Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 491-492

 ตอนที่ 491 ชิงเขาวัวขุย

โดย

ProjectZyphon

หลินสวินมาทำอะไรที่นี่?


ผู้คนจำนวนมากในหอกิจวิญญาณล้วนสงสัยใคร่รู้


พลันเห็นหลินสวินตรงดิ่งมายังบริเวณที่แลกเปลี่ยนวัตถุดิบวิญญาณ ก่อนล้วงป้ายประจำตัวออกมาแล้วยื่นให้แก่ชายชราผู้หนึ่งที่เฝ้ายามสถานที่แห่งนี้ พลางกล่าวว่า “แลกเปลี่ยนเขาวัวขุย รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”


ทันใดนั้นดวงตาชายชราพลันเบิกกว้าง หยัดตัวขึ้นพลางร้องอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าทะลวงผ่านบันไดสวรรค์แล้วหรือ”


“บันไดสวรรค์อะไร”


ศิษย์บางกลุ่มฉงน


“ภูผาบันไดสวรรค์ ยอดเขาที่ประทับร่องรอยมหามรรคลูกหนึ่ง ลือกันว่าผู้ที่สามารถปีนขึ้นไปบนนั้นได้ ไม่มีใครไม่ใช่ผู้กล้าที่ร้ายกาจที่สุดในโลก ณ ตอนนั้น เพราะการทอดสอบบันไดสวรรค์นั้นยากเกินไป หลายร้อยปีมานี้ต่างไม่เคยมีใครสามารถเหยียบย่างขึ้นไปบนนั้นได้เลย”


ไม่นานก็มีคนเอ่ยอธิบาย พลันดึงดูดเสียงร้องอุทานตกใจทั่วบริเวณ


“ไม่ใช่กระมัง! หลินสวินคนนี้จะเหี้ยมหาญเกินไปแล้วกระมัง”


“ไม่ใช่เรื่องเท็จอย่างแน่นอน ไม่ได้ยินหรือ เขาต้องการแลกเปลี่ยนเขาวัวขุย จากที่ข้ารู้มา มีเพียงผ่านการทดสอบบันไดสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนสมบัติชิ้นนี้ได้”


“เมื่อวานเขาเพิ่งจะไต่ขึ้นอันดับหนึ่งของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณไป วันนี้ยังทะลวงผ่านการทดสอบบันไดสวรรค์ที่หลายร้อยปีมานี้ไม่เคยมีใครทะลวงผ่านไปได้อีก นี่ยังจะให้ศิษย์สาขายุทธ์วิถีอย่างพวกเรามีชีวิตต่อไปอย่างไรกัน”


ภายในห้องโถงใหญ่เกิดเสียงอึกทึก สายตาทุกคู่ที่มองไปทางหลินสวินล้วนเจือแววกังขา มีท่าทีเหมือนมองดูสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น


แน่นอน นี่ดูเหลวไหลอย่างเห็นได้ชัด หลินสวินปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยแห่งสาขาสลักวิญญาณคนหนึ่ง กลับมีความสามารถพลิกฟ้าถึงเพียงนี้ในด้านการฝึกยุทธ์ นี่เหมือนปีศาจตนหนึ่งชัดๆ ทำให้ผู้คนต่างไม่รู้ว่าควรใช้มาตรฐานอะไรไปเทียบวัดเขาแล้ว


หาตัวจับยากเกินไปแล้ว!


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือปีนี้เขาเพิ่งอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างโดดเด่นทั้งในวิถีสลักวิญญาณและวิถียุทธ์แล้ว นี่มันพลิกฟ้าชัดๆ!


“ทะลวงผ่านแล้วจริงๆ…”


ชายชราตรวจสอบป้ายประจำตัวของหลินสวินสักพัก เมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่หลินสวินกล่าวมานั้นเป็นความจริงก็พลันสติหลุด สั่นสะเทือนถึงขีดสุดอีกครั้ง


ท้ายที่สุดเขายื่นกล่องหยกดำขลับที่ปิดผนึกกล่องหนึ่งให้หลินสวิน ภายในนั้นบรรจุเขาวัวขุยเอาไว้หนึ่งอัน


“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว”


หลินสวินผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ มีเขาวัวขุยแล้ว ก็เท่ากับครอบครองวัตถุดิบวิญญาณหลักในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณแล้ว ขอแค่รอเสิ่นทั่วเตรียมวัตถุดิบวิญญาณอื่นๆ ให้ครบ ก็จะสามารถดำเนินการหลอมอาวุธของเขาที่หอคอยหลอมวิญญาณชั้นเก้าแห่งนั้นได้เสียที


“ช้าก่อน”


ขณะที่หลินสวินกำลังเดินออกจากหอกิจวิญญาณก็ถูกคนขวางไว้เสียก่อน


อาภรณ์สีขาวยิ่งกว่าหิมะ แขนเสื้อพลิ้วไสว ผมดำนุ่มสลวยเปล่งประกายแวววาว ท่วงท่าเป็นสง่าเหนือปวงชน อิริยาบถแปลกแยกดั่งเซียนปลีกวิเวก เป็นกู้อวิ๋นถิงนั่นเอง!


เมื่อเห็นกู้อวิ๋นถิง บริเวณนี้ก็เริ่มปะทุขึ้น ศิษย์จำนวนมากต่างชะงักฝีเท้า สายตามองไปที่กู้อวิ๋นถิงอย่างคลั่งไคล้


หลินสวินอาจจะเจิดจ้าหาใดเปรียบ ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ศิษย์ของสาขายุทธ์วิถี แต่กู้อวิ๋นถิงนั้นต่างออกไป ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน เขาก็เลื่องชื่อระบือทั่วสำนักศึกษา กลายเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงที่เป็นเป้าสายตาของฝูงชน


และในปัจจุบันเขาปิดด่านห้าปี ครั้นออกด่านก็สะเทือนโลกหล้า ก้าวเดียวไต่ขึ้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณที่ประหนึ่งตำนาน บุคคลที่โดดเด่นเป็นสง่าถึงเพียงนี้ ย่อมกลายเป็นที่คลั่งไคล้ศรัทธาของผู้คนเป็นธรรมดา


“มีอะไรหรือ”


หลินสวินรู้สึกประหลาดใจโดยพลัน คิดไม่ถึงว่ากู้อวิ๋นถิงที่ปรากฏตัวด้วยท่าที ‘สูงเด่นเหนือปวงชน’ ผู้นี้จะถึงขั้นเป็นฝ่ายปรากฏกายอยู่ต่อหน้าตนก่อนได้


เพียงแต่หลินสวินไม่ได้มีความตื่นเต้นใดๆ ถึงขนาดเดาออกว่าสาเหตุที่เจ้าหมอนี่เป็นฝ่ายมาหาตนก่อน จะต้องมีข้อเรียกร้องอะไรเป็นแน่!


“ข้าต้องการเขาวัวขุย จะเอามันให้ข้าได้หรือไม่ วางใจเถิด ข้าจะชดเชยให้เจ้าในมูลค่าที่เท่ากัน”


กู้อวิ๋นถิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขายืนอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่าโดดเด่นเหนือฝูงชน อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าสง่าผ่าเผย


หลินสวิบลอบเอ่ยว่าตนเองทายถูกจริงๆ ด้วย


เขาส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด “ขออภัย ข้าเองก็ต้องการเขาวัวขุยเช่นเดียวกัน”


หัวคิ้วกู้อวิ๋นถิงมุ่นเข้าหากันน้อยๆ “เจ้าน่าจะรู้ดี เดิมทีข้ามีโอกาสแลกเปลี่ยนเขาวัวขุยก่อนเจ้าเสียอีก”


หลินสวินพยักหน้า “นั่นน่ะสิ เจ้ากับข้าปีนขึ้นภูผาบันไดสวรรค์พร้อมกัน แต่น่าเสียดาย เจ้าช้าไปหนึ่งก้าว”


ได้ยินดังนั้นเหล่าศิษย์ในละแวกนั้นล้วนตื่นตระหนก ตระหนักว่าที่แท้เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่เพียงแต่หลินสวินเท่านั้นที่ปีนขึ้นภูผาบันไดสวรรค์ แม้แต่กู้อวิ๋นถิงก็ทำได้ขั้นนี้แล้วเช่นเดียวกัน!


เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหลายร้อยปี มาวันนี้ถึงกับปรากฏขึ้นสองกรณีเลยเชียว!


ทันใดนั้นสายตาที่ศิษย์เหล่านั้นมองไปทางกู้อวิ๋นถิงก็แตกต่างไปจากเดิม ยิ่งคลั่งไคล้และเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เสียแรงที่สามารถอยู่ในกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ให้โอกาสหลินสวินได้โดดเด่นเพียงลำพังเลยสักนิด


กลับเห็นกู้อวิ๋นถิงสะบัดแขนเสื้อ ในห้วงอากาศปรากฏกลุ่มแสงเจิดจรัสระยิบระยับขึ้นแถบหนึ่ง


ผู้คนทั่วลานตื่นตะลึงในทันที ต่างเบิกตากว้าง


นั่นเป็นถึงวัตถุดิบวิญญาณและยาวิญญาณหายากยิ่งในโลกมากกว่าสิบชนิด! มูลค่าของแต่ละชนิดล้วนไม่ด้อยไปกว่าเขาวัวขุยนั่นเลย!


อย่างหลินจือโลหิตที่สามพันปีกว่าจะงอกออกมาหนึ่งดอก สีแดงสดอวบอิ่ม เปล่งประกายแวววาม ย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดง ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนที่ได้ดอมดมล้วนรู้สึกประหนึ่งจิตวิญญาณมัวเมา


หรืออย่างเหล็กทองแดงแปดเหลี่ยม แค่ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือยังมีมูลค่ามหาศาล ถูกขนานนามว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ของโลก แต่ชิ้นที่อยู่เบื้องหน้านี้มีขนาดใหญ่เท่ากับหนึ่งกำปั้น แค่คิดก็รู้ว่ามีมูลค่าน่าตกตะลึงเพียงใด


นอกจากนี้ของหายากมากมาย อาทิ หญ้าวิญญาณสุวรรณมรกต โป่งรากสนหยกชอุ่ม ดอกเก้าดาราพราวระยับเป็นต้น ทำเอาผู้คนมองจนตาลาย จับจ้องไม่หวาดไม่ไหว


ทั่วลานเกิดเสียงสูดหายใจไม่หยุด บางคนตาแดงก่ำน้ำลายหก บางคนก็ตื่นตะลึงสติหลุด ต่างคิดไม่ถึงว่าทรัพย์สินของกู้อวิ๋นถิงจะอุ่นหนาฝาคั่งถึงเพียงนี้ ลำพังแค่มูลค่าของวัตถุวิญญาณกองนี้ก็ไม่สามารถใช้เงินทองวัดค่าได้แล้ว!


หลินสวินเองก็อดตะลึงไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ในฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เขาย่อมเข้าใจว่ามูลค่าของวัตถุวิญญาณเหล่านี้สะท้านโลกมากเพียงใด


“เจ้าสามารถเลือกตามใจชอบได้สองอย่าง คิดเสียว่าเป็นการชดเชยที่ยอมยกเขาวัวขุยให้ ข้าเชื่อว่าเจ้าได้เห็นความจริงใจของข้าแล้ว”


กู้อวิ๋นถิงกล่าวโดยไม่คิดอะไร ยังคงมีท่าทีเนิบนาบราบเรียบ คล้ายกับมั่นใจมากว่าหลินสวินไม่อาจปฏิเสธความยั่วยวนนี้ได้


เนื่องจากของชดเชยนี้มีมูลค่าเกินกว่าเขาวัวขุยเป็นไหนๆ


ผู้คนมากมายต่างอดอิจฉาหลินสวินไม่ได้ เจ้าหมอนี่ช่างโชคดีจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นพวกเขา คงไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะได้รับการปฏิบัติแบบใจป้ำเช่นนี้แน่


ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ นัยน์ตาดำขลับของหลินสวินนั้นใสกระจ่างและสงบนิ่ง ปฏิเสธอีกครั้งโดยไม่มีหยุดคิด “สำหรับข้าแล้วเขาวัวขุยประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าเอาอะไรออกมา ข้าก็ไม่อาจยกให้”


ฝูงชนต่างตะลึงพรึงเพริศ เขาถึงขั้นปฏิเสธเชียวหรือ!?


แม้แต่กู้อวิ๋นถิงเองก็อึงงันไปเล็กน้อย อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไม่พอใจหรือ เอาเถิด ข้าให้เจ้าเลือกวัตถุวิญญาณสามอย่างก็ได้”


หลินสวินมุ่นคิ้วทันที เจ้าหมอนี่พูดจาใหญ่โตจริงเชียว ไม่ได้ยินหรือว่าตนไม่คิดจะยกของสิ่งนี้ให้


“หลินสวิน รู้จักพอเสียบ้าง!”


“ศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิงแสดงความจริงใจออกมาขนาดนี้แล้ว หากเจ้ายังได้คืบเอาศอกอีก ก็ชักจะเกินไปหน่อยแล้ว”


“หลินสวิน ได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพเช่นนี้จากศิษย์พี่กู้อวิ๋นถิง เจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติจึงจะถูก”


ศิษย์กลุ่มหนึ่งในละแวกนี้ทยอยส่งเสียง ช่วยพูดแทนกู้อวิ๋นถิง


หลินสวินหัวเราะทันที กวาดสายตามองรอบบริเวณ ท้ายที่สุดก็คร้านจะพูดอะไรอีก เบือนหน้าแล้วเดินไปทันใด เขาไม่มีใจมาเสียเวลากับเจ้าพวกนี้หรอกนะ


ท่าทีเพิกเฉยเช่นนี้ของเขายั่วโมโหผู้คนจำนวนมากได้ในทันที ทว่าติดที่ความน่าเกรงขามที่หลินสวินสร้างไว้เมื่อวานนี้ จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางหลินสวินเลยสักคน


หว่างคิ้วของกู้อวิ๋นถิงเคลือบแววเย็นชาอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากจำเป็นต้องหลอมอาวุธชิ้นหนึ่ง เขาจึงมุ่งมั่นต้องเอาเขาวัวขุยมาให้จงได้ เดิมนึกว่ามอบความจริงใจออกไปมากเพียงพอแล้ว ไม่คิดเลยว่าหลินสวินยังคงไม่เห็นคุณค่าของมัน สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย


“เจ้าก็คือหลินสวินหรือ ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมสละเขาวัวขุยเสีย”


พลันนั้นน้ำเสียงเสนาะหูสายหนึ่งดังขึ้น สาวน้อยนางหนึ่งเดินมาจากไกลๆ ดวงหน้าของนางแช่มช้อยอรชร ผิวพรรณดั่งหิมะรยางค์หยก มีประกายแสงใสไหลเวียนทั่วร่าง รูปร่างสูงเพรียว งดงามสูงสง่า เอวเล็กคอดหนึ่งฝ่ามือโอบได้รอบ มีสัดส่วนเว้าโค้งสมบูรณ์แบบสะกดผู้คน หาที่ติไม่ได้สักจุด


นี่คือความงามเจิดจ้าประดุจหงส์ก็ไม่ปาน


เมื่อเห็นนาง ทั่วลานล้วนสั่นสะท้านทันที


“องค์หญิงหลิงหวงเสด็จ!”


“ห้าปีก่อน นางก็มีความสัมพันธ์อันดีกับกู้อวิ๋นถิง คิดไม่ถึงว่ากู้อวิ๋นถิงเพิ่งออกด่าน นางก็ตามมาแล้ว ปรากฏกายในสำนักศึกษาอีกครา!”


องค์หญิงหลิงหวงคือธิดาที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันโปรดปรานมากที่สุด มีรูปโฉมโดดเด่น งดงามสูงสง่า พรสวรรค์ด้านการฝึกปราณน่าตะลึงหาใดเปรียบ สถานะก็เรียกได้ว่าทรงสง่าไร้ผู้เทียบเทียม เป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน


ห้าปีก่อนนางเคยฝึกปราณที่สาขายุทธ์วิถี กระทั่งกู้อวิ๋นถิงปิดด่าน นางจึงหวนกลับราชวงศ์แบบปุบปับ และไม่เคยปรากฏกายในสำนักศึกษาอีกเลย


และตอนนี้กู้อวิ๋นถิงเพิ่งออกด่าน องค์หญิงหลิงหวงก็ปรากฏตัวในสำนักศึกษาด้วย สิ่งนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากอดจินตนาการไปต่างๆ นานาไม่ได้


ยามนี้นางขวางอยู่หน้าเส้นทางของหลินสวิน รูปโฉมดั่งหยกงดงาม ราวกับหงส์ร่อนถลามาเยือนโลกมนุษย์


ในความเป็นจริงนางก็เหมือนพญาหงส์เย่อหยิ่งตัวหนึ่งจริงๆ ยามเอ่ยวาจา ปลายคางกลมกลึงไร้ที่ติเชิดขึ้นน้อยๆ ผุดเผยลำคอขาวผ่องดุจหงส์ฟ้า เย่อหยิ่งหาใดเปรียบ


“ไม่ผิด ข้าก็คือหลินสวิน แต่ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่คิดจะยกเขาวัวขุยให้ ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะไม่ขวางทางข้าเช่นกัน”


หลินสวินยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก แต่ในใจของเขาชักจะหมดความอดทนแล้ว เหตุใดกู้อวิ๋นถิงกับองค์หญิงหลิงหวงคนนี้ถึงได้เหมือนกันนัก ต่างมีท่าทีจะกินตนให้ได้ ออกจะปฏิบัติกับตนจริงจังเกินไปหน่อยแล้วกระมัง


ผู้คนมากมายต่างตกใจ ลอบแลบลิ้นกับตนเองอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าความใจกล้าของหลินสวินนี่ช่างมีมากเกินไปแล้ว แรกเริ่มก็ปฏิเสธกู้อวิ๋นถิง ตอนนี้แม้กระทั่งองค์หญิงหลิงหวงปราฏกาย เขายังไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดเดียว เขาไม่กลัวว่าจะล่วงเกินคนมากไปแล้ว และจะเกิดผลกระทบตามมาไม่สิ้นสุดหรือ


“ได้ยินมานานว่าเจ้า หลินสวินใจกล้าคับฟ้า กำเริบเสิบสาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้ประจักษ์แล้ว แต่ในเมื่อวันนี้ข้ามาแล้ว เจ้าคงต้องยกสละเขาวัวขุยนี้ออกมาเสีย”


คิ้วเรียวขององค์หญิงหลิงหวงขมวดขึ้น ทั่วกายเปี่ยมด้วยกลิ่นอายสูงส่งเอาแต่ใจ ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะเสนาะหู แต่คำพูดสื่อนัยออกคำสั่งชี้นิ้วบัญชา เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำเช่นนี้


หลินสวินหมดความอดทนอย่างสมบูรณ์แล้ว โบกมือพลางกล่าว “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้ต่อให้เทพเซียนมาก็ไม่มีประโยชน์ รีบหลบทางซะ!”


ฝูงชนในละแวกนั้นต่างสูดหายใจเฮือก หลินสวินคนนี้ช่างบ้าคลั่งถึงขั้นไม่มีขื่อไม่มีแปแล้วจริงๆ นี่เป็นถึงองค์หญิงหลิงหวง ผู้สืบเชื้อสายแห่งจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเชียวนะ ผู้ใดกล้าพูดกับนางเช่นนี้บ้าง


“บังอาจ! กล้าทำให้องค์หญิงขุ่นเคือง เชื่อหรือไม่ว่าวันนี้จะเอาผิดเจ้า มอบบทลงทัณฑ์แก่เจ้า”


ด้านข้าง ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนต่อว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทั่วกายเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการบีบบังคับ


“เจ้านับเป็นต้นหอมต้นไหนอีก หลบไปอยู่ข้างๆ นู่น!”


นัยน์ดำของหลินสวินเยียบเย็น เดิมทีเขาไม่อยากก่อเรื่องอะไรอีกก่อนหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ทว่าคิดไม่ถึงเลย หลังจากยอมอดทนมาตลอด อีกฝ่ายยังคงบีบคั้นเขาราวกับเป็นมะพลับนิ่ม[1]อยู่ได้


ฝูงชนละแวกใกล้เคียงรู้สึกโง่งมขึ้นมาน้อยๆ สถานะชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เป็นถึงทายาทสายตรงของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลฉี นามว่าฉีอวี้ บรรลุระดับหยั่งสัจจะได้ตั้งแต่ปีกลาย และเข้ามาฝึกปราณที่สาขายอดยุทธศาสตร์ เป็นแนวหน้าที่พาให้คนตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ทั้งด้านสถานะ ตำแหน่ง และความแข็งแกร่ง


ทว่าตอนนี้หลินสวินกลับผรุสวาทใส่ฉีอวี้โดยไม่เกรงใจสักนิด ความใจกล้านี้ช่างอ้วนพีเกินไปแล้วกระมัง!


——


[1] มะพลับนิ่ม เป็นคำอุปมาถึงคนอ่อนแอไร้ทางสู้


ตอนที่ 492 กำราบหยั่งสัจจะ

โดย

ProjectZyphon

ฉีอวี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ดูกล้าหาญเหนือธรรมดา นัยน์ตามีแสงทองเปล่งประกาย น่าขยาดกลัวหาใดเปรียบ


นัยน์ตาทองส่องสะท้อน!


นี่คือลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของสายเลือดสายตรงตระกูลฉี พรสวรรค์โดดเด่นเป็นพิเศษ สอดประสานกับมหามรรค เมื่ออยู่ในระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริง สามารถควบคุมพลังสัจวิถีธาตุทองได้อย่างสมบูรณ์แบบ น่ากลัวถึงขีดสุด


ในฐานะคนวัยหนุ่มที่มีอิทธิพลแห่งยุคคนหนึ่ง ตั้งแต่ฉีอวี้ก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะเมื่อปีกลาย และถูกรับเข้าฝึกปราณในสาขายอดยุทธศาสตร์แล้ว ก็ดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตจำนวนมาก ในสำนักศึกษามฤคมรกตตอนนี้แทบไม่มีใครเลือกเป็นปรปักษ์กับเขาเลย


แม้กระทั่งอาจารย์บางส่วนยังยอมนบนอบต่อฉีอวี้สามส่วน แต่ในเวลานี้หลินสวินกลับด่าว่าเขา น้ำคำไม่เกรงใจสักนิด ฝูงชนย่อมตกตะลึงเป็นธรรมดา คิดว่าความใจกล้าของหลินสวินแทบจะทะลุฟ้า พาให้ผู้คนลิ้นค้างแข็ง


ส่วนฉีอวี้ สีหน้าในตอนนี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา แสงทองกลางนัยน์ตาไหวกระเพื่อมดุจสายฟ้าแลบบาดตา กวาดสำรวจหลินสวิน


“เจ้ากล้าเสียมารยาทกับข้า?”


น้ำเสียงฉีอวี้ประหนึ่งกระบี่พลุ่งพล่าน เชือดสังหารผ่านอากาศ


ผู้คนต่างหน้าเปลี่ยนสี รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของหลินสวินยั่วโทสะฉีอวี้เข้าให้แล้ว ผลที่ตามมายากจะคาดเดาได้


หลินสวินกลับเหมือนทองไม่รู้ร้อน สองมือไพล่หลัง ชำเลืองมองฉีอวี้พลางกล่าวดุด่า “นี่ข้ากำลังสั่งสอนเจ้าอยู่ ฟังไม่ออกหรือไร ในฐานะศิษย์คนหนึ่ง กลับกล้าหมิ่นผู้อาวุโสกว่า ล่วงเกินอาจารย์ หนำซ้ำยังเอ่ยวาจาข่มขู่ เจ้าช่างใจกล้าจริงๆ!”


ทันใดนั้นทั่วลานพลันตกตะลึง ใครก็คาดไม่ถึงว่าเวลานี้หลินสวินจะเอาสถานะอาจารย์มากดดันฉีอวี้อย่างเปิดเผยเถรตรง ทำเอาผู้คนไม่สามารถโต้แย้งได้


เนื่องจากใครๆ ต่างก็รู้ว่าหลินสวินเป็นอาจารย์คนหนึ่งจริงๆ แม้จะอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นอาจารย์ในสาขาสลักวิญญาณ ทว่าในสำนักศึกษามฤคมรกต สถานะเช่นนี้ของเขาก็ไม่ใช่ว่าศิษย์คนใดจะไปปรามาสได้


แม้แต่ท่าทีของฉีอวี้ยังดูแข็งค้างไป คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเล่นไม้นี้


“เป็นเจ้าที่ไม่เคารพองค์หญิงหลิงหวงก่อน ซ้ำยังเอ่ยวาจาปรามาสข้าอีก ข้าก็แค่อยากบอกเรื่องความถูกผิดกับเจ้าเสียหน่อย เจ้ากลับเอาสถานะอาจารย์มาวางอำนาจบาตรใหญ่ คนไร้ยางอายเช่นเจ้าคู่ควรมาสั่งสอนข้าหรือ”


ฉีอวี้สูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุดัน


“อ้อ ข้ากลับคิดไม่ถึง ศิษย์ในยามนี้อาละวาดได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่อาจารย์ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ข้าคงต้องหาโอกาสไปถามไถ่เจ้าสำนักว่าเลือกสรรเอาหมาแมวมาหรือไร ถึงได้กล้าเหยียบย่ำกฎระเบียบ ไม่เคารพครูบาอาจารย์เลย”


หลินสวินกล่าวเนิบนาบ ท่าทางมาดมั่นไม่หวั่นไหว


ผู้คนลอบด่าทอในใจ เจ้าหมอนี่ไม่เพียงโอหัง ยังไร้ยางอายอย่างยิ่ง ครั้นเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลก็ยกสถานะ ‘อาจารย์’ มาเป็นเกราะกำบัง


ฉีอวี้ยิ่งโกรธจนในใจเดือดพล่าน ตั้งแต่ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ผู้ใดกล้าใช้คำว่า ‘หมาแมว’ มาบรรยายเขาบ้าง นี่มันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วชัดๆ!


“คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ ข้าจะออกหน้าเอง ให้สำนักศึกษาปลดตำแหน่งอาจารย์ของเจ้า ดูซิว่าเจ้ายังจะโอหังได้แค่ไหน!”


องค์หญิงหลิงหวงที่อยู่อีกด้านก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน รู้สึกว่าสีหน้าท่าทางของหลินสวินช่างน่ารังเกียจเหลือทน ไม่อ่อนไม่ชอบกลับชอบกินไม้แข็ง!


ในใจผู้คนสั่นสะเทือน สถานะขององค์หญิงหลิงหวงไม่ธรรมดา หากนางทำเช่นนี้จริงๆ เป็นไปได้ว่าอาจทำให้สำนักศึกษายอมทำตาม ถอดถอนคุณสมบัติอาจารย์ของหลินสวิน!


กลับเห็นว่าหลินสวินไม่ใส่ใจสักนิด กล่าวพลางยิ้มหยัน “ได้เลย รีบไปเร็วเข้า ข้ารอข่าวดีจากเจ้าอยู่”


เขามีท่าทีไม่แยแส หมุนกายเดินออกไป


“เจ้าหยุดให้ข้าเดียวนี้นะ!”


องค์หญิงหลิงหวงโกรธจนกัดฟันกรอดเช่นเดียวกัน นางเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สถานะสูงศักดิ์ รูปโฉมไร้ใครเปรียบ เดินไปที่ไหนล้วนได้รับความเคารพจากผู้คนทั้งนั้น ไม่มีใครกล้าขัดขืน ไหนเลยจะเคยคาดคิดว่าอาจารย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างหลินสวินจะกล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา


“ยังจำหลิงเทียนโหวได้หรือไม่”


หลินสวินโยนประโยคนี้ลงไปโดยไม่หันกลับไปด้วยซ้ำ ก่อนสาวเท้าก้าวฉับๆ ออกไป


หลิงเทียนโหว!


ใครจำไม่ได้บ้าง


หลินสวินเอ่ยคำนี้ออกมา เจตนาชัดเจนยิ่งนัก นี่คือคำเตือนอย่างหนึ่ง


ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า ไม่เอ่ยถึงหลิงเทียนโหวยังจะพอว่า ครั้นกล่าวถึงขึ้นมา องค์หญิงหลิงหวงก็บันดาลโทสะทันที นี่คือความอัปยศของราชวงศ์ หลินสวินไม่รู้สำนึกไถ่บาป ยังกล้าเอาเรื่องนี้มาข่มขู่นางอีก ช่างโอหังบ้าคลั่งถึงขีดสุดยิ่งนัก!


ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขวัญหนีดีฝ่อ คิดไม่ถึงว่าหลินสวินกล้าเอ่ยถึงหลิงเทียนโหวต่อหน้าองค์หญิงหลิงหวง นี่มันต่างจากการรนหาที่ตายตรงไหนกัน


“หลินสวิน วันนี้หากเจ้าไม่คุกเข่าชดใช้ความผิด ก็เลิกคิดจะจากไปได้เลย!”


ฉับพลัน ฉีอวี้ร้องตวาดลั่น แสงทองพวยพุ่งทั่วกาย แปรเปลี่ยนเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งไปคว้าหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป


มือใหญ่ส่งเสียงอึงอล กดบีบห้วงอากาศ ล้อมรอบด้วยแสงเรืองรอง ในนั้นประทับพลังแห่งสัจจะมหามรรคเอาไว้ ทั้งดุดัน ทรงพลัง หมายจะฉีกสรรพสิ่งให้เป็นผุยผง น่าสะพรึงหาที่เปรียบมิได้


ฝูงชนละแวกใกล้เคียงรู้สึกปวดแสบผิวหนัง หัวใจสั่นสะท้าน นี่คือพลังแห่งระดับหยั่งสัจจะ สะท้อนถึงสัจวิถีธาตุทอง!


ไม่มีใครคาดคิดว่าฉีอวี้จะแข่งแกร่งเพียงนี้ เห็นชัดว่าหมายจะกำราบหลินสวินในการโจมตีเดียว บีบบังคับให้เขาต้องอับอายขายหน้าอยู่ตรงนั้น


องค์หญิงหลิงหวงท่าทางทระนงตน คอยชมอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเยียบเย็น


การกระทำเมื่อครู่ของหลินสวินทำให้นางรู้สึกอับอายยิ่ง ย่อมต้องตั้งตารอชมฉีอวี้สยบหลินสวินในการโจมตีเดียวเป็นธรรมดา


ตั้งแต่ต้นจนจบกู้อวิ๋นถิงไม่ได้พูดอะไรมาก ดูปลีกตัวอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไม่ได้สนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเลยสักนิด


ตูม!


มือใหญ่สีทองร่วงลง ห้วงอากาศแถบนั้นพังทลายสิ้น ทรงพลังเหลือคณา ลำแสงสีทองส่องประกายพลุ่งพล่าน


เงาร่างของหลินสวินกำลังจะถูกครอบคลุมในไม่ช้าแล้ว และในเวลานี้เอง หลินสวินหมุนกายโดยพลัน กลางนัยน์ตาดำปรากฏแววเย็นเยียบวาบผ่าน


พลังหมัดสายหนึ่งดุจมังกรโผล่พ้นเหว แผ่คลุมด้วยแสงสีฟ้าอ่อนดุจจันทร์เพ็ญสีฟ้าลอยเด่น ซัดกระแทกออกไปอย่างรุนแรง


เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น บริเวณนี้พลันเกิดการปะทะกันรุนแรงสั่นฟ้าสะเทือนดิน แสงสีตีม้วน ปกคลุมสรรพสิ่ง


ผู้คนจำนวนมากต่างหน้าเปลี่ยนสี พากันถอยร่น สำหรับพวกเขาแล้ว การโจมตีนี้ของฉีอวี้น่ากลัวเกินไป มันแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งระดับหยั่งสัจจะ มีพลานุภาพทำลายล้างอันเหนือจินตนาการ แทบจะกวาดล้างระดับมหาสมุทรวิญญาณทั้งหมดได้


แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนคือ เมื่อฝุ่นควันจางหาย หลินสวินกลับไม่ได้ถูกกำราบ เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น เรือนผมดำพลิ้วไสว รอบกายห้อมล้อมด้วยแสงอัศจรรย์สีฟ้าอ่อนหลายสาย มีกลิ่นอายใสกระจ่างอย่างหนึ่ง


“เขา…ถึงกับสกัดเอาไว้ได้?”


“นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร”


ศิษย์เหล่านั้นตกตะลึงอึ้งค้าง ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าในระดับมหาสมุทรวิญญาณหลินสวินแทบจะไร้คู่ต่อสู้ วิปริตอย่างมาก ทว่ากับระดับหยั่งสัจจะแล้วอย่างไรเสียก็ต่างกันหนึ่งระดับใหญ่ๆ นี่ก็เปรียบเหมือนคูเมืองธรรมชาติแห่งหนึ่ง ไม่สามารถรุกล้ำได้


แต่ตอนนี้หลินสวินกลับเผชิญหน้าการโจมตีครั้งนี้ตรงๆ ไม่มีหลบหลีก หนำซ้ำยังไม่ได้รับบาดเจ็บด้วย นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนกได้อย่างไร


กู้อวิ๋นถิงที่วางตัวประหนึ่งผู้ละทางโลกมาตลอด ในเวลานี้ก็หรี่ตาลง ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้เช่นเดียวกัน


แม้กล่าวว่าฉีอวี้เพิ่งบรรลุระดับหยั่งสัจจะเมื่อปีกลาย ทว่าสายเลือดของเขาเก่าแก่ สอดคล้องใกล้ชิดกับมหามรรคแห่งทองมาตั้งแต่เกิด พลังต่อสู้โดดเด่นเหนือผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นทั่วไปนัก


ทว่าหลินสวินกลับสามารถต้านการโจมตีของฉีอวี้ได้ นี่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดาเอามากๆ


ทันใดนั้นทั่วลานพลันไร้สุ้มเสียง


แม้แต่ฉีอวี้ก็อดงุนงงไม่ได้ คนอื่นอาจไม่แน่ใจ แต่ตัวเขารู้ชัดยิ่งนัก การโจมตีครั้งนี้เขาใช้พลังถึงห้าส่วน เพื่อจะสยบหลินสวินให้อยู่หมัดในกระบวนท่าเดียว ให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น อับอายขายหน้าต่อธารกำนัล ทว่าท้ายที่สุดหลินสวินกลับสกัดกั้นเอาไว้ได้


“เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำให้ข้าคุกเข่าชดใช้ความผิด?”


บนดวงหน้าหล่อเหลาสุภาพของหลินสวินมีแววไม่ยี่หระ นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้า ลึกล้ำปานหุบเหวมหึมา เขาถูกยั่วโมโหแล้ว ถูกยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่าเวียนวนไปมา หนำซ้ำอีกฝ่ายยังลงมือกับเขาอีก นี่แตะเส้นความอดทนของหลินสวินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


รูปปั้นดินยังมีความเป็นดินอยู่สามส่วน[1] นับประสาอะไรกับหลินสวิน เขาเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบแต่ไหนแต่ไรแล้ว


“ฉีอวี้ ต่อกรคนชั่วช้าไร้ยางอายพรรค์นี้ ไยต้องปรานีด้วย”


องค์หญิงหลิงหวงเปล่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง คิดว่าฉีอวี้ออมแรงไว้ ไม่ใส่ใจคำพูดของหลินสวินสักนิด


“องค์หญิงโปรดวางใจ ข้าจะโค่นเขาลงเดี๋ยวนี้!”


ท่าทางของฉีอวี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก้าวเท้าออกไป เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าสง่างาม เวลานี้ขับเคลื่อนพลัง รอบกายพลันถูกแสงทองรายล้อม เลือดลมไหลเดือดคลั่งราวพลุ่งพล่าน กลิ่นอายพุ่งทะยาน ทำเอาห้วงอากาศส่งเสียงครวญ


ตูม!


รอยประทับกลางฝ่ามือเขาแปรเป็นเมฆสีทอง ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาตระหง่าน กำราบลงไป


ชั่วขณะนั้นฟ้าดินแถบนี้คล้ายจะพังครืน แบกรับพลังอันน่ากลัวเช่นนี้ไว้ไม่ไหว กระแสลมไหลเวียนสั่นสะเทือน แสงสีทองพวยพุ่ง


หลินสวินคลี่ยิ้ม เผยให้เห็นฟันเรียงสวยขาวกระจ่าง รอยยิ้มนั้นแสนอบอุ่น สดใส เพียงแต่ในดวงตาดำสนิทของเขานั้น กลับเป็นความหนาวเย็น


คนที่รู้จักหลินสวินต่างรู้ดีว่าเขาบันดาลโทสะแล้วจริงๆ


“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ ข้าก็จะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา!”


ในน้ำเสียงราบเรียบสบายๆ นั้น หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งพุ่งทะยานขึ้นหน้า เกือบจะในเวลาเดียวกัน พลังมหาสมุทรวิญญาณทั้งหมดในกายเขาขับเคลื่อน ประดุจพายุคลั่งในเหวลึกตื่นจากความเงียบงัน


ครั้นหมัดซัดออกไป พลันสำแดงปรากฏการณ์น่าตระหนก ภูผาธาราพังทลาย ห้วงอากาศระเบิดแตก มังกรครวญหงส์ร่ำร้อง เปี่ยมด้วยพลังเขย่าฟ้าสะท้านดิน


นี่คือเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ถูกหลินสวินทบซ้อนด้วยพลังเจ็ดเท่า!


โครม~


เสียงปะทะลั่นฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ฝูงชนละแวกนั้นถูกซัดสะเทือนจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ทั่วกายสั่นสะท้าน ไม่อาจไม่ถอยร่อนด้วยความสยดสยอง


น่ากลัวเกินไปแล้ว


หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในโลกภายนอก เกรงว่าในรัศมีพันจั้งคงราพนาสูร!


เคราะห์ดีที่อยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ด้วยรอบอาณาเขตปกคลุมด้วยพลังป้องกันเก่าแก่ลึกลับ จึงสลายพลังทำลายล้างและความเสียหายจำนวนมากท่ามกลางความเงียบ


“เจ้า…”


ฉีอวี้ตกใจ การโจมตีครั้งนี้ถึงกับถูกหลินสวินสกัดไว้ได้อีกหน


คนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ สกัดการโจมตีครั้งแรกได้อาจเพราะโชคช่วย ทว่าสามารถสกัดการโจมตีครั้งที่สองได้ ไหนเลยจะกล่าวว่าโชคช่วยได้อีกเล่า


กลับเห็นว่าหลินสวินไม่พูดมากความ เงาร่างดั่งชือน้ำแข็ง อันตรธานหายไปกลางอากาศโดยฉับพลัน ครู่ต่อมาก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าฉีอวี้เป็นที่เรียบร้อย ก่อนซัดพลังหมัดเหิมหาญลงไป


เร็วเกินไปแล้ว!


ความยอดเยี่ยมของก้าวย่างชือน้ำแข็งถูกสำแดงเต็มกำลัง ทำให้ฉีอวี้ใจหดรัด รีบยกมือขึ้นสกัดต้าน


“เจ้าคุกเข่าให้ข้าก่อนเถิด!”


หลินสวินในเวลานี้ผมดำปลิวไสว บนดวงหน้าหล่อเหลาเปี่ยมด้วยแววถากถาง ร่างกายส่องแสงเปล่งประกายดั่งเตาหลอมล้ำค่า ใช้พลังทั้งหมดออกมา


พลังหมัดเรียบง่ายซัดออกมา ไม่แปดเปื้อนสิ่งใด ราวกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เบาหวิวพลิ้วตามลม


ตูม!


ฉีอวี้รู้สึกเพียงสองแขนเจ็บปวด พลังยิ่งใหญ่ยากควบคุมกดทับลงมา ราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนขยับ กระแทกใส่ร่างเต็มแรง ทำให้ในหัวเขาเกิดเสียงอื้ออึง กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแทบจะระเบิดออก


จากนั้นทั้งร่างเขาเกิดเสียงดังโครมขึ้นมา ก่อนร่วงลงจากกลางอากาศ


“รนหาที่ตาย!”


เขาคำรามอย่างเดือดดาล เลือดลมทั่วร่างราวกับลุกไหม้


เพียงแต่ช้าไปก้าวหนึ่ง หลินสวินฉวยโอกาสทะยานมาถึงแล้ว ฝ่ามือหนึ่งกดลงบนหัวฉีอวี้ ส่วนมืออีกข้างกลับตบใส่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรง


เกิดเสียงดังโครม ฉีอวี้กระตุกไปทั้งร่าง ถูกหลินสวินสยบจนคุกเข่ากับพื้นทั้งอย่างนั้น!


___


[1] รูปปั้นดินยังมีความเป็นดินอยู่สามส่วน หมายถึง ต่อให้เป็นคนที่อ่อนโยนแค่ไหนก็โมโหเป็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)