Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 499-503

 ตอนที่ 499 ด่านเคราะห์อสนีประจุม่วง

โดย

ProjectZyphon

เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาทั่วลานลิ้นค้างแข็ง


จนป่านนี้แล้วเหตุใดหลินสวินยังกล้าท้าทายฉู่ซานเหออยู่อีก


เวลานี้ในที่สุดฝูงชนก็เห็นอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าหลินสวินไปยืนอยู่บนยอดหอหลอมวิญญาณตั้งแต่เมื่อไร เรือนร่างสูงโปร่ง อาภรณ์สะบัดโบก ท่าทีดูแคลนฝูงชน


“เจ้าหนู ยังไม่รีบไสหัวลงมารับผิดอีกหรือ”


ฉู่ซานเหอปั้นหน้าเคร่งพลางส่งเสียงตะโกนลั่น


ถ้อยคำนี้ก็ช่างไม่เกรงใจเกินไปแล้ว กล่าวหารุนแรง วางท่าหมายจะรีบกำราบหลินสวินอย่างรวดเร็ว


“ไอ้แก่ ถ่วงเวลาข้าหลอมอาวุธ เจ้ารับผิดชอบผลที่ตามมาไหวหรือ”


การโต้กลับของหลินสวินก็ไม่เกรงใจเช่นเดียวกัน ภายใต้สายตาฝูงชน ต่อหน้าบุคคลสำคัญทรงอิทธิพลทั้งหลาย กลับผรุสวาทฉู่ซานเหอว่าไอ้แก่ ทำให้ทั่วลานอดตื่นตระหนกไม่ได้ ลอบพึมพำกับตัวเองในใจ เจ้าหนุ่มคนนี้ใจกล้าคับฟ้าดังที่เล่าลือจริงๆ ด้วย


“เจ้าสารเลว หลอมอาวุธก็ล้มเหลวแล้ว เจ้ายังไม่รู้จักสำนึก ตรงข้ามยังกล้าเอ่ยคำพูดปีนเกลียว คิดว่าพวกข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าจริงๆ หรือ”


ฉู่ซานเหอโกรธจนหน้าคล้ำเขียว สายตาราวกับจะฆ่าคน


“หลินสวิน มีพวกข้าอยู่ด้วย วันนี้จะไม่ปล่อยให้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายได้อีก รีบลงมารับการลงโทษเดี๋ยวนี้!”


จ้าวจั้นเย่เปล่งเสียงเย็นเยียบ นัยน์ตาทอประกายเย็น พลังอำนาจสะท้านผู้คน


“เจ้าหนุ่ม อย่าได้ขัดขืนอีกเลย เจ้าน่าจะเห็นสถานการณ์ชัดแจ้งแล้ว อย่าบังคับให้พวกข้าต้องลงมือลากเจ้าลงมาด้วยตัวเอง!”


ไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวงกล่าววาจาคละคลุ้งด้วยไอเข่นฆ่า


ด้านข้าง พวกฉินเป่าจี้ ฉู่ซานเหอต่างมีท่าทีไม่เป็นมิตร แววตาครึ้มมัว จ้องหลินสวินราวกับเป็นของไร้ชีวิต หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต พวกเขาคงลงมือกำราบหลินสวินไปตั้งนานแล้ว


“หลินสวิน เจ้าล้มเหลวไปแล้ว หากเวลานี้ยอมรับผิดอย่างว่าง่าย บางทียังพอมีโอกาสรอดชีวิตเหลืออยู่สักเสี้ยว”


“รีบลงมาเร็วเข้าสิ!”


คนใหญ่คนโตจากตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง และตระกูลฉือต่างก็ตะโกนด่าว่าด้วยเช่นกัน


ชั่วขณะนั้นหลินสวินกลายเป็นนักโทษที่สังคมประณาม ทำให้บรรยากาศในลานเปี่ยมด้วยกลิ่นอายวิกฤติ


ผู้คนมากมายต่างลอบถอนหายใจ ไม่ว่าหลินสวินจะเป็นปีศาจสักแค่ไหน วันนี้…เกรงว่าคงไร้กำลังพลิกสถานการณ์แล้ว!


พวกหนิงเหมิง สืออวี่ต่างโกรธจนกัดฟันกรอด เจ้าแก่พวกนี้ช่างรังแกคนเหลือเกินจริงๆ พวกเขาเห็นหลินสวินเป็นอะไรกัน นักโทษหรือ


“ทุกท่าน พวกท่านใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง ข้ากลับอยากดูสักหน่อยว่า วันนี้ใครกล้ารังแกทายาทของท่านเต้าเฉินกัน!”


ทันใดนั้นราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยหยัดตัวขึ้น นัยน์ตามีประกายเย็นพวยพุ่ง กลิ่นอายฆ่าฟันสังหารบนร่างพุ่งสู่เวิ้งฟ้า พาให้คนไม่น้อยทั่วลานหน้าเปลี่ยนสี


“หลินสวินมีความผิดอันใด ถึงกับทำให้พวกท่านชังน้ำหน้าเยี่ยงนี้”


เทพเศรษฐีเองก็ถอนหายใจเช่นกัน ลุกขึ้นตามมา เรือนร่างมหึมาของเขาเหมือนกับภูเขาที่ตระหง่านเหนือพื้น มอบความกดดันที่อยากพรรณนาอย่างหนึ่งให้ผู้คน


อีกด้านหนึ่งราชาแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียน และกงปู้พั่วต่างก็หยัดตัวขึ้น สีหน้าเรียบเฉย ทอดสายตากวาดมองพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ


บัดนั้นสถานการณ์ในลานเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ห้วงอากาศราวกับถูกแช่แข็ง ทำให้ผู้คนสูดลมหายใจไม่ได้


คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญที่สั่นสะเทือนรอบด้าน เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ตะลึงโลก ตอนนี้พวกเขาต่างประจันหน้าซึ่งกันและกัน พลังกดดันอันไร้รูปร่างเช่นนั้นดุจดั่งภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ ทำให้ผู้คนทั้งลานต่างหวาดผวา


ฝั่งหนึ่งหมายจะกำราบหลินสวิน อีกฝั่งหนึ่งคิดจะปกป้องหลินสวินเอาไว้ จุดยืนชัดเจนมาก คงต้องรอดูว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรแล้ว


“มีความผิดอันใด? วีรกรรมชั่วร้ายบนตัวเจ้าเด็กนี่ คนใต้หล้าล้วนเป็นสักขีพยาน เปรียบได้กับอาเพศอย่างหนึ่ง วันนี้หากไม่กำราบเขาเอาไว้ วันหน้าจะเป็นพิษภัยต่อใต้หล้า สร้างหายนะให้แผ่นดิน!”


จ้าวจั้นเย่แค่นเสียงเย็น ไม่ได้ขลาดกลัวพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีเลยสักนิด


“หลินสวิน ในเมื่อเจ้าหลอมอาวุธล้มเหลวแล้วก็รีบลงมาเสีย เรื่องในวันนี้ก็จะถึงคราวสรุปรวดเดียวด้วยเช่นกัน”


ในเวลาเดียวกัน สายตาฉู่ซานเหอเฉียบคมดั่งใบมีด จ้องหลินสวินเขม็งด้วยแววเยียบเย็น จนกระทั่งตอนนี้หลินสวินยังคงยืนอยู่ปลายยอดหอคอยวิญญาณหลอม ปรายตามองพวกเขาจากที่สูง อากัปกิริยาเช่นนี้ทำให้เขาโกรธจนไม่อาจระงับได้


“หลินสวิน เจ้าลงมาเถิด วันนี้ต่อให้ข้าต้องพลีชีพก็จะปกป้องเจ้าให้ไร้กังวลเอง”


หนิงปู้กุยกล่าววาจาราบเรียบ พละกำลังยิ่งน่าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะราชันผู้กรำศึกในสนามรบมาหลายร้อยปี เหยียบย่ำซากศพศัตรูมานับไม่ถ้วน การแสดงออกอันเด็ดเดี่ยวของเขาในครั้งนี้ทำให้ทั่วลานรู้สึกสะเทือนใจ


“ลงมาเถิด ข้าผู้แซ่เสิ่นแม้ไร้สามารถ ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด!”


แม้แต่เสิ่นทั่วยังเอ่ยปาก สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมากมายต่างลอบตกใจ คิดไม่ถึงสักนิดว่าต้นกล้าหน่อเดียวแห่งตระกูลหลินที่ไร้อำนาจบาตรใหญ่อย่างหลินสวิน จะถึงขั้นได้รับการสนับสนุนมากมายเยี่ยงนี้


“เฮอะ!”


จ้าวจั้นเย่แค่นเสียงเย็น ไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยโอกาสกำราบหลินสวินไปได้เด็ดขาด ต้องสยบเขาก่อนผงาดขึ้นให้จงได้


ปลายยอดหอหลอมวิญญาณ หลินสวินมองเหล่าบุคคลสำคัญพวกนั้นที่อยู่กลางลาน ไล่มองจากสถานะของพวกเขาแต่ละคน ขณะที่มองดูพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีนั้น ในใจของเขาอดอบอุ่นขึ้นไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเวลาแบบนี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้อาวุโสเหล่านี้


และตอนที่สายตาไล่มองถึงพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอนั้น กลางนัยน์ตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเฉยเมย ไม่ปกปิดความเป็นอริของตนแม้แต่น้อย


ท้ายที่สุดเขาหัวเราะเบาๆ เผยให้เห็นเรียวฟันขาวผ่องทั่วปาก กล่าวว่า “รอให้ข้าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณเสร็จแล้ว ข้าจะไปยืนต่อหน้าพวกท่านเอง แล้วจะถามพวกท่านว่าอ้างสิทธิ์อะไรมาจัดการข้า!”


น้ำคำเยือกเย็นเรียบเฉย ทว่ากลับทำให้ทั่วลานพากันตื่นตระหนก การหลอมอาวุธล้มเหลวไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดเขายังกล่าวเยี่ยงนี้อยู่


จ้าวจั้นเย่ก็อดอึ้งไปไม่ได้ มุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางสื่อจิต ‘พี่ฉู่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่’


ฉู่ซานเหอก็ประหลาดใจอยู่บ้างเหมือนกัน จากนั้นจึงกล่าวตอบอย่างเฉียบขาด ‘เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เขาจะประสบความสำเร็จ เขาจะต้องกำลังคุยโวโอ้อวด ฮึดสู้เฮือกสุดท้ายแน่!’


ส่วนพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีและเสิ่นทั่วต่างก็ฉงนใจ พวกเขาต่างดูออกว่าหลินสวินไม่คล้ายกำลังล้อเล่น หรือจะเป็นอย่างที่เขาพูดมา การหลอมอาวุธยังมิได้ล้มเหลว?


“ปรมาจารย์เสิ่นทั่ว ท่านมองอะไรออกหรือไม่”


หนิงปู้กุยอดเอ่ยถามไม่ได้


“นี่เพิ่งจะผ่านไปสิบกว่าวัน และความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ชี้ชัดแล้วว่าตอนที่หลอมโครงอาวุธนั้นเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น… ข้าผู้แซ่เสิ่นก็ชักไม่เข้าใจสถานการณ์จริงๆ อยู่บ้างเช่นกัน”


เสิ่นทั่วมุ่นหัวคิ้วเป็นปมแน่น เขาในฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์คนหนึ่ง ยังมีเหตุการณ์ที่พาให้สับสนงงงวยเช่นกัน ทำให้พวกหนิงปู้กุยเริ่มสงสัยขึ้นเรื่อยๆ


เจ้าเด็กหลินสวินคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่


ชั่วขณะนี้ทั้งลานต่างงุนงง


“หลินสวิน นี่เจ้ายังคิดจะแหกตาทุกคนต่อไปอีกหรือ เจ้าน่าจะรู้ดี แม้จะถ่วงเวลาไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเจ้าได้!”


ฉู่ซานเหอตะโกนลั่น


“ไอ้แก่ เสียทีที่เจ้าเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการ์แจ่มแจ้ง ยังกล้าเอ่ยปากอย่างไร้ความละอาย ช่างทำเสียหน้าปรจารย์สลักวิญญาณจริงเชียว!”


หลินสวินไม่เกรงใจฉู่ซานเหอเลยสักนิด


เพียงแต่ครั้นเขาเอ่ยถ้อยคำดังกล่าว ทำให้เหล่าบุคคลสำคัญทั้งลานต่างมองหน้าสบตากัน การหลอมอาวุธครั้งนี้ยังมีความเร้นลับอะไรที่พวกเขามองไม่ออกอีกจริงๆ หรือ


ฉู่ซานเหอโมโหเดือดจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ดียิ่ง ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังจะเล่นปาหี่อะไรอีกกันแน่!”


ภายในใจเขาปักใจเชื่อว่าหลินสวินไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้แม้แต่น้อย!


เนื่องจากก่อนที่หลินสวินจะเริ่มหลอมอาวุธ เขาได้ลอบวางอุบายใน ‘เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำ’ กลางชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณเอาไว้แล้ว ด้วยการลบกระบวนรอยสลักส่วนหนึ่งในเตาหลอมสามขาออกไปทั้งอย่างนั้น ต่อให้ปฐมาจารย์สลักวิญญาณมา ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จในการหลอมโครงอาวุธแน่นอน!


ในเมื่อโครงอาวุธยังหลอมออกมาไม่ได้ ยังต้องเอ่ยถึงการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณอยู่อีกหรือ


ละเมอเพ้อพก!


นี่ก็คือจุดที่ฉู่ซานเหอมั่นอกมั่นใจ


และก็เป็นเพราะเหตุนี้ เขาถึงกล้าเชิญบุคคลสำคัญอย่างจ้าวจั้นเย่ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ ให้มาร่วมมือกันดำเนินการกำราบหลินสวินอย่างมั่นใจหายห่วง


‘อย่าว่าแต่เตาหลอมเสียหายเลย ต่อให้สมบูรณ์ไร้ที่ติ ด้วยศักยภาพของเด็กเหลือเดนอย่างเจ้าก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้!’


ฉู่ซานเหอลอบหัวเราะเยาะ


ทว่าทันใดนั้น หัวคิ้วของเขาพลันมุ่นขมวด เจ้าเด็กนี่กำลังทำอะไร


ไม่เพียงแต่ฉู่ซานเหอ ในเวลานี้สายตาของทุกคนในลานต่างถูกดึงดูดให้มองไปทางยอดหอหลอมวิญญาณจนสิ้น


เห็นเพียงอาภรณ์ของหลินสวินโบกสะบัด เรือนผมดำปลิวไสว เงาร่างผอมบางสูงโปร่งหันหลังให้ฝูงชน เขาสองมือไพล่หลังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายกับกำลังรอคอยอะไรอยู่


เขาเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งคราว แล้วมองดูเวิ้งนภา


“มีใครรู้บ้างว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”


ใครบางคนส่งเสียงซักถาม แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ เพราะแม้แต่บรรดาปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อยู่ในลานเหล่านั้น ตอนนี้ยังมืดแปดด้านกันหมด


“ทำอะไรได้เล่า เล่นละครตบตาผู้คนก็เท่านั้นแหละ!”


ฉู่ซานเหอหัวเราะหยัน


ตูม!


แต่ไม่รอให้น้ำคำของเขาสิ้นสุดลง บนท้องฟ้าสีครามสดใสพลันเกิดฟ้าร้องสะเทือนเลื่อนลั่นคราหนึ่ง


ด้วยปุบบับเกินไปทำให้ผู้คนทั้งลานต่างใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะฉู่ซานเหอยิ่งสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กาย ถูกสั่นสะเทือนจนสองหูอื้ออึง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมาในบัดดล


นี่คืออะไร


พลันเห็นบนเวิ้งฟ้าถูกแทนที่ด้วยสีราตรีดั่งสีน้ำหมึกในชั่วพริบตา ชั้นเมฆหนาแน่นปกคลุม ทอดเงามืดลงมาแถบหนึ่ง ครอบคลุมทั้งปฐพี


อานุภาพกดดันอึดอัดยากจะพรรณนาแผ่ขยายไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้ฝึกปราณในลานต่างหน้าเปลี่ยนสี ด่านเคราะห์อสนี?


หรือว่าหลินสวินนั่นกำลังจะข้ามด่านเคราะห์อสนีเพื่อทะลวงระดับปราณ?


แบบนี้มันเหนือความหมายเกินไปแล้ว เขาไม่ได้จะหลอมอาวุธหรอกหรือ เหตุใดถึงชักนำด่านเคราะห์อสนีมาอีกเล่า


เปรี๊ยะๆๆ~~~


ฉับพลัน บนเวิ้งนภาปรากฏอสนีประจุม่วงที่เหมือนกับโซ่ตรวนเส้นหนาสายแล้วสายเล่าเริงระบำพลิกม้วนอย่างบ้าคลั่ง แสงอสนีพราวตา ฟาดฟันฟ้าดิน เปี่ยมด้วยพลานุภาพกดทับฟ้าดินถึงขีดสุด สั่นสะเทือนทุกหัวระแหง


นั่นเป็นกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างอย่างหนึ่ง เพียงพอจะทำให้สรรพวิญญาณสั่นสะเทือน รู้สึกถึงความสิ้นหวัง!


เป็นด่านเคราะห์อสนีจริงๆ ด้วย!


ชั่วขณะนี้เหล่าคนใหญ่คนโตที่สั่นสะเทือนใต้หล้าอย่างหนิงปู้กุย เทพเศรษฐี เย่ฉิงเทียน กงปู้พั่ว ก็เผยแววตาสงสัยกันอย่างอดไม่ได้


พวกเขาต่างดูออกว่าด่านเคราะห์อสนีนี้หาใช่เรื่องเล็กไม่ ประจุม่วงพลุ่งพล่าน หมื่นสายฟ้าคำรามสนั่น หาได้ยากเกินไป ไม่เหมือนการข้ามด่านเคราะห์ของผู้ฝึกปราณในระดับมหาสมุทรวิญญาณเลยสักนิด!


“น่าชังนัก จนป่านนี้แล้วเจ้าเด็กนี่ยัง…”


ฉู่ซานเหอตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล เพียงแต่เพิ่งเอ่ยได้ครึ่งเดียวก็ถูกภาพอันน่าตะลึงซัดสะเทือนจนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น


พลันเห็นชุดคลุมของหลินสวินโบกสะบัด เสียงวู้มดังขึ้น ทวนยาวสีเงินที่แวววาวใสสะกระจ่างราวกับหิมะเล่มหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศในฉับพลัน ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางด่านเคราะห์อสนีบนเวิ้งฟ้า!


เปรี้ยง! เปรี้ยง!


สายฟ้าสีม่วงหนาราวกับโซ่ตรวนฟาดลงมาสายแล้วสายเล่า ซัดใส่ทวนยาวสีเงินที่ใสสะอาดดุจหิมะเล่มนั้น ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นบาดหูหาใดเปรียบ


สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดก็คือ ทวนยาวสีเงินนั้นราวกับเชื่อมวิญญาณ พื้นผิวปรากฏกระบวนสลักเร้นลับครั้งแล้วครั้งเล่า สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดแห่งวัวขุยห้อทะยานผ่านใต้หล้า แสงเซียนคลั่งทะลัก ต่อต้านด่านเคราะห์อสนีสีม่วงทั่วฟ้านั่น


ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณทั้งลานล้วนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ในใจท่วมท้วนด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงอันยากจะพรรณนา


นี่มัน…


เป็นศาสตราวุธกำลังข้ามด่านเคราะห์!


——


ตอนที่ 500 วิชาลับสวรรค์ต้องห้าม

โดย

ProjectZyphon

ทุกคนเบิกตากว้างอย่างยากจะเชื่อ


เดิมคิดว่าด่านเคราะห์อสนีที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดฝันนี้ ต้องเป็นเพราะหลินสวินกำลังทะลวงระดับปราณอย่างแน่นอน ทำให้ผู้คนมากมายต่างพูดไม่ออก นี่มันเวลาไหนแล้ว หลินสวินกลับทำเรื่องเกินความคาดหมายพวกนี้


แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาล้วนคาดเดาผิด ด่านเคราะห์อสนีที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมาจากทวนยาวประกายเงินเพริศแพร้ว ใสบริสุทธิ์ดุจหิมะเล่มนั้น!


ศาสตราวุธข้ามด่านเคราะห์รึ


ผู้ใดเล่าจะเคยเห็นเรื่องสะเทือนใต้หล้าเช่นนี้


ทุกคนต่างงุนงง


แม้แต่นักสลักวิญญาณเหล่านั้น เวลานี้ต่างตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก สั่นสะท้านไปทั้งร่าง หนึ่งเพราะถูกพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัวของด่านเคราะห์อสนีทำให้หวาดหวั่น สองเพราะพวกเขานึกถึงเรื่องบางอย่างในตำนานขึ้นมาได้


เล่าลือกันว่าเมื่อสมบัติล้ำค่าราวกายสิทธิ์พวกนี้ก่อเกิดขึ้น จะต้องรับความน่าพรั่นพรึงจากสรวงสวรรค์ ดึงดูดด่านเคราะห์อสนีพิฆาต ด้วยไม่อนุญาตให้ปรากฏบนโลกมนุษย์


เพียงแต่ว่าเรื่องเล่าประเภทนี้ล้วนเกิดมายาวนานอย่างยิ่ง จนถึงปัจจุบันน้อยคนนักที่จะได้เห็นเรื่องหายากเช่นนี้บนโลกด้วยตาตนเอง


ด้วยเหตุนี้จิตใต้สำนึกของนักสลักวิญญาณมากมายต่างเชื่อมานานแล้วว่า ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็เป็นเพียงตำนานเล่าขานหรือเป็นเรื่องเพ้อฝันเรื่องหนึ่ง ไม่อาจเกิดขึ้นได้แต่แรก


แต่ตอนนี้ภาพที่ปรากฏต่อหน้ากลับเหมือนไม้ที่ฟาดให้ได้สติ ทำให้นักสลักวิญญาณเหล่านั้นสันสะท้านถึงที่สุด คาดเดาได้ว่าตำนานเล่าขานที่กล่าวมานั้น… เป็นไปได้สูงว่าคือเรื่องจริง!


“มิน่าหลินสวินถึงมั่นใจเพียงนี้ ที่แท้เขาก็รอช่วงเวลานี้มาตลอด ทวนยาวเล่มนั้นก็คือชุดศึกสลักวิญญาณที่เขาหลอมในครั้งนี้!”


เสิ่นทั่วสายตาเปล่งประกายระยิบระยับ สีหน้าฮึกเหิม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยากปกปิด ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินหลินสวินพูดว่า ชุดศึกสลักวิญญาณที่เขาหลอมในครั้งนี้คือทวนเล่มหนึ่ง หลอมขึ้นเพื่อข้าบ่าวรับใช้เก่าแก่คนหนึ่งของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตเป็นการเฉพาะ


เวลานี้ทวนยาวสีเงินลอยคว้างบนฟากฟ้า ประจันหน้าด่านเคราะห์อสนีสีม่วงอย่างบ้าคลั่ง ส่องสะท้อนกระบวนสลักลึกลับนานัปการ แจ่มจรัสลานตา หรือว่านี่คือสมบัติที่หลินสวินต้องการหลอมขึ้นมา?


“เด็กคนนี้ จิตใจช่างสงบนิ่งยิ่งนัก!”


หนิงปู้กุยส่งเสียงฮึเย็นชา เพียงแต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเองก็ถูกเหตุการณ์นี้ทำให้ตกตะลึงเช่นกัน ย่อมมองออกเป็นธรรมดาว่าศาสตราวุธที่ก่อให้เกิดเหตุด่านเคราะห์อสนีทั่วฟ้าดินนี้ ต้องเป็นชุดศึกสลักวิญญาณที่ทรงอานุภาพที่สุดชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน!


พวกเทพเศรษฐีสือ เย่ฉิงเทียน กงปู้พั่วเองก็เข้าใจอย่างสุดซึ้ง เหตุการณ์นี้ช่างอัศจรรย์สะเทือนใต้หล้าและยากจะได้พบเห็น ทำให้พวกเขาต่างจิตใจสั่นไหว ไม่อาจสำรวมนิ่งสงบอยู่ได้


เปรี้ยง! เปรี้ยง!


บนเวิ้งฟ้า สายฟ้าสีม่วงปั่นป่วนแสบตาแปลบปลาบ เสียงสะท้านทั่วทิศ กลิ่นอายภัยพิบัติราวกับจะทำลายล้างนั่น ทำให้สำนักศึกษามฤคมรกตล้วนถูกปกคลุมอยู่ในบรรยากาศกดดันหาใดเปรียบ


และใจกลางด่านเคราะห์อสนีอันน่าหวาดกลัว ทวนยาวน่าเกรงขามดั่งมังกรเล่มนั้นอบอวลไปด้วยประกายเงิน กระบวนสลักบนพื้นผิวราวกระแสน้ำซัดโหม สะท้อนระยับส่งเสียงกัมปนาท เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอย่างคาดไม่ถึงต่างๆ นานา


ทุกคนต่างถูกทำให้ตระหนกตกใจ ไม่เพียงแต่ในลานแห่งนั้น สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกตในรัศมีพันลี้ล้วนถูกทำให้หวาดหวั่น


นี่คือด่านเคราะห์อสนี!


เป็นด่านพิบัติเคราะห์หนึ่งซึ่งเกิดจากชุดศึกสลักวิญญาณ เหลือบแลใต้หล้า ทั่วทั้งจักรวรรดิในช่วงเวลาที่ผ่านมา ใครเล่าจะเคยพบเห็นปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้


เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งจริงๆ!


“นี่มัน… เป็นไปได้ยังไง”


ฉู่ซานเหอมุมปากสั่นเทิ้ม ดวงตาทั้งคู่เหม่อลอย ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ท่าทางราวกับเห็นผี ก่อนหน้านี้เขายังพูดจาหนักแน่นว่าต้องลงโทษและกำราบหลินสวิน ดูไม่เกรงกลัวสิ่งใดราวกับมีคนหนุนหลัง


แต่มาตอนนี้ในใจเขากลับสับสนวุ่นวาย เหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้าล้วนอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขา ประหนึ่งเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้มาปรากฏต่อหน้า


“เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเรื่องนี้ไม่มีข้อผิดพลาด”


ข้างหูยินเสียงเย็นเยือกอึมครึมของจ้าวจั้นเย่ ทำเอาฉู่ซานเหอสั่นสะท้าน เขาหันกลับไปก็เห็นสีหน้าทะมึนของจ้าวจั้นเย่ หว่างคิ้วแสดงความโกรธถึงที่สุด


“นี่ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน!”


ฉู่ซานเหอตะโกนเสียงดัง เขาใกล้จะบ้าอยู่แล้ว ทั้งหมดล้วนหลุดออกจากการคาดคะเนและการควบคุมของเขา ทำให้เขาหน้าเขียวจนดูไม่ได้


“ฮึ!”


น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่ซานเหอตระหนักได้ว่าบัดนี้พวกจั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ต่างส่งสายตาเย็นชามาให้ตน นั่นทำให้ฉู่ซานเหอใจกระตุกวูบ ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม


ทำไมถึงเป็นแบบนี้


ตอนที่หลินสวินหลอมอาวุธ ขั้นตอนการหลอมโครงอาวุธล้มเหลวอย่างชัดแจ้ง แล้วเขาไปหลอมทวนเล่มนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


ยิ่งไปกว่านั้น นี่เพิ่งผ่านไปสิบกว่าวันเองนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาต่อให้เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณลงมือเอง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งได้ แต่ทำไมหลินสวินจึงทำสำเร็จด้วยเวลาอันสั้นเพียงแค่นี้


อีกทั้งทวนเล่มนี้ยังชักนำด่านเคราะห์อสนีสะเทือนใต้หล้าอีกด้วย!


ครืน!


บนเวิ้งฟ้า ด่านเคราะห์อสนีปั่นป่วนน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม


ฉู่ซานเหอตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ใบหน้าคล้ำเขียวดูไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก


“เจ้าทำให้พวกเราเป็นฝ่ายถูกกระทำมากนะ”


จ้าวจั้นเย่สีหน้าเย็นเยียบ


เพียงประโยคเดียวทำเอาฉู่ซานเหออัดอั้นจนแทบกระอักเลือด ที่น่าสิ้นหวังที่สุดคือ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมหลินสวินจึงทำได้ถึงขั้นนี้!


อันที่จริงไม่เพียงแต่ฉู่ซานเหอเท่านั้น แม้แต่เหล่าปรมาจารย์สลักวิญญาณ ณ ที่นั้น ต่างรู้สึกประหลาดใจและงุนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เวลาเพียงสิบกว่าวันเท่านั้นก็สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่เรียกด่านเคราะห์อสนีออกมาได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาในจักรวรรดิแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


“ครั้งนี้ในที่สุดก็มาได้ถูกต้องแล้ว”


เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวซึ่งอยู่ในลานทอดถอนใจ ดวงตาเขาราวสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์คู่หนึ่ง แหวกผ่านอากาศ จ้องมองด่านเคราะห์อสนีอย่างลึกซึ้ง จนสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทวนยาวสีเงินเล่มนั้นไม่ธรรมดาและมีอานุภาพเพียงไร


เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นปรากฏประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า หลังจากสมบัติชิ้นนี้สามารถข้ามพิบัติเคราะห์ครานี้ได้อย่างราบรื่น จะเปลี่ยนเป็นอาวุธที่วิเศษมหัศจรรย์เพียงใด


ด่านเคราะห์อสนีฟ้าประทาน ก่อให้เกิดความตกตะลึงทั่วบริเวณ ยิ่งดึงดูดความสนใจจากสายตาในที่ลับมากมาย ล้วนต่างรอคอย รอดูว่าทวนเล่มนี้ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถข้ามพิบัติเคราะห์และอยู่บนโลกนี้ได้หรือไม่


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค่อาศัยจุดนี้ก็เพียงพอให้หลินสวินชื่อเสียงระบือลั่น โด่งดังในโลกของนักสลักวิญญาณอย่างถึงที่สุด กลายเป็นที่รู้จักของผู้ฝึกปราณทั่วหล้า


“ข้ารู้อยู่แล้ว เจ้าหลินสวินนี่จะไม่เสียเปรียบแน่นอน!”


หนิงเหมิงหัวเราะเสียงดังอย่างยินดีปรีดา


“ดูท่าพวกเราจะกลุ้มใจไปเปล่าๆ”


สืออวี่เปิดปากพูดเงียบๆ


เย่เสี่ยวชีและกงหมิงมองตากัน ต่างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


เวลานี้บนยอดหอหลอมวิญญาณ หลินสวินยังคงไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลัง แหงนหน้ามองฟ้ากว้าง ร่างสูงสง่าถูกสายฟ้าสีม่วงนั้นย้อมเป็นระลอกคลื่น ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา เร้นลับแต่พิเศษโดดเด่น


ไม่มีใครเห็นว่าหว่างคิ้วเขาปรากฏแววประหนึ่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้งลงแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าก่อนหน้านี้ในใจเขาแบกรับความกดดันยิ่งใหญ่ขนาดไหน


ตลอดสิบกว่าวันที่ผ่าน เขาแทบไม่กินไม่ดื่มไม่นอน ใช้กำลังและจิตใจทั้งหมดเดิมพันไปกับการหลอมทวนยาวเล่มนี้


ระหว่างทางมีหลายครั้งที่เกือบจะล้มเหลว อันตรายหาใดเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเตาหลอมสามขาเขียวคล้ำนั่นขาดกระบวนสลักที่สำคัญแห่งหนึ่งไป ทำให้ยามเขาหลอมวัตถุดิบวิญญาณ ตัวโครงอาวุธเกือบจะล้มเหลวไม่เป็นท่า


ยังดีที่ในตอนท้ายเขาใช้วิชาลับซึ่งเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง ‘รอยสลักเวทเรืองแสง’ ขจัดอันตรายในครั้งนี้


รอยสลักเวทเรืองแสงเป็นบททดสอบอันหนักหน่วงด่านแรกของห้องโถงมรรคาสวรรค์บนทางเดินเมฆาหยก ทำให้หลินสวินไม่เพียงได้รับสืบทอดเคล็ดเวทบริกรรม ยังหยั่งรู้ความลับแห่งรอยสลักวิญญาณอีกอย่างหนึ่งจากรอยสลักเวทเรืองแสง ทำให้ในช่วงเวลาสำคัญ หลินสวินสามารถซ่อมเสริมข้อบกพร่องของเตาหลอมสามขาเขียวคล้ำให้สมบูรณ์ได้อย่างหวุดหวิด!


มิฉะนั้นการหลอมอาวุธครั้งนี้ของเขาต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน


และจากเหตุคาดไม่ถึงครั้งนี้ ทำให้หลินสวินเกิดความระแวงขึ้นมา ตระหนักได้ว่าเตาหลอมสามขาเขียวคล้ำต้องถูกคนอื่นทำให้เกิดความเสียหายเป็นแน่ เห็นได้ชัดว่าจงใจเล็งเป้ามาที่ตน!


มายามนี้เขาไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ได้ว่า นี่ต้องเป็นเล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายของฉู่ซานเหออย่างแน่นอน มีเพียงรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณอย่างเขาเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้ามายังชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณได้โดยไม่มีใครรู้ตัว!


‘ในที่สุดก็จะสำเร็จแล้ว ท่านลู่ หากท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อทราบข่าวนี้คงต้องดีใจแทนข้าสินะ…’


หลินสวินเงยหน้ามองผืนฟ้ากว้าง ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏความรู้สึกเศร้าอาดูรที่ยากจะได้เห็น นี่เป็นการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณครั้งแรกในชีวิตของเขา ใช้วิชาลับที่ท่านลู่เคยใช้มาก่อน… ‘วิชาลับสวรรค์ต้องห้าม’


นี่คือวิชาลับสำหรับหลอมชุดศึกสลักวิญญาณอย่างหนึ่ง สิ่งต้องห้ามที่แย่งชิงมาจากสวรรค์ ซ่อนเร้นน่าเกรงกลัวเหลือประมาณ บันทึกอยู่ในม้วนตำราหนังสัตว์ แม้ว่าม้วนตำราหนังสัตว์จะไม่อยู่นานแล้ว แต่สิ่งที่ถ่ายทอดและความรู้ล้วนประทับอยู่ในสมองของหลินสวินเนิ่นนานแล้ว ไม่เคยลืมแม้เพียงนิด


จนกระทั่งถึงตอนนี้หลินสวินจึงได้เข้าใจ แม้ทุกวันนี้ตนจะประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์มากมายในวิถีสลักวิญญาณ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีท่านลู่อยู่เบื้องหลัง


เขาเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า แท้จริงแล้วท่านลู่ได้มอบอะไรให้มากมาย และส่งผลกระทบต่อตัวเขาอย่างมหาศาลโดยไม่รู้ตัว


น่าเสียดาย นับตั้งแต่ที่จากกัน ตอนนี้ท่านลู่เป็นตายอย่างไรไม่อาจทราบได้


เคร้ง!


ทันใดนั้นเสียงทวนดั่งมังกรคำรามแผดดังทั่วฟ้า ก้องกังวานเร้าระทึก


พลันเห็นทวนยาวสีเงินเล่มนั้นเปล่งแสงโชติช่วง ส่องภูผาธาราสว่างไสว สั่นไหวเพียงแผ่วเบาก็แผ่ขยายแสงลานตาออกมาสายหนึ่ง ฉีกกระชากเมฆาพิบัติกลุ่มนั้นอย่างแข็งกร้าวจนสลายหายไป!


ถึงตอนนี้ด่านเคราะห์อสนีปิดฉากลง เหลือเพียงทวนยาวเล่มนั้นลอยหมุนคว้างอยู่ตรงนั้น ตัวทวนยาวหนึ่งจั้งสองฉื่อ แวววาวสว่างกระจ่างราวหิมะน้ำแข็ง ปรากฏกระบวนรอยสลักลึกลับเปล่งแสง สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้า ประหนึ่งสิ่งอัศจรรย์มากฤทธิ์ได้ประจักษ์ต่อสายตา


เป็นภาพที่งดงามดึงดูดอย่างผิดธรรมดา ทวนเล่มหนึ่งกลับส่องประกายอานุภาพยากบรรยาย ทำให้เทพเซียนภูตผีหวั่นหวาด มีกลิ่นอายแหลมคมดุจแทงทะลุผืนฟ้าได้


ทุกคนล้วนเผยความหลงใหล จิตใจสั่นไหว นี่เป็นมหาสมบัติไร้เทียมทานระดับใดกัน กลิ่นอายที่ไหลบ่าออกมาถึงได้ทำให้จิตใจผู้คนสั่นสะท้านได้


ซ่าๆๆ


ทวนยาวสีเงินกำลังเปลี่ยนแปลง พื้นผิวหลั่งประกายแสงออกมาราวกระแสน้ำ แสงเหลือบเลื่อมพรายสีเงินค่อยๆ ซึบซาบเข้าไปกลายเป็นสีเทาเข้มไพศาล มีกลิ่นอายโบราณโดยธรรมชาติ พลังอำนาจกลับทำให้ผู้คนตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม


สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอากาศที่อยู่รอบๆ ถึงกับทรุดตัวลงทีละน้อย ส่งเสียงครวญไม่หยุด ราวกับแบกรับพลังกดดันมหาศาลยากอธิบายนั่นไว้ไม่อยู่!


ทวนเล่มหนึ่งก้าวผ่านด่านเคราะห์อสนีและเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรากฏขึ้นบนโลกหล้า!


ผู้คนทั้งหมดต่างเงียบสนิท ตกอยู่ในความตะลึง


แต่เวลานี้หลินสวินพลันหมุนตัวมา มองผู้คนมากมายเบื้องล่างจากยอดหอหลอมวิญญาณ ท้ายที่สุดสายตามาหยุดอยู่ที่ฉู่ซานเหอ


“ไอ้แก่ ขอถามสักประโยค ข้าหลอมอาวุธล้มเหลวหรือไม่”


น้ำเสียงนิ่งสงบไร้อารมณ์ ในบรรยากาศเงียบสงัดราวกับป่าช้าเช่นนี้เกิดเป็นเสียงสะท้อนชัดเจน ทำให้ทุกคนต่างสะดุ้งไปทั้งตัว ดึงสติกลับมาได้


แต่สีหน้าฉู่ซานเหอเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำดูไม่ได้ถึงที่สุด อัดอั้น ไม่พอใจและงุนงง เขารู้ว่าวันนี้หากยังคิดจะกำราบหลินสวินอีก ก็ไม่อาจทำได้แล้ว…


………………


ตอนที่ 501 ดำเนินการสะสาง

โดย

ProjectZyphon

ฉู่ซานเหอสีหน้ากระอักกระอ่วนไร้คำโต้แย้ง อึดอัดจนอกแทบแตก


ยิ่งยินเสียงซักไซ้ไล่เลียงของหลินสวิน สีหน้าของพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน


ตั้งแต่วันแรกที่หลินสวินหลอมอาวุธ พวกเขาก็ขู่จะลงโทษหลินสวินอย่างหนัก มองเขาเป็นความหายนะของจักรวรรดิ ปลุกระดมฝูงชนให้ด่าว่ากล่าวหา


แต่มาวันนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลินสวินต้องล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเตรียมชิงลงมือก่อน กำราบหลินสวินในคราเดียว แต่ใครจะคิดว่า…


ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดเช่นนี้ ชุดศึกสลักวิญญาณที่ก้าวผ่านด่านเคราะห์อสนีและไม่ดับสลายจะปรากฏตัวบนโลก! เพียงชั่วขณะเดียวก็ทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิง!


ในสถานการณ์เช่นนี้ใครจะกล้าไต่สวนเอาความหลินสวิน


นี่คือปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้เชียวนะ!


ที่น่ากลัวที่สุดคือเขาเพิ่งอายุสิบหก พลังแฝงไม่มีที่สิ้นสุด มาถึงขั้นนี้ได้เพียงลำพัง ในใต้หล้านี้ล้วนหาใครเทียบไม่ได้แล้ว!


“ท่านเต้าเฉินมีผู้สืบทอดแล้วสินะ”


ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยทอดถอนใจ เพียงประโยคเดียวทำให้ผู้คนมากมายต่างเห็นชอบ หลินสวินในวันนี้ถูกลิขิตให้มีเกียรติและศักดิ์ศรี อำนาจผงาดยากจะถูกกีดขวาง


สำหรับจักรวรรดิ ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยคนนี้มีค่ายิ่งใหญ่นัก อยู่เหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน หากใครกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเขาอีกล่ะก็ ต้องชั่งน้ำหนักพิจารณาผลที่ตามมาให้ดีๆ แล้ว


ปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างเสิ่นทั่ว อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่ง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายขึ้นไปอีก แววตาที่มองหลินสวินเสมือนมองดูอัญมณีเลอค่าหาได้ยาก ร้อนระอุจนสามารถทำให้ผู้คนหลอมละลายได้


พวกเขายิ่งอยากรู้ให้ชัดแจ้งขึ้นไปอีกว่าพลังแฝงของหลินสวินน่ากลัวมากเพียงใด อายุแค่สิบหกปี ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็หลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว!


ตลอดเวลาที่ผ่านมาในจักรวรรดิแห่งนี้ ต่างหาคนที่สามารถยกขึ้นมาเทียบชั้นหลินสวินไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแน่แท้ ไร้ใดเปรียบตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน!


ที่ปาฏิหาริย์ที่สุดคือ ชุดศึกสลักวิญญาณที่หลินสวินหลอมเป็นครั้งแรกยังชักนำด่านเคราะห์อสนี! นี่เป็นเหมือนสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง


หากไม่เป็นการขัดกาลเทศะ พวกเสิ่นทั่วคงพรวดพราดขึ้นไปขอคำชี้แนะจากหลินสวินว่าทำถึงขั้นนี้ได้ยังไงกันแน่


น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!


เพียงอาศัยสิ่งที่หลินสวินแสดงให้เห็นวันนี้ ล้วนสามารถบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ กลายเป็นดวงดาวดวงหนึ่งที่สุกสกาวที่สุดบนโลกของนักสลักวิญญาณ มีเกียรติและศักดิ์ศรี


บรรยากาศเงียบสงัดแปลกประหลาด จิตใจของทุกคนต่างไม่อาจสงบนิ่ง ไม่สามารถดึงสติจากความตกตะลึงเมื่อครู่กลับมาได้อย่างสมบูรณ์


บนท้องฟ้าปรากฏทวนยาวสีเทาเข้มลอยล่อง เก่าแก่เรียบง่าย แผ่กลิ่นอายน่ากลัวสะท้านใจผู้คนออกมา ทำให้อากาศถูกบีบทรุดลง


ร่างสูงสง่าของหลินสวินยืนโดดเดี่ยวบนยอดหอหลอมวิญญาณ เหนือศีรษะคือทวนยาวงดงาม จ้องมองลงมายังคนใหญ่คนโตทั้งหลายเบื้องล่าง ดูโดดเดี่ยวปลีกวิเวก


สายตาทั้งหลายที่มองมาทางเขาล้วนเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความสับสน ตกตะลึง ฮึกเหิม แปลกใจสงสัย งุนงง


อันที่จริงไม่ว่าใครต่างคิดไม่ถึง ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาสุภาพคนหนึ่ง มาวันนี้กลับสร้างปาฏิหาริย์ประหนึ่งผลงานอันยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา!


ทันใดนั้นเสียงปรบมือดังขึ้นระลอกหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดดึงดูดความสนใจของผู้คนยิ่งนัก


ก็เห็นรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีจ้าวจั้นเย่ปรบมือชื่นชม “ไม่เลวๆ ข้าเคยบอกแล้วว่า หากครานี้เจ้าสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้ก็สามารถชดเชยความผิด ดูเหมือนวันนี้เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”


ผู้คนต่างงงงัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด


ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีจ้าวจั้นเย่คอยบงการด้วยตนเอง เหล่าบุคคลสำคัญจึงมารวมตัวเพ่งเล็งและกดขี่หลินสวิน แทบอยากจะบดขยี้หลินสวิน ณ ตรงนั้น


แต่มาตอนนี้เขากลับเปลี่ยนท่าที ราวกับอาศัยฐานะผู้อาวุโสกว่ายกตน ยกย่องชื่นชมหลินสวิน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนจำนวนมากต่างรู้สึกผิดคาด


และมีผู้คนมากมายรู้แจ้งเห็นชัด รู้สึกได้ว่าจ้าวจั้นเย่เห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีจึงเปลี่ยนท่าที เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตัวเขาเองตกอยู่ในสภาพอึดอัด


‘เหอะ! ไอ้แก่หน้าไม่อาย เปลี่ยนหน้าเร็วซะยิ่งกว่าหมา!’


พวกหนิงเหมิง สืออวี่แอบด่าอยู่ในใจ


แม้แต่หลินสวินเองก็อดตะลึงไม่ได้ กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ทำไมข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้มีคนเห็นข้าเป็นภัยพิบัติ อยากจะกำจัดออกไปให้พ้นทาง”


“หลินสวิน เจ้าอย่าได้โอหังนัก ก็แค่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาชิ้นหนึ่ง ให้เจ้าได้ทำความดีชดใช้โทษก็ถือว่าเมตตาแล้ว!”


จั่วฝูกวงตวาดเสียงเย็น


นัยน์ตาหลินสวินเย็นเยียบขึ้นทันที “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าขอถามกลับสักหน่อย ข้าหลินสวินมีโทษอันใด แล้วเจ้านับเป็นตัวอะไรถึงกล้ามาตัดสินโทษข้า”


น้ำเสียงมีจังวหวะจะโคน ก้องกังวานสั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ทั้งลานต่างตะลึงงัน


“เจ้า…”


จั่วฝูกวงนัยน์ตาฉายแววเย็นเยือก ไอสังหารแผ่คลุม ภายใต้สายตาผู้คนที่จับจ้อง กลับถูกคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินย้อน มองเขาเป็นเหมือนสิ่งยั่วยุอย่างหนึ่ง


“ทำไม พูดไม่ออกเลยคิดจะลงมืองั้นสิ หากข้าจำไม่ผิด ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต คนนอกอย่างเจ้ากลับกล้ามาลำพองที่นี่ ใครช่างให้เจ้ากล้าได้ขนาดนี้”


การโต้กลับของหลินสวินไม่มีเกรงใจสักนิด


จั่วฝูกวงโกรธจนจะระเบิด แทบควบคุมจิตสังหารไว้ไม่อยู่ และในเวลานี้เองจ้าวจั้นเย่พลันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง


“เอาล่ะ เรื่องนี้ก็พอแค่นี้เถอะ ทวนเล่มนี้ข้าจะเก็บรักษาไว้ให้ชั่วคราว ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าทำดีชดเชยแล้วกัน!”


พูดพลางเหยียดแขนออกไปคว้าทวนยาวเล่มนั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ


ทุกคนในที่นั้นต่างอึ้งงัน


นี่มันแย่งเอาดอกผลที่หลินสวินหลอมออกมาชัดๆ!


และยังแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ ไม่รอความเห็นหลินสวินสักนิด บอกว่าจะลงมือก็ลงมือ ช่างเผด็จการยิ่งนัก


“เจ้ากล้า!”


หลินสวินเองก็คาดไม่ถึงว่าจ้าวจั้นเย่จะหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้ มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะยึดเอาสมบัติที่เขาหลอมไปอีก!


เพียงแต่เมื่อหลินสวินจะหยุดยั้งเขาก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว


จ้าวจั้นเย่เป็นถึงรองเจ้าหัวหน้าสาขายุทธ์วิถี เป็นมหายุทธ์ที่เท้าข้างหนึ่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติไปเนิ่นนานแล้ว เมื่อลงมือมีหรือหลินสวินจะสกัดกั้นได้


ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เขาออกมือจู่โจมกะทันหัน ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างรับมือไม่ทัน เท่ากับชิงยึดโอกาสเอาไว้ก่อน อย่าว่าแต่หลินสวิน แม้แต่พวกราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีสือ กว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ขัดขวางไม่ทันแล้ว


พริบตาเดียวเท่านั้น มือใหญ่ที่รวมตัวกันจากแสงวิญญาณเจิดจรัสก็ปรากฏบนฟากฟ้า พุ่งเข้าหาทวนยาวเล่มนั้น


เวลานี้มุมปากของจ้าวจั้นเย่มีรอยยิ้มปรากฏอย่างอดไม่ได้ เป็นแค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังคิดเพ้อเจ้อจะต่อต้านเขา ช่างไม่รู้ประสีประสาเสียจริง


ขณะเดียวกันในใจเขาก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ทวนยาวที่ก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีได้เล่มนั้นเป็นสิ่งพิเศษเหลือเกิน ต่อให้จัดอยู่ในชุดศึกสลักวิญญาณด้วยกันก็เรียกได้ว่ายากพบเห็น ทำให้เขาใจเต้นหาใดเปรียบ


หากไม่ฉวยโอกาสยึดครองของมีค่านี้ไว้ ก็ผิดต่อความทุ่มแรงกายแรงใจปลุกระดมฝูงชนในครั้งนี้!


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่กฎเกณฑ์สำนักศึกษามฤคมรกตของข้า แม้แต่คนของตัวเองยังกล้าทำลายเหยียบย่ำตามอำเภอใจ”


แต่ในเวลานั้นเอง เสียงเฉยชาผ่านกาลเวลามายาวนานเสียงหนึ่งดังสะท้อนขึ้น


ตู้ม!


พลันเห็นมือขนาดใหญ่ที่จะคว้าทวนยาวนั่นฉีกขาดออกประดุจทำจากกระดาษ ฝนแสงโปรายปราย


จ้าวจั้นเย่กลับส่งเสียงอึดอัดในคอ ร่างโอนเอนเซไปมา ใบหน้าพลันซีดขาว รอยเลือดเส้นหนึ่งล้นมุมปากออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


เมื่อได้ยินเสียงราบเรียบผ่านกาลเวลานั้น คนใหญ่คนโตที่นั้นยิ่งตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ขนพองสยองเกล้า รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลยากจะเอ่ยอย่างหนึ่งบีบกดลงมาที่ร่าง ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก


ทันใดนั้นทั่วทั้งลานต่างตื่นตระหนก หรือว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าที่น่าสะพรึงกลัวผู้นั้นจะลงมือเองแล้ว


เห็นว่ากลางลานพลันปรากฏเงาร่างที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ขึ้น เป็นชายชราร่างผอมแห้งคนหนึ่ง หน้าตาซูบตอบ นัยน์ตาราวหลุมดำล้ำลึกคู่หนึ่ง ภายในพรั่งไปด้วยรอยสลักลึกลับแห่งมหามรรค


ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ ไม่มีท่าทางภูมิฐานน่าหวาดกลัวอะไร แต่ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนแสบตา ไม่กล้ามองตรงๆ สักนิด ประหนึ่งว่านั่นไม่ใช่ชายชราคนหนึ่ง แต่เป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อยู่สูงเหนือเก้าชั้นฟ้า สาดแสงมายังใต้หล้า ส่องแสงแรงกล้าไร้ขีดจำกัด


สีหน้าจ้าวจั้นเย่เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ในบัดดล ปรากฏอาการตกใจหวาดกลัว ไม่คิดมาก่อนว่าชายชราคนนี้จะถูกทำให้ตกตื่นจนต้องมาที่นี่


และในเวลาเดียวกันบุคคลสำคัญมากมายในที่นั้นต่างยืนขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คารวะอย่างพร้อมเพรียง “คารวะเจ้าสำนัก”


เสียงดังกระหึ่มสะท้อนไปทั่วทุกทิศ


ครานี้ทุกคนต่างสั่นสะท้าน ทั้งหมดต่างยืนขึ้นอย่างลนลานจิตใจสะท้านไหว


เจ้าสำนัก!


ที่แท้คือเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตที่ไม่เคยปรากฏตัวมาเป็นเวลาหลายปี!


นี่ต้องเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงที่สุดในจักรวรรดิ เล่าลือกันว่าตั้งแต่พันปีก่อนก็ครอบครองพลังแห่งราชันระดับสังสารวัฏ ฝีมือเทียมฟ้า เร้นลับและน่าสะพรึง


เพียงแต่เขาไม่เคยปรากฏตัวมาหลายปี ทุกคนต่างคิดว่าช่วงหลายปีมานี้เขาท่องทั่วสี่ทิศ ไม่สนใจเรื่องทางโลกนานแล้ว


คิดไม่ถึงว่ามาวันนี้ ผู้อาวุโสท่านนี้จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!


ในใจหลินสวินก็ตกตะลึงเช่นกัน เพียงแต่เขาเคยเจอผู้อาวุโสท่านนี้ครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ประหลาดใจนักกับการปรากฏตัวของเขาในวันนี้


อาศัยโอกาสนี้เขาคว้าเก็บทวนยาวเล่มนั้นมาอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว แล้วกระโดดลงมาจากยอดหอหลอมวิญญาณ ลอยล่องลงสู่พื้นดิน


เจ้าสำนักมาแล้ว หลินสวินไม่กังวลแล้วว่าวันนี้จะเกิดเหตุอะไรผิดคาดขึ้นมาอีก


“เรื่องในวันนี้ข้าล้วนเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ตอนนี้เวลานี้ ข้าเพียงอยากถามทุกท่านหนึ่งประโยค ที่นี่คือสถานที่ใด”


น้ำเสียงเจ้าสำนักยังคงราบเรียบ แต่ความนัยที่แฝงในคำพูดนั้นกลับทำให้คนใหญ่คนโตตรงนั้นหนาวเยือกไปทั้งใจ ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ค่อนข้างรุนแรงแล้ว


ไม่มีใครกล้าตอบ เพราะต่างรู้คำตอบอยู่แล้ว


“เจ้าบอกมาซิ”


สายตาของชายชราจ้องมองมายังจ้าวจั้นเย่


พริบตานั้นจ้าวจั้นเย่หน้าซีดเผือด ตัวแข็งทื่อไปทั่วร่าง ถึงแม้เขาเป็นบุคคลผู้มีอำนาจคนหนึ่งของราชวงศ์ ก็ยังไม่มีความมั่นใจในการเผชิญหน้าผู้อาวุโสท่านนี้


“เจ้าสำนักโปรดลงโทษ!”


จ้าวจั้นเย่นับว่าเด็ดเดี่ยวยิ่งแล้ว ก้มหน้ารับผิดทันที


ทุกคนต่างสูดหายใจเย็นเยียบ จ้าวจั้นเย่อยู่ในฐานะใด เวลานี้กลับเหมือนเด็กน้อยก็ไม่ปาน แม้แต่จะเอ่ยปากอธิบายยังไม่กล้า เช่นนี้ยิ่งเสริมให้พลังอำนาจอันน่ากลัวของเจ้าสำนักเด่นขึ้นกว่าเดิม


“นับจากวันนี้ไป เจ้าไม่อาจเหยียบเข้ามาในสำนักศึกษามฤคมรกตแม้แต่ก้าวเดียว”


เจ้าสำนักเงียบไปสักครู่ ก่อนเอ่ยประโยคแผ่วเบาประโยคเดียว ช่วงชิงเพิกถอนฐานะรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีของจ้าวจั้นเย่ ขับไล่เขาออกจากสำนักศึกษา!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการลงโทษอย่างหนักหาใดเปรียบ หากแพร่ออกไปชื่อเสียงของจ้าวจั้นเย่ต้องแย่แน่


แต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะโต้แย้ง กลับเหมือนได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง ก้มหน้ารับโทษ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเผยความไม่พอใจและความโกรธแค้นอันใด


นั่นทำให้ในใจทุกคนอลหม่านอีกครั้ง พลังอำนาจของเจ้าสำนักแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ในสำนักศึกษามฤคมรกตนี้ เขาถือว่าเป็นใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียว!


และเวลานี้พวกฉู่ซานเหอ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ต่างตระหนักรู้ว่าท่าไม่ดี ตัวแข็งทื่อไปหมดราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม


พวกเขาต่างดูออกว่า การมาของเจ้าสำนักในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามาออกหน้าให้เจ้าเด็กหลินสวินนั่น!


………………


ตอนที่ 502 อำนาจของเจ้าสำนัก

โดย

ProjectZyphon

จ้าวจั้นเย่ปรารถนาแย่งชิงสมบัติล้ำค่าที่หลินสวินหลอมขึ้น กลับถูกเจ้าสำนักออกหน้ากำราบ แม้แต่ตำแหน่งรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีก็ถูกชิงไป ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหวาดกลัวทันที


พวกเขาทั้งหมดต่างสัมผัสได้ว่า เจ้าสำนักปรากฏตัวครั้งนี้ต้องมาเพื่อปกป้องหลินสวินอย่างแน่นอน!


นั่นทำให้พวกหนิงเหมิง สืออวี่รู้สึกสะใจหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยยังอดไหวหวั่นไม่ได้ ลอบทอดถอนใจว่าหลินสวินโชควาสนาดี ถึงขั้นได้รับการดูแลจากเจ้าสำนัก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะได้รับง่ายๆ


แต่ทว่าเหล่าบุคคลสำคัญที่ก่อนหน้านี้มุ่งเป้ามาที่หลินสวินกลับตัวแข็งทื่อกันหมด ราวกับมีหนามทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง สีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย


พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่า หลินสวินเพียงคนเดียวถึงกับดึงดูดความสนใจจากเจ้าสำนักมาได้ ถึงขั้นใช้วิธีที่ไม่คาดฝัน ขับไล่จ้าวจั้นเย่ออกไปโดยไม่ลังเลสักนิด!


นี่ถือเป็นท่าทีอย่างหนึ่ง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการออกหน้าแทนหลินสวิน ไม่อาจอดทนเห็นหลินสวินถูกกดขี่ได้


“ในเมื่อทุกท่านล้วนอยู่ที่นี่ ข้าเองก็สงสัยนัก หลินสวินทำอะไรผิดกันแน่ ถึงกับรบกวนทุกท่านยกทัพมายังสำนักศึกษามฤคมรกตของข้า”


เจ้าสำนักเริ่มพูดอีกครั้ง ทำให้บรรยากาศกดดันยิ่งกว่าเดิม


“ท่านเจ้าสำนัก เด็กคนนี้เคยบีบบังคับหลิงเทียนโหวให้คุกเข่าต่อหน้าธารกำนัล ดูหมิ่นเกียรติศักดิ์ศรีของราชวงศ์ โทษมหันต์เช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถปล่อยปละผ่อนปรน”


ในที่สุดก็มีคนใหญ่คนโตทำใจกล้า สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเปล่งเสียงออกมา


“เด็กคนนี้เคยทำร้ายคนตระกูลจั่วของข้า กักขังจั่วหยางทายาทตระกูลจั่วของข้า หากไม่ลงโทษเขาอย่างหนัก อย่างไรพวกข้าก็ไม่ยินยอม”


จั่วฝูกวงตอบเสียงแข็ง


“ตระกูลฉินของข้าก็เคยถูกเขาทำร้ายคนในตระกูลไปไม่น้อย”


“หลายวันก่อนเขาบีบบังคับฉีอวี้ทายาทสายตรงตระกูลฉีของข้าลงไปคุกเข่า ทำแต่เรื่องชั่วร้าย อาละวาดไม่เกรงกลัวสิ่งใด”


“เด็กคนนี้ใจกล้าเหิมเกริม หากไม่ให้บทเรียนกับเขา วันหน้าต้องเป็นภัยใหญ่แน่”


คนมากมายออกปากพูด ล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฉิน ฉี จั่วทั้งสิ้น เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยินยอมปล่อยไปเช่นนี้


เมื่อได้ยินคำกล่าวหาเหล่านี้ ทุกคนในที่นั้นต่างอกสั่นขวัญแขวน คนใหญ่คนโตพวกนี้เป็นตัวแทนของขุมอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่!


“ใจกล้าเหิมเกริม? พวกเจ้าหมายถึงหลินสวิน หรือหมายถึงตัวพวกเจ้าเอง?”


เจ้าสำนักเอ่ยปาก กวาดสายตามองพวกเขาทั้งหมด ทุกแห่งที่สายตาวาดผ่าน ไม่มีใครกล้าสบตากับเขาโดยตรง


“ผู้อาวุโสนี่ท่าน…”


มีคนฝืนกล่าวออกมา


“ง่ายมาก ในเมื่อพวกเจ้าพูดไม่ขาดปากว่าต้องชำระบัญชีเก่า งั้นวันนี้ไม่สู้มาสะสางเสียเลย ลองดูว่าใครกันแน่ที่ใจกล้าเหิมเกริม!”


เจ้าสำนักน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่ ราวเสียงธรรมทะลวงหู สะเทือนเสียจนทุกคนใจเต้นตึกตักเลือดลมตีกลับ


ในลานเงียบกริบไร้เสียง


เจ้าสำนักแสดงอำนาจอยู่ที่นี่ ไร้ซึ่งขีดจำกัด แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังไม่กล้าขัดใจ ในเวลาเช่นนี้ใครยังจะกล้าท้าทายเจ้าสำนักอีกเล่า


“ในเมื่อท่านเชื่อว่าหลินสวินไม่มีความผิด เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก ขอลาเพียงเท่านี้!”


จั่วฝูกวงส่งเสียงเฉยชา ในน้ำเสียงแฝงความโมโหเป็นอย่างมาก


“ฮึ!”


เจ้าสำนักร้องฮึเย็นชาคราเดียว จั่วฝูกวงพลันตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ถูกทำให้หวาดกลัวอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใดอีก


“ข้าจะถามเจ้าอีกประโยค หลินสวินมีโทษอันใด เพียงแค่เจ้าสามารถบอกเหตุผลหนึ่งได้อย่างชัดแจ้ง ข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีกทันที ยกให้ตระกูลจั่วของเจ้าจัดการลงโทษหลินสวิน!”


เจ้าสำนักพูดอย่างนิ่งสงบ


จั่วฝูกวงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่นานนักเขาก็กัดฟันพูดว่า “หลายวันก่อนเขาเคยเข่นฆ่าทำร้ายคนตระกูลจั่วของข้า เรื่องนี้ผู้คนมากมายในที่นั้นต่างรู้เห็น มาวันนี้ทายาทตระกูลจั่วของข้าจั่วหยาง ยังถูกคุมขังอยู่บนภูเขาชำระจิต หรือว่านี่จะไม่ใช่ความผิดอันใด”


“ช่างกล้านัก!”


เจ้าสำนักตะคอกเสียงดัง “หากไม่ใช่พวกเจ้าสองตระกูลจั่ว ฉิน บุกรุกเขาชำระจิตต้องการทำร้ายเขาก่อน ไหนเลยจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นแค่พวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น!”


คำพูดนี้ทำให้หลินสวินได้รู้ว่า ที่แท้เจ้าสำนักเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว!


นั่นทำให้สะเทือนใจอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้ ด้วยรู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้ได้เริ่มใส่ใจตนเองแล้ว


กลับเห็นสีหน้าจั่วฝูกวงกระอักกระอ่วน ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็เห็นเจ้าสำนักโบกมือกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ อย่าได้บีบให้ข้าไปเยือนตระกูลจั่วของพวกเจ้าด้วยตนเอง!”


เพียงประโยคเดียวราวกับฟ้าผ่า ทำให้สีหน้าจั่วฝูกวงเปลี่ยนไปอย่างมาก ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่าง เจ้าสำนักต้องการปกป้องหลินสวินนั่นโดยไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว


ท้ายที่สุดจั่วฝูกวงไม่กล่าวอันใดอีก หันหลังจากไป


เขาเป็นไป๋จั้นโหวผู้สูงส่ง ผ่านการสู้รบมากมายมาอย่างน่าเกรงขาม สังหารศัตรูแข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าพูดมาก ได้แต่หักห้ามใจไว้แล้วจากไป ทำให้ภายในใจคนใหญ่คนโตมากมายหนาวสะท้าน


“ข้าน้อยก็ปราศจากคำจะพูด ขอลา”


ฉินเป่าจี้ใบหน้าทะมึน รีบหันหลังจากไปตามกัน


หลินสวินเห็นดังนั้น ในใจแม้จะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าต่อให้เจ้าสำนักใส่ใจตนเองอย่างไร ก็ไม่อาจลงมือคว่ำจั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้สองคนนี้ลงได้


ถึงตรงนี้บุคคลสำคัญทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครเอ่ยถึงบุญคุณความแค้นกับหลินสวินอีก


“ข้าได้ยินว่าหลินสวินเคยมีความแค้นกับตระกูลฮวา ข้ายินดีเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ไม่ทราบว่ามีเรื่องค้างคาต้องปรึกษาหารือกันหรือไม่”


สายตาเจ้าสำนักมองมายังคนใหญ่คนโตของตระกูลฮวา


นั่นเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เครายาวดั่งต้นหลิว นามฮวาชิงฉือ ได้ยินดังนั้นก็พลันกล่าว “เจ้าสำนักมองออกนัก มีเรื่องพัวพันกันอยู่จริงๆ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ของคนหนุ่มสาว ในเมื่อเจ้าสำนักออกปาก เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลงเพียงแค่นี้”


เขาไม่แสดงท่าทีนบนอบหรือทระนงตน แต่กลับแสดงออกถึงท่าทีของตระกูลฮวาอย่างชาญฉลาด ไม่ยอมล่วงเกินเจ้าสำนักเพื่อหลินสวินเพียงคนเดียว


“เจ้าว่าอย่างไร”


เจ้าสำนักถามหลินสวิน


หลินสวินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าสำนักกำลังช่วยเหลือตนเอง จะทำตัวไม่รู้ดีชั่วได้อย่างไร จึงกล่าวตอบว่า “เป็นความขัดแย้งเล็กน้อยจริงขอรับ แต่ไหนแต่ไรข้าไม่มีเจตนาเป็นปรปักษ์กับตระกูลฮวา”


“ดี”


เจ้าสำนักพยักหน้าน้อยๆ มองไปยังฮวาชิงฉือ “กลับไปบอกผู้อาวุโสตระกูลของพวกเจ้า หากมีเวลาสามารถมาหาข้าที่สำนักศึกษาเพื่อพูดคุยสนทนาธรรม”


ฮวาชิงฉือเผยสีหน้าปิติยินดีทันที หากพูดว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่พอใจอยู่บ้าง เช่นนั้นตอนนี้ก็ถือว่าดีอกดีใจเป็นที่สุด นี่เป็นคำเชิญของเจ้าสำนักเชียวนะ หากผู้อาวุโสตระกูลฮวาของพวกเขาทราบเข้าจะต้องใจเต้นอย่างแน่นอน ไม่มีทางปฏิเสธความปรารถนาดีครั้งนี้แน่


เห็นดังนั้นคนมากมายต่างอิจฉาอย่างอดไม่ได้ เจ้าหลินสวินคนนี้โชคดีจริงๆ คนรุ่นเยาว์คนไหนบ้างที่จะเหมือนเขา ได้รับการคุ้มครองและให้ความสำคัญจากเจ้าสำนักเช่นนี้


“เจ้าหมอนี่ได้รับความโปรดปรานเกินไปแล้วกระมัง…”


หนิงเหมิงอดตะลึงไม่ได้


“หากเจ้าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่ข้ามด่านเคราะห์อสนีได้ตอนอายุสิบหก รับรองว่าสามารถได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้”


สืออวี่เปิดปากพูด


“งั้นก็ช่างเถอะ ข้าไม่ได้วิปริตเช่นนั้น”


หนิงเหมิงส่ายหัว


เจ้าสำนักเอ่ยปากต่อ สายตามองไปยังคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งของตระกูลซ่ง “หลินสวินและคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซ่งจำนวนหนึ่งขัดแย้งกันหรือ”


คนใหญ่คนโตตระกูลซ่งผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด ได้ยินดังนั้นจึงรีบตอบกลับไปทันที “ทำให้ผู้อาวุโสขบขันแล้ว เป็นเพียงแค่การทะเลาะกันของคนหนุ่มใจร้อน ไม่สลักสำคัญอะไร”


ถ้าจะกล่าวให้หนักขึ้น ต้องบอกว่าซ่งเจ๋อและซ่งชงเฮ่อแห่งตระกูลซ่ง ต่างล้วนแพ้อย่างย่อยยับให้กับหลินสวิน และยังมีความผิดก่อนหน้าอีก นั่นทำให้คนใหญ่คนโตตระกูลซ่งผู้นี้ก็ไม่อาจสืบสาวราวเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง มิฉะนั้นจะมีแต่ทำให้ตัวเองเสียหน้า


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ข้าเป็นประจักษ์พยาน เปลี่ยนจากสงครามแตกแยกเป็นสามัคคีกันเป็นอย่างไร”


สายตาเจ้าสำนักมองมายังหลินสวิน


“ทั้งหมดแล้วแต่ผู้อาวุโสจะสั่งความขอรับ”


หลินสวินพยักหน้า สำหรับเขาแล้วไม่ว่าตระกูลซ่งหรือว่าตระกูลฮวา ต่างไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรกับเขามากนัก หากสามารถคลี่คลายความขัดแย้งไปได้บ้าง ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน


ทุกคนเห็นดังนั้นต่างก็ทอดถอนใจ เจ้าสำนักปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวราวกับมีดใหญ่ขวานกว้างก็มิปาน ช่วยหลินสวินปัดกวาดอุปสรรคขวากหนามเหล่านั้นเสียราบคาบ เห็นได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับหลินสวินเพียงใด


และนับจากวันนี้ไป หลินสวินมีความสัมพันธ์กับเจ้าสำนักถึงขั้นนี้ ใครยังจะกล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินเขา


“ขอผู้อาวุโสโปรดอภัย ตระกูลฉือของข้าและเด็กคนนี้มีความแค้นบัญชีเลือด ถูกกำหนดให้ไม่อาจเมตตาต่อกัน ขอลาเพียงเท่านี้”


ยังไม่รอให้เจ้าสำนักเอ่ยปากอีกครั้ง คนใหญ่คนโตตระกูลฉือคนหนึ่งก็เปิดปากพูดอย่างแข็งกระด้าง นั่นทำให้ผู้คนอดตระหนกไม่ได้ กล้าพูดจาเช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฉือเท่านั้น


เจ้าสำนักเห็นดังนั้นก็หาได้โกรธาไม่ กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รักษาตัวด้วย”


หลินสวินก็ลอบโล่งอกอยู่เงียบๆ เช่นกัน ว่ากันตามตรงเขาเองก็ไม่คิดจะคลี่คลายกับตระกูลฉือ ก่อนเข้ามาในนครต้องห้าม เขาถูกตระกูลฉือล้อมปราบตลอดทางไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เกิดความแค้นบาดหมางกันมากตั้งนานแล้ว ไม่อาจปรับความเข้าใจกันเช่นนี้ได้!


“ข้าตระกูลฉีก็มีท่าทีเช่นนั้น เพียงแต่ตระกูลฉีของข้าไม่มีทางข่มเหงเขาซึ่งเป็นคนรุ่นหลังคนหนึ่งโดยเฉพาะ เรื่องราวของคนรุ่นเยาว์ก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง”


อีกด้านหนึ่ง คนใหญ่คนโตตระกูลฉีผู้หนึ่งเอ่ยปากพูด


เจ้าสำนักพยักหน้า “ก็ดี”


หลินสวินนึกถึงฉีอวี้ที่ถูกตนกำราบคุกเข่าลงแล้วลอบยิ้มหยันกับตัวเอง หากเป็นการต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเยาว์ เขาเองก็ไม่เกรงกลัวสักนิด


ถึงตอนนี้จ้าวจั้นเย่ถูกขับไล่ ตระกูลจั่ว ฉินสองตระกูลเก็บกลั้นความคับแค้นและจากไป ความแค้นระหว่างตระกูลฮวาและฉินกับหลินสวินก็จบลงเพียงแค่นี้ ตระกูลฉือแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราว ตระกูลฉีก็ตัดสินใจว่าเป็นการตัดสินของคนรุ่นเยาว์


เรียกได้ว่าเจ้าสำนักขยับตัวเพียงน้อยนิด ก็ช่วยหลินสวินคลี่คลายความขัดแย้งไม่น้อย และทำให้หลินสวินเห็นชัดเจนว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร


“ไม่ต้องมองข้า ข้าไม่อาจเป็นตัวแทนราชวงศ์ทำการตัดสินใจอะไรได้ ที่มาครั้งนี้ก็แค่มาดูเรื่องสนุกเท่านั้น”


เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าสำนักมองมาที่ตน เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวก็พูดเสียงดังทันที เขาวางตัวเป็นผู้ชมข้างๆ มาตลอด เวลานี้ท่าทีที่แสดงออกมาก็ต้องเป็นเช่นนี้


เพียงแต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนประเด็น ยิ้มน้อยๆ กล่าว “แน่นอน ตัวข้าเองยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์เช่นนี้เติบโตขึ้น”


ทุกคนต่างตะลึงงัน รู้สึกมหัศจรรย์พิศวงอย่างมาก ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ แม้ไม่อาจได้รับการอภัยจากทุกคนในราชวงศ์ แต่อย่างน้อยหลินสวินก็ได้รับความรู้สึกที่ดีและการยอมรับจากเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว!


ในลานมีเพียงฉู่ซานเหอที่ขมขื่นหาใดเปรียบ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สบายตัว กระวนกระวายเป็นอย่างมาก แทบอยากจะจากไปเสียเดี๋ยวนั้น เพราะว่า ‘พันธมิตร’ ของเขาเหล่านั้นต่างทยอยแตกแยกกระเส็นกระสาย ถูกเจ้าสำนักสยบไปทีละคน


ในเวลานั้นเอง ฉู่ซานเหอสังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจว่า หลินสวินที่อยู่ไม่ไกลจู่ๆ ก็มองมาทางเขา มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชา


นั่นทำให้ในใจฉู่ซานเหอสะดุดกึก รู้สึกตัวว่าไม่เข้าทีแล้ว


พลันเห็นหลินสวินกล่าวเสียงขรึม “ผู้อาวุโส ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งต้องการให้ท่านทวงความยุติธรรม”


“เรื่องใด” เจ้าสำนักกล่าวถาม


สายตาหลินสวินจ้องมองไปยังฉู่ซานเหอ จ้องจนฝ่ายหลังสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าแข็งทื่อ ในใจลนลาน สังเกตได้รางๆ ว่าหลินสวินคิดจะทำอะไร


“ผู้น้อยหลอมอาวุธครานี้ ‘เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำ’ ที่ใช้ถูกคนมืออยู่ไม่สุขจัดการไว้ก่อนล่วงหน้า เกือบจะล้มเหลวในขั้นสุดท้าย หวังว่าผู้อาวุโสจะตรวจสอบอย่างชัดเจน จับตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลัง คืนความยุติธรรมให้แก่ผู้น้อย!”


เมื่อคำพูดกล่าวออกมา ในสมองฉู่ซานเหอเหมือนมีเสียงดังหึ่ง ราวกับถูกฟ้าผ่า ทั้งตัวเหมือนกับไร้ซึ่งวิญญาณ เป็นดังคาด เรื่องราวถูกเปิดเผยแล้ว…


……………….


ตอนที่ 503 ปิดฉากความโกลาหล

โดย

ProjectZyphon

ถึงกับมีคนลอบใช้แผนการ จะทำลายการหลอมอาวุธก่อนหน้านี้ของหลินสวิน!


ได้ยินดังนี้ทุกคนต่างตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ล้วนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ใครช่างมีความแค้นใหญ่หลวงกับหลินสวินขนาดนั้น ถึงกับทำเช่นนี้ออกมาไม่คำนึงถึงอะไร


วิธีนี้เลวทรามต่ำช้าเกินไปแล้ว!


“คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ”


เสิ่นทั่วหน้าเขียวคล้ำ แค้นเสียจนกัดฟันเกือบแตก ที่นี่คือสาขาสลักวิญญาณ ถึงกับมีคนกล้าทำเช่นนี้ ไม่เกรงกลัวฟ้าดินจริงๆ


“เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำอยู่บนชั้นเก้าหอหลอมวิญญาณ หากทุกท่านไม่เชื่อไปดูด้วยตนเองก็จะทราบ”


สายตาหลินสวินกวาดมองไปยังฉู่ซานเหออย่างเย็นชา


“ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”


เสิ่นทั่วมีปฏิกิริยาทันที กระทู้ถามเสียงกร้าว


“บังอาจนัก! มีแต่ลมปากเชื่อถือไม่ได้ อย่ามาใส่ร้ายป้ายสี!”


ฉู่ซานเหอตวาดลั่น ทำใจดีสู้เสือ เขาไม่ยอมรับความผิดนี้เด็ดขาด มิฉะนั้นวันนี้ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงพังทลายย่อยยับ อาจถึงขั้นได้รับการลงโทษที่โหดเหี้ยมหาใดเปรียบ


“มีแต่ลมปากเชื่อไม่ได้? เหอะๆ ฉู่ซานเหอ เจ้ากล้าทำไม่กล้ารับงั้นรึ หากไม่ใช่เจ้าลอบทำลายเตาหลอมสามขาเขียวคล้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าการหลอมอาวุธครั้งนี้ของข้าต้องล้มเหลว ไหนเลยจะกล้าร่วมมือกับคนอื่น กระโดดออกมาในวันที่ข้าหลอมอาวุธวันแรกเพื่อกดดันข้า”


หลินสวินยิ้มอย่างเย็นชา


ทุกคนต่างอดสงสัยไม่ได้ สายตาค่อยๆ มองไปยังฉู่ซานเหอ เป็นจริงดังนั้น ในวันแรกที่หลินสวินหลอมอาวุธ การแสดงออกของพวกเขาฉู่ซานเหอผิดปกติเกินไป ตั้งท่าราวคาดเดาไว้แล้วว่าการหลอมอาวุธครานี้ของหลินสวินต้องล้มเหลวแน่นอน ท่าทีเหิมเกริมมั่นใจถึงที่สุด


เวลานั้นพวกเขาต่างแคลงใจ เพิ่งจะเริ่มหลอมอาวุธยังไม่อาจยืนยันได้ว่าจะล้มเหลวหรือไม่ เหตุใดพวกฉู่ซานเหอจึงไม่มีความหวาดหวั่นเกรงกลัวอันใด


ใครจะคิด ที่แท้ก็มีสาเหตุจริงดังว่า!


หากเป็นจริงอย่างที่หลินสวินกล่าว ฉู่ซานเหอก็ต่ำช้าเกินไปแล้ว เป็นถึงรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ แต่กลับทำลายการหลอมอาวุธของเด็กรุ่นหลัง นี่เป็นความไร้ยางอายอย่างถึงที่สุดจริงๆ


“มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ตาแก่นี่ถึงกำเริบเสิบสานซะขนาดนั้น ที่แท้เขาก็แอบวางหมากไว้ก่อนนี่เอง!”


หนิงเหมิงโกรธจัด


พวกสืออวี่ต่างก็มีสีหน้าไม่เป็นมิตร การกระทำนี้ของฉู่ซานเหอเกือบจะทำหลินสวินต้องตาย นี่จะไม่ให้พวกเขาโกรธได้อย่างไร


พอคิดถึงว่าหากหลินสวินล้มเหลวในครั้งนี้ ผลที่ตามมาก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด!


“หลินสวิน หากข้าวางหมากเช่นนั้นจริง เจ้ายังจะสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นนั้นออกมาอย่างราบรื่นได้อย่างไร”


ฉู่ซานเหอหน้าเขียว กล่าวกราดเกรี้ยว


“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พิสูจน์ได้ว่าเจ้าบริสุทธิ์ ที่ข้าทำสำเร็จ ก็เป็นเพราะข้าคลี่คลายวิกฤตินี้ได้ทันเวลา!”


หลินสวินสีหน้าเย็นเยียบ


“แต่เจ้ากล้าพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนทำ”


ฉู่ซานเหอสีหน้าอึมครึม


เขายืนกรานว่าหลินสวินไม่มีหลักฐาน ด้วยเหตุนี้จึงกล้ายืนหยัดอยู่เช่นนี้


“พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกันอีก ข้าไปตรวจสอบดูก็รู้”


เวลานี้เจ้าสำนักที่สังเกตอยู่ข้างๆ พลันเปล่งเสียงราบเรียบออกมา ขณะพูดร่างเขาก็แวบหาย พลันโฉบเข้าไปในชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณที่อยู่ไม่ไกล


เห็นชัดว่าเจ้าสำนักก็ไม่พอใจเช่นกัน จึงต้องไปตรวจสอบความจริงด้วยตนเอง จับตัวคนร้ายที่ซ่อนอยู่ออกมา!


ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เลวร้ายเกินไปแล้ว ในสำนักศึกษามฤคมรกตถึงกับมีคนกล้าวางกับดักใส่ปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์ที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้เช่นนี้ นี่ช่างชั่วร้ายนัก!


ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสำนักใช้วิธีการใดสืบหาความจริง แต่ทุกคนต่างรู้สึกได้อย่างหนึ่งว่า เพียงแค่เจ้าสำนักจัดการด้วยตนเอง จะต้องสืบหาความจริงให้ปรากฏออกมาได้อย่างแน่นอน!


ฉู่ซานเหอเองก็ขลาดกลัว ภายในใจกระสับกระส่ายถึงขีดสุด เขาคิดว่าตนทำได้อย่างเรียบร้อยไร้ช่องโหว่ ไม่มีทางทิ้งเบาะแสร่องรอยอันใดไว้แน่


แต่เมื่อเห็นเจ้าสำนักจัดการด้วยตนเอง เขากลับรู้สึกถึงความกดดันที่ยากจะบรรยายอย่างหนึ่ง แทบจะยืนหยัดไว้ไม่อยู่


ร่างกายเขาแข็งทื่อตามเวลาที่ล่วงเลย ในใจตึงเครียดกังวลถึงขีดสุด ราวกับนักโทษที่กำลังจะรับการตัดสินโทษคนหนึ่ง รู้สึกแย่ไปทั้งตัวแล้ว


“หึ ประเดี๋ยวรอเจ้าสำนักแน่ใจแล้วว่าคนร้ายคือใคร ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะอะไร จะต้องโดนลงโทษอย่างสาหัสแน่นอน!”


เสิ่นทั่วส่งเสียงเย็นเยียบ


ยามนี้เขาคิดไปแล้วก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้ หากครั้งนี้หลินสวินล้มเหลวเพราะถูกคนอื่นให้ร้าย นั่นต้องเป็นฉากโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน


“ใช่ ความต่ำทรามไร้ยางอายเช่นนี้ พันมีดหมื่นแล่ ทำลายกระดูกโปรยเถ้าถ่านก็ยังไม่สาแก่ใจ!”


หนิงเหมิงตะโกนตาม


ทุกคนล้วนดูออก ฉู่ซานเหอตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุดในที่นั้น รอดูว่าท้ายที่สุดความจริงที่เจ้าสำนักค้นพบจะเป็นอะไรกันแน่


ไม่นานนักเจ้าสำนักปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง สีหน้านิ่งสงบดูความรู้สึกไม่ออกสักนิด ทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาพบเบาะแสอะไรหรือไม่


แม้แต่หลินสวินในใจก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง ว่ากันตามตรงเขาเองก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าฉู่ซานเหอเป็นคนทำ


หากเจ้าสำนักตรวจสอบไม่พบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเท่ากับทำให้ฉู่ซานเหอหนีพ้นเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ นั่นเป็นสิ่งที่หลินสวินยากจะรับได้


ที่จริงแล้วเขาเกลียดชังตาแก่นี่จริงๆ ตั้งแต่เข้ามายังสาขาสลักวิญญาณครั้งแรก ก็เคยจงใจมุ่งเป้าทำให้ตนลำบาก


มาวันนี้ยังร่วมมือกับตาแก่พวกนั้นทำร้ายตนอีก ครั้งนี้หากไม่ให้บทเรียนที่เจ้าหมอนี่จะต้องจดจำไปตลอดชีวิต หลินสวินคงไม่อาจระงับความชิงชังนี้ลงได้


บรรยากาศเงียบสงัด ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเจ้าสำนัก


แต่แววตาเจ้าสำนักกลับมองไปที่ฉู่ซานเหอ พริบตานั้นทั้งร่างฉู่ซานเหอสั่นระริกขึ้นมาอย่างยากจะสังเกตเห็น สีหน้าแข็งทื่อ


“ตามข้ามา”


เจ้าสำนักมิได้พูดมากความ หันหลังแล้วจากไป


สีหน้าฉู่ซานเหอพลันแปรเปลี่ยน ท้ายที่สุดก็กัดฟันกรอด ยังคงเดินตามไป ก่อนหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว


“นี่มันอะไรกัน คนร้ายคือเขาใช่หรือไม่”


“น่าจะเป็นเขา เจ้าสำนักเรียกตัวเขาไป เพียงแค่คิดจะไว้หน้าเขาเสียหน่อย อันที่จริงนี่เป็นเรื่องฉาวโฉ่เรื่องหนึ่ง หากแพร่ออกไปจะต้องเกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักศึกษามฤคมรกตเป็นแน่”


“ถ้าพูดอย่างนั้นล่ะก็ ครั้งนี้ฉู่ซานเหอก็จบเห่แล้ว”


ในลานเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่


หลินสวินก็ไม่วายขมวดคิ้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาเชื่อว่าเจ้าสำนักจะต้องให้คำตอบที่เขาพอใจแน่นอน


“ยินดีด้วยสหายน้อย ที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้สำเร็จ!”


“สหายน้อย ขอถามหน่อยว่าชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นนั้นจะขายหรือไม่”


“น้องหลินสวิน ให้พวกข้าได้เปิดหูเปิดตา รับรู้ถึงความน่าเกรงขามแสนวิเศษของทวนยาวเล่มนั้นอีกครั้งได้หรือไม่”


เจ้าสำนักเพิ่งจะจากไป เพียงประเดี๋ยวเดียวคนใหญ่คนโตมากมายต่างพุ่งเข้ามา สายตาจ้องมองหลินสวินอย่างเร่าร้อน เปิดปากพูดกันไม่หยุด


ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ใจเต้นโครมครามอยู่ก่อนแล้ว จ้องทวนยาวที่ก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีได้เล่มนั้นจนตาลุก น้ำลายหกไม่หยุด มาตอนนี้เจ้าสำนักเพิ่งจะจากไป พวกเขาต่างอดรนทนไม่ไหว


ชุดศึกสลักวิญญาณเชียวนะ!


เพียงชิ้นเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงยกระดับอิทธิพลได้ ใครเล่าจะไม่อยากมีไว้ในครอบครอง


เดิมทีพวกหนิงเหมิงและสืออวี่ต่างก็อยากจะพุ่งตัวเข้าไป แต่เมื่อเห็นหลินสวินถูกตาเฒ่ากลุ่มนั้นโอบล้อมจนแม้แต่น้ำยังไหลออกมาไม่ได้ ก็ตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ


“ทุกท่าน โปรดฟังข้าพูดสักประโยค”


หลินสวินเอ่ยปาก หยุดเสียงวุ่นวายต่างๆ ลงได้ แล้วกล่าวว่า “สิบวันหลังจากนี้ ข้าจะจัดงานแถลงเกี่ยวกับชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นนี้ขึ้นที่อัครการค้า ถึงเวลานั้นจะให้ทุกท่านได้เข้าใจความอัศจรรย์ของสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้อย่างชัดเจนทุกประการ”


สืออวี่ที่อยู่ไกลๆ ได้ยินดังนั้นดวงตาก็ส่องประกายขึ้นทันที รู้ว่าหลินสวินทำเช่นนี้ มีความหมายว่าเขาต้องการตอบแทนน้ำใจ


ถึงอย่างไรวันนี้แม้แต่ท่านพ่อของเขาเทพเศรษฐีสือไฉเสินก็ปรากฏตัว เพื่อมาสนับสนุนหลินสวิน


“ฮึ เจ้าหมอนี่ใจลำเอียง เอะอะก็คิดถึงแต่อัครการค้า ไม่รู้จักคิดถึงข้าบ้างหรือไง”


หนิงเหมิงพึมพำไม่พอใจ


ป้าบ! มือข้างหนึ่งของราชันเลือดเหล็กตบลงไปที่หน้าผากของหนิงเหมิง หัวเราะด่าว่า “เจ้าเด็กเลว หลังจากนี้มีหลินสวินอยู่ทั้งคน เจ้ายังเป็นห่วงว่าจะขาดชุดศึกสลักวิญญาณไปสักชิ้นอีกหรือ”


เทพเศรษฐี เย่ฉิงเทียน และกงปู้พั่วที่อยู่ข้างๆ ต่างหัวเราะ เดิมทีพวกเขาถูกลากมาเพื่อสนับสนุนหลินสวินเท่านั้น ไม่ได้รู้จักมักคุ้นหลินสวินมากนัก


แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่พวกเขาต่างก็อดพึงพอใจไม่ได้ รู้สึกว่าหลินสวินคนนี้ที่ลูกหลานของตนคบค้าสมาคมด้วย เป็นอัจฉริยะซึ่งยากจะได้พบเห็นอย่างแท้จริง คุ้มค่าที่จะดูแลให้ความสำคัญอย่างดี


“สหายน้อยหลินสวิน ขอถามว่าวันงานแถลงมีความคิดจะขายของล้ำค่านี้หรือไม่”


มีคนใหญ่คนโตถามด้วยสายตาที่จ้องมองมาอย่างแรงกล้า


“สมบัตินี้ไม่สามารถขายได้”


หลินสวินตอบกลับโดยไม่ลังเล นั่นทำให้ผู้คนมากมายอดผิดหวังไม่ได้


แต่ประโยคต่อมาของหลินสวินกลับทำให้พวกเขาตื่นเต้นฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง…


“แต่ว่า หากผู้อาวุโสทุกท่านในที่นี้สามารถหาวิธีแก้ ‘มารพบเคราะห์’ ได้ ข้าหลินสวินรับประกันว่าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งเพื่อท่านด้วยมือตนเอง!”


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างฮือฮาทันที


คนใหญ่คนโตมากมายต่างเริ่มพิจารณาใคร่ครวญ รอหลังจากแยกย้ายไปแล้ว ก็จะค้นหารวบรวมวิธีแก้ ‘มารพบเคราะห์’ อย่างเต็มกำลัง


“แน่นอนว่าในวันงานแถลง ข้าก็จะประกาศเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณส่วนหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นขอผู้อาวุโสทุกท่านชี้แนะข้าด้วย”


เมื่อคำพูดนี้ของหลินสวินกล่าวออกไป ดึงดูดให้ในที่นั้นเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรงกล้า ผู้คนมากมายต่างลอบตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับหลินสวินให้ได้


ปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นเยาว์ที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้เช่นนี้ ผลประโยชน์หลังจากนี้จะต้องไม่อาจประมาณได้อย่างแน่นอน


จนกระทั่งผ่านไปนาน ผู้คนในที่นั้นจึงแยกย้ายกันไป


หลินสวินกำลังคิดจะผ่อนลมหายใจสักเฮือก ก็เห็นเหล่าปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างเสิ่นทั่ว อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งมีสีหน้าเร่าร้อน รวมตัวมุ่งตรงมาทางนี้


เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเรื่องต้องการสอบถามและขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ


หลินสวินรีบชิงพูดขึ้นก่อน “ทุกท่าน ให้ข้าหายใจสักประเดี๋ยว หลายวันมานี้เพื่อหลอมชุดศึกสลักวิญญาณข้าเหนื่อยมากจริงๆ ร่างกายใกล้จะทานทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”


พวกเสิ่นทั่วรู้สึกเกรงใจขึ้นมาชั่วขณะ รีบร้อนพยักหน้ารับคำ แต่ละคนแสดงออกว่ารอเมื่อไหร่ที่หลินสวินมีเวลาจะต้องไม่หวงวิชาอย่างแน่นอน


หลินสวินตกปากรับคำ


“เจ้าหนู พักผ่อนให้เต็มที่ ผ่านไปอีกสักหลายวันข้าจะให้สืออวี่ไปรับเจ้ามาอัครการค้าด้วยตัวเอง ข้าเองก็เฝ้ารอว่างานแถลงครั้งนี้จะมีเรื่องประหลาดใจอะไรอีก”


เทพเศรษฐีหัวเราะชอบใจพลางตบบ่าหลินสวิน ก่อนจากไปพร้อมพวกหนิงปู้กุย เย่ฉิงเทียน กงปู้พั่ว


จนกระทั่งกลับไปยังหอพักที่ตนอาศัยอยู่ หลินสวินผ่อนลมหายใจยาวเฮือกใหญ่ หว่างคิ้วปรากฏความอ่อนเพลียที่ปิดบังไว้ไม่อยู่


เขาเหนื่อยมากจริงๆ เผาผลาญสติปัญญาและพละกำลังไปมาก เวลานี้พอได้ผ่อนคลาย ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงผล็อยหลับไป


เวลาเดียวกันนี้ โลกภายนอกกลับเริ่มเปิดฉากความปั่นป่วนโกลาหล สั่นสะเทือนนครต้องห้าม


“หลินสวินหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสำเร็จในวันนี้!”


ข่าวนี้เสมือนลมพายุม้วนพัดทุกสิ่งอย่างออกไป ราวกับกางปีกสยายบินก็มิปาน โบยบินไปทั่วทุกหนแห่งในนครต้องห้าม สั่นสะเทือนจิตใจเหล่าผู้ฝึกปราณทุกคน


ไม่ว่าใครต่างก็ไม่เคยคาดคิด หลินสวินที่ถูกคนส่วนมากมองในแง่ร้าย จะประสบความสำเร็จก้าวมาถึงขั้นนี้!


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ แผ่ขยายออกมืดฟ้ามัวดิน รายละเอียดทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่หอหลอมวิญญาณ ล้วนถูกผู้คนขุดคุ้ยออกมากลายเป็นประเด็นสนทนาที่แพร่หลายที่สุด


หลินสวิน!


ชื่อนี้ประดุจดั่งมีเวทมนตร์ สั่นสะเทือนนครต้องห้ามอีกครั้ง ได้รับความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วน!


………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)