดย
ProjectZyphon
ที่น่าแปลกคือ รุ่งเช้าวันที่สอง เหตุการณ์เข่นฆ่านองเลือดซึ่งเกิดขึ้นที่ตระกูลฉือ จั่ว และฉินกลับถูกปิดบังและควบคุม เปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อน
ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าพลบค่ำวานนี้ที่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสามตระกูลใหญ่แท้จริงแล้วมีคนตายไปกี่ศพ ทั้งเกิดการปะทะรุนแรงดุเดือดถึงขั้นไหน
แต่สิ่งที่สามารถแน่ใจได้คือ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากฝีมือของเด็กหญิงคนหนึ่งนามซย่าจื้อ
ซย่าจื้อ!
ชื่อที่แสนเรียบง่ายและอบอุ่นชื่อหนึ่ง ทว่าภายในเวลาข้ามคืนกลับขจรขจายทั่วนครต้องห้าม แม้ไม่ทราบความเป็นมาของนาง แต่ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือน
กล่าวได้ว่า นางคือคนเดียวที่กล้าเปิดฉากสังหารนองเลือดกับขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งสามในช่วงกว่าพันปีมานี้
ที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ คำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับนางในทุกข่าวลือ ล้วนเป็นภาพลักษณ์ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง!
เหตุใดนางจึงทำเช่นนี้?
ผู้คนมากมายต่างสันนิษฐานว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินเป็นแน่ ถึงอย่างไรยามนี้ผู้ฝึกปราณทั่วนครต่างรู้ดีว่า ขุมอำนาจศัตรูที่ไม่ถูกกับหลินสวินประหนึ่งน้ำกับไฟ ก็เหลือเพียงตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉินเท่านั้น
และซย่าจื้อไม่ไปหาขุมอำนาจอื่น แต่กลับมาหาสามตระกูลนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นแน่
โลกภายนอกต่างคนต่างพูด ตระกูลฉือ จั่ว ฉิน สามตระกูลกลับใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวที่สุดเพื่อปิดข่าว พวกเขาย่อมไม่ยอมทนให้เรื่องขายหน้าเช่นนี้ฉาวโฉ่ต่อไป
แต่เรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสัญญาณอย่างหนึ่ง บอกกล่าวผู้คนในใต้หล้าว่าบนโลกนี้ยังมีคนกล้าท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอยู่!
ซย่าจื้อ!
นางเป็นใครกันแน่?
นางรู้จักกับหลินสวินหรือไม่?
นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างสงสัย
มีเพียงขุมอำนาจใหญ่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่รู้ชัด ว่าเด็กหญิงคนนี้มีที่มาไม่ธรรมดา เพียงแต่พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้
…
โลกภายนอกเต็มไปด้วยคลื่นลม ในสำนักศึกษามฤคมรกตกลับฟื้นคืนความสงบเงียบดังแต่ก่อนนานแล้ว ดุจดั่งแดนสุขาวดีที่ไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอก
สองวันให้หลัง
หลินสวินตื่นจากสมาธิ ประจวบเหมาะเป็นเวลารุ่งเช้าพอดี นอกหน้าต่างเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว แสงอรุณส่องผ่านช่องหน้าต่าง สาดแสงลงบนพื้นห้องให้สว่างและอบอุ่น
กลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าลอยล่องในอากาศ มีพลังวิญญาณดังเส้นไหมที่ถักทอ ทำให้หลินสวินมีชีวิตชีวา รู้สึกกะปรี้กะเปร่าไปทั้งตัว
หลินสวินเอนกายบนเตียงอย่างเกียจคร้าน นึกถึงเรื่องราวแต่ละฉากที่เกิดขึ้นก่อนตนจะหลับไป อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ “ชุดศึกสลักวิญญาณหลอมสำเร็จแล้ว แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังตกตะลึง การเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าจะสร้างความโกลาหลที่ใหญ่พอแล้วกระมัง…”
พิจารณาใคร่ครวญเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินพลิกตัวลุกขึ้นก่อนจะยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย
เมื่อเปิดหน้าต่างออกก็เห็นแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมา ต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม กระเรียนวิญญาณร่ายรำเวียนวนในท้องฟ้าโปร่ง กล่อมบรรเลงด้วยเสียงกระจ่างใส
ในจุดที่ห่างออกไป สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ตั้งตระหง่าน อาบไล้ด้วยแสงตะวันยามอรุณรุ่ง บางครามีศิษย์ชายหญิงสองสามคนเดินผ่านมา ทิ้งร่องรอยแห่งวัยเยาว์ไว้
ไม่นานนักเสิ่นทั่วก็มาเยี่ยมเยือน เห็นชัดว่าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงรู้ว่าหลินสวินตื่นแล้ว
“ยินดีด้วยปรมาจารย์หลินสวิน เจ้ารู้ไหมว่าเวลานี้ในนครต้องห้ามบุคคลที่น่าจับตามองที่สุดเป็นใคร”
เพิ่งจะพบหน้ากัน เสิ่นทั่วก็ยิ้มแย้มเปิดบทสนทนาหยอกล้อ
“ดูท่าแล้วผู้อาวุโสคงอารมณ์ดีไม่เลว”
หลินสวินหัวเราะขึ้นบ้าง
กลับเห็นเสิ่นทั่วทอดถอนใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าอารมณ์ไม่ดีมาก”
พูดจบเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง หยิบเอาเทียบเชิญหนาๆ ตั้งหนึ่งออกมา ต่างล้วนงดงามหาใดเปรียบ มีบางเทียบถึงกับทำจากหยกวิญญาณชั้นสูง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
“นี่ เจ้าดูสิ เวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็มีขุมอำนาจทั้งใหญ่เล็กหลายสิบแห่งส่งเทียบเชิญมา เจาะจงอยากจะเชิญเจ้า เทียบเชิญพวกนี้ข้าคัดเลือกออกมาให้แล้วด้วยนะ”
เสิ่นทั่วยัดเทียบเชิญกองนั้นใส่มือหลินสวิน “เจ้าจัดการเองแล้วกัน ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงชั้นกลาง กรมทหาร ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ… สรุปคือ ขุมอำนาจพวกนี้ข้าล่วงเกินไม่ได้ทั้งนั้น ได้แต่ให้เจ้าไปตัดสินใจเอาเอง”
หลินสวินอึ้งงัน ใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจขึ้นมา ก่อนจะโยนเทียบเชิญเหล่านั้นไว้ที่มุมห้องสั่วๆ เสิ่นทั่วที่เห็นดังนั้นก็เบิกตาโพลงทันที
หลินสวินพูดขึ้นง่ายๆ “ผู้อาวุโสอย่าได้มองข้าเช่นนั้น ก็แค่เทียบเชิญเท่านั้น ต่อให้ข้าไม่ไป พวกเขายังกล้ามองข้าเป็นศัตรูอีกหรือ”
เสิ่นทั่วกล่าวทอดถอนใจ “ก็จริง เจ้าในตอนนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีใครกล้าล่วงเกินเจ้าง่ายๆ”
“จริงสิ เจ้าเคยได้ยินชื่อซย่าจื้อบ้างไหม” เสิ่นทั่วพลันเอ่ยปากถาม
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันที ในใจไหวสะท้านไม่หยุด กล่าวว่า “ใยผู้อาวุโสจึงกล่าวถึงเรื่องนี้”
สีหน้าเสิ่นทั่วดูแปลกออกไป เอ่ยว่า “ช่วงพลบค่ำเมื่อหลายวันก่อน เด็กหญิงลึกลับคนนี้ได้ทำเรื่องใหญ่เอาไว้…”
จากนั้นก็เล่าข่าวลือเรื่องเหตุการณ์นองเลือดที่ประตูหน้าเขาของตระกูลฉือ จั่ว ฉินออกมา
หลินสวินได้แต่ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น อารมณ์ไหวหวั่นโหมซัดอย่างเห็นได้น้อยครั้งนัก ยากจะสงบนิ่งลงได้
เขานึกถึงเรื่องมากมาย นึกถึงเหตุกาณ์ครั้งแรกยามพบเจอซย่าจื้อ นึกถึงวันเวลาที่อยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำกับเด็กหญิงตัวน้อย ณ หมู่บ้านเฟยอวิ๋น
และนึกถึงยามแยกจากกันที่เมืองตงหลิน คำพูดที่จริงจังและนิ่งสงบนั้นของแม่นางน้อย… ‘หลินสวิน ก่อนที่ข้าจะกลับมา เจ้าห้ามตายนะ’
ในใจหลินสวินสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบายได้ ในสมองปรากฏใบหน้าน้อยๆ ที่งดงามสงบเงียบหาใครเปรียบของเด็กหญิงตัวน้อย นางพิเศษยิ่งเสมอ โดดเด่น เงียบสงบ ไม่คิดแก่งแย่งผู้ใด ราวกับอยู่กันคนละโลก
เพียงแต่หลินสวินคาดไม่ถึงว่า หลังแยกจากกันสองปีซย่าจื้อจะปรากฏตัวในรูปแบบนี้ นาง… เหตุใดจึงไม่อยากพบเจอตน?
“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรไป”
ข้างหูแว่วเสียงของเสิ่นทั่ว ทำให้หลินสวินตื่นจากห้วงคิด
“ไม่มีอันใด ผู้อาวุโสท่านบอกข้าได้หรือไม่ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”
หลินสวินหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวถาม
“ไม่รู้สิ”
เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ อย่าว่าแต่เขาเลย ผู้คนมากมายทั่วทั้งนครต้องห้ามจนถึงบัดนี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเด็กหญิงคนนั้นมาจากที่ใด
“ตำหนักรัตติกาล…” หลินสวินพึมพำ “ใช่ นางต้องอยู่ที่นั่นแน่…”
เสิ่นทั่วฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าเด็กหญิงคนนั้นมาจากตำหนักรัตติกาลงั้นรึ? มิน่าเล่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หลินสวินชะงักกึก รู้สึกรางๆ ว่าเสิ่นทั่วดูเหมือนจะนึกอะไรออก
เป็นดังคาด พลันเห็นเสิ่นทั่วพูดว่า “หากเด็กหญิงคนนั้นมาจากตำหนักรัตติกาลจริง ต่อให้เจ้าไปก็ไม่ได้เจอนางแน่”
“เพราะเหตุใด” หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น
“เพราะเมื่อวานนี้ตำหนักรัตติกาลหายไปแล้ว”
“หายไปแล้ว?”
“ใช่ หายไปพร้อมปราสาทรัตติกาล เรื่องนี้เร้นลับเป็นอย่างมาก มีคนไม่มากนักที่จะรู้ ข้าก็บังเอิญนคนเขาพูดกันต่อมาถึงได้รู้เรื่องนี้ ว่ากันว่าเป็นเพราะราชินีแห่งปราสาทรัตติกาลคนนั้นต้องข้ามอมตะเคราะห์เป็นครั้งแรก ไม่อาจไม่ปิดด่าน เลี่ยงไม่ให้ถูกรบกวนจากศัตรูภายนอก”
เสิ่นทั่วทนอธิบาย
อมตะเคราะห์!
หลินสวินตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ในบรรดาราชันแห่งระดับสังสารวัฏ หากปรารถนาก้าวเข้าสู่วิถีแห่งความอมตะอย่างแท้จริง ต้องข้ามผ่านด่านเคราะห์ที่ราวกับยื้อแย่งชะตาชีวิตกับฟ้าเบื้องบน
ด่านเคราะห์นี้ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอมตะเคราะห์ จากตำนานเล่าขานด่านเคราะห์นี้เกี่ยวข้องกับพลังแห่งความลับสวรรค์มหามรรค ความน่ากลัวไร้ซึ่งขีดจำกัด เมื่อใดที่ต้องข้ามผ่านด่านเคราะห์ เท่ากับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย!
แม้ใช้พลังของราชันระดับสังสารวัฏก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามข้ามด่านเคราะห์นี้ เพราะผลลัพธ์นั้นน่าหวาดกลัวเกินไป หากพลาดพลั้งเพียงคราเดียว ร่างจะแหลกสลายไม่เหลือซาก ถูกพลังแห่งมหาเคราะห์ลบหายไปจากโลก ไม่เหลือเศษเสี้ยวความหวังที่จะอยู่รอดโดยสิ้นเชิง!
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ในโลกมีคำเล่าลือว่าบนหนทางสู่อมตะไอสังหารหนักหน่วง ก้าวเดียวเคราะห์เดียวความเป็นตายเดียว!
หรือเรียกได้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่ข้ามผ่านด่านเคราะห์คราเดียวก็จะสามารถได้รับความเป็นอมตะ หากแต่เป็น เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งอมตะ ก็ถูกกำหนดให้เจอพิบัติเคราะห์หนักหน่วงไม่อาจถอยร่น
“ราชินีแห่งรัตติกาลเป็นบุคคลที่ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนในจักรวรรดิต่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ในใต้หล้าจึงมีศัตรูที่จับจ้องนางอยู่มาก ครั้งนี้หากนางต้องการข้ามอมตะเคราะห์จริง เกรงว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย”
เสิ่นทั่วกล่าวอย่างทอดถอนใจ
ราชินีแห่งรัตติกาล ชื่อนี้ราวกับชื่อต้องห้าม เปรียบเสมือนเงามืด เหมือนดั่งความมืดมิดที่ปกคลุมจักรวรรดิตลอดหลายพันปีมานี้ เมื่อใดที่เอ่ยถึงก็ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนหน้าถอดสี
แต่มาวันนี้นางต้องการก้าวผ่านด่านอมตะเคราะห์ ศัตรูเหล่านั้นจะต้องไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน!
“ยังดีที่พลังของตำหนักรัตติกาลได้หายไปแล้ว ราวกับระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ เห็นชัดว่าราชินีแห่งรัตติกาลก็รู้ดีว่า ขณะที่นางข้ามด่านเคราะห์จะต้องมีคนเข้ามาทำลาย ด้วยเหตุนี้จึงเตรียมตัวไว้ก่อนล่วงหน้า”
เสิ่นทั่ววิเคราะห์เบาๆ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ศัตรูพวกนั้นของนางก็คงไม่สามารถเสาะหาร่องรอยของนางได้โดยง่ายแน่”
หลินสวินเงียบไปครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจแผ่วเบา
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ การปรากฏตัวของซย่าจื้อที่ใช้ท่าทีแข็งกร้าวบุกสังหารตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉินถึงหน้าประตู หรือเป็นเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะหายตัวไปพร้อมราชินีแห่งรัตติกาล ดังนั้นจึงตัดสินใจฉวยโอกาสนี้ช่วยทำอะไรเพื่อตนบ้าง?
‘ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่ง ข้าจะไปรับเจ้ากลับมา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพรากเจ้าไปจากข้าได้อีก!’
หลินสวินพึมพำในใจ
เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ซย่าจื้อถูกราชินีแห่งรัตติกาลพาตัวไปในปีนั้น ภายในใจก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกบีบเค้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความไร้กำลัง ทำให้รู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง
ถึงแม้มาถึงวันนี้ ชายชราคนนั้นที่ตำหนักรัตติกาลจะช่วยเขาไว้ไม่น้อย แต่สำหรับเรื่องที่ซย่าจื้อถูกพาตัวไปในปีนั้นก็ยังคงทำให้หลินสวินมิอาจลืมเลือน!
เพราะความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับให้จำต้องยอมรับในลิขิตชะตาแบบนั้น ทำให้หลินสวินไม่อาจอภัยให้ได้จริงๆ!
“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรกันแน่ คงไม่ใช่ว่าซย่าจื้อนั่นเป็นญาติพี่น้องเจ้าหรอกกระมัง”
เสิ่นทั่วสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่หลินสวินได้ยินชื่อซย่าจื้อนี้ก็เหมือนมีบางอย่างผิดแปลกไป
“ไม่มีอะไรขอรับ”
หลินสวินหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง กล่าวว่า “จริงสิ ผู้อาวุโสท่านมาหาข้าวันนี้ยังมีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่”
เสิ่นทั่วรู้ได้ในทันที หลินสวินไม่คิดจะกล่าวถึงเรื่องของซย่าจื้ออีกแล้ว
เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ที่จริงแล้วมีเรื่องหนึ่งต้องการให้เจ้าไปด้วยตนเอง เถ้าแก่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหลมาถึงวานนี้ รอเจ้าอยู่ในสำนักศึกษาโดยตลอด ไล่ก็ไล่ไม่ไป โหวกเหวกว่าหากไม่ได้พบหน้าเจ้าต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ไป”
พูดถึงตอนท้ายเสิ่นทั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่น เห็นได้ชัดว่าเขาถูกจ้าวไท่ไหลเซ้าซี้จนหมดปัญญาแล้วจริงๆ
จ้าวไท่ไหล?
หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อย รู้ว่าการเคลื่อนไหวของตนในครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของบุคคลสำคัญในราชวังท่านนั้นแล้ว
ไม่อย่างนั้นคนเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวไท่ไหลไม่มีทางเป็นฝ่ายมาหาตนก่อนแน่
นึกถึงตรงนี้มุมปากหลินสวินก็ระบายยิ้ม “เขามาได้พอดีเชียว ข้าเองก็มีเรื่องจะหาเขาอยู่พอดี”
เขาเคยรับปากจะช่วยจูเหล่าซานแก้ไขปัญหาการบรรลุระดับปราณเอาไว้ และในส่วนลึกของราชวังก็มีวิธีแก้ไขปัญหานี้อยู่!
……………….
ตอนที่ 506 อาภรณ์ม่วงดั่งมรกต
โดย
ProjectZyphon
สำนักศึกษาเงียบสงบ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่โบราณทรงคุณภูมิ
ประจวบเหมาะกับเป็นรุ่งเช้า ในสำนักศึกษาบรรดาศิษย์มากมายทยอยปรากฏร่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่างก็อายุน้อยอยู่ในช่วงวัยกำลังรุ่งโรจน์ เปล่งประกายเบิกบานมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นร่างหลินสวินและเสิ่นทั่วเดินออกมาพร้อมกัน เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีพลันดังขึ้นทันที
“อาจารย์เสี่ยวหลิน!”
“อาจารย์เสี่ยวหลิน พวกเราจะสนับสนุนท่านไปตลอดกาล!”
“อาจารย์เสี่ยวหลิน เมื่อไหร่จะสอนพวกเราหลอมชุดศึกสลักวิญญาณล่ะขอรับ”
สีหน้าท่าทางศิษย์เหล่านั้นฉายแววเทิดทูนและตื่นเต้นยินดีจากก้นบึ้งหัวใจ บ้างก็ใจกล้าและตรงไปตรงมาตามประสาคนรุ่นเยาว์
ศิษย์หญิงจำนวนหนึ่งถึงขั้นตื่นเต้นจนแก้มแดงระเรื่อแววตาหลงใหล เห็นได้ว่ายามนี้สถานะของหลินสวินในใจศิษย์เหล่านี้พิเศษโดดเด่นเพียงไหน
หากไม่ใช่เพราะเสิ่นทั่วอยู่ด้วย บรรดาศิษย์เหล่านั้นคงจะล้อมกรอบหลินสวินล้อมไปนานแล้ว
“คนหนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ”
หลินสวินทอดถอนใจประโยคหนึ่ง
เสิ่นทั่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่ คำพูดนี้ควรเป็นข้าที่ทอดถอนใจถึงจะถูก”
หลินสวินยิ้มฟังโดยไม่คัดค้าน
เมื่อเดินผ่านหอหลอมวิญญาณ จู่ๆ หลินสวินก็เห็นร่างที่คุ้นเคย
ฉู่ซานเหอ!
เพียงแต่เขาในเวลานี้มือถือไม้กวาด กำลังปัดกวาดพื้นหน้าหอหลอมวิญญาณเหมือนข้ารับใช้อายุมากคนหนึ่ง
พริบตาที่เหลือบเห็นหลินสวิน สีหน้าฉู่ซานเหอพลันเปลี่ยนไปในทันที นัยน์ตาฉายแววอาฆาต คับแค้นใจ หวาดกลัว หดหู่ ซับซ้อนสับสนเหลือประมาณ
ท้ายที่สุดเขาแค่นเสียงไม่พอใจก่อนหันกลับเข้าไปยังหอหลอมวิญญาณ
“นี่คือบทลงโทษที่เจ้าสำนักให้แก่เขา ถอนตำแหน่งรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ ลดขั้นลงมาเป็นคนงานดูแลหอหลอมวิญญาณร้อยปี”
เสิ่นทั่วอธิบาย
หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น “การลงโทษนี้ไม่เบาเกินไปหน่อยหรือขอรับ”
เสิ่นทั่วส่ายศีรษะ “เจ้าไม่เข้าใจ บุคคลยิ่งใหญ่ที่องอาจผ่าเผยคนหนึ่งจากตระกูลฉู่ ตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่ เป็นถึงรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ มีหน้ามีตาระดับไหน แต่มาวันนี้กลับถูกลดขั้นลงเป็นคนงาน สูญเสียอำนาจและเกียรติภูมิทั้งหมดไป รสชาติของการถูกกระแทกตกลงมาเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาเช่นนี้ยังแย่กว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก”
หลินสวินคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนัก เท่ากับได้มอบความยุติธรรมให้ตนเองแล้ว เขาไหนเลยจะสามารถไม่พอใจได้
แน่นอนว่า ถ้าหากยึดตามความคิดของหลินสวิน ต่อให้ไม่ฆ่าฉู่ซานเหอ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เขาพิการ ไม่มีโอกาสล้างแค้นตนได้อีก
…
โถงรับรอง
ทันทีที่มาถึงหลินสวินก็มองเห็นจ้าวไท่ไหล เขาเป็นเชื้อพระวงศ์แต่กลับกลับทำตัวเหมือนพ่อค้าคนหนึ่ง แต่งกายหรูหราฟุ้งเฟ้อ รูปร่างอวบอ้วนยิ้มแย้ม ดูน่าสนิทชิดเชื้ออย่างเป็นธรรมชาติ
เพียงแต่หลินสวินรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่คือตัวแทนแห่งตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เท่านั้น คิดจะดึงข้อมูลออกจากปากเขาเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อสิ้นดี
“โอ้ ในที่สุดปรมาจารย์หลินสวินก็ปรากฏตัวแล้ว ทำให้ข้าผู้แซ่จ้าวรู้สึกตื่นตะลึงที่ได้รับการโปรดปรานยิ่งนัก”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะเสียงดังเดินเข้ามาต้อนรับ
“ฮ่าๆๆ ได้พบผู้อาวุโสที่นี่ก็ทำให้ข้ายินดีอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน”
หลินสวินเองก็หัวเราะเดินเข้าไปหาราวกับว่าดีใจเป็นอย่างมาก
เสิ่นทั่วหมดคำพูดไปพักหนึ่ง ช่างเป็นคู่หูจอมปลอมเสียจริง
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นจ้าวไท่ไหลหรือหลินสวินต่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจสักนิด กลับกลายเป็นว่าทักทายกันอย่างกระตือรือร้นไม่หยุดหย่อนราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน
นั่นทำให้เสิ่นทั่วตกตะลึงอ้าปากค้างไปพักหนึ่ง เสแสร้งจอมปลอมถึงขนาดนี้ ไม่ให้นับถือก็คงไม่ได้
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาครานี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ”
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงเอ่ยปากถาม
สายตาเขามองไปยังอีกด้านอย่างคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตรงนั้นมีคนวัยหนุ่มสาวอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่ ศีรษะประดับเกี้ยวขนนก เอวคาดเข็มขัดหยกขาว เท้าใส่รองเท้างูเหลือม ริมฝีปากแดงฟันขาว คิ้วกระบี่เนตรดารา มีรูปลักษณ์งามสง่าบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา
เพียงแต่หลินสวินสังเกตเห็นว่า ผิวของคนผู้นี้ก็เกลี้ยงเกลาขาวกระจ่างเกินไป ประหนึ่งหยกงามไร้ที่ติ ช่วงหางคิ้วแฝงไอวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เลือนราง ช่างพิเศษไม่เหมือนใครยิ่งนัก
“อ้อ ก่อนคุยกันถึงเรื่องหลักข้าขอแนะนำสักหน่อย นี่คือหลานคนหนึ่งของข้าชื่อจ้าวเสวียน มาครั้งนี้เพราะต้องการชื่นชมความสง่างามของปรมาจารย์เสี่ยวหลินสักหน่อย”
จ้าวไท่ไหลพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ยินดีที่ได้พบสหายร่วมวิถีหลินสวิน”
จ้าวเสวียนยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ยิ้มพลางคารวะ เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบ รอยยิ้มนั้นดูสะอาดบริสุทธิ์ราวธารน้ำใส
ที่พิเศษที่สุดคือเขาเรียกหลินสวินว่า ‘สหายร่วมวิถี’ เห็นชัดว่าเขามองตนเป็นผู้อยู่ในวิถีเดียวกันจึงเรียกขานเช่นนั้น
หลินสวินยิ้มพลางคารวะตอบ ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้ คนในอาภรณ์ม่วงเบื้องหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา อากัปกิริยา หรือแม้แต่คำพูดคำจาต่างล้วนโดดเด่นทั้งสิ้น ประหนึ่งหยกงามบริสุทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติชิ้นหนึ่ง สุภาพอ่อนโยนไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจได้โดยง่าย
หลังจากนั้นเสิ่นทั่วเดินจากไปอย่างรู้ตนดี ปล่อยให้หลินสวินและจ้าวไท่ไหลอยู่ในโถง ด้วยรู้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากัน
“การมาที่นี่ครานี้ หนึ่งคือมาแสดงความยินดีกับสหายน้อยที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้สำเร็จ ชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน โดดเด่นเป็นสง่าบนเส้นทางนักสลักวิญญาณ”
จ้าวไท่ไหลออกปากพูดยิ้มระรื่น “สอง ก็คือได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น เป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุผลอย่างหนึ่ง”
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่กีดกันคนในอาภรณ์ม่วงนั้นออกไป เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะถูกฝ่ายหลังได้ยินเรื่องลับส่วนตัว
หลินสวินเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวทันที “นี่ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าเองก็มีเรื่องรบกวนผู้อาวุโสอยู่พอดี”
จ้าวไท่ไหลมุมปากกระตุกยกขึ้นอย่างยากจะสังเกตเห็น หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นมิสู้สหายน้อยพูดก่อนเป็นอย่างไร”
“เชิญท่านผู้อาวุโสว่ามาก่อนเถิด”
หลินสวินยิ้มบอกปัด
คราวนี้คนในอาภรณ์ม่วงยิ้มเงียบๆ อย่างอดไม่อยู่ เห็นชัดว่าเขามองออกว่าจ้าวไท่ไหลและหลินสวินกำลังหยั่งเชิงกัน
จ้าวไท่ไหลกระแอมเล็กน้อย สีหน้าภูมิฐานเคร่งขรึม “อืม อันที่จริงคำร้องขออันไม่สมเหตุสมผลของข้านี้ง่ายมาก คืออยากให้สหายน้อยลงมือช่วยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งให้ด้วยตนเอง”
หลินสวินชะงัก เอ่ยเสียงขรึม “สิ่งนี้… อันที่จริงก็จัดการได้ง่าย เพียงแต่… ตอนนี้ข้ามีกิจรัดตัว เกรงว่าจะรวบรวมสมาธิได้ยาก…”
ไม่รอให้พูดจบจ้าวไท่ไหลก็ตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่างเถอะๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าไม่ยอมรับปากง่ายๆ พูดมา เจ้ามีเงื่อนไขอะไร”
หลินสวินยิ้มทันที “เฮ้อ ผู้อาวุโสคำพูดนี้ของท่านช่างเห็นข้าเป็นคนนอกเหลือเกิน แต่ว่าข้ามีเรื่องหนึ่งต้องรบกวนท่านจริงๆ”
“พูด!”
จ้าวไท่ไหลคร้านจะพูดมากความอีก เขาดูออกว่าหากตบตีกับเจ้าจิ้งจอกน้อยหลินสวินนี่ต่อไป รังแต่จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ หาส่วนดีไม่ได้สักกระผีก
“ในเมื่อผู้อาวุโสตรงไปตรงมาเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ”
หลินสวินยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ข้าได้ยินมาว่าในส่วนลึกของราชวังมีหอคอยกระบวนแปรจุติอยู่หลังหนึ่ง ไม่ทราบว่าสามารถพาสหายของข้าเข้าไปบำเพ็ญตนในนั้นสักพักหนึ่งได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินชื่อหอคอยกระบวนแปรจุตินี้เข้า ในใจจ้าวไท่ไหลพลันกระตุกวูบ และเมื่อได้รู้ความตั้งใจที่แท้จริงของหลินสวินแล้ว เขายิ่งอดรนทนไม่ได้ทันที “เจ้าหนู ข้อเรียกร้องนี้ของเจ้า… เกินไปหน่อยกระมัง”
“เกินไปหรือขอรับ” หลินสวินประหลาดใจ
“ที่นั่นคือสถานที่ต้องห้ามของราชวัง แม้แต่บุคคลสำคัญของราชวงศ์ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น เจ้าคิดว่าคนนอกคนหนึ่งจะสามารถเข้าไปได้ไหมล่ะ”
จ้าวไท่ไหลแค่นเสียง
หลินสวินคิ้วขมวด “ดูแล้วเรื่องนี้ยากจะทำได้จริงดังว่า…”
“เพื่อนของเจ้าต้องการไปหอคอยกระบวนแปรจุติเพื่ออะไร”
ทันใดนั้นเองคนในอาภรณ์ม่วงพลันเอ่ยปากถาม
“เขาติดอยู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงสุดหลายปี อายุขัยใกล้หมดลงแล้ว หากยังไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นไปได้จะต้องเกิดเรื่องไม่อาจคาดคิดขึ้นแน่นอน”
เพียงคำพูดนี้ก็ทำให้คนอาภรณ์ม่วงนั้นกระจ่างแจ้งทันที พยักหน้ากล่าว “เป็นปัญหาจริงๆ ระดับมหาสมุทรวิญญาณมีอายุขัยสามร้อยปี ระดับหยั่งสัจจะมีอายุขัยหกร้อยปี หากไม่อาจเลื่อนระดับขึ้นไปได้ ไม่ว่าจะฝึกปราณถึงขั้นสูงสุด ท้ายที่สุดก็ต้องหยุดกลางทาง เปลี่ยนเป็นซากกระดูกกองหนึ่ง”
หลินสวินเองก็รู้สึกเช่นนั้น ก่อนพูดอย่างทอดถอนใจ “ใช่แล้ว ที่พี่จ้าวกล่าวมาทั้งหมดตรงใจข้า น่าเสียดาย นอกจากเข้าไปยังหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ส่วนลึกของราชวังแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่ายังมีหนทางอื่นที่สามารถช่วยสหายแก้ไขปัญหานี้ได้อีกหรือไม่”
จ้าวไท่ไหลซึ่งอยู่ด้านข้างพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ข้อเรียกร้องนี้ของเจ้าเกินไปหน่อยจริงๆ ที่นั่นเป็นถึงสถานที่ต้องห้ามของราชวังเชียวนะ!”
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงได้แต่หาคนอื่นมาช่วยแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยฝีมือที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้!”
เห็นดังนั้นจ้าวไท่ไหลก็ลนลานทันที “เอ๊ะ เจ้าหนูเจ้าหมายความว่าอะไร นี่เจตนาให้ข้าลำบากใจใช่ไหม”
หลินสวินถอนหายใจ “ผู้อาวุโส ข้าไม่กล้าไม่เคารพท่าน เพียงแต่หากไม่จัดการปัญหานี้ก็เหมือนใจอัดอั้น ข้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่”
จ้าวไท่ไหลแทบจะกลอกตาใส่ “เจ้าหนูอย่างเจ้านี่เห็นชัดว่าจงใจ!”
ไม่รอให้เขาพูดมากความ จ้าวเสวียนในอาภรณ์ม่วงที่อยู่ด้านข้างยิ้มพลางออกปาก “สหายร่วมวิถีหลินสวิน เรื่องนี้ข้ารับปากเจ้าได้”
หลินสวินมีชีวิตชีวาขึ้นมา “จริงรึ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะ!” จ้าวไท่ไหลที่อยู่ด้านข้างตะโกนอย่างร้อนรน
“ท่านอาเก้า ตกลงตามนี้เถิด แค่โอกาสเข้าไปบำเพ็ญในหอคอยกระบวนแปรจุติครั้งเดียวเท่านั้นเอง หากสามารถช่วยสหายร่วมยุทธ์หลินสวินจัดการปัญหาของเพื่อนได้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลอง”
จ้าวเสวียนยิ้มตอบ เขาดูประหนึ่งหยกงาม ริมฝีปากแดงฟันขาว รอยยิ้มกระจ่างดุจกระแสธารใสสะอาด ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์อย่างยากจะอธิบาย
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็แน่ใจว่า ฐานะของจ้าวเสวียนคนนี้ต้องพิเศษโดดเด่นมากในหมู่เชื้อพระวงศ์แน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้ารับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เช่นนี้
“ฮึ! เจ้าหนู เจ้ายังไม่รีบขอบคุณอีก”
จ้าวไท่ไหลถลึงตาใส่หลินสวิน
หลินสวินสำรวมสีหน้า ประสานมืออย่างจริงจังทันที “บุญคุณใหญ่หลวงของพี่จ้าว ข้าผู้แซ่หลินจะไม่ลืมตลอดชีวิต หลังจากนี้จะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
“ไม่ต้องเกรงใจ” จ้าวเสวียนมุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น นัยน์ตาดำเป็นประกายกระจ่าง
“คิดจะตอบแทนยังไม่ง่ายอีกรึ ครั้งนี้ช่วยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่สามารถข้ามด่านเคราะห์อสนีมาได้เหมือนเดิมชิ้นหนึ่งก็พอแล้ว”
จ้าวไท่ไหลเหล่มองหลินสวิน
“จะทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน”
หลินสวินรับคำอย่างเต็มใจ พริบตาก็เปลี่ยนประเด็นทันทีเหมือนคิดอะไรได้ “เพียงแต่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณแบบไหน และต้องการหลอมให้ใคร”
“เตาใบหนึ่ง”
ผู้ตอบคือจ้าวเสวียน เขาในเวลานี้ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้าตาจริงจังมีบรรยากาศน่าเกรงขามยากจะบรรยายอย่างหนึ่ง
“เตา?”
“ไม่ผิด พูดให้ถูกคือเตาสมบัติเก้ามังกร วัตถุดิบวิญญาณรวบรวมไว้ครบถ้วนแล้ว หวังว่าสหายหลินสวินจะช่วยหลอมออกมาให้ หากมีมันข้าก็สามารถไปดินแดนรกร้างโบราณเพื่อบำเพ็ญเพียรได้อย่างวางใจ”
เมื่อจ้าวเสวียนพูดคำนี้ออกมา ในที่สุดหลินสวินก็แน่ใจว่า ที่แท้การที่จ้าวไท่ไหลมาวันนี้ทั้งหมดล้วนเพื่อจ้าวเสวียนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้!
“ได้”
ใคร่ครวญเล็กน้อยหลินสวินก็รับปาก เพียงแค่อีกฝ่ายยินยอมให้จูเหล่าซานเข้าไปบำเพ็ญเพียรในหอคอยกระบวนแปรจุติ หลินสวินก็ไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว
ชั่วขณะนั้นเองจ้าวไท่ไหลที่อยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผ่อนคลายลงทั้งตัว ยิ้มออกมา
เพียงแต่ยามจ้าวไท่ไหลคิดว่าทุกอย่างจบเสร็จสิ้นลงได้ด้วยดีทั้งสองฝ่าย กลับเห็นจ้าวเสวียนพลันยืนขึ้น สายตามองไปยังหลินสวิน ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า
“ได้ยินมาว่าในวิถียุทธ์สหายหลินสวินก็เรียกได้ว่ามากความสามารถ และตอนนี้ยังรั้งอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ มิสู้เจ้ากับข้าอาศัยโอกาสนี้ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันเป็นอย่างไร”
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น