Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 497-498

 ตอนที่ 497 สถานการณ์พลุ่งพล่านใต้น้ำ

โดย

ProjectZyphon

ครั้นจ้าวจั้นเย่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั่วทั้งลานต่างตกใจ


เห็นได้ชัดว่ารองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีคนนี้ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าหลินสวินจะสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้ ที่เขามาครั้งนี้เห็นชัดว่าเพื่ออาศัยโอกาสนี้กำราบหลินสวิน


“ฮ่าๆ ที่พี่จ้าวพูดเป็นความจริงอย่างยิ่ง ถึงจะบอกว่าเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้มีพรสวรรค์เหนือปวงชน แต่ไม่เห็นกฎระเบียบในสายตา กระทำเรื่องไร้ยางอาย ความประพฤติเหลือทน พฤติกรรมด่างพร้อย ผู้มีความสามารถพรรค์นี้ ต่อให้โดดเด่นสักเพียงใดก็เป็นหายนะอย่างหนึ่งโดยแท้”


ฉู่ซานเหอหัวเราะเบาๆ เขาในฐานะรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ แต่กลับปฏิเสธหลินสวินในทุกแง่ มีเจตนาที่ชัดเจนยิ่งยวด


สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมากมายต่างตระหนักได้อย่างเฉียบแหลมว่าการหลอมอาวุธของหลินสวินในครั้งนี้ เกรงว่าอาจจะกลายเป็นหายนะที่พุ่งเป้าไปที่หลินสวินฉากนั้นเท่านั้น!


เว้นเสียแต่เขาจะสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้จริงๆ มิเช่นนั้นสถานการณ์คงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง!


“พูดได้ถูกต้อง สำนักศึกษามฤคมรกตไม่ใช่สถานที่อำพรางความชั่ว คนรุ่นหลังที่เลือกเดินทางผิดอย่างหลินสวินนั้น หากไม่ถูกลงโทษและอบรมก็จะกลายเป็นหายนะอย่างหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว”


ฉินเป่าจี้มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะขั้นปลายยอดที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยปากเช่นกัน นัยน์ตาทอแววเย็นเยียบดุจคมดาบ ทรงพลังยิ่งใหญ่


“หากเด็กคนนี้กล้าเล่นเล่ห์เพทุบาย หลอกลวงพวกข้า ต้องถูกตัดหัวไม่มีข้อยกเว้น!”


ทันใดนั้นเสียงโครมครืนประหนึ่งอสนีฟาดก็ดังสนั่น ทำให้ทั่วทั้งลานเปลี่ยนท่าที นั่นคือไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวง รอบกายมีกลิ่นอายมหามรรครายล้อม นั่งอยู่ตรงนั้นประดุจราชันที่เหยียบย่างลงบนเขาศพทะเลเลือด


ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งลานพลันเงียบสงัด ไร้เสียงนกเสียงกา


นับตั้งแต่บุคคลสำคัญอย่างจ้าวจั้นเย่เอ่ยวาจา ตามด้วยฉู่ซานเหอ ฉินเป่าจี้ จั่วฝูกวง ทำให้ผู้คนทั้งหมดต่างมองออกว่าพวกเขามาเพื่อพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน โดยไม่เคยปกปิดสักนิด เปี่ยมอำนาจแกร่งกล้าอย่างเห็นได้ชัด!


สีหน้าของเสิ่นทั่วดูอึมครึมไหววูบเป็นที่เรียบร้อย นี่หลินสวินเพิ่งจะเริ่มหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ เหล่าบุคคลสำคัญพวกนี้ก็ทยอยกันเปล่งวาจาต่อต้านและข่มขู่กันเสียแล้ว ทำให้เขารู้สึกหนาวจับใจ ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล


“หลินสวินมีโทษผิดสถานใด ถึงขั้นทำให้พวกท่านไม่สนใจฐานะ พากันเอ่ยว่าจะสั่งสอนเขาไม่หยุดหย่อน”


ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนทั่วลาน ในบรรยากาศแบบนี้ยังมีคนกล้าเอ่ยวาจาโต้แย้งเหล่าบุคคลสำคัญอยู่เชียวหรือ


ทว่ากลับเห็นเด็กหนุ่มผ่าเผยคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามา ท่าทางองอาจ มีกลิ่นอายทระนงดุจดูแคลนใต้หล้าอย่างหนึ่ง


“หนิงเหมิง หลานชายราชันเลือดเหล็ก!”


ผู้คนจำนวนไม่น้อยจำฐานะของเด็กหนุ่มได้ในทันที และมีท่าทีผิดแผกไปอย่างอดไม่ได้


“เจ้าหนูน้อย ที่นี่คือสถานที่แบบใด ใช่ที่ที่เจ้าจะมาสอดปากหรือ”


ฉินเป่าจี้มหายุทธ์ตระกูลฉินแค่นเสียงเย็น แสงนัยน์ตาเจิดจ้า ฉีกทึ้งห้วงอากาศดั่งดาบคม ทำให้ผู้คนหวั่นใจ


“น่าขัน นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกตของข้า คนแก่อย่างท่านมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ยังกล้าออกปากพูดสั่งสอนข้าอีกหรือ”


หนิงเหมิงตะโกนลั่น ทำให้ฝูงชนใจสะท้าน เจ้าเด็กนี่ก็แข็งกร้าวเหลือเกิน คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยเพียงอำนาจของราชันเลือดเหล็กแล้วจะกล้าไม่เห็นตระกูลฉินอยู่ในสายตาได้


ยามนี้สีหน้าฉินเป่าจี้พลันเคร่งขรึม ไม่รอให้เขาปริปาก ไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวงที่อยู่ด้านข้างก็โบกมือ กล่าวเนิบนาบ “พี่ฉิน อย่าได้ทำตัวเหมือนอยู่ระดับเดียวกับคนหนุ่มสาวเลย”


กล่าวพลางเหลือบมองไปทางหนิงเหมิง “เจ้าหนู เหตุใดถึงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์สักนิด ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลเจ้าอบรมเจ้าเช่นนี้หรือ รีบถอยออกไปเสีย อย่าได้ทำร้ายตัวเอง!”


หนิงเหมิงเดือดดาล “นี่ท่านกำลังด่าว่าข้าไม่ได้รับการสั่งสอนหรือ”


จั่วฝูกวงมุ่นคิ้ว กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าหนู ต่อให้บิดาเจ้าอยู่ที่นี่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ คิดว่าพวกข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าจริงๆ หรือ”


ฮูม~


พลังอำนาจบีบคั้นผู้คนแผ่ขยาย พุ่งมากดทับใส่หนิงเหมิงอย่างดุดัน หมายจะสยบเขา บีบให้เขาไม่กล้าพูดมากความอีก


หนิงเหมิงหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าแก่นี่ เจ้ากล้า!”


จั่วฝูกวงหัวเราะเสียงเย็น “ชนรุ่นหลังตัวน้อย อาละวาดเยี่ยงนี้ วันนี้ข้าจะอบรมสั่งสอนเจ้าให้ดีแทนผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าเอง! ทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือกฎระเบียบ!”


ขณะที่เอ่ยคำ พลานุภาพดุจดั่งภูเขาก็กดทับลงมาอย่างรุนแรง


เขาคือไป๋จั้นโหวเชียวนะ เคยทำศึกนองเลือดที่ชายแดน สังหารบุคคลสำคัญต่างเผ่ามาเป็นร้อยคน พลังอำนาจคับปฐพี แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของเขาน่ากลัวเพียงใด มิใช่คนที่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณจะต้านทานไหวเลยสักนิด


“ฮ่าๆ อานุภาพยิ่งใหญ่นัก จั่วฝูกวง ไม่เจอกันหลายปี เจ้าถึงขั้นกล้ามาสั่งสอนหลานของข้าแทนข้าเชียวหรือ”


ทันใดนั้นเสียงคำรามปานอสนีฟาดก็ดังขึ้น สั่นสะเทือนจนผู้ฝึกปราณทั้งลานได้ยินเสียงวิ้งที่หู ตาลายเห็นเป็นดาวสีทอง สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน


เพียงแค่เสียงเดียวเท่านั้น กลับเหมือนค้อนหนัก ทำให้สภาพจิตใจของพวกเขาสั่นสะท้าน!


สวบ!


เงาร่างกำยำประหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายกลางลาน เขามีผมขาวรุงรังทั่วศีรษะ หนวดเคราดั่งทวน ในรอยแยกของเปลือกตานั้นสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าสะพรึงของภูเขาศพทะเลเลือด ดาราล่มจันทร์สลาย


นี่ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวหาใดเปรียบคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเขามาเยือน ฟ้าดินแถบนี้ล้วนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าประหัตประหาร ห้วงอากาศกรีดร้อง ลมเมฆพลุ่งพล่าน


ทั้งลานต่างตกตะลึง ล้วนมีท่าทีไม่อยากเชื่อ


หนิงปู้กุยราชันเลือดเหล็ก!


ราชันที่ ‘มีชีวิตเพื่อการต่อสู้ แม้ตายก็ต้องหนุนบนภูเขาศพ ร่างเอนบนทะเลเลือด เทียบท้านภา หลับใหลไปกับปฐพี’!


ยอดฝีมือที่ตายด้วยเงื้อมมือเขา หากไม่ใช่หนึ่งพันก็ต้องแปดร้อย เป็นราชันที่ถือกำเนิดจากการเข่นฆ่าสังหาร อำนาจเหลือร้ายสะท้านโลก ชื่อเสียงเลืองลั่นจักรวรรดิ!


กระทั่งมีคำกล่าวว่า ต่อให้นำห้าพยัคฆ์ร้ายแห่งจักรวรรดิรวมเข้าด้วยกัน ก็ยากจะเทียบอานุภาพน่าเกรงขามสามส่วนของราชันเลือดเหล็ก!


เพียงแต่ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่า บุคคลผู้เป็นตำนานแห่งจักรวรรดิเช่นนี้จะถึงขั้นหวนสู่นครต้องห้ามในเวลานี้ และปรากฏตัวในสำนักศึกษมฤคมรกต!


“หนิงเลือดร้อน! เป็นเจ้าได้อย่างไรกัน!”


คนใหญ่คนโตอื่นๆ ในลานต่างก็ไหวหวั่น หนิงปู้กุยพิทักษ์ชายแดนตะวันตกของจักรวรรดิมาตลอด ไม่เคยหวนสู่นครต้องห้ามมาเป็นเวลาร้อยปีเต็มแล้ว เขากลับมาคราวนี้เพื่ออะไรกันแน่


“ทำไม พวกเจ้าไม่ยินดีต้อนรับข้ากลับมาหรือ”


เสียงหนิงปู้กุยหยาบกระด้าง ทุกคำดั่งสายฟ้าฟาด ไม่ปิดบังอานุภาพร้ายกาจของตนเลยสักนิด ราวกับมีอำนาจน่าสะพรึงห้าวหาญดุจพยัคฆ์ร้าย


“จะกล้าได้อย่างไร เชิญพี่หนิงนั่งลงเถิด”


จ้าวจั่นเย่ยืนขึ้น เอ่ยปากเสียงทุ้ม เขามีฐานะเป็นรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถี ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญแห่งราชวงศ์ สถานะค่อนข้างโดดเด่น


“เฮอะ คนอย่างพวกเจ้ารู้จักแต่รังแกผู้อ่อนอาวุโสกว่า ข้าล่ะคร้านจะนั่งรวมกับพวกเจ้า”


กล่าวพลางเขาก็คว้าหนิงเหมิง แล้วหย่อนก้นนั่งลงกับพื้น ทำให้ทั้งลานต่างตกตะลึง ราชันเลือดเหล็กที่ทรงพลังดุดันคนนี้เผด็จการเหมือนกับที่เล่าขานกันมาจริงๆ มองบุคคลสำคัญทั่วลานราวกับไร้ตัวตน ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด


สีหน้าของจ้าวจั่นเย่เผยความอึมครึมอย่างอดไม่อยู่


“เฮอะ ต่อให้หนิงเลือดร้อนอย่างเจ้ามาแล้วจะอย่างไรเล่า หลินสวินคนนี้ทำความผิดล้นฟ้า หนิงเลือดร้อนอย่างเจ้าอยากจะปกป้องเขาเอาไว้ คงไม่น่าดูแน่”


จั่วฝูกวงหัวเราะเย็นชา เขากลับสู่ความเยือกเย็นอีกครั้งแล้ว


ไม่ได้มีเพียงเขา ฉู่ซานเหอ ฉินเป่าจี้รวมถึงคนใหญ่คนโตที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับพวกเขาต่างคิดเช่นนี้กันทั้งนั้น


“เฮ้อ ท่านเต้าเฉินทำศึกเพื่อจักรวรรดิ แม้นตัวตาย แต่วิญญาณกล้าคงอยู่สืบไป เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแห่งปวงชน ไม่เคยคิดเลยว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปี ต้นกล้าหน่อเดียวในตอนนี้ที่ท่านเต้าเฉินเหลือทิ้งไว้ กลับกลายเป็นหนามตำใจของคนบางส่วน ช่างทำให้ผู้คนสะทกสะท้านเสียจริงๆ”


เวลานี้มีคนส่งเสียงทอดถอนใจยาว แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง


พลันเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนเต็มขั้นคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาอย่างแช่มช้า มองจากระยะไกลเหมือนกับเนินเขาลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ตามแนวขวาง สะดุดตาถึงขีดสุด


เจ้าของอัครการค้า…เทพเศรษฐีสือไฉเสิน!


ฝูงชนทั้งลานเบิกตากว้าง เทพเศรษฐีชื่อก้องหล้าผู้นี้ วันนี้ก็มากับเขาด้วย ซ้ำฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อยืนข้างหลินสวิน!


สีหน้าของคนใหญ่คนโตอย่างจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ล้วนแปรเป็นมืดทะมึนไปไม่น้อย พวกเขาคิดไม่ถึงว่าวันนี้ไม่เพียงหนิงปู้กุยที่ปรากฏกายมาเท่านั้น เทพเศรษฐีก็โผล่มาอีกคน


“น้องสือ รีบมานั่งเร็ว อยากหาตัวเทพเศรษฐีอย่างเจ้านั้นไม่ง่ายเลย เราสองคนมาพูดคุยกันเสียหน่อย”


หนิงปู้กุยเอ่ยปากพลางยิ้มตาหยี


เทพเศรษฐีพลันระเบิดหัวเราะ และไม่เกรงใจอีก เรือนร่างดั่งภูเขามหึมาก็หย่อนก้นนั่งลงข้างๆ


และในเวลานี้เอง ฝูงชนเพิ่งจะได้เห็นสืออวี่ที่ตามติดอยู่ด้านหลังเทพเศรษฐี เหตุที่เมื่อครู่ไม่ถูกสังเกต ก็เป็นเพราะรูปร่างของเทพเศรษฐีนั้นอ้วนท้วนมหึมามากเกินไปจริงๆ คล้ายกับเนินเขาลูกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น…


ผู้คนไม่น้อยต่างขบคิด รู้ว่าสืออวี่ หนิงเหมิงและหลินสวินเป็นเพื่อนกัน วันนี้หนิงปู้กุยและเทพเศรษฐีปรากฏตัว คิดดูแล้วจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนอย่างแน่นอน


สถานการณ์เริ่มจะไม่ชอบมาพากลแล้ว


บางคนเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน และบางคนก็อยากปกป้องหลินสวิน แค่การหลอมอาวุธฉากหนึ่งเท่านั้น แต่กลับก่อให้เกิดลมมรสุมอันไร้สุ้มเสียง และคลื่นใต้น้ำพลุ่งพล่านได้!


“ปีนั้นท่านเต้าเฉินเป็นวีรบุรุษกล้าก้องปฐพี ได้รับการชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วนในจักรวรรดิ พวกข้าก็เลื่อมใสไม่สิ้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าลูกหลานของเขากลับน่าเหลือทนเช่นนี้ ก่อวีรกรรมชั่วร้ายที่สร้างความขุ่นเคืองไม่พอใจในวงกว้างจำนวนมาก หากไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน รังแต่จะแปดเปื้อนชื่อเสียงอันทรงเกียรติของท่านเต้าเฉิน กลายเป็นความอับอายของตระกูลหลิน”


จ้าวจั้นเย่เอ่ยปากด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ต่อให้หนิงปู้กุยและเทพเศรษฐีมาเยือน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความประสงค์ของเขาได้


“อะไรที่เรียกว่าสร้างความขุ่นเคืองไม่พอใจในวงกว้าง ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่านับตั้งแต่เจ้าหนูหลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม ก็มีคนบางกลุ่มแอบพุ่งเป้าและกดดันเขาอย่างลับๆ?”


“ข้าว่า เหมือนมีคนไม่อยากให้สายเลือดของท่านเต้าเฉินรอดชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”


มีเงาร่างสองสายปรากฏกายขึ้นกลางลานอีกครั้งพร้อมเสียงการสนทนา คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนหนวดเคราสีดำสนิท ย่างก้าวทรงพลังยิ่งใหญ่ หน้าผากกว้าง พลังอำนาจสะท้านฟ้า


ส่วนอีกคนเป็นชายชราตัวเตี้ยร่างผอมไว้เคราะแพะ แย้มยิ้มตาหยี เห็นชัดว่าอ่อนโยนเป็นมิตร ปราศจากความน่าเกรงขามให้บรรยาย


ทว่าตอนที่ทั้งสองคนนี้ปรากฏตัว ทั่วลานก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกระลอก รู้สึกฉงนสงสัยไม่ขาด


เนื่องจากชายกลางคนหนวดเคราดำเข้มนั้นเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ที่กุมอำนาจแห่งทะเลตะวันออก… ราชันแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียน!


ส่วนชายชราไว้เคราแพะอีกคนก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลตุ๊กตาล้มลุก ตระกูลกง…กงปู้พั่ว!


คนหนุ่มสาวบางทีอาจจะไม่ค่อยรู้ลึกถึงชื่อเสียงของพวกเขานัก ทว่าสำหรับคนใหญ่คนโตที่อยู่ในลานเหล่านั้นแล้ว สองคนนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลร้ายกาจที่พาให้ผู้คนสะพรึงกลัว มีชื่อเสียงมานานหลายปี เป็นระดับเพชรยอดมงกุฎ


ข้างกายของเย่ฉิงเทียนและกงปู้พั่วยังมีเย่เสี่ยวชีและกงหมิงตามติดมาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย


มาถึงจุดนี้ทุกคนต่างมองออก ไม่ว่าจะเป็นราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีสือไฉเสิน หรือว่าราชันแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียนกับกงปู้พั่ว ต่างมาเพื่อปกป้องหลินสวิน!


สิ่งนี้ทำให้ผู้คนอดตกตะลึงไม่ได้ ตระหนักว่าสถานการณ์มีความละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อยๆ แฝงเร้นด้วยการขัดแย้งซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพุ่งโจมตีใส่กัน


แม้แต่พวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ ในเวลานี้ต่างขมวดคิ้ว รู้สึกถึงอุปสรรคขวากหนามอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่การต่อกรกับเศษสวะอย่างหลินสวินคนเดียว จะดึงดูดบุคคลร้ายกาจมาตั้งมากมายขนาดนี้


“การหลอมอาวุธเพิ่งเริ่มเท่านั้น ท่านทั้งหลายไยต้องโต้เถียงกันเยี่ยงนี้ รอชมกันอย่างสงบเถิด เจ้าหนูอายุสิบหกปีคนหนึ่ง กลับคิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ เรื่องแบบนี้หาได้ยากตั้งแต่โบราณกาล”


ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดและเงียบสงัด เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ กลับเห็นชายวัยกลางคนที่ดวงหน้าดั่งคมมีด สวมชุดคลุมสีเทา มีความเด็ดเดี่ยวหักหาญผู้คนที่ไม่รู้ว่าปรากฏกายขึ้นในลานตั้งแต่เมื่อไร


เขาดูคล้ายไม่สะดุดตา ทว่าคนทั้งหมดต่างคล้ายเกิดภาพมายาบางอย่าง รู้สึกราวกับว่าภายในเรือนร่างซูบผอมของเขาซ่อนภูเขาไฟไว้ลูกหนึ่ง ที่พร้อมจะปะทุออกมาและหลอมละลายปฐพีได้ทุกเมื่อ


บัดนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ หรือฝั่งหนิงปู้กุย เทพเศรษฐี หรืออาจพูดได้ว่าชั่วขณะนี้ บรรดาบุคคลสำคัญทั่วลานต่างหยัดตัวลุกขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่กล้านั่งอยู่ตรงนั้น


นี่ก็คือพลังอำนาจอย่างหนึ่ง!


พลังอำนาจที่เป็นของ ‘เจิ้นไห่อ๋อง’ จ้าวจิ่วเซียวผู้เดียวเท่านั้น!


——


ตอนที่ 498 ถกเถียงถึงผลลัพธ์

โดย

ProjectZyphon

ทันทีที่เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวปรากฏตัวขึ้น ก็ทำให้บุคคลสำคัญในลานต่างหยัดกายลุกไปต้อนรับ พลังอำนาจนั้นประดุจสุริยันจันทราสาดส่องใต้หล้า ทำให้ทั้งลานล้วนสั่นสะเทือน


ถึงตอนนี้ข้อพิพาทในลานถูกสยบลงอย่างไร้สุ้มเสียง


สีหน้าพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอต่างดูมีท่าทีผ่อนคลาย เนื่องจากจ้าวจิ่วเซียวก็มาจากราชวงศ์เช่นเดียวกัน นั่นเท่ากับว่าอยู่ฝ่ายเดียวกันกับพวกเขา


ส่วนพวกราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยและเทพเศรษฐีต่างมุ่นคิ้ว นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ


ต่อมาก็มีคนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งมาเยือนอีกไม่ขาดสาย อาทิเช่นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง และตระกูลฉือเป็นต้น


ครั้นพวกเขามาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ เนื่องจากตอนนี้ต่างรู้ดีว่า ในตอนแรกหลินสวินก็เคยล่วงเกินตระกูลเหล่านี้ ศัตรูของศัตรูก็คือสหายของตน พวกจ้าวจั้นเย่ย่อมไม่อาจพลาดโอกาสที่จะดึง ‘สหาย’ ระดับนี้มาเข้าพวกด้วยอยู่แล้ว


สำหรับเรื่องนี้ ฝั่งของหนิงปู้กุยและเทพเศรษฐียังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำตามเดิม เพียงแต่ใครต่างก็พอมองออกว่าหากพวกเขาคิดจะปกป้องหลินสวินเอาไว้ แรงต้านทานรังแต่จะมากขึ้นทุกที


อันที่จริงเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ ก็แทบจะเกินความคาดหมายของผู้คนส่วนใหญ่ในลานโดยสิ้นเชิง


เนื่องจากหลินสวินเพิ่งจะเริ่มหลอมอาวุธวันแรก ต่อให้ทุกคนต่างคิดว่าความหวังที่จะประสบความสำเร็จในคราวนี้แสนริบหรี่ยิ่ง ทว่าผู้ใดก็ไม่กล้าฟันธงว่าหลินสวินจะล้มเหลวอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน!


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บรรดาคนใหญ่คนโตอย่างพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้กลับเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจ หมายจะพุ่งเป้ากำราบหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าผิดปกติมาก


พวกเขาไม่กังวลใจว่าพอหลินสวินประสบความสำเร็จแล้วจะทำให้พวกเขาต้องตกที่นั่งลำบากหรือ


หรือกล่าวอีกนัยคือพวกเขามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าการหลอมอาวุธครั้งนี้ของหลินสวินจะต้องลงเอยด้วยความล้มเหลวอย่างแน่นอน?


สิ่งนี้ไม่อาจไม่ทำให้ผู้คนตกตะลึง หากเป็นอย่างกรณีที่สองจริงๆ เช่นนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าครั้งนี้พวกจ้าวจั้นเย่มาแบบมีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว!


และนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีต่างเป็นกังวลใจกันอยู่ พวกจ้าวจั้นเย่มั่นใจเกินไป มีท่าทางเหมือนกำชัยชนะ หากหลินสวินล้มเหลวขึ้นมา เช่นนั้นผลที่ตามมาก็อาจร้ายแรงยิ่งยวด


‘ปรมาจารย์เสิ่นทั่ว ท่านคิดว่าครั้งนี้หลินสวินมีความมั่นใจมากเท่าใด’


เทพเศรษฐีสื่อจิตกับเสิ่นทั่ว


‘เอ่อ…ข้าก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้เหมือนกัน’


เสิ่นทั่วยิ้มเจื่อนในทันที เป็นคำถามนี้อีกแล้ว จะให้เขากล้าตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจได้อย่างไรเล่า


‘ดูเหมือนสถานการณ์ออกจะไม่ชอบมาพลกล’


เทพเศรษฐีพึมพำกับตัวเอง


‘ดูไปเรื่อยๆ เถิด จากที่ข้ารู้มา หากคิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสักชุก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ครั้งนี้แม้ว่าข้าต้องเสียค่าตอบแทนสูง ก็ต้องปกป้องต้นกล้าต้นเดียวที่ท่านเต้าเฉินเหลือทิ้งไว้ให้จงได้!’


ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยกล่าวเสียงชัด ท่วงท่าเด็ดเดี่ยว


แน่นอน เขาสื่อจิตกับพวกสือไฉเสิน เย่ฉิงเทียน กงปู้พั่ว ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกผู้อื่นได้ยินเข้า


ส่วนอีกด้านหนึ่ง จ้าวจั้นเย่ก็กำลังสื่อจิตอยู่เช่นกัน ‘ครั้งนี้พวกเราระดมพลกันมาก็ได้รับความสนใจจากทั่วทิศ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องอยู่ที่พวกเรา ข้าไม่หวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีก’


ฉู่ซานเหอพลันหัวเราะน้อยๆ ทันควัน ท่าทีเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ‘พี่จ้าววางใจเถิด ต่อให้เจ้าเด็กนี่มีความสามารถในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ก็ต้องพ่ายแพ้อยู่วันยังค่ำ!’


จ้าวจั้นเย่เหลือบมองฉู่ซานเหอปราดหนึ่ง พยักหน้ากล่าว ‘เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินนี่มีฐานะพิเศษ ไม่อาจปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นมาได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะเป็นผลร้ายต่อจักรวรรดิของเราอย่างแน่นอน!’


……


เวลาเคลื่อนคล้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวันกว่าวัน


ในหอหลอมวิญญาณชั้นเก้า เตาหลอมส่งเสียงคำรามสนั่นไม่ขาดสาย แผ่คลื่นกระเพื่อมออกไปเป็นระยะๆ บางครั้งก็มองเห็นแสงหลายหลาก เปล่งประกายพราวตา เปรียบดั่งสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรู ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก


ภาพนี้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาจำนวนมากกลางลานในช่วงหลายวันมานี้ ต่างถกเรื่องนี้กันไม่จบสิ้น แม้แต่ปรมาจารย์สลักวิญญาณบางท่านก็เข้ามาผสมโรง ดำเนินการวิเคราะห์และอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ด้วยเช่นกัน


“ท่านทั้งหลายดูเอาเถิด ภาพเบื้องหน้านี้คือขั้นตอนการหลอม คิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสักชิ้น การหลอมวัตถุดิบวิญญาณเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญยิ่งยวด เนื่องจากเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าวัตถุดิบวิญญาณแต่ละชนิดล้วนเรียกได้ว่าหาที่เปรียบมิได้ จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม หมายจะหลอมพวกมันเป็นหนึ่งเดียวกัน แปลงเป็นโครงอาวุธนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”


“ถูกต้อง ปรมาจารย์สลักวิญญาณจำนวนมากในประวัติศาสตร์ต่างล้มเหลวในขั้นตอนนี้กันทั้งนั้น สาเหตุก็อยู่ที่ไม่สามารถหลอมโครงอาวุธออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ”


บุคคลสำคัญหลายท่านรับฟังอย่างออกรสออกชาติ บางคนก็อดถามไม่ได้ “ปรมาจารย์ทุกท่านมองออกหรือไม่ว่า ครั้งนี้หลินสวินจะหลอมโครงอาวุธออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่”


“ดูจากรูปการณ์คล้ายว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ค่อยดูในช่วงถัดไปว่าเขาจะสามารถควบคุมขั้นตอนการหลอมได้หรือไม่ ลำพังแค่จุดนี้เพียงอย่างเดียว ความสามารถของหลินสวินก็เหนือกว่าการคาดคะเนของข้าไปเรียบร้อยแล้ว”


ผู้ที่เอ่ยคำคืออวี๋เป่ยโต้วปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์จากภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความประหลาดใจมากมาย และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการหลอมอาวุธในครั้งนี้ของหลินสวิน


อย่างไรเสียอิงจากคำพูดของอวี๋เป่ยโต้ว ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยอย่างหลินสวินสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่งและไม่ธรรมดาแล้ว


เพียงแต่ท่ามกลางเสียงร้องอุทานระลอกนี้ ฉู่ซานเหอกลับเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา “ฮ่าๆ ข้าไม่คิดว่าเป็นนเช่นนั้น หากข้าเดาไม่ผิด ขั้นตอนการหลอมนี้ของหลินสวินไม่มีทางหลอมโครงอาวุธที่สมบูรณ์แบบออกมาได้แน่”


สิ่งนี้ทำให้ทั่วลานรู้สึกประหลาดใจ ฉู่ซานเหอมาจากตระกูลฉู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ ทั้งยังมีฐานะเป็นรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์คนหนึ่ง ยามนี้เขากล้าแสดงท่าทีชัดเจนเพียงนี้ หรือว่าจะเห็นร่องรอยบางอย่างเข้าให้แล้ว


“เจ้าแก่คนนี้ปากเสียได้ที่จริงๆ!”


หนิงเหมิงฮึดฮัด


“ครั้งก่อนหลินสวินซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินี ทำให้เจ้าแก่นี่อับอายยับเยิน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาย่อมต้องการให้การหลอมครั้งนี้ของหลินสวินล้มเหลวอย่างแน่นอน”


สืออวี่มุ่นคิ้วพลางเอ่ย


“เจ้าแก่พรรค์นี้ขาดการเก็บกวาด ตอนนั้นทั้งสาขาสลักวิญญาณก็หาคนมาซ่อมกระบี่เบิกฟ้าไม่ได้สักคน มีแค่หลินสวินที่ทำได้ เท่ากับเป็นการช่วยงานใหญ่ให้เขาครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขากลับไม่รู้จักซาบซึ้ง ยังร่วมมือกับคนอื่นๆ จงใจพุ่งเป้าและกดดันหลินสวิน ช่างเป็นเรื่องน่ารังเกียจจริงๆ!”


เย่เสี่ยวชีมีสีหน้าอึมครึม


“พี่ฉู่ ไม่รู้ที่ท่านพูดมามีหลักฐานหรือไม่”


แม้แต่เสิ่นทั่วก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้ว จึงเอ่ยวาจาไถ่ถามฉู่ซานเหอ


“เฮอะ ในเมื่อข้ากล้าพูดขนาดนี้ย่อมต้องสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างอยู่แล้ว หากเจ้าไม่เชื่อแค่รอดูก็สิ้นเรื่อง”


ฉู่ซานเหอแค่นเสียงเย็น คร้านจะอธิบาย


เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยี่หระ มั่นใจในตัวเองหาใดเปรียบ ทำให้ผู้คนในลานอดสงสัยไม่ได้ การหลอมอาวุธครั้งนี้ของหลินสวินจะล้มเหลวในขั้นตอนการหลอมโครงอาวุธกระนั้นหรือ


นี่มันออกจะทะแม่งๆ แล้วนะ!


ตูม!


ราวกับตอบรับคำพูดของฉู่ซานเหอ ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณพลันเกิดเสียงปะทุคล้ายกับการระเบิดดังขึ้น


ทันใดนั้นแสงทั่วฟ้ามัวหม่นลง รุ้งศักดิ์สิทธิ์ขาดวิ่นเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝนแสงแตกพลิ้วลอย ไม่นานนักทั่วทั้งชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณก็จมสู่ความเงียบสงัด ไม่มีเสียงร้องคำรามของเตาหลอม และไม่มีภาพแสงเปล่งประกายหลายหลากแน่นขนัดแล้ว


ทั่วทั้งลานพลันสั่นสะท้าน เบิกตากว้าง


“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน จะล้มเหลวในขั้นตอนนี้จริงๆ หรือ”


หัวใจของเสิ่นทั่วสะท้านไหว สีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน แม้แต่เหล่าปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งยังเผยแววตกประหม่า ไม่อยากจะเชื่อ


จะล้มเหลวทั้งอย่างนี้หรือ


“ฮ่าๆ เมื่อกี้ข้าเพิ่งพูดว่าอย่างไรไปล่ะ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นจริงดังว่าทันทีทันใดหรือ” ฉู่ซานเหอหัวเราะลั่น “ข้าบอกแต่แรกแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินนี่ไม่ได้มีศักยภาพในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณเลยสักนิดเดียว!”


ทั่วลานเริ่มชำเลืองมองกันแล้วเริ่มถกเถียง คนจำนวนไม่น้อยต่างกำลังนึกเสียดาย และบางคนก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น หัวเราะเยาะไม่จบสิ้น


สีหน้าของพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีล้วนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แม้ต่างรู้ว่าความหวังในการประสบความสำเร็จครั้งนี้ของหลินสวินแสนริบหรี่ ทว่าพวกเขาก็ยังไม่อาจเชื่อได้อยู่ดี เพิ่งอยู่ในขั้นตอนการหลอมเท่านั้น หลินสวินก็ล้มเหลวเสียแล้ว


“เอาล่ะ ไปเชิญบุคคลสำคัญทั้งหลายมาเถอะ เด็กนี่ประสบความล้มเหลวแล้ว ก็ควรชำระบัญชีเก่าที่ด่างพร้อยเหล่านั้นกับเขาได้เสียที!”


ฉู่ซานเหอมีท่าทีแห่งผู้กำชัย เอ่ยเสียงบัญชา


หลายวันมานี้มีบุคคลสำคัญบางคนจากไป และบางคนก็มาเยือน จากสถานะของพวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะตรากตรำเฝ้ารออยู่ที่นี่


อย่างเช่นเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว และจ้าวจั้นเย่รองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถี ต่างจากไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน


บรรยากาศในลานเงียบสงัดไปชั่วขณะ หลินสวินล้มเหลวแล้ว?


พวกหนิงเหมิง สืออวี่ต่างไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ แต่สำหรับบุคคลสำคัญเหล่านั้นที่เป็นปฏิปักษ์กับหลินสวิน นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


เพียงแค่รอให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นกลับมาที่นี่อีกครั้ง หลินสวินก็ต้องเจอหายนะแน่!


สีหน้าของเสิ่นทั่วก็พลอยเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ปากพึมพำ “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร…จากศักยภาพของเขา…การหลอมโครงอาวุธไม่มีทางหยุดเขาได้เลยสักนิด… หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นหรือ…”


ไม่นานนักเหล่าบุคคลสำคัญอย่างจ้าวจิ่วเซียว จ้าวจั้นเย่ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ต่างก็ทยอยมาถึง ทำให้บรรยากาศในลานยิ่งเปลี่ยนเร้นลับมากกว่าเก่า


“เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยว่าจะล้มเหลวแล้ว”


เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวถอนหายใจยาว ท่าทางของเขายากมองออกมากที่สุด คล้ายกับมาเพื่อดูการหลอมอาวุธอย่างเดียวโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง


ทว่าขอเพียงคิดถึงฐานะของเขาก็จะรู้ว่า ในฐานะบุคคลสำคัญของราชวงศ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะลำเอียงเข้าข้างหลินสวิน


พวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอสีหน้าผุดรอยยิ้มบาง ผลลัพธ์นี้ทำให้พวกเขาโล่งใจอย่างสิ้นเชิง ต่อไปก็เหลือแค่คิดว่าจะจัดการหลินสวินอย่างไรแล้ว


“หลินสวิน ในเมื่อล้มเหลวแล้วก็รีบออกมาเผชิญหน้าความจริงเสียเถอะ!”


ฉู่ซานเหอตะโกนลั่น เสียงดุจอสนีบาต กึกก้องทั่วฟ้าดิน


“เจ้าแก่สมควรตายนี่! อยากจัดการหลินสวินจนทนรอไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ!?”


หนิงเหมิงโกรธจัด


พวกสืออวี่ต่างขมวดคิ้ว ในใจเป็นกังวล ยามนี้เป็นผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้หากคิดจะปกป้องหลินสวิน คงต้องเจอมรสุมไม่หยุดหย่อน เต็มไปด้วยความลำบากสาหัสสากรรจ์เป็นแน่


จากท่าทีของพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอก็พอมองออก พวกเขาไม่มีทางปล่อยโอกาสจัดการหลินสวินครั้งนี้ไปเด็ดขาด!


ทันใดนั้นบรรยากาศรอบลานตึงเครียดถึงขีดสุด ทุกคนต่างคาดเดาได้ว่าลมมรสุมที่พุ่งเป้าถล่มหลินสวินกำลังจะมาเยือนแล้ว!


นับตั้งแต่เขาเข้าสู่นครต้องห้ามเป็นต้นมา ได้ล่วงเกินขุมอำนาจใหญ่ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร อาทิตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉิน ตระกูลฉู่ ราชวงศ์จักรวรรดิ…


และวันนี้ พลังของขุมอำนาจเหล่านี้แทบจะรวมกันอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าจะร่วมมือกันชำระบัญชีกับหลินสวิน!


หลินสวินใกล้จบสิ้นแล้ว…


นี่คือลางสังหรณ์ของทุกคนในลาน แม้ว่าพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีจะขัดขวาง ก็กลัวแต่ว่าจะไม่สามารถปกป้องเขาเอาไว้ได้!


“หลินสวิน เจ้ากลัวแล้วหรือ หากไม่ออกมาอีก ก็อย่างโทษข้าที่ส่งคนไป ‘เชิญ’ เจ้าออกมาแล้วกัน!”


ฉู่ซานเหอตะโกนลั่น สีหน้าเย็นยะเยือก คำว่า ‘เชิญ’ ถูกเขาเค้นออกมาเต็มแรง เต็มไปด้วยกลิ่นอายข่มขู่


“น่ารังเกียจ!”


พวกหนิงเหมิง สืออวี่ต่างลอบกัดฟันกรอด ฉู่ซานเหอรังแกผู้อื่นเกินไปชัดๆ!


ผู้คนต่างมองหน้าสบสายตากัน ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงขัดขวางการกระทำเช่นนี้ของฉู่ซานเหอ


และท่ามกลางบรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวาน คลื่นลมมรสุมคุกรุ่นนี้ เสียงสงบราบเรียบของหลินสวินพลันดังขึ้นกลางลาน


“เจ้าเฒ่าเลือดร้อน ตะโกนโหวกเหวกอะไร ใครบอกเจ้าว่าข้าล้มเหลวแล้ว”


…………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)