Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 493-496
ตอนที่ 493 จากไปอย่างผ่าเผย
โดย
ProjectZyphon
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก นับตั้งแต่หลินสวินทำการโต้กลับ จนถึงฉีอวี้ถูกกำราบอยู่บนพื้น เกือบจะจบลงในชั่วพริบตาเดียว
ผู้ฝึกปราณบางคนยังตอบสนองไม่ทัน รู้สึกเพียงว่าตาลาย ฉีอวี้ที่แต่เดิมมีพลังเขย่าสวรรค์ ทรงอำนาจดั่งเทพเซียนกลับคุกเข่าลงกับพื้น!
พวกเขาเบิกตากว้าง ท่าทางนิ่งอึ้ง ต่างไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ทายาทสายตรงของตระกูลฉีตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะแห่งสาขายอดยุทธศาสตร์คนหนึ่ง ยังไม่ทันปลดปล่อยความทรงพลัง ก็คุกเข่าลงทั้งอย่างนี้แล้ว?
ภาพนี้น่าสะท้านมากเกินไป หากฉีอวี้ถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในระดับหยั่งสัจจะกำราบ บางทีอาจยังพอเข้าใจได้ ทว่าเขาในตอนนี้กลับพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น!
อีกทั้งไม่มีการชิงชัยที่ดุเดือด ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกกำราบเอาไว้ได้ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ทอดสายตาไปทั่วหล้า นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ล้วนหาตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันไม่เจอ!
ด้วยอย่างไรนี่ก็เป็นความแตกต่างถึงหนึ่งระดับใหญ่ ผู้อ่อนด้อยเอาชนะความแข็งแกร่ง ใช้ความแข็งแกร่งของพลังแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณต้านทานผู้ที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะ!
หากไม่ได้เห็นสิ่งนี้กับตาตัวเอง เกรงว่าไม่ว่าใครต่างไม่กล้าเชื่อทั้งนั้น
องค์หญิงหลิงหวงก็อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเบิกโต ริมฝีปากแดงชุ่มอ้าขึ้นน้อยๆ เบิกตาอ้าปากค้างราวกับถูกสายฟ้าฟาด
นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกันว่าฉีอวี้จะพ่ายแพ้ด้วยวิธีเช่นนี้ นี่มันน่าอับอายเกินไปจริงๆ ระดับหยั่งสัจจะถูกระดับมหาสมุทรวิญญาณสยบจนคุกเข่าลงกับพื้น หากแพร่ออกไปละก็ ชื่อเสียงคงถูกลิขิตให้ย่อยยับในคราวเดียว กลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน!
อาภรณ์ขาวของกู้อวิ๋นถิงปลิวไสว ท่วงท่าเป็นเอกลักษณ์ รอบกายมีพลังลึกลับโคจรรายล้อม เมื่อครู่เขาเพิ่งข้ามด่านเคราะห์เลื่อนสู่ระดับหยั่งสัจจะ เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง เดิมทีมองว่าตนเป็นพญาอินทรีและเห็นหลินสวินเป็นมด ถูกลิขิตให้เป็นผู้ที่อยู่คนละโลกกัน อังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นหลินสวินอยู่ในสายตาเลย
ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่า เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ปีนขึ้นยอดภูผาบันไดสวรรค์พร้อมกับตนคนนี้ มีพลังต่อสู้ที่เรียกได้ว่าพลิกฟ้า สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายและตกตะลึงเช่นกัน ไม่อาจรักษาความเฉยเมยและแยกตัวโดดเดี่ยวอย่างก่อนหน้านี้เอาไว้ได้
หากพวกเขารู้ว่าก่อนหน้านี้ยามหลินสวินอยู่แดนวิญญาณโบราณ ก็ได้สังหารมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะมากกว่าหนึ่งคนไปแล้ว คงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้
หลินสวินในตอนนั้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดยังไม่ก่อตัวสมบูรณ์ แต่เขาในตอนนี้ ทั้งด้านพลังปราณ จิตวิญญาณ และร่างกายล้วนแต่ก้าวไปอยู่ในระดับสมบูรณ์แล้ว!
ในเวลานี้เพื่อต่อกรกับฉีอวี้ หลินสวินใช้พลังทั้งหมดออกมาขณะที่อีกฝ่ายเผอเรอ ในระหว่างที่ไม่ทันตั้งตัว ฉีอวี้จึงไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ถึงอย่างไรตั้งแต่เริ่มฉีอวี้เองก็คงคิดไม่ถึง ว่าผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งอย่างหลินสวินจะดุดันถึงเพียงนี้
“อ๊าก…”
ฉีอวี้คำรามด้วยความโกรธ ดวงตาแทบถลน ใบหน้าเขียวคล้ำบิดเบี้ยว พยายามดิ้นรนหยัดตัวขึ้น
เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ แม้บุพูดไม่ได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองของรุ่น แต่ก็นับเป็นผู้กล้าโดดเด่นในสายตาผู้คนคนหนึ่ง ไหนเลยจะเคยพานพบความอัปยศใหญ่หลวงถึงเพียงนี้
ถูกเด็กหนุ่มในระดับมหาสุมทรวิญญาณกำราบจนคุกเข่ากับพื้นเชียวนะ นี่มันทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก ทำให้เขาโกรธจนจัดจนแทบคลั่ง
“คุกเข่าสำนึกเสียโดยดี!”
เสียงเพียะดังขึ้น มือขวาของหลินสวินกดกระหม่อมฉีอวี้เอาไว้ มือซ้ายตบเข้าที่ไหล่ฉีอวี้หนึ่งฉาด เล่นเอาฉีอวี้เกร็งไปทั้งตัว ไม่อาจสำแดงพลังออกมาได้
เห็นหลินสวินไม่เกรงใจเพียงนี้ ฝูงชนใกล้เคียงก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ เจ้าหมอนี่เหี้ยมโหดจริงๆ!
ด้านฉีอวี้คับแค้นอับอายเหลือล้น อัดอั้นเจียนจะบ้า เขาผู้เป็นศิษย์สาขายอดยุทธศาสตร์ ผู้กล้าในระดับหยั่งสัจจะ แม้แต่อาจารย์ทั่วไปเห็นเขายังต้องเคารพสามส่วน
ทว่าตอนนี้กลับถูกหลินสวินกดกำราบให้คุกเข่ากับพื้น ความอัปยศเช่นนี้ทำให้เขาแค้นจนดวงตาเปี่ยมโลหิต สีหน้าบิดเบี้ยว ไม่มีมาดสง่าผ่าเผยอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนเมื่อครู่นี้อีก
“หลินสวิน ถ้ากล้าเจ้าก็สังหารข้าเสีย มิเช่นนั้นวันหน้าข้าจะฉีกเส้นเอ็นถลกหนัง บดกระดูกเจ้าให้เป็นเถ้าถ่าน ไม่ให้เจ้าตายดีไปชั่วกัปชั่วกัลป์!”
เสียงของฉีอวี้คล้ายกับเค้นออกมาจากทรวงอก เผยให้เห็นความเกลียดชังและไอสังหารไร้สิ้นสุด
ฝูงชนหนาวสั่นไปทั่วร่าง พวกเขาเชื่อมั่นว่าในเมื่อฉีอวี้กล่าวเช่นนี้ ย่อมกล้าทำเช่นนี้อย่างแน่นอน มองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียะ!
หลินสวินตบแก้มฉีอวี้หนึ่งฉาด เสียงดังกังวาน ทิ้งรอยประทับห้านิ้วที่บวมแดงเอาไว้ ทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นต่างรู้สึกลนลานไปด้วย
“ในฐานะศิษย์ เจ้าเหยียบย่ำกฎระเบียบสำนักศึกษา ไม่เคารพผู้อาวุโส ตอนนี้ให้เจ้าคุกเข่าสำนึกผิด เจ้ากลับไม่รู้จักสำนึก ยังกล้าทำตัวอันธพาล คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า”
ในเวลานี้หลินสวินมีท่าทางเคร่งขรึม ดูเถรตรงน่าเกรงขาม นัยน์ตาดำลุ่มลึกเย็นเยียบ ไอสังหารพวยพุ่ง ไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย
ถูกกำราบให้คุกเข่า ทั้งยังโดนตบเสียงดังฟังชัด ทำให้ฉีอวี้ทึ่มทื่อไปอยู่บ้าง ไม่กล้าคิดเลยว่าบนโลกใบนี้ถึงขั้นมีคนกล้าทำเช่นนี้กับตน เขาไม่กลัวตายจริงๆ หรือ
ไม่เพียงแต่ฉีอวี้ คนอื่นๆ ในละแวกนั้นก็ยังตกประหม่า ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลินสวินถึงได้กล้าบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า เจ้าหมอนี่เดิมทีก็เป็นพวกขวางโลก บ้าบิ่นไร้ยางอายคนหนึ่งนี่เอง!
ฉีอวี้เพิ่งคิดจะโพล่งประโยครุนแรง ทว่าตอนที่สบตากับหลินสวิน ในใจพลันหนาวเยือกขึ้นมา
เขารับรู้ได้อย่างแรงกล้า ว่าหากตนยังคงดิ้นรนขัดขืนอีก เจ้าคนตรงหน้าคนนี้จะต้องฆ่าตนโดยไม่ลังเลสักนิดเป็นแน่!
สิ่งนี้ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงถึงชีวิตได้ชัดเจนเพียงนี้
“หลินสวิน เจ้าอย่าได้กำเริบเกินไปนัก ให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ปล่อยฉีอวี้เสียตอนนี้ มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าจะมีความสามารถพลิกฟ้าแค่ไหน วันนี้ก็ต้องวินาศ!”
องค์หญิงหลิงหวงสีหน้าเยียบเย็น แผ่ความน่ายำเกรงกดทับผู้คนออกมา
ทุกคนต่างสะท้านไปทั้งใจ องค์หญิงหลิงหวงสง่างามโดดเด่น แม้แต่น้ำเสียงยังไพเราะเสนาะหู ทว่าคำพูดของนางในตอนนี้กลับเผยแววเข่นฆ่า เปี่ยมด้วยการข่มขู่ ทำให้ผู้คนใจสะท้าน
ไม่มีใครกล้าสงสัย เพราะนี่เป็นถึงธิดาองค์เล็กของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สถานะดั่งจันทร์กระจ่างบนเวิ้งนภา สูงส่งจนไม่อาจบรรยายได้ เพียงประโยคเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นตายของคนได้!
กลับเห็นหลินสวินไม่ไหวติง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย เจ้ากลับมาขู่ข้าก่อน คิดว่าตัวเองเป็นทายาทราชวงศ์แล้วจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปได้จริงหรือ จำไว้ ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต สถานะของเจ้าก็เป็นแค่ศิษย์คนหนึ่ง หากกล้าทำตัวอันธพาล ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร”
เฮือก!
ทั้งสนามสูดหายใจเย็นเยียบ อะไรที่เรียกว่ากำเริบเสิบสาน ไม่สนใจสิ่งใด? ก็นี่อย่างไรเล่า!
ดุด่าไข่มุกกลางฝ่ามือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเช่นนี้ เกรงว่ามีแค่หลินสวินคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำ
“นี่เจ้ากำลังยั่วโมโหข้าหรือ”
องค์หญิงหลิงหวงเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง เห็นชัดว่าโกรธอย่างสิ้นเชิงแล้ว ด้วยฐานะของนาง ต่อให้ผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลมาก็ยังไม่กล้าสั่งสอนนาง แต่หลินสวินกลับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของนางอย่างใหญ่หลวงชัดๆ
“คงไม่เรียกว่ายั่วโมโหหรอก เพียงแต่อยากจะบอกเจ้าว่า ตอนที่ข้ากำราบหลิงเทียนโหว จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็ไม่เคยขัดขวาง หากเจ้าอยากซ้ำรอยเดิมของหลิงเทียนโหวจริงๆ วันนี้ข้าสามารถทำให้เจ้าสมปรารถนาได้”
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ เขายืนอยู่ตรงนั้น เรือนผมดำแผ่สยาย เงาร่างสูงโปร่งสง่างาม มือข้างหนึ่งกดอยู่บนกระหม่อมฉีอวี้ สอดคล้องกับคำพูดที่กล่าวออกมาเวลานี้ มีความทรงอำนาจที่เย้ยหยันใต้หล้าอย่างหนึ่ง
ฝูงชนต่างประหลาดใจ ทว่าในใจก็ไม่อาจไม่ยอมรับ แม้หลินสวินจะโอหังและบ้าดีเดือดแค่ไหน แต่ความกล้าหาญและจิตใจที่แสดงออกมาในยามนี้น้อยคนมากจะทัดเทียมได้
“เจ้า…!”
องค์หญิงหลิงหวงกัดฟันกรอด โกรธจนตาแทบลุกเป็นไฟ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบเจอคนบ้าดีเดือดขนาดนี้อย่างหลินสวินข ช่างต่ำทรามยิ่งนัก ควรได้รับโทษตายเป็นหมื่นครั้ง!
“เจ้าหนุ่ม ต่างฝายต่างถอยคนละก้าว แล้วหยุดเพียงเท่านี้เถอะ”
และเวลานี้เองในหอกิจวิญญาณที่อยู่ไม่ห่าง ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาพลางเอ่ยเสียงขรึม
นี่เป็นผู้อาวุโสซึ่งได้รับการเรียกขายอย่างเคารพว่า ‘ผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์’ สถานะไม่ธรรมดา เป็นนผู้ดูแลหอกิจวิญญาณเรื่อยมา ที่มายากหยั่งถึง พลังอำนาจดั่งชลาสินธุ์ ไม่อาจอนุมานได้
“ไม่ได้!”
องค์หญิงหลิงหวงเอ่ยปากอย่างเด็ดเดี่ยว
“ข้าก็ไม่เห็นด้วย”
หลินสวินตัดสินใจจะแตกหักแล้ว ไหนเลยจะยอมถอยให้ “ข้าก็แค่ไม่เต็มใจสละเขาวัวขุยเท่านั้น ก็ถูกศิษย์พวกนี้ยั่วโมโหให้อดสูไม่หยุดหย่อน หนำซ้ำยังกล้าลงมือกับข้าอีก! ควรรู้ว่าข้าเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ พวกเขายังกล้าทำขนาดนี้ นี่มันไร้ขื่อไร้แปชัดๆ เห็นกฎระเบียบสำนักศึกษามฤคมรกตไร้ความหมาย!”
คำพูดรุนแรง ดังสนั่นกึกก้อง สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ทั่วลานสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าหลินสวินทำเช่นนี้ เพราะเห็นชัดว่าไม่อาจลอมชอมได้ คิดจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างสมบูรณ์
แน่นอน หลินสวินก็คิดจะทำเช่นนี้จริงๆ ไม่ก่อเรื่องไม่ได้แล้ว ล่วงเกินไปแล้ว เขาก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งใหญ่ขึ้น ให้ดีคือทำให้รู้กันทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกตไปเลย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
บริเวณไกลๆ เริ่มมีคนแตกตื่นตามๆ กัน รีบมุ่งหน้ามาทางนี้ไม่หยุด
เห็นดังนี้ผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ที่เดินออกมาจากหอกิจวิญญาณอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เมื่อครู่เขาอยู่ในโถงตลอด เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ย่อมรู้ดีถึงที่มาที่ไปของเรื่องเป็นธรรมดา
“หลินสวิน ข้าเชื่อว่าเรื่องในวันนี้สำนักศึกษาจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจแก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะรามือเสียตอนนี้ อย่าได้ก่อเรื่องต่อไปอีกเลย”
ผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์เปล่งเสียง ครั้งนี้เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นทรงพลังขึ้น มีพลังสั่นสะท้านที่กดข่มหัวใจผู้คนเอาไว้
ทั่วลานส่งเสียงฮือฮา รู้สึกเหนือความคาดหมาย เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ยืนอยู่ในสถานะเป็นกลาง ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างพวกองค์หญิงหลิงหวง!
ได้ฟังถ้อยคำนี้แล้ว สีหน้าองค์หญิงหลิงหวงเคร่งขรึมอีกครั้ง หัวเสียถึงขีดสุด หมายจะเอ่ยวาจาแต่กลับถูกกู้อวิ๋นถิงที่อยู่ด้านข้างห้ามไว้ก่อน เอ่ยว่า “ให้เป็นเช่นนี้ชั่วคราวเถอะ มีคนใหญ่คนโตมากมายจับจ้องที่นี่ ไม่เหมาะจะก่อเรื่องอีกต่อไป”
ดวงหน้างดงามขององค์หญิงหลิงหวงอึมครึม นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความโกรธ จดจ้องหลินสวินอยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งคราและไม่พูดมากความอีก
ส่วนทางฝั่งฉีอวี้ สีหน้าปั้นยากถึงขีดสุด คนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และจนถึงตอนนี้เขายังคงถูกกดลงกับพื้น สิ่งนี้ทำให้เขาอับอายจนแทบอยากปาดคอฆ่าตัวตายไปให้สิ้นเรื่อง
“หลินสวิน พอเท่านี้เถิด ในเมื่อผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ออกปากแล้ว เชื่อว่าคงจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เจ้าได้”
ทันใดนั้นข้างๆ หูหลินสวินก็มีเสียงของเสิ่นทั่วปรมาจารย์สลักวิญญาณแห่งสาขาสลักวิญญาณดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าเสิ่นทั่วเองก็รีบมาที่นี่ด้วยความแตกตื่นเช่นเดียวกัน
หลินสวินนิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นจึงประสานมือคารวะแล้วกล่าวกับผู้เฒ่าพยับเมฆินทร์ “ในเมื่อผู้อาวุโสออกปาก ผู้น้อยไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่ทำตาม เพียงแต่ผู้น้อยหวังว่าเรื่องในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก มิเช่นนั้นกฎระเบียบของสำนักศึกษามฤคมรกตของเราก็จะกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น”
กล่าวจบเขาก็หมุนกายจากไปทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบแทบไม่ได้มองพวกฉีอวี้ องค์หญิงหลิงหวง และกู้อวิ๋นถิงอีกเลยแม้แต่ปราดเดียว
“เจ้ารอข้าก่อนเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะซ่อนอยู่ในสำนักศึกษาได้ตลอดไป!”
องค์หญิงหลิงหวงโกรธจนตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
‘หลินสวิน หากข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ใช่คนแล้ว!’
ฉีอวี้คำรามอยู่ในใจเช่นกัน สายตาเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นและไอสังหาร
กู้อวิ๋นถิงมองดูหลินสวินจากไปด้วยท่าทีสันโดษเฉกเช่นเคย เพียงแต่ในดวงตากลับเจือแววเย็นยะเยือกอยู่รำไร
เรื่องในวันนี้ สำหรับทั้งสามคนแล้วล้วนเรียกได้ว่าเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดี พวกเขาจะไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนไว้เช่นนี้เป็นแน่!
——
ตอนที่ 494 ต่อต้านหลินสวิน
โดย
ProjectZyphon
“หลินสวิน เหตุใดเจ้าถึงไปหาเรื่ององค์หญิงหลิงหวงกับฉีอวี้อีกแล้ว สองคนนี้ภูมิหลังยิ่งใหญ่ ในสำนักศึกษามฤคมรกตมีเพียงไม่กี่คนที่กล้ายั่วโมโห”
“ไม่ใช่ข้าหาเรื่องพวกเขา พวกเขาต่างหากที่หาเรื่องข้าก่อน”
“เฮ้อ เจ้ายังเลือดร้อนนัก ล่วงเกินพวกเขาหนนี้ ผลที่ตามมาน่าเป็นห่วงนะ”
ระหว่างทางกลับสาขาสลักวิญญาณ เสิ่นทั่วถอนหายใจ ท่าทางดูเป็นกังวล เขาเองก็ตกตะลึงกับการกระทำเมื่อครู่ของหลินสวินเช่นกัน ไม่พูดถึงเรื่องกล้าสั่งสอนองค์หญิงหลิงหวง ยังลงมือสยบฉีอวี้ลงกับพื้น ความอาจหาญนี้ก็ช่างมากเกินไปแล้ว
หลินสวินกลับมีท่าทางผ่อนคลายอย่างไม่ยี่หระ กล่าวเนิบนาบ “ผู้อาวุโส ข้าเป็นฝ่ายถูกกระทำนะ ข้าไม่ได้ไล่บี้เอาผิดพวกเขาต่อก็เรียกได้ว่าใจกว้างแล้ว”
เสิ่นทั่วพลันยิ้มอย่างขมขื่น “โดยหลักการก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่า…เจ้าไม่กังวลว่าจะถูกพวกเขาแก้แค้นหรือ”
หลินสวินกล่าวพลางเลิกคิ้ว “พวกเขายังกล้าทำตัวอันธพาลในสำนักศึกษามฤคมรกตเชียวหรือ”
“แน่นอนว่าไม่กล้า แค่พูดขำๆ น่ะ ที่นี่เป็นถึงสำนักศึกษามฤคมรกต อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตของราชวงศ์มา ก็ไม่กล้ากระทำการอุกอาจหรอก”
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอก นับตั้งแต่ข้าหลินสวินเข้านครต้องห้ามมาจนป่านนี้ ล่วงเกินคนไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว อย่างมากก็แค่ล่วงเกินเพิ่มมาอีกไม่กี่คนเท่านั้น”
เห็นหลินสวินมีท่าทางปล่อยไปตามยถากรรมแล้ว เสิ่นทั่วก็หัวเราะอย่างขมขื่นอีกระลอก เขาเริ่มไม่เข้าใจหลินสวินแล้ว ช่างใจกล้าเหลือเกินจริงๆ คล้ายกับไม่รู้ว่าความหวาดกลัวคืออะไร
กระทั่งย้อนกลับสาขาสลักวิญญาณแล้ว ทั้งสองจึงเริ่มเจรจาธุระกัน เสิ่นทั่วบอกหลินสวินว่าเขาได้ระดมพลังเพื่อแลกเปลี่ยนวัตถุดิบวิญญาณที่หลินสวินต้องการมาทั้งหมดแล้ว ไม่พ้นสามวันก็จะสามารถรวบรวมวัตถุดิบวิญญาณทั้งหมดได้ครบครัน
หลังจากรับทราบเรื่องเหล่านี้แล้ว หลินสวินก็ตัดสินใจโดยพลัน รุดหน้าไปยังชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ เริ่มเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ!
……
และในวันนั้นเอง เรื่องที่หลินสวินกำราบฉีอวี้ ดุว่าองค์หญิงหลิงหวงก็แพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษามฤคมรกต ทำให้เกิดคลื่นโกลาหลระลอกใหญ่ขึ้น
ใครก็ไม่คาดคิดว่าหลินสวินจะไม่ยอมอยู่อย่างสงบเงียบได้ถึงเพียงนี้ เพิ่งหวนกลับสำนักศึกษาวันแรก เขาก็สร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่ลานแสดงยุทธ์สาขายุทธ์วิถี โจมตีผู้กล้าอย่างพวกหลันอวี่ จินจู๋หลิว เซวียอวิ้นให้แตกพ่าย
และในวันเดียวกันนั้น เขาก็ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ บดบังรัศมีของศิษย์สาขายุทธ์วิถีทั้งหมดไปสิ้น
ส่วนวันที่สองเขาดุว่าองค์หญิงหลิงหวง กดฉีอวี้ให้คุกเข่ากับพื้นท่ามกลางสายตาที่จดจ้องของฝูงชน ช่างเอาแต่ก่อเรื่องเอะอะได้จริงๆ เชียว
“เจ้าหลินสวินคนนี้ไม่กลัวตายจริงๆ หรือ”
นี่คือคำถามข้องใจของทุกคน ไม่อาจเข้าใจได้เลยสักนิดว่าเหตุใดเขาจึงกล้าอาละวาดได้ถึงเพียงนี้ คล้ายกับไม่รู้จักหวาดกลัวมาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ปาน
“ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดหลินสวินก็เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่น่าทึ่งคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีฝีมือโดดเด่นในวิถีสลักวิญญาณ แม้แต่ด้านการฝึกยุทธ์ก็ยังมีความสามารถมากพอจะสยบผู้กล้าได้ทั้งกลุ่ม นี่มันปีศาจตนหนึ่งชัดๆ!”
และก็มีคนจำนวนมากที่รู้สึกปลงตกเช่นนี้ ก่อให้เกิดเสียงคล้อยตาม
“แน่นอน เดิมนึกว่าการที่เขาไต่ขึ้นอันดับหนึ่งบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณได้ก็น่าตะลึงมากพอแล้ว ทว่าถัดไปอีกเพียงวันเดียวเท่านั้น เขาก็ทะลวง ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ ที่ไม่เคยมีใครทะลวงผ่านเป็นเวลาหลายร้อยปีได้ นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว”
“ไม่เพียงเท่านี้นะ ไม่เห็นหรือว่าฉีอวี้ยังถูกเขากำราบด้วย ใช้พลังของผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณสู้ข้ามระดับใหญ่ ไม่เพียงแต่ไม่ปราชัย กลับยังสยบอีกฝ่ายไว้ได้ด้วย กวาดสายตามองไปทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกต จะมีสักกี่คนที่ทำได้”
“เฮ้อ เจ้าหมอนี่ช่างทำให้คนจนคำพูดได้จริงๆ นิสัยดุดันบ้าดีเดือดถึงเพียงนี้ แต่ความสามารถและพลังกลับน่าทึ่งเหนือธรรมดา ไม่อาจเข้าใจได้เลย”
หลินสวินโด่งดังอย่างสมบูรณ์แล้ว อย่างน้อยๆ ในสำนักศึกษามฤคมรกตแห่งนี้ ทุกทั่วหัวระแหงต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงวีรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเขา กระทั่งทำให้คนใหญ่คนโตไม่น้อยตื่นตะลึงไปด้วย
ทว่าการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเขาล้วนแตกต่างกัน ทั้งว่าร้ายชื่นชมเคล้ากันไป การเผชิญหน้ากับความไม่พอใจของผู้คนก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
มีหลายคนที่กำลังยิ้มหยัน คิดว่าหลินสวินคงจะถูกฆ่าไม่ช้าก็เร็ว เนื่องจากจนถึงตอนนี้เขาผิดใจกับขุมอำนาจและคนมากมายไปไม่น้อย
ลองกางนิ้วนับดู ในบรรดาเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแห่งจักรวรรดิ ตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ตระกูลฉิน ตระกูลจั่ว ตระกูลฉือ ตระกูลฉี…นอกจากตระกูลเซี่ยแล้ว หกตระกูลอื่นๆ ล้วนมีคนเคยถูกเขาล่วงเกินทั้งสิ้น!
นี่ช่างพาให้ผู้คนตื่นตะลึงมากเกินไปแล้ว ใครเลยจะกล้าจินตนาการว่า เด็กหนุ่มอายุสิบหกปีคนหนึ่งที่เพิ่งเข้านครต้องห้ามยังไม่ครบหนึ่งปีเต็ม กลับสร้างความขุ่นเคืองให้กับขุมอำนาจที่เรียกได้ว่าอิทธิพลล้นฟ้ามากมายขนาดนี้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หลินสวินล่วงเกินราชวงศ์แห่งจักรวรรดิมากกว่าหนึ่งครั้ง!
ครั้งแรก เขาบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่าทำเอาตะลึงงันไปทั่วหล้า ครั้งที่สอง เขาดุว่าองค์หญิงหลิงหวงซึ่งหน้า ทำให้นางต้องอับอาย
ด้วยเหตุนี้ก็สามารถจินตนาการได้ว่าคู่ต่อสู้และศัตรูของหลินสวินในปัจจุบันมีมากมายเท่าใดแล้ว ถึงขั้นที่น่าตกอกตกใจ ตะลึงไปทั่วโลกด้วยซ้ำ
บางคนถึงกับพูดติดตลกว่า กวาดตามองไปทั่วนครต้องห้าม หากพูดถึงวิธีล่วงเกินผู้อื่น ถ้าหลินสวินเป็นอันดับสอง คงไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นอันดับหนึ่ง!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ผู้คนจำนวนมากต่างสงสัยว่า หลินสวินจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูและการแก้แค้นมากมายในภายภาคหน้า เผลอๆ อาจถูกฆ่าทิ้งในวันใดวันหนึ่ง ตายก่อนวัยอันควรด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้
ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ ในวันที่สองที่หลินสวินสยบฉีอวี้ให้คุกเข่าลงนั้น ในสาขายุทธ์วิถีและสาขายอดยุทธศาสตร์ มีศิษย์ทยอยกันลุกออกมาเรียกร้องต่อคนใหญ่คนโตในสำนักศึกษา ประณามพฤติกรรมชั่วร้ายของหลินสวินอย่างหนักหน่วง
“หลินสวินดูหมิ่นองค์หญิงหลิงหวง ลบหลู่ชื่อเสียงราชวงศ์ สยบศิษย์ให้คุกเข่ากับพื้น พฤติกรรมเช่นนี้สร้างความเคืองขุ่นให้ทุกคน หากไม่ลงโทษหลินสวิน พวกข้าจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด!”
ศิษย์เหล่านี้แต่ละคนล้วนแค้นเคือง ท่าทางเหมือนไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกับหลินสวิน คิดว่าหลินสวินทำลายชื่อเสียงอาจารย์จนป่นปี้ รังแกและดูหมิ่นศิษย์ วิธีการโหดร้าย พาให้ผู้คนโกรธเกรี้ยว จำต้องลงโทษเขาสถานหนัก ปลดคุณสมบัติการเป็นอาจารย์ของเขาและขับไล่ออกจากสำนักศึกษา เพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ครั้นคลื่นความวุ่นวายระลอกนี้โหมซัดขึ้น ไม่เพียงแต่ไม่ยอมสงบลง ในทางตรงข้ามกลับทวีความรุนแรงขึ้น มีศิษย์เข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ทันไรหลินสวินเหมือนกลายเป็นบุคคลชั่วร้ายเกินกว่าจะไถ่บาปโดยปริยาย ได้รับการต่อต้านจากศิษย์จำนวนมาก ศิษย์เหล่านี้รวมพลกัน อาละวาดใหญ่โตสร้างความวุ่นวายจนสำนักศึกษามฤคมรกตไม่เป็นอันสงบ
จนท้ายที่สุดทำให้บุคคลสำคัญในสำนักศึกษาต่างไม่กล้านิ่งดูดายอีกต่อไป เริ่มลงมือขจัดคลื่นลมมรสุมครั้งนี้
บุคคลสำคัญบางคนยื่นข้อเสนอว่า ไม่สู้ถอดถอนคุณสมบัติอาจารย์ของหลินสวิน ขับไล่เขาออกจากการเป็นอาจารย์ ใช้จุดนี้มาดับเพลิงโทสะของศิษย์ให้สงบลง
แต่ก็มีหลายคนโต้แย้ง เห็นว่าหลินสวินไม่เคยละเมิดกฎของสำนักศึกษามฤคมรกต หากถอดถอนสถานะอาจารย์ของเขา รังแต่จะทำให้คนรู้สึกไม่ดี
สรุปแล้วมรสุมครั้งนี้ลุกลามใหญ่โตขึ้น เดือดคลั่งถาโถม ท้ายที่สุดปัญหาทั้งหมดต่างวนอยู่ที่ ‘จะขับไล่หลินสวินออกไปหรือไม่’
ในเรื่องนี้มีบางคนตื่นเต้น คิดว่าหลินสวินต้องถูกลงโทษตามสมควร และถูกขับไล่ออกจากสำนักศึกษามฤคมรกตอย่างคอตกแน่นอน
และมีบางคนก็รู้สึกโกรธเคือง คิดว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มีต่อหลินสวินเป็นเรื่องไร้เหตุผล หลินสวินถูกคนวางกับดักไว้อย่างสมบูรณ์
แน่นอน คนที่มีสมองอยู่บ้างย่อมรู้ดีว่าการที่มรสุมครั้งนี้ก่อความอลหม่านได้มากถึงเพียงนี้ เบื้องหลังจะต้องมีคนคอยสุมเชื้อไฟอยู่เป็นแน่
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มรสุมฉากนี้มีคนคอยควบคุมอยู่อย่างลับๆ ตั้งแต่ต้น!
สำนักศึกษาจะขับไล่หลินสวินหรือไม่?
ศิษย์และอาจารย์จำนวนมากต่างให้ความสนใจกับเรื่องนี้
——
ตอนที่ 495 ข่าวลือโจษจันไปทั้งเมือง
โดย
ProjectZyphon
“ฮ่าๆ คราวนี้ข้าจะดูว่าเจ้าหลินสวินนั่นยังจะโอหังได้สักแค่ไหน!”
ในห้องโถงใหญ่ จั่วอวี้จิ่งหัวเราะลั่นอย่างมีความสุข รูปร่างของเขาสูงโปร่งผึ่งผาย นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น มีบรรยากาศแห่งความถือดีอย่างหนึ่ง
ใกล้ๆ พวกหลันอวี่ จินจู๋หลิว เซวียอวิ้น สืออวิ๋นเผิง ต่างก็ผุดรอยยิ้มพรายบนใบหน้า
“ครั้งนี้พวกเราระดมกำลังทั้งหมด มีอานุภาพเกรียงไกร มวลชนรู้สึกดุเดือดเลือดพล่าน ดึงดูดความสนใจจากบุคคลสำคัญในสำนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินสวินคงยากจะหนีจากหายนะเป็นแน่แท้!”
จินจู๋หลิวปริปากอย่างเยียบเย็น
“นี่เรียกว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั่นย่อมตามสนอง หลินสวินก็ช่างบ้าดีเดือดได้ที่จริงๆ แม้แต่องค์หญิงหลิงหวงกับฉีอวี้ยังกล้าล่วงเกิน นี่ไม่ใช่ผู้อมตะเบื่อน้ำอมฤต คร้านจะมีชีวิตอยู่แล้วหรอกหรือ”
สืออวิ๋นเผิงหัวเราะเย้ยหยัน
“หลินสวินคนนั้นมีความเชี่ยวชาญด้านการสลักวิญญาณไม่ธรรมดา ในด้านการฝึกยุทธ์ก็สุดแสนสะดุดตา ถ้าหากสำนักศึกษาไม่ยอมขับไล่เขาออก แล้วควรจะทำอย่างไรดี”
ทันใดนั้นหลันอวี่พลันขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“เป็นไปไม่ได้”
จั่วอวี้จิ่งมั่นใจเต็มเปี่ยม “ครั้งนี้ข้ากับศิษย์พี่จ้าวจิ่งเหวินร่วมกันเชิญผู้อาวุโสบางส่วนจากสำนักศึกษามาออกหน้า กดดันสำนักศึกษา เชื่อว่าสำนักศึกษาคงไม่ยอมผิดใจกับพวกเราเพื่อหลินสวินเพียงคนเดียวแน่”
คนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นต่างก็อดสั่นสะท้านในใจไม่ได้ คล้ายกับนึกไม่ถึงเช่นกันว่าเพื่อขับไล่หลินสวินให้สิ้นซาก จั่วอวี้จิ่งและจ้าวจิ่งเหวินยังเชิญบุคคลสำคัญบางท่านมาด้วย!
จากนั้นพวกเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ ครั้งนี้หลินสวินต้องประสบภัยพิบัติจริงๆ แล้ว
ไม่นานนักใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาจากนอกโถงใหญ่ เขาสวมชุดหยกทั้งร่าง นัยน์ตาดั่งดวงดารา คิ้วกระบี่พาดเฉียง ยืนสองมือไพล่พลังอยู่ตรงนั้น มีกลิ่นอายแห่งวีรบุรุษอันน่าทึ่ง
เป็นลูกหลานแห่งราชวงศ์…จ้าวจิ่งเหวิน!
พร้อมกันนั้นเขายังเป็นผู้กล้าชั้นแนวหน้าในสาขายุทธ์วิถี และก่อนหน้านี้เคยครองอันดับหนึ่งในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณเรื่อยมาอีกด้วย
เพียงแต่หลังจากที่กู้อวิ๋นถิงออกด่าน และหลินสวินหวนสู่สำนักศึกษามฤคมรกตอีกครั้ง อันดับของเขาก็ถูกทำลายลง ปัจจุบันร่วงไปอยู่อันดับที่สอง
“คารวะศิษย์พี่จิ่งเหวิน”
ทุกคนต่างไม่กล้าเพิกเฉย พากันลุกขึ้นคารวะ
“เรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว”
จ้าวจิ่งเหวินกล่าวถาม
“หลินสวินต้องพ่ายแพ้แน่แล้ว ในวันที่เขาถูกขับไล่ ก็คือวันตายของเขา!”
จั่วอวี้จิ่งเอ่ยตอบอย่างเฉียบขาด
“อืม”
เห็นได้ชัดว่าจ้าวจิ่งเหวินเยือกเย็นมาก วางเฉยไม่ไหวกระเพื่อม
“ศิษย์พี่จิ่งเหวิน ทางด้านองค์หญิงหลิงหวงและศิษย์พี่ฉีอวี้จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบสักหน่อยหรือไม่”
เซวียอวิ้นถาม
“ไม่ต้องหรอก แค่หลินสวินคนเดียวเท่านั้น อีกประเดี๋ยวก็ตายแล้ว ไยต้องเปลืองกำลังพลด้วยเล่า รอเรื่องราวปิดม่านลงค่อยบอกพวกเขาก็เป็นไร”
จ้าวจิ่งเหวินกล่าวถึงตรงนี้ สายตาพลันมองไปที่จั่วอวี้จิ่งพลางว่า“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลจั่วของพวกเจ้ามีความแค้นกับตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ในเมื่อตัดสินใจว่าจะกำจัดหลินสวินแล้ว ตระกูลของเจ้าจะลงมือต่อกรภูเขาชำระจิตด้วยใช่หรือไม่”
ใบหน้าจั่วอวี้จิ่งผุดแววจนปัญญา “ยามนี้ภูเขาชำระจิตปิดประตูปลีกวิเวก ตัดขาดจาดโลกภายนอก ในช่วงสั้นๆ นี้เกรงว่าคงยากต่อกรกับพวกเขา”
“ไม่ต้องกังวล พวกเขาไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้ตลอดชีวิต ตอนที่หลินสวินตาย พวกเขาก็จะเป็นฝูงมังกรไร้หัว ไม้ล้มวานรเตลิด ล่มสลายไปเองโดยไม่ต้องโจมตี”
จ้าวจิ่งเหวินไตร่ตรองพลางกล่าว
“ผู้อาวุโสตระกูลข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
จั่วอวี้จิ่งพลันยิ้มขึ้นมา
“ศิษย์พี่จั่ว ท่าไม่ดีแล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เจ้าไฝหลี่เซียวเฟยวิ่งถลาเข้ามา ท่าทางดูร้อนรนกังวลใจ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
จั่วอวี้จิ่งมุ่นคิ้ว
“ทางสำนักศึกษาทำการตัดสินใจแล้ว บอกว่าผู้ใดก็ตามที่กล้าก่อความวุ่นวายอีก ไม่ว่าจะเป็นใครจะถูกขับไล่ออกจากสำนักศึกษาทั้งหมด!”
หลี่เซียวเฟยกล่าวด้วยใบหน้าหดหู่
อะไรนะ?
ผู้คนต่างหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือว่าเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นอีก?
แม้กระทั่งจ้าวจิ่งเหวินยังอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่น่าเป็นไปได้นะ ข้าเชิญท่านอามาออกหน้าด้วยตัวเอง ผู้อาวุโสอย่างเขาร่วมมือกับบุคคลสำคัญในสำนักศึกษาหลายสิบคนมากดดัน หรือว่ายังทำอะไรหลินสวินแค่คนเดียวไม่ได้”
อาของจ้าวจิ่งเหวินมีนามว่าจ้าวจั้นเย่ เป็นรองหัวหน้าในสาขายุทธ์วิถี อำนาจล้นฟ้า อิทธิพลเรืองนาม
แม้แต่จ้าวจั้นเย่ออกหน้าแล้ว ยังไม่สามารถทำให้สำนักศึกษาเปลี่ยนใจขับไล่หลินสวินได้ เห็นชัดว่านี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“ที่พูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ”
จั่วอวี้จิ่งถามเสียงขรึม
หลี่เซียวเฟยรีบร้อนยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในโถงใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด สีหน้าของทุกคนอึมครึมไหววูบ เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน ระดมกำลังมากมายขนาดนี้แล้ว ก่อเรื่องให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว แต่ก็ทำอะไรหลินสวินแค่คนเดียวไม่ได้งั้นหรือ
ไม่นานพวกเขาก็สืบรู้ถึงข่าวคราวอย่าเป็นรูปธรรม… หลินสวินกำลังจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณด้วยตัวเอง!
ข่าวนี้เหมือนกับพายุฝนฟ้าคะนอง ทำให้จ้าวจิ่งเหวิน จั่วอวี้จิ่งและคนอื่นๆ ล้วนตะลึงงัน จิตใจสับสนอลหม่าน
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็เข้าใจได้ง่ายมากว่าเหตุใดสำนักศึกษาจึงไม่ยอมขับไล่หลินสวิน เพราะนี่มันตะลึงโลกเกินไป ใครก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วย
ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยที่เป็นเคยชักนำปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ มายามนี้กำลังจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งขึ้นมาอีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่จะขับไล่เขาเลย แค่คิดจะแตะขนอ่อนของเขาสักเส้นก็ยังเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“น่าชังนัก! นี่มันน่าชังจริงๆ!”
ในใจของพวกจินจู๋หลิวต่างไม่ยินยอม ท่าทางขุ่นมัวหาใดเปรียบ
อีกแค่อึดใจเดียวก็จะขับไล่หลินสวินได้สำเร็จแล้ว ทว่ากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นกะทันหัน ทำให้พวกเขาต่างไม่อาจยอมรับได้
“เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นแค่ปรมาจารย์สลักวิญญาณอายุสิบหกปีคนหนึ่งเท่านั้น จะมีศักยภาพไปหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้อย่างไร นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ หลินสวินนั่นจงใจพูดแบบนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาอย่างไรเล่า!”
จั่วอวี้จิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนกล่าวเสียงเย็น
ผู้คนต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาเช่นกัน ใช่แล้ว หลินสวินเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ต่อให้ความเชี่ยวชาญด้านสลักวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ไหนเลยจะสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้
“ไอ้ตัวดี เพื่อไม่ถูกถอดถอนคุณสมบัติอาจารย์ ถึงขั้นใช้วิธีสกปรกพรรค์นี้ไปหลอกลวงบุคคลสำคัญของสำนักศึกษา จิตใจชั่วช้านัก!”
จินจู๋หลิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไม่ว่าอย่างไร บรรดาบุคคลสำคัญเหล่านั้นของสำนักศึกษาก็เชื่อไปแล้ว ยามนี้ต่อให้ท้ายที่สุดหลินสวินจะทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่ใครจะกล้าไปขับไล่เขาอีกกัน”
เซวียอวิ้นถอนหายใจ
“ไปสืบข่าวออกมาแล้ว หลินสวินกำลังจะเริ่มปิดด่านในอีกไม่กี่วัน แล้วจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่ชั้นเก้าแห่งหอหลอมวิญญาณเพียงลำพัง เพื่อไม่ให้เขาถูกรบกวนจากโลกภายนอก สำนักศึกษาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะรักษาความปลอดภัยของหลินสวินทั้งหมด ทั้งยังแสดงออกอย่างเด่นชัดว่าหากใครกล้าเป็นปรปักษ์กับหลินสวินในยามนี้ ก็เท่ากับเป็นปรปักษ์กับสำนักศึกษาทั้งหมดด้วย!”
ยามได้ทราบข่าวนี้ พวกจ้าวจิ่งเหวิน จั่วอวี้จิ่งต่างนิ่งเงียบไปโดยสิ้นเชิง สภาพจิตใจซับซ้อน ปล่อยให้หลินสวินหนีจากหายนะไปอีกหนแล้ว!
“ชุดศึกสลักวิญญาณ… หากเขาทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นจากนี้ไปหากใครคิดจะต่อกรกับเขาคงมีแต่ยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”
จ้าวจิ่งเหวินพึมพำ
เขารู้ดีว่ามูลค่าของชุดศึกสลักวิญญาณนั้นตะลึงโลกเพียงใด ยิ่งรู้ด้วยว่าปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเลิศมากแค่ไหน
อย่างน้อยทั่วทั้งจักรวรรดิจื่อเย่า แทบจะไม่มีใครเลือกจะเป็นปรปักษ์ด้วย นอกเสียจากจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตเท่านั้น
อย่าว่าแต่ฆ่าคนแบบนี้ แม้แต่คิดจะขัดขวางผลประโยชน์ของเขา ล้วนต้องประสบกับปัญหาและการต่อต้านนับไม่ถ้วน!
“แล้วนี่ควรจะทำอย่างไรดี”
พวกจินจู๋หลิวอดเอ่ยถามไม่ได้ ถูกข่าวนี้ทำให้สมองพร่าเลือนไปโดยสมบูรณ์แล้ว
“พวกเจ้าคิดว่าหลินสวินจะทำสำเร็จหรือไม่”
ท่าทีของจ้าวจิ่งเหวินกลับสู่ความสงบนิ่ง กล่าวคล้ายใคร่ครวญ
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
คำตอบของทุกคนเป็นเอกฉันท์อย่างน่าประหลาดใจ ไม่เชื่อว่าหลินสวินจะทำสำเร็จได้เลยสักนิด ล้อเล่นน่า ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุสิบหกปีจะไปหลอมชุดศึกสลักวิญญาณหรือ
มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อว่าจะทำได้สำเร็จ!
นับแต่อดีตกาลจนป่านนี้ ก็หาตัวอย่างที่คล้ายคลึงออกมาไม่ได้เลยสักกรณีเดียว!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดการได้สะดวกแล้ว พวกเราก็รอตอนที่เขาล้มเหลว แล้วค่อยสอนบทเรียนที่ยากจะทนรับไหวให้เขาสักรอบก็แล้วกัน!”
แววเย็นยะเยือกกลางนัยน์ตาของจ้าวจิ่งเหวินไหวกระเพื่อม เขาไม่เชื่อว่าจะฆ่าหลินสวินไม่ได้ ก็แค่กากเดนของตระกูลที่ล่มจมไปแล้วคนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าลบหลู่และดูหมิ่นอำนาจของราชวงศ์ หากไม่ทำให้เขาตาย คงได้กลายเป็นรอยด่างพร้อยอย่างหนึ่งของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเป็นแน่
……
“หลินสวินกำลังจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณเพียงลำพัง!
ยามข่าวนี้แพร่ออกไป ก็เป็นเหมือนอสนีบาตฟาดสวรรค์เก้าชั้น ทำให้ทั่วทั้งสำนักศึกษามฤคมรกตปั่นป่วน โกลาหลอลหม่านหาใดเปรียบ
ชุดศึกสลักวิญญาณเชียวนะ!
นี่เป็นถึงสมบัติล้ำค่าหายากอย่างหนึ่ง ลึกลับไม่อาจหยั่งได้ พลังอำนาจไร้สิ้นสุด ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมสมบัติระดับนี้ได้ ทอดสายตาไปทั่วจักรวรรดิก็ยังหาได้น้อยมาก
แต่ตอนนี้ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยที่อายุสิบหกปีอย่างหลินสวิน กลับประกาศว่าจะปิดด่านหลอมชุดศึกสลักวิญญาณขึ้นมาหนึ่งชิ้น นี่จะไม่ให้คนตกอกตกใจได้อย่างไรกัน
“เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่”
ผู้คนจำนวนมากกำลังโต้เถียงไถ่ถามกันอยู่
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเกินไป ทำให้ผู้คนล้วนไม่อาจจินตนาการได้
“หลินสวินจะต้องสัมผัสได้ถึงสถานการณ์เลวร้าย จึงจงใจปล่าวข่าวลือนี้ออกมาแน่ๆ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกขับออกจากสำนักศึกษา”
นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่ เพราะหลายวันมานี้ศิษย์และบุคคลสำคัญมากมายต่างตราหน้าหลินสวิน หมายจะถอดถอนคุณสมบัติอาจารย์ของเขาแล้วขับไล่ออกจากสำนักศึกษา
ในช่วงเวลาแบบนี้หลินสวินกลับประกาศว่าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณกะทันหัน ย่อมทำให้ผู้คนคิดไปว่านี่คือวิธีการปกป้องตัวอย่างหนึ่งของเขา ไม่ใช่จะไปหลอมชุดศึกสลักวิญญาณจริงๆ
“นี่ก็ฟันธงไม่ได้ ได้ยินว่าปรมาจารย์เสิ่นทั่วก็ออกหน้าด้วยเหมือนกัน แล้วยังให้หลินสวินใช้งานชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณคนเดียวโดยเฉพาะด้วย”
มีบางคนคิดว่าหลินสวินเคยชักนำปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ มาแล้ว ในแง่การสลักวิญญาณมีพรสวรรค์อันเหนือจินตนาการ บางทีครั้งนี้เขาอาจมีโอกาสหลอมชุดศึกสลักวิญญาณสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
กล่าวโดยสรุป สำนักศึกษามฤคมรกตปั่นป่วนไปโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าอาจารย์หรือศิษย์ต่างก็ถูกข่าวลือนี้ดึงดูดความสนใจไปสิ้น แล้วเริ่มลามไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อันดุเดือด
กระทั่งต่อมาข่าลือนี้ยิ่งแพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษมฤคมรกตในระดับที่เกินจริง แล้วขยายวงกว้างไปทั่วนครต้องห้าม
“หลอมชุดศึกสลักวิญญาณ? หลินสวินเป็นบ้าไปแล้วหรือ”
“ถ้าเขาทำได้สำเร็จ ให้ข้าไปกินมูลยังได้เลย! อาวุธล้ำค่าไร้เทียมทานอย่างชุดศึกสลักวิญญาณ เด็กแบเบาะอายุสิบหกปีอย่างเขาไหนเลยจะหลอมได้ นี่มันบ้าคลั่งเบาปัญญาชัดๆ!”
“เจ้าหลินสวินคนนี้อีกแล้ว เหตุใดหลายวันมานี้มีแต่ข่าวเกี่ยวกับเขาทั้งนั้น เจ้าหมอนี่ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้วกระมัง”
ที่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ก็คือ ตอนที่รู้ข่าวว่าหลินสวินจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณนั้น เกือบทุกคนในนครต้องห้ามต่างแสดงความกังขาต่อเรื่องนี้ เห็นว่าด้วยศักยภาพในตอนนี้ของหลินสวิน คิดจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ก็แทบจะเป็นคนสติฟั่นเฟือนนอนละเมอ รังแต่จะพาให้คนหัวเราะเยาะ
แต่ก็มีคนจำนวนมากให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อเรื่องนี้ หลินสวินเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งนครต้องห้ามคนหนึ่งตั้งนานแล้ว เกิดเรื่องราวที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หลายอย่างนักกับตัวเขา ครั้งนี้ในเมื่อเขากล้าทำขนาดนี้ จะต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน
ไม่ว่าโลกภายนอกจะฮือฮาและปั่นป่วนสักเพียงใด ในเวลานี้หลินสวินกำลังยืนอยู่ในโถงชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ สีหน้าท่าทางจริงจัง จัดเรียงวัตถุดิบวิญญาณแต่ละชนิดอย่างพิถีพิถัน
____
ตอนที่ 496 เหล่าบุคคลสำคัญที่ทยอยกันมาไม่ขาดสาย
โดย
ProjectZyphon
เถาวัลย์ทอง แสงวิญญาณคละคลุ้ง สุกสกาวดั่งหล่อทอง เส้นสายบนนั้นราวกับรอยมรรค คมกริบพราวตา
หินเมฆสีเลือด แสงโลหิตประดุจม่าน หยาดเยิ้มน่าหลงใหล ลอยเอื่อยอยู่กลางอากาศ กลืนพ่นแสงสีแดงสดสายแล้วสายเล่า
เหล็กแท่นมังกรม่วงแดง พิสุทธิ์แวววาว แสงสีม่วงห้อมล้อม ภายในราวกับมีมังกรเกล็ดตัวหนึ่งปรากฏอยู่รำไร ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม
เขาวัวขุย ความยาวครึ่งฉื่อ สีเขียวจางตลอดชิ้น เรียบง่ายไม่หวือหวา ทว่ากลับมีเสียงคำรามที่คล้ายมีแต่ไม่มีกระจายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ห้วงอากาศสั่นสะเทือนเป็นระลอกๆ
…วัตุดิบวิญญาณที่หาได้ยากปรากฏขึ้นทีละชิ้น มีมากหลายสิบชนิด ของพวกนี้ล้วนเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมชุดศึกวิญญาณทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบวิญญาณเสริมอีกหลายพันชนิด แต่ละชิ้นแต่ละอย่างล้วนมีสีสันแพรวพราว ฉูดฉาดบาดตา บางชิ้นจำเป็นต่อการหลอมหมึกวิญญาณ บางชิ้นก็จำเป็นต่อการวางกระบวนสลัก มีมากมายหลากหลาย
สีหน้าหลินสวินสงบนิ่งราบเรียบ ตั้งสมาธิจดจ่อกับสิ่งตรงหน้า จัดเรียงและแบ่งวัตถุดิบวิญญาณออกเป็นประเภทต่างๆ
ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณมีเตาหลอมสามขาตัวหนึ่ง สามขาสองหู ปากทรงกลมมน บนนั้นประทับกลิ่นอายแห่งกาลเวลา ยาวนานเย็นเยือก
เตาหลอมสามขามีนามว่า ‘เขียวคล้ำ’ เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งในสาขาสลักวิญญาณ ใช้ในการหลอมวัตถุดิบวิญญาณโดยเฉพาะ ภายในมีลวดลายแห่งมรรคแน่นขนัดกระจายอยู่ มีประโยชน์มหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อ
กระทั่งจัดเรียงวัตถุดิบวิญญาณทั้งหมดเสร็จสรรพ สายตาของหลินสวินก็มองไปที่เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำ ชั่วขณะนี้ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาเข้าสู่สภาวะว่างเปล่าสงบนิ่งถึงที่สุด ไม่แปดเปื้อน ไร้ซึ่งความคิดสับสน ดุจดั่งจันทร์เพ็ญลอยเด่นเหนือมหาสมุทรมรกต สงบนิ่งไร้คลื่นลม
เนิ่นนานก่อนหน้านี้หลินสวินได้เริ่มเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลานี้ และในวันนี้ที่ได้เริ่มลงมือหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นแรกของตัวเอง หลินสวินกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นสักนิด
ไร้กังวล ไร้วิตก ไร้สุข ไร้เศร้า
ข่าวลือปั่นป่วนของโลกภายนอก ความเกลียดชังและความคิดว้าวุ่นที่เก็บกดอยู่ลึกๆ ภายในใจ ในเวลาล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“เริ่มกันเลย”
หลินสวินสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า เริ่มดำเนินการหลอมอาวุธ
ทุกขั้นตอน ทุกรายละเอียด ล้วนถูกฉายซ้ำนับครั้งไม่ถ้วนในใจเขา ขณะที่เริ่มลงมือ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไปและสงบนิ่ง
วู้ม~
เตาหลอมสามขาเปล่งประกาย ส่งเสียงครวญดังก้องอยู่ที่ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณอันเปล่าเปลี่ยว
หลินสวินตั้งหน้าตั้งหนาในสิ่งนี้เพียงลำพัง หลอมวัตถุดิบวิญญาณ กลั่นหมึกวิญญาณ ชะล้างรอยสลักวิญญาณ… จดจ่อ จริงจัง ลืมเลือนทุกสิ่งไปสิ้น
……
โลกภายนอกลมพายุกำลังปั่นป่วน คลื่นใต้น้ำพลุ่งพล่าน
สำนักศึกษามฤคมรกตในช่วงสองวันมานี้กลายเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน ขุมกำลังใหญ่แต่ละฝ่ายต่างทยอยหันมาให้ความสนใจ
ปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยอายุสิบหกปี จะเริ่มหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ!
สำหรับคนทั่วไปเหตุการณ์นี้อาจดูห่างไกลเกินไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง รู้แต่ว่าการกระทำของหลินสวินในครั้งนี้ ความหวังที่จะประสบความสำเร็จนั้นแสนเลือนรางยิ่งนัก
ส่วนจะเลือนรางแค่ไหนใครก็ไม่อาจทราบ เนื่องจากสมบัติล้ำค่าไร้เทียมทานอย่างชุดศึกสลักวิญญาณนั้นหายากและมีน้อยเกินไป และก็เพราะไม่แน่ใจว่าการหลอมสมบัติชิ้นนี้ลำบากมากแค่ไหน ถึงได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันห่างไกลเกินไป ไม่สามารถเชื่อได้เลยว่าหลินสวินจะทำสำเร็จ
แต่สำหรับบุคคลสำคัญบางส่วนที่เจนโลกมานาน กลับรู้ดีว่าชุดศึกสลักวิญญาณนั้นน่าตะลึงมากเพียงใด!
ไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิดว่านี่คืออาวุธล้ำค่าชิ้นหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง หากสามารถไขว่คว้าชุดศึกสลักวิญญาณชิ้นหนึ่งมาได้ เช่นนั้นก็เท่ากับครอบครองพลังที่ทำให้ศัตรูหวาดผวาได้แล้ว!
ส่วนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่าง หากสามารถครอบครองชุดศึกสลักวิญญาณได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนระดับชั้นของตระกูล ขึ้นมาเทียบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางได้เลยทีเดียว!
นี่ก็คือพลังและอิทธิพลของชุดศึกสลักวิญญาณ
เล่าลือกันว่าผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง หากในมือถือชุดศึกสลักวิญญาณอยู่ ก็สามารถก้าวข้ามระดับใหญ่ เทียบกับผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติได้!
ดังนั้นตอนที่รู้ว่าหลินสวินหมายจะหลอมสมบัติชิ้นนี้ จึงดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก และก่อให้เกิดความฮือฮาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้น
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่อาจขัดขวางไม่ให้ผู้คนสนใจเรื่องนี้
ชุดศึกสลักวิญญาณเชียวนะ!
การเป็นเจ้าของสมบัติที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ชิ้นหนึ่ง ใครจะไม่หวั่นไหวบ้างเล่า
สำนักศึกษามฤคมรกตจึงกลายเป็นตาพายุไป
กิเลนเพลิงศักดิ์สิทธิ์เก้าหัวลากเกี้ยวสมบัติคันหนึ่ง บดบังชั้นเมฆ ร่อนลงมาหยุดเบื้องหน้าประตูใหญ่สำนักศึกษามฤคมรกต
เกี้ยวสมบัติโอ่อ่างดงามเปล่งประกาย ชายวัยกลางคนในชุดม่วงเดินออกมาจากในนั้น สองมือไพล่หลัง สง่างามดั่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจสั่นคลอน แววตาวาววับ ลำแสงอสนีพวยพุ่ง สั่นสะท้านทั่วสารทิศ
“เกี้ยวสมบัติกิเลนเพลิง ฉินเป่าจี้มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงแห่งตระกูลฉิน!”
ผู้ฝึกปราณที่ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวในที่นี้ล้วนอดตกตะลึงไม่ได้ ฉินเป่าจี้ ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง พลังอำนาจดั่งตะวันกลางนภา
ฉินเป่าจี้เข้าสู่สำนักศึกษามฤคมรกตโดยไม่ถูกขวางกั้นสักนิด
สวบ!
สายรุ้งศักดิ์สิทธิ์พาดนภา เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งยืนอยู่บนเรือวิญญาณลำหนึ่ง ลอยล่องกลางอากาศ ดึงดูดความสนใจนับไม่ถ้วน
เรือนร่างของเขาเหยียดตรง อาภรณ์พลิ้วสะบัด รอบกายมีลำแสงสีรุ้งที่แปรมาจากสัจจะมหามรรคแสงแล้วแสงเล่า ดุจดั่งผสมผสานกับฟ้าดิน ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นดวงหน้าที่แท้จริงของเขาได้
“ไป๋จั้นโหวแห่งตระกูลจั่ว!”
ผู้ฝึกปราณอาวุโสบางคนตกใจ จำได้ถึงฐานะของเขา นั่นคือไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวง…ผู้มีอิทธิพลในระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่งจากตระกูลจั่ว ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง!
เขาคือบุคคลที่ทรงอำนาจแข็งแกร่ง รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เผด็จศึกสังหารบุคคลสำคัญของเผ่าคนเถื่อนจักรวรรดิมืดร้อยคนอย่างกระหายเลือด!
เกี่ยวกับวีรกรรมของเขา ไม่มีเรื่องใดเลยที่ไม่นองเลือด เป็นที่พรั่นพรึงทั่วสารทิศ และได้รับบรรดาศักดิ์พระราชทานจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นพิเศษว่า ‘ไป๋จั้นโหว’ (โหวร้อยศึก)
ไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวงก็มาด้วยเช่นกัน นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างตื่นตะลึง
สำนักศึกษามฤคมรกตในวันนี้ไม่อาจสงบสุขได้แน่ มีบุคคลสำคัญมาเยือนคนแล้วคนเล่า เสมือนนัดหมายกันไว้อย่างดี แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่ามีอิทธิพลยิ่งใหญ่ อำนาจล้นฟ้าทั้งนั้น!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ถูกเรื่องที่หลินสวินจะหลอมชุดศึกวิญญาณดึงดูดมาเช่นกัน มิเช่นนั้นปกติย่อมไม่มีทางเห็นร่องรอยของพวกเขา
โครม~~
ที่ขอบฟ้าเกิดเสียงสั่นสะเทือนดุจดั่งลั่นกลองขึ้น พลันเห็นร่มธงโบกสะบัด องครักษ์เปิดทาง ข้ารับใช้ในชุดราชสำนักสิบหกคนโอบล้อมเกี้ยวสมบัติสัมฤทธิ์ราวกับหมู่ดาวล้อมเดือน แล้วรุดหน้ามาทางฝั่งนี้
เกี้ยวสมบัติสัมฤทธิ์ปกคลุมด้วยภาพเมฆาแห่งใต้หล้าฟ้าดินอย่างแน่นหนา ไอม่วงทองพวยพุ่ง ศักดิ์สิทธิ์น่ายำเกรง ประดุจผู้เป็นราชันมาเยือ
ครั้นขบวนนี้ปรากฏตัว ทำให้ทั่วทั้งลานต่างเงียบกริบ ตกสู่ความตะลึงงันครั้งใหญ่
เกี้ยวสมบัติสัมฤทธิ์ทองม่วง!
นี่คือพาหนะของ ‘เจิ้นไห่อ๋อง’ จ้าวจิ่วเซียวจากราชวงศ์ หนึ่งเดียวของทั้งจักรวรรดิ!
เจิ้นไห่อ๋อง คือท่านอ๋องผู้ทรงพลังราวกับตำนาน ลือกันว่าเขาครอบครองพลังพลิกฟ้าของระดับกระบวนแปรจุติได้นานแล้ว อำนาจน่ายำเกรง ทรงพลังเรืองนาม
และยามนี้ท่านอ๋องผู้นี้ก็มาด้วยเช่นกัน!
เกี้ยวสมบัติสัมฤทธิ์ทองม่วงหยุดลง ชายวัยกลางคนร่างผอมที่เดินออกมาสวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าเรียวยาวดั่งคมมีด กำยำขึงขัง ดูคล้ายจะไม่สะดุดตา ทว่ารูปร่างผอมโปร่งของเขากลับเสมือนซ่อนภูเขาไฟไว้ลูกหนึ่ง ขอเพียงปะทุออกมาจะต้องหลอมละลายทั่วทั้งแผ่นดิน!
ครั้นบุคคลสำคัญเหล่านี้แห่แหนมาเยือน โลกภายนอกก็ยิ่งอึกทึกมากขึ้นเรื่อยๆ และดึงดูดความสนใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกคนต่างคาดเดาได้ว่าพวกเขาต้องมาเพราะหลินสวินเป็นแน่
ส่วนด้านในสำนักศึกษามฤคมรกต บรรยากาศก็เห็นชัดว่าผิดปกติเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะที่สาขาสลักวิญญาณ ศิษย์อาจารย์กลุ่มหนึ่งต่างหยุดการเรียนการสอน ปราศจากความเยือกเย็นและสงบนิ่งดังแต่ก่อน
เพราะในวันนี้บุคคลสำคัญแห่งจักรวรรดิคนแล้วคนเล่ามาเยือน หลั่งไหลมาอยู่เบื้องหน้าหอหลอมวิญญาณไม่ขาดสาย และกำลังให้ความสนใจในเรื่องเดียวกัน… การหลอมอาวุธของหลินสวิน!
เบื้องหน้าหอหลอมวิญญาณมีการจัดเตรียมที่นั่งเพื่อรองรับบุคคลสำคัญเหล่านั้นแต่เนิ่นๆ แล้ว
เสิ่นทั่วยืนอยู่ในระยะไกลเพียงลำพัง มองดูบุคคลสำคัญคนแล้วคนเล่าที่มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญหย่อนกายลงนั่ง ในใจเกิดความวิตกอยู่เนืองๆ
ก่อนหน้านี้เพื่อสลายการชุมนุมขับไล่หวินสวินที่เกิดจากเหล่าศิษย์ เสิ่นทั่วจำเป็นต้องเอ่ยเรื่องที่หลินสวินจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกไป
และก็เพราะข่าวนี้ทำให้สำนักศึกษาเปลี่ยนท่าที ช่วยหลินสวินสลายการต่อต้านและการแก้แค้นที่มองไม่เห็นฉากนี้ไป
เพียงแต่เสิ่นทั่วคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าการปล่อยข่าวนี้ออกไปก่อน กลับดึงดูดความสนใจจากทั่วทิศ ทำให้บุคคลสำคัญเหล่านี้มาเยือนไม่ขาดสาย
แม้แต่เจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักศึกษาก็ยังตื่นตระหนก และมอบหมายให้เสิ่นทั่วไปจัดการเรื่องนี้ตามความเหมาะสม
“พี่เสิ่น”
อวี๋เป่ยโต้วปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์แห่งภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ และเฉิงจิ่งปรมาจารย์สลักวิญญาณจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักวรรดิก็มากันพร้อมหน้า
“พวกเจ้าก็มาด้วยหรือ”
เสิ่นทั่วไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป รุดหน้ามาต้อนรับ
“การหลอมอาวุธหนนี้ หลินสวินมั่นใจอยู่กระมัง”
อวี๋เป่ยโต้วถามทันทีที่ก้าวเข้ามา และพลันดึงดูดสายตาไม่น้อย คำถามข้อนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างสงสัยกันมากที่สุด
“อันนี้เจ้าต้องไปถามหลินสวินเอาเอง”
เสิ่นทั่วเอ่ยตอบ หลายวันมานี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกถามไปกี่หนแล้ว เขาไม่ได้อยากอมพะนำ หากแต่ไม่กล้าแสดงอะไรเด่นชัดมากไปก็เท่านั้น
“ข้าเข้าใจ อย่างไรเสียการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณครั้งแรก ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะประสบความสำเร็จ”
อวี้เป่ยโต้วพยักหน้า
เขา เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วต่างเคยเป็นประจักษ์พยานระหว่างกระบวนการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณของหลินสวิน และยังเคยเห็นปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ อันยิ่งใหญ่นั้นมาแล้ว จึงรู้ชัดกว่าคนอื่นว่าความเชี่ยวชาญด้านการสลักวิญญาณของหลินสวินน่าทึ่งถึงเพียงไหน
เพียงแต่ตอนที่ได้ยินว่าหลินสวินจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณก็ยังตกใจสะดุ้งโหยง ดังนั้นจึงรีบรุดมา เพื่อจะดูด้วยตาตัวเองว่าเป็นอย่างไรกันแน่
“สถานการณ์ออกจะไม่ชอบมาพากลนะ เหตุใดถึงมีคนมามากมายขนาดนี้”
อีกด้านหนึ่ง เฉิงจิ่งขมวดคิ้วพลางเอ่ยปาก “คงไม่ใช่มาดูเรื่องตลกของหลินสวินกันหมดนี่กระมัง”
ในใจเสิ่นทั่วสั่นสะท้าน เอ่ยปากพูดอย่างคลุมเครือ “นี่ก็คงพูดยากแล้ว”
ในความเป็นจริงเขามองร่องรอยบางอย่างออกตั้งแต่แรกแล้ว เหตุที่วันนี้มีคนใหญ่คนโตมารวมตัวกันมากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่มาชมหลินสวินหลอมอาวุธอย่างแน่นอน!
เวลานี้บุคคลสำคัญในลานมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์อยู่ท่ามกลางพวกเขา
เนื่องจากที่นี่เป็นถึงสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่ใช่ว่าใครอยากมาก็มาได้ตามอำเภอใจ
วู้ม!
ฉับพลัน ที่ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณเกิดคลื่นมโหฬารระลอกหนึ่ง ดุจดั่งระฆังกังสดาล แผ่กระจายกว้างออกไป สะท้อนระหว่างฟ้าดิน
บัดนั้นสายตาทุกคู่กลางลานต่างถูกดึงดูดให้หันไปมอง
“เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำถูกขับเคลื่อนแล้ว ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะเริ่มลงมือแล้วสินะ”
ตรงที่นั่งมีคนเอ่ยเสียงเบา
คนผู้นี้ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาดุจอสนี ผมยาวเทาเหลือบขาวถูกหวีอย่างพิถีพิถัน เขาคือฉู่ซานเหอรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณนั่นเอง!
ตอนนั้นเพื่อออกหน้าช่วยเหลือฉู่ไห่ตงและโจมตีแก้แค้นหลินสวิน ฉู่ซานเหอเคยวางกับดักหมายจะทำให้หลินสวินไร้ที่ยืนในสาขาสลักวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดหลินสวินจะซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันได้สำเร็จอย่างราบรื่น และทำให้ฉู่ซานเหออับอายหาใดเปรียบ สุดท้ายยังเล่นงานเขาจนหน้าซีดเซียว ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงจำต้องหลบเร้นออกจากสาขาสลักวิญญาณก่อนเป็นการชั่วคราว
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาก็มาด้วย
“หากครั้งนี้เขาทำสำเร็จ ก็ถือว่าทำความชอบชดใช้ความผิด จะไม่เอาเรื่องที่เขาดูหมิ่นและลบหลู่ความสูงศักดิ์ของราชวงศ์อีก ถ้าหากล้มเหลว เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ด้านข้างฉู่ซานเหอ ชายชรารูปลักษณ์งามสง่าผู้หนึ่งเปล่งเสียงเฉยชา กลางนัยน์ตาผุดแววเย็นชา
ชายชรานามว่าจ้าวจั้นเย่ เป็นรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถี มีฐานะเป็นบุคคลสำคัญผู้หนึ่งของราชวงศ์ เห็นได้ชัดว่าเขามาในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อสังเกตการณ์หลินสวินหลอมอาวุธเพียงอย่างเดียว!
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น