Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 488-490
ตอนที่ 488 ศิษย์น้องเจ้าสำนัก
โดย
ProjectZyphon
เพลิงโทสะลุกโชนกลางอากาศ สัตว์ปีกดุร้ายร่ายรำ สิ่งที่แปรเปลี่ยนออกมาล้วนเป็นร่องรอยมรรคแห่งไฟ ดุจสรรค์สร้างโดยสวรรค์ แสดงให้เห็นถึงพลังอันดุดันร้อนแรง
หลินสวินใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ต่อสู้อย่างดุเดือด ทั้งร่างอบอวลด้วยแสงสีฟ้าอ่อน เงาร่างสูงโปร่งราวกับไม่อาจคลอนแคลน เคลื่อนย้ายหายวับอยู่ระหว่างฟ้าดิน
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ทะเลเพลิงทลาย สัตว์ปีกดุร้ายแตกเป็นเสี่ยง ทุกสิ่งกลายเป็นเปลวเพลิงฝนแสง สาดเซ็นระหว่างฟ้าดิน ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัจวิถีธาตุไฟ
หลินสวินจดจ่ออยู่กับการตระหนักรู้ แต่ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้ว ทั้งที่สัจวิถีธาตุไฟนั้นอยู่ต่อหน้าแท้ๆ แต่ดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศ ไร้ร่องรอยให้เสาะหา
ในที่สุดสัจวิถีธาตุไฟก็หายลับไป ภาพลวงตาทั้งหมดพลันตกสู่ความสงัด
‘ดูเหมือนว่าหากไม่มีโอกาสทะลวงระดับหยั่งสัจจะ ก็คงยากจะหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคจริงๆ สินะ’
หลินสวินมุ่นคิ้ว
จากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าข้างกายยังมีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์พิสุทธิ์กว่าหิมะ ท่าทางโดดเด่นเหนือธรรมดา เป็นกู้อวิ๋นถิงคนนั้นนั่นเอง
เขาก็มาปีนบันไดสวรรค์เหมือนกันหรือ
หลินสวินสังเกตเห็นว่า เวลานี้คนผู้นี้ได้ก้าวไปที่บันไดขั้นที่สองแล้ว เห็นได้ชัดว่าถึงเขาจะตามตนมาติดๆ แต่กลับแซงหน้าไปก่อนเสียแล้ว
‘จะแข่งกับตนสักตั้งหรือ’
หลินสวินไหวไหล่ส่ายหน้า เขาไม่มีความคิดจะแข่งขันแบบนี้ มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะเขาไม่ต้องการแบ่งสมาธิไปกับเรื่องพรรค์นี้ก็เท่านั้น
หลังจากสัมผัสความอัศจรรย์ของ ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ อย่างแท้จริงแล้ว ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความทะเยอทะยานแรงกล้าขึ้นมาฉับพลัน ปรารถนาจะลองหยั่งรู้พลังแห่งสัจจะด้วยระดับปราณของมหาสมุทรวิญญาณสักตั้ง!
เนินนานก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสำแดง ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ ก็เคยใช้ ‘คว้าดารา’ และ ‘สอยจันทรา’ สองกระบวนท่านี้สำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ เคลือบแฝงกลิ่นอายของสัจจะมหามรรค
แต่นั่นเป็นพลังที่หลอมรวมอยู่กับเพลงดาบ ต่อให้สามารถควบคุมมันได้ แต่สัจจะมหามรรคนั้นกลับไม่ได้เป็นของหลินสวิน แต่เป็นเพียงแค่การหยิบยืมพลังมาใช้งานอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ตอนนี้บนบันไดสวรรค์ ณ ที่นี้ ปกคลุมด้วยร่องรอยมหามรรคแน่นขนัด สามารถพัฒนาออกมาเป็นแก่นจริงแท้แห่งมหามรรค วาสนาหายากเพียงนี้ หลินสวินย่อมไม่อยากพลาดมันไปทั้งอย่างนี้แน่นอน
หากมองเป็นเพียงการประชันสูงต่ำกับกู้อวิ๋นถิง แล้วรีบร้อนบุกฝ่าปีนบันไดสวรรค์ เช่นนั้นคงพลาดวาสนาหนนี้ไปโดยไม่ต้องสงสัยเลย
หลินสวินก้าวต่อไปโดยไม่ลังเล เหยียบขึ้นสู่บันไดขั้นที่สอง บัดนั้นภาพลวงตาสัจจะมหามรรคผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ครานี้เป็นโลกแห่งพฤกษาขจี ไม้เขียวผงาดฟ้า ใบไม้ปกคลุมห้วงอากาศ อบอวลด้วยพลังชีวิตหาใดเปรียบพวยพุ่งออกมา
สัจวิถีธาตุไม้!
ไม้ให้กำเนิดเป็นหลัก ไหลเคลื่อนไม่ขาดสาย เป็นหนึ่งในสัจวิถีปัญจธาตุ อัศจรรย์ยากหยั่งถึง กล่าวกันว่ามหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะที่ควบคุมสัจวิถีธาตุไม้บางคนสามารถครอบครองพลังต่อสู้อันไร้ที่สิ้นสุด มีชีวิตยาวนานต่อเนื่อง ดุจดั่งกายอมตะก็ไม่ปาน กร้าวแกร่งถึงขีดสุด
อีกทั้งพวกเขาสามารถสูดคลายพลังชีวิตแห่งฟ้าดินผ่านวิญญาณต้นไม้ใบหญ้า ชิดใกล้ธรรมชาติฟ้าดินมากที่สุด เมื่อฝึกปราณจึงง่ายดายกว่าผู้ฝึกปราณสายอื่นๆ
โครม~~
ทันใดนั้นเถาวัลย์ใหญ่หนาราวๆ ถังน้ำเส้นแล้วเส้นเล่าต่างพุ่งออกมาจากพื้นดินราวกับงูหลามร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ครอบฟ้าคลุมดิน พุ่งเข้าสยบหลินสวิน
ฉัวะ!
เถาวัลย์ที่ดูเหมือนอ่อนนุ่มนั้นกลับฉีกทลายห้วงอากาศได้อย่างง่ายดาย เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงอันน่าหวาดกลัว
ปลายเท้าหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างดั่งภาพลวงตา เข้าสู้ประจัญบาน พลังหมัดดุจมังกรใหญ่ ทลายฟ้าทุบดิน กวาดพุ่งสิบทิศ บดขยี้เถาวัลย์แต่ละเส้นให้แตกกระจาย ปลิวสลายล่องลอย
สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจก็คือ เถาวัลย์ที่แตกเป็นเสี่ยงเหล่านั้นฟื้นตัวกลับมาทันทีที่ร่วงกระทบพื้น และโผนทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง
นี่ก็คือสัจวิถีธาตุไม้ เกิดใหม่ไม่มีหยุดหย่อน เว้นแต่จะสามารถกำราบพลังที่แท้จริง มิเช่นนั้นก็แทบจะฆ่าไม่ตาย!
หลังผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลินสวินถึงได้อาศัยพลังหมัดทับซ้อนสามเท่าระเบิดสัจวิถีธาตุไม้ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้มันกลายเป็นฝนแสงมากมาย
เขากลั้นลมหายใจรวบรวมสติ กำจัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองออกไปและพยายามหยั่งรู้
เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ทั้งที่เขารู้สึกว่าเพียงแค่เอื้อมมือก็สามารถไขว่คว้าแก่นแท้ของสัจวิถีธาตุไม้ได้แล้วแท้ๆ ทว่ามักจะคว้าน้ำเหลว เสมือนว่าถูกกั้นกลางด้วยโลกหนึ่งใบอย่างไรอย่างนั้น ได้เพียงมอง ได้เพียงเห็น แต่กลับไร้หนทางหยั่งถึง
แต่หลินสวินก็มิได้ย่อท้อ นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่สามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ต่อให้มี โดยมากก็เป็นเรื่องราวในตำนาน ไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้
ด้วยเหตุนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า หากหมายจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ ไม่ใช่แค่คำว่ายากลำบากง่ายๆ แค่นั้น แต่แทบจะไร้ซึ่งความหวังเลยต่างหาก!
เป็นดังเช่นป้อมปราการที่ขวางเขตแดน หากไร้ซึ่งคุณสมบัติแห่งระดับหยั่งสัจจะ ก็ยากจะทะลวงปราการแห่งการหยั่งรู้มหามรรคได้
พูดง่ายๆ ก็คือนี่เป็นหนทางที่มองไม่เห็นความหวังเส้นหนึ่ง ในอดีตไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณโดดเด่นน่าทึ่งตั้งเท่าไรที่เคยลองมาก่อน แต่ท้ายที่สุดล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวทั้งสิ้น
หลินสวินไม่รู้เรื่องพวกนี้ ย่อมไม่อาจตระหนึกถึงมันได้อย่างลึกซึ้ง การเคลื่อนไหวของเขาในเวลานี้ บางทีอาจเรียกได้ว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่หวั่นเกรงจริงๆ ก็เป็นได้
แต่ว่านี่ก็คือการฝึกปราณ มีเพียงการแสวงหาและเสาะสำรวจเท่านั้นจึงจะสามารถพิสูจน์มหามรรคของตนได้
……
เบื้องหน้าภูผาบันไดสวรรค์ เนื้อสัตว์ในหม้อเหล็กถูกกินไปจนเกลี้ยง ชายชรามอมแมมยังทำปากแจ๊บๆ ต่อไปอย่างติดใจ
เขาเอนกายลงบนหินสีครามหน้ากระท่อมอย่างเกียจคร้าน เหลือบสายตาทอดมองไกลออกไป อิ่มอกอิ่มใจอย่างไม่อาจบรรยายได้
“ศิษย์น้อง เจ้าว่าเด็กหนุ่มสองคนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
ทันใดนั้นเสียงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเสียงหนึ่งดังขึ้น ชายชราร่างผอมคนหนึ่งมาอยู่หน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ สองมือไพล่หลัง จ้องมองภูผาบันไดสวรรค์ที่อยู่ในระยะไกล
หากหลินสวินอยู่ที่นี่ จะต้องจำชายชราร่างผอมได้อย่างแน่นอนว่าเขาคือเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต!
“เห แม้แต่ท่านยังตื่นตระหนกเลย ยังต้องถามข้าอีกหรือ”
ชายชรามอมแมมหยิบไม้จิ้มฟันก้านหนึ่งออกมา ดูราวกับไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักมาเยือนด้วยตัวเอง
“ข้าอยากรู้ความคิดเห็นของเจ้า”
เจ้าสำนักเอ่ยถาม
“เจ้าหนูชุดขาวคนนั้นน่าจะเป็นเจ้าคนที่ไต่ขั้นกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณเมื่อวานนี้สินะ หากข้าเดาไม่ผิดละก็ ครั้งนี้เขามาทะลวงระดับขั้น และเป็นไปได้มากว่าจะประสบความสำเร็จด้วย”
น้ำเสียงชายชรามอมแมมเหน็ดเกียจคร้าน คล้ายกำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร “คนหนุ่มเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงเข้าไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ”
“แล้วอีกคนเล่า”
ท่าทีเจ้าสำนักดูราบเรียบ ไม่ได้แปลกใจอะไร เนื่องจากเขารู้แจ้งถึงพลังแฝงของกู้อวิ๋นถิงยิ่งกว่าชายชรามอมแมมเสียอีก
“อืม ยังไม่เห็นถึงความลี้ลับอะไร”
ชายชรามอมแมมตอบอย่างขอไปที เขาดูคร้านจะให้ความสนใจแล้ว
“เจ้าดูอีกทีสิ”
เจ้าสำนักเอ่ย คล้ายจะสนใจความคิดเห็นของชายชรามอมแมมเป็นอย่างมาก
ชายชรามอมแมมฉงนใจอยู่บ้าง เหล่มองเจ้าสำนักปราดหนึ่งก่อนกล่าว “เจ้าหนูนี่ยังมีอะไรโดดเด่นอีกงั้นหรือ”
“แต่เดิมเขามีโอกาสทิ้งชื่อไว้บนกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณ เพียงแต่สุดท้ายกลับปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ไป หลายพันปีนับตั้งแต่ข้านำป้ายหินวิญญาณมรรคเข้าสู่สำนักศึกษามฤคมรกต ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลย”
เจ้าสำนักเอ่ยง่ายๆ
“อะไรนะ”
ชายชรามอมแมมตวาดร้องออกมาแล้วลุกนั่งหลังตรง ในสีหน้าเกียจคร้านปรากฏแววแปลกประหลาด “ท่านจะบอกว่า บนร่างเด็กคนนี้มีพลังที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องกายอย่างยิ่งดำรงอยู่หรือ”
เห็นชัดว่าเขารู้ความลับบางอย่าง
เจ้าสำนักพยักหน้า “ไม่ผิด พลังที่สามารถกีดกันและปฏิเสธ ‘ป้ายหินวิญญาณมรรค’ ได้ ก็คือสิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ปรารถนาจะครอบครองมากที่สุด ข้าเพียงได้ยินมาว่าเมื่อหลายปีก่อนพลังชนิดนี้ถูกคนนำมาจากดินแดนรกร้างโบราณเข้าสู่จักรวรรดิจื่อเย่า แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่านี่อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้”
ท่าทางชายชรามอมแมมเปลี่ยนเป็นไหววูบ ครู่ใหญ่ก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “พูดแบบนี้ ท่านคิดจะส่งเด็กคนนี้ให้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ หรือว่าจะจัดการด้วยตัวเอง ยึดครองพลังที่อยู่บนร่างเด็กนี่เอาไว้เอง?”
รอยยิ้มนั้น เห็นชัดว่าออกจะเขย่าขวัญไปหน่อย
เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ “หากเป็นเมื่อก่อนบางทีข้าอาจจะทำเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้ ข้าแค่คิดจะเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนาม หลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมฉากนี้”
ชายชรามอมแมมหัวเราะเย็นชา “ท่านยอมได้หรือ หรือท่านลืมไปแล้วว่าตอนแรกเป็นใครที่ไสส่งท่านออกมาจากดินแดนรกร้างโบราณ”
เจ้าสำนักมีท่าทีสงบนิ่ง กล่าวว่า “เรื่องราวในปีนั้นเดิมก็เป็นข้าที่เริ่มก่อน มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าหลายพันปีมานี้ ข้าจะไม่มีโอกาสหวนกลับไปอีกเลยหรือ”
ชายชรามอมแมมไม่เชื่อถืออย่างยิ่ง หัวเราะเสียงเย็นว่า “ข้าไม่เชื่อ ท่านต้องมีแผนอื่นแน่”
เจ้าสำนักขมวดคิ้ว เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยพลางถอนใจเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ปีนั้นข้าแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบ ไม่สามารถโทษใครได้”
“แต่ท่านก็ไม่ยินยอม มิเช่นนั้นเหตุใดวันนี้ถึงได้สนใจเด็กหนุ่มนี่ขนาดนี้กันเล่า”
ชายชรามอมแมมเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
ขณะพูดสายตาของเขาทอดมองไปยังภูผาบันไดสวรรค์ที่อยู่ห่างออกไป มองเห็นได้ชัดเจนว่าเงาร่างของหลินสวินกำลังเดินขึ้นบันไดหินขั้นแล้วขั้นเล่าด้วยท่วงท่าเนิบนาบอย่างหนึ่ง
ส่วนอีกฝั่ง กู้อวิ๋นถิงผู้นั้นกลับสาวเท้าสวบดั่งโบยบิน ห้อทะยานดุจอัศวานึก ลอยล่องแผ่วพลิ้วประหนึ่งเทพจุติลงมา ปีนถึงช่วงกลางเขาแล้ว นำหลินสวินลิบลิ่ว
“หากท่านคิดจะบ่มเพาะเด็กหนุ่มนี่ให้แย่งชิงสิ่งที่ท่านสูญเสียไปในปีนั้นแทนท่าน เช่นนั้นคงต้องผิดหวังแล้ว เพราะข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กคนนี้ควรค่าแก่การให้ความสนใจตรงไหนกัน”
คราวนี้เจ้าสำนักจมสู่ความเงียบงัน ผ่านไปนานกว่าจะเอ่ยวาจา “ข้าไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้ บนตัวเด็กหนุ่มคนนี้มีเคราะห์กรรมมากเกินไป ยังจำหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวินได้หรือไม่”
ชายชรามอมแมมหรี่ตาลง “อันดับหนึ่งและสองของการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน?”
เจ้าสำนักพยักหน้า “ปู่ของหลินเหวินจิ้งคือหลินเต้าเฉินราชันแห่งระดับสังสารวัฏ ตายในสนามรบชายแดน แต่ตายอย่างไรนั้นยังคงเป็นปริศนาเรื่อยมา”
“ส่วนลั่วชิงสวินก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างบอกว่านางถือกำเนิดในครอบครัวยากจนต้อยต่ำ บิดามารดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ไร้ญาติขาดมิตร แต่พรสวรรค์ของนางกลับโดดเด่นไม่เป็นรอง เป็นเพชรยอดมงกุฎตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน อีกทั้งนิสัยเฉลียวฉลาด ยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา ตอนนั้นเจ้าเองก็เคยพูดว่านี่มันผิดปกติมาก”
ชายชรามอมแมมจมดิ่งในความทรงจำ เนิ่นนานกว่าจะพยักหน้า “ความประทับใจที่ข้ามีต่อแม่นางน้อยอย่างลั่วชิงสวินคนนี้ลึกล้ำมาก ดูจากกลิ่นอายท่าทางรอบตัวนางแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนมีชาติกำเนิดยากจนข้นแค้นจะสามารถปลูกฝังออกมาได้อย่างแน่นอน”
กล่าวถึงจุดนี้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “แต่พวกเขาล้วนตายกันหมดแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน เหตุใดยังต้องเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ด้วย”
เจ้าสำนักกล่าวอย่างราบเรียบ “หลินสวินคนนั้นก็คือลูกของพวกเขา”
ชายชรามอมแมมนิ่งอึ้งไป สีหน้าผุดแววแปลกประหลาดขึ้นมา “ที่แท้เป็นเด็กคนนี้นี่เอง ตอนที่เขาถือกำเนิดนั้นเกิดมาพร้อมชีพจรวิญญาณ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ทำเอาทั้งนครต้องห้ามตื่นตระหนก เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากถูกชิงชีพจรวิญญาณไปแล้ว เขายังถึงขั้นสามารถเอาชีวิตรอดมาจนถึงป่านนี้ได้ หากถูกอวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้ารู้เข้า ก็คงมีปาหี่สนุกๆ ให้ดูแน่แล้ว”
เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ “ปีนั้นมีคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้”
ชายชรามอมแมมขมวดคิ้ว “ใครกันที่กล้าช่วยคนจากเงื้อมมือของอวิ๋นชิ่งไป๋”
“ลู่ป๋อหยา” เจ้าสำนักเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา
“เป็นเขา!”
ชายชรามอมแมมถึงกับผงะ หยัดตัวยืนโดยพลัน สีหน้าท่าทีฉงนสนเท่ห์ “ความเป็นมาของเจ้าเฒ่าคนนี้ลึกลับมาก!”
เจ้าสำนักพยักหน้าน้อยๆ
“พูดแบบนี้หมายความว่าปัญหาวุ่นวายบนตัวหลินสวินคนนี้มีมากพอตัวจริงๆ การตายของปู่ทวดของเขา การตายของพ่อแม่ของเขา ล้วนเกี่ยวข้องกับเคราะห์กรรมน่าหวาดกลัวทั้งสิ้น และเขาดันไปเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กับลู่ป๋อหยาอีก ช่างซับซ้อนจริงๆ”
ชายชรามอมแมมจมสู่ภวังค์ความคิด
“ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะเอาเรื่องในปีนั้นไปฝากฝังไว้ที่เขา”
เจ้าสำนักกล่าวง่ายๆ เพียงแต่สายตาที่จับจ้องภูผาบันไดสวรรค์ซึ่งอยู่ห่างออกไปและตกลงบนเงาร่างสูงโปร่งสายนั้น กลับเจืออารมณ์ซับซ้อนคล้ายมีแต่ไม่มีสายหนึ่ง
………………………….
ตอนที่ 489 ข้ามด่านเคราะห์และตระหนักรู้
โดย
ProjectZyphon
บันไดสวรรค์ จำนวนรวมทั้งสิ้นเก้าสิบเก้าขั้น
หมุนวนสู่จุดเริ่มต้นเสมอ แฝงจำนวนแห่งมหามรรค บนนั้นประทับร่องรอยมหามรรค เมื่อเดินขึ้นไปบนนั้น หนึ่งก้าวหนึ่งการต่อสู้
ตูม!
คมดาบแหลมคมสีทองพุ่งทะยานเต็มฟ้า จรัสจ้าพร่าตา เชือดเฉือนฟ้าดิน แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ถูกหมัดคู่หนึ่งซัดกระจุย กลายเป็นฝนแสงคลุ้งขจร
หลินสวินสงบจิตพยายามหยั่งรู้ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจอีกครั้ง ยาก! ยาก! ยาก! สัจจะมหามรรคนั้นลึกลับยากหยั่งถึง แทบจะไร้หนทางตระหนักรู้และควบคุม
‘บันไดขั้นที่สามสิบเก้า บีบให้ข้าต้องใช้พลังหมัดห้าชั้น ยิ่งก้าวขึ้นไปกลัวแต่ว่าจะยิ่งยากป่ายปีน…’
หลินสวินไตร่ตรองอยู่สักพัก ครั้นเหลือบตามองก็เห็นว่าตำแหน่งที่อยู่สูงสุดมีชุดสีขาวสว่างวาบ น่าเกรงขามดุจเซียนเหิน โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก
กู้อวิ๋นถิง เขาปีนถึงขั้นที่แปดสิบแล้ว!
หลินสวินตกตะลึงก่อนเก็บสายตากลับมา และมุ่งความสนใจไปที่ถนนใต้เท้า
ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย เขาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ผ่านภาพมายามหามรรคอันสาหัสสากรรจ์ ประสบพบเจอสัจจะมหามรรคนานัปการต่างกันไป
มีร่องรอยแห่งเพลิงที่ดุเดือดร้อนแรง มีร่องรอยแห่งไม้ที่มีพลังชีวิตไร้สิ้นสุด มีสัจวิถีธาตุทองที่ร้ายกาจดุดัน มี…
แต่ละสัจวิถีล้วนเป็นตัวแทนแห่งกลิ่นอายมรรค ผสมผสานฟ้าดินทั้งบนล่าง เปี่ยมด้วยเนื้อแท้แกนหลัก อัศจรรย์สุดพรรณนา
สี่ฤดูหมุนเวียน รุ่งโรจน์เสื่อมถอยไม่เที่ยง ตะวันขึ้นจันทราคล้อย ทิวาราตรีกาลผันเปลี่ยน ธาราเคลื่อนขึ้นลง… ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ วิญญาณเป็นรากเหง้าแห่งกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์คือท่วงทำนองแห่งมรรค มรรคนั้นไร้นาม ถือกำเนิดสรรพสิ่ง วัฏจักรเวียนบรรจบ สัญจรตามลำดับ สำแดงเป็นปรากฏการณ์
กล่าวโดยสรุปแล้ว เรียกว่ามหามรรคธรรมบาล!
ทว่ารู้นั้นง่าย แต่ทำนั้นยาก การมองเห็นและรับรู้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คิดจะตระหนักรู้และควบคุมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเปรียบเสมือนความแตกต่างระหว่างฟ้าและดิน ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉกเช่นตอนนี้ หลินสวินพยายามจะหยั่งถึงและควบคุมมันมาตลอด งัดฝีมือทุกอย่างออกมาใช้จนหมด ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้อะไรเลย
ที่นี่ยังเป็นภูผาแห่งบันไดสวรรค์ เปี่ยมด้วยร่องรอยมหามรรค หากยกไปอยู่โลกภายนอก มหามรรคไร้รูปล่องลอย รังแต่จะทำให้รับรู้และเสาะหายากขึ้นเท่านั้น
และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะจึงหาตัวจับยากเช่นนี้ หนทางแห่งมหามรรคเรรวนปรวนแปร นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณตั้งเท่าไรที่หยุดฝีเท้าไว้ตรงนี้ และสิ้นชีพด้วยความคับแค้น
คำกล่าวที่ว่า ‘ใต้มหามรรคซากกระดูกฝังแน่น’ ไม่ใช่คำพูดเกินจริงอย่างแน่นอน มันเป็นเหมือนจุดยุทธศาสตร์ทางธรรมชาติสายหนึ่ง กักขังผู้ฝึกปราณจำนวนมากบนโลกเอาไว้ ไร้หนทางป่ายปีนและข้ามผ่าน
แต่อายุขัยนั้นมีจำกัด หากไม่สามารถทะลวงระดับขั้น ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ผลสุดท้ายก็จะกลายเป็นฝุ่นดิน จมดิ่งในสายธารแห่งกาลเวลา
ตู้ม!
มหาสมุทรปั่นป่วนเดือดพล่าน กลั่นตัวกลายเป็นอาวุธมากมายแตกต่าง ทั้งทวนยาว ง้าวใหญ่ กระบี่วิญญาณ ดาบศึกเป็นต้น แสงวารีส่องประกาย พุ่งทะยานสู่ห้วงอากาศ
เงาร่างของหลินสวินดุจสายฟ้า ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งต่อสู้อย่างดุเดือดบนผืนสมุทรอันกว้างใหญ่ พลังหมัดจรัสจ้าพราวตา ฉีกทึ้งห้วงอากาศ
ตูม~~
มีระเบิดปะทุทั่วหัวระแหง แสงพิรุณพุ่งกระจาย คลื่นน้ำซัดกลืน
ไม่นานนักสัจวิถีธาตุน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นได้พัฒนากลายเป็นดวงวิญญาณน่าหวาดกลัวอย่างมังกรเกล็ด สัตว์ปีกดุร้าย ยักษา วิญญาณสมุทร… อานุภาพยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือบันไดสวรรค์ขั้นที่หกสิบสาม พลังของร่องรอยมหามรรคยิ่งน่ากลัวมากขึ้นทุกที ทุกสิ่งที่พลังแห่งสัจจะวิวัฒน์ออกมาเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน มีจิตวิญญาณที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างหนึ่งไหลหลั่ง น่าสะพรึงถึงขีดสุด
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนอื่นๆ เกรงว่าคงถูกทำลายจนสิ้นซากภายในพริบตาเดียว!
ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ หลายพันปีมานี้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตไม่ขาดแคลนผู้กล้าซึ่งมาที่นี่เพื่อบุกทะลวงด่าน แต่ผู้ที่สามารถก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ มีจำนวนแทบนับนิ้วได้!
สาเหตุก็อยู่ที่…พลังแห่งร่องรอยมหามรรคนั้นประดุจอานุภาพแห่งฟ้าดิน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งจะรับไหว
ยามนี้แม้แต่หลินสวินก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน เขาไม่กล้าลดความระมัดระวัง แสงสีฟ้าอ่อนห้อมล้อม หมุนวนอยู่ทั่วร่าง ดุจชือน้ำแข็งตัวหนึ่งกำลังกลืนเมฆคลายหมอก พลิกนทีคว่ำสมุทร!
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
สิ่งที่วิวัฒน์มาจากสัจวิถีธาตุน้ำระเบิดแตกเป็นชั้นๆ กลายเป็นฝนแสงโปรยปราย
‘ขั้นที่หกสิบสามแล้ว ใช้พลังหมัดห้าชั้น กำลังกายหายไปเกือบครึ่ง…’
หลินสวินรับรู้และวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเองเงียบๆ
หากลำพังแค่บุกทะลวงอย่างเดียว หลินสวินคงโดดผลุงขึ้นด้านบนตั้งนานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและเวลามหาศาลเช่นนี้
กุญแจสำคัญอยู่ที่เขาทะลวงด่านไปพลางหยั่งรู้ไปพลาง ปรารถนาจะตระหนักรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรค เวลาและเรี่ยวแรงที่ใช้ไปนั้นย่อมเกินกว่าปกติอยู่แล้ว
หากสิ่งนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในสำนักศึกษารู้เข้า คงไม่พ้นมองหลินสวินเป็นสัตว์ประหลาด ควรรู้ว่าสำหรับพวกเขาแค่การปีนบันไดสวรรค์ยังรู้สึกถึงความตรากตรำหาใดเปรียบ แต่หลินสวินกลับดีนัก มองการทะลวงด่านเป็นโอกาสอย่างหนึ่งในการสำรวจและลองควบคุมสัจจะมหามรรค นี่มันวิปริตอย่างเห็นได้ชัดเกินไปแล้ว ทำให้ผู้คนทนรับได้อย่างไรกันเล่า!
“หืม?”
ฉับพลันในขณะที่หลินสวินกำลังตั้งใจหยั่งรู้ ในใจพลันจับกลิ่นอายเร้นลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีได้สายหนึ่ง
เลือนรางดั่งควันเมฆา แต่กลับเปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งวารี!
หยั่งถึงแล้ว!
ในใจหลินสวินสะท้านไหว เบิกบานเป็นล้นพัน ทว่ายามที่เขาปรารถนาจะรู้แจ้งอย่างถ้วนถี่นั้น ร่องรอยลี้ลับคล้ายมีแต่ไม่มีสายนี้กลับอันตรธานลับไป
เป็นดังเช่นรอยเท้าห่านบนผืนหิมะ ไร้ร่องรอยให้เสาะหา
ทว่าหลินสวินก็ไม่ได้ย่อท้อด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้าม นัยน์ตาดำของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายหาใดเปรียบ ในใจพลุ่งพล่านตื่นเต้นดุจคลื่นยักษ์ในมหาชลธี
การตระหนักรู้แวบเดียวเมื่อครู่นั้น ก็เหมือนแสงที่ทะลุผ่านความมืดมิด ทำให้หลินสวินมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่งบนเส้นทางแห่งการเสาะแสวงมหามรรคอันขมขื่น!
แม้ในกาลก่อนจะมีตัวอย่างนับไม่ถ้วนพิสูจน์แล้วว่า ในระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่อาจคาดหวังถึงมหามรรค ไร้หนทางจะเสาะหา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับบอกหลินสวินอย่างไร้ข้อกังขาว่า ในระดับมหาสมุทรวิญญาณก็สามารถตระหนักรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ และกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างระดับหยั่งสัจจะกับระดับมหาสมุทรวิญญาณนี้ ก็ใช่ว่าจะไร้วิธีทำลาย!
‘สัจวิถีธาตุน้ำ…’
หลินสวินสูดหายใจลึก หวนคืนความเยือกเย็น ตลอดทางที่ไต่ขึ้นมา เขาเห็นร่องรอยมหามรรคที่แตกต่างกันมากมาย แต่จนถึงตอนนี้มีเพียงรอยของสัจวิถีธาตุน้ำเท่านั้นที่หยั่งถึงได้
ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง คลุมเครือเลือนรางถึงสุด ทว่าสิ่งนี้กลับชี้แนะหนทางสายหนึ่งให้หลินสวิน ทำให้เขามั่นใจในทิศทางการแสวงหา
หลินสวินป่ายปีนต่อไปโดยไม่รีรอ
ครั้งนี้เขาไม่สิ้นเปลืองกำลังวังชาไปกับร่องรอยมหามรรคอื่นๆ อีก แต่เริ่มพุ่งทะลุด่านอย่างรวดเร็ว!
มีเพียงตอนที่พบขั้นบันไดของร่องรอยแห่งน้ำเท่านั้นจึงจะเลือกรั้งหยุด ใช้พลังกายและปราณอย่างไม่เสียดาย ยืดเวลาการต่อสู้ออกไป เพื่อที่จะตระหนักรู้และควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำได้มากขึ้นอีกก้าว
ชั่วขณะเดียวก็เห็นเงาร่างของหลินสวินเป็นดั่งสายรุ้งทะยานฟ้า คล่องแคล่วดุจเหาะเหิน เหยียบบันไดหินด้วยความเร็วที่ต่างจากก่อนหน้านี้มากกว่าหนึ่งเท่า
บนบันไดหินขั้นที่เก้าสิบเอ็ด กู้อวิ๋นถิงเพิ่งจะทะลวงภาพมายาน่ากลัวลงได้ และกำลังฉวยโอกาสปรับลมหายใจ หลังมาถึงจุดนี้ทำให้เขารู้สึกเปลืองแรง กำลังกายหมดไปรวดเร็วยิ่ง ไม่อาจไม่ดำเนินการจัดระเบียบร่างกาย
“หืม?”
ฉับพลันกู้อวิ๋นถิงคล้ายจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาทอดไปแลมา พลันเห็นหลินสวินเหยียบอยู่บนบันไดขั้นที่เจ็ดสิบเจ็ดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สิ่งนี้ทำให้คิ้วกระบี่ของเขาอดมุ่นหากันไม่ได้
เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้หลินสวินยังถูกทิ้งห่างไปไกลอยู่เลย ทว่าช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น เขาก็ย่นระยะห่างจากตนได้แล้ว เห็นชัดว่านี่ออกจะไม่ปกติแล้ว
หรือเขาเก็บกลั้นพลังมาโดยตลอด และวางแผนจะระเบิดพลังตอนนี้แล้วไล่บี้ตนขึ้นมา?
กู้อวิ๋นถิงเก็บสายตากลับมา ดวงหน้าหล่อเหลายังคงราบเรียบไร้คลื่น
ตอนที่เขาปีนภูผาก่อนหน้านี้ มีความคิดจะเทียบสูงต่ำกับหลินสวินจริงๆ เนื่องจากเมื่อวานเขาเองก็สังเกตเห็นว่าตอนหลินสวินทะลวงกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ได้ชักนำปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าอันยิ่งใหญ่หาใดเปรียบขึ้น
สิ่งนี้ทำให้ในใจเขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อเห็นหลินสวินในวันนี้ เขาจึงคิดจะอาศัยโอกาสนี้มาลองเชิงความสามารถของหลินสวิน
เพียงแต่ไม่นานเขาก็ต้องผิดหวัง ความสามารถของหลินสวินนั้นธรรมดายิ่ง ไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้เลยสักนิด
เดิมทีกู้อวิ๋นถิงเริ่มมองข้ามหลินสวินไปแล้ว ใครเลยจะคาดคิดว่าตอนนี้หลินสวินกลับเริ่มระเบิดพลังออกมาแล้ว
สิ่งนี้ไม่อาจไม่ทำให้กู้อวิ๋นถิงเคลือบแคลง ว่าหลินสวินคิดจะใช้กลยุทธ์นี้มาประชันความเก่งกาจกับตนหรือไม่
‘ต่อหน้าพลังแท้จริง กลยุทธ์เป็นเพียงทางรอง เพิ่งจะออกแรงเอาป่านนี้ ก็ถูกลิขิตให้ยากพลิกสถานการณ์ปราชัยแล้ว’
กู้อวิ๋นถิงไม่ได้คิดมากอีก ยังคงเดินตามขั้นบันไปหินของตนต่อไป
ในใจเขาหลินสวินอาจเรียกได้ว่าน่าทึ่ง แต่กลับไม่สามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากประลองด้วย
“เอ๋ เจ้าหนูนั่นเริ่มออกแรงแล้ว”
ด้านหน้ากระท่อม ชายชรามอมแมมเปล่งเสียงด้วยความแปลกใจ
“ข้าเคยพูดแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้ด้อยไปกว่ากู้อวิ๋นถิงเลย”
เจ้าสำนักเอ่ยเสียงราบเรียบ เมื่อวานเขาเห็นกับตาว่าความสามารถของหลินสวินอยู่ในกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณด้วย ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้ทิ้งชื่อเอาไว้ ทว่าอันดับของหลินสวินในตอนนั้นนำหน้ากู้อวิ๋นถิงเสียด้วยซ้ำ!
“หากพูดเช่นนี้ละก็ เจ้าหนูนี่คงน่าทึ่งมากๆ สินะ ไปอยู่ดินแดนรกร้างโบราณอาจเรียกได้ว่าเป็นปีศาจน้อยคนหนึ่ง”
ภายในนัยน์ตาของชายชรามอมแมมปรากฏแสงพราววาบออกมา ประหนึ่งมีสุริยันจันทราสะท้อนอยู่ในนั้น คลี่ขยายปรากฏการณ์มหามรรค น่าตกใจหาใดเปรียบ
“ศิษย์พี่ ในเมื่อท่านไม่คิดจะยื่นมือแทรกเรื่องของเด็กคนนี้ ไม่สู้ส่งเขาให้ข้าเป็นอย่างไร”
ชายชรามอมแมมเอ่ยถาม
“ไม่ได้!”
เจ้าสำนักปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ชายชรามอมแมมหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ
ผ่านไปไม่ทันไร เจ้าสำนักและชายชรามอมแมมต่างคล้ายกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าขวับ สายตาต่างมองไปทางยอดภูผาบันไดสวรรค์
บนขั้นที่เก้าสิบเก้านั้น อาภรณ์ขาวของกู้อวิ๋นถิงพลิ้วสะบัด ผมดำปลิวไสว รอบกายมีเปลวไฟสีชาดบาดตานับพันนับหมื่นสายพวยพุ่งออกมา ปกคลุมทั่วร่างเขาดุจดั่งวงแหวนแห่งเปลวไฟ กลิ่นอายมหัศจรรย์ขจรออกมา
ครืน~~
บนเวิ้งนภามีเมฆครึ้มปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เกิดเป็นเสียงอสนีบาตกึกก้อง ถาโถมทั่วฟ้าดิน เพียงแวบเดียวก็เห็นสายฟ้าแปลบปลาบสายแล้วสายเล่าร่วงหล่นลงมาจากชั้นเมฆ คล้ายอสนีที่เคี้ยวคด กลืนกู้อวิ๋นถิงจนมิด
“ทะลวงระดับแล้ว ไม่เสียแรงที่กายสุวรรณมรรคอัคคีเป็นพรสวรรค์โดดเด่นเลื่องชื่อมาแต่บรรพกาล ยามเลื่อนระดับถึงขั้นเรียกด่านเคราะห์อสนีจากสวรรค์ เป็นหนึ่งเดียวหาตัวจับยากในบรรดาผู้ฝึกปราณนับหมื่น”
สายตาชายชรามอมแมมลุ่มลึกเปล่งประกาย
“นี่ก็คือพลังที่เป็นของผู้กล้าอย่างแท้จริง ข้ามผ่านด่านเคราะห์อสนี หลอมร่างมรรค วาสนาสูงสุดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ไร้หนทางจะครอบครองได้”
เจ้าสำนักก็รู้สึกปลงตกเช่นเดียวกัน
ทั้งสองต่างรู้ดี ขอเพียงกู้อวิ๋นถิงผ่านด่านเคราะห์อสนีไปได้ เพียงก้าวกระโดดเดียวก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะที่ไร้เทียมทานคนหนึ่ง!
เพียงแต่ทั้งสองต่างไม่ได้สังเกตว่าขณะที่กู้อวิ๋นถิงกำลังข้ามด่านเคราะห์เลื่อนระดับอยู่นั้น หลินสวินซึ่งเหยียบย่างบนบันไดหินขั้นที่แปดสิบแปด รอบกายรายล้อมด้วยระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่าดั่งกระแสน้ำ พรั่งพรูออกมาจากทุกรูขุมขนทั่วผิวกายของเขา
ฉากนั้นดูเหมือนไม่สะดุดตา ด้วยถูกบดบังจากการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากกู้อวิ๋นถิงไปสิ้น แต่ห้วงอากาศที่อยู่รอบๆ ร่างหลินสวินกลับถูกสั่นสะเทือนจนเกิดรอยคลื่นทีละชั้น แผ่กว้างกระจายออกไป
—
ตอนที่ 490 สบตากันโดยไร้ถ้อยวจี
โดย
ProjectZyphon
ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตั้งตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน ประดุจต้นสนขจีที่หยั่งรากอยู่ริมหน้าผา
และภายในห้วงนิมิตของเขา เมื่อแสงวิบวับแวววาวสีครามที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่งแฉลบผ่านดวงดาวแห่งจิตดวงแล้วดวงเล่า ดาวดวงแห่งจิตที่แต่เดิมเป็นประกายสีเงินยวง พริบตาพลันถูกแสงวารีเพริศพริ้งชั้นหนึ่งย้อมทับ กลายเป็นสีฟ้าครามแวววาม
เพียงแต่ไม่นานนักก็คืนสู่สีเดิมอีกครั้ง
ราวกับว่าแสงสีครามเส้นนั้นกำลังจุดดวงไฟแห่งดารา เพียงแต่เมื่อแสงสีครามจากไป แสงไฟก็พลอยมอดดับตามลงไปด้วย
หนึ่งสว่างหนึ่งดับสูญ ประดุจลมหายใจ อัศจรรย์หาใดเปรียบ
นี่ก็คือพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำนั่นเอง!
แม้จะเป็นเพียงสายเดียวเท่านั้นก็ดุจดั่งธรรมชาติสรรสร้าง ครอบครองความลี้ลับยากคาดเดา เป็นการบ่งถึง ‘มรรค’ อย่างหนึ่ง
ยามนี้หลินสวินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในจิตวิญญาณมีท่วงทำนองมรรคแห่ง ‘น้ำ’ เพิ่มขึ้นมา ทำให้เขารับรู้ถึงพลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรรค!
เปลี่ยมคุณธรรมดุจสายน้ำ หากกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ ก็ทรงพลังน่าเกรงขาม ประดุจธารน้ำตกที่ไหลร่วงสู่เบื้องล่าง สายธารพันลี้ แหวกเขาผ่าดิน ไม่มีสิ่งใดรัดพันได้ หากว่าถึงความเล็กจ้อย น้ำหยดลงหินยังกร่อนหินได้ มองเห็นจุดเล็กรับรู้ถึงภาพรวม ชุ่มชื้นและไร้รูป
ยามนุ่มนวลเหมือนดั่งลมวสันต์ผันแปรเป็นหยาดฝน ยามแข็งกร้าวประหนึ่งทะเลคลั่งซัดนภา
ตรงกับสิ่งที่เรียกว่าใหญ่เล็กไม่จีรัง แข็งแกร่งนุ่มนวลสอดประสาน เป็นการอธิบายถึงหลักการลี้ลับแห่งฟ้าดิน!
วินาทีนี้ในที่สุดหลินสวินก็หยั่งถึงแล้ว ตระหนึกได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังแห่งสัจจะ นั่นคือความเข้าใจอันลึกซึ้งที่มีต่อพลังแห่งฟ้าดินอย่างหนึ่ง หากสามารถควบคุมได้ ก็สามารถสำแดงอานุภาพน่าสะพรึงที่ไม่อาจคาดคิดออกมาได้
‘ถึงจะเป็นเพียงแค่ท่วงทำนองมรรคสายเดียว ทว่าสำหรับข้าแล้วกลับเป็นความรู้ความเข้าใจใหม่แบบหนึ่งเกี่ยวกับมรรควิถี ต่อไปเพียงแค่ต้องหล่อหลอมการตระหนักรู้ทำความเข้าใจ ก็จะสามารถควบคุมพลังแห่งธาตุน้ำ และผสานเข้าไปในการฝึกปราณได้!’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นโดยพลัน
กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายของเขาในตอนนี้คล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน เพิ่มกลิ่นอายโดดเด่น บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อน ใสกระจ่างดั่งสายน้ำขึ้นมา
หากถูกเจ้าสำนักมฤคมรกตและชายชรามอมแมมรู้ว่า หลินสวินที่อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณแต่กลับหยั่งถึงและควบคุมพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งได้ เกรงว่าคงไม่อาจสงบนิ่งควบคุมสติได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่น่าเสียดายคือ จิตใจของทั้งสองในเวลานี้ต่างจับจ้องอยู่บนร่างของกู้อวิ๋นถิง ถูกด่านเคราะห์อสนีที่เขาชักนำมาดึงดูดความสนใจไปสิ้น ฉะนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากกู้อวิ๋นถิงนัก ได้ทำลายกฎซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำในสิ่งที่ผู้กล้าผู้โดดเด่นจำนวนมากนับแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่เคยทำสำเร็จ!
และหากสิ่งนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จากโลกภายนอกรู้เขา ก็เพียงพอให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตดุจล้มล้างฉากหนึ่ง สั่นสะเทือนโลกแห่งการฝึกปราณในใต้หล้าได้เลยทีเดียว
“หืม?”
เวลานี้หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่ากู้อวิ๋นถิงกำลังข้ามด่านเคราะห์ ดึงดูดอสนีบาตแปดทิศมาหล่อหลอม ทะลวงระดับบรรลุขั้น
วงแสงที่เกาะตัวกันขึ้นมาดุจเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์วงหนึ่งส่องสะท้อนรอบกายกู้อวิ๋นถิง ทำให้รอบตัวของเขาอาบชโลมด้วยแสง เงยหน้าขึ้นเผชิญอสนีบาต พลานุภาพไร้เทียมทานราวกับเทพศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งก็ไม่ปาน
‘เจ้าหมอนี่น่าทึ่งจริงๆ’
ในใจหลินสวินก็รู้สึกกริ่งเกรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาเคยไปแดนวิญญาณโบราณ และเคยเจอผู้กล้าที่เรียกได้ว่าโดดเด่นมากมาย อาทิเช่นไป๋หลิงซี ซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง หลิงเทียนโหวเป็นต้น แต่ผู้ที่สามารถเทียบชั้นกับกู้อวิ๋นถิงได้ กลับแทบจะหาไม่เจอเลยสักคน
บางทีคงมีเพียงผู้กล้าระดับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังเท่านั้นจึงจะพอประจันหน้าทัดเทียมกับเขาได้
‘มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะที่อายุยี่สิบกว่าปี ทั้งยังมีกายสุวรรณมรรคอัคคี หากภายหน้าเจ้าหมอนี่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ คงไม่มีทางจมหายไปในหมู่ฝูงชนเป็นแน่’
หลินสวินคล้ายขบคิด
ในตอนนี้เขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก เนื่องจากด่านเคราะห์อสนีโหมคลั่งพลุ่งพล่าน น่ากลัวหาใดเปรียบ เพียงเข้าใกล้บริเวณนั้น เป็นต้องได้รับลูกหลงด้วยแน่
แต่ว่าจากโอกาสในครั้งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้ประจักษ์ถึงด่านเคราะห์อสนีของผู้ฝึกปราณ มันหาได้ยากจริงๆ โดยทั่วไปแล้วหากไม่มีพลังเย้ยฟ้า ก็ไม่มีทางชักนำด่านเคราะห์อสนีมาได้เลย
อย่างน้อยเท่าที่หลินสวินรู้ มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเก้าส่วนบนโลกในปัจจุบัน ครั้งแรกที่เลื่อนระดับก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ระดับนี้ขึ้น
เช่นนี้ก็ดูออกแล้วว่ากู้อวิ๋นถิงนั้นโดดเด่นน่าอัศจรรย์เพียงใดแล้ว
‘ด่านเคราะห์อสนี ตามคำเล่าลือในสมัยโบราณ มีเพียงผู้ฝึกปราณที่ก้าวออกจากด่านเคราะห์อสนีเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…’
หลินสวินสงบจิตสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างที่อัดแน่นอยู่ในด่านเคราะห์อสนี ความรู้สึกนึกคิดลอยลิ่ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
เมฆสายฟ้ากระจายตัว เวิ้งนภากลับสู่ความแจ่มใส กู้อวิ๋นถิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนบันได้หินขั้นที่เก้าสิบเก้า ทั่วกายชโลมเปลวไฟปลายอสนี นั่งขัดสมาธิสงบจิตใจ
เขาเพิ่งจะข้ามด่านเคราะห์เลื่อนระดับ จำเป็นต้องหล่อหลอมปราณให้มั่นคง
กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ภายในร่างประดุจมังกรจำศีล สามารถสั่นสะเทือนแปดทิศ เหยียดมองใต้หล้า ท่วงท่าสง่างามโดดเด่น
หลินสวินจ้องมองอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนเก็บสายตากลับมา ยกเท้าเหยียบลงบนบันไดหินขั้นต่อไป
หยั่งถึงสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งแล้ว เขาพึงพอใจเต็มที่แล้ว เริ่มใช้เรี่ยวแรงและพลังทั้งหมดในการบุกทะลวงด่าน
“น่าเสียดาย คนหนุ่มอย่างกู้อวิ๋นถิงถูกกำหนดให้ไร้หนทางรั้งอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า เส้นทางของเขามีเพียงต้องอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้นจึงจะสามารถส่องแสงเจิดจรัสได้”
ชายชรามอมแมมถอนใจเบาๆ พลังของกู้อวิ๋นถิงในวันนี้ทำให้เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจ ในดินแดนรกร้างโบราณที่มีผู้กล้าดาษดื่น วีรบุรุษโดดเด่นเปล่งประกายเช่นนั้นอาจไม่เรียกว่าหาตัวจับยาก ทว่าในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ กลับเรียกได้ว่าไร้ผู้ทัดเทียม ไม่เป็นรองใคร!
“ข้าเพียงหวังว่าเขาจะไม่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถ่วงความก้าวหน้า”
เจ้าสำนักกล่าวราบเรียบ
ชายชรามอมแมมนิ่งไป ทันใดนั้นก็หัวเราะร่วนขึ้นมา “ดูเหมือนว่าท่านยังไม่ยินยอมพร้อมใจกับเรื่องราวในปีนั้นอยู่นะ”
เจ้าสำนักไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
“บอกข้ามา ท่านคิดจะทำอย่างไรกับหลินสวินคนนั้นกันแน่”
ท่าทีชายชรามอมแมมเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เด็กคนนี้แม้บนร่างกายจะมีเคราะห์กรรมมาก แต่ก็นับว่าเป็นของดีหายากชิ้นหนึ่ง ท่านคิดจะปล่อยไปตามมีตามเกิดอย่างนั้นหรือ”
เจ้าสำนักนิ่งเงียบไปสักพักค่อยเอ่ยปาก “มังกรเร้น ณ ห้วงเหวลึก ย่อมต้องรับการเคี่ยวกรำและความทรมานเป็นเท่าตัวจึงจะมีโอกาสทะยานขึ้นฟ้า สำหรับตอนนี้แล้ว ข้าไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ”
“เคี่ยวกรำหรือ” ชายชรามอมแมมหัวเราะเย็นชา “กลัวแต่ว่าปัญหาของเขามากเกินไป จะสิ้นชีพก่อนวัยอันควร”
แววตาเจ้าสำนักไหววูบ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดมากความอะไรอีก
……
พรวด!
บนภูผาบันไดสวรรค์ ยิ่งสูงขึ้นเท่าไร พลังที่ประทับบนบันไดหินก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น หลินสวินไม่อาจไม่โคจรพลังทั้งหมดเพื่อรับมือมัน
ขั้นที่เก้าสิบเอ็ด
ขั้นที่เก้าสอบสอง
ขั้นที่เก้าสิบสาม
…จนเมื่อถึงขั้นที่เก้าสิบเก้า ทั่วร่างหลินสวินชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็น ลมหายใจหอบหนัก ดวงหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
เพราะเสียแรงกายมากเกินไป ทำให้เขาแทบจะยืนหยัดไม่อยู่
ยังดีที่เหลือบันไดหินแค่ขั้นเดียวเบื้องหน้านี้เท่านั้นแล้ว!
ฟุ่บ!
ในเวลานี้เอง กู้อวิ๋นถิงที่นั่งสมาธิอยู่ข้างๆ พลันหยัดกายเต็มความสูง ทั่วกายเอ่อล้นด้วยกำลังวังชา อานุภาพพวยพุ่ง ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
เขาในขณะนี้เป็นผู้ซึ่งอยู่ในระดับหยั่งสัจจะเรียบร้อยแล้ว ทุกท่วงท่าอิริยาบถขับเคลื่อนพลังแห่งฟ้าดิน มีความน่าเกรงขามอันทรงพลัง
ทว่าเพียงพริบตาเขาก็เก็บกลิ่นอาย แปรเปลี่ยนเป็นวางตัวโดดเดี่ยวอีกครั้ง ดั่งเทพเซียนจุติลงมา ราบเรียบแต่ไม่ธรรมดา
ยามเห็นหลินสวินที่ยืนบนบันไดหินขั้นที่เก้าสิบเก้าอยู่ด้านข้างเช่นเดียวกัน กู้อวิ๋นถิงก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเก็บสายตากลับมา สีหน้าราบเรียบไม่ไหวติง
เขาแตกต่างจากหลินสวินแล้ว หลุดพ้นระดับมหาสมุทรวิญญาณ กลายเป็นมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริงคนหนึ่ง ส่วนหลินสวินถูกลิขิตให้ทำได้เพียงแหงนมองเท่านั้น!
พญาอินทรีบนท้องฟ้ามิอาจสนใจมดบนพื้นดิน เนื่องจากทั้งสองอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน
ก็เหมือนสภาพจิตใจของกู้อวิ๋นถิงในเวลานี้ นี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เป็นท่าทางแห่งการแยกตัวและเพิกเฉยอย่างหนึ่ง
เดิมทีหลินสวินยังคิดจะทักทายอีกฝ่ายอยู่ แต่พอเห็นท่าทาง ‘สูงเด่นเหนือปวงชน’ ของอีกฝ่ายแล้ว เขาพลันยิ้มจืดเจื่อน สาวเท้าเดินขึ้นไป ไม่ได้ไยดีอีก
เกือบจะในเวลาเดียวกัน กู้อวิ๋นถิงก็ก้าวขึ้นไปบนบันไดหินขั้นสุดท้ายด้วยเช่นกัน
ฟุ่บ!
ทั้งสองมาถึงในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ต่างฝ่างต่างไม่เคยสบตากัน คล้ายว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่
‘นี่ก็คือยอดภูผาบันไดสวรรค์หรือ’
หลินสวินกวาดตาสำรวจ พลันเห็นหมอกเมฆหลากสีสัน โขดหินเก่าเถาวัลย์เลื้อย กล้วยไม้งามหอมกรุ่น ดวงอาทิตย์แผดจ้าลอยสูง สาดแสงสีทองงดงามพราวระยับลงมา ธารคีรีงดงาม ทิวทัศน์ดั่งภาพวาด ทำให้ผู้คนสัมผัสถึงความกว้างใหญ่ไพศาลที่แปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยเมื่อทอดมองจากยอดเขาสูง
เพียงแต่นอกจากนี้แล้ว กลับไม่ได้มีสถานที่อัศจรรย์อื่นใดอีก
กู้อวิ๋นถิงยิ่งตรงไปตรงมา กวาดสายตาคราเดียวก็หมุนตัวออกไป อาภรณ์ขาวพลิ้วสะบัด อันตรธานหายลับไปที่ขอบฟ้า
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยเหลือบมองหลินสวินอีกเลยแม้แต่แวบเดียว
‘หวังแต่ว่าหลังจากนี้หากได้พบกันในดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าจะยังทำเช่นนี้ได้อีกนะ…’
หลินสวินรู้สึกปลงตกเล็กน้อย
เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังอะไรต่อกู้อวิ๋นถิง เพียงแต่จู่ๆ พลันนึกถึงถ้อยคำที่เจ้าสำนักเคยพูดไว้ รู้ว่าขอเพียงกู้อวิ๋นถิงเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ จะต้องไปฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างแน่นอน และแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นก็เป็นสถานที่ที่นำพา ‘หายนะ’ มาสู่ตัวเขา!
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินกังวลใจอย่างอดไม่ได้ ภายหน้าหากได้พบกู้อวิ๋นถิง เผลอๆ อาจจะกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว และคงจะไม่เหมือนกับวันนี้ แม้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้สบตากัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังสามารถอยู่อย่างสันติได้
หน้ากระท่อมมุงจาก ตอนที่หลินสวินมาถึงเจ้าสำนักก็ไม่อยู่แล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่ปีนภูผาบันไดสวรรค์นั้น เคยถูกเจ้าสำนักและชายชรามอมแมมจดจ้องให้ความสนใจและพูดคุยเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเขา
“ราวสามร้อยกว่าปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถปีนขึ้นยอดภูผาบันไดสวรรค์ได้ ทว่าวันนี้กลับมีเจ้าและกู้อวิ๋นถิงคนนั้นที่ทำได้ถึงขั้นนี้พร้อมกัน ช่างทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ”
ชายชรามอมแมมเอ่ยปากพลางยิ้มตาหยี
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
หลินสวินยิ้มพลางประสานมือคารวะ
“เจ้าหนู จนป่านนี้เจ้ายังไม่มีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้กระมัง คิดจะมากราบเข้าสำนักข้าหรือไม่”
ในแววตาชายชรามอมแมมผุดเผยแววระอุออกมา คล้ายกับจ้องหยกงามไร้ที่ติชิ้นหนึ่งอยู่
“เอ่อ”
หลินสวินรู้สึกประหลาดใจทันใด
“ช่างเถอะ ข้าจะลองคิดดูอีกที อย่างไรเสียข้าเองก็แค่เลือดร้อนเดือดพล่านชั่ววูบเท่านั้น ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเจ้าจะเหมาะสมสืบทอดวิชาก้นกรุของข้าหรือไม่”
ชายชรามอมแมมเอ่ยเรื่อยเปื่อย
หลินสวินแทบอดกลอกตาไม่ไหว ตาเฒ่าคนนี้ช่างเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว ทำท่าทีแบบนี้จะให้กราบไหว้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ได้อย่างไร!
ไม่นานนักหลินสวินก็ฉวยป้ายประจำตัวของตนกลับคืนมา ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
“เฮ้อ น่าเสียดายชะมัด เหตุใดประวัติความเป็นมาของเจ้าหนูนี่ถึงได้พิเศษเยี่ยงนี้…”
หน้ากระท่อมมุงจาก ชายชรามอมแมมพ่นเสียงถอนหายใจออกมา
……….
ณ หอกิจวิญญาณ
เป็นดังเช่นวันวาน ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง ศิษย์จำนวนมากในสำนักศึกษารวมตัวกันอยู่ที่นี่ บางคนนำคะแนนมาแลกเป็นสิ่งของจำเป็น และบางคนก็มาเพื่อรับภารกิจฝึกฝน ดูครื้นเครงยิ่ง
“เอ๋ นั่นไม่ใช่…หลินสวินหรือ”
“อะไรนะ เขาก็คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ยังเด็กเกินไปจริงๆ”
ยามหลินสวินมาถึง พลันถูกผู้คนจำได้ทันที ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมากมาย
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานในสำนักศึกษามฤคมรกตแพร่ออกไป หลินสวินในตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็น ‘คนดัง’ ผู้หนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต ใครต่างก็รู้ว่าเขาเอาชนะพวกหลันอวี่ จินจู๋หลิวได้ จากนั้นก็ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งเกียรติประวัติ อันดับหนึ่งในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณในก้าวเดียว
เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นหลินสวินปรากฏกายอยู่ในหอกิจวิญญาณ ย่อมต้องดึงดูดสายตาสนอกสนใจจำนวนมากได้เป็นธรรมดา
——
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น